หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เนคเทค สวทช. จับมือ TCELS และ อย. จัดสัมมนาใหญ่ ดัน AISaMD ไทยสู่มาตรฐานสากล
โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2 กรกฎาคม 2568 – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ SQUAT ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญ “AISaMD Forum: หลักเกณฑ์การทดสอบและแนวทางการใช้งานเพื่อนำผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ไทย มุ่งสู่มาตรฐานในระดับสากล” การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทยให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ นายแพทย์ รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย. มีทิศทางการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นในอนาคต คือหลักในการกำกับดูแล AISaMD (AI-driven Software as a Medical Device) คือการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจัดเป็น เครื่องมือแพทย์ ตามกฎหมายหรือไม่ โดยต้องส่งเสริมการใช้แนวทางทดสอบตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังรวมถึงการออกข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และการทำงานร่วมกับหน่วยงานวิชาการและภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมนวัตกรรมอย่างมีคุณภาพควบคู่ไปกับความปลอดภัย โดยหน้าที่ของสำนักงาน อย. ไม่ใช่เพียง “ควบคุม” เท่านั้น แต่คือ “สนับสนุนให้ผู้พัฒนาไทยสามารถเติบโตได้ภายใต้กติกาที่เป็นธรรมและโปร่งใส” การควบคุมที่ดีในศตวรรษที่ 21 จึงต้อง “ชัดเจนในหลักเกณฑ์ และยืดหยุ่นต่อโอกาสใหม่” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่า เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบบริการสุขภาพของโลก รวมถึงประเทศไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “โปรแกรมอัจฉริยะ” สู่การเป็น “เครื่องมือแพทย์” ที่มีผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมี กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่เราใช้เป็นฐานในการรับรองคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทุกประเภท ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum จัดขึ้นเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหลากหลายภาคส่วน เพื่อจุดมุ่งหมายร่วมกันในการยกระดับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ ได้อย่างมั่นใจ ภายใต้กฎหมายและเป็นไปตามแนวทางมาตรฐานสากล โดยสอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทอย่างลึกซึ้งในวงการแพทย์ โดยเฉพาะใน  รูปแบบของ AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย การรักษา และการดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน เรากลับพบว่าผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในประเทศไทยยังประสบอุปสรรคทั้งด้านกฎหมาย ขาดแนวทางการทดสอบที่ชัดเจน ไม่ทราบกระบวนการพัฒนาและขาดแนวทางการจัดทำเอกสารที่สามารถใช้ยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ กับ อย. ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบ AISaMD ซึ่งดำเนินการโดยเนคเทค สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) และความร่วมมือจากหน่วยงานหลักคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากการดำเนินงานในระยะที่ผ่านมา โครงการสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้แก่ พัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล เอกสาร AISaMD Template ที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค ด้านกฎหมาย และด้านการจัดทำเอกสาร และแผนในการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบนำร่อง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ตั้งเป้าทดสอบผลิตภัณฑ์จริงไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ และการจัดเวทีสัมมนาในวันนี้ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น AISaMD ไม่ใช่แค่ “ซอฟต์แวร์เครื่องมือแพทย์” แต่คือ “เครื่องมือแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์” ในฐานะหน่วยงานวิจัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เนคเทค สวทช. มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิด ศูนย์กลางการทดสอบผลิตภัณฑ์ AISaMD ในประเทศไทยอย่างถาวร โดยเชื่อมโยงกับระบบการกำกับดูแลของ อย. เพื่อขับเคลื่อนภายใต้ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย” นายนิติพล มนต์ไตรเวศย์ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์กรมหาชน) กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum เป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นผู้นำในด้าน AI ด้านเครื่องมือแพทย์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AI Software as a Medical Device – หรือ AISaMD ที่ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น ดูแลผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น  แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน  นวัตกรรมก็ไม่อาจเดินไปถึงผู้ป่วยได้ ในฐานะที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และลงทุนในนวัตกรรมสุขภาพของไทย TCELS อยากให้ทุกท่านเข้าใจว่า เราไม่ได้เพียงแค่ “ให้ทุน” เพื่อสร้างโปรเจกต์หนึ่ง แต่เรากำลัง “วางโครงสร้างพื้นฐาน” ให้คนไทยทั้งระบบได้มีนวัตกรรมที่เชื่อถือได้ โครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ในวันนี้ จึงไม่ใช่โครงการทดลองแต่คือจุดเริ่มต้นของ มาตรฐานใหม่ที่จับต้องได้ อีกทั้ง เป้าหมายของโครงการนี้ได้แก่ระบบทดสอบที่ได้มาตรฐาน, การสร้าง AISaMD Template ที่ใช้งานได้จริงร่วมกับที่ปรึกษา, การทำให้กระบวนการขึ้นทะเบียนกับ อย. เป็นเรื่องเข้าใจง่าย, และการเชื่อมโยงภาครัฐ วิชาการ และภาคเอกชนเข้าด้วยกัน คือเป้าหมายหลัก 4 ประการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อน AISaMD ของไทยให้ก้าวสู่ตลาดจริงอย่างมั่นใจและยั่งยืน เรามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและความสามารถของคนไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก หากเรามีระบบการรับรองที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เราจะสามารถก้าวไปได้ไกลกว่าที่เคยเป็นมา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม TCELS จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการลักษณะนี้ต่อไป โอกาสนี้เชิญชวน ผู้ประกอบการ นักพัฒนา Startup หรือแม้แต่นักวิจัยที่มีผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์มาร่วม ทดสอบผลิตภัณฑ์ของท่านกับเรา ในช่วงนำร่องนี้ เพราะท่านจะได้ประเมินความพร้อมของผลิตภัณฑ์ ได้รับคำแนะนำที่อิงมาตรฐานระดับโลก และที่สำคัญ   ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนจริงกับ อย. อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ iEVTech 2025 ดันไทยสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน
 วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) นำโดย ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน และ ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ เข้าร่วมพิธีเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ The 10th International Electric Vehicle Technology Conference and Exhibition (iEVTech 2025) ซึ่งจัดโดยสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) ร่วมกับ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Mobilize to Globalize: Innovative Supply Chain and Technology for Sustainability” ระหว่างวันที่ 2–4 กรกฎาคม 2568 งาน iEVTech 2025 เป็นเวทีระดับนานาชาติสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ วิศวกร ผู้ประกอบการ และผู้กำหนดนโยบายทั้งในและต่างประเทศในการแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติในด้านการลงทุน การวิจัย และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับระบบขนส่งพลังงานสะอาดในอนาคต ENTEC สวทช. มีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนงานประชุมวิชาการ iEVTech 2025 ทั้งในด้านการจัดทำเนื้อหาทางวิชาการและการจัดเซสชันเฉพาะทาง โดยผู้แทนจาก ENTEC เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการวิชาการและเป็นประธานร่วมในเซสชัน “Mobility Partnership Session: International Effort on Thailand E-Mobility” ซึ่งมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าร่วมกับหน่วยงานนานาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งไฟฟ้าอย่างยั่งยืนของประเทศไทยผ่านความร่วมมือเชิงวิจัยและนวัตกรรมระดับภูมิภาคและระดับโลก
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อบรมเชิงปฏิบัติการ การทำคาร์บอนเครดิตสำหรับภาคเกษตรกรรม
📢อบรมเชิงปฏิบัติการ ฟรี! 🌍เรื่อง “#การทำคาร์บอนเครดิตสำหรับภาคเกษตรกรรม”   👉ลงทะเบียน [ภาคทฤษฎี] https://forms.gle/Rm1MJg7WygqvDVAL9 🗓️วันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2568 ⏰เวลา 8:00 - 12:00 น. (ออนไซต์และออนไลน์) 📍ออนไซต์: ณ ห้องประชุม CC-305 ชั้น 3 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี 🎯จำนวน 30 ท่าน 💻 ออนไลน์: ทาง Zoom (รับลิงก์ทางอีเมล) 100 ท่าน 👉ลงทะเบียน [ภาคฝึกปฏิบัติ] https://forms.gle/zKBbxABaq8dFZyqR8 🗓️วันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568 ⏰เวลา 08.00 – 17.00 น (ออนไซต์เท่านั้น) 📍ออนไซต์: ณ ห้องประชุม CC-305 ชั้น 3 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี 🎯จำนวน 30 ท่าน
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช.-EECi ยกระดับสมุนไพร ด้วยฟ้าทะลายโจรคุณภาพสูง พันธุ์ ‘ราชบุรี BT-1’ พร้อมชูเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ  สร้างอุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง
(วันที่ 30 มิถุนายน 2568) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อ.วังจันทร์ จ.ระยอง: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค -สวทช.) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ผนึกกำลังจัดกิจกรรมการถ่ายทอดและสาธิตเทคโนโลยี การปลูกสมุนไพรคุณภาพสูง: ฟ้าทะลายโจร สำหรับเกษตรกรผู้ประกอบการเกษตร ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อตอกย้ำบทบาทการร่วมขับเคลื่อน “สมุนไพรไทยสู่มาตรฐานสากล” ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พร้อมตอบโจทย์อุตสาหกรรมยาแผนไทย พาณิชย์ และการแพทย์ในอนาคต โดยมี ดร.วุฒิ ด่านกิตติคุณ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ ร่วมบรรยายถ่ายทอดเความรู้และเสวนาให้กับกลุ่มเกษตรกรนพื้นที่ พร้อมกันนี้มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) โรงพยาบาลวังจันทร์ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดระยอง เข้าร่วมงาน ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ไบโอเทค - สวทช. ได้พัฒนา “ฟ้าทะลายโจรพันธุ์ราชบุรี BT-1” ซึ่งมีจุดเด่นคือ ให้ผลผลิตสูง ประมาณ 5,000–6,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี สามารถตัดได้ 4–5 ครั้ง/ปี และมีสารสำคัญสูง คือมี สารแอนโดรกราโฟไลด์ (AP1) มากถึง 34–40 มิลลกริม(มก.)/กรัมแห้ง และสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วในระยะเวลาเพียง 90–110 วันหลังเพาะเมล็ด นอกจากนี้ไบโอเทค - สวทช. ยังได้ร่วมกับเครือข่ายขยายผลการปลูกด้วยระบบควบคุม เช่น โรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) ในพื้นที่เมืองนวัตกรรมชีวภาพ EECi Biopolis อ.วังจันทร์ จ.ระยอง และ Plant Factory ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งทั้ง 2 แห่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ของ สวทช. ที่สามารถควบคุมแสง อุณหภูมิ ความชื้น และให้น้ำอัตโนมัติ ตลอดจนให้ผลผลิตสูงถึง 2–3 เท่าจากการปลูกแบบเดิม และยังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ดร.ประเดิม กล่าวเพิ่มเติมว่า ไบโอเทค สวทช. ยังมีการพัฒนา “เทคนิคการปลูกครบวงจร” ตั้งแต่การเพาะเมล็ด การเตรียมแปลง การดูแล การให้ปุ๋ย การควบคุมแสงในฤดูฝน–ฤดูหนาว ด้วยระบบเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm) ที่เหมาะสม อาทิ ระบบ WaterFit Simple ระบบ HandySense ตลอดจนการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังเก็บเกี่ยวให้ได้คุณภาพสูงสุดพร้อมส่งออก โดยในพื้นที่โดยรอบเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ดำเนินการร่วมกับ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดระยอง ในการขยายผล แหล่งผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ ฟ้าทะลายโจร ราชบุรี บีที-1 ทั้งนี้เพื่อให้คำแนะนำปรึกษาเกษตรกร ส่งเสริมอาชีพเกษตรกรเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกรผู้ผลิตฟ้าทะลายโจรคุณภาพสูง ซึ่งถือเป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมยาแผนไทย ที่เป็นความหวังของการแพทย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต “ไบโอเทค สวทช. และ EECi เราได้ทำงานร่วมกับกับโรงพยาบาลวังจันทร์ จ.ระยอง ในการนำฟ้าทะลายโจร สายพันธุ์ราชบุรี บีที-1 ไปผลิตฟ้าทะลายโจรอบแห้งและบรรจุในรูปแบบแคปซูลสมุนไพรฟ้าทะลายโจรคุณภาพสูง เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยในพื้นที่อีกด้วย” ดร.ประเดิม กล่าวทิ้งท้าย นายวัลลภ จันทร์งาม ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริม และพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดระยอง กล่าวถึงบทบาทของการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร ที่มีส่วนในการร่วมขับเคลื่อน อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ ความมั่นใจในนวัตกรรมสมุนไพร ฟ้าทะลายโจรคุณภาพสูง รวมทั้งเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนรูปแบบการปลูกแบบสมาร์ทฟาร์ม จาก สวทช. อาทิ ระบบควบคุมน้ำ WaterFIT ระบบเกษตรแม่นยำ HandySense และเทคโนโลยีตรวจการปนเปื้อนโลหะหนักและสารเคมีอื่น ๆ ในดิน และน้ำ Chem Sense จะมีส่วนช่วยเสริมความมั่นใจตั้งแต่เกษตรกรถึงผู้บริโภค และพร้อมสนับสนุนในการเป็นหน่วยขยายผล ร่วมกับ สวทช. ต่อไป นอกจากนี้ ดร.จุฑา ธาราไชย ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาพื้นที่และชุมชน 2  สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้กล่าวถึงบทบาทการสนับสนุนห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรม ที่ชุมชนในพื้นที่มีส่วนร่วมพัฒนาจาก เศรษฐกิจฐานราก ต้นน้ำคุณภาพสูง สู่การส่งต่ออุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง ยา เวชสำอาง เครื่องสำอาง ผ่านกลไกกองทุน EEC และ EEC Connect ซึ่งวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและมั่นใจว่าทุกภาคส่วนได้ประโยชน์จากการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เข้าร่วม พิธีเปิดการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ครั้งที่ 74 สาขาเคมี ณ เมืองลินเดา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
 เนื่องในวโรกาส สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ครั้งที่ 74 สาขาเคมี ณ เมืองลินเดา สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นำนักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นใหม่ จำนวน 6 คน เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทและร่วมงานประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ได้กล่าวว่า  การประชุมอันทรงเกียรติระดับโลกนี้มีกำหนดจัดขึ้นทุกปี ในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จากทั่วโลก  สำหรับการประชุมในปีนี้ ซึ่งเน้นหนักในสาขาเคมี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ประชาสัมพันธ์ สอบสัมภาษณ์กลั่นกรอง และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงคัดเลือกเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยตัวแทนนักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นใหม่มีศักยภาพ มีความพร้อมทั้งทางด้านความรู้ในสาขาเคมี ทักษะที่จำเป็นต่างๆ และทัศนคติที่เหมาะสมในการเป็นผู้แทนประเทศไทย จำนวน 6 ราย ให้ไปเข้าร่วมการประชุมฯ อันเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนแนวคิด และรับแรงบันดาลใจจากบุคคลสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์ระดับโลกซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมการประชุม เป็นผู้บรรยายในเนื้อหาที่น่าสนใจ  ผู้แทนประเทศไทยทั้ง 6 คน นี้ปัจจุบันเป็นนักศึกษาปริญญาเอก 2 คน และ นักวิจัยหลังปริญญาเอก 4 คน ประกอบด้วย: 1.นางสาวประภัสรา ม่วงโสภา จบการศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาเคมี (หลักสูตรนานาชาติ) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจในด้านสีย้อมอินทรีย์, Molecular Imaging และนาโนเทคโนโลยี และกำลังจะเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ณ University of Texas สหรัฐอเมริกา   2. ดร.แพรพลอย ชมขุนทด กำลังศึกษาระดับปริญญาเอก สาขา Materials Science Research ณ Imperial College London สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นปริญญาเอกใบที่สอง โดยงานวิจัยมุ่งเน้นไปที่การสร้างแบตเตอรี่, Supercapacitors และ Electrocatalysts   3. ดร.ณัชพงษ์ สุวรรณวงศ์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์เคมี สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Glycochemistry, Medicinal Chemistry, Drug Discovery และ Computational Simulations  4. ดร.ธนากร กิตติกูล นักวิจัยหลังปริญญาเอก กลุ่มสาขาวิชาวัสดุศาสตร์และนวัตกรรมวัสดุ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผลงานวิจัยเด่นด้าน Perovskite solar cell  5. ดร.รชวี แจ่มมี นักวิจัยหลังปริญญาเอก ณ International School of Engineering คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้มีประสบการณ์ในด้าน Applied Science and Engineering และ Inorganic Chemistry   และ 6. ดร.สกุลรัตน์ มั่นคง นักวิจัยหลังปริญญาเอก ณ Institut de Génétique et de Biologie Moléculaire et Cellulaire (IGBMC) สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีงานวิจัยสำคัญเกี่ยวกับ Skeletal muscle, Muscular dystrophy diseases และ Sarcomere  โอกาสนี้  ดร.พัชร์ลิตา กล่าวว่า ปัจจุบัน มีนักวิทยาศาสตร์เยาวชนจากประเทศไทยเข้าร่วมงาน 18 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 87 คน  โดยมีศิษย์เก่าที่ทำงานแล้ว กระจายอยู่ในมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย และภาคเอกชน หลายคนมีผลงานวิจัยที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ เช่น ศ.ดร.นพ. ฉัตรชัย เหมือนประสาท และทีมวิจัย ประสบผลสำเร็จจากการค้นพบสารสังเคราะห์ที่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากสารชาลโคน (chalcone) ที่พบในสมุนไพรหลายชนิด เช่น ชะเอมเทศ เป็นต้น  ช่วยในการป้องกันภาวะไตเสื่อมในสัตว์ทดลองที่เป็นไตจากเบาหวานครั้งแรก โดยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ "Biomedicine & Pharmacotherapy"  รองศาสตราจารย์ ดร.ธนิษฐ์ ปราณีนรารัตน์ ในโอกาสที่ได้รับรางวัลครูวิทยาศาสตร์ดีเด่น ระดับอุดมศึกษา  รองศาสตราจารย์ ดร.พงศกร กาญจนบุษย์ ได้รับรางวัลนักวิจัยวัสดุรุ่นใหม่ดีเด่น โดยทำการวิจัยและพัฒนา สเปรย์ฟิล์ม ลดอุณหภูมินับว่าเป็นครั้งแรกของโลกที่กระบวนการสเปรย์ถูกนำมาใช้สร้างรูปทรงและรูปร่าง สามารถเพิ่มการระบายความร้อนด้วยการแผ่รังสีอินฟราเรดในช่วง 8 – 13 ไมโครเมตร และใช้ได้กับลักษณะพื้นผิวที่หลากหลาย   ดร.พัชร์ลิตา กล่าวว่า การเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสอันดีสำหรับนักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นใหม่ในการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจจากนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพงานวิจัยของประเทศไทยให้ก้าวไกลในระดับสากล และเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติต่อไปในอนาคต  และให้กำลังใจนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่เข้าร่วมกิจกรรมให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และสร้างเครือข่ายเพื่อนนักวิทยาศาสตร์นานาชาติ และนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนางานวิจัยและเผยแพร่ความรู้ให้กับเยาวชนและสังคมต่อไป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สัมมนา From ROCK to RICHES เปลี่ยนเหมืองแร่ด้วย Industry 4.0
🗻⛏️✨️โอกาสทองของผู้ประกอบการเหมืองแร่ยุคใหม่ พร้อมรับ สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม 💡 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และ กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมงานสัมมนา 🚜💲From ROCK to RICHES เปลี่ยนเหมืองแร่ด้วย Industry 4.0 📅 21 กรกฎาคม 2568 ⏰ 09.00 - 16.00 น. 📍 ณ ห้อง SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ✨️Highlight✨️ 🔹️ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ระดับโลกและแนวโน้ม Mega Trends ของอุตสาหกรรม 🔹️ทิศทางอุตสาหกรรมเหมืองแร่เพื่อเตรียมพร้อมการปรับตัว 🔹️Green Mining 4.0 เทคโนโลยีเพื่อเหมืองแร่ที่ยั่งยืน 🔹️ฟังประสบการณ์ตรงในการเปลี่ยนผ่านสู่เหมืองแร่ 4.0 เทคโนโลยีเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และการสนับสนุนและโอกาสในการลงทุน 🔹️พร้อมรับฟังข้อมูลโครงการเพื่อยกระดับสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ 4.0 ✨ พิเศษ! สำหรับผู้เข้าร่วมงาน ✅️ประเมินระดับอุตสาหกรรม 4.0 ฟรี ✅️ สมัครเข้าร่วมโครงการ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ✅️พร้อมรับทราบสิทธิประโยชน์ทางด้านการเงิน ภาษี และกลไกสนับสนุนต่างๆอีกมากมาย 📌 ลงทะเบียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย! 📌 Link : https://forms.gle/hwSf6Xv6dU9YoDdj8 📞 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย 📧 E-mail: ikd-kas@nstda.or.th 📱 โทร: 081 830 3250 (ชมพูนุท) 080 195 1444 (คุณกานต์ธิดาพร)  
ปฏิทินกิจกรรม
 
MTEC สวทช. โชว์ศักยภาพนวัตกรรมสุขภาพ เสริมคุณภาพชีวิตคนไทย ปิดฉากงาน “Thailand Healthcare 2025” อย่างน่าประทับใจ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สวทช. ตอกย้ำบทบาทผู้นำนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ ภายในงาน “Thailand Healthcare 2025: A Better Life – สร้างสุขทุกช่วงวัย” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–29 มิถุนายน 2568 ณ สามย่านมิตรทาวน์ โดยเครือมติชนและพันธมิตร โดยงานนี้ถือเป็นงานแฟร์สุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 17 ตลอด 4 วันของการจัดงาน MTEC สวทช. ได้จัดแสดง 7 นวัตกรรมเด่น ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพเชิงรุกและเสริมคุณภาพชีวิตในทุกช่วงวัยของประชากรไทย โดยไฮไลต์นวัตกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก อาทิ Rachel รุ่น Everyday: ชุดบอดี้สูทที่ออกแบบมาเพื่อช่วยพยุงกล้ามเนื้อ เสริมสมดุลการเคลื่อนไหว และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ เหมาะกับผู้สูงวัยและวัยทำงาน Gunther-Janine: ระบบแจ้งเตือนการหกล้มอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันเพื่อแจ้งเหตุได้ทันที MediAlarm และ ToiletSense: อุปกรณ์ AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานเพื่อตรวจจับความผิดปกติในการกินยาและการใช้ห้องน้ำ แจ้งเตือนผ่าน LINE ได้แบบเรียลไทม์ Smart Wardrobe Purifier: ตู้เสื้อผ้าฟอกอากาศด้วยเทคโนโลยี AutoFlow PuriTech System ภายในตู้เสื้อผ้าและตู้โชว์ ช่วยลดฝุ่น PM2.5 เชื้อรา และแบคทีเรีย ThaiSook Watch: นาฬิกาสุขภาพที่ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน ThaiSook ติดตามพฤติกรรมสุขภาพแบบองค์รวม Power Lift Bed: เตียงอัจฉริยะสำหรับผู้สูงวัยและผู้ป่วยติดเตียง ช่วยอำนวยความสะดวกในการลุกนั่ง ลดภาระผู้ดูแล   หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงาน คือการเสวนา Better Life Talk บนเวทีหลัก ซึ่งนักวิจัยจาก MTEC สวทช. และภาคเอกชนได้ร่วมแบ่งปันแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน 2568 หัวข้อ “MIKE – The Guardian AI: ระบบอัจฉริยะเพื่อผู้สูงวัย” ได้รับความสนใจจากผู้ฟังอย่างอบอุ่น โดย ดร.ก่อเกียรติ เศษชัยชาญ นักวิจัย MTEC สวทช. และคุณรัฐธนินท์ วาทย์ชีรานนท์  กรรมการ บริษัท พี.เอส.ทวีทรัพย์ จำกัด ได้นำเสนอเบื้องหลังการพัฒนา “MIKE” ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ ToiletSense และ MediAlarm ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมและแจ้งเตือนความผิดปกติได้แบบไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นศักยภาพในการขยายระบบนี้ไปสู่บ้านพักผู้สูงอายุ โรงพยาบาล และโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงวัย ถัดมาในวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2568 หัวข้อ “นวัตกรรมสุขภาพ 2025: ‘ของขวัญ’ ที่เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย” นำโดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการ MTEC สวทช. ได้เปิดเผยแนวคิดเบื้องหลังการพัฒนา Smart Wardrobe Purifier ซึ่งเป็นความร่วมมือกับภาคเอกชนในการออกแบบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เน้นประสิทธิภาพและความเข้าใจผู้ใช้งาน โดย คุณพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร บริษัทเอสบี ดีไซนด์สแควร์ จำกัด ได้ร่วมแบ่งปันแนวคิดจากมุมมองธุรกิจ พร้อมแผนเข้าสู่ตลาด ภายในเวทีเดียวกัน ดร.เดโช สุรางค์ศรีรัฐ นักวิจัยจาก สวทช. ได้แนะนำ ThaiSook Watch และแอปพลิเคชัน ThaiSook ซึ่งสามารถติดตามสุขภาพรายบุคคลในหลายมิติ พร้อมเน้นความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งานที่ถือเป็นเรื่องสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกอย่างยั่งยืน การเสวนาทั้งสองวันสะท้อนภาพชัดเจนว่า นวัตกรรมสุขภาพจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย ภาคเอกชน และผู้ใช้งานจริง พร้อมคำนึงถึงความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และคุณค่าที่แท้จริงต่อชีวิตผู้คน MTEC สวทช. เชื่อมั่นว่าการเข้าร่วมงาน Thailand Healthcare 2025 ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการผลักดันงานวิจัยด้านสุขภาพของประเทศให้เดินหน้าไปพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยในทุกช่วงวัย ตามแนวคิด “สร้างสุขทุกช่วงวัย” อย่างแท้จริง ดูการเรียงภาพข่าวได้ที่เว็ปไซต์เอ็มเทค https://www.mtec.or.th/mtec-thailand-healthcare-2025-2/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้
ครู เผย แพลตฟอร์ม LEAD Education ภายใต้โครงการ "Adaptive Education Platform" ช่วยพลิกโฉมการเรียนรู้ AI และจริยธรรม ยกระดับนักเรียนช่วยเรียนรู้ AI ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล (วันที่ 30 มิถุนายน 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในกิจกรรม NSTDA x Press Interviews: นักวิจัย สวทช. พบปะสื่อมวลชน ในประเด็นเรื่อง โครงการ Adaptive Education Platform: แพลตฟอร์ม LEAD Education บริการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล  โดยมีทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. ผู้แทนสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)  ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักเรียนเข้าร่วมงาน ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ณ ห้องประชุม 2 และห้องเรียน AI โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ LEAD Education: ตัวช่วยสำคัญในการเรียนรู้ AI ยุคใหม่ ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ Adaptive Education Platform กล่าวว่า แพลตฟอร์ม LEAD (LEarning analytics of ADaptive Education) หรือ LEAD Education คือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ผ่านการปรับให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคล ที่กำลังเป็นเทรนด์การศึกษาในหลายประเทศชั้นนำ เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมีความก้าวหน้าจนเอื้อให้นักพัฒนาเทคโนโลยีสามารถออกแบบ Adaptive Education Platform รูปแบบต่าง ๆ มาให้บริการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบอีเลิร์นนิงแบบรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์จุดที่อาจเป็นปัญหาในการเรียนรู้ และแนะนำเนื้อหาที่ควรทบทวนหรือควรศึกษาเพิ่มเติมตามหลักคิด Adaptive Education แบบอัตโนมัติได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนบุคคลให้แก่ผู้เรียนได้แล้ว ยังเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ครูและอาจารย์ทำงานด้านการติดตามคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง “หัวใจสำคัญ คือ แพลตฟอร์ม LEAD ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นให้เป็นระบบที่ชาญฉลาดในการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย LEAD จะช่วยปรับการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน ทำให้การเรียน AI ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป” ดร.เสาวลักษณ์ ระบุ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ออกแบบ เพื่อให้บริการแก่ครูและอาจารย์ในประเทศไทย โดยปัจจุบันภายใต้แพลตฟอร์มนี้มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบอีเลิร์นนิงที่พร้อมให้บริการแล้ว 4 เทคโนโลยี ได้แก่ 1. เทคโนโลยี BookRoll เทคโนโลยีติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ มีการขีดเน้นส่วนสำคัญและส่วนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจตรงจุดใดบ้าง 2. KidBright Simulator เทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly) โดยระบบจะติดตามความเร็วในการต่อบล็อกแต่ละส่วน จุดที่นำบล็อกออกแล้วต่อใหม่ รวมถึงช่วยนับจำนวนบล็อกที่ใช้ต่อทั้งหมด ซึ่งการติดตามทั้งหมดนี้จะช่วยประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจเรื่องการเขียนโค้ดของผู้เรียนได้ 3. VIOLA (Video Interaction and Online Learning Analytics) เทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ผ่านสื่อวิดีโอมีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับเนื้อหาวิดีโอ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอ อัตราการดูซ้ำ หรือคะแนนจากแบบทดสอบในวิดีโอ เพื่อนำมาประเมินความเข้าใจในเนื้อหาวิดีโอ และ 4. Abdul for Education เทคโนโลยีติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ ระบบจะติดตามว่าคำตอบที่ผู้เรียนเลือกหรือพิมพ์ตอบนั้นถูกต้องหรือแสดงถึงความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหรือไม่ “สวทช. มุ่งหวังให้คุณครูผู้สามารถพัฒนาเยาวชนของเราให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณค่า ประโยชน์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการเสริมสร้างทักษะในการสร้าง AI ได้ด้วยตนเองอย่างมีความรับผิดชอบและรู้เท่าทัน ด้วยเครื่องมือทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทั้งผู้เรียน ผู้สอน รวมถึงผู้ออกแบบเนื้อหาทราบถึงปัญหาที่ผู้เรียนกำลังเผชิญได้ทันที และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นการปูพื้นฐานความรู้ AI ที่แข็งแกร่งให้กับเยาวชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของประเทศในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตของชาติ” นายเอกสิทธิ์ ปิยะแสงทอง ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า สพฐ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างรอบด้าน และเชื่อว่าเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม LEAD Education จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงช่วยเติมเต็มช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน แต่ยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษได้พัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ ได้ทุกที่ทุกเวลาตามความสนใจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ สพฐ. ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง “Adaptive Education Platform โครงการนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าถึง โรงเรียน 750 แห่ง คุณครูประมาณ 1,400 คน และนักเรียนไม่น้อยกว่า 140,000 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้ครูและนักเรียนได้สัมผัสกับประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติ” นายเอกสิทธิ์ กล่าว ดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) กล่าวว่า สสวท. ได้ริเริ่มการออกแบบหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งประเทศไทยเป็นชาติแรก ๆ ในเอเชียที่มีหลักสูตร AI ในโรงเรียน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งมีแนวคิดสำคัญมาจาก แนวทาง AI4K12 และ AI Competency Framework for Students ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ทั้งสองแนวทางได้ถูกผนวกและปรับใช้เพื่อให้เหมาะสมกับระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจเทคโนโลยี AI อย่างถูกต้อง สามารถใช้งานได้จริง และตระหนักถึงจริยธรรมและผลกระทบของ AI ต่อสังคม ซึ่งโครงสร้างหลักสูตรของระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีความใกล้เคียงกัน อาจมีการปรับเปลี่ยนบางโมดูล เพื่อให้เหมาะสมกับระดับชั้นปี โครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วย 5 โมดูล ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ AI ไปจนถึงเทคนิค Supervised Learning การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และคอมพิวเตอร์วิชัน (Computer Vision) พร้อมทั้ง Generative AI เพื่อปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ "ทักษะที่ผู้เรียนได้รับครอบคลุมการคิดเชิงคำนวณ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบระบบ AI และจริยธรรม AI ที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ศักยภาพเหล่านี้ต่อยอดสู่นวัตกรรมดิจิทัล เปิดโอกาสสร้างเยาวชนที่จะเติบโตเป็นนักพัฒนาประเทศรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ยุค AI อย่างยั่งยืน" ดร.จีระพร กล่าว" Adaptive Education Platform" พลิกโฉมการเรียนรู้ สร้างนักเรียนยุคใหม่ สู่โลก AI นายกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว เปิดเผยว่า จากการนำ "แพลตฟอร์ม LEAD Education" มาใช้ในการเรียนการสอน ส่งผลดีอย่างมากต่อนักเรียน โดยเฉพาะในการจัดการกับความแตกต่างด้านพื้นฐานและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือช่วยครู แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมให้นักเรียนได้เรียนรู้ในแบบฉบับของตนเอง พร้อมรับมือกับโลกยุค AI ได้อย่างมีคุณภาพ “แพลตฟอร์มนี้ช่วยปิดช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียน จากปัญหาหลักของการเรียนการสอนแบบเดิมคือการที่นักเรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่แตกต่างกัน ทำให้ครูยากที่จะติดตามและประเมินความเข้าใจของทุกคนได้อย่างทั่วถึง แต่เมื่อนำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ในรูปแบบ "Flipped Classroom" ซึ่งครูออกแบบให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาล่วงหน้านอกห้องเรียน และกลับมาทำกิจกรรมร่วมกันในชั้นเรียน ปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไข โดยนักเรียนสามารถเข้าไปศึกษาคลิปวิดีโอ ทบทวนเนื้อหา หรือเรียนซ้ำได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรียนรู้ช้าหรือเร็ว เหล่านี้คือข้อดีที่แตกต่างจากการสอนในห้องเรียนที่ เมื่อครูบรรยายจบก็คือจบ ถ้านักเรียนไม่ถาม ครูก็จะไม่รู้เลยว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงไหน"   นายกรกันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างการสอนใน Module จริยธรรมและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI นักเรียนสามารถศึกษาเนื้อหาเรื่องวิวัฒนาการของ AI ได้ด้วยตนเองก่อน แล้วจึงมาทำกิจกรรมร่วมกันในชั้นเรียน เช่น นำมาเล่นเกมตอบคำถาม และสรุปเนื้อหา ซึ่งหากนักเรียน ลืมหรือต้องการทบทวนก็สามารถกลับไปดูคลิปหรือเอกสารประกอบการเรียนได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ซ้ำที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้แพลตฟอร์มยังมี Dashboard ให้ครูสามารถวิเคราะห์และออกแบบการสอนเฉพาะบุคคล โดยจะแสดงผลภาพรวมการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าในการเรียน คะแนนจากการทำแบบทดสอบ ทำให้อาจารย์สามารถวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ และสามารถจัดกลุ่มหรือออกแบบกิจกรรมเสริมที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอยากให้ทีมวิจัยพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์มและระบบดังกล่าว เช่น พัฒนาระบบให้เป็นเสมือนนิเวศทางการเรียนรู้ หรือ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ ครอบคลุมตั้งแต่การลงทะเบียนเรียน การรับส่งงาน การทำกิจกรรม ไปจนถึงการประเมินผลการเรียน เพื่อให้ครูสามารถบริหารจัดการชั้นเรียนได้อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้โครงการ Adaptive Education Platform เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการศึกษาไทยให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในยุคดิจิทัล และสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพพร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกอนาคต เช่นเดียวกับ นายเทพพิทักษ์ เทียมยศ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว กล่าวเสริมว่า การนำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างได้ผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI และจริยธรรม AI ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ ที่ไม่สามารถติดตามความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างทั่วถึง ทำให้อาจารย์ติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน พร้อมประเมินความเข้าใจของนักเรียนได้เบื้องต้นและสามารถนำมาปรับใช้กับการสอนได้สะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ประโยชน์ที่นักเรียนได้รับคือการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งการเข้าถึงเนื้อหา และทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ ได้ใช้ทักษะการค้นคว้าข้อมูล การใช้เครื่องมือออนไลน์ และการโต้ตอบกับแชตบอตซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“โรงเรียนภาษาที่สาม” เสริมทักษะดิจิทัล สร้างเยาวชนสู่ “นวัตกร”
กระทรวง อว. โดย เนคเทค สวทช. ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และ สสวท. จัดโครงการ “ส่งเสริมนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การพัฒนานวัตกรยุค 4.0” หรือ “โรงเรียนภาษาที่สาม” (ภาษาเทคโนโลยี) เพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้แก่ครูและนักเรียน นำร่องใน 20 โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง พร้อมจัดทำหลักสูตรภาษาที่สาม เช่น Coding, AI และ Digital Tools ครอบคลุมทุกช่วงชั้นตั้งแต่ประถมศึกษาตอนต้น-มัธยมศึกษาตอนปลาย นอกจากนี้ยังมีการประกวดนวัตกรรมดิจิทัลของนักเรียน และการประกวดการสร้างสรรค์พื้นที่ห้องเรียน Digital Innovation Maker Space ของครูวิทยาศาสตร์ในระดับโรงเรียน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลให้เยาวชนไทยก้าวสู่การเป็นนวัตกรแห่งอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. นำไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง
(27 มิ.ย. 68) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี - ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center) ภายใต้ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ตอกย้ำบทบาทการเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโอมิกส์ที่ทันสมัยที่สุดของไทย มุ่งมั่นขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมชีวภาพ เพื่อเพิ่มศักยภาพประเทศให้แข่งขันได้ในระดับโลก และนำไทยสู่เศรษฐกิจชีวภาพที่ยั่งยืน ด้วยศักยภาพด้านโอมิกส์ครบวงจร ที่ให้บริการและวิจัยครอบคลุมทั้ง จีโนมิกส์ ทรานสคริปโตมิกส์ โปรตีโอมิกส์ และเมตาโบโลมิกส์ พร้อมด้วยเครื่องมือล้ำสมัย และทีมผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ ศูนย์โอมิกส์ฯ พร้อมรองรับงานวิจัยที่ซับซ้อนและร่วมสร้างมูลค่า ด้วยการนำเทคโนโลยีโอมิกส์ไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญและเพิ่มมูลค่าให้กับหลายภาคส่วนในประเทศไทย ทั้งการเกษตร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ เป็นหน่วยงานวิจัยภายใต้ไบโอเทค สวทช. ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโอมิกส์ที่ทันสมัยที่สุดของไทย เพื่อรองรับทั้งงานวิจัยพื้นฐานและประยุกต์ เทคโนโลยีโอมิกส์ (Omics) มาจากคำลงท้าย "-omics" คือวิทยาการที่ศึกษาข้อมูลทางชีวภาพระดับโมเลกุลอย่างครบวงจร ได้แก่ จีโนมิกส์ (Genomics) คือการศึกษารหัสพันธุกรรมระดับจีโนม, ทรานสคริปโตมิกส์ (Transcriptomics) คือการศึกษาการแสดงออกของยีน, โปรตีโอมิกส์ (Proteomics) คือการศึกษาหน้าที่และการทำงานร่วมกันของโปรตีน และเมตาโบโลมิกส์ (Metabolomics) คือการศึกษาการสร้างและการเปลี่ยนแปลงสารเมตาบอไลต์ เทคโนโลยีเหล่านี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานชีวภาพ เพราะช่วยสร้างความเข้าใจกลไกชีววิทยาที่ซับซ้อน วิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และสามารถประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา เช่น การเกษตร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. นับเป็นส่วนหนึ่งในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมชีวภาพต่อไป ดร.วิรัลดา ภูตะคาม ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ภารกิจหลักของศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ที่มุ่งขับเคลื่อนเทคโนโลยีโอมิกส์ในประเทศไทย ประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนาขั้นสูง: สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านโอมิกส์  การบริการวิเคราะห์และเครื่องมือ: สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาแก่ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลและเครื่องมือโอมิกส์ที่ทันสมัย  การถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากร: เป็นแหล่งเรียนรู้ ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านโอมิกส์ เพื่อเสริมแกร่งศักยภาพเทคโนโลยีชีวภาพของประเทศ  และการเชื่อมโยงเครือข่าย: สร้างความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ เพื่อนำงานวิจัยโอมิกส์ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ศูนย์โอมิกส์ฯ ได้สร้างสรรค์ผลงานวิจัยและพัฒนาที่โดดเด่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีโอมิกส์ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับประเทศ โดยมีผลงานไฮไลต์ ดังนี้ เทคโนโลยีโอมิกส์กับการอนุรักษ์ปะการังในน่านน้ำไทย มีการนำเทคโนโลยีโอมิกส์มาใช้เพื่ออนุรักษ์ปะการัง ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่รุนแรงขึ้นทั่วโลก งานวิจัยเน้นไปที่การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของปะการังในไทย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาเรื่องนี้ในประเทศ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของปะการังเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังมีการสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางพันธุกรรมปะการัง เพื่อเฝ้าระวังสายพันธุ์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ และใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และฟื้นฟู เช่น การผสมเทียมเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมและโอกาสรอดของปะการัง ลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) และการบ่งบอกอัตลักษณ์เสือโคร่ง มีการใช้เทคโนโลยีพันธุกรรมเพื่อช่วยอนุรักษ์เสือโคร่ง โดยเฉพาะเสือโคร่งในกรงเลี้ยง ด้วยความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลเพื่อระบุตัวตนเสือโคร่งแต่ละตัวได้อย่างแม่นยำ การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามอาชญากรรมสัตว์ป่า ช่วยให้สามารถตรวจสอบเสือโคร่งของกลางในคดีลักลอบค้าสัตว์ป่า และปกป้องเสือโคร่งจากการสูญพันธุ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีโอมิกส์เพื่อการควบคุมคุณภาพเมล็ดพันธุ์ลูกผสม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ การ ตรวจสอบคุณภาพและความบริสุทธิ์ ไปจนถึงการวินิจฉัยโรคพืชในเมล็ดพันธุ์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการส่งออกเมล็ดพันธุ์ของไทยในตลาดโลก เช่น การพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล เพื่อใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมด้วยดีเอ็นเอ (DNA-based purity testing for F1 hybrid seeds) การพัฒนาชุดตรวจ HybridSure ซึ่งใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอในการทดสอบความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสม เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพก่อนจำหน่ายหรือส่งออก บริการนี้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพด แตงกวา แตงโม พริก มะเขือเทศ เมล่อน และมะระ รวมถึงผลงานน่าสนใจอื่น ๆ เช่น การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการอนุรักษ์พืชป่าชายเลน ผลงานพืชจัดการฝุ่น PM 2.5  ผลงานเครื่องหมายโมเลกุลและการปรับปรุงพันธุ์แบบก้าวกระโดด  ผลงานชุดตรวจสีต้องห้าม BY-2 ในทุเรียนแบบพกพา  ผลงานการตรวจวัดสารออกฤทธิ์ในพืชสมุนไพรอย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีเมตาโบโลมิกส์  และผลงานเทคโนโลยีโปรติโอมิกส์เพื่อการพัฒนาอาหารมูลค่าสูง เป็นต้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของศูนย์โอมิกส์ฯ ในการนำเทคโนโลยีโอมิกส์มาสร้างสรรค์นวัตกรรมและแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ศูนย์โอมิกส์ฯ ยังมีบริการที่ครบวงจรเพื่อสนับสนุนงานวิจัย พัฒนา และบริการแก่หน่วยงานภายนอก ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา โดยครอบคลุม บริการด้านจีโนมิกส์ เช่น การถอดรหัสพันธุกรรม (Sequencing) และการวิเคราะห์ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genotyping)  บริการด้านทรานสคริปโตมิกส์ เช่น การถอดรหัส RNA  บริการด้านโปรตีโอมิกส์ เช่น การระบุโปรตีน และการวิเคราะห์โปรตีนเชิงปริมาณ  บริการด้านเมตาโบโลมิกส์ เช่น การทำโปรไฟล์เมตาโบไลต์ (Metabolite Profiling) และการวิเคราะห์เป้าหมายเฉพาะ (Targeted Metabolomics)  และบริการด้านอุปกรณ์ มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยพร้อมให้หน่วยงานภายนอกเข้าใช้บริการ โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือ เช่น เครื่องเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมและตรวจวัดในสภาพจริง (Droplet Digital PCR) เครื่องมือแยกและวิเคราะห์คุณสมบัติโปรตีน (FPLC) เครื่องสังเคราะห์โปรตีน (Peptide Synthesizer) เครื่องวิเคราะห์การเรียงลำดับของสารพันธุกรรม (Genetic Analyzer) และเครื่องอ่านลำดับเบส (Sequencing Machine) เป็นต้น ผู้ที่สนใจนำเทคโนโลยีโอมิกส์ไปใช้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงวิชาการ อุตสาหกรรม ภาครัฐ หรือภาคส่วนอื่น ๆ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลบริการและงานวิจัยเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. โทร 0 2564 7000 ต่อ 71441 อีเมล: noc.th@nstda.or.th และเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/noc/
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ให้ความรู้เบื้องต้นในการจัดทำข้อมูลแนวทางการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC และส่งเสริมองค์กรสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
🌱 ขอเชิญชวนผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนกับกิจกรรมสัมมนา “ให้ความรู้เบื้องต้นในการจัดทำข้อมูลแนวทางการลดคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC และส่งเสริมองค์กรสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” 📅 วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 🕘 เวลา 9:00 – 16:00 น. 📍 ห้องแสนสุข 3 โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ จ.ชลบุรี 🎯 สิ่งที่คุณจะได้รับ: ✅ ความรู้เบื้องต้นในการจัดการข้อมูลคาร์บอนในโรงงาน ✅ แนวทางการใช้ระบบ CAMP เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ✅ รู้จักเทคโนโลยีสนับสนุนจาก NECTEC NSTDA ✅ เปิดโอกาสจับคู่ความร่วมมือเพื่อก้าวสู่องค์กรสีเขียว 🎉 เข้าร่วมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย 📲 ลงทะเบียนเลยตอนนี้ >> https://www.nstda.or.th/r/JXXcI หรือสแกน QR ในภาพ เปลี่ยนโรงงานของคุณให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเริ่มต้นวันนี้ เพื่อโลกของเราในวันพรุ่งนี้ 🌏💚
ปฏิทินกิจกรรม
 
ประเทศไทย โดย อว.-ดีอี-ศธ. ผนึกกำลัง UNESCO เป็นเจ้าภาพการประชุม GFEAI 2025 ส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมเคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และทีมผู้บริหารเนคเทค คณะนักวิจัยเนคเทค ร่วมพิธีเปิดการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence (GFEAI 2025) ซึ่งในปี 2568 นี้ ประเทศไทย โดย 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เป็นเจ้าภาพในการจัดงานดังกล่าว โดยมี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมทั้งมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง DE ผู้บริหารระดับสูงจากประเทศสมาชิกยูเนสโก จาก 104 ประเทศทั่วโลก นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจชั้นนำ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และองค์การระหว่างประเทศ เข้าร่วมงาน ณ ห้อง Bangkok Convention Centre ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติฯ โดยได้กล่าวถึงแนวทางสำคัญ 3 ประการในการกำหนดทิศทางอนาคตของ AI ในประเทศไทย ได้แก่ การส่งเสริมการใช้ AI เพื่อประโยชน์ของสังคม โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรม สาธารณสุข และการศึกษาการป้องกันการใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวปลอมหรือ Deepfake ที่บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือในสังคม การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและการพัฒนา AI โดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อสนับสนุนแรงงาน ไม่ใช่แทนที่แรงงาน โดยรัฐจะร่วมมือกับภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาในการยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลไทยยังเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ชาติด้าน AI ภายใต้การกำกับของ “คณะกรรมการ AI แห่งชาติ” โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้ AI เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และหลักจริยธรรมที่เข้มแข็ง รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจาก AI ได้ไม่น้อยกว่า 4,000 ล้านบาทภายในปี 2570 พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพ และยกระดับความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก พร้อมกันนี้ ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการนำ AI ไปใช้ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะด้านการแพทย์ เกษตรกรรม และการศึกษา เพื่อให้เทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในทุกมิติอย่างแท้จริง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือทวิภาคีกับ Ms. Audrey Azoulay  (นางออเดรย์ อาซูเลย์) ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันในการตั้ง “ศูนย์ AI Governance Practice Center (AIGPC) หรือ ศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ระดับภูมิภาค” เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรม AI โดยเฉพาะในบริบทของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความร่วมมือนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศต่าง ๆ ในการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ความร่วมมือนี้ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของภูมิภาคในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เกิดจากการใช้ AI ในทางที่ผิด โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้เพื่อหลอกลวงประชาชน เช่น การปลอมเสียงและใบหน้าผ่านเทคโนโลยี Deepfake การส่งข้อความหลอกลวงผ่านระบบอัตโนมัติ และการสนับสนุนขบวนการหลอกลวงทางโทรศัพท์หรือ Call center ซึ่งล้วนเป็นภัยที่เกิดขึ้นจริงและแพร่กระจายรวดเร็วในหลายประเทศ ซึ่งการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนนี้ เป็นการสะท้อนว่าประเทศไทยพร้อมเดินหน้าร่วมกับประชาคมโลกอย่างมั่นคง บนเส้นทางของการพัฒนา AI ที่มีจริยธรรม โปร่งใส และยั่งยืน   นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ยืนยันว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ในเชิงนโยบาย แต่เน้นการ “นำไปใช้จริง” โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และการบริการที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง โดยไทยยังได้ประเมินความพร้อมด้าน AI ผ่านเครื่องมือ UNESCO RAM (UNESCO Readiness Assessment Methodology) เพื่อให้เข้าใจสถานะปัจจุบันของประเทศอย่างเป็นระบบ พร้อมระบุจุดแข็ง จุดอ่อน และแนวทางปรับปรุงในมิติต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายข้อมูล และทักษะบุคลากร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทของไทย ทั้งนี้ นายประเสริฐกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้ง ศูนย์ AIGPC ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จะเป็นศูนย์กลางสำคัญในการฝึกอบรม สร้างองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ และยกระดับบุคลากร AI ในระดับภูมิภาคต่อไป ภายในงาน เนคเทค สวทช. ได้ร่วมนำเสนอผลงานนิทรรศการ อาทิ THAI AI ECOSYSTEM, SUPER AI ENGINEER, ThaiLLM Collaboration, NSTDA Supercomputer Center (ThaiSC), Medical AI Sharing, Thai People Map and Analytics Platform (TPMAP), Implementation of the UNESCO Recommendation on the Ethicals of Artificial Intelligence in Thailand อีกด้วย การประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of Artificial Intelligence (GFEAI 2025) จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 - 27 มิถุนายน 2568 เพื่อเป็นเวทีระหว่างประเทศในการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบ และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามแนวทางข้อเสนอแนะว่าด้วยจริยธรรมสำหรับปัญญาประดิษฐ์ของยูเนสโก (Recommendation on the Ethics of Artificial Intelligence) ซึ่งสมาชิกยูเนสโกทั้งหมด 194 ประเทศได้เห็นพ้องในการร่วมมือกันผลักดันตามข้อเสนอแนะฯ เมื่อปี 2564 รวมถึงเป็นการยกระดับบทบาทไทยในเวทีโลก ในการกำหนดนโยบายและมาตรฐานปัญญาประดิษฐ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์ไทยเป็นผู้นำจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค กระตุ้นการแลกเปลี่ยนและพัฒนาองค์ความรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ ส่งเสริมให้ภาครัฐและภาคเอกชนมีความตื่นตัวกับจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์