หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
ENTEC สวทช. ผนึกกำลังพันธมิตร ผลักดันเชื้อเพลิงการบินยั่งยืนและไฮโดรเจน สู่เป้าหมายพลังงานสะอาดในอาเซียน
วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เดินหน้ายกระดับบทบาทด้านพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการร่วมจัดและเข้าร่วมใน 2 เวทีสำคัญระดับภูมิภาค ได้แก่ SEA SAF Forum และงานสัมมนาภายใต้กรอบ ASIA Sustainable Energy Week 2025 (ASEW2025) โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันการใช้เชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืน (SAF) และนวัตกรรมด้านไฮโดรเจนให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบพลังงานในอนาคตของประเทศไทยและอาเซียน SEA SAF Forum: เปิดมุมมองใหม่สู่การบินสะอาด ENTEC สวทช. ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และหน่วยงานพันธมิตร จัดงานสัมมนา SEA SAF Forum: From Waste to Wings – Thailand’s Role in Sustainable Aviation Fuel (SAF) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ทิศทางการพัฒนา และแนวทางการผลักดัน SAF ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เวทีนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วนร่วมอภิปรายในประเด็นสำคัญ อาทิ แผนที่ทางการพัฒนา SAF ของประเทศไทย บทบาทของ SAF ในการลดคาร์บอนของภาคการบิน การยกระดับมาตรฐานและการผลิต SAF ในประเทศ และความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อสร้างระบบนิเวศ SAF ที่ยั่งยืน การสัมมนาเน้นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ในอุตสาหกรรมการบิน ASEW2025: เดินหน้านวัตกรรมไฮโดรเจนขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคต  เวทีสัมมนา “Hydrogen: Pursuing Sustainable Decarbonization through Innovation in Thailand” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ ASEW2025 โดยสมาคมไฮโดรเจนประเทศไทย ENTEC สวทช. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาไฮโดรเจน พร้อมนำเสนอบทบาทของ SAF ในบริบทเดียวกัน ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC ได้ร่วมเป็นวิทยากรในหัวข้อ “Hydrogen Classification and SAF Technology in Thailand” โดยอธายการจำแนกประเภทของไฮโดรเจนตามแหล่งที่มา (Green, Blue, Grey Hydrogen) และศักยภาพของประเทศไทยในการพัฒนา Sustainable Aviation Fuel (SAF) ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการลดการปล่อยคาร์บอนและการขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero Emission ของประเทศ ENTEC ยืนยันความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนระบบนิเวศพลังงานใหม่ของประเทศ ผ่านความร่วมมือเชิงรุกกับภาคีทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตพลังงานสะอาดที่มั่นคง ยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับภูมิภาค การมีส่วนร่วมของ ENTEC สวทช. ในสองเวทีครั้งนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ด้าน วิจัย เทคโนโลยี และนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนพลังงานสะอาด ทั้งในมิติของเชื้อเพลิงการบินยั่งยืน (SAF) และไฮโดรเจน ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สมาคม TESTA จัดสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยแบตเตอรี่
วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ: สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ร่วมกับ Informa Markets จัดงานสัมมนานานาชาติ International Energy Storage Forum 2025 - TESTA Annual Symposium 2025 ครั้งที่ 5  ในหัวข้อ "ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยในการใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน" เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่และเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงานในระดับสากล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมชั้นนำ อาทิ  IMPERIAL  INNOVA-PACK  NUOVO+ และ UMICORE  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน ASIA Sustainable Energy Week 2025 สมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA)  เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (KKU) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (KMUTNB) และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน ซึ่งปัจจุบัน TESTA ทำหน้าที่ส่งเสริมกิจกรรมด้านวิชาการ งานสัมมนา และความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีแบตเตอรี่ได้พัฒนาไปไกลจนสามารถใช้งานได้จริงในเชิงเศรษฐกิจ ทั้งในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการมุ่งสู่พลังงานสะอาดและเป้าหมาย Net Zero อย่างไรก็ตาม ประเด็น "ความปลอดภัย" ยังเป็นข้อกังวลสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อแบตเตอรี่และระบบกักเก็บไฟฟ้าเริ่มแพร่หลายจากเมืองสู่ครัวเรือนและภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ หัวข้อสัมมนาครั้งนี้จึงให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความปลอดภัยในเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อสร้างความเข้าใจและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสมรองรับการใช้งานในวงกว้าง โดยได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้พร้อมชี้แนวทางรับมือความเสี่ยงจาก EV และระบบกักเก็บพลังงาน โดยมีประเด็นสำคัญ อาทิ การออกแบบระบบกักเก็บพลังงานที่ปลอดภัย ความรู้พื้นฐานด้านเทคนิคของแบตเตอรี่และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย แผนรับมือและการจัดการกรณีเกิดไฟไหม้  มุมมองจากบริษัทประกันภัยเกี่ยวกับความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องพิจารณาเมื่อติดตั้งระบบพลังงานภายในบ้านหรือสถานประกอบการ และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เป็นต้น งานสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่จะสะท้อนถึงความตื่นตัวของทุกภาคส่วนต่อความปลอดภัยของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาพลังงานสะอาดในอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างจริงจัง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยที่รัดกุม พร้อมทั้งส่งเสริมนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างแพร่หลายในอนาคต
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดมุมมองใหม่ด้านโอกาสทุนวิจัยและแนวทางการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อการพัฒนางานวิจัยอย่างยั่งยืน
📢 ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนา 📢 "โอกาสทุนวิจัยและการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ" เปิดมุมมองใหม่ด้านโอกาสทุนวิจัยและแนวทางการขยายเครือข่ายความร่วมมือกับนานาประเทศ เพื่อการพัฒนางานวิจัยอย่างยั่งยืน ---------------------- 🗓 วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม 2568 🕜 เวลา 13.30 – 15.30 น. 📍 ห้องประชุม BIOTEC Auditorium อาคารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ---------------------- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ 📌นางสาวศิโรรัตน์ บุญรัตนกุล 📧 Email: siroratb@mtec.or.th 📞 โทร. 0 2564 6500 ต่อ 4414 ---------------------- 🔗ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ สแกน QR Code บนโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม
 
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานของ โครงการทหารพันธุ์ดี
วันนี้ (4 ก.ค. 2568) เวลา 9 นาฬิกา 24  นาที  สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการดำเนินงานของ โครงการทหารพันธุ์ดี ณ กรมการทหารช่างค่ายบุรฉัตร ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นโครงการที่กองทัพบก จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทาง มูลนิธิชัยพัฒนาพร้อมกับ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ ร่วมกับ กองทัพบก จัดตั้งโครงการทหารพันธุ์ดีขึ้น เพื่อให้ กำลังพล และครอบครัว ของกองทัพมีความรู้ความสามารถในการปลูกผักปลอดภัย รวมทั้งเป็นพืชผัก ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และยังสามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ เพื่อนำไปเพาะปลูกในครั้งต่อๆ ไปได้ เพื่อลดต้นทุน และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของกำลังพล แต่ถ้าเหลือจากการนำไปบริโภคแล้วก็นำไปจำหน่ายเพิ่มรายได้เสริม ให้กับครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง เมื่อประชาชนมีความประสงค์ที่จะทำการเกษตรและต้องการข้อมูลก็สามารถ เข้าไปศึกษาหาความรู้และสอบถามประสบการณ์ ที่ทางโครงการฯ ได้ลงมือทำ และประสบความสำเร็จ ในการทำเกษตรและปศุสัตว์ในโครงการฯ ได้ทั่วประเทศ ทรงมีแนวคิดให้จัดตั้งเป็น “แปลงเกษตรปลอดภัย” บนพื้นที่ของหน่วยทหาร เพื่อเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ปลอดสารพิษ รวมไปถึงให้มีการปลูกพืช ผัก ผลไม้ และเพาะพันธุ์สัตว์ โดยมุ่งหวังให้หน่วยทหารเป็นคลังอาหาร หรือเรียกว่าเป็นธนาคารอาหารให้กับชุมชน นอกจากนั้น ยังถือเป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตร เพื่อให้ประชาชนมีกิน มีอาชีพ มีรายได้เสริม พึ่งพาตนเองได้ อย่างยั่งยืน ในการนี้ กองพลทหารราบที่ 7 ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดนิทรรศการมีชีวิต กราบบังคมทูลนำเสนอ "ศูนย์ผลิตชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดี กองพลทหารราบที่ 7" ณ บริเวณด้านหน้าอาคารพลเอกบรรจบ บุนนาค กองพลทหารช่าง ค่ายบุรฉัตรโดยมีคณะผู้ถวายรายงานประกอบด้วย พลตรี สุจินต์ ทรัพย์สิน ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 7, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฉันทนา วิชรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาพันธุ์พืช มูลนิธิชัยพัฒนา, ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช., นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ,ดร.อลงกรณ์ อำนวยกาญจนสิน นักวิจัยอาวุโส ไบโอเทค สวทช., และ นางสาว ณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส สวทช.ได้เฝ้าทูลละอองพระบาทรับเสด็จด้วย  ทั้งนี้ที่มาของ ‘ศูนย์ผลิตชีวภัณฑ์โครงการทหารพันธุ์ดี กองพลทหารราบที่ 7’ ได้แนวคิดต่อยอดมาจากการที่สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ไบโอเทค สวทช. มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มูลนิธิชัยพัฒนา กองทัพบกและโครงการทหารพันธุ์ดี จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร “การบริหารงานฟาร์มผักปลอดภัยโครงการทหารพันธุ์ดี” แก่ทหารพันธุ์ดี 103 นายจากทั่วประเทศ ณ กองพลทหาราบที่ 7 ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และศูนย์ปรับปรุงพันธุ์และผลิตเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้เมื่อวันที่ 22-24 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มพูนความรู้การบริหารงานฟาร์มผักปลอดภัยโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งให้ทหารได้เรียนรู้การจัดการแมลงศัตรูพืชในแปลงผักและกระบวนการผลิตชีวภัณฑ์ โดยมีวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้และทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ (IBBG) ไบโอเทค สวทช. ร่วมให้ความรู้ เพื่อให้ทหารผู้เข้าอบรมสามารถนำไปขยายผลความรู้สู่ชุมชนในเขตพื้นที่รับผิดชอบต่อไป โดยกิจกรรมในครังนี้เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “การพัฒนาศูนย์เรียนรู้และฝึกอบรมด้านการผลิตพืชผักและสมุนไพรในระบบเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจร ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ระยะที่ 2” ซึ่งเป็นโครงการภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การขับเคลื่อนสถานีเรียนรู้ (training hub) และการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาพื้นที่ต้นแบบศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ (แม่โจ้ - สวทช.) ทางด้านผักและสมุนไพรแบบครบวงจร พัฒนาหลักสูตรสำหรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผักสดและสมุนไพรคุณภาพตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สร้างเครือข่ายผู้ผลิตผักและสมุนไพรอินทรีย์คุณภาพ และพัฒนาต้นแบบจุดเรียนรู้ในชุมชน ที่ผ่านมา สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ร่วมกับ ไบโอเทคสวทช. ได้ถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีการผลิตขยายชีวภัณฑ์ ให้กับกองพลทหารราบที่ 7 ตั้งแต่การจัดเตรียมความพร้อมของวัสดุอุปกรณ์ ห้องปฏิบัติการ การส่งหัวเชื้อ น้ำ 3 ชนิด คือ 1. ราไตรโคเดอร์มา แอสเพอร์เรียลลัมTrichoderma asperellum TBRC 4734 2. ราเมตาไรเซียม อะนิโซเพล Metarhizium anisopliaeBCC 4849 3. ราบิวเวอเรีย บาสเซียนา Beauveria bassiana BCC 2660 วิธีการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพของชีวภัณฑ์ ที่ได้คุณภาพ และมาตรฐาน โดยมีการส่งตรวจที่ศูนย์ ไบโอเทค สวทช. พร้อมทั้งการให้คำแนะนำ ปรึกษา วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหา อย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความสามารถผลิตชีวภัณฑ์ ได้มีประสิทธิภาพ และคุณภาพตามมาตรฐาน โดยเป้าหมายของกองพลทหารราบที่ 7 ต้องการผลิตชีวภัณฑ์ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้ป้องกันกำจัดศัตรู พืชในแปลงปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี รวมทั้งยังสามารถผลิตขยายให้กองพันต่างๆในเครือข่ายพื้นที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งเครือข่าย เกษตรกรที่สนใจในอนาคต  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เปิดโลกเทคโนโลยีโอมิกส์ กับ ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช.
ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. (National Omics Center) เปิดบ้านในกิจกรรม NSTDA x Press Interviews โชว์ศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีชีวภาพ พาสื่อมวลชนเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ที่พร้อมให้บริการงานวิจัยและการพัฒนาองค์ความรู้ชีวภาพ ครอบคลุมเทคโนโลยีโอมิกส์อย่างครบวงจร พร้อมโชว์ผลงานวิจัยจากเทคโนโลยีโอมิกส์ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะผลงานเด่นการนำเทคโนโลยีด้านพันธุกรรมไปช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ สวทช. ในการนำเทคโนโลยีโอมิกส์มาสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับประเทศไทย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. ขอเชิญร่วมประกวดคลิปสั้น “AI BOOSTUP” ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 120,000 บาท
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมกับ AI Thailand ขอเชิญเยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมการประกวดคลิปสั้น ภายใต้แนวคิด “คนไทย รู้ เข้าใจ ใช้ AI อย่างสร้างสรรค์” ในกิจกรรม AI BOOSTUP เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ในชีวิตประจำวัน 📌 รับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 15 กรกฎาคม 2568📌 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 120,000 บาท📌 ผู้ผ่านการคัดเลือก 30 ทีมแรกจะได้รับทุนสนับสนุนทีมละ 2,000 บาท คลิปที่ส่งเข้าประกวดจะได้รับการพิจารณาจากแนวคิดสร้างสรรค์ การสื่อสารที่เข้าใจง่าย และการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมเปิดรับทั้งระดับเยาวชนและบุคคลทั่วไป 📄 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ที่: https://www.nstda.or.th/r/5pIMP👉 ติดตามผ่าน Facebook: AI Thailand Community
ปฏิทินกิจกรรม
 
ไบโอเทค สวทช. พัฒนา “เห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่” คุณภาพสูง พร้อมปูทางสู่เกษตรกร และชี้ทางต่อยอดเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือก
(4 ก.ค. 68) ณ ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก จ.นครปฐม - คณะวิจัยทีมปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวการพัฒนาเห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้โครงการ “การประเมินลักษณะทางพันธุกรรมและลักษณะปรากฏทางกายภาพ และการปรับปรุงสายพันธุ์เห็ดแครงเพื่อสร้างสายพันธุ์ลูกผสมที่ดีและมีความคงตัวทางพันธุกรรม” ทำให้ได้เห็ดแครงสายพันธุ์ลูกผสมใหม่ที่มีความโดดเด่นและคงตัวทางพันธุกรรมสูง มีคุณภาพตามความต้องการของตลาดทั้งในด้านผลผลิตสูง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ออกดอกเร็ว ขนาดและสีตรงกับความต้องการตลาด รวมถึงมีคุณสมบัติของสารสำคัญที่ดีและมีคุณค่าทางโภชนาการ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และจะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับศักยภาพของเกษตรกรผู้เพาะเห็ดไทย พร้อมกันนี้ได้ลงพื้นที่ศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก จ.นครปฐม เพื่อให้เห็นถึงการเพาะเห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่ในโรงเรือนที่ได้ผลดีและมีประสิทธิผล รวมถึงชี้ให้เห็นแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเห็ดแครงเพื่อต่อยอดสู่แหล่งโปรตีนทางเลือกและอาหารเพื่อสุขภาพ ดร.อัมพวา ปินเรือน นักวิจัยทีมวิจัยปฏิสัมพันธ์ของจุลินทรีย์ทางการเกษตร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการ “การประเมินลักษณะทางพันธุกรรมและลักษณะปรากฏทางกายภาพ และการปรับปรุงสายพันธุ์เห็ดแครงเพื่อสร้างสายพันธุ์ลูกผสมที่ดีและมีความคงตัวทางพันธุกรรม” ได้เริ่มจากการรวบรวมเห็ดแครง 121 สายพันธุ์จากป่าชุมชนและสวนเกษตรกรทั่วประเทศ เพื่อศึกษาลักษณะการออกดอก โดยคณะวิจัยได้นำสายพันธุ์เหล่านั้นมาใช้เทคนิคแยกสปอร์เดี่ยว (Single Spore Isolation) เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์เด่นที่มีลักษณะน่าสนใจ เช่น ดอกสวย สีขาวน่าทาน ไม่เหนียว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่มีกลิ่นเห็ดแรง จากนั้นจึงนำมาผสมพันธุ์ (Breeding) เพื่อสร้างสายพันธุ์ลูกผสมที่ดีที่สุด ซึ่งเห็ดแครงสายพันธุ์ลูกผสมที่ได้มีลักษณะโดดเด่นคือ ดอกมีขนาดใหญ่ กอสวยงาม สีขาวนวล กลิ่นอ่อนจนแทบไม่มีกลิ่นเห็ด รสชาติดีไม่ติดขม (เมื่อชิมดอกสด) และมีขนาดดอกสม่ำเสมอ ผลการเปรียบเทียบกับสายพันธุ์การค้า พบว่าเห็ดแครงลูกผสมใหม่นี้ให้ผลผลิตสูงกว่า ออกดอกเร็วกว่า ดอกขนาดใหญ่กว่า สีอ่อนกว่า กอใหญ่กว่า รสชาติดีกว่า (ไม่ติดขม) เนื้อสัมผัสดีกว่า (ไม่เหนียว) และกลิ่นอ่อนกว่า (แทบจะไม่มีกลิ่นเห็ด) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของตลาดและการแปรรูปเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญคือ มีความคงตัวทางพันธุกรรม ไม่กลายพันธุ์ได้ง่าย เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ลูกผสมที่ได้จากการคัดเลือกสปอร์เดี่ยว ด้าน นายบุญโชค ไทยทัตกุล เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญและเจ้าของศูนย์รวมสวนเห็ดบ้านอรัญญิก ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้และเพาะเห็ดครบวงจร เผยว่า การนำเห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาโดยไบโอเทค มาขยายผลในโรงเรือนจริง สิ่งสำคัญในการเพาะเห็ดแครงคือ การรักษาความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศให้สูงตลอดเวลา ซึ่งทำได้โดยการพ่นหมอกและรดน้ำถี่ ๆ ทำให้สามารถเพาะเห็ดได้ตลอดทั้งปี ซึ่งผลลัพธ์การเพาะเห็ดแครงสายพันธุ์ใหม่น่าพอใจ เพราะให้ผลผลิตสูง ออกดอกเร็ว รสชาติดี ดอกใหญ่ และสามารถเก็บเกี่ยวได้ถึง 3 รุ่น ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไรให้เกษตรกรได้เป็นอย่างดี และในฐานะตนเองเป็นแพทย์แผนโบราณด้วย อยากย้ำว่าเห็ดเป็น “อาหารที่ดี” ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่ต่างจาก “หมอที่ดี” และ “ยาที่ดี” ที่จำเป็นต่อสุขภาพ และ นายขวัญทอง ชุมนุมพร ผู้ผลิตอาหารแพลนต์เบส ให้มุมมองในฐานะผู้ประกอบการว่า เห็ดแครงมีศักยภาพสูงในการเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับอาหารโปรตีนทางเลือก ด้วยปริมาณโปรตีนที่สูงกว่าเห็ดทั่วไปและสารอาหารครบครัน ทางผู้ผลิตได้นำเห็ดแครงร่วมกับเห็ดนางรมและเห็ดมิลค์กี้ มาพัฒนาเป็น “เนื้อหมูบดจากพืช” ที่มีเนื้อสัมผัสและคุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงเนื้อสัตว์จริง นอกจากนี้ยังต่อยอดสู่เมนูอาหารและแพลนต์เบสหลากหลาย เช่น หอดทอดเห็ดแครง ผัดกะเพราเห็ดแครง คั่วกลิ้งเห็ดแครง หมูปิ้ง แหนม เบอร์เกอร์ รวมถึงอาหารแช่แข็ง เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เห็ดไทย เปิดโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ในฐานะโปรตีนทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ “สำหรับแผนงานต่อยอด ทางคณะวิจัยจะเดินหน้าส่งเสริมและต่อยอดสายพันธุ์ลูกผสมเห็ดแครงนี้ โดยจะมีการขึ้นทะเบียนพันธุ์เห็ด ถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังเกษตรกรผู้เพาะเห็ด รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า และใช้เห็ดแครงเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่น่าสนใจ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” ดร.อัมพวา ปินเรือน นักวิจัยไบโอเทค กล่าวปิดท้าย
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รับสมัครผู้รับประกันชีวิตและสุขภาพ สำหรับพนักงาน และพนักงานโครงการ สวทช. ประจำปี 2569
📣 ประกาศเปิดรับสมัครผู้รับประกันชีวิตและสุขภาพ สำหรับพนักงาน และพนักงานโครงการ สวทช. ประจำปี 2569   🚨ขอเชิญชวนผู้สนใจเข้าร่วมเป็น ผู้รับประกันชีวิตและสุขภาพ สำหรับพนักงานและพนักงานโครงการของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในปีงบประมาณ 2569   🗓 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 14 กรกฎาคม 2568 ⏰ ในวันและเวลาราชการเท่านั้น   📍สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณพรรณธิภา ขยัน 📧 Email: phantipa@nstda.or.th 📞 โทร. 0 2564 7000 ต่อ 71116
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. ให้การต้อนรับนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง (น.บ.ส.) รุ่นที่ 41 พร้อมโชว์งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข
 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 วิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นำคณะผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรฝึกอบรมนักบริหารการแพทย์และสาธารณสุขระดับสูง (น.บ.ส.) รุ่นที่ 41 เข้าศึกษาดูงานนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของ สวทช. โดยมี ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. และคณะนักวิจัย ร่วมให้การต้อนรับ โอกาสนี้คณะฯ ได้รับฟังการบรรยายเรื่อง “องค์กรมุ่งเน้นนวัตกรรมและสมรรถภาพสูง” ประเด็น Change and Innovation โดย ดร.กัลยา อุดมวิทิต นอกจากนี้ยังมีการบรรยายเกี่ยวกับงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากนักวิจัย สวทช. อาทิ เรื่อง Medical AI Data Platform ดร.มารุต บูรณรัช นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์, NECTEC, เรื่อง A-MED Care Platform คุณวัชรากร หนูทอง นักวิจัย หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ, NECTEC, เรื่อง โครงการ Genomics Thailand โดย ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา นักวิจัยอาวุโส ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ, BIOTEC มากไปกว่านั้น สวทช. ยังนำผลงานนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุข มาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ได้แก่ ชุดตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ โดย ดร.ธิติรัตน์ พุฒนิล นักวิจัย ทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน, NANOTEC และคณะ นวัตกรรมเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง OSSICURE Bone Graft โดย ดร.กตัญชลี ไม้งาม นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์, MTEC และคณะ เทคโนโลยี 3D Printing ทางการแพทย์ โดย ดร.รวิภัทร มณีโชติ นักวิจัย ทีมวิจัยวัสดุเฉพาะทางสำหรับการประยุกต์ใช้ทางวิศวกรรม, MTEC และคณะ Gunther: นวัตกรรมสำหรับป้องกันคนที่คุณรักจากการเคลื่อนไหวผิดท่าและการหกล้ม โดย ดร.เปริน วันแอเลาะ นักวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี, MTEC และคณะ ตลอดจนเปิดโอกาสให้คณะฯ เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ ชีวนิรภัยระดับ 3 (BSL-3) และ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) โดยมี ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ นักวิจัย ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ BIOTEC  และ ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และคณะร่วมให้การต้อนรับและแนะนำห้องปฏิบัติการ  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดสัมมนา “Next Energy Frontiers” รวมนักวิจัยชั้นนำ ขับเคลื่อนพลังงานสะอาด-ยานยนต์แห่งอนาคตไทย
วันที่ 3 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย (TECE) ร่วมกับ STV Implementation และ Informa Markets จัดสัมมนาวิชาการหัวข้อ "Next Energy Frontiers: Innovations for the Future of Energy and Mobility" เพื่อเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนำเสนอแนวโน้มเทคโนโลยีพลังงานและการขนส่งสมัยใหม่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน งานสัมมนานี้เป็นส่วนหนึ่งของ ASIA Sustainable Energy Week 2025  ที่จัดขึ้นเพื่อเน้นย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาพลังงานสะอาดนวัตกรรมสีเขียว ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC และ TECE สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านพลังงาน ความมั่นคงทางพลังงาน และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นแรงผลักสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและระบบจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่ ที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์ว่าตลาดพลังงานประเภทนี้จะมีมูลค่าสูงกว่า 150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 การจัดสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านพลังงานที่มีศักยภาพ โดยมุ่งเน้นการต่อยอดสู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับเกียรติจากนักวิจัยชั้นนำจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยภายใต้กระทรวง อว. เข้าร่วมนำเสนอผลงานสำคัญ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ โรงงานต้นแบบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) รวมถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ ทิศทางงานวิจัยพลังงานแห่งอนาคต ผลกระทบของเทคโนโลยีพลังงานใหม่ต่ออุตสาหกรรม นโยบายพลังงานเพื่อภาคอุตสาหกรรม ศักยภาพพลังงานนิวเคลียร์ของไทย การพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนไบโอฟิวส์ และ SAF ระบบกักเก็บพลังงานแห่งอนาคต อนาคตของแบตเตอรี่โซเดียม งานวิจัยด้านพลังงานโดย JGSEE และการบูรณาการวิจัยสู่การประยุกต์ใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้ายว่า เวทีสัมมนาครั้งนี้สะท้อนถึงพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิจัย ที่จะร่วมกันผลักดันระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ พร้อมทั้งต่อยอดองค์ความรู้ สร้างความร่วมมือระหว่างภาควิจัยและภาคอุตสาหกรรม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเชิงรูปธรรมในอนาคต    
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘น้ำเชื่อมอินทผลัม’ หวานสดชื่น ช่วยรักษาสมดุลลำไส้
  อินทผลัมเป็นผลไม้ที่มีการปลูกมากในซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และอียิปต์ เพราะชาวมุสลิมนิยมบริโภคผลสุกในช่วงถือศีลอด เพื่อเติมความสดชื่นและพลังงานแก่ร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงสิบปีหลังประเทศไทยเองก็เริ่มเพาะปลูกแพร่หลายมากขึ้นแล้วเช่นกัน แต่จะเน้นตัดจำหน่ายแบบผลสดที่ยังไม่สุกเต็มที่ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี มีโพแทสเซียม และมีแคลอรีต่ำกว่าผลแห้ง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทเดอะ วีร่า การ์เดน จำกัด แปรรูปอินทผลัมที่หลุดร่วงจากพวงหรือตกเกรด ให้เป็นน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ไม่เพียงหวานสดชื่น แต่ยังช่วยรักษาสมดุลในลำไส้ การวิจัยและพัฒนานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.   [caption id="attachment_70532" align="aligncenter" width="450"] ดร.ภาวินี นันตา ทีมวิจัยการนำส่งเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ฟังก์ชัน นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.ภาวินี นันตา ทีมวิจัยการนำส่งเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ฟังก์ชัน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ฤดูเก็บเกี่ยวอินทผลัมในประเทศไทย อยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนที่ฝนตกชุก และมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ไม่เหมาะกับการปล่อยให้ผลสุกและแห้งคาต้น เกษตรกรจึงมักตัดผลสดในระยะคอลาล (Khalal) ซึ่งผลเติบโตเต็มที่แล้วแต่ยังไม่สุก เพื่อจำหน่ายในตลาดอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในประเทศ  แตกต่างจากประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่เกษตรกรมักเก็บผลผลิตในระยะตัมร์ (Tamr) ซึ่งความชื้นของผลลดลงจนเหลือต่ำกว่าร้อยละ 25 แล้ว     “อย่างไรก็ตามในการตัดจำหน่ายของเกษตรกรไทย มักมีผลสดจำนวนหนึ่งที่หลุดร่วงออกจากพวง รวมถึงมีผลที่ตกเกรดทำให้จำหน่ายไม่ได้ราคา ทีมวิจัยจึงได้ช่วยพัฒนาวิธีสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยแปรรูปผลเหล่านั้นเป็นน้ำเชื่อม แล้วนำน้ำตาลซูโครสจากน้ำเชื่อมดังกล่าว (ซูโครสเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่พบได้ในผลสดในระยะคอลาล) มาแปรรูปให้เป็นสารฟรักโทโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Fructo-oligosaccharide: FOS) ซึ่งเป็นพรีไบโอติกหรือแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ ทำให้น้ำเชื่อมที่ได้นอกจากจะมีฟรักโทส และกลูโคสแล้ว ยังมีสารพรีไบโอติกเป็นส่วนประกอบ ผู้บริโภคจะได้รับทั้งความสดชื่น พลังงาน และสารปรับสมดุลลำไส้ในคราวเดียวกัน”     น้ำเชื่อมอินทผลัมที่ทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนา ผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองโดยภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลการทดสอบพบว่า สัตว์ทดลองที่บริโภคน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ผ่านการแปรรูปน้ำตาลซูโครสให้เป็นสารพรีไบโอติก จะมีสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ดีกว่าสัตว์ทดลองที่บริโภคน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปเพิ่ม ดร.ภาวินี อธิบายว่า นอกจากสัตว์ทดลองจะมีสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ดีกว่า ยังพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่ช่วยลดความเป็นกรด-ด่างและช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ลำไส้ รวมทั้งจุลินทรีย์กลุ่มที่ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้และช่วยเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญด้วย ผลิตภัณฑ์นี้จึงตอบโจทย์การเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพที่กำลังมีความต้องการสูงจากทั้งผู้บริโภคในไทยและต่างประเทศ โดยจากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าช่วงปี 2567-2573 (2024-2030) ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพลำไส้ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.3 ต่อปี “ผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมอินทผลัมนำไปบริโภคได้หลายรูปแบบ ทั้งละลายในน้ำอุ่นให้ได้เป็นเครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอินทผลัม นำไปใช้ทดแทนน้ำเชื่อมในเครื่องดื่มชงประเภทต่าง ๆ รวมถึงใช้เป็นซอสหรือเดรสซิงในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรบริโภคตามคำแนะนำข้างบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ปัจจุบันสถานะของเทคโนโลยีนี้อยู่ในขั้นตอนขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งหลังจากขึ้นทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จะวางจำหน่ายทางช่องทางต่าง ๆ ต่อไป”   นวัตกรรม ‘น้ำเชื่อมอินทผลัม’ เป็นหนึ่งในตัวอย่างผลงานสำคัญที่สะท้อนศักยภาพของนักวิจัยไทยในการส่งเสริมการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน และการผลักดันผลิตภัณฑ์อาหารไทยสู่ตลาดอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในระดับโลก ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช. และจาก Shutterstock
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. จัดอบรมเข้มข้น 3 วันเต็ม เสริมทักษะ IoT ให้ครูในพื้นที่ EEC เตรียมพร้อมสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  ร่วมกับ SMC ACADEMY ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “ดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์: IoT Fundamental Internet of Things” เพื่อยกระดับความรู้และทักษะด้าน IoT ของครูและอาจารย์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จำนวน 25 โรงเรียน ให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนยุคอุตสาหกรรม 4.0 ระหว่างวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมเวย์ โฮเทล รีสอร์ท เมืองพัทยา อำเภอ               บางละมุง จังหวัดชลบุรี นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริการทางวิชาการและการประเมินหลักสูตรด้านพัฒนากำลังคน สวทช. กล่าวต้อนรับ โดยระบุว่า สวทช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับทิศทางของประเทศ จึงจัดทำ “โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ” โดยมีเป้าหมายหลักคือ ครูและนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา พิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นายจตุพันธ์ รุจิรานุกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง กล่าวเปิดการอบรมและเน้นย้ำว่าเทคโนโลยี IoT คือหัวใจสำคัญในการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียน เพื่อรองรับทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ หลักสูตร IoT Fundamental Internet of Things ว่าเป็นโครงการที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้แก่ครูและนักเรียนในพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ และการเตรียมความพร้อมกำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี Internet of Things ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในยุคอุตสาหกรรม 4.0 โครงการนี้มุ่งหวังให้นักเรียนได้รับการเสริมสร้างศักยภาพในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีความรู้และทักษะที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ มองเห็นเส้นทางอาชีพ และสามารถเตรียมความพร้อมในการดำเนินชีวิตในอนาคต ขณะเดียวกัน ครูผู้สอนจะได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ และสื่อการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมในห้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมต่อยอดองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนารายวิชาเพิ่มเติมที่มีคุณภาพ และขยายผลสู่โรงเรียนอื่น ๆ ในพื้นที่ EEC เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว ไฮไลต์ของการอบรมอยู่ที่การมอบชุดอุปกรณ์ I-Kit ซึ่งพัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ให้กับครูและนักเรียน ซึ่งเป็นสื่อการเรียนการสอนด้าน Internet of Things (IoT) ให้แก่ครูและนักเรียน เพื่อให้สามารถพัฒนาเทคโนโลยี IoT ได้อย่างเข้าใจง่ายและนำไปประยุกต์ใช้จริงในห้องเรียน เนื้อหาการอบรมเริ่มต้นด้วยการปูพื้นฐานระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลักในยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดย นายปิยวัฒน์ จอมสถาน หัวหน้าโครงการ SMC Academy ถ่ายทอดความรู้พร้อมฝึกปฏิบัติการใช้ชุด I-Kit กับไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32 และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น LED เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น และแสง เพื่อสร้างความเข้าใจในระบบ IoT เบื้องต้น  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์