หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ตอนที่ 6 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย https://www.youtube.com/watch?v=xiqJPOQKa18เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.ชาลี วรกุลพิพัฒน์ ดร.วรล อินทะสันตา และคณะ ดร.ธีรพงศ์ ยะทา และคณะ ดร.อรประไพ คชนันทน์ และคณะ คุณฉวีวรรณ คงแก้ว และคณะ ดร.ดนุ พรหมมินทร์ และคณะ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ และ ดร.จินตมัย สุวรรณประทีป และคณะ
30 ปี สวทช.
 
คลัง VDO
 
วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย เชียงราย สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี”เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด สร้างรายได้สู่ชุมชน
วธ.ยกย่องชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย เชียงราย สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด สร้างรายได้สู่ชุมชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังโควิด-19 วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้นำชุมชนพลัง“บวร” และชาวชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนที่กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศให้เป็น 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี”เป็นชุมชนที่มีศักยภาพและมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ โดยผู้นำชุมชนพลัง“บวร” และชาวชุมชนคุณธรรมฯได้ให้การต้อนรับ (more…)
BCG
 
นายกรัฐมนตรี พร้อมผลักดันส่งเสริมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมผลักดันส่งเสริมวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภูมิใจนักออกแบบไทยนำวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่ ซึ่งถือว่าตรงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล โดยส่วนหนึ่งคือการผลักดัน "Soft Power" ไทยในแขนงต่างๆกว่า 15 สาขา (more…)
BCG
 
วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2564
สหภาพยุโรปเสนอแผนกลยุทธ์ ประจำปี ค.ศ. 2021 – 2024 ของกรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 หรือ โครงการ Horizon Europe ในปี ค.ศ. 2021 นี้ เป็นปีแรกที่จะเริ่มมีการดำเนินการภายใต้กรอบโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรปฉบับที่ 9 หรือ Horizon Europe ซึ่งจะกำหนดแนวทางและเป้าหมายของงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมในยุโรปรวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปและประเทศนอกสมาชิกฯ ในระยะเวลา 4 ปี นับจากปัจจุบัน ซึ่งในปี ค.ศ. 2019 ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และประชาชนทั่วไป ผ่านแบบสอบถามออนไลน์และงานประชุมสัมมนา นำมาใช้ในการออกแบบและกำหนดแผนกลยุทธ์ กลยุทธ์เป้าหมาย 4 ประการ ภายใต้กรอบโครงการ Horizon Europe สหภาพยุโรปได้กำหนดกลยุทธ์เป้าหมายไว้ 4 ประการ ดังนี้ - การส่งเสริมนโยบาย open strategic autonomy ซึ่งเป็นการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของสหภาพยุโรปต่อประเทศอื่น ๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีอุบัติใหม่ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว รวมไปถึงการพัฒนาของภาคส่วนต่าง ๆ และห่วงโซ่อุปทานในยุโรป คาดว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยเร่งกระบวนการสังคมดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างเต็มรูปแบบ - ฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพในยุโรป และส่งเสริมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาระดับความมั่นคงทางอาหารและสร้างสังคมไร้มลพิษให้แก่ประชาชน - ขับเคลื่อนสหภาพยุโรปสู่การเป็นสังคมดิจิทัล สังคมเศรษฐกิจหมุนเวียน สังคมเศรษฐกิจแบบยั่งยืน และสังคมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แห่งแรกของโลก กลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย กรอบโครงการ Horizon Europe ที่คณะกรรมาธิการยุโรปได้เสนอ ประกอบด้วยองค์ประกอบขั้นพื้นฐานสามเสาคือ - ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ (Excellent Science) - ความท้าทายระดับโลกและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในยุโรป (Global Challenges and European Industrial Competitiveness) และ - นวัตกรรมแห่งยุโรป (Innovative Europe) กลยุทธ์เป้าหมาย 4 ประการจะถูกนำไปปฏิบัติและดำเนินการผ่านการพัฒนากลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมาย 6 คลัสเตอร์ มีดังนี้ สุขภาพ วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการมีส่วนร่วมของสังคม ความมั่นคงของพลเมืองเพื่อสังคม ดิจิทัล อุตสาหกรรม และอวกาศ สภาพภูมิอากาศ พลังงาน และการขนส่ง อาหาร เศรษฐกิจชีวภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม  แผนการสร้างพันธมิตรด้านการวิจัยและนวัตกรรมในยุโรป สหภาพยุโรปได้กำหนดสาขาหลักในการสร้างพันธมิตรด้านการวิจัยและนวัตกรรมในยุโรปไว้ 10 สาขาดังนี้ การสร้างความร่วมมือด้านสุขภาพระดับโลก นวัตกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีดิจิทัล เศรษฐกิจฐานชีวภาพแบบหมุนเวียน พลังงานไฮโดรเจนสะอาด อุตสาหกรรมการบินไร้มลพิษ เทคโนโลยีด้านระบบรถไฟ เทคโนโลยีน่านฟ้า เครือข่ายและการบริการอัจฉริยะ มาตรวิทยา รูปแบบการสร้างพันธมิตรด้านการวิจัยและนวัตกรรมในยุโรป แผนการสร้างพันธมิตรด้านการวิจัยและนวัตกรรมในยุโรปได้กำหนดรูปแบบของการสร้างความร่วมมือเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Co-programmed European Partnerships Co-funded European Partnerships Institutionalized European Partnerships แผนการสร้างความร่วมมือกับประเทศนอกสมาชิกภายใต้โครงการ Horizon Europe แผนการดำเนินการจะมุ่งเน้นการเชื่อมโยงภารกิจและการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาในระดับประเทศ ภูมิภาคและของโลก เช่น นโยบาย Green Deal การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัล และเสริมสร้างศักยภาพให้ยุโรปสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ดีขึ้น สรุปได้เป็น 4 แนวทางหลัก ๆ ดังนี้ ความร่วมมือด้านการวิจัยและการพัฒนานวัตกรรม การแลกเปลี่ยนบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญ และส่งเสริมการวิจัยขั้นแนวหน้าและการวิจัยพื้นฐาน การเข้าร่วมของสหภาพยุโรปและการเป็นผู้นำในโครงการความร่วมมือแบบพหุภาคี การหารือด้านนโยบายกับประเทศนอกสมาชิกฯ และภูมิภาคอื่น ๆ การหารือทวิภาคีระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน ในประเด็นเทคโนโลยีสีเขียวและแผนที่นวัตรกรรม โครงการ GreenTech มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ข้อ คือ 1) การหารือความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างผู้พัฒนานวัตกรรมในยุโรปและอาเซียน 2) การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยียั่งยืนระหว่างสองภูมิภาค 3) การมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมขีดความสามารถ การถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียว การถ่ายทอดเทคโนโลยีสีเขียวจากยุโรปไปยังอาเซียนจะต้องตอบโจทย์ในประเด็นต่อไปนี้ ระบุและกำหนดเทคโนลีสีเขียวที่สำคัญตอบโจทย์ต่อความต้องการและความสำคัญเร่งด่วนของประเทศสมาชิกอาเซียน และสามารถช่วยจัดการกับปัญหาในภูมิภาคได้ วิเคราะห์ความเป็นไปได้พร้อมส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสีเขียวจากยุโรปไปแก้ไขในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างประสบผลสำเร็จ ระบุและกำหนดเทคโนโลยีสีเขียวที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ในเมือง พื้นที่ชนบท เขตอุตสาหกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภาคส่วนพลังงาน และภาคการขนส่ง พัฒนากลยุทธ์ที่เอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) ส่งเสริมการพัฒนาขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนาระดับเทคโนโลยีสีเขียวของบริษัทต่าง ๆ ในชุมชน และสามารถนำเทคโนโลยีสีเขียวเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลสำเร็จ ตัวอย่างมาตรการและกิจกรรมภายใต้นโยบาย Green Deal ของสหภาพยุโรป ในการประชุมมีการนำเสนอถึงวิสัยทัศน์ของแผนนโยบาย Green Deal ซึ่งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุโรปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในปี ค.ศ. 2030 และ 2050 การจัดหาพลังงานสะอาดที่มีราคาย่อมเยา ความมั่นคงทางพลังงาน การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน การพัฒนาประสิทธิภาพทางพลังงานและทรัพยากร การเปลี่ยนถ่ายสู่สังคมไร้มลพิษ การรักษาและฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ยุทธศาสตร์พลาสติก “ยุทธศาสตร์พลาสติก (European Plastics Strategy)” โดยมุ่งปรับเปลี่ยนวิธีการออกแบบ การใช้ การผลิตและการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์พลาสติกในสหภาพยุโรป เน้นการออกแบบที่ดีขึ้น การเพิ่มอัตราการรีไซเคิลพลาสติก การสนับสนุนการรีไซเคิล และการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกในสหภาพยุโรปให้มีความยืดหยุ่นและมีศักยภาพในการแข่งขัน ปัจจุบันประเทศไทยมี แผนงานการจัดการขยะพลาสติกสำหรับปี 2561-2573 จัดทำโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายในการรีไซเคิลขยะพลาสติกเป้าหมายให้ได้ร้อยละ 100 ภายในปี 2570 เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว รวมถึงมาตรการลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง การนำหลักการด้านการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ในกระบวนการการผลิต ตลอดจนมาตรการจัดการขยะพลาสติกหลังการบริโภค ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายด้านขยะพลาสติดของสหภาพยุโรป อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thaiscience.eu/uploads/journal_20210416074155-pdf.pdf    
นานาสาระน่ารู้
 
ยูเนสโก ประกาศให้ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ของไทย เป็นพื้นที่ชีวมณฑล แห่งที่ 5 พร้อมเตรียมเดินหน้าพัฒนากลไกการท่องเที่ยวในพื้นที่ด้วยรูปแบบคนอยู่กับป่าอย่างสมดุล
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ของประเทศไทย เป็นพื้นที่ชีวมณฑล แห่งที่ 5 พร้อมเตรียมเดินหน้าพัฒนากลไกการท่องเที่ยวในพื้นที่ด้วยรูปแบบคนอยู่กับป่าอย่างสมดุล              นายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ที่ประชุมสภาประสานงานระหว่างชาติว่าด้วยโครงการด้านมนุษย์และชีวมณฑล (MAB-ICC) ครั้งที่ 33 โดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ณ เมืองอาบูจา สาธารณรัฐไนจีเรีย ได้ประกาศรับรองพื้นที่สงวนชีวมณฑลดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ของประเทศไทยเป็นพื้นที่ชีวมณฑล แห่งที่ 5 ของประเทศไทยและเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายพื้นที่สงวนชีวมณฑลโลก เนื่องจากพื้นที่ดอยหลวงเชียงดาวเป็นต้นแบบการทำงานที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง BCG Economy การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม แนวคิด เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆในระดับประเทศและสากลที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่และจังหวัดเชียงใหม่  โดยเฉพาะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆพัฒนากลไกในพื้นที่ด้วยรูปแบบคนอยู่กับป่าอย่างสมดุล ทั้งนี้ ดอยหลวงเชียงดาวมีความโดดเด่นด้านสังคมพืชกึ่งอัลไพน์ที่เชื่อมโยงกับสังคมพืชในเทือกเขาหิมาลัยทางตอนใต้ของจีน ภูมิประเทศเขาหินปูน ภูมิปัญญาเหมืองฝาย ตัวอย่างกลไกการจ่ายแทนคุณระบบนิเวศในพื้นที่บ้านปางมะโอ พื้นที่แกนกลางที่ได้รับการดูแลโดยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวมากว่า 40 ปี และศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ ด้วยการจัดการผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่เข้มข้น โดยเฉพาะเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอยหลวงเชียงดาว รวมถึง ยังเป็นแหล่งอาศัยที่ปลอดภัยของสัตว์ป่าสงวน เช่น กวางผา เลียงผา , สัตว์ป่าคุ้มครองอีกหลายชนิด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะค้นพบพืชและสัตว์ชนิดพันธุ์ใหม่ของโลกได้และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น วัฒนธรรมของชาวไทยใหญ่ ม้ง มูเซอ ลีซอ ปกากะญอ และวัฒนธรรมล้านนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แล้วยังมีความโดดเด่นการจัดการพื้นที่คุ้มครองเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่า โดยเฉพาะการอนุรักษ์กวางผาในถิ่นที่อยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวย้ำว่า การจัดการเชิงพื้นที่ดอยหลวงเชียงดาวรวม 536,931 ไร่ เป็นการกำหนดเขตเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดการที่ยั่งยืน โดยไม่กระทบกับการบังคับใช้กฎหมายและการปกครองที่มีอยู่ โดยพื้นที่แกนกลางและพื้นที่กันชนจัดการโดยใช้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มีคณะกรรมการที่ปรึกษาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ส่วนพื้นที่รอบนอกการบริหารจัดการเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของส่วนราชการภูมิภาคและท้องถิ่น คาดว่า จะเกิดประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่น ทั้งการถ่ายทอดความรู้ด้านธรรมชาติและวัฒนธรรม , การส่งเสริมการพัฒนาการให้บริการที่เป็นมืออาชีพด้านการท่องเที่ยวและการศึกษาธรรมชาติ , การเพิ่มช่องทางการตลาดของสินค้า ผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ผลิตในพื้นที่นำเสนอด้วยการควบคุมคุณภาพของสินค้าภายใต้การเป็นแหล่งสงวนชีวมณฑล , การรักษาสภาพแวดล้อมที่ดี และความอุดมสมบูรณ์ไว้ให้ประชาชน
BCG
 
ฟื้นฟู “ป่าชายเลน” สร้างเศรษฐกิจฐานราก ลดก๊าซเรือนกระจก
  ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนมากเป็นอันดับ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ไม่เพียงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในฐานะแหล่งอาหาร ยา พลังงาน และการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบ แต่ยังเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่สำคัญเพื่อลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย นักวิชาการมีการประเมินตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจไว้ว่า หากมีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดราว 1.73 ล้านไร่ทั้งทางตรงและทางอ้อม จะมีมูลค่าสูงถึงกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนอย่างยั่งยืน ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดการเสวนาเรื่อง “ป่าชายเลนคุณค่าต่อประเทศไทยและโลก” โดยมีผู้แทนจากส่วนงานต่างๆ มาร่วมสะท้อนทิศทางการดำเนินงานทั้งในแง่มุมการเพิ่มปริมาณพื้นที่ป่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม การอนุรักษ์ การสร้างแหล่งเรียนรู้ และการสร้างเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนพัฒนาตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)     “ป่าชายเลน” แหล่งอาหารและดูดซับก๊าซเรือนกระจก ศ. ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาความหลากหลายทางชีวภาพ ได้กล่าวเปิดการเสวนาด้วยการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของป่าชายเลนและสถานการณ์ภาพรวมว่า ป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมต่อระหว่างผืนดินกับน้ำทะเลในเขตร้อนและกึ่งร้อนของโลก ประเทศไทยมีแนวป่าชายเลนเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝั่งของประเทศ ฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จันทบุรีไปถึงปัตตานีมีความยาวของพื้นที่ประมาณ 2,000 กิโลเมตร และฝั่งอันดามันจากจังหวัดระนองถึงจังหวัดสตูลมีความยาวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร   [caption id="attachment_25861" align="aligncenter" width="700"] ศ. ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาความหลากหลายทางชีวภาพ[/caption]   “คุณค่าของป่าชายเลนไทย ไม่เพียงเป็นบ้านขนาดใหญ่สำหรับอนุบาลสัตว์น้ำชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นโรงครัวที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นกำแพงกันภัยธรรมชาติให้แก่คนชายฝั่ง โดยเฉพาะตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 อย่างไรก็ตามหากย้อนไปประมาณช่วง 30-60 ปีที่ผ่านมา น่าเสียดายว่าป่าชายเลนไทยเคยถูกรุกรานอย่างหนักเพื่อประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจจนพื้นที่ป่าหายไปกว่าครึ่ง แต่ด้วยประชาชนเริ่มมีความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของป่าชายเลนมากขึ้น จึงทำให้มีการฟื้นคืนป่าชายเลนเพิ่มขึ้นมาในช่วงระยะหลัง นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอีกกว่า 90 ประเทศ ในการเชื่อมโยงพื้นที่ป่าชายเลนของแต่ละประเทศให้เป็นป่าชายเลนของโลกในนามสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ (International Society for Mangrove Ecosystem หรือ ISME) ซึ่งจะมีบทบาทหน้าที่ในการร่วมฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน และการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงอีกด้วย”     เมื่อประชาคมโลกเกิดการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของป่าชายเลน ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยได้มีการดำเนินงานพัฒนาป่าชายเลนตามเป้าหมายหลายด้าน ทั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และการดำเนินงานตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อหยุดหรือชะลอปัญหาภาวะโลกร้อนให้ได้มากที่สุด ซึ่งประเทศไทยมีเป้าหมายที่ต้องบรรลุ คือ การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ภายในปี 2573   ป่าชายเลน ความหวังไทยลดการปล่อย CO2 จากปัญหาภาวะโลกร้อนและการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศที่มากเกินไป ได้นำมาสู่ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการปลูกป่าโดยเฉพาะป่าชายเลนถือเป็นความหวังสำคัญในการนำมาใช้แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต หรือใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองจากการปลูกป่าในพื้นที่รัฐดูแล   [caption id="attachment_25859" align="aligncenter" width="500"] นางพูลศรี วันธงไชย ผู้อำนวยการส่วนวิจัยทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช.[/caption]   นางพูลศรี วันธงไชย ผู้อำนวยการส่วนวิจัยทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช. เล่าถึงแผนงานนโยบายด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูและระเบียบการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตของพืชป่าชายเลนว่า หนึ่งในแผนงานที่ ทช. กำลังดำเนินงานคือการทำให้เกิดการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนอย่างยั่งยืน โดยกรมได้ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. และหน่วยงานพันธมิตร สร้างกลไกเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับภารกิจนี้ คือการปลูกป่าชายเลนเพื่อคาร์บอนเครดิต เพราะมีข้อมูลการวิจัยจากต่างประเทศรายงานว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าป่าชนิดอื่น 2-4 เท่า โดยจะกักเก็บคาร์บอนไว้ในมวลชีวภาพที่อยู่ในลำต้น ราก ซากไม้ตาย และที่สำคัญคือการกักเก็บอยู่ในดิน     “การดำเนินงานปลูกป่าชายเลนของภาคเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นคาร์บอนเครดิตจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ภายใต้ระเบียบ ทช. ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก พ.ศ. 2564 ซึ่งดำเนินการร่วมกัน 3 ฝ่าย มีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยองค์กรหรือบุคคลภายนอกจะเป็นผู้ปลูกและออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ทช. จะเป็นผู้กำกับดูแล และอบก. มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต ซึ่งการปลูกป่าจะต้องดูแลอย่างน้อย 6 ปี หลังครบ 6 ปี ผู้พัฒนาโครงการฯ ต้องมีการเสนอแผนนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการฟื้นคืนหรือเพิ่มปริมาณผืนป่า และมีการส่งเสริมอาชีพให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในชุมชน ส่วนการปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิต จะต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยผู้พัฒนาโครงการฯ ได้คาร์บอนเครดิต 90% ทาง ทช. ได้ 10% และเป็นโครงการฯ ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 24 เมษายน 2564 ตามเงื่อนไขข้อตกลงกับทาง ทช. เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของ ทช. ส่วนระเบียบและขั้นตอนขึ้นทะเบียนและการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของ อบก. ซึ่งจะมีกระบวนการคิดคาร์บอนเครดิตเป็นแบบภาคสมัครใจ และสามารถนำไปใช้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ การใช้หักลบจำนวนการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบขององค์กร หรือใช้จำหน่ายเป็นเครดิต เป็นต้น”   ป่าชายเลนหล่อเลี้ยงชุมชน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก แม้คุณค่าของป่าชายเลนและเงื่อนไขในการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตจะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยกันฟื้นฟูเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น แต่มิติสำคัญที่จะนำมาซึ่งการดูแลอนุรักษ์ป่าชายเลนไว้ได้อย่างยั่งยืน คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีรายได้จากการใช้ประโยชน์ป่าชายเลน   [caption id="attachment_25856" align="aligncenter" width="700"] นายไชยภูมิ สิทธิวัง ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช.[/caption]   นายไชยภูมิ สิทธิวัง ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช. เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า ทช. ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและชุมชนโดยรอบป่าชายเลนในการดำเนินงานส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนจากฐานทรัพยากรป่าชายเลนในท้องถิ่น ทั้งการศึกษารวบรวมองค์ความรู้ การเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพัฒนาต่อยอดเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน ทั้งทางด้านสัตว์น้ำเศรษฐกิจ พืชอาหาร พืชสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากพืชป่าชายเลน รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในป่าชายเลน เช่น การนำพืชป่าชายเลนกว่า 20 ชนิด มาทำเป็นอาหารกว่า 70 เมนู การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรกว่า 30 ชนิด การทำประมงชายฝั่งแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ไม้ป่าชายเลนผลิตเป็นถ่านหุงต้มคุณภาพสูง และการผลิตไม้ป่าชายเลนเพื่อเป็นไม้ดอกไม้ประดับหรือไม้ให้ร่มเงาที่มีราคาสูง เป็นต้น ถือได้ว่าป่าชายเลนเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้หล่อเลี้ยงคนในพื้นที่     อย่างไรก็ตามด้านองค์ความรู้ในการใช้ประโยชน์จากพืชป่าชายเลนตอนนี้ยังขาดผู้เชี่ยวชาญจากแขนงต่างๆ มาร่วมบูรณาการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรที่ชุมชนมีเป็นต้นทุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าและช่องทางการตลาดให้แก่ผลิตภัณฑ์จากป่าชายเลน เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากมีการเติบโตอย่างมั่นคง เป็นไปตามเป้าหมายการดำเนินงานของ ทช.   เทคโนโลยีจีโนมิกส์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ป่าชายเลนเสี่ยงสูญพันธุ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางความพยายามฟื้นฟูป่าชายเลน ยังคงมีการบุกรุกเข้าใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่งผลให้ป่าชายเลนที่เป็นป่าธรรมชาติลดลง พันธุ์ไม้ชายเลนหลายชนิด โดยเฉพาะชนิดที่กระจายพันธุ์ได้น้อย และพบเฉพาะถิ่นเริ่มหายากและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์   [caption id="attachment_25862" align="aligncenter" width="500"] ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช.[/caption]   ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช. เล่าถึงความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ ทช. ในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนไทยว่า ปัจจุบัน สวทช. โดย NOC ได้นำเทคโนโลยีจีโนมิกส์มาใช้ในการศึกษาถอดรหัสพันธุกรรมของพืชป่าชายเลนไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural selection) รวมถึงการปรับตัวในระดับพันธุกรรมของพืชแต่ละชนิดเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นยังได้มีการวิเคราะห์จีโนมพืชป่าชายเลนที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในปัจจุบัน ดังปรากฏใน IUCN Red List เช่น พังกาถั่วขาว (Bruguiera hainesii) ที่อยู่ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (Critically Endangered หรือ CR) มีเหลืออยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 100 ต้น     “นักอนุกรมวิธานได้วิเคราะห์ลักษณะต่างๆ ของพังกาถั่วขาวไว้ว่า มีลักษณะผสมกันระหว่างพังกาหัวสุมดอกแดง และถั่วขาว ผลการศึกษาทางพันธุศาสตร์พบว่าขนาดจีโนมของพังกาถั่วขาวใหญ่กว่าตัวพ่อแม่ และมีจำนวนยีนมากกว่าเกือบ 2 เท่า โดยพบหลักฐานว่าบางโครโมโซมในพังกาถั่วขาวนั้นมาจากถั่วขาว และบางโครโมโซมนั้นมาจากพังกาหัวสุมดอกแดง ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาความหลากหลายทางธรรมชาติของพืชกลุ่มถั่วนี้ ทั้งนี้องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยด้วยเทคโนโลยีจีโนมิกส์ จะมีการนำมาขยายผลด้านงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนไทยต่อไปในอนาคต”   สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนฯ ร.๙ แหล่งเรียนรู้สู่ความยั่งยืน ประเด็นสุดท้ายที่มีการนำมาพูดคุยในการเสวนาครั้งนี้คือการจัดสรรพื้นที่สร้างความตระหนักรู้แก่ประชากรไทยและประชากรโลกถึงความสำคัญของป่าชายเลน ด้วยการสร้างแหล่งเรียนรู้ระดับสากล สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนแห่งแรกของโลก   [caption id="attachment_25857" align="aligncenter" width="700"] นายชาตรี มากนวล ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ ทช.           [/caption]   นายชาตรี มากนวล ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ ทช. เล่าถึงความเป็นมาของสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ จังหวัดจันทบุรีแห่งนี้ว่า มีการสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยสวนแห่งนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่รวบรวมองค์ความรู้และพรรณไม้ป่าชายเลนจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกมาจัดแสดง เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสถานที่พักผ่อนทางธรรมชาติให้แก่คนไทยและต่างชาติ โดยสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ อาคารนิทรรศการให้ความรู้ โรงเรือนจัดแสดงพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทั้งของไทยและต่างประเทศ และทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีทางเดินชมเรือนยอดไม้ป่าชายเลน หอชมวิว และเส้นทางปั่นจักรยาน ซึ่งคาดว่าอาคารนิทรรศการให้ความรู้จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ. 2565 ก่อนจะทยอยเปิดส่วนอื่นๆ ต่อไป     ทั้งหมดนี้คือทิศทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ป่าชายเลนไทย เพื่อรักษาฐานทุนทางทรัพยากรให้คงความสมบูรณ์ และก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการคุ้มครอง ป้องกัน ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ ให้เกิดการสร้างรายได้ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ เคาะแผนด้านการอุดมศึกษา และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี 66-70 เสนอเพิ่มความท้าทายช่วยขยับไทยก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2570
สภานโยบายการอุดมศึกษาฯ เคาะแผนด้านการอุดมศึกษา และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปี 66-70 เสนอเพิ่มความท้าทายช่วยขยับไทยก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2570 พร้อมเห็นชอบข้อเสนอเตรียมแยกตัวหน่วยงานบริหารและจัดการทุนเฉพาะด้าน เป็นองค์การมหาชนเชื่อช่วยพัฒนาและสร้างศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตและเข้มแข็ง เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564 สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สนอว.) จัดการประชุม ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (ดร.วิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์) เป็นรองประธาน พร้อมด้วยรัฐมนตรี ผู้บริหารจากกระทรวงฯ หน่วยงานต่างๆ และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วม ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงระเบียบวาระแห่งชาติการพัฒนาเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับระเบียบวาระแห่งชาติ บีซีจี โมเดล เป็นอย่างมาก และยังยกให้เป็นหัวข้อในการประชุม APEC ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในปีหน้า ซึ่งกระทรวง อว. เป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องนี้ โดยมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานตามลำดับ ทั้งการพัฒนาประเทศสู่ Carbon Neutrality ตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี รวมถึงการสื่อสารให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี อ่านข่าวทั้งหมดได้ที่ https://www.thailandplus.tv/archives/374161
BCG
 
นายกฯ เดินหน้าพลิกโฉมประเทศสั่งเดินหน้าส่งเสริมแนวทาง BCG-นวัตกรรมท้องถิ่น
เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ว่า การพลิกโฉมประเทศ ถือเป็นวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรี จึงขอให้ส่วนราชการดำเนินการให้ครอบคลุมทุกด้าน เพื่อเดินหน้าลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกันจะต้องช่วยกันส่งเสริมสินค้าใหม่ๆ เพื่อการส่งออกตามแนวทางเศรษฐกิจตามโมเดล BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) รวมทั้งให้ความสำคัญนวัตกรรมท้องถิ่นให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 13 อ่านข่าวต่อได้ที่ : https://www.infoquest.co.th/2021/126034
BCG
 
วธ.เปิดมิติใหม่ตามนโยบาย BCG – Soft Power ของรัฐบาล ยกชุมชนยลวิถีบุรีรัมย์เชื่อม “นครชัยบุรินทร์” หนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่น
วธ.เปิดมิติใหม่ตามนโยบาย BCG - Soft Power ของรัฐบาล ยกชุมชนยลวิถีบุรีรัมย์เชื่อม “นครชัยบุรินทร์” หนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่น นำมิติวัฒนธรรมช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศหลังโควิดคลี่คลาย เตรียมขยายไปยังกลุ่มจังหวัดอื่นๆต่อไป นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีนโยบายขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย "ปัญญา” "สร้างสรรค์" เพื่อสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยให้ประสบความสำเร็จ เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งศิลปหัตถกรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนที่มี "อัตลักษณ์" ของตนเอง นำมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของคนไทย ก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี และผลักดัน "Soft Power" ไทยด้วยการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดสร้างสรรค์สินค้าและบริการ (Creative Culture) เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งในเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของ วธ. ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง วธ. ได้นำร่องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเชื่อมโยงเส้นทางในกลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” บูรณาการของจังหวัดในภาคอีสานตอนใต้ 4 จังหวัด ประกอบด้วยนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เพื่อส่งเสริมให้เป็นเขตอุตสาหกรรมและเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า ล่าสุด วธ. ได้คัดเลือกชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วย พลัง บวร ที่มีศักยภาพและความพร้อมด้านการท่องเที่ยวทุกมิติตามโครงการ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” โดย 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ คือ ชุมชนคุณธรรมฯบ้านโคกเมือง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ สามารถสร้างความพร้อมด้านการท่องเที่ยว นำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเป็นสินค้า บริการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นตัวอย่างให้ชุมชนอื่นได้ โดยมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวิถีวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น ปราสาทเมืองต่ำ ปราสาทเขาปลายบัค กุฏิฤาษีและสามารถเชื่อมโยงไปยังอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อีกทั้งจังหวัดบุรีรัมย์มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ นับว่ามีศักยภาพในการนำศิลปวัฒนธรรมไทยมาสร้างสรรค์ เป็น soft power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในระดับโลก โดยมีตัวอย่างเช่น MV เพลง “LALISA” ของลลิษา มโนบาลหรือลิซ่า นักร้องสายเลือดไทยและหนึ่งในสมาชิกวง BLACKPINK เกาหลีใต้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้มีฉากส่วนหนึ่งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ทำให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายสู่ระดับโลก ทั้งนี้ วธ.จะขยายการพัฒนาต่อยอดงานท่องเที่ยววัฒนธรรมตามโมเดลข้างต้นไปยังกลุ่มจังหวัดอื่นๆ และ 9 สุดยอดชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ต่อไป ประกอบด้วย 1.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านโนนบุรี จ.กาฬสินธุ์ 2.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านศรีดอนชัย จ.เชียงราย 3.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านสามช่องเหนือ จ.พังงา 4.ชุมชนคุณธรรมฯ วัดศรีดอนคำ จ.แพร่ 5.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านผาบ่อง จ.แม่ฮ่องสอน 6.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเก่าริมน้ำประแส จ.ระยอง 7.ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านท่ามะโอ จ.ลำปาง 8.ชุมชนคุณธรรมฯ วัดบางใบไม้ จ.สุราษฎร์ธานีและ9.ชุมชนคุณธรรมฯ เมืองลับแล จ.อุตรดิตถ์ โดยวธ. อยู่ระหว่างจัดทำ Mobile Application “เที่ยวเท่ๆ เสน่ห์เมืองไทย” ทั้งในระบบ iOS และ Android ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่โดดเด่น ร้านอาหาร สินค้าทางวัฒนธรรม และที่พัก ฯลฯ จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมจัดทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละจังหวัด ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือ ของ วธ. กับกระทรวงต่างๆ หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคธุรกิจ สมาคมและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบันเทิง จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และวธ. นำมิติวัฒนธรรมไปช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลาย ที่มาข้อมูล : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45839
BCG
 
นายกฯ พร้อมผลักดัน “Soft Power” ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก
นายกฯ พร้อมผลักดัน "Soft Power" ไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ Creative Economy อยู่ในโมเดลเศรษฐกิจ BCG แล้ว มั่นใจคนไทยมีฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ระดับโลก เช่น MV ลิซ่า นำงานหัตถศิลป์ไทยโชว์ทั่วโลก เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีความชื่นชมและภูมิใจนักออกแบบไทยสามารถนำวิจิตรศิลป์ของไทยในแขนงต่าง ๆ มาสร้างสรรค์ร่วมกับอุตสาหกรรมบันเทิงสมัยใหม่ ตรงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งคือการผลักดัน "Soft Power" ไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ รัฐบาลเร่งเดินหน้าส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยใน 15 สาขา คือ 1) งานฝีมือและหัตถกรรม 2) ดนตรี 3) ศิลปะการแสดง 4) ทัศนศิลป์ 5) ภาพยนตร์ 6) การแพร่ภาพและกระจายเสียง 7) การพิมพ์ 8) ซอฟต์แวร์ 9) การโฆษณา 10) การออกแบบ 11) การให้บริการด้านสถาปัตยกรรม 12) แฟชั่น 13) อาหารไทย 14) การแพทย์แผนไทย 15) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ผลักดันวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5 F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) 4.มวยไทย (Fighting) และ 5.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณีสู่ระดับโลก (Festival) เชื่อว่ายังจะเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมส่งออกสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังยุคโควิด -19 ที่สำคัญของไทยด้วย นายธนกรฯ กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้กำหนดโมเดล BCG ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจด้วย "ปัญญา” "สร้างสรรค์" มีความมั่นใจว่า เศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากไทยมีจุดเด่นและความพร้อมด้านทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งศิลปหัตถกรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนที่มี "อัตลักษณ์" ของตนเอง นำมาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือของคนไทย ก่อให้เกิดมูลค่าเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ล่าสุด จากกระแสความชื่นชม MV ของศิลปินลิซ่า ที่มีการสอดแทรกงานหัตถศิลป์ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย มียอดผู้ชมกว่า 100 ล้านวิวแล้ว เชี่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงและออกแบบแฟชั่นไทย ในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอด เป็นสินค้า/บริการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ ไทยมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาครองรับอยู่แล้ว "ท่านนายกรัฐมนตรีชื่นชมความสำเร็จของศิลปินไทย ทุกสาขาศิลปะ ดนตรี ภาพยนต์ ออกแบบดีไซน์ รวมถึงบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง สะท้อนให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก จนประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะช่วยจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทยและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ในการนำศิลปวัฒนธรรมไทยมาสร้างสรรค์เป็น soft power เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและให้เป็นที่รู้จักและเผยแพร่ในระดับโลก" นายธนกรฯ กล่าว ที่มาข้อมูล : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45753
BCG
 
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มิถุนายน 2564
วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มิถุนายน 2564 วัคซีน วัคซีน คือ การให้สารที่เตรียมขึ้นจากเชื้อหรือสารประกอบของเชื้อเข้าไปในร่างกาย เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิแอนติบอดีฆ่าเชื้อโรค และสามารถจดจำได้ว่าเป็นสารก่อโรคซึ่งจะมีกลไกการทำลายต่อไป ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะจดจำคุณสมบัติการแอนติเจน ทำให้ร่างกายสามารถกำจัดแอนติเจนได้รวดเร็วขึ้นหากได้รับอีกในภายหลัง การพัฒนาและการขออนุมัติการใช้วัคซีน           การออกใบอนุญาตการใช้วัคซีนอย่างเป็นทางการ เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานอาจถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้น โดย Food and Drug Administration หรือ (FDA) กำหนดให้วัคซีนต้องผ่านการทดลองทางคลินิกกับอาสาสมัครในมนุษย์ 3 ขั้นตอนก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ในประชาชนทั่วไป ขั้นที่ 1 (Phase 1): ทดสอบในอาสาสมัครเพียง 20 – 100 คน ใช้เวลาไม่กี่เดือน เพื่อประเมินความปลอดภัยขั้นพื้นฐานและระบุปฏิกิริยาที่พบ ขั้นที่ 2 (Phase 2): ทดสอบในกลุ่มอาสาสมัครขนาดใหญ่ จำนวนหลายร้อยคน ระยะเวลาหลายเดือนถึงสองปี เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพ เพื่อกำหนดองค์ประกอบของวัคซีน จำนวนครั้งที่ควรได้รับวัคซีน และรายละเอียดของปฏิกิริยาทั่วไปที่เกิดขึ้น ขั้นที่ 3 (Phase 3): หากผลการทดสอบขั้น 2 ไม่เกิดปัญหาสุขภาพใด จึงจะดำเนินการทดสอบในขั้นที่ 3 โดยขยายกลุ่มอาสาสมัครจำนวนหลายพันถึงหลายหมื่นคน การทดลองเหล่านี้จะใช้เวลาหลายปี เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มที่ได้รับวัคซีนกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน หากผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ผู้ผลิตจะต้องยื่นคำขออนุญาต Biologics License Application (BLA) ต่อ FDA ฉลากบนผลิตภัณฑ์ โรงงานและขั้นตอนการผลิต เมื่อผ่านกระบวนการพิจารณาแล้ว วัคซีนนั้นจะได้รับอนุญาตให้ใช้กับประชากรทั่วไปได้ การอนุญาตการใช้ในกรณีฉุกเฉิน Emergency Use Authorization : EUA การอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) เป็นการใช้มาตรการทางการแพทย์ รวมถึงการใช้วัคซีนกรณีฉุกเฉิน หมายถึงการอนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ยังไม่ผ่านการรับรองทางการในกรณีฉุกเฉินเพื่อวินิจฉัย บำบัด หรือป้องกันโรคร้ายแรงหรือคุกคามถึงชีวิต โดยที่ผ่านมา การอนุญาตให้มีการใช้กรณีฉุกเฉิน ได้แก่ โรคแอนแทรกซ์ อีโบลา เอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H7N9 และกลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจในตะวันออกกลาง (Middle East Respiratory Syndrome – MERS) จะต้องมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า - เกิดภาวะที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต -หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของวัคซีนหรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต้องมีความน่าเชื่อถือ ว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้ในการวินิฉัย บำบัด บรรเทา หรือป้องกันภาวะที่ร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ -มีการวิเคราะห์ความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น FDA จะพิจารณาผลประโยชน์และศักยภาพของผลิตภัณฑ์ กับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากหลักฐานและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ -ไม่มีทางเลือกอื่น : ยังไม่มีวัคซีนหรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ใด ๆ ในปัจจุบัน เพื่อให้เป็นทางเลือกอื่น สำหรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด -19 FDA ได้อธิบายเงื่อนไขโดยเชิงประสิทธิภาพต้องสามารถลดการติดเชื้อโควิดได้อย่างน้อย 50% ในเชิงความปลอดภัย ต้องมีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียดอย่างน้อย 2 เดือน วัคซีนป้องกันโควิด – 19           วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปัจจุบัน มีทั้งที่ฉีดเข็มเดียว และที่จำเป็นต้องฉีด 2 เข็ม สำหรับวัคซีนที่ต้องฉีด 2 เข็มนั้น เข็มแรกเป็นการแนะนำให้ร่างกายเรารู้จักแอนติเจน หรือโปรตีนของแปลกปลอมที่กระตุ้นให้ร่างกายผลิตแอนติบอดีในระบบภูมิคุ้มกันเป็นครั้งแรก นักวิทยาศาสตร์เรียกกระบวนการนี้ว่า priming the immune response เข็มที่ 2 ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นเพื่อให้แน่ใจว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราจะมีพัฒนาการตอบสนองของหน่วยความจำเพื่อต่อสู้กับไวรัสเมื่อพบกันอีกครั้ง วัคซีนป้องกันโควิด-19 ในปัจจุบัน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ฉีดห่างกันประมาณ 21-28 วัน (3-4 สัปดาห์) หรือบางประเภท 42 วัน หรืออาจถึง 12 สัปดาห์ วัคซีนที่ใช้ในปัจจุบัน Pfizer/BioNTech, Moderna, AstraZeneca, Johnson & Johnson, Sinovac และ Sputnik V เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่พัฒนาและนำมาใช้ป้องกันเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 โดยแบ่งประเภทของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตวัคซีน ประเภทของวัคซีนป้องกันโควิด – 19 เทคนิค mRNA (mRNA Technology)           เทคโนโลยี mRNA ที่ใช้ในการผลิตวัคซีน เป็นการใช้กรดนิวคลีอิกที่เป็นส่วนหนึ่งของสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยขั้นแรก DNA จะถูกเปลี่ยนเป็น RNA ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวเพื่อสร้างโปรตีนเฉพาะที่ส่งชุดคำสั่งเฉพาะไปยังเซลล์ของเรา ให้สร้างโปรตีนที่เราต้องการให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรารับรู้และตอบสนอง การใช้ไวรัสเป็นพาหะ (viral vector vaccine)           โดยใช้หลักการฝากสารพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 เข้าไปในไวรัสพาหะชนิดอื่น ๆ เช่น Adenovirus เพื่อนำเข้าไปในร่างกายมนุษย์ ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ได้แก่ วัคซีนบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษ Johnson & Johnson ของสหรัฐฯ และ  Sputnik V ของรัสเซีย ข้อดีของวัคซีนกลุ่มนี้ คือ เป็นวัคซีนที่เลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ ผลิตได้ง่าย เร็ว ราคาไม่สูง ข้อด้อย คือ ยังไม่มีประสบการณ์ใช้ในวงกว้าง และในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสที่ใช้เป็นพาหะมาก่อน วัคซีนอาจกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ไม่ดีมากนัก วัคซีนของ AstraZeneca หรือ AZD1222 ที่คิดค้นโดยบริษัท AstraZeneca ร่วมกับ University of Oxford ใช้ไวรัส Adenovirus ของลิงชิมแปนซี เป็นไวรัสพาหะ จาการศึกษาวิจัยพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพเฉลี่ย 70% โดยให้วัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การเก็บรักษาเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศา (อย่างน้อย 6 เดือน) ปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนนี้จาก University of Oxford วัคซีน Janssen หรือ AD26.COV2.5 ที่ผลิตโดยบริษัทยา Johnson & Johnson (J&J) ใช้ Adenovirus 26 เป็นไวรัสพาหะ วัคซีนนี้เป็นวัคซีนโควิด-19 ชนิดเดียวที่ฉีดเพียง 1 เข็ม สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีแล้ว มีประสิทธิภาพ 66% ในการป้องกันโควิด-19 แบบที่มีอาการ และมีประสิทธิภาพ 85% ในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง วัคซีน Sputnik V ค้นคว้าและพัฒนาโดยสถาบันวิจัย Gamaleya รัสเซีย ที่ใช้ชื่อเดียวกับดาวเทียมดวงแรกของโลกที่รัสเซียส่งขึ้นไปในอวกาศ Sputnik V ใช้ Adenovirus 5 สำหรับวัคซีนเข็มที่ 1 และ Adenovirus 26 สำหรับวัคซีนเข็มที่ 2 โดยฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสได้นาน 2 เดือน วัคซีนมีประสิทธิภาพสูง 92% กับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมของจีน และสายพันธุ์ Alpha (สายพันธุ์อังกฤษ) อัลฟาซึ่งระบาดในวงกว้าง และสร้างภูมิคุ้มกันได้ประมาณ 90% สำหรับสายพันธุ์ Delta (พันธุ์อินเดีย) แต่ไม่ได้ผลดีนักในสายพันธุ์ Beta (พันธุ์แอฟริกาใต้) วัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine) ผลิตโดยการใช้ไวรัส SARA-CoV-2 ที่ถูกทำให้อ่อนแรงหรือตายแล้ว ได้แก่ วัคซีน CoronaVac และวัคซีน Sinopharm ของจีน ข้อดี คือ ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีมานาน แต่ข้อจำกัด คือ ราคาวัคซีนค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องเพาะเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการที่มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพระดับสูง (Biosafety level 3) วัคซีน CoronaVac เป็นของบริษัท SinoVac Life Sciences ใช้เชื้อตายสายพันธุ์ CZ02 พบว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 อยู่ที่ 51-84% อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดที่ทำให้วัคซีนนี้ ถูกลดความน่าเชื่อถือลงไปมากคือมีศักยภาพในการป้องกันโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ต่ำ และมีอัตราการลดระดับของภูมิต้านทานรวดเร็ว วัคซีน Sinopharm หรือ BBIBP-CorV พัฒนาโดยสถาบัน Beijing Bio-Institute of Biological Products ใช้เชื้อตายสายพันธุ์ WIV04 (สายพันธุ์อู่ฮั่น) และ HB02 (สายพันธุ์ปักกิ่ง) พบว่า มีประสิทธิภาพโดยรวม 79% สามารถป้องกันอาการรุนแรงได้ 100% โดยให้วัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ วัคซีนแบบใช้โปรตีน (protein-based vaccine) Pfizer ชื่อวัคซีน : BNT162b2P บริษัทผู้ผลิต : Pfizer, สหรัฐอเมริการ และ BioNtech เยอรมัน เทคโนโลยีการผลิต : mRNA จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 3 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 12 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวด บวมแดงบริเวณจุดที่ฉีด หนาวสั่น ปวดหัว ร่างกายอ่อนเพลีย ราคาต่อโดส : 570-607 บาท Moderna ชื่อวัคซีน : mRNA-1273 บริษัทผู้ผลิต : Moderna, สหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีการผลิต : mRNA ประสิทธิภาพการป้องกัน : 94.1% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 4 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวด บวมแดงบริเวณจุดที่ฉีด หนาวสั่น ปวดหัว ร่างกายอ่อนเพลีย ราคาต่อโดส : 450-750 บาท Johnson & Johnson ชื่อวัคซีน : JNJ-78436735 บริษัทผู้ผลิต : Janseen Phamaceutical Companies of Johnson & Johnson, สหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีการผลิต : Viral Vector จำนวนโดส : 1 โดส อายุที่ฉีดได้ : 18 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวดบริเวณจุดที่ฉีด ปวดหัว มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ AstraZeneca ชื่อวัคซีน : AZD1222, ChAdOx1 nCoV-19 บริษัทผู้ผลิต : Oxford University และ AstrzZeneca อังกฤษ เทคโนโลยีการผลิต : Viral Vector ประสิทธิภาพการป้องกัน : 70.4%-82.4% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 4-12 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวดบริเวณจุดที่ฉีด หนาวสั่น ปวดหัว มีไข้ ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ราคาต่อโดส : 300-314 บาท S-Putnik V ชื่อวัคซีน : Spuntnik V บริษัทผู้ผลิต : Gamaleya Research Institute of Epidemiology and Microbiology, รัสเซีย เทคโนโลยีการผลิต : Viral Vector ประสิทธิภาพการป้องกัน : 91.1%-91.5% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 3 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวด/บวม/แดงบริเวณจุดที่ฉีด ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ ผื่นขึ้น ร่างกายอ่อนเพลีย ราคาต่อโดส : 311-405 บาท SINOVAC ชื่อวัคซีน : CoronaVac บริษัทผู้ผลิต : Sinovac Biotech Ltd., จีน เทคโนโลยีการผลิต : Inactivated virus ประสิทธิภาพการป้องกัน : 49.6%-50.7% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 2 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 – 60 ปี ผลข้างเคียง : ปวดบริเวณจุดที่ฉีด ปวดหัว อาการชาคล้ายอัมพาต ราคาต่อโดส : 427 - 934 บาท SINOPHARM ชื่อวัคซีน : BBIBP-CorV บริษัทผู้ผลิต : Sinopharm’s Beijing Institute of Biological Products, จีน เทคโนโลยีการผลิต : Inactivated virus ประสิทธิภาพการป้องกัน : 79.3% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 3 - 4 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 – 60 ปี ผลข้างเคียง : ปวด/บวม/แดงบริเวณจุดที่ฉีด ปวดหัว มีไข้ ผื่นขึ้น ปวดกล้ามเนื้อ ราคาต่อโดส : 934 – 1,123 บาท NOVAVAX ชื่อวัคซีน : NVX-CoV2373 บริษัทผู้ผลิต : Novava, สหรัฐอเมริกา เทคโนโลยีการผลิต : Protein-based vaccine ประสิทธิภาพการป้องกัน : 96% จำนวนโดส : 2 โดส ห่างกัน 3 สัปดาห์ อายุที่ฉีดได้ : 18 ปีขึ้นไป ผลข้างเคียง : ปวด/บวม/แดงบริเวณจุดที่ฉีด ปวดหัว มีไข้ ปวดกล้ามเนื้อ ราคาต่อโดส : คาดว่าราคาจะอยู่ที่ราว 16 เหรียญสหรัฐฯ ต่อโดส หรือประมาณ 530 บาท โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีน เดลตาพลัส (Delta Plus) และ แลมบ์ดา (Lambda) เดลตาพลัส (Delta Plus) เดลตาพลัสมีลักษณะคล้ายสายพันธุ์เดลตา แต่มีการกลายพันธุ์เพิ่มที่เรียกว่า K417N ที่โปรตีนหนาม ที่ช่วยให้เชื้อไวรัสสามารถยึดเกาะกับเซลล์ที่ติดเชื้อได้ดีขึ้น และทนทานต่อการรักษาด้วยแอนติบอดีชนิดโมโนโคลน (monoclonal antibody therapy) ซึ่งเป็นการให้แอนติบอดีทางเส้นเลือดเพื่อฆ่าไวรัส ปัจจุบันพบเดลตาพลัสใน 9 ประเทศคือ สหรัฐฯ อังกฤษ โปรตุเกส สวิสเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น โปแลนด์ รัสเซีย และจีน แต่ทั้งนี้ นักไวรัสวิทยาระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่สนับสนุนข้อมลดังกล่าว และ WHO ก็ยังไม่ได้จัดให้เดลตาพลัสอยู่ในกลุ่มเชื้อกลายพันธุ์ที่น่ากังวลหรือน่าจับตามองแต่อย่างใด แลมบ์ดา (Lambda)           สำหรับสายพันธุ์แลมบ์ดา (Lambda) WHO จัดให้อยู่ในกลุ่มเชื้อกลายพันธุ์ที่น่าจับตามอง และเริ่มมีการแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น ตรวจพบครั้งแรกเดือนสิงหาคม 2563 ในเปรู สูงถึง 81% รวมทั้งประเทศชิลี เม็กซิโกและอาร์เจนตินาอีกด้วย ไวรัสสายพันธุ์นี้มียีนกลายพันธุ์ซับซ้อนหลายตำแหน่ง เมื่อเทียบกับพันธุกรรมของไวรัสโควิดดั้งเดิมที่พบครั้งแรกที่นครอู่ฮั่น พบการกลายพันธุ์ถึง 7 จุดบนโปรตีนที่เป็นส่วนหนามของไวรัส ทำให้กลายเป็นสายพันธุ์ที่มีศักยภาพสูงที่จะให้เกิดการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กของสหรัฐฯ เผยแพร่ผลการศึกษาโดยระบุว่าสายพันธุ์นี้มีความสามารถในการต้านทานแอนติบอดีจากวัคซีนสูงกว่าไวรัส SARS-CoV-2 แบบดั้งเดิม 3.3 เท่า และเมื่อทดลองใช้วัคซีนป้องกันโควิดชนิด mRNA (Pfizer และ Moderna) กับไวรัสสายพันธุ์แลมบ์ดา ผลปรากฏว่าไวรัสมีความสามารถต้านทานแอนติบอดีจากวัคซีนต่ำลงกว่าเดิม โดยอยู่ในเกณฑ์ที่วัคซีน mRNA ซึ่งใช้กันอยู่ทั่วไป จะสามารถรับมือไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้ได้ ประสิทธิภาพการป้องกันของวัคซีน วัคซีนตัวไหนมีประสิทธิภาพดีกว่ากัน เปอร์เซ็นต์ประสิทธิภาพเป็นเพียงตัวเลขที่บอกผลการทดสอบระยะที่ 3 ในอาสาสมัครว่า วัคซีนแต่ละประเภทให้ผลการทดสอบอย่างไรในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งวัคซีนแต่ละตัว ทำการศึกษาทดสอบในปัจจัยที่แตกต่างกัน ทดลองในอาสาสมัครกลุ่มต่างกัน จำนวนอาสาสมัครและทดสอบในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น - Pfizer ทดสอบในอาสาสมัครจำนวนมากกว่า 43,000 คน ในสหรัฐฯ เยอรมนี ตุรกี แอฟริกาใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา - Moderna ทดสอบในอาสาสมัครจำนวนกว่า 30,000 คน ในสหรัฐฯ - AstraZeneca ทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 32,000 คน ในอังกฤษ บราซิล แอฟริกา อินเดีย ฮ่องกง อาร์เจนตินา ชิลี โคลอมเบีย เปรู สหรัฐฯ และรัสเซีย - Sinovac ทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 30,000 คน ในบราซิล ชิลี อินโดนีเซีย ตุรกี จีน ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้น คือ การป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย ทั้งไม่มีอาการ อาการไม่รุนแรง อาการรุนแรง การเข้ารักษาในโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต วัตถุประสงค์หลักของการฉีดวัคซีน หมายถึง การป้องกันการเกิดอาการรุนแรง และการเสียชีวิต สถานการณ์ความเคลื่อนไหวด้านเศรษฐกิจและการฟื้นฟู           องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้คาดการณ์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2564 ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยให้เหตุผลว่าตัวแปรสำคัญนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ผลักดันโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ช่วยให้โลกฟื้นตัวจากวิกฤตเร็วขึ้น มีผลให้การเติบโตของ GDP โลกเพิ่มขึ้น 1% ในปี 2564 เห็นได้จากที่ผู้คนกลับมาลงทุนมากขึ้น ธนาคาร และสายการบิน เริ่มกลับมา อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2021/ost-sci-review-jun2021.pdf  
นานาสาระน่ารู้
 
ห้ามพลาด! นี่คือทักษะที่คนหนุ่มสาวต้องมี ถ้าอยากทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Jobs) ในอนาคต
ตำแหน่งงานในภาคเกษตรกรรม สถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ต้องการทักษะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่คนหนุ่มสาวเกือบครึ่งกลับรู้สึกว่าตนเองไม่มีทักษะที่เหมาะสมกับตำแหน่งงานเหล่านี้ ขณะที่ในรายงาน Future of Jobs ของ World Economic Forum ประจำปี 2563 นายจ้างคาดการณ์ว่าพนักงาน 4 ใน 10 คนจะต้องได้รับการปรับทักษะใหม่ ดังนั้นการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในการเลือกอาชีพที่ Go Green ในวันนี้ อาจทำให้คนหนุ่มสาวทั่วโลกประสบความสำเร็จในหน้าท่ี่การงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในวันข้างหน้า กระนั้นสำหรับเยาวชน การตัดสินใจดังกล่าวอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากงานสีเขียว (Green Jobs) ในทุกวันนี้ยังไม่มีตัวอย่างให้เห็นมากนัก ดังนั้นโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติจึงเข้ามาช่วยเหลือด้วยการนำเสนอ Global Environment Outlook ฉบับที่ 6 (GEO-6) ซึ่งเป็นคู่มือดิจิทัลเกี่ยวกับการเลือกอาชีพที่ยั่งยืน และทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในหน้าที่การงานในอุตสาหกรรมสีเขียว อ่านบทความทั้งหมดได้ที่ https://www.salika.co/2021/09/13/green-jobs-skill-set-for-youth/
BCG