หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
8 วิธีลดติดเชื้อ COVID-19 เมื่อออกจากบ้าน
ความรู้สู้ covid-19
 
Face Shield From FabLab “หน้ากากบังใบหน้า” ด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง ใบหูเทียม หัวใจเทียมจากเนื้อเยื่อมนุษย์ คือผลงานความสำเร็จอันน่าทึ่งจากเทคโนโลยี “การพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D printing" นวัตกรรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ของโลก ที่หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าจะสามารถสร้างขึ้นได้จริงในห้องปฏิบัติการ แต่ในขณะเดียวกันท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการนำมาใช้ผลิต 'หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield' เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันนักรบเสื้อกาวน์ให้ปลอดภัยจากไวรัสมรณะ FabLab สร้าง Face Shield อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยหยุดยั้ง ป้องกันการติดเชื้อไวรัสก่อโรค COVID-19 นอกจากหน้ากาก N95 และหน้ากากอนามัยแล้ว หน้ากากชนิดบังใบหน้า หรือ Face Shield เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในการป้องกันการฟุ้งกระจายของสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทั้งส่วนกลางที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และเครือข่าย FabLab ภูมิภาค รวมถึงเครือข่ายนักประดิษฐ์หรือ Maker ได้ร่วมกันใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ในโครงการ FabLab เร่งผลิต Face Shield ที่มีความแข็งแรง ทนทานและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นอุปกรณ์ป้องกันตนเองสำหรับุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เมื่อปี 2561 คณะรัฐมนตรี ได้สนับสนุนงบประมาณให้ สวทช. ดำเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรมเพื่อพัฒนาทักษะความเป็น   นวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย หรือ FabLab ทางโครงการฯ ได้ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ 'โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (FabLab)' ในสถานศึกษาทั้งโรงเรียนที่มีการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและวิทยาลัยเทคนิค รวมจำนวน 150 แห่ง กระจายใน 68 จังหวัดในประเทศ เพื่อให้เยาวชนมีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงานจากเครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เช่น เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เครื่องตัดเลเซอร์ได้อย่างเป็นรูปธรรม “ในยามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง ทาง FabLab บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษา และมหาวิทยาลัย พี่เลี้ยง 17 แห่ง ได้รวมพลังใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ที่มีในโครงการฯ มาสร้างสรรค์อุปกรณ์และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Face shield จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ, กล่องป้องกันฟุ้งกระจาย (Aerosol), ต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ, ส่วนประกอบเคาน์เตอร์คัดกรองผู้ป่วย เป็นต้น เพื่อส่งมอบให้บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลต่างๆ ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อตรวจคัดกรองและรักษาผู้ป่วยเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อก่อโรค COVID-19 3D printing พิมพ์ Face Shield การพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างโมเดลเสมือนจริงหรือการขึ้นรูปชิ้นงานซึ่งทำได้ด้วยวัสดุหลากหลายแบบ ทั้งพลาสติก ยาง โลหะ ไนลอน อัลลอย จุดเด่นของเทคโนโลยีนั้นอกจากสร้างสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้แล้ว การสร้างชิ้นงานยังมีความยืดหยุ่น และมีความจำเพาะเจาะจงต่อผู้ใช้ได้ ซึ่งนั่นทำให้การพัฒนา Face Shield มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์     ผู้ใช้งานอย่างมากด้วย ปริญญา ผ่องสุภา วิศวกรประจำโครงการ FabLab ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช. กล่าวว่า อุปกรณ์ Face shield ที่ผลิตขึ้นเพื่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 ในครั้งนี้ ทีมวิศวกรได้ต่อยอดแบบการขึ้นรูป Face shield จากเมกเกอร์ Prusa Protective Face Shield Model : RC2 ที่ส่งแบบมาพิมพ์ต้นแบบด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ที่ FabLab โดยมีการปรับแก้ไขแบบและพัฒนาต่อยอด เพื่อให้ได้รูปแบบที่ใช้งานได้สะดวกและรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่เป็นระยะเวลานาน “ในการพัฒนาได้มีการเขียนแบบและพัฒนาต้นแบบโมเดล 3 มิติจากนั้นนำมาแบ่งโมเดลออกเป็นชั้นๆ เพื่อทำการแปลงให้เป็น G-Code หรือภาษาสำหรับการสั่งงานเครื่องจักรให้เคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนนำไปพิมพ์ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ โดยที่ FabLab เป็นวิธิการฉีดเส้นพลาสติกที่เรียกว่า FDM หรือ Fused Deposition Modeling เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มีราคาถูกกว่าการพิมพ์ด้วยเทคนิคอื่นๆ สามารถสร้างชิ้นงานที่นำไปใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หรือชิ้นส่วนที่ใช้งานจริง เนื่องจากวัสดุมีความแข็งแรง  มีวัสดุการพิมพ์ให้เลือกใช้หลายแบบ และวัสดุพิมพ์มีราคาถูกเมื่อเทียบกับวัสดุของเครื่องประเภทอื่น เช่น เรซิน ผงไนล่อน หรือผงเหล็ก"   สำหรับ Face Shield ที่ออกแบบขึ้นนั้น ปริญญา อธิบายว่า ประกอบด้วย 3 ชิ้นส่วนหลัก ได้แก่ กระบังด้านหน้า (Visor) แผ่นพลาสติกใส (Clear plastic sheet) และสายรัดศีรษะ (Elastic head band) โดยที่แผ่นพลาสติกใสและสายรัดศีรษะ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่ชิ้นส่วนกระบังด้านหน้านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ อีกทั้งยังเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมาก เพราะจะต้องสัมผัสกับผู้ใช้งานโดยตรง เป็นระยะเวลานาน  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความแข็งแรง คงทนและยืดหยุ่น สามารถปรับให้เข้ากับศีรษะของผู้สวมใส่แต่ละคนได้ นอกจากนี้ยังได้คำนวณระยะห่างระหว่างแผ่นใสกับใบหน้าให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม เนื่องจากต้องคำนึงถึงผู้ที่สวมแว่นตาหรือแพทย์พยาบาลที่ต้องสวมแว่นตาทางการแพทย์ซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งด้วย รวมทั้งยังพัฒนา Face Shield ให้สามารถถอดเปลี่ยนแผ่นพลาสติกใส เมื่อต้องการที่ความสะอาดหรือเปลี่ยนชิ้นใหม่ได้ โดยขณะนี้ FabLab ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สามารถผลิต Face shield ได้วันละ 50 ชิ้น "Face Shield ที่ผลิตออกมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทุกชิ้นจะมีการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Control) ทั้งการลบคม การปรับแต่งอุปกรณ์ให้สวมใส่สบาย ปรับแต่งแผ่นใสให้มีความมน ไม่แหลมคม ซึ่งจะเป็นอันตรายในการสวมใส่" Face Shield เพื่อนักรบเสื้อกาวน์ ตลอดระยะเวลาการระบาดของโรคโควิด-19 โครงการฯ FabLab ได้ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ผลิต Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อใช้ในการดูแลรักษาและคัดกรองผู้ป่วย COVID-19 อย่างต่อเนื่อง ดร.อ้อมใจ กล่าวว่า โครงการฯ FabLab ได้ส่ง Face shield ให้บุคลากรทางการแพทย์แล้วจำนวน 9 โรงพยาบาล จำนวนรวม 599 ชุด เช่น รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ รพ.ปทุมธานี รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน รพ.ราชวิถี รพ.พระมงกุฎเกล้า รพ.เสรีรักษ์ รพ.สามโคก (ปทุมธานี) แผนกการแพทย์ กองบริการ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน และโครงการฯ ยังเตรียมการผลิตต่อเนื่องเพิ่มอีก 680 ชุด เพื่อส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลในจังหวัดปทุมธานีตามที่ทีมแพทย์และพยาบาลแจ้งความประสงค์เข้ามา นอกจากนี้ยังได้มีการอัพโหลดไฟล์ Face Shield ต้นแบบโมเดล 3 มิติ ไว้ในระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ thingiverse (www.thingiverse.com/thing:4260273)  เพื่อนำมาเป็นแบบสำหรับแจกจ่ายให้กับเครือข่าย FabLab และหน่วยงานที่สนใจร่วมกันนำไปผลิตหรือพัฒนาต่อยอดวิธีการผลิตขึ้นรูป เพื่อช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ โดยตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึงปัจจุบันมียอดผู้ดาวน์โหลดมากกว่า 300 ครั้ง “นอกจากนี้เครือข่าย FabLab ในสถานศึกษาในภูมิภาคต่างๆ ยังได้ดำเนินการผลิตและจัดทำอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ FabLab วิทยาลัยเทคนิคปัตตานีผลิตและจัดทำกล่องป้องกันฟุ้งกระจาย จำนวน 70 กล่อง,  Face shield จำนวน 200 ชิ้น ส่งมอบให้โรงพยาบาลในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ หน่วยกู้ชีพกู้ภัยในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และมอบให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคปัตตานี เพื่อใช้ในการปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งจัดทำต้นแบบเครื่องกดเจลล้างมืออัตโนมัติ ส่งมอบให้ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจำนวน 5 เครื่อง เป็นต้น” ล่าสุด บริษัท XYZprinting Thailand ได้สนับสนุนโครงการ FabLab มอบเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพิ่มเติมให้กับบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรจำนวน 5 เครื่อง และมอบให้กับโรงเรียน วิทยาลัยเทคนิค และมหาวิทยาลัยในเครือข่ายอีก 15 เครื่อง เพื่อใช้ผลิตอุปกรณ์ช่วยบุคลากรทางการแพทย์ป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัส COVID-19 ปนัดดา มักสัมพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดัดดรุณี จังหวัดฉะเชิงเทรา เครือข่ายโครงการ FabLab กล่าวว่า FabLab เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอน ฝึกให้นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์มีความเป็น 'นักนวัตกร' ซึ่งโรงเรียนมีการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จะมารวมกลุ่มกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในโครงการฯ 'ชุมนุมนักนวัตกรรม' เพื่อให้นักเรียนครูและวิศวกรผู้ช่วยได้นำไอเดียมาร่วมกันสร้างสรรค์ต้นแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ผ่านเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เป็นชิ้นงานนวัตกรรมเพื่อใช้ในเชิงสาธารณประโยชน์ “โดยในสถานการณ์การระบาด COVID-19 ครั้งนี้ แม้ทุกคนต้องรักษาระยะห่างทางสังคม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคปิดกั้นความคิดของเหล่านวัตกรที่ได้อาสามาระดมสมองผ่านการประชุมออนไลน์   เพื่อคัดเลือกไอเดียที่ดีที่สุดมาออกแบบเป็นโมเดล และส่งต่อให้วิศวกรผู้ช่วยดำเนินการพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ 3 มิติออกมาเป็นชิ้นงาน นักเรียนบางคนที่อยู่ใกล้โรงเรียนก็มากับผู้ปกครองเพื่อรับอุปกรณ์ไปทำที่บ้าน ขณะที่ครูและลูกจ้างช่วยกันประกอบชิ้นงานและนำไปส่งมอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งนักเรียนทุกและบุคลากรทุกคนต่างก็ภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมทุกภาคส่วนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกัน" เช่นเดียวกับ ปริญญา ที่ได้กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มีโอกาสร่วมพัฒนา Face shield ครั้งนี้ว่า การที่พวกเราได้มีโอกาสนำความรู้ความสามารถใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มาประดิษฐ์ Face shield และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ก็รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ ยิ่งเมื่อได้ยินคุณหมอและพยาบาลแจ้งว่า Face shield ใช้งานได้ดี สวมใส่สบาย ไม่เกิดการระคายเคืองกับผิวเมื่อต้องสวมใส่เป็นเวลานาน ลดการเกิดฝ้าบริเวณแผ่นพลาสติกได้ดี ทำให้ยิ่งรู้สึกดีใจมากที่พวกเราซึ่งแม้จะเป็นส่วนเล็กๆ แต่ก็ยังพอมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงติดเชื้อให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ในยามที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาด นับเป็นโอกาสที่เหล่า 'นวัตกร' จะได้ใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีในการประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรมเพื่อร่วมฝ่าฟัน พิชิตไวรัส COVID-19
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘รถเข็นรักษ์โลก’ อัพเกรด ‘สตรีทฟู้ด’
เรียบเรียง: อาทิตย์ ลมูลปลั่ง 'ร้านอาหารข้างทาง' หรือ 'สตรีทฟู้ด' ขึ้นชื่อว่าเป็นเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อให้กับประเทศไทยอย่างมาก ยิ่งเฉพาะในกรุงเทพฯ ถือเป็นแดนสวรรค์ของนักชิมที่จะได้สัมผักับ อาหารที่หลากหลายแถมเลือกทานได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยสำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีอาหารริมทางดีที่สุดในโลก 2 ปีซ้อน ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาลองลิ้มชิมรสอาหารไทย ที่นอกจากมีวัตถุดิบให้เลือกมากมายแล้วยังมีความคุ้มค่าด้านราคาที่ไม่แพง  สตรีทฟู้ดไม่เพียงช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างดี แต่ยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างมาก ข้อมูลจากยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (Euromonitor International) บริษัท วิจัยระดับโลก เปิดเผยเมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่ามูลค่าตลาดธุรกิจอาหารไทยโดยรวม ในปี 2560 อยู่ที่ 410,000 ล้านบาทต่อปี ในจำนวนนี้มากกว่า 60-70 % เป็นร้านอาหารประเภทสตรีทฟู้ด ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 276,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเป็น 340,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย 5.3% ต่อปี  ดังนั้นเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) ได้พัฒนา 'นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด' ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานทั้งความอร่อย ความสะอาด ถูกสุขอนามัย รวมทั้งยังมีระบบที่ช่วยลดการสร้างมลพิษและขยะของเสีย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. กล่าวว่า นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด มีจุดเริ่มต้นมาจาก ทีมกะเพราซาวห้า โดยคุณพงษ์มนัส มังคละศรี ที่ได้พัฒนาระบบรถเข็นขายกะเพราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คู่ขนานกับการพัฒนาน้ำมันกะเพราที่จะช่วยทำให้กลิ่นและรสชาติของกะเพราะสม่ำเสมอ เพื่อเข้าร่วมโครงการ GSB Street Food เวทีประกวดคิดค้นนวัตกรรมเพื่อยกระดับสตรีทฟู้ดไทยให้ก้าวไกลด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างธนาคารออมสิน และ สวทช.  "ทีมกะเพราซาวห้าได้พัฒนาสร้างรถเข็นสตรีทฟู้ดขึ้นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง แต่ผลที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าที่ควร เนื่องจากรถมีน้ำหนักมากเกินไปและระบบดูดควันไม่เหมาะสมกับการใช้งาน ทาง DECC สวทช. ในฐานะที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมในโครงการ GSB Street Food ได้เข้ามาช่วยให้คำแนะนำพัฒนารถเข็นกะเพราซาวห้าให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์มากขึ้น จนกระทั่งทีมกะเพราซาวห้าสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันไปแล้ว ทีมผู้เชี่ยวชาญ DECC ยังได้ปรับปรุงพัฒนาระบบรถเข็นเพิ่มเติม เพื่อให้ได้เวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบเหมาะสมต่อการใช้งานจริงมากที่สุด" โดยโจทย์อันท้าทายของการพัฒนาต่อยอดรถเข็นสตรีทฟู้ด ดร.อัมพร บอกว่า มี 3 องค์ประกอบหลักสำคัญคือต้องทำให้รถเข็นมีน้ำหนักเบาที่สุด เพิ่มประสิทธิภาพการดูดควันให้สามารถใช้งานในพื้นที่ปิดได้ รวมทั้งปรับปรุงระบบบำบัดน้ำให้ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปัจจุบัน สวทช. สามารถพัฒนานวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกที่พร้อมใช้งานสมบูรณ์แบบ จำนวน   ทั้งสิ้น 3 โมเดล ได้แก่ 1. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ 2. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน และ 3. รถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี, ถังบำบัดและซิงค์น้ำ + ระบบดูดควัน + หัวเตาแก๊ส 2 หัว โดยตั้งเป้าส่งมอบนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกไม่น้อยกว่า 100 คัน แก่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดให้ได้ใช้งานจริงเพื่อประกอบ กิจการหลังสถานการณ์โควิด โดยแต่ละโมเดลได้สนับสนุนงบประมาณบางส่วนเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ประกอบการและกระตุ้นให้เกิดการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมด้วย   ทั้งนี้ "เฮียวัตร ปังตอทอง" แฟรนไชส์ ข้าวเหนียวหมู-เนื้อ อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน คือหนึ่งในผู้ประกอบการที่นำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ดไปใช้งานจริง โดยมุ่งหวังให้ความสำคัญกับสุขอนามัยหน้าร้านค้า ซึ่งนอกจากจะสร้างความมั่นใจเรื่องความสะอาดให้กับลูกค้าแล้ว ยังช่วยยกระดับ "สตรีทฟู้ด" ไปอีกขั้น   วิวัฒน์ กุลวิจิตร์รัตน์ เจ้าของธุรกิจข้าวเหนียวหมู-เนื้อ แบรนด์ เฮียวัตร ปังตอทอง กล่าวว่า ความสะอาด ณ จุดขายสินค้า หรือหน้าร้านค้านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่ผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดมักมองข้ามเรื่องนี้ไป อาจเพราะว่าความไม่สะดวกสบายของหน้าร้าน อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ บนรถเข็นแบบเดิม ๆ ไม่มีฟังก์ชันที่เหมาะสมกับการล้างทำความสะอาดและการบำบัดน้ำก่อนปล่อยสู่ท่อระบายน้ำ ทำให้เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสตรีทฟู้ดไทยอย่างมาก ดังนั้นตนจึงนำ "รถเข็นรักษ์โลก" จาก สวทช. มาเป็นตัวช่วยเพื่อทำให้เกิดสุขอนามัยที่ถูกต้อง ณ จุดขายสินค้า และเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของผู้บริโภคให้มองสตรีทฟู้ดไทยว่าม’มาตรฐานขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยหวังให้ความตั้งใจในการนำนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกนี้มาใช้กับธุรกิจเป็นตัวอย่างที่จะช่วยยกระดับอาชีพสตรีทฟู้ดให้เป็นที่ยอมรับกับลูกค้าทุกกลุ่ม "เรื่องความสะอาด สตรีทฟู้ดที่อยู่ตามข้างทางทุกวันนี้ เราจะโดนต่อว่าอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องภาชนะทุกอย่างไม่ค่อยสะอาดแต่ด้วยความที่เราเป็นคนไทย เราจะชินกับสิ่งนี้ แต่ถ้าเป็นนักท่องเที่ยว หรือชาวต่างชาติ เขาไม่ได้ชินเหมือนเรา ฉะนั้นการมีรถเข็นรักษ์โลกที่มีบ่อดักไขมัน มีอ่างล้างมือ มีความจำเป็นมากสำหรับสตรีทฟู้ด"  วิวัฒน์ บอกด้วยว่า การมีนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกมาใช้กับแบรนด์สินค้าของตนเองนั้น ช่วยเสริมภาพลักษณ์ในการขายสินค้าให้ดีขึ้น เพราะแม้จะเป็นสตรีทฟู้ดขายข้าวเหนียวหมู-เนื้อ ธรรมดา ก็อยากให้เป็นร้านที่ได้มาตรฐาน มีฟังก์ชันที่เป็นมาตรต่อลูกค้าและสิ่งแวดล้อม ทั้งอ่างล้างมือ บ่อบำบัดน้ำทิ้ง พร้อมในคันเดียว สามารถเคลื่อนย้ายไปขายยังทำเลต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนด้านมลพิษและสิ่งแวลดล้อมให้กับสถานที่หรือชุมชนนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยขยายทำเลการขายได้หลากหลายและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ที่สำคัญที่ให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัยในราคาที่ไม่แพง   สำหรับผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดที่สนใจ "รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก" สามารถสั่งจองออนไลน์ ได้ที่ http://www.decc.or.th/streetfood/ ภายใน 31 ก.ค. 63 นี้ สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2564 6310-11 ต่อ 101, 106 หรือ ช่องทาง Line: @679hqbmi  
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นักวิจัยไทยพัฒนา “วิธีสกัด RNA – ชุดตรวจโควิด-19”
เรียบเรียง: วัชราภรณ์ สนทนา ทะลุ 19 ล้านรายแล้ว สำหรับตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วโลก ซึ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน ขณะที่ประเทศไทยแม้ตอนนี้จะยังคงสถิติไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นเวลากว่า 60 วัน ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า โควิด-19 จะไม่กลับมาระบาดระลอกสองอีก  สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาและเตรียมพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเดินหน้าพัฒนาชุดตรวจโควิด-19 ปัจจัยสำคัญในการควบคุมการระบาด เพื่อป้อง กันปัญหาขาดแคลนชุดตรวจและน้ำยาซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ  ล่าสุด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ (RNA) ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) จากตัวอย่างแบบง่าย และ ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว" ได้สำเร็จ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยยังขาดคือความมั่นคงด้านสุขภาพ เนื่องจากที่ผ่านมายังต้องนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชุดตรวจ และยา ทำให้เมื่อเกิดวิกฤติการณ์ ดังเช่น การระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์บางประเภท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานเชิงรุกได้อย่างรวดเร็ว "นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 (จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา) รัฐบาลจ่ายค่าชดเชยในการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เป็นจำนวนกว่า 420,000 ตัวอย่าง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,261 ล้านบาท ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ขณะเดียวกันในภาวะที่ทั่วโลกต่างต้องตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อจำนวนมาก  สารสกัดสารพันธุกรรมหรืออาร์เอ็นเอเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 มีไม่เพียงพอ จนกลายเป็นปัญหาคอขวดในการคัดกรองโรค ดังนั้นในอนาคตหากมีการระบาดระลอกสอง หรือมีความต้องการตรวจเชิงรุก การที่นักวิจัยไทยสามารถพัฒนาวิธีสกัดอาร์เอ็นเอและชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้มาตรฐาน มีความแม่นยำได้เองในประเทศจะช่วยสนับสนุนการคัดกรองโรคโควิด-19 ได้มาก" ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19 ด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 นั้น จะต้องมีการสกัดสารพันธุกรรม หรือ อาร์เอ็นเอของไวรัสจากสิ่งส่งตรวจของของกลุ่มเสียง ซึ่งที่ผ่านมายังมีข้อจำกัดคือต้องใช้น้ำยาสกัดสารพันธุกรรมที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่จากความร่วมมือของนักวิจัยไทยทำให้สามารถพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพมา "วิธีสกัดอาร์เอ็นเอ" ก่อโรคโควิด-19 ได้สำเร็จ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า วิธีสกัดอาร์เอ็นเอของเชื้อไวรัสจากตัวอย่างแบบง่าย พัฒนาขึ้นโดย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (National Omics Center : NOC)  สวทช. นำโดย ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ เป็นวิธีการสกัดอาร์เอ็นเอด้วยเทคนิค Magnetic Bead ที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว และจากการทดสอบการใช้งานร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีประสิทธิภาพในการสกัดอาร์เอ็นเอเทียบเท่าชุดสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญในการสกัดอาร์เอ็นเอยังใช้สารเคมีและอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนชุดตรวจราคาไม่แพง ช่วยลดต้นทุนในการตรวจและวินิจฉัยโรคได้มาก อีกทั้งวิธีการนี้ยังนำไปใช้สกัดอาร์เอ็นของไวรัสก่อโรคได้ทุกชนิดทั้งในมนุษย์ พืชและสัตว์ด้วย ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนจำนวน 2 บริษัท สนใจพร้อมรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว    เมื่อสกัดอาร์เอ็นเอของไวรัสได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจยืนยันเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่ง ไบโอเทค สวทช. นำโดย นางวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีว‘ศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนา "ชุดตรวจโรคโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COVID-19 XO-AMP colorimetric detection kit)" เพื่อใช้คัดกรอง คัดแยกเฉพาะตัวอย่างที่น่าสงสัยก่อนนำไปตรวจโดยใช้วิธี RT-PCR ถือเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายของรัฐจากเดิมที่ต้องส่งตรวจทุกตัวอย่างด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งมีราคาแพง  ดร.วรรณพ กล่าวว่า ชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการตรวจเชิงรุก เนื่องจากมีความจำเพาะ 100% ความไว 92% และมีความแม่นยำ 97% สามารถแสดงผลได้ภายใน 75 นาที ได้ผลเร็วกว่าวิธี RT-PCR ถึง 2 เท่า สามารถอ่านผลได้ด้วยตาเปล่า ตรวจง่ายในขั้นตอนเดียวโดยไม่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ โดยสังเกตได้จากสีของน้ำยา หากเปลี่ยนจากม่วงเป็นเหลืองแสดงว่ามีอาร์เอ็นเอของไวรัส SARS-CoV-2 อยู่ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจมีราคาเพียง 10,000 บาท ถูกกว่าวิธี RT-PCR ถึง 100 เท่า นอกจากนั้นแล้วต้นทุนน้ำยาเทคนิคแลมป์ที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้นราคาต่ำกว่าน้ำยาที่ใช้กับ RT-PCR ถึง 3 เท่า และยังราคาถูกกว่าชุดตรวจแลมป์ที่นำเข้า 1.5 เท่า อย่างไรก็ดี การพัฒนาชุดตรวจนี้ได้รับความอนุเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของชุดตรวจ ปัจจุบันไบโอเทคได้ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเมินเทคโนโลยี โดยทาง อย. กำลังพิจารณาเกณฑ์มาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับเทคนิคแลมป์ โดยชุดตรวจนี้มีบริษัทเอกชนได้แสดงความสนใจที่จะขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คือสถาบันทางการแพทย์ที่มีทีมวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และป้องกันโรค ที่มีห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ด้วย สวทช. มีงานวิจัยหลายด้านที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งการตรวจวินิจฉัย และป้องกันโรคได้ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และ สวทช. จึงได้ทางานร่วมกันอย่างเข้มข้นจนสามารถพัฒนาต่อ ยอดทั้ง 2 งานวิจัยให้เป็นผลิตภัณฑ์ใช้งานได้จริง "การที่ประเทศไทยสามารถพัฒนาและผลิตชุดสกัดอาร์เอ็นเอ และชุดตรวจเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว จะช่วยให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการรับมือต่อการระบาดของโรคอุบัติใหม่ และถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถวงการวิจัยและสาธารณสุขไทยจากการเป็นผู้นำเข้าเทคโนโลยีสู่การเป็นผู้ผลิตเพื่อใช้เองและส่งออกไปต่างประเทศในอนาคต"
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
9 ข้อควรรู้ โควิด-19 จากบทสรุป 25 ผู้เชี่ยวชาญ WHO
ความรู้สู้ covid-19
 
ปฏิบัติตัวอย่างไร หากจำเป็นต้องไปพื้นที่ระบาด COVID-19
ความรู้สู้ covid-19
 
3 ข้อคาใจเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่ควรรู้
ความรู้สู้ covid-19
 
ไม่จริง! ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ผสมกับไวรัสไข้หวัดนก H5N1 จนเป็นเชื้อรุนแรง
ความรู้สู้ covid-19
 
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลัวอะไรบ้าง?
ความรู้สู้ covid-19
 
6 ข้อเท็จจริงโรคอุบัติใหม่ COVID-19
ความรู้สู้ covid-19
 
สวทช. คัด 12 เด็กไทยรับทุน JSTP ระยะยาว จนจบ ป.เอกในประเทศ พร้อมรวมพลสมาชิก JSTP 21 รุ่น เสริมทักษะสื่อสารวิทยาศาสตร์
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (JSTP) จัดพิธีมอบทุนการศึกษาระยะยาวจนจบปริญญาเอกในประเทศ ให้กับ 12 เยาวชนไทย ประจำปี 2562 เพื่อเดินหน้าเส้นทางสายวิทยาศาสตร์ ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย พร้อมรวมพลสมาชิก JSTP เรียนรู้ทักษะการสื่อสารวิทยาศาสตร์ และร่วมเดินป่าศึกษาธรรมชาติและประวัติศาสตร์ที่ช่องเขาขาด จ.กาญจนบุรี เสริมทักษะนอกห้องเรียน ระหว่างวันที่ 23-26 มิถุนายน 2562 (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผลการดำเนินงานด้านการส่งเสริมด้านการพัฒนากำลังคน