ผลการค้นหา :
การรับมือการยั่วยุทาง message จากมิจฉาชีพ
คุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่ออยู่ดีๆ Facebook Messenger ของคุณ ปรากฏ Message จากผู้ที่ไม่รู้จักด้วยคำพูดลักษณะนี้?
เบื้องต้น ร้อยละ 80 มักจะโทรกลับไปเพื่อสอบถาม เพราะคนที่อยู่ในรายชื่อที่ถูกแอบอ้างมักจะเป็นเพื่อนของคุณที่อยู่ใน Facebook และมีสถานะเป็นพี่น้อง เพื่อน แฟน เป็นต้น เมื่อคุณพลาดโทรไป คุณมักจะพบการกล่าวอ้างปลายทางว่าเป็นตำรวจ เป็นผู้มีอิทธิพล หรือเป็นอะไรต่างๆ นาๆ ที่คุณก็ไม่อยากรู้ แต่คุณอยากรู้ว่า ทำไมคุณถึงโดนติดต่อและชื่อไปปรากฏได้อย่างไร ทีนี้ก็จะเข้าทางมิจฉาชีพครับ เพราะจะมีขบวนการต่างๆ นาๆ ที่จะหว่านล้อมให้คุณ งง และอาจจะเผลออยากปิดคดี โดยโอนเงินหลักพัน หลักหมื่นแบบไม่รู้ตัว (เพราะมิจฉาชีพรู้ข้อมูลคุณเองมากกว่าตัวคุณหรือมีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้คุณกลัว) รู้ตัวอีกทีคุณก็เสียเงินไปแล้วครับ และเบอร์นี้ก็หายสาปสูญไปจากชีวิตคุณพร้อม Facebook Account นี้ ดังนั้น บทความนี้จึงอยากมาสร้างทางออกให้กับคุณ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณควรทำแบบนี้ครับ
อย่าติดต่อหรือ click link ไปยังต้นตอของ message ให้ติดต่อคนที่ถูกกล่าวอ้างก่อน ถ้าคนนั้นสำคัญกับคุณ เพื่อยืนยันข้อมูลนั้น
ถ้าไม่เกี่ยวกับคุณใดๆ โดยสิ้นเชิง ให้ Block แล้วไม่ต้องสนใจนะครับ เพราะนี่คือมิจฉาชีพที่กำลังหาเหยื่อแบบหว่านแห
คุณควรตั้งค่าความปลอดภัยของบัญชี facebook ของคุณ โดยไม่ให้ Add เพื่อนแบบอัตโนมัติ เนื่องจากมิจฉาชีพจะรู้ข้อมูลคุณได้ก่อน และจะศึกษาเพื่อหาวิธีการแยบยลจากข้อมูลที่คุณเปิดเผย
อย่าเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินหรือข้อมูลที่มีความเสี่ยงกับการเข้าถึงตัวคุณได้ เพราะจะเป็นเป้าหมายที่ดีต่อไปของมิจฉาชีพครับ
อย่าวางใจ Message ที่เข้ามาครับ เพราะแม้จะเป็น account จริงจากเพื่อนของคุณ แต่ก็อาจจะถูกสวมรอยบัญชีการใช้งานได้ คุณต้องตรวจสอบโดยตรงจากคนเหล่านั้น
ฟังดูเหมือนจะไม่ยากใช่ไหมครับ มุมมองของมิจฉาชีพในปัจจุบันล้ำไปมาก ใช้เทคโนโลยีเพื่อการล่าเหยื่อได้ง่ายมากขึ้นจากการเข้าถึงข้อมูลของเหยื่อที่เผยแพร่ด้วยเหยื่อเอง ดังนั้น บทความนี้จึงอยากจะนำเสนอกรณีศึกษาและแนวทางในการป้องกันปัญหานี้ครับ เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อกับอาชกรดิจิทัลครับ ขอให้คุณปลอดภัยและมีความสุขครับ
นานาสาระน่ารู้
สอนลูกให้รู้เท่าทันการโกงในโลกออนไลน์ยุคดิจิทัล
หลายเดือนก่อนผู้เขียนได้รับข่าวจากเพื่อนว่า ลูกชายอายุ 14 ปีถูกโกงเงินจากการเล่นเกมส์ ผ่านการซื้อขาย ID game ออนไลน์ (id game คือชื่อและรหัสผ่านของเกมส์นั้นซึ่งมีระดับสูง ผู้เล่นหน้าใหม่ชอบซื้อเพื่อทำให้เก่งขึ้นแบบทางลัด) ซึ่งลูกชายต้องจ่ายเงินไปก่อนเพื่อแลกกับการให้รหัสผ่านของ ID นั้น สุดท้ายเมื่อโอนเงินออนไลน์ไป พบว่า ไม่สามารถติดต่อกับผู้ขายได้อีกเลย !!! ใช่ครับ ถูกโกงจากมิจฉาชีพแล้ว ทีนี้พ่อแม่ก็เพิ่งจะมารู้ สอบถามว่าควรทำอย่างไร ในเบื้องต้นทุกคนก็ทราบครับว่าควรแจ้งความดำเนินคดี (ไม่ใช่ลงบันทึกประจำวัน) แล้วไปติดต่อธนาคารเพื่อขออาญัติบัญชี และไม่ให้ผู้ร้ายทำธุรกรรมใดๆ ได้อีก แต่ผลสุดท้าย คดีนี้ก็ยังไม่คืบหน้า เพราะ "มิจฉาชีพ ทำกันเป็นขบวนการ" ดังนั้น บทความนี้ ผู้เขียนจึงอยากสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้อ่านทุกท่าน ตรวจตราบุตรหลานหรือคนที่คุณรักว่า จะป้องกันอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นวิธีการที่ดีและปลอดภัยที่สุด แต่ก็ไม่เสียหายหากจะลองพิจารณากันดูครับ วิธีการมีดังนี้
ห้ามให้บัตรเครดิตหรือบัญชีใดๆ ของคุณหรือคนที่คุณรักไว้ในเกมส์หรือระบบนั้นๆ เพราะง่ายต่อการถูกจารกรรมหรือใช้จ่ายจากการอยากได้สิ่งของในเกมส์นั้นๆ
เข้าใจ ใส่ใจ กับคนสำคัญของคุณว่า เล่นเกมส์หรืออยู่ในบริบทเสี่ยงใดบ้างกับเกมส์นั้นๆ โดยสอบถามหรือศึกษากิจกรรมการเล่นของคนที่คุณรัก
คุณต้องทำการบ้านศึกษาว่า เกมส์เหล่านั้น มีช่องทางแชท หรืออื่นๆ ที่นำพาไปสู่การต้องจ่ายเงินซื้อ item หรือของในเกมส์หรือไม่ด้วย
หาเวลาเปิดใจลองเล่นกับเขา ฟังคนสำคัญคุณพูดเรื่องเกมส์เหล่านั้น แล้วสร้างกติกาเรื่องเวลา เพื่อรับรู้กันและกัน ดึงเวลาจากเกมส์ให้น้อยลง อย่าใช้อารมณ์หรือแสดงความโกรธต่อกัน
เกมส์ที่ต้องจ่ายเงินส่วนใหญ่เป็นเกมส์ที่ต้องซื้อ ITEM หรือ SKIN ต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีกิจกรรมแจกฟรี คุณควรให้แรงเสริมในการให้เขาเล่นแบบไม่ต้องเสียเงินว่าท้าทายกว่ามาก
ให้ความเข้าใจในเรื่องการโกงออนไลน์ หาข่าวสารหรือข้อมูลให้ได้รับทราบร่วมกัน โดยพูดคุยกันตอนที่ไม่เล่นเกมส์ จะทำให้คนที่คุณรักรับฟังได้ดีกว่าพูดตอนเล่นเกมส์
เกมส์ไม่ใช่เรื่องผิด การแบ่งเวลา การเข้าใจ การสร้างความรับรู้ร่วมกันทั้งการเล่น การทำกิจกรรม เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตเกิดความสมดุลย์
ให้เวลากับคนที่คุณรักให้มากขึ้น เขาจะลดเวลาจากเกมส์มาคุยกับคุณมากขึ้น โดยที่คุณต้องไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง ให้ใช้สัมผัส กอด และความรักเป็นสัมผัสนำ
เมื่อคุณอ่านทั้ง 8 ข้อนี้แล้ว คุณอาจหัวเราะในใจว่าเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีอะไรมารองรับทฤษฏีของการป้องกันการโกงให้เกิดขึ้นได้ แต่แท้จริงแล้ว ความสำคัญคือการใส่ใจคนที่เรารัก สื่อสารกันให้มาก แบ่งเวลากันให้ได้ ด้วยการป้องกันที่มาจากรักของคุณและคนที่คุณรัก นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดครับที่ทางผู้เขียนอยากอธิบายให้เริ่มทำกันก่อน ดีกว่ามาแก้ปัญหาทีหลัง และหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับการดำเนินชีวิตในยุคดิจิทัลนี้ของคุณต่อไปครับ
นานาสาระน่ารู้
การ Block SMS ปลอมง่ายๆ บนเครื่องมือถือ Android
เมื่อคุณพบเจอเบอร์มือถือแปลกปลอมส่งข้อความเข้ามาในเครื่องมือถือของคุณ มีวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้คุณพ้นอันตรายจากการล่อลวงหรือก่อกวนเหล่านี้ สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องมือถือระบบปฏิบัติการ android สามารถทำได้ด้วยการเข้าไปดำเนินการที่ message หรือหมายเลขที่โทรเข้า กดค้างบนหมายเลขหรือข้อความดังกล่าว แล้วคุณจะพบหน้าต่างตอบโต้ และจะพบกับลักษณะการดำเนินการเช่น Spam & Block ดังภาพ
ให้คุณเลือกประเภทดังกล่าว นั่นจะทำให้ในอนาคต เมื่อได้รับการโทรหรือข้อความจากหมายเลขดังกล่าว ระบบจะขึ้นเตือนและแจ้งว่าเป็น Spam ให้คุณได้ทราบก่อนการรับสาย และจะตัดข้อความที่ถูกส่งทิ้งไปยัง Spam Section ทำให้คุณไม่ต้องกังวลในเรื่องการถูกจารกรรมข้อมูลได้อีกด้วย อย่าลืมทดลองกันนะครับ การจัดการง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพมากๆ สำหรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลในทุกวันนี้ เพราะว่าการเป็นเหยื่อนั้นมีความทุกข์มาก การป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ สำหรับใครก็ตามที่อยากตัดปัญหา sms รบกวนฟรีแบบทุกเครือข่ายก็ทำได้ ให้ทำดังภาพนี้ครับ
ขอให้คุณปลอดภัยจากการใช้ชีวิตในโลกยุคดิจิทัลไปพร้อมกับการเติบโตที่มั่นใจในด้านความปลอดภัยร่วมกันครับ
นานาสาระน่ารู้
ระวัง SMS หรือ Message ปลอม เพื่อการล่อลวงจากมิจฉาชีพ
ปัจจุบันคุณคงทราบแล้วว่า ทาง กสทช. มีการกวาดล้างและลงโทษผู้ส่ง SMS การพนัน หวยเถื่อน หรือใดๆ ที่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ถือเป็นเรื่องที่ดีมากและทันต่อสถานการณ์ แต่มิจฉาชีพเองก็รู้ทันและพยายามปรับปรุงตนเองในการแจ้งข้อมูลหลอกลวงต่างๆ ที่มีความน่าสนใจมากขึ้นและเราตกเป็นเหยื่อง่ายขึ้น ในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอนำเสนอส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณรอดพ้นจากปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง แต่ก่อนอื่น คุณควรเข้าใจการแก้ปัญหาที่เร็วที่สุดก่อน นั่นคือ การโทร *137 ทุกเครือข่าย เพื่อป้องกันข้อความ sms ที่ก่อกวนกับเครื่องของคุณ
และลำดับต่อมาคือ การเรียนรู้ปัญหาและแนวทางกันครับ
การเข้าใจแนวทางการหลอกลวงของมิจฉาชีพ มิจฉาชีพต้องการให้คุณ click เร็วที่สุด จึงมักจะมีข้อความส่งให้มีแนวทางประมาณนี้
คุณมีเงิน xxx,xxx รอโอน โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่ ที่นี่ xxxxxxxxxxx
ญาติของคุณเสียชีวิต ติดต่อกลับโรงพยาบาลที่ xxxxxxxx
รับเลย iphone เพราะคุณคือผู้โชคดี และเราติดต่อคุณไม่ได้ ที่นี่ xxxxxxxxxxx
คำด่าต่างๆ นานา และคำท้าทาย แล้วให้เรา add facebook ผ่าน link
คุณจะพบว่า คุณอาจเกิดความโลภ หรืออยากรู้ข้อมูลต่อ หรือโมโห แล้วก็กด link ไป ซึ่งนั่นอาจนำพาไปสู่การขอข้อมูลหรือฝังโปรแกรมบางอย่างลงในเครื่องของคุณแล้ว และคุณอาจมีความเสี่ยงสูงในการทำธุรกรรมผ่านมือถือในอนาคต โดยเฉพาะธุรกรรมทางการเงิน อันตรายมากครับ
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ตั้งสติกับสิ่งที่อ่านก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าไม่แน่ใจ ไม่ click เด็ดขาด
ตรวจสอบต้นตอของข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้เช่น เว็บไซต์โดยตรง (พิมพ์ตรงๆ ด้วยตนเอง) อย่า click จาก link นั้นๆ
อย่าลืม Block หรือ Report เบอร์โทรศัพท์จากเครื่องมือถือของคุณในทันทีเมื่อคุณแน่ใจว่าเป็นมิจฉาชีพ
เพราะมิจฉาชีพก็รู้ทันกฏกติกาที่มี เราเองจึงควรมีภูมิคุ้มกันการหลอกลวงนี้ครับ เพื่อการเท่าทันเกมส์ของมิจฉาชีพ และไม่ตกเป็นเหยื่อในสังคมดิจิทัลนี้ ด้วยความปราถนาดีครับ
นานาสาระน่ารู้
ข้อมูลเปิดเกี่ยวกับ COVID-19 ใน data.go.th
ในปัจจุบันประเทศไทยมีชุดข้อมูลแบบเปิดสำหรับรายงาน COVID-19 ประจำวันประเทศไทย ที่เปิดให้ใช้งานที่ https://data.go.th/en/dataset/covid-19-daily เป็นข้อมูลรายงานผู้ป่วยยืนยันประจำวัน จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ยังมีข้อมูล รายชื่อห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ เครือข่ายตรวจ SARS-CoV-2 ที่เปิดให้ใช้งานที่ https://data.go.th/en/dataset/labscovid19 จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับะประชาชนทั่วไปและนักพัฒนาระบบเพื่อใช้งานต่อไป
นานาสาระน่ารู้
วิธีการขอหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19
หากท่านต้องการเดินทางไปต่างประเทศในปัจจุบัน ในหลายๆประเทศต้องมีการขอหลักฐานหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 ซึ่งหน่วยงานที่ให้บริการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 เพื่อใช้สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศในปัจจุบัน และกระบวนการการขอ สามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
วิธีการขอหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19
หน่วยงานที่ให้บริการออกหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 เพื่อใช้สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศ
https://ddc.moph.go.th/uploads/files/2051120210907125526.pdf
ระบบนัดหมายการขอหนังสือรับรองการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด 19 เพื่อใช้สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศ หมายเหตุ ใช้ได้ถึง 29 ตุลาคม 2564
http://vpassport.ddc.moph.go.th/
นานาสาระน่ารู้
ฐานข้อมูลติดตามการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก
Bloomberg Vaccine Tracker เป็นฐานข้อมูลติดตามการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก ขนาดใหญ่ที่สุด รายงานสถานการณ์การฉีดวัคซีนและเก็บรวบรวมข้อมูลการฉีดวัคซีนในแต่ละวัน ประกอบไปด้วย
Vaccinations vs. Cases
Global Vaccination Campaign
Average daily rate estimate
เข้าดูได้ที่
https://www.bloomberg.com/graphics/covid-vaccine-tracker-global-distribution/
นานาสาระน่ารู้
ข้อมูลสถานการณ์ COVID-19 สำหรับนักพัฒนาระบบ
สำหรับนักพัฒนาระบบ ที่ต้องการใช้ข้อมูล สถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทย ระลอก 1 ระลอก 2 ถึง ระลอก 3 ปัจจุบัน โดยข้อมูลเหล่านี้อยู่ในรูปแบบ API(Json/CSV Data Format) ที่ดำเนินการโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดให้บริการข้อมูลเหล่านี้อยู่ที่ https://covid19.ddc.moph.go.th/
ข้อมูลที่มีบริการประกอบไปด้วย
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ประจำวัน
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ประจำวัน แยกตามรายจังหวัด
ข้อมูลผู้ป่วยประจำวัน(Line Lists)
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 3 (ตั้งแต่ 01/04/2021 –ปัจจุบัน)
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 3 (ตั้งแต่ 01/04/2021 –ปัจจุบัน) แยกตามรายจังหวัด
ข้อมูลผู้ป่วยระลอก 3 (ตั้งแต่ 01/04/2021 –ปัจจุบัน)
ข้อมูลผู้ป่วยระลอก 1 ถึงระลอก 2 (ตั้งแต่ 12/01/2020 – 31/03/2021)
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 1 ถึงระลอก 2 (ตั้งแต่ 12/01/2020 – 31/03/2021)
รายงานสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 1 ถึงระลอก 2 (ตั้งแต่ 12/01/2020 – 31/03/2021) แยกตามรายจังหวัด
นานาสาระน่ารู้
ข้อมูลวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย
ปัจจุบันการรายงานจำนวนผู้ได้รับวัคซีนโควิดประจำวันของประเทศไทย จะมีการรายงานผ่านศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และยังมีอีกช่องทางคือการดูรายงานผ่าน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เข้าใช้งานที่ https://ddc.moph.go.th/vaccine-covid19/ ที่มีข้อมูลทั้งรายงาน และ อินโฟกราฟฟิก
ประกอบไปด้วย
สถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด 19 ประจำวัน
แนวทางการดำเนินงานและการให้บริการการฉีดวัคซีนโควิด 19
รายงานความก้าวหน้าการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19
อินโฟกราฟฟิก
- ขั้นตอนการยื่นความประสงค์รับวัคซีนของนักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ พื้นที่กรุงเทพมหานคร
- ขั้นตอนการยื่นความประสงค์รับวัคซีนของนักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ พื้นที่ต่างจังหวัด
-ความสำคัญของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ใน 7 กลุ่มเสี่ยง ร่วมกับวัคซีนโควิด
สื่อความรู้
- ข้อพิจารณาและคำแนะนำการฉีดวัคซีนโควิด 19 ในผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ
- เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนโควิด 19
- วิธีการป้องกันเชื้อ และการปฏิบัติตัวในสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19
- การเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ สำหรับผู้รับบริการฉีดวัคซีนโควิด 19
นานาสาระน่ารู้
สวทช. หนุนวิจัยใช้ประโยชน์ ‘ต้นคลุ้ม’ ให้คุ้มค่า เสริมจุดเด่น ‘ถาดพลาสติกชีวภาพ’
เมื่อเร็วๆนี้ ในเวทีเสวนาเรื่อง “การเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุเหลือใช้จากความหลากหลายทางชีวภาพและผลิตภัณฑ์ชุมชน ตามแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG ” จัดโดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือทิ้งอย่างยั่งยืนตามแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ทั้งนี้มีการนำเสนอ โครงการพลาสติกชีวภาพจากเศษวัสดุเหลือใช้ ที่น่าสนใจ โดย รศ. ดร.แก้วตา แก้วตาทิพย์ จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ (วิทยาศาสตร์พอลิเมอร์) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการวิจัยที่ใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือทิ้งจากธรรมชาติ ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวทช. ตอบโจทย์ในเรื่องของเศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึงแนวคิดลดขยะเป็นศูนย์
[caption id="attachment_26355" align="aligncenter" width="600"] รศ. ดร.แก้วตา แก้วตาทิพย์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ (วิทยาศาสตร์พอลิเมอร์) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]
รศ. ดร.แก้วตา แก้วตาทิพย์ อธิบายว่า ทีมวิจัยมีความสนใจเรื่องถาดโฟมจากแป้งมันสำปะหลัง เนื่องจากถาดโฟมจากแป้งมีราคาถูก ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะสามารถย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติได้อย่างรวดเร็ว ทว่าถาดโฟมจากแป้งมีข้อจำกัดในการนำไปใช้งาน คือ สมบัติเชิงกลต่ำ ไม่ทนน้ำและมีความชื้นง่าย ดังนั้นทีมวิจัยสนใจปรับปรุงสมบัติของถาดโฟมแป้งโดยใช้เศษวัสดุเหลือใช้ เช่น ต้นคลุ้ม เปลือกเมล็ดยางพารา ผักตบชวา และเปลือกไข่ ซึ่งนอกจากสามารถปรับปรุงสมบัติเชิงกล ลดความไวต่อน้ำและความชื้นของถาดโฟมแป้งแล้ว ยังเป็นแนวทางใช้ทดแทนถาดโฟมจากพลาสติกสังเคราะห์ที่ใช้อยู่โดยทั่วไป และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือใช้ในชุมชนและภาคการเกษตรด้วย
@ ‘เส้นใยคลุ้ม’ ช่วยถาดโฟมแป้งมันสำปะหลังทนความร้อน
ต้นคลุ้ม พืชล้มลุกที่พบมากทางภาตใต้ ทั้งในสวนยางพาราและป่าเขาโดยเฉพาะในจังหวัดสตูล ซึ่งต้นคลุ้ม 1 ต้น ชาวบ้านในพื้นที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน ในการนำต้นคลุ้มมาลอกเปลือกด้านนอกของลำต้นออก ซึ่งมีความเหนียวและแข็งแรงเพื่อนำไปทำเครื่องจักสานทั้งฝาชี ตะกร้าต่างๆ ทว่าเส้นใยนิ่มอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ภายในของต้นคลุ้มต้องนำไปกำจัดทิ้งซึ่งเป็นปัญหาในการกำจัดของเสียในชุมชนมายาวนาน ทีมวิจัยจึงคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากเส้นใยนิ่มภายในต้นคลุ้ม ให้เกิดความคุ้มค่า ตามแนวทางขยะเหลือศูนย์
[caption id="attachment_26363" align="aligncenter" width="600"] ต้นคลุ้ม (ขอขอบคุณภาพจากอุทยานธรณีสตูล)[/caption]
“ทีมวิจัยได้รับโจทย์จาก สวทช. ให้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือทิ้งจากต้นคลุ้ม จึงนำเส้นใยคลุ้ม ที่เหลือทิ้งมาล้าง อบแห้ง และนำมาปั่นได้เป็น ‘ผงเส้นใยคลุ้ม’ โดยผงเส้นใยคลุ้มที่เตรียมได้มีจุดเด่นคือทนความร้อนได้ 302 องศาเซลเซียส และหากนำมาฟอกสีให้มีสีขาวจะทนความร้อนได้สูงขึ้นเป็น 358 องศาเซลเซียส ด้วยคุณสมบัติที่สามารถทนความร้อนได้ดี จึงสนใจประยุกต์ใช้เป็นสารตัวเติมสำหรับปรับปรุงสมบัติของถาดโฟมจากแป้งมันสำปะหลัง เพื่อพัฒนาเป็น บรรจุภัณฑ์ต้นแบบ ถาดโฟมแป้งมันสำปะหลังผสมวัสดุเหลือใช้จากเส้นใยคลุ้ม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จ.สตูล สามารถนำมาใช้แทนถาดโฟมพอลิสไตรีนที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ในปัจจุบัน ซึ่งใช้เวลาย่อยสลายนานหลายร้อยปีและยังเป็นพิษกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม”
@เปลือกเมล็ดยางพาราเสริมแกร่ง ผักตบชวาเพิ่มสมบัติทนน้ำ
รศ. ดร.แก้วตา อธิบายต่อว่า นอกจากนี้ทีมวิจัยยังใช้ประโยชน์ของเปลือกลูกยาง (เปลือกเมล็ดยางพารา) ซึ่งเป็นวัสดุเหลือทิ้งในสวนยาง โดยนักศึกษาในทีมวิจัยพบว่าเปลือกเมล็ดยางพารามีความแข็งแรง จึงนำมาตัด ปั่น แยกให้มีขนาดเล็กเท่าๆ กัน และนำมาบดให้เป็นผงแห้ง เพื่อทำหน้าที่เป็นสารตัวเติมสำหรับถาดโฟมแป้งมันสำปะหลัง พบว่าเมื่อผสมผงเปลือกเมล็ดยางพารา ส่งผลให้ถาดโฟมแป้งมันสำปะหลังมีค่าความแข็งแรงสูงขึ้น 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับถาดโฟมจากแป้งที่ไม่ผสมสารตัวเติม และไม่มีความเป็นพิษสามารถนำไปเป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารได้ ทีมวิจัยยังประสบความสำเร็จโดยเลือกใช้เปลือกไข่และเปลือกกุ้ง ที่เป็นแหล่งแคลเซียมที่ได้จากธรรมชาติ (bio-calcium) มาแปรรูปเป็นผง และหน้าที่เป็นสารตัวเติมผสมกับถาดโฟมแป้งมันสำปะหลัง เพื่อปรับปรุงค่าความต้านทานต่อแรงกระแทกของถาดโฟมแป้งมันสำปะหลัง
[caption id="attachment_26362" align="aligncenter" width="700"] เมล็ดยางพารา[/caption]
[caption id="attachment_26361" align="aligncenter" width="700"] ผักตบชวา[/caption]
นอกจากนั้นแล้วอีกโจทย์ที่ท้าทายทีมวิจัยมาตลอด คือ ถาดโฟมแป้งมันสำปะหลังมักจะถูกถามเรื่องการทนน้ำ จึงเป็นที่มาของการเดินหน้าพัฒนาหาวัสดุเหลือทิ้งมาเสริมจุดเด่นนวัตกรรมให้ตอบโจทย์นี้มากขึ้น โดยทีมวิจัยนำสารตัวเติมจากผงผักตบชวา มาช่วยเสริมจุดเด่นด้านการทนน้ำ ทำให้ถาดโฟมแป้งมันสำปะหลังสามารถรักษารูปทรงได้ดีเมื่อสัมผัสกับน้ำ สามารถนำมาบรรจุผลไม้ตัดแต่งที่มีน้ำเยอะทั้ง แตงโม ส้มโอ และสับปะรดได้เป็นอย่างดี
@เพิ่มรายได้ชุมชน ลดของเสียเป็นศูนย์
ด้าน นางสาวอรุณี เกาะกลาง ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจักสานต้นคลุ้มบ้านวังตง อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล กล่าวว่า กลุ่มฯ ได้ดำเนินการผลิตภัณฑ์จักสานจากต้นคลุ้มเป็นเครื่องจักสานทั้งฝาชี ตะกร้า โคมไฟ สร้างรายได้มาเกือบ 10 ปีแล้ว ส่วนไส้ต้นคลุ้มที่เหลือทิ้งใช้ประโยชน์เพียงนำไปทิ้งใต้ต้นไม้ผล เช่น มะม่วงเพื่อให้เป็นปุ๋ยบำรุงไม้ผลเท่านั้น กระทั่งปีที่ผ่านมาทีมวิจัยได้เข้ามาศึกษาทดลองนำไส้ของต้นคลุ้มไปแปรรูปผ่านกระบวนการวิจัยเป็น ‘ผงเส้นใยคลุ้ม’ เพื่อเป็นส่วนผสมของต้นแบบถาดโฟมแป้งมันสำปะหลัง ทำให้สมาชิกเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดีในการต่อยอดใช้ประโยชน์จากต้นคลุ้ม เพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้จากวัสดุเหลือทิ้งในอนาคต ขณะเดียวกันกลุ่มฯ ยังมีแนวคิดนำองค์ความรู้จากทีมวิจัยมาใช้ประโยชน์ทำเป็นกล่องกระดาษทิชชู และกรอบรูปจากวัสดุต้นคลุ้ม ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในการใช้วัสดุจากธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
จะเห็นได้ว่า พลาสติกชีวภาพที่ได้จากการนำวัสดุเหลือใช้มาใช้ประโยชน์นั้น ช่วยลดปริมาณเศษวัสดุเหลือใช้ในชุมชน ทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเศษวัสดุเหลือทิ้ง นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ลดภาระให้กับภาครัฐและและอุตสาหกรรมในการกำจัดขยะได้อีกด้วย
BCG
ข่าว
บทความ
ตอนที่ 7 : รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
รางวัลนักวิจัยดีเด่นระดับนานาชาติ และนักวิจัยดีเด่นระดับชาติ
นักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย
https://www.youtube.com/watch?v=oUjSO20sxdM
เผยแพร่เกียรติคุณและรางวัลของนักวิจัยอาวุโส และนักวิจัย ประกอบด้วย ดร.สุภาวดี นาเมืองรักษ์ ดร.ปิติ อ่ำพายัพ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย และคณะ ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะ ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ และคณะ ดร.ดนุ พรหมมินทร์ และคณะ และ ดร.อัญชลี มโนนุกุล
30 ปี สวทช.
คลัง VDO
30th Anniversary Story of NSTDA: สวทช. พัฒนาเทคโนโลยียกระดับอุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาลสู่การทำน้อยแต่ได้มาก
อุตสาหกรรมการผลิตอ้อยเพื่อการแปรรูปเป็นน้ำตาลของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก เนื่องจากมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนการผลิตอ้อยต่ำ และยังมีทำเลที่ตั้งของประเทศอยู่ในภูมิภาคที่มีความต้องการบริโภคน้ำตาลสูง ทำให้ต้นทุนการส่งออกถูกกว่าผู้ผลิตในทวีปอื่น ส่งผลให้ไทยมีสถิติการส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับต้นของโลก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาลจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ด้วยการทำวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งการพัฒนาสายพันธุ์อ้อย การทำเกษตรสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ และการพัฒนาชุดตรวจเพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตน้ำตาลระดับอุตสาหกรรม ฯลฯ
พัฒนาสายพันธุ์อ้อยความหวานสูง เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกและเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละครั้ง เพื่อให้การเพาะปลูกอ้อยในแต่ละรอบการผลิตเกิดประโยชน์สูงสุด สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์อ้อยที่ให้ความหวานสูง แปรรูปเป็นน้ำตาลได้มาก เพื่อช่วยเพิ่มผลกำไรให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ
สวทช. โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) นำเทคโนโลยี Marker Assisted Selection หรือ MAS ที่มีประสิทธิภาพในการคัดเลือกพันธุ์สูง มาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ ทำให้ระยะเวลาในการคัดเลือกพันธุ์จาก 10-12 ปี ตามวิธีมาตรฐาน ลดลงเหลือเพียง 6 ปี และมีความแม่นยำในการคัดเลือกที่สูงกว่ามาก โดย NOC ยังได้ร่วมกับ บริษัทมิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด ดำเนิน “โครงการปรับปรุงพันธุ์อ้อยแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำตาล” เพื่อศึกษาและค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับความหวานในอ้อยสำหรับใช้คัดเลือกพันธุ์อ้อยลูกผสม โดยได้ค้นพบเครื่องหมายโมเลกุล 3 เครื่องหมาย ที่มีศักยภาพสัมพันธ์กับความหวาน คือ SEM358, ILP10 และ ILP82 นำไปสู่การพัฒนา “ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอที่มีความจำเพาะต่อเครื่องหมายยีนในวิถีเมแทบอลิซึมของน้ำตาลในอ้อย” และ “กระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์อ้อยที่มีพันธุกรรมหวานโดยใช้ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอดังกล่าว” ในการปรับปรุงพันธุ์อ้อย ซึ่งได้จดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้คณะวิจัยสามารถพัฒนาพันธุ์อ้อยที่มีศักยภาพจำนวน 9 สายพันธุ์ และมี 2 สายพันธุ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์แล้ว คือ ภูเขียว 2 (14-1-772) และภูเขียว 3 (14-1-188) ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2563 มีการนำอ้อยทั้ง 9 สายพันธุ์ ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว 550 ไร่ และจะมีการขยายผลเป็น 5,500 ไร่ ในปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ในการทำโครงการฯ ทีมวิจัยยังได้ฐานข้อมูล Transcriptome ของอ้อย ซึ่งประกอบด้วยยีนมากกว่า 46,000 transcripts ที่ไม่เพียงนำไปใช้พัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล แต่ฐานข้อมูลนี้ยังมีความสำคัญอย่างมากในการค้นหายีนใหม่ๆ ในโครงการวิจัยในอนาคต เช่น การค้นหายีนที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตทางชีวมวล (biomass productivity), การแตกกอ, การตอบสนองต่อภาวะแล้ง เป็นต้น ที่สำคัญในกระบวนการวิจัยยังได้พัฒนาโปรแกรมวิเคราะห์และประมวลภาพ Gel electrophoresis และแปลงข้อมูล Genotype profile เป็นข้อมูลดิจิทัลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ทางสถิติได้ง่าย ซึ่งจดสิทธิบัตรแล้วในชื่อ “การวิเคราะห์แถบภาพของอิเล็กโทรโฟรีซิสเจลด้วยเทคนิคการประมวลภาพ”
รายละเอียดเพิ่มเติม : การค้นหาจีโนมอ้อยความหวานสูง (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 36-39)
ก้าวสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision farming)
ในปี พ.ศ. 2562 สวทช. ดำเนินงานยกระดับการปลูกอ้อยของไทยสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ โดยร่วมมือกับพันธมิตรนำเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Internet of Things (IoTs) และเทคโนโลยีการวิเคราะห์และประมวลผล ฯลฯ มาพัฒนาให้การทำการเกษตรมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง (Precision farming)
ตัวอย่างโครงการแรก คือ ความร่วมมือในการ “พลิกโฉมการทำไร่อ้อยสู่ระบบเกษตรแม่นยำ” สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับไอบีเอ็ม และกลุ่มมิตรผล พัฒนาแดชบอร์ดอัจฉริยะและแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพอ้อยให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต โดยได้นำเทคโนโลยีชั้นนำของโลกมาใช้ในการรวบรวมข้อมูลบิ๊กเดต้า (Big data) วิเคราะห์ และประมวลผล ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลประเมินการปลูกและการจัดการความเสี่ยงแบบจำเพาะเจาะจงกับพื้นที่ได้สะดวกและทันต่อสถานการณ์ อีกทั้งยังมีข้อมูลสำหรับวางแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูกในรอบต่อไป ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีนี้จะทำให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรแบบเดิมสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ได้รวดเร็วขึ้น
อีกตัวอย่างโครงการหนึ่ง คือ “การพัฒนาเทคโนโลยีประเมินผลผลิตอ้อย (Field Practice Solutions หรือ FPS)” สวทช. ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบริษัทเอกชนได้แก่ บริษัท HG Robotics จำกัด บริษัท Global crop จำกัด บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลบ้านไร่ จำกัด บริษัทน้ำตาลสระบุรี จำกัด และบริษัทเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ ซอฟต์แวร์ภาพถ่ายดาวเทียม และ AI มาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีสำหรับวิเคราะห์การเติบโตของอ้อยในพื้นที่เพาะปลูก โรคพืช ค่าความหวาน และระยะการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม โดยเทคโนโลยีนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลไร่อ้อยได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูง
รายละเอียดเพิ่มเติม
1) สวทช. ผนึกสถาบันวิจัยไอบีเอ็ม จับมือนำ AI พลิกโฉมการทำไร่อ้อยร่วมกับกลุ่มมิตรผล (https://bit.ly/3AbR8xb)
2) ม.ขอนแก่นร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชน เปิดตัว AI โดรนวัดความหวาน ประเมินผลผลิตไร่อ้อย (https://bit.ly/3AbRfc5)
ชุดตรวจเดกซ์แทรน ป้องกันการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล
เดกซ์แทรน (Dextran) คือ สายพอลิเมอร์ของกลูโคสที่เกิดจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในน้ำอ้อย ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการผลิตน้ำตาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำให้เกิดการสูญเสียปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายของโรงงาน โดยพบว่าหากมีการปนเปื้อนของเดกซ์แทรน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำอ้อย จะสูญเสียน้ำตาลถึง 1.123 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงงาน และยังต่อเนื่องไปถึงรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ผู้ผลิตน้ำตาลจำเป็นต้องตรวจการปนเปื้อนของเดกซ์แทรนในน้ำอ้อยอยู่เสมอ เพื่อกำจัดเดกซ์แทรนที่ตรวจพบก่อนนำน้ำอ้อยเข้าสู่กระบวนการผลิต
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) โดยทีมนักวิจัยห้องปฏิบัติการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน พัฒนา “ชุดตรวจเดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล” โดยใช้หลักการ Competitive immunoassay ทำให้สามารถวิเคราะห์ปริมาณเดกซ์แทรนได้รวดเร็ว มีค่าคัตออฟของชุดตรวจที่ 1,000 ppm/brix มีความไว ความจำเพาะ และความถูกต้องในการตรวจวัดมากกว่าร้อยละ 90 การใช้งานชุดตรวจทำได้ง่าย พนักงานสามารถตรวจสอบและอ่านผลการตรวจได้จากแถบสีที่แสดงบนชุดตรวจโดยไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผล
ปัจจุบันนาโนเทคได้ส่งมอบชุดตรวจให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อใช้ควบคุมคุณภาพการผลิตของโรงงานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 สามารถช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
รายละเอียดเพิ่มเติม : ชุดตรวจเดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในการผลิตน้ำตาล (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 40-43)
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยให้มีความพร้อมในการแข่งขันระดับโลกอยู่เสมอ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำเพื่อความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการทำการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
หากสนใจเทคโนโลยีการเกษตรอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ “หนังสือ 3 ทศวรรษ สวทช. กับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่มเกษตรและอาหาร” ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/2SrBywd
BCG
ข่าว
บทความ


