ผลการค้นหา :
แกะกล่องงานวิจัย : ‘ส้อมวัดความเค็ม’ แค่จิ้มก็รู้ผลทันที
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
ส้อมวัดความเค็ม คือ อุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคทราบถึงระดับความเค็มในอาหาร โดยระบุระดับความเค็มได้ตั้งแต่เค็มน้อย เค็มปานกลาง ไปจนถึงเค็มปี๋ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีปริมาณเกลือสูง และลดพฤติกรรมการปรุงที่เกินพอดี
[caption id="attachment_70858" align="aligncenter" width="750"] ส้อมวัดความเค็ม[/caption]
📌 ดีอย่างไร ?
ใช้งานง่าย เพียงจุ่มปลายส้อมลงในอาหารส่วนที่เป็นของเหลว (อุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส) แล้วกดปุ่มเปิดการทำงาน ส้อมจะวิเคราะห์ปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) หรือโซเดียมในอาหาร และแสดงระดับความเค็มเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ไฟสีเขียว หมายถึงเค็มน้อย ความเข้มข้นของโซเดียม 0.1-0.5% (หรือมีปริมาณโซเดียม 1-5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) ไฟสีเหลือง หมายถึงเค็มปานกลาง ความเข้มข้นของโซเดียม 0.6-0.9% และไฟสีแดง หมายถึงเค็มเกินไป ความเข้มข้นของโซเดียมมากกว่า 0.9% โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้บริโภคเกลือไม่เกิน 5 กรัม/วัน หรือคิดเป็นโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
หลังจากใช้งานแล้วให้ล้างส่วนปลายส้อมที่สัมผัสอาหารด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่ แล้วเช็ดให้แห้ง แค่นี้ก็พร้อมนำใส่กระเป๋าพกพาไปใช้กับมื้อต่อไปได้เลย ทั้งนี้ส้อมวัดความเค็มมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6-7 เดือน ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่วางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
อุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้ที่ชอบบริโภคอาหารรสเค็มและผู้สูงอายุที่รับรู้รสเค็มได้น้อยกว่าปกติ ทราบระดับความเค็มของอาหารที่ไม่มีฉลากกำกับข้อมูลโภชนาการ เพื่อเลือกรับประทานได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะการบริโภคเกลือหรือโซเดียมปริมาณมากอาจนำไปสู่การเป็นโรคไตและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง
องค์การอนามัยโลกเผยข้อมูลว่า 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีภาวะไตทำงานผิดปกติ และมีผู้ป่วยประมาณ 1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากอาการไตวายเรื้อรังเนื่องจากไม่ได้เข้ารับการรักษา ขณะที่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนประชากรเป็นโรคไตเรื้อรังสูง และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 26 ในบางพื้นที่ (ข้อมูลจาก CKDNET ในปี 2565)
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักทราบว่าตนเป็นโรคไตเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 หรือเมื่อมีอาการป่วยปรากฏให้เห็นแล้ว ทำให้ไม่สามารถบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอย่างเดียวได้ และอาจต้องเข้ารักษาด้วยการฟอกไตที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 200,000 บาทต่อคนต่อปี
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงต้นแบบเพื่อเตรียมความพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ผู้สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ คุณวรัญญู ผิวทองคำ เนคเทค สวทช. โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2524 อีเมล waranyoo.phiwthongkham@nectec.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : จิ้มปุ๊บ รู้ปั๊บ “ส้อมวัดความเค็ม” เตือนผู้บริโภคเลี่ยงรับประทานอาหารเค็มเกิน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อินโฟกราฟิกแกะกล่องงานวิจัยโดย ภัทรา สัปปินันทน์
อินโฟกราฟิกส้อมวัดความเค็มโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ และฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘น้ำเชื่อมอินทผลัม’ หวานสดชื่น ช่วยรักษาสมดุลลำไส้
อินทผลัมเป็นผลไม้ที่มีการปลูกมากในซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และอียิปต์ เพราะชาวมุสลิมนิยมบริโภคผลสุกในช่วงถือศีลอด เพื่อเติมความสดชื่นและพลังงานแก่ร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงสิบปีหลังประเทศไทยเองก็เริ่มเพาะปลูกแพร่หลายมากขึ้นแล้วเช่นกัน แต่จะเน้นตัดจำหน่ายแบบผลสดที่ยังไม่สุกเต็มที่ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี มีโพแทสเซียม และมีแคลอรีต่ำกว่าผลแห้ง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทเดอะ วีร่า การ์เดน จำกัด แปรรูปอินทผลัมที่หลุดร่วงจากพวงหรือตกเกรด ให้เป็นน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ไม่เพียงหวานสดชื่น แต่ยังช่วยรักษาสมดุลในลำไส้ การวิจัยและพัฒนานี้ได้รับทุนสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.
[caption id="attachment_70532" align="aligncenter" width="450"] ดร.ภาวินี นันตา ทีมวิจัยการนำส่งเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ฟังก์ชัน นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.ภาวินี นันตา ทีมวิจัยการนำส่งเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารสัตว์ฟังก์ชัน นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ฤดูเก็บเกี่ยวอินทผลัมในประเทศไทย อยู่ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนที่ฝนตกชุก และมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ไม่เหมาะกับการปล่อยให้ผลสุกและแห้งคาต้น เกษตรกรจึงมักตัดผลสดในระยะคอลาล (Khalal) ซึ่งผลเติบโตเต็มที่แล้วแต่ยังไม่สุก เพื่อจำหน่ายในตลาดอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในประเทศ แตกต่างจากประเทศแถบตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือที่เกษตรกรมักเก็บผลผลิตในระยะตัมร์ (Tamr) ซึ่งความชื้นของผลลดลงจนเหลือต่ำกว่าร้อยละ 25 แล้ว
“อย่างไรก็ตามในการตัดจำหน่ายของเกษตรกรไทย มักมีผลสดจำนวนหนึ่งที่หลุดร่วงออกจากพวง รวมถึงมีผลที่ตกเกรดทำให้จำหน่ายไม่ได้ราคา ทีมวิจัยจึงได้ช่วยพัฒนาวิธีสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยแปรรูปผลเหล่านั้นเป็นน้ำเชื่อม แล้วนำน้ำตาลซูโครสจากน้ำเชื่อมดังกล่าว (ซูโครสเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่พบได้ในผลสดในระยะคอลาล) มาแปรรูปให้เป็นสารฟรักโทโอลิโกแซ็กคาไรด์ (Fructo-oligosaccharide: FOS) ซึ่งเป็นพรีไบโอติกหรือแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์ ทำให้น้ำเชื่อมที่ได้นอกจากจะมีฟรักโทส และกลูโคสแล้ว ยังมีสารพรีไบโอติกเป็นส่วนประกอบ ผู้บริโภคจะได้รับทั้งความสดชื่น พลังงาน และสารปรับสมดุลลำไส้ในคราวเดียวกัน”
น้ำเชื่อมอินทผลัมที่ทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนา ผ่านการทดสอบในสัตว์ทดลองโดยภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลการทดสอบพบว่า สัตว์ทดลองที่บริโภคน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ผ่านการแปรรูปน้ำตาลซูโครสให้เป็นสารพรีไบโอติก จะมีสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ดีกว่าสัตว์ทดลองที่บริโภคน้ำเชื่อมอินทผลัมที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปเพิ่ม
ดร.ภาวินี อธิบายว่า นอกจากสัตว์ทดลองจะมีสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ดีกว่า ยังพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่ช่วยลดความเป็นกรด-ด่างและช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ลำไส้ รวมทั้งจุลินทรีย์กลุ่มที่ช่วยลดการอักเสบของเยื่อบุลำไส้และช่วยเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญด้วย ผลิตภัณฑ์นี้จึงตอบโจทย์การเป็นอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพที่กำลังมีความต้องการสูงจากทั้งผู้บริโภคในไทยและต่างประเทศ โดยจากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าช่วงปี 2567-2573 (2024-2030) ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพลำไส้ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.3 ต่อปี
“ผลิตภัณฑ์น้ำเชื่อมอินทผลัมนำไปบริโภคได้หลายรูปแบบ ทั้งละลายในน้ำอุ่นให้ได้เป็นเครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอินทผลัม นำไปใช้ทดแทนน้ำเชื่อมในเครื่องดื่มชงประเภทต่าง ๆ รวมถึงใช้เป็นซอสหรือเดรสซิงในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรบริโภคตามคำแนะนำข้างบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ปัจจุบันสถานะของเทคโนโลยีนี้อยู่ในขั้นตอนขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งหลังจากขึ้นทะเบียนเสร็จเรียบร้อย จะวางจำหน่ายทางช่องทางต่าง ๆ ต่อไป”
นวัตกรรม ‘น้ำเชื่อมอินทผลัม’ เป็นหนึ่งในตัวอย่างผลงานสำคัญที่สะท้อนศักยภาพของนักวิจัยไทยในการส่งเสริมการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน และการผลักดันผลิตภัณฑ์อาหารไทยสู่ตลาดอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพในระดับโลก ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช. และจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ชีวภัณฑ์ ‘ไวรัส NPV’ ชนิดกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
‘หนอนเจาะฝักถั่ว’ หรือ ‘หนอนเจาะฝักลายจุด’ เป็นปัญหาภัยคุกคามที่เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชตระกูลถั่วในประเทศไทยกำลังเผชิญ โดยเฉพาะถั่วฝักยาว ที่โดนหนอนเจาะฝักถั่วกัดกินดอกและเมล็ดในฝักจนเสียหาย ทำให้ผลผลิตต่อรอบลดลงถึงร้อยละ 25 ที่ผ่านมาเกษตรกรต้องหันมาใช้สารเคมีปริมาณมากเพื่อกำจัดหนอน กระทั่งปี 2559 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช หรือ Thai-PAN ได้ออกรายงานเตือนผู้บริโภคว่า ร้อยละ 66.7 ของถั่วฝักยาวที่จำหน่ายทั่วไปในไทยมีสารเคมีตกค้างมากเกินกำหนด
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตไวรัส NPV สำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว หรือ MaviMNPV (Maruca vitrata multi-nucleopolyhedrovirus) เพื่อเป็นทางเลือกในการลดใช้สารเคมี และจัดการปัญหาศัตรูพืชอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_70389" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะฝักถั่ว[/caption]
[caption id="attachment_70390" align="aligncenter" width="750"] ไวรัส NPV สำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่ว[/caption]
📌 ดีอย่างไร ?
เมื่อหนอนเจาะฝักถั่วกินไวรัส NPV เข้าไป จะเกิดความเสียหายบริเวณกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนจากสีขาวนวลไปเป็นสีชมพูเข้ม หนอนป่วยจะกินอาหารน้อยลง เคลื่อนไหวช้าลง และตายภายใน 3-4 วัน (ขึ้นอยู่กับขนาดตัวหนอนและปริมาณของสาร NPV ที่หนอนกินเข้าไป) โดยไม่ทำให้หนอนดื้อยา ที่สำคัญไวรัส NPV ชนิดนี้มีกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะต่อหนอนชนิดนี้เท่านั้น จึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
การฉีดพ่นไวรัส NPV สามารถปรับเพิ่มหรือลดอัตราการใช้สารตามระดับความรุนแรงของการระบาดได้ ซึ่งแตกต่างจากการใช้สารเคมีทั่วไป จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการกำจัดและควบคุมการระบาดด้วยไวรัส NPV ถูกลงในภาพรวม นอกจากนี้ยังตอบโจทย์เรื่องการลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก เพื่อยกระดับสู่การผลิตผักปลอดสารได้ด้วย
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
ปัจจุบัน ไบโอเทค สวทช. กำลังเปิดรับเกษตรกรผู้ผลิตถั่วฝักยาวที่สนใจใช้งานผลิตภัณฑ์ NPV หนอนเจาะฝักถั่วเข้าร่วมจัดทำแปลงสาธิต โดยทีมวิจัยจะสนับสนุนด้านการวางแผนควบคุมศัตรูพืชภายในพื้นที่เพาะปลูก ตั้งแต่ระยะการระบาดจนถึงระยะควบคุมการกลับมาระบาดซ้ำ ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310 ส่วนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงต้นปี 2569
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สวทช. เปิดตัว “NPV หนอนเจาะฝักถั่ว” นวัตกรรมชีวภาพปราบหนอนร้ายในถั่วฝักยาว หนุนพืชเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Rachel รุ่น Everyday บอดีสูทเสริมการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกอิริยาบถ
ทุกวันนี้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ แต่คำว่า ‘สูงอายุ’ ไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองที่ลดลงอย่างมากเหมือนแต่ก่อน เพราะปัจจุบันผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใส่ใจดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยหนุ่มสาวมากขึ้น แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ยังคงดูแลกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้เป็นอย่างดี และสนุกกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ต่างจากวัยทำงาน ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยืดช่วง active aging หรือช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยตนเองให้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสริมความมั่นใจในการเคลื่อนไหวและช่วยลดความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) พัฒนา Rachel (เรเชล) รุ่น Everyday ชุดชั้นในทรงบอดีสูท (bodysuit) ช่วยกระตุ้นการปรับท่าทางให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เสริมแรงการเคลื่อนไหว ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก
[caption id="attachment_70298" align="aligncenter" width="750"] ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่วิจัยและพัฒนาโดยนักวิจัยเอ็มเทค สวทช. และบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) โดยบูรณาการเทคโนโลยีการออกแบบ เลือกใช้เนื้อผ้า และตัดเย็บ เพื่อให้ได้ชุดบอดีสูทที่ช่วยปรับท่าทางของไหล่ หลัง สะโพก และต้นขาให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม เพื่อลดสาเหตุการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูก เช่น เมื่อผู้สวมใส่นั่งห่อไหล่และหลังค่อมจะเกิดแรงต้านที่ชุด และเกิดแรงย้อนกลับ (rebound force) เป็นแรงผลักเบา ๆ ช่วยให้ร่างกายยืดไหล่และหลังให้เหยียดตรง ฝึกให้ร่างกายปรับสู่ท่าทางที่ถูกต้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ชุด Rachel ได้รับการออกแบบให้ช่วยเสริมแรงการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุได้ โดยความตึงของชุดที่พอเหมาะในแต่ละจุดจะช่วยให้ผู้สวมใส่รับรู้ถึงตำแหน่งของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้สวมใส่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถได้มั่นคงขึ้นกว่าเดิม ช่วยเสริมความมั่นใจในการลุกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อชะลอการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อด้วย จากการทดสอบใช้งานจริง กลุ่มผู้ทดลองสะท้อนว่า พวกเขาเริ่มนั่งหลังตรงได้อัตโนมัติและลุก-นั่งสะดวกขึ้น”
[caption id="attachment_70297" align="aligncenter" width="450"] Rachel รุ่น Everyday[/caption]
Rachel รุ่น Everyday เป็นผลงานที่บูรณาการเทคโนโลยีหลายศาสตร์ นอกจากการออกแบบ คัดเลือกเนื้อผ้า และตัดเย็บดังที่กล่าวถึงข้างต้น ยังมีเทคโนโลยีอีก 3 ศาสตร์สำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ คือ Biomechanics (ไบโอเมคานิกส์) ศาสตร์การเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ Ergonomics (เออร์โกโนมิกส์) ศาสตร์การออกแบบของใช้ให้เหมาะกับการใช้งาน และ Electromyography (อิเล็กโทรไมโอกราฟี) ศาสตร์การทดสอบไฟฟ้ากล้ามเนื้อ เพื่อวัดว่าอุปกรณ์ที่สวมใส่ช่วยลดภาระการใช้งานกล้ามเนื้อในระดับที่เหมาะสมได้จริงหรือไม่
ในการวิจัยและพัฒนา เอ็มเทค สวทช. ยังได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในการทดสอบเชิงคลินิกเพื่อพัฒนาชุดให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับนำผลงาน Rachel รุ่นอื่น ๆ เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้
ดร.วรวริศ เล่าว่า ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนา Rachel รุ่น Everyday ประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดย Rachel รุ่นที่จะวางจำหน่ายในอนาคตอันใกล้ผ่านการออกแบบให้มีรูปทรงหลากหลายเพื่อรองรับสรีระผู้หญิงและผู้ชาย มีให้เลือกถึง 7 ขนาด ชุดสวมใส่ได้ง่าย ระบายอากาศดี ไม่ร้อน ไม่อับชื้น มีช่องเปิดสำหรับทำธุระในห้องน้ำสะดวก และซักด้วยเครื่องซักผ้าได้เหมือนชุดชั้นในทั่วไป ทั้งนี้เพื่อให้ผู้สูงอายุใส่ได้อย่างมีความสุขและสะดวกสบายในทุกวัน
Rachel รุ่น Everyday เตรียมวางจำหน่ายโดยบริษัทไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ช่วงปลายปี 2568 ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เร็ว ๆ นี้ ทางเว็บไซต์ www.wacoal.co.th และช่องทางโซเชียลมีเดียของบริษัท
ผู้ให้การสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนา
นายกนกลักษณ์ ดูการณ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์อบรมแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรม แพ็ทเทิร์น ไอที
รศ. ดร.วีรวัฒน์ ลิ้มรุ่งเรืองรัตน์ อาจารย์ วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล
ผศ. นพ.บวรรัฐ วนดุรงค์วรรณ ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
นายพิชิตพล เกิดสมนึก นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพถ่ายโดย ชุมพล พินิจธนสาร และคุณากร เจริญวงศ์ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. และภาพจาก shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ชุมชนรักษ์อาหาร” สานพลังท้องถิ่นกอบกู้อาหารส่วนเกิน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน
ในแต่ละวันมีอาหารเหลือทิ้งมากมาย มีทั้งอาหารปรุงสุก/อาหารพร้อมรับประทานที่จำหน่ายไม่หมด เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้สด ไปจนถึงวัตถุดิบที่ใกล้หมดอายุ ซึ่งอาหารเหล่านี้จำนวนมหาศาลต้องกลายเป็นขยะทั้งที่ยังสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารที่มีคุณค่าได้อีกมากมาย การสูญเสียอาหาร (Food loss) และขยะอาหาร (Food waste) ไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรและโอกาสในการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีขยะอาหารมากถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในขยะอาหารเหล่านั้นมีอาหารที่ยังสามารถนำกลับมารับประทานได้ หรือ “อาหารส่วนเกิน” (Food surplus) มากถึง 3.7 ล้านตัน ในขณะเดียวกันยังมีประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร และไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อย่างเหมาะสม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้ร่วมกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ หรือ SOS (Scholars of Sustenance Foundation) และหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนผู้ผลิตอาหาร ภาคประชาสังคม และชุมชน ดำเนินงานโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อการจัดตั้งเป็นธนาคารอาหารของประเทศไทย (Thailand’s Food Bank) โดยมีเป้าหมายในการขยายผลการจัดการอาหารส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ส่งต่ออาหารไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ
[caption id="attachment_69995" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
กอบกู้อาหารส่วนเกิน ลดขยะอาหาร ปันอิ่มสู่ชุมชน
มูลนิธิ SOS ได้ริเริ่มโครงการรักษ์อาหารขึ้นด้วยความตระหนักถึงปัญหาอาหารเหลือทิ้งและความมั่นคงทางอาหาร ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ด้อยโอกาสและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง โดยดำเนินการกอบกู้อาหารส่วนเกินจากผู้ผลิตอาหารในเครือข่ายของหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร้านสะดวกซื้อ โรงแรม และร้านอาหาร ซึ่งเป็นผู้บริจาคอาหาร และนำอาหารเหล่านี้ส่งต่อให้แก่เครือข่ายผู้รับบริจาคอาหาร ทั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน
ดร.จุฬารัตน์อธิบายว่า การกอบกู้อาหารส่วนเกิน (Food rescue) อาศัยกระบวนการทำงานของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้บริจาคอาหาร ตัวกลางกอบกู้อาหาร และผู้รับบริจาค แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหาในเรื่องการขยายผล เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนตัวกลางกอบกู้อาหาร และงบประมาณในการดำเนินการ จึงเป็นที่มาของการจัดทำกลไก “ชุมชนรักษ์อาหาร หรือ Local food rescue” โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและบุคลากรในท้องถิ่นเข้ามาช่วยดำเนินงาน เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ไปในเวลาเดียวกัน โดยมีเป้าหมายขยายผลการดำเนินงานไปสู่ 8 จังหวัดในปี 2568 ซึ่งได้เริ่มนำร่องที่จังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดแรก
“การดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องของบุคลากรผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับส่งอาหาร หากมูลนิธิไม่สามารถขยายการทำงานไปทั่วประเทศได้ด้วยตนเอง ทีมงานจึงต้องมองหาเครือข่ายหรือกลุ่มบุคคลที่สามารถเข้ามารับบทบาทนี้แทนได้ และทีมงานพบว่าภายในชุมชนเองก็มีเครือข่ายจิตอาสาและอาสาสมัครอยู่แล้ว เช่น อสม. อพม. ซึ่งเป็นผู้ที่มีความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคมอยู่เดิม ด้วยเหตุนี้ จึงเห็นว่าการใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ในชุมชน พร้อมกับการอบรมและเสริมศักยภาพให้พวกเขาสามารถดำเนินงานด้านการจัดการอาหารส่วนเกินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้”
สานต่อความสำเร็จ “ชุมชนบางพูน” สู่ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล”
ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า ที่ผ่านมามูลนิธิ SOS ได้ดำเนินโครงการรักษ์อาหารร่วมกับชุมชนบางพูน ตำบลบางพูน อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จนประสบความสำเร็จ และสามารถเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุนชนอื่นได้ จึงเกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน” โดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหาร (Local food rescue) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในจังหวัดปทุมธานี เช่น ผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ประสบภัย ควบคู่ไปกับการลดปริมาณขยะอาหารในพื้นที่ โดยมุ่งสู่การพัฒนา “ปทุมธานีต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกิน” หรือ “ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล” (Pathum Thani Food Bank Model)
[caption id="attachment_69996" align="aligncenter" width="750"] ดร.ปัทมาพร ประชุมรัตน์ หัวหน้าชุดโครงการพัฒนาเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดปัญหาขยะอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
“ความสำเร็จของชุมชนรักษ์อาหาร คือ การที่ชุมชนสามารถเริ่มต้น เรียนรู้ และพร้อมจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นได้ ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ชุมชนบางพูน จังหวัดปทุมธานี แม้โครงการยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่ชุมชนนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจอย่างแรงกล้า ด้วยจิตอาสาอย่างแท้จริง พวกเขาลงมือทำเองทุกขั้นตอน ทั้งรับการฝึกอบรมจากมูลนิธิ SOS การจดบันทึกข้อมูล และการเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับเรา โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว เช่น ค่าน้ำมันรถในการรับ-ส่งอาหาร
“ปัจจุบันชุมชนบางพูนได้เริ่มรับอาหารจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแม็กซ์แวลูคลอง 2, แม็กซ์แวลูลาดสวาย, ฟิวเจอร์พาร์ค และตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และพวกเขาก็ทำมาอย่างต่อเนื่องมากว่า 2 ปีแล้ว และทำได้อย่างดีด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องตระหนัก คือ ชุมชนไม่ควรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปตลอดโดยลำพัง จึงเป็นที่มาของ "ปทุมธานีฟูดแบงก์โมเดล" ที่ทีมงานเริ่มต้นในวันนี้ เพื่อเข้ามาเป็นกลไกสนับสนุนชุมชนบางพูน ทั้งในด้านทรัพยากรและงบประมาณบางส่วน เพื่อให้พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน”
[caption id="attachment_70000" align="aligncenter" width="750"] สวทช. มูลนิธิ SOS องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี ในการดำเนินโครงการ “การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน”[/caption]
ใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการอาหารให้ปลอดภัย สร้างความมั่นใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
ดร.ปัทมาพร ยังชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายหลักของการขับเคลื่อนชุมชนรักษ์อาหาร คือ "ความปลอดภัยของอาหาร" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สุด ที่ต้องให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะการฝึกอบรมและการให้ความรู้แก่กลุ่มอาสาสมัครในชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจว่า “อาหารปลอดภัย” หมายถึงอะไร และจะต้องจัดการกับอาหารแต่ละประเภทอย่างไรให้ถูกต้อง เพราะหากเกิดความผิดพลาดในกระบวนการเหล่านี้ ผลกระทบอาจร้ายแรงต่อผู้รับอาหาร ดังนั้นจุดนี้จึงเป็น "จุดวิกฤต" ที่ต้องบริหารจัดการให้ดี หากเราสามารถทำให้ชุมชนเข้าใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ความท้าทายอื่น ๆ จะลดลงอย่างมาก
ทั้งนี้ สวทช. ได้นำองค์ความรู้จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในสังกัด สวทช. เรื่อง แนวปฏิบัติอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารบริจาค (Food Safety Guideline for Food Donation) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการอาหารให้มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ซึ่งมีทั้งแนวทางปฏิบัติตั้งแต่ขั้นตอนการรับอาหาร การเก็บรักษาอาหาร การขนส่ง การแจกจ่ายอาหาร หลักปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสอาหาร เช่น การแช่แข็งอาหารส่วนเกินและติดฉลากใหม่ การระบุวันที่และระยะเวลาที่แนะนำ ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายและการควบคุมอันตราย เช่น สารเคมี สารก่อภูมิแพ้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เพื่อให้อาหารที่นำไปแจกจ่ายยังคงมีความปลอดภัยและเหมาะสมต่อการบริโภค ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้บริจาคว่าอาหารที่บริจาคไปแล้วนั้นได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและจะไม่เกิดปัญหากับผู้บริโภค ส่วนผู้รับก็มั่นใจได้ว่าอาหารที่รับมานั้นมีคุณภาพและปลอดภัยต่อการบริโภคอย่างแท้จริง
[caption id="attachment_69999" align="aligncenter" width="750"] สวทช. ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปช่วยในการบริหารจัดการอาหารส่วนเกิน[/caption]
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ สวทช. นำไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการอาหาร คือ แพลตฟอร์มแนะนำการจับคู่ความต้องการและอาหารบริจาคแบบอัตโนมัติ ที่พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
“หนึ่งในประเด็นที่เราพบจากการทำวิจัยเชิงนโยบาย คือ ความกังวลของผู้บริจาค ที่มักตั้งคำถามว่าอาหารที่บริจาคไปนั้น ถึงมือผู้ที่ต้องการจริงหรือไม่ มีการนำไปขายต่อหรือส่งต่อให้บุคคลเฉพาะกลุ่มหรือเปล่า แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้เราตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยระบุได้ว่า อาหารล็อตไหนมาจากที่ใด และถูกส่งต่อไปถึงใครอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อมั่นกับทั้งผู้บริจาคและผู้รับ อีกทั้งในอนาคตเราตั้งใจจะต่อยอดแพลตฟอร์มช่วยในการออกแบบการจัดสรรอาหารให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้รับแต่ละกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านโภชนาการ เป็นการยกระดับการจัดการอาหารส่วนเกินให้มีทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และมีความยั่งยืน” ดร.ปัทมาพร ให้ข้อมูล
นอกจากนี้ สวทช. ยังได้นำแพลตฟอร์มการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ที่พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ในสังกัด สวทช. มาประยุกต์ใช้กับการจัดการอาหารส่วนเกิน เพื่อคำนวณว่าในการบริจาคอาหารแต่ละครั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริจาค ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร และอาจนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
“การขยายผลโครงการบริหารจัดการอาหารส่วนเกินเพื่อลดขยะอาหารและสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชนโดยใช้กลไกชุมชนรักษ์อาหารยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ หรือ SDGs ในเป้าที่ 2 คือ Zero hunger ที่มุ่งการขจัดความหิวโหย สร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางและผู้มีรายได้น้อย และเป้าที่ 12 คือ Responsible consumption and production ที่มุ่งลดปริมาณขยะอาหารและการสูญเสียอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยทั้งสองเป้าหมายนี้สามารถแก้ไขไปพร้อมกันได้ด้วยแนวทางที่เชื่อมโยงกัน หากเราสามารถนำอาหารส่วนเกินจากการผลิต หรืออาหารที่สูญเสียไปในกระบวนการผลิต มาส่งต่อให้แก่ผู้ที่ขาดแคลนหรือกลุ่มผู้หิวโหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยแก้ปัญหาทั้งเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการลดขยะอาหารไปพร้อมกันในคราวเดียว” ดร.ปัทมาพรกล่าว
แม้โครงการขยายผล “ชุมชนรักษ์อาหาร” จะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการที่จังหวัดปทุมธานีเป็นแห่งแรก แต่คณะทำงานคาดหวังว่าจะสามารถขยายผลออกไปให้ได้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีแหล่งอาหารส่วนเกินจำนวนมาก สามารถจัดวางระบบให้เกิดการแบ่งปันระหว่างจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ จะช่วยให้การจัดการอาหารส่วนเกินเกิดประโยชน์สูงสุด และตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องมี “ธนาคารอาหาร” หรือฟูดแบงก์ในทุกจังหวัด แต่มีจุดกระจายศูนย์กลางที่สามารถเชื่อมโยงและสนับสนุนพื้นที่ใกล้เคียงได้ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบการแบ่งปันที่ยั่งยืน และขยายผลได้อย่างแท้จริงในระดับประเทศ
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ‘คิดไบรท์ ไมโครเอไอ’ ฝึกสร้าง AIoT ในแพลตฟอร์มเดียว
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
ทุกวันนี้เทคโนโลยี AI เข้ามามีอิทธิพลในการใช้ชีวิตของผู้คนแทบทุกมิติ คนรุ่นใหม่จึงจำเป็นต้องรู้เท่าทันและใช้เทคโนโลยี AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุ ‘การเรียนรู้วิธีสร้างโมเดล AI เพื่อประมวลผลข้อมูล’ เป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า เพื่อเตรียมความพร้อมทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชนไทยแล้ว
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ) แพลตฟอร์มฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT (Artificial Intelligence of Things) แบบครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อการเรียนรู้ที่เป็นระบบ ง่าย และสนุก
แพลตฟอร์ม KidBright μAI ประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือ บอร์ดสมองกลฝังตัว ทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ AIoT ตัวบอร์ดจะมาพร้อมอุปกรณ์รับสัญญาณภาพและเสียง ตัวรับสัญญาณไวไฟ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูล (จอและลำโพง) และพอร์ตสำหรับต่อเซนเซอร์จากภายนอก ส่วนที่สองคือ เว็บแอปพลิเคชัน KidBright μAI IDE สำหรับฝึกสร้างโมเดล AI และเขียนโค้ดควบคุมอุปกรณ์
ปัจจุบัน KidBright μAI IDE ใช้สร้างโมเดล AI ได้ 3 ประเภท คือ Image Classification จำแนกประเภทของภาพ Object Detection จำแนกและระบุตำแหน่งวัตถุภายในภาพ และ Voice Classification จำแนกประเภทเสียง ซึ่งทักษะการพัฒนาโมเดลเหล่านี้นำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น สมาร์ตโฟน ยานยนต์ การแพทย์ รวมถึงใช้ควบคุมสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม
📌 ดีอย่างไร ?
จุดเด่นของ KidBright μAI คือ เรียนรู้ง่าย เหมาะสำหรับใช้ปูพื้นฐานการเขียนโค้ด ฝึก AI และสร้างอุปกรณ์ AIoT ขั้นตอนการเรียนรู้ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลัก ขั้นแรกคือการฝึกโมเดล AI ผ่านการสร้างชุดข้อมูล การกำกับข้อมูล และการเลือกฟังก์ชันการฝึกที่เหมาะสม ขั้นที่สองคือการฝึกเขียนโค้ดด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) เพื่อให้บอร์ดประมวลผลและทำงานตามที่กำหนด เช่น หากผู้เรียนฝึกให้โมเดล AI จำแนกประเภทภาพได้แล้วว่าเป็นสุนัขหรือแมว ก็อาจเขียนโค้ดสั่งการทำงาน เช่น หากกล้องของบอร์ดจับภาพสุนัขให้เล่นเสียง ‘โฮ่ง’ แต่หากกล้องจับภาพแมวให้เล่นเสียง ‘เหมียว’ แทน
การเรียนรู้ที่เป็นระบบและต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจแบบองค์รวม เชื่อมโยงองค์ความรู้และประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การเรียนรู้ที่ง่าย สนุก และรวดเร็ว จะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เรียนไม่มีบอร์ด KidBright μAI ก็สามารถเรียนรู้ทุกขั้นตอนได้ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน KidBright AI โดยในแอปฯ จะมีระบบจำลองสถานการณ์ (Simulation) ที่มีหุ่นยนต์ ‘น้องขนมชั้น’ คอยรอรับคำสั่งและแสดงผลให้เห็นแทนการแสดงผลผ่านบอร์ด
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
แพลตฟอร์ม KidBright μAI เป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการสร้างรากฐานทักษะแห่งอนาคตให้แก่เยาวชน เพราะการเรียนรู้การเขียนโค้ด การสร้างโมเดล AI รวมถึงการสร้างอุปกรณ์ AIoT นอกจากจะเป็นการปูพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์แล้ว ยังช่วยให้พวกเขาได้ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ พร้อมนำไปใช้ต่อยอดการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น และนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญ KidBright μAI ยังเรียนรู้ได้จากทุกที่ ทุกเวลา จึงช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพิ่มโอกาสให้เด็กไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้อย่างเท่าเทียม
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
เนคเทค สวทช. ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตบอร์ด KidBright μAI ให้แก่บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ โดยมีการจัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังได้นำอุปกรณ์ KidBright (KidBright Coding และ KidBright μAI) ไปถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการจัดกระบวนการสอนให้แก่ครูและอาจารย์แล้วมากกว่า 10,000 คน จากกว่า 7,000 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ มีนักเรียนเข้าใช้งานแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้ง
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : ‘KidBright μAI’ ฝึกเขียนโค้ด สร้างโมเดล AI และอุปกรณ์ AIoT ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย เนคเทค สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Solar Sure แพลตฟอร์มตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวาง สร้างความคุ้มค่าแผงโซลาร์ฯ มือสอง
ปัจจุบันเทรนด์การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากประชาชนและภาคธุรกิจหันมาพึ่งพาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดผลกระทบจากราคาค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีแม้โซลาร์เซลล์จะเป็นทางเลือกด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ แต่หากไม่มีการวางแผนการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้วอย่างเหมาะสม โซลาร์เซลล์จะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่หวนกลับมาทำร้ายโลกอีกครั้ง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา "Solar Sure (โซลาร์ ชัวร์)" แพลตฟอร์มจัดการข้อมูลและคัดกรองคุณภาพโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการนำแผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้งานแล้วแต่ยังมีสมรรถนะสูงให้กลับมาใช้ซ้ำได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม
[caption id="attachment_69759" align="aligncenter" width="750"] ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีปริมาณการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ประมาณ 8 กิกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนแผงไม่น้อยกว่า 40 ล้านแผง น้ำหนักไม่น้อยกว่า 600,000 ตัน เมื่อแผงโซลาร์เซลล์เหล่านี้ถูกปลดระวางด้วยสาเหตุต่าง ๆ เช่น ชำรุด เสื่อมสภาพ ประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติ พื้นที่ถูกนำไปใช้งานอื่น หรือผู้ประกอบการขายไฟฟ้าคุ้มทุนแล้ว แผงโซลาร์เซลล์บางส่วนจะถูกนำไปขายต่อเป็นแผงมือสอง
“แผงโซลาร์เซลล์มือสองที่มีการซื้อ-ขายกันในปัจจุบัน ยังไม่มีเกณฑ์ตรวจสอบแบ่งเกรดแผงที่ยังใช้ได้ ทำให้แผงโซลาร์เซลล์มีหลายระดับคุณภาพ ราคามีความหลากหลาย ไม่มีการกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจน ซึ่งบางครั้งผู้ซื้อก็ประสบปัญหาถูกหลอกลวง ได้รับสินค้าที่ใช้งานไม่ได้หรือเป็นของที่มีคุณภาพไม่คุ้มกับราคาที่จ่าย รวมทั้งไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน ส่วนแผงที่แตกหักเสียหายอย่างชัดเจนจะถูกนำไปฝังกลบ เนื่องจากเป็นวิธีกำจัดที่ต้นทุนต่ำสุด”
[caption id="attachment_69764" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์ฟาร์ม[/caption]
[caption id="attachment_69763" align="aligncenter" width="750"] โซลาร์เซลล์ที่ปลดระวางแล้ว[/caption]
ทุกวันนี้เริ่มมีการปลดระวางแผงโซลาร์เซลล์จากโซลาร์ฟาร์ม และในไม่ช้าจะมีปริมาณแผงโซลาร์เซลล์ที่ถูกปลดระวางจำนวนมาก ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแพลตฟอร์มการจัดการแผงโซลาร์เซลล์มารองรับสถานการณ์ เพื่อส่งเสริมการใช้ซ้ำแผงโซลาร์เซลล์ให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure เป็นแพลตฟอร์มตรวจคัดกรองโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว โดยแพลตฟอร์มจะมีซอฟต์แวร์ประเมินระดับคุณภาพและเก็บข้อมูลว่าแผงโซลาร์เซลล์นั้นยังมีประสิทธิภาพเหลืออยู่เท่าใด ปลอดภัยต่อการนำกลับมาใช้งานหรือไม่ พร้อมทั้งคาดการณ์อายุการใช้งานที่เหลืออยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในการนำไปใช้งานต่อ
“Solar Sure สามารถบันทึกข้อมูลสถานที่ สเปกยี่ห้อรุ่นของแผง สแกนบาร์โค้ด บันทึกภาพถ่าย ให้คะแนนการตรวจ ใส่ข้อมูลจำเพาะของแผงที่ได้จากการวัดคุณสมบัติทางไฟฟ้า ประมวลผลคำนวณค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุด และอัตราการเสื่อมสภาพ จากนั้นจะแบ่งระดับคุณภาพแผงออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่ A+, A, B, C, D, และ F ทั้งนี้ยังสามารถเลือกให้ประเมินตามเกณฑ์ของมาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว คือ มศอ. 1011-2565 พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ออกฉลาก และรายงานสอดคล้องตามมาตรฐาน”
นอกจากนี้ Solar Sure ยังใช้บันทึกข้อมูลตรวจแบ่งเกรดแผงได้ทุกประเภท ประมวลผลได้รวดเร็ว จัดเก็บข้อมูลแผงได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ สะดวกในการใช้เก็บข้อมูลหน้างานจริง สามารถนำเข้าข้อมูลแผงได้ทั้งทาง Mobile application บนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS หรือทาง Website
ดร.อมรรัตน์ กล่าวว่า Solar Sure ผ่านการทดสอบฟังก์ชันการใช้งาน การทดสอบความเค้น การทดสอบปริมาณ การทดสอบความปลอดภัย และการทดสอบการใช้งานในสภาวะแวดล้อมจริง อีกทั้งได้ทดสอบเก็บข้อมูลแผงเซลล์แสงอาทิตย์ใช้แล้วทั้งชนิดผลึกซิลิคอนและฟิล์มบางแบบต่าง ๆ ที่มีการใช้งานในประเทศไทย จำนวนรวม 1,350 แผง พบว่า สามารถเก็บข้อมูลที่หน้างานได้ครบถ้วน ถูกต้อง และรวดเร็ว ปัจจุบันมีการนำSolar Sure ไปใช้ตรวจสอบแผงโซลาร์เซลล์ในโซลาร์ฟาร์มแล้ว 10 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี อยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบูรณ์ ปราจีนบุรี สระแก้ว ชัยภูมิ และหนองคาย
“สำหรับตัวอย่างการนำแผงโซลาร์เซลล์ไปใช้ซ้ำ เช่น แผงที่ยังมีสมรรถนะเกิน 70% สามารถนำไปใช้ในรูปแบบของระบบโซลาร์เซลล์แบบออฟกริด (Off-grid) คือ ระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่เชื่อมต่อกับสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า เช่น ระบบโซลาร์ปั๊มน้ำในการเกษตร ส่วนกรณีที่แผงมีสมรรถนะต่ำกว่า 50% แต่กายภาพยังดีอยู่สามารถนำไปใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ฉากกั้นโต๊ะทำงานในออฟฟิศ หรือแผงกั้นห้องประชุมได้ ถือเป็นแนวทางการนำแผงโซลาร์เซลล์ปลดระวางมาใช้ซ้ำอย่างคุ้มค่า ช่วยลดซากขยะแผงโซลาร์ก่อนเวลาอันควร”
นอกจากการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยคัดกรองและยืดอายุการใช้งานแผงโซลาร์เซลล์แล้ว คณะวิจัยยังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงาน และสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) จัดทำและผลักดัน “มาตรฐานการตรวจสอบความพร้อมใช้ของแผงโซลาร์เซลล์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐมีแนวทางการจัดการซากแผง ยืดอายุการใช้งาน เพิ่มความคุ้มค่า ชะลอปริมาณขยะจากซากแผงโซลาร์เซลล์ รวมถึงมีมาตรการรองรับการส่งซากแผงมาทิ้งจากต่างประเทศได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบอร์ด สมอ. ได้มีมติเห็นชอบมาตรฐาน “แผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว” หรือ “แผงโซลาร์เซลล์มือสอง” มอก. 4410-2568 เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา”
Solar Sure นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในการนำแผงปลดระวางจากโซลาร์ฟาร์มไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อนการทิ้งทำลาย ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาดโซลาร์เซลล์ของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดในประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจแพลตฟอร์ม Solar Sure ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.อมรรัตน์ ลิ้มมณี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 2711 หรืออีเมล amornrat.lim@entec.or.th
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. และฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ภาพประกอบโดย เอ็นเทค สวทช. และจาก Shutter Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไวรัสเอ็นพีวี (NPV) ตัวช่วยฝ่าวิกฤตหนอนดอกดาวเรือง
‘ดาวเรือง’ เป็นไม้ดอกสีเหลืองที่เติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของประเทศ และปลูกหมุนเวียนได้ทุกฤดูกาล อีกทั้งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้เฉลี่ยมากกว่า 100,000 บาทต่อไร่ต่อรอบ ยิ่งช่วงเข้าพรรษาและวันพระใหญ่ ตลาดจะยิ่งมีความต้องการสูง (ฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ปี 2563) ทว่าช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรกลับต้องเผชิญปัญหาศัตรูพืชอย่างหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนกระทู้ผักดื้อยาอย่างหนัก จนผลผลิตเสียหายกว่าร้อยละ 60 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และโอกาสทางธุรกิจ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำสารชีวภัณฑ์ ‘ไวรัสเอ็นพีวี (Nucleopolyhedrovirus: NPV)’ ไวรัสก่อโรคในแมลงช่วยปราบศัตรูพืชแบบอยู่หมัด และเป็นแนวทางลดการใช้สารเคมีอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_69310" align="aligncenter" width="750"] สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า NPV คือ ไวรัสก่อโรคในแมลงที่มีความจำเพาะกับหนอนของแมลง ประกอบด้วยไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม (SpexNPV) หนอนเจาะสมอฝ้าย (HearNPV) และหนอนกระทู้ผัก (SpltNPV) ซึ่งหนอนทั้ง 3 ชนิด เป็นศัตรูพืชหลักของพืชเศรษฐกิจไทย เช่น หอมแดง หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ผักตระกูลสลัด ผักตระกูลกะหล่ำ ส้ม องุ่น กุหลาบ กล้วยไม้ รวมถึงดาวเรือง
“เมื่อหนอนกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่พืช จะเกิดอาการป่วยบริเวณกระเพาะอาหาร (สังเกตได้จากสีตัวที่เปลี่ยนแปลงไป) ทำให้กินอาหารน้อยลง และตายใน 5-7 วัน โดยไม่ก่อให้เกิดการดื้อยา และด้วยกลไกการออกฤทธิ์ที่จำเพาะกับชนิดพันธุ์ของหนอนจึงไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาไบโอเทคและหน่วยงานพันธมิตรพัฒนากระบวนการผลิต NPV จนพร้อมผลิตในระดับอุตสาหกรรม และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 2 บริษัท คือ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด”
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำ NPV ไปช่วยเหลือเกษตรกรฝ่าฟันวิกฤตหนอนดื้อยามาแล้วหลายครั้ง หนึ่งในผลงานเด่น คือ ‘กล้วยไม้’ พืชเศรษฐกิจสำคัญที่เกษตรกรได้รับผลกระทบหนักจนแทบล้มละลาย และล่าสุดปีที่ผ่านมา ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้ที่สั่งสมไปช่วยผู้ประกอบการสวน ‘ดอกดาวเรือง’ กอบกู้สถานการณ์ที่กำลังวิกฤต
[caption id="attachment_69306" align="aligncenter" width="750"] ดอกดาวเรืองที่โดนหนอนกัดกินจนเสียหาย[/caption]
สัมฤทธิ์ เล่าว่า ในปี 2567 ได้รับการติดต่อจากคุณสมศักดิ์ วันแก้ว ผู้ประกอบการสวนดาวเรืองที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 20 ปี แต่ช่วง 2-3 ปีหลังกลับต้องเผชิญปัญหาหนอนดื้อยาหนัก จนผลผลิตเสียหายกว่าร้อยละ 60 แม้ตอนนั้นจะใช้สารเคมีที่มีความรุนแรงและมีประสิทธิภาพสูงในการปราบศัตรูพืชแล้วก็ยังไม่ได้ผล ทำให้ต้องเร่งหาสารประเภทอื่นมาใช้แทน เพื่อยับยั้งการลุกลามให้ทันท่วงที
“หลังจากได้รับการติดต่อ ทีมวิจัยได้พูดคุยเพื่อให้ข้อมูลที่สำคัญแก่ผู้ประกอบการ ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับ NPV กลไกการออกฤทธิ์ และวิธีการใช้งานสารชีวภัณฑ์ในปริมาณที่เหมาะสมตามระดับความรุนแรงของการระบาด รวมถึงการลดปริมาณการใช้สารตามลำดับเมื่อควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว”
[caption id="attachment_69304" align="aligncenter" width="750"] หนอนกระทู้หอม[/caption]
[caption id="attachment_69305" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะสมอฝ้าย[/caption]
ทั้งนี้ หลังจากผู้ประกอบการใช้ไวรัส NPV เพียง 2 สัปดาห์ ก็พบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับหนอนศัตรูพืชอย่างน่าอัศจรรย์
“ปริมาณหนอนลดลงต่อเนื่อง และดอกดาวเรืองมีคุณภาพมากขึ้น” สัมฤทธิ์เล่าถึงเสียงปลายสายของคุณสมศักดิ์ที่โทรมาแจ้งด้วยความดีใจ พร้อมเสริมว่า การใช้ไวรัส NPV ไม่เพียงช่วยลดการระบาดของหนอนได้อย่างชัดเจน แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปราบแมลงศัตรูพืชด้วย
“ช่วงระบาดรุนแรง ผู้ประกอบการต้องใช้สารเคมีอันตรายฉีดพ่นทุก 5-10 วัน แต่ละครั้งมีค่าสารเคมีต่อไร่สูงถึง 240 บาท แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ NPV แม้ช่วงเริ่มต้นจะต้องฉีดจำนวนครั้งมากกว่า ฉีดแบบวันเว้นวัน ทำให้มีต้นทุนสูง (160 บาท/ครั้ง/ไร่ — 20 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร) แต่หากพิจารณาในภาพรวมจะพบว่า ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากว่ามาก เพราะจำนวนหนอนลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วง 2 สัปดาห์แรก ทำให้ได้ผลผลิตดอกดาวเรืองที่มีคุณภาพเหมาะแก่การตัดจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อผ่านช่วงระบาดรุนแรงมากมาแล้ว ก็เหลือแค่การฉีดพ่นเพื่อควบคุมความเสี่ยงการระบาดซ้ำ โดยฉีดพ่นทุก 7-10 วัน (5 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร) ซึ่งมีราคาต่อครั้งต่อไร่เพียง 40 บาทเท่านั้น”
[caption id="attachment_69307" align="aligncenter" width="750"] หนอนเจาะกระทู้หอมที่ตายแล้วหลังจากกินไวรัส NPV[/caption]
ปัจจุบันการใช้ NPV ปราบหนอนศัตรูพืช เริ่มเป็นที่รู้จักในผู้ผลิตดอกดาวเรืองมากขึ้น หากผู้ประกอบการและเกษตรกรหันมาใช้ NPV หรือชีวภัณฑ์ชนิดอื่น ๆ ทดแทนการใช้สารเคมีอันตราย ก็จะยิ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมนี้
สัมฤทธิ์ เล่าทิ้งท้ายว่า การใช้ชีวภัณฑ์แทนสารเคมีอันตราย จะช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงในแปลงเพาะปลูก ทั้งต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ทำให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย เปิดทางสู่การต่อยอดตลาดสุขภาพ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง ถือเป็นการยกระดับคุณภาพและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต
สำหรับผู้ที่สนใจใช้งานผลิตภัณฑ์ NPV หรือขอรับบริการด้านการวิจัย ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณสัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3781 หรืออีเมล samrit@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ ไบโอเทค สวทช. และจาก Shutterstock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘UNAi (อยู่ไหน)’ เทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร สนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบบไม่ต้องลงทุนสูง
รู้หรือไม่ ! แค่โรงงานเพิ่มอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) เป็นตัวช่วยติดตามตำแหน่งสินค้าและบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบแบบอัตโนมัติ ก็จะช่วยลดเวลาการทำงานและลดข้อผิดพลาดจากการจดบันทึกได้อย่างมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการลดต้นทุนการผลิตในภาพรวมด้วย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา UNAi (อยู่ไหน) เทคโนโลยีระบุตำแหน่งวัตถุหรือคนภายในอาคาร เพื่อติดตามและบันทึกตำแหน่งแบบเรียลไทม์ โดยการวิจัยและพัฒนาได้รับการสนับสนุนด้านการขยายผลจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
ของอยู่ไหน ? ให้ UNAi ช่วยระบุตำแหน่งให้คุณ
[caption id="attachment_68670" align="aligncenter" width="750"] เกรียงไกร มณีรัตน์, ทวีศักดิ์ สรรเพชุดา, จุฑาทิพย์ วิศาลมงคล, ละออ โควาวิสารัช และจารุวลี สุวัตถิกุล ทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.ละออ โควาวิสารัช นักวิจัยทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช. อธิบายว่า UNAi เป็นเทคโนโลยีระบุตำแหน่ง (Real-Time Location System: RTLS) วัตถุหรือคนภายในอาคารแบบแม่นยำสูง โดย UNAi ประกอบด้วยอุปกรณ์ 2 ส่วน คือ Tag (แท็ก) อุปกรณ์สำหรับติดที่สิ่งของหรือคนเพื่อติดตามตำแหน่ง และ Anchor (แองเคอร์) อุปกรณ์สำหรับรับสัญญาณตำแหน่งจาก Tag แล้วส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์ (cloud) ไปประมวลผลและแสดงผลผ่านซอฟต์แวร์ UNAi โดยผู้ใช้งานจะเห็นตำแหน่งสิ่งที่ติดตามปรากฏบนแผนผังอาคารนั้น ๆ
“ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับติดตามไว้สองรูปแบบ เทคโนโลยีแรก คือ Received Signal Strength Indicator (RSSI) ที่ใช้สัญญาณบลูทูท (Bluetooth Low Energy: BLE) ในการส่งสัญญาณจาก Tag เพื่อระบุตำแหน่ง โดยรูปแบบนี้จะมีอัตราการคลาดเคลื่อนไม่เกิน 2-4.5 เมตร อีกระบบคือ Time Difference of Arrival (TDoA) ที่ใช้สัญญาณอัลตราไวด์แบนด์ (Ultra-Wideband: UWB) ที่มีความแม่นยำสูงและมีโอกาสโดนรบกวนสัญญาณต่ำในการระบุตำแหน่ง ทำให้ระบุได้แม่นยำ มีอัตราการคลาดเคลื่อนลดลงเหลือหลักเซนติเมตร อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้มีราคาที่สูงกว่า ดังนั้นผู้ประกอบการควรเลือกใช้งานอย่างเหมาะสม โดยอาจปรึกษา System Integrator (SI) ของโรงงาน”
[caption id="attachment_68674" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์ Anchor และ Tag[/caption]
แม้เทคโนโลยี RTLS จะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ เพราะใช้งานแพร่หลายในต่างประเทศแล้ว แต่โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังใช้เทคโนโลยีประเภทนี้ไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจากผู้ประกอบการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี นอกจากนี้ประเทศไทยต้องนำเข้าเทคโนโลยีประเภทนี้จากต่างประเทศ ส่งผลให้ค่าอุปกรณ์และซอฟต์แวร์มีราคาสูง อีกทั้งการปรับแต่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละโรงงานที่มีความต้องการแตกต่างกันก็ทำได้ยาก บางกรณีอาจปรับแต่งไม่ได้เลย
ดร.ละออ อธิบายถึงประเด็นดังกล่าวว่า UNAi จะช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการไทยได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากทีมวิจัยเนคเทค สวทช. จะพร้อมให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับแต่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ UNAi ให้เหมาะกับการใช้งานของผู้ประกอบการที่มีความต้องการแตกต่างกันแล้ว ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โดยเนคเทค สวทช. ยังพร้อมให้คำปรึกษาด้านการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และช่วยแนะนำ SI ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสอดคล้องกับที่โรงงานต้องการด้วย
“ผู้ประกอบการไม่ต้องกังวลเรื่องความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี นอกจากนี้ UNAi พัฒนาโดยนักวิจัยไทยและผลิตได้เองภายในประเทศ ทำให้อุปกรณ์นี้มีราคาถูกกว่าสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ”
4 ตัวอย่างความสำเร็จ ใช้เทคโนโลยี UNAi
ดร.ละออ เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยได้ขยายผลการทำวิจัยโดยนำ UNAi ไปทดสอบใช้งานจริงภายในโรงงานของภาคเอกชนไทย 13 แห่ง ตัวอย่างเช่น การใช้ติดตามตำแหน่งของ ฐานรองสินค้า (pallet) ว่า ณ ขณะนั้นแต่ละอันตั้งอยู่ที่โซนจัดเก็บสินค้าโซนไหน และอยู่บนชั้นวางสินค้าใด โดยทีมวิจัยได้ออกแบบแนวทางการใช้งานให้เป็นการติดตามจากการเคลื่อนที่ของรถฟอร์กลิฟต์ (forklift) ที่ติด Tag ไว้ แทนการติดตามฐานรองสินค้าแต่ละอันโดยตรงเพื่อลดจำนวนการใช้ Tag และลดงบประมาณในการปรับเปลี่ยนจากคลังสินค้าทั่วไปสู่คลังแบบสมาร์ต
“การทำงานมี 3 ขั้นตอนหลัก ขั้นตอนแรกคนงานจะยิงบาร์โค้ดของฐานรองสินค้าที่ต้องการเคลื่อนย้ายเพื่อให้ระบบทราบว่ากำลังจะใช้รถฟอร์กลิฟต์เคลื่อนย้ายฐานรองสินค้ารหัสอะไร ตำแหน่งเริ่มต้นเคลื่อนย้ายอยู่ที่ตำแหน่งไหน และจะเริ่มต้นเคลื่อนย้ายเวลาใด ขั้นตอนที่สองคนงานจะขับรถฟอร์กลิฟต์ไปยังจุดหมาย โดยระบบจะติดตามตำแหน่งของฐานรองสินค้าจากการเคลื่อนที่ของรถฟอร์กลิฟต์ ขั้นตอนที่สามเมื่อคนงานขับรถไปถึงจุดหมาย และใช้รถยกฐานรองสินค้าขึ้นจัดเก็บบนชั้นเรียบร้อยแล้ว คนงานจะยิงบาร์โค้ดของช่องจัดเก็บสินค้าเพื่อระบุตำแหน่งปลายทางที่ชัดเจน เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นงาน ผู้จัดการและวิศวกรโรงงานจะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน ตั้งแต่ตำแหน่งที่เริ่มเคลื่อนย้าย เส้นทางการเคลื่อนย้าย ตำแหน่งที่จัดเก็บ และเวลารวมที่ใช้ในการขนย้ายสินค้าเข้าจัดเก็บ
“การที่คนงานไม่ต้องเป็นผู้บันทึกข้อมูลลงบนกระดาษหรือนำข้อมูลเข้าสู่ระบบด้วยตัวเอง ช่วยลดทั้งเวลาและโอกาสความผิดพลาดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ผู้ควบคุมคลังสินค้ายังนำข้อมูลที่บันทึกไว้มาออกแบบตำแหน่งการจัดเก็บสินค้าและเส้นทางการขับรถเพื่อประหยัดเวลาและพลังงานได้อีกด้วย”
อีกตัวอย่างการใช้ UNAi ภายในโรงงาน คือ การใช้ติดตาม AGV (Automated Guided Vehicle) หรือยานพาหนะเคลื่อนที่อัตโนมัติที่ใช้ขนส่งวัตถุดิบและส่วนประกอบ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการพบปัญหาว่าบางครั้ง AGV แบตเตอรี่หมดขณะที่ยังปฏิบัติภารกิจขนส่งไม่สำเร็จ ก่อให้เกิดปัญหาสายการผลิตหยุดชะงัก และคนงานต้องเสียเวลาตามหารถ AGV ว่าอยู่ที่ตำแหน่งไหนของโรงงาน
“ทีมวิจัยจึงได้นำระบบ UNAi ไปใช้ติดตามตำแหน่ง AGV โดยเพิ่มคุณสมบัติติดตามข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็นเข้าไปด้วย เช่น ปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือ อุณหภูมิของ AGV เพื่อให้ผู้จัดการและวิศวกรโรงงานนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทั้งการออกแบบเส้นทาง การวางแผนชาร์จแบตเตอรี่ รวมถึงการวางแผนซ่อมบำรุงล่วงหน้าจากการทราบแนวโน้มความผิดปกติของ AGV ที่ตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะส่งผลดีทั้งการประหยัดเวลา พลังงาน และค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง”
นอกจาก UNAi จะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวกระโดดจากอุตสาหกรรมระดับ 2-3 สู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้ง่ายขึ้นแล้ว เทคโนโลยี UNAi ยังเหมาะแก่การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วย
ดร.ละออ เล่าว่า อีกสองตัวอย่างของการใช้ UNAi ที่ผ่านการทดสอบใช้งานจริงและประสบความสำเร็จอย่างดี คือ การใช้ติดตามตำแหน่งรถเข็นในโรงพยาบาลเพื่อรวบรวมกลับมายังจุดเก็บรถเข็น ทำให้รถเข็นอยู่ในตำแหน่งที่บุคลากรทางการแพทย์พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และอีกตัวอย่างคือการใช้ติดตามตำแหน่งผู้เข้าแข่งขันเพนต์บอล (paintball) โดยทีมงานจะติด Tag ของ UNAi ไว้ที่หมวกของผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเพื่อระบุตำแหน่งผู้เล่น ทำให้ผู้บรรยายเห็นตำแหน่งของผู้เล่นทั้งสนามชัดเจนและบรรยายการแข่งขันได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้โคชยังใช้เป็นข้อมูลเพื่อวางแผนปรับปรุงการเล่นครั้งต่อ ๆ ไปให้แก่สมาชิกในทีมได้อีกด้วย
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า UNAi เป็นเทคโนโลยีระบุตำแหน่งที่ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย ไม่จำกัดอยู่เพียงโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ทีมวิจัยจึงมีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเทคโนโลยีนี้จะมีส่วนสนับสนุนให้แต่ละอุตสาหกรรมของประเทศไทยเข้าถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปปรับใช้เพื่อลดภาระงาน ค่าใช้จ่าย และเพิ่มผลประกอบการในระยะยาวได้
ส่วนในอนาคตอันใกล้อีก 1-2 ปีข้างหน้า ทีมวิจัยเผยว่าคนไทยอาจได้ใช้เทคโนโลยี UNAi ที่ฉลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ติดตามสิ่งของหรือคนทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างแม่นยำด้วยอุปกรณ์เดียว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา และการสรรหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ UNAi แล้ว ผู้ประกอบการที่สนใจขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ UNAi@nstda.or.th และผู้ประกอบการที่ต้องการนำอุปกรณ์ UNAi ไปติดตั้งใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าติดต่อสอบถามเพื่อรับการสนับสนุนได้ผ่านโครงการ IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) ที่เว็บไซต์ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock และ Shutter Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
จิ้มปุ๊บ รู้ปั๊บ “ส้อมวัดความเค็ม” เตือนผู้บริโภคเลี่ยงรับประทานอาหารเค็มเกิน
เคยสงสัยหรือไม่ว่าอาหารที่เรารับประทานในแต่ละมื้อเค็มมากหรือน้อยแค่ไหน ? และจะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถวัดความเค็มในอาหารได้เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะบริโภคหากพบว่าเค็มมากเกินไป
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา “ส้อมวัดความเค็ม” นวัตกรรมที่ผสานความคุ้นเคยของเครื่องใช้ในครัวเรือนเข้ากับเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบระดับความเค็มในอาหารก่อนรับประทานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง กำลังคุกคามสุขภาพของคนไทยในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานเค็มมากเกินไป การควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าว ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาส้อมวัดความเค็มสำหรับใช้วัดความเค็มในอาหาร เพื่อช่วยเตือนสติให้ผู้บริโภคในการตัดสินใจรับประทานหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่เค็มเกินไป ตลอดจนช่วยให้ผู้ปรุงอาหารลดการใส่เครื่องปรุงที่มีความเค็มมากจนเกินไปด้วยเช่นกัน
[caption id="attachment_68574" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบส้อมวัดความเค็ม วิจัยพัฒนาโดย ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช.[/caption]
“ส้อมวัดความเค็มทำงานโดยอาศัยหลักการวัดค่าความนำไฟฟ้าของโซเดียมคลอไรด์ (เกลือ) ในอาหารที่เป็นของเหลว เมื่อจุ่มส่วนปลายของส้อมลงในอาหาร ส้อมจะปล่อยกระแสไฟฟ้าสลับเล็กน้อยที่มีความถี่ 1 กิโลเฮิรตซ์ ผ่านตัวนำไฟฟ้า (ของเหลวที่มีโซเดียม) ซึ่งไม่เป็นอันตรายและไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อผู้ใช้งาน จากนั้นจะวัดค่าแรงดันไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสัมพันธ์กับปริมาณโซเดียมในอาหารเหลวนั้น และแสดงผลเป็นค่าความเค็มในระดับต่าง ๆ ที่เข้าใจได้ง่าย
“ส้อมวัดความเค็มออกแบบให้ใช้งานง่าย เพียงจุ่มปลายส้อมลงในอาหารที่เป็นของเหลวแล้วจึงกดปุ่มเพื่อวัดค่า ส้อมจะแสดงไฟกะพริบขณะทำการวิเคราะห์ กระทั่งเมื่อวัดเสร็จสิ้นจะค้างไฟแสดงผลในระดับความเค็มที่วัดได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ไฟสีเขียว คือ เค็มน้อย (ความเข้มข้นของเกลือ 0.1-0.5%) ไฟสีเหลือง คือ เค็มปานกลาง (ความเข้มข้นของเกลือ 0.6-0.9%) และไฟสีแดง คือ เค็มเกินไป (ความเข้มข้นของเกลือ > 0.9%) โดยใช้ความเค็มของน้ำเกลือล้างจมูกซึ่งมีความเข้มข้น 0.9% เป็นเกณฑ์ หลังใช้งานสามารถนำไปทำความสะอาดปลายส้อมด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่และตามด้วยน้ำเปล่า แล้วจึงเช็ดให้แห้งเท่านั้น”
[caption id="attachment_68567" align="aligncenter" width="750"] "ส้อมวัดความเค็ม" ใช้งานง่าย เพียงจุ่มปลายส้อมลงในอาหาร กดปุ่มเปิดการทำงาน และอ่านผล ซึ่งแสดงผลเป็นไฟ LED ที่ระดับความเค็มที่วัดได้ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เค็มน้อย เค็มปานกลาง และเค็มเกินไป[/caption]
ทั้งนี้ ตัวส้อมวัดความเค็มผลิตจากสแตนเลส 304 ฟู้ดเกรด ซึ่งเป็นวัสดุที่ปลอดภัยสำหรับการสัมผัสอาหาร และเคลือบด้วยอีนาเมล (enamel) ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในเครื่องครัว ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและความทนทานในการใช้งาน โดยออกแบบให้มีส่วนที่ไม่ได้เคลือบอีนาเมลบริเวณปลายส้อมไว้สำหรับทำหน้าที่เป็นขั้วปล่อยกระแสไฟฟ้าและวัดแรงดันไฟฟ้าที่ไหลผ่านของเหลว เพื่อวัดความเค็มได้อย่างแม่นยำ โดยมีความแม่นยำประมาณ 80% เมื่อวัดในอาหารที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 50 องศาเซลเซียส ส่วนการทำงานของส้อมวัดความเค็มอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยประมาณ 6-7 เดือน และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
[caption id="attachment_68575" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบส้อมวัดความเค็ม วิจัยพัฒนาโดย ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช.[/caption]
ปัจจุบันส้อมวัดความเค็มยังอยู่ในขั้นตอนของการปรับปรุงต้นแบบ โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้งาน เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาส้อมวัดความเค็มในรุ่นต่อไปให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยทีมตั้งเป้าที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนที่มีความสนใจนำไปผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในราคาที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
“เราต้องการสร้างอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่อาจไม่คุ้นเคยหรือกลัวกับการใช้อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน การออกแบบอุปกรณ์วัดความเค็มให้มีรูปร่างคล้ายส้อมทั่วไป ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกคุ้นเคยและมั่นใจในการใช้งาน และยังใช้ในการรับประทานอาหารได้เหมือนส้อมทั่วไป นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ที่รักสุขภาพและใส่ใจในปริมาณโซเดียมที่บริโภคในแต่ละวันให้สามารถตรวจสอบระดับความเค็มของอาหารได้ด้วยตนเอง” นักวิจัยกล่าว
[caption id="attachment_68571" align="aligncenter" width="750"] ทีมนักวิจัย กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เนคเทค สวทช. จัดแสดงผลงาน "ส้อมวัดความเค็ม" ในงาน NAC2025[/caption]
ส้อมวัดความเค็มเป็นนวัตกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสุขภาพของคนไทยและความก้าวหน้าของงานวิจัยไทยที่สามารถนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง การพัฒนาส้อมวัดความเค็มนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
ผู้สนใจร่วมปรับปรุงพัฒนาและรับถ่ายทอดเทคโนโลยีส้อมวัดความเค็ม ติดต่อได้ที่ คุณวรัญญู ผิวทองคำ เนคเทค สวทช. โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2524 อีเมล Waranyoo.Phiwthongkham@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
อินโฟกราฟิกโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรกร กลิ่นหอม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
IDA Platform ระบบนิเวศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0
อุตสาหกรรม 4.0 คือ อุตสาหกรรมยุคใหม่ที่นำระบบไซเบอร์-กายภาพ (Cyber-Physical System: CPS) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้เซนเซอร์หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ในการตรวจจับ วิเคราะห์ และควบคุมการทำงานของเครื่องจักร แรงงาน รวมถึงกิจกรรมการผลิตแบบเรียลไทม์มาใช้เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ปรับปรุง และปรับเปลี่ยนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามในภาพรวมประเทศไทย ณ ปี 2568 อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ 2-3 หรือเริ่มมีการใช้งานเครื่องจักรอัตโนมัติบ้าง แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้สำเร็จ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีและขาดเงินลงทุน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา IDA Platform (Industrial IoT and Data Analytics Platform) เพื่อเป็นระบบนิเวศสำหรับผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยการสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ในการดำเนินงานได้รับการสนับสนุนจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)
IDA Platform พร้อมสนับสนุน 5 เทคโนโลยีปิดช่องโหว่อุตสาหกรรม
[caption id="attachment_68033" align="aligncenter" width="700"] ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. อธิบายว่าปัจจุบันภายใต้ IDA Platform มีเทคโนโลยีหลักที่พร้อมให้บริการแล้ว 5 เทคโนโลยี เทคโนโลยีแรก คือ Smart OEE (Overall Equipment Effectiveness) ระบบวัดประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สอง คือ EES (Energy & Efficiency System) ระบบวิเคราะห์ปริมาณการใช้พลังงานและประสิทธิภาพของเครื่องจักรแบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สาม คือ Acamp (Automated carbon accounting management platform) แพลตฟอร์มคำนวณค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรแบบอัตโนมัติและติดตามผลแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีที่สี่ คือ NomadML (โนแมดเอ็มแอล) ระบบ visual inspection หรือตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานจากภาพถ่ายด้วย AI และเทคโนโลยีที่ห้า คือ Daysie - AIoT for Edge Computing Platform แพลตฟอร์มสำหรับสร้างแอปพลิเคชัน AIoT (Artificial Intelligence of Things) สำหรับติดตั้งบนเอดจ์คอมพิวติง (edge computing)
เทคโนโลยีทั้ง 5 นี้ผ่านการวิจัยและพัฒนาให้ผู้ประกอบการนำไปใช้งานร่วมกับเครื่องจักรที่มีอยู่ได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรใหม่ พร้อมปรับเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม 2.0 หรือ 3.0 สู่ระดับ 4.0 ได้โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนสูง นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ยังมีแผนจะเพิ่มเทคโนโลยีอื่นเข้ามาในแพลตฟอร์ม เช่น เทคโนโลยีความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) และเทคโนโลยี Generative AI เพื่อสืบค้นและสอบถามข้อมูลเฉพาะขององค์กร เช่น แนวทางซ่อมบำรุงเครื่องจักร, ข้อแนะนำการปฏิบัติงานของบุคลากรแต่ละหน้าที่
ดร.พนิตา อธิบายว่า เทคโนโลยีข้างต้นพัฒนาขึ้นจากการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการว่าโรงงานต้องเผชิญปัญหาการผลิตอย่างไรบ้าง โดยเทคโนโลยีทั้ง 5 ภายใต้ร่ม IDA Platform ณ ปัจจุบัน มีศักยภาพในการช่วยวัดประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิต และสะท้อนถึงปัญหาหรือช่องโหว่ที่ก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรทั้งพลังงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ และเวลาเกินความจำเป็น ซึ่งหากผู้ประกอบการทราบปัญหาได้รวดเร็วและตรงจุด จะทำให้เกิดการแก้ไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตได้ทันท่วงที นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าทั้งภายในประเทศและกับประเทศคู่ค้า
“ตัวอย่างการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เช่น บริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมหวาน ได้ใช้เทคโนโลยีภายใต้ IDA Platform ตรวจวัดการใช้พลังงานของระบบทำความเย็นและห้องเย็นของโรงงาน ผลจากการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ทำให้พบจุดที่ใช้พลังงานสูง นำไปสู่การวิจัยระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้พลังงาน นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้ายังนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเวลาเปิดใช้งานเครื่องจักรแต่ละเครื่องให้เป็นแบบไม่ต้องเริ่มทำงานพร้อมกันได้ (หากไม่มีความจำเป็น) เพื่อลดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงในช่วงเวลาเดียวกัน (peak load) ซึ่งอาจทำให้พลังงานไฟฟ้าไม่เสถียรและทำให้ค่าไฟมีราคาสูง ผลจากการปรับเปลี่ยนทั้งหมดนี้ช่วยให้บริษัทประหยัดค่าไฟได้มากหลักแสนบาทต่อปี”
[caption id="attachment_68034" align="aligncenter" width="700"] ทีมงานบริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) และเนคเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_68035" align="aligncenter" width="450"] การปฏิบัติงานที่บริษัทอาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน)[/caption]
IDA Platform ระบบนิเวศสนับสนุนก้าวกระโดดสู่อุตสาหกรรม 4.0
ดร.พนิตา อธิบายว่า IDA Platform โดย SMC สวทช. เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มให้บริการเทคโนโลยี เพราะยังเป็นแซนด์บอกซ์ (sandbox) ให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมก่อนปรับใช้จริงในโรงงานด้วย ทั้งนี้ SMC ได้ช่วยวางแผนขั้นตอนการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ไว้ให้ผู้ประกอบการเป็น 3 ขั้นหลัก ขั้นแรกคือการประเมินสถานะระดับอุตสาหกรรมของโรงงานด้วยระบบ Thailand i4.0 Index ที่ สวทช. พัฒนาไว้เพื่อให้บริการการประเมินทั้งโดยผู้เชี่ยวชาญและการประเมินด้วยตัวเอง ซึ่งผลการประเมินจะชี้ให้เห็นระดับของอุตสาหกรรมทุกมิติที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนองค์กร และมิติที่ควรเร่งปรับปรุงก่อนเพื่อลดความสูญเสียและเพิ่มประสิทธิผล ผู้ที่สนใจติดต่อขอรับการประเมินรวมถึงประเมินออนไลน์ด้วยตัวเองได้ที่ https://www.nstda.or.th/i4platform/i4-maturity/
“ขั้นที่สองคือขั้นเตรียมความพร้อม โดย SMC ได้เปิด SMC Academy เพื่อให้บริการอบรมทักษะที่จำเป็นแก่ผู้ประกอบการ วิศวกรโรงงาน และ SI (System Integrator) โดยมีพื้นที่สำหรับทดสอบ (testbed) ไว้ให้สมาชิกได้ทดลองใช้งานเทคโนโลยีและทำ PoC (Proof of Concept) เพื่อทดสอบแผนปรับปรุงโรงงานก่อนใช้งานจริง ซึ่ง SMC มีบริการที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือด้านวิเคราะห์และวางแผนปรับปรุงโรงงานด้วย ขั้นสุดท้ายคือการลงมือปฏิบัติจริง SMC พร้อมให้บริการทั้งเทคโนโลยีราคาจับต้องได้ และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับแต่ละโรงงาน นอกจากนี้ SMC ยังพร้อมช่วยเหลือด้านการจับคู่กับ SI ที่เหมาะสม และแนะนำแหล่งเงินทุนหรือโครงการสนับสนุนการยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ให้แก่ผู้ประกอบการ โดยภายใต้ IDA Platform มีกิจกรรมสนับสนุนการลงทุนปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีพร้อมสนับสนุนเงินลงทุนโรงงานละ 100,000 บาทมาตั้งแต่ปี 2564 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ก็เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน มีความสามารถทางการแข่งขันทางการค้าทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล”
สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี และสมัครเข้าร่วม IDA Platform ได้ที่ www.nectec.or.th/smc/ida-platform/
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : SMC เนคเทค สวทช. และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
แกะกล่องงานวิจัย : ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
📌 เกี่ยวกับอะไร ?
มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองคือหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่มีจุดเด่น คือ ผลใหญ่ เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด รสชาติหวาน แต่ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้มีเปลือกสีเหลืองตั้งแต่เริ่มสุกบนต้นหรือระยะที่ยังไม่พร้อมรับประทาน ผู้บริโภคจึงแยกระดับความสุกยาก และอาจพลาดโอกาสลิ้มรสมะม่วงในช่วงมีรสชาติอร่อยที่สุดไป
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองในรูปแบบเซนเซอร์ตรวจจับก๊าซเอทิลีนที่ผลไม้ปล่อยออกมาเพื่อกระตุ้นให้กระบวนการสุกเริ่มขึ้น ฉลากมีลักษณะเป็นสติกเกอร์สำหรับแปะผลไม้ มีลวดลายเป็นวงกลม 2 ชั้น วงในเป็นเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซที่จะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความเข้มข้น ส่วนวงนอกเป็นแถบสีสำหรับเทียบระดับความสุก
ฉลากอัจฉริยะที่นักวิจัยพัฒนาขึ้นระบุความสุกหรือรสชาติของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองได้ 3 ระดับ คือ สีเขียวอ่อนอมเทาหมายถึงสุกน้อย มีรสชาติเปรี้ยว สีเขียวอ่อนหมายถึงสุกปานกลาง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และสีเขียวเข้มหมายถึงสุกพร้อมรับประทาน มีรสชาติหวาน
📌 ดีอย่างไร ?
ผู้จำหน่ายเพียงแปะฉลากลงบนผลมะม่วง ส่วนผู้บริโภคก็เลือกซื้อตามระดับความสุกที่ต้องการ และประมาณเวลาในการบริโภคตามระดับความสุก
📌 ตอบโจทย์อะไร ?
การทราบระยะความสุกของผลไม้ ทำให้ผู้จำหน่ายและผู้บริโภคบริหารจัดการผลผลิตได้อย่างเหมาะสม เช่น ผู้จำหน่ายใช้เป็นข้อมูลวางแผนการตลาดหรือโปรโมชันเพื่อลดการสร้างขยะอาหาร หรืออาจทำเป็นอาหารเมนูต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อจำหน่ายได้ ส่วนผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลวางแผนการรับประทานให้ทันเวลาเพื่อลดการสร้างขยะอาหารได้เช่นกัน
ทั้งนี้ IMARC Group บริษัทด้านการวิจัยตลาดต่างประเทศประมาณการไว้ว่าความต้องการฉลากอัจฉริยะจะสูงขึ้นในปี 2567-2575 ด้วยค่า CAGR (compound annual growth rate) ที่ร้อยละ 11.4 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2567 เป็น 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2575 ถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเริ่มลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมเปิดรับโจทย์การวิจัยฉลากอัจฉริยะระบุความสุกของผลไม้ชนิดต่าง ๆ ตามที่ผู้ประกอบการต้องการด้วย
📌 สถานะของเทคโนโลยี ?
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยะรัตน์ เซ้าซี้ อีเมล piyarath.sao@nanotec.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : สวทช. พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุระดับความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะอาหาร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


