ผลการค้นหา :
เพิ่มมูลค่า ‘ผ้าทอทุ่งกุลาร้องไห้’ ย้อมติดสีไว ให้กลิ่นหอมดอกลำดวน
ทุ่งกุลาร้องไห้ไม่เพียงขึ้นชื่อเรื่องข้าวหอมมะลิที่นุ่มหอมไม่เหมือนใคร แต่ทุ่งราบกว้างใหญ่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องของผ้าทอที่มีความวิจิตรงดงาม มีลวดลายการทอผ้าที่แตกต่างหลากหลายตามภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็งของผู้คนจากหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ อีกทั้งกรรมวิธีการย้อมสีธรรมชาติยังเป็นมีความเป็นอัตลักษณ์ ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของจังหวัดศรีสะเกษอันเลื่องชื่อ ที่นำวัตถุดิบสำคัญของจังหวัด 5 ชนิด ได้แก่ ผลมะเกลือ ดินปลูกทุเรียนภูเขาไฟ ดินทุ่งกุลา ใบลำดวน เปลือกไม้มะดัน มาใช้ย้อมสีผ้าให้มีสีสันหลากหลาย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ กระทรวง อว. มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ขนทัพนักวิจัยลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” เพื่อนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปต่อยอดพัฒนาฐานทุนอันเป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้สามารถสร้างมูลค่า สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน
[caption id="attachment_32937" align="aligncenter" width="600"] ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ทุ่งกุลาร้องไห้เวลานี้ไม่ร้องไห้แล้ว แต่เป็นกุลาม่วนชื่น ซึ่งประชาชนมีความเข้มแข็งในการสร้างอาชีพในพื้นถิ่นของตนเองจากฐานทุนทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์มาช้านาน ประกอบกับกระทรวง อว. ได้นำงานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ้าทอในพื้นที่ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเอนไซม์เอนอีซ (ENZease) สารชีวภาพที่ผลิตได้จากเชื้อจุลินทรีย์ทดแทนการใช้สารเคมี ที่ช่วยทำความสะอาดเส้นใย และเพิ่มประสิทธิภาพการติดสีธรรมชาติได้ดีขึ้น ทำให้ลดเวลาการย้อมสีและลดต้นทุนในการฟอกย้อมรวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้นำนาโนเทคโนโลยีเพิ่มสมบัติพิเศษให้ผ้าทอมีกลิ่นหอมของดอกลำดวน ดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มอัตลักษณ์ให้แก่ผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษให้พิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งแหล่งผลิตผ้าไหมที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มมูลค่าผ้าทอด้วยนวัตกรรม ผ้าไหมลายลูกแก้วแห่งนี้โดดเด่นด้วยผ้าทอที่ย้อมสีดำธรรมชาติด้วยมะเกลือที่มีความเงางาม แต่กว่าผ้าจะมีสีดำสนิทต้องใช้เวลามากกว่า 1-2 เดือน เพราะภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอีสานใต้กว่าจะได้ผ้าทอสีดำขลับต้องย้อมซ้ำหลายครั้งและใช้เวลานาน
[caption id="attachment_32942" align="aligncenter" width="600"] นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง (ซ้าย)[/caption]
นางฉลวย ชูศรีสัตยา ประธานศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาหม่อนไหมผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง กล่าวว่า แต่ก่อนใช้ระยะเวลายาวนานในการย้อมผ้า ก็คิดว่าทำอย่างไรจะลดเวลาในการย้อมผ้าได้บ้าง กระทั่งทางนักวิชาการและนักวิจัยจาก สวทช. ได้เข้ามาส่งเสริมการใช้ ‘เอนไซม์เอนอีซ’ ก็ถือว่าได้ผลดี ช่วยลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ที่สำคัญผ้าที่ได้ยังติดสีสม่ำเสมอ สีผ้ามีความเข้ม และเงางาม เพิ่มโอกาสในการขายผ้าทอได้มากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ได้นวัตกรรมตัวใหม่มาเสริมกับภูมิปัญญา
“จากเดิมย้อมผ้าด้วยมะเกลือซึ่งให้สีดำกว่าจะย้อมผ้าได้สีดำสนิทต้องจุ่มผ้ากับมะเกลือแล้วก็เอาไปตาก ทำแบบนี้สลับไปเรื่อยๆ ใช้เวลากว่า 2 เดือน พอมาใช้เอนไซม์เอนอีซในการทำความสะอาดผ้าก่อนการย้อม ก็ช่วยให้การย้อมผ้าติดสีไวดีขึ้น จากต้องตากถึง 60 แดด 300 จุ่ม เหลือแค่ 30 แดด ประมาณ 1 เดือน”
เช่นเดียวกับ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการถักทอผ้าไหมลายลูกแก้วและผ้าทอเบญจศรี ซึ่งผ้าทอแห่งนี้ไม่เพียงใช้เอนไซม์เอนอีซในการย้อมผ้า แต่ยังเตรียมนำนาโนเทคโนโลยีมาเพิ่มความนุ่มลื่น และกลิ่นหอมของดอกลำดวน ให้ผ้าทอด้วย
[caption id="attachment_32943" align="aligncenter" width="600"] สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง (กลาง)[/caption]
สิทธิศักดิ์ ศรีแก้ว ประธานกลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง กล่าวว่า กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้างเป็นทายาทหม่อนไหมรุ่นที่ 4 ผ้าทอที่ทำจะเป็นผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติจากวัตถุดิบในจังหวัดศรีสะเกษ เช่น ดอกลำดวน มะเกลือ ไม้มะดัน แต่ก่อนจะย้อมตามวิถีชาวบ้าน บางครั้งสีที่ได้ก็ไม่สม่ำเสมอ ใช้เวลานาน แต่กระทรวง อว. และ สวทช. ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนเอนไซม์เอนอีซ ทำให้ผ้าไหมติดสีดี ติดทน อีกทั้งไม่มีสารเคมีที่มาทำลายคุณภาพเส้นไหม ทำให้ผ้าไหมที่ได้มีความนุ่มเงา ถูกใจลูกค้ามาก
“นอกจากนั้นแล้วอัตลักษณ์ที่สำคัญ คือ ศรีสะเกษ เป็นเมืองดอกลำดวนบาน กระทรวง อว. ยังได้เข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องกลิ่นหอมให้ผ้าทอ โดยใช้นาโนเทคโนโลยีมาเคลือบกลิ่นดอกลำดวนไว้บนผ้า ทำให้เวลาเราสวมใส่ เราสัมผัส หรือเวลาเดิน ผ้าจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกลำดวนด้วย ถือเป็นอีกอรรถรสหนึ่งที่ช่วยเพิ่มมูลค่าผ้าทอเบญจศรีของดีศรีสะเกษได้ดียิ่งขึ้น”
[caption id="attachment_32945" align="aligncenter" width="600"] ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า การทำงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตนอยากฝากนักวิจัย นักวิชาการและคณาจารย์ไว้กับเกษตรกรชาวบ้านในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ให้มองพวกเขาเป็นลูกหลานแล้วทำงานด้วยกัน เพื่อนำสิ่งดีๆ เข้ามาในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ แล้วเปลี่ยนสิ่งที่ทำไม่ได้ ให้ทำได้ต่อไป
นับเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยผสมผสานภูมิปัญญา พัฒนาผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีเสน่ห์และคงความเป็นอัตลักษณ์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
หนังสือ OpenOffice.org Impress
คู่มือการสร้างสื่อนำเสนอคุณภาพด้วย OpenOffice.org Impress ฉบับนี้จัดทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้โปรแกรมเปิดเผยรหัสต้นฉบับ หรือโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ อันเป็นโปรแกรมที่มีคุณค่าและความสำคัญอย่างมากในวงการ ไอซีทีของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ทุกๆองค์กร ทุกๆ คนมีส่วนร่วมในการใช้งานไอซีทีที่ปลอดภัย ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น ซึ่งสอดรับแนวทางการใช้ไอซีทีอย่างมีคุณธรรม เละจริยธรรมอย่างแท้จริง ถือเป็นก้าวสำคัญของการใช้คอมพิวเตอร์ของคนไทย เพราะเป็นการใช้ผลงานของคนไทยที่เป็นการต่อยอคจากโปรแกรมเปิดเผยรหัสค้นฉบับอันมีชื่อเสียงทั่วโลก
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่
หนังสือหลักแนวปฏิบัติการจัดการจดหมายเหตุ
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2532 มีประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง การแบ่งส่วนราชการ ในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ข้อ 7 กำหนดให้มีหน่วยจดหมายเหตุมหาวิทยาลัย เป็นหน่วยงานของฝ่ายบริการสนเทศ เป็นส่วนราชการหนึ่งของสำนักบรรณสารสนเทศซึ่งทำหน้าที่เป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัย นับแต่นั้นมาได้เริ่มต้นดำเนินงานด้านจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยครอบคลุมทั้งงานด้านเทคนิคและบริการเผยแพร่สารสนเทศจดหมายเหตุ และมีพัฒนาการมาโดยลำดับ เป็นหน่วยงานที่ให้บริการข้อมูลเอกสารราชการของหน่วยงานในมหาวิทยาลัยที่สิ้นกระแสการใช้งานแล้วที่มีคุณค่าสะท้อนถึงประวัติความเป็นมา พัฒนาการและเรื่องราวสำคัญของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่
หนังสือคู่มือการใช้งาน OpenOffice.org
ความต้องการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดทำระบบงานสำนักงาน มีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน มีการเลือกใช้คอมพิวเตอร์ และซอฟด์แวร์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของหน่วยงาน อย่างไรก็ตามการลงทุนเกี๋ยวกับคอมพิวเตอร์ และซอฟด์แวร์ นับเป็นภาระอย่างหนึ่งของหน่วยงาน เนื่องจากต้องลงทุนด้วยมูลค้ำสูง การลงทุนเกี่ยวกับไอทีในหน่วยงาน จึงต้องพิจารณาอย่างถี่อ้วน หลายๆ หน่วยงานเลี่ยงไม่ได้กับการลงทุนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เละฮาร์คแวร์ต่างๆ แด่ในปัจจุบันการลงทุนเกี่ยวกับซอฟต์แวร์บริหารจัดการงานสำนักงาน มีทางเลือกที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาซอฟต์วร์รหัสเปิด ซึ่งเปิดให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่
หนังสือข้อกำหนดการพัฒนาสื่อดิจิทัลที่มีคุณภาพ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3
การจัดทำสื่อคิจิทัลที่ผ่านมามักจะเน้นการใช้งานโปรแกรมมากกว่าการพิจารณาเกี่ยวกับมาตรฐานการสร้าง การแลกเปลี่ยนข้อมูล และ การเข้ากัน ได้เมื่อนำสื่อดิจิทัลไปใช้งาน ส่งผลให้เกิดปัญหาหลากหลายตามมาจำนวนมาก เสียทั้งงบประมาณ กำลังที่ต้องทำงานซ้ำช้อน รวมทั้งอาจจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคลังข้อมูลดิจิทัลในอนาคดฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ตระหนักถึงความสำคัญของมาตรฐานสื่อดิจิทัล จึงได้นำประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง จากการวิจัย แปลงเป็นความรู้ในรูปแบบเอกสารเล่มนี้ เพื่อเป็นจุดตั้งต้นสำหรับทุกท่านทุกหน่วยงานได้ร่วมกันกำหนดแนวทาง แนวปฏิบัติ ข้อกำหนด หรือมาตรฐานการพัฒนา การใช้งานสื่อดิจิทัลภายในหน่วยงานของท่านต่อไป
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่
หนังสือการพัฒนาคลังเอกสารดิจิทัลด้วย Drupal
เมื่อพูดถึงการพัฒนาคลังเอกสารดิจิทัลอย่าง IR หรือ Institutional Repositpry หลายๆ ที่ มักจะนึกถึงซอฟต์แวร์อย่าง DSpace และมีการเลือกใช้ DSpace มาใช้งานกันหลายหน่วย อย่างไรก็ดีประเด็นหนึ่งที่ผู้ใช้ DSpace มักจะไม่พูดถึงกันมากก็คือ ความยุ่งยาก ซับซ้อนในการติดตั้ง การปรับแต่งระบบให้ตรงกับความต้องการของหน่วยงานเป็นอะไรที่สุดยอดของความ "หิน" พอสมควร เนื่องจากหลากหลายสาเหตุ STKS จึงได้ศึกษาดูว่ามีซอฟต์แวร์ใดอีกบ้างที่น่าจะนำมาพัฒนา IR ได้ โดยมีความสามารถไม่แตกต่างจาก DSpace อันได้แก่ การลงรายการโดยผู้ใช้ มีระบบอนุมัติตามสิทธิ์ สนับสนุนการเชื่อมข้อมูลด้วย Protocol OAI-PMH
ดาวน์โหลดเอกสาร PDF
เปิดอ่านออนไลน์รูปแบบ e-Book Filp
เอกสารเผยแพร่
ตำราเรียนแบบเปิด (open textbook) สามารถช่วยแก้ปัญหาที่มีมูลค่าระดับพันล้านดอลลาร์
เพื่อจะลดค่าใช้จ่ายของนักศึกษาขณะนี้และในอนาคต ต้องแยกจากตลาดตำราเรียนแบบดั้งเดิมและส่งออกวัสดุการศึกษาผ่านรูปแบบทางเลือกใหม่
การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ศักยภาพของตำราเรียนแบบเปิดและการอนุญาตแบบเปิดในการเป็นทางเลือกใหม่
อย่างย่อ ตำราเรียนแบบเปิดเป็นตำราเรียนที่ถูกเขียนโดยคณะ และถูกทบทวนโดยผู้มีความรู้ในสาขาวิชานั้น ๆ ถูกเผยแพร่ภายใต้การอนุญาตแบบเปิด หมายความว่าตำราเรียนแบบเปิดมีให้ฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดได้ฟรี และถ้าอยู่ในรูปสั่งพิมพ์ออกมามีค่าใช้จ่าย 10-40 ดอลลาร์ หรือประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์
การศึกษาครั้งนี้ได้ทบทวนข้อมูลที่รวบรวมได้จากโปรแกรมนำร่องของมหาวิทยาลัยที่แตกต่างกัน 5 โปรแกรม ซึ่งสนับสนุนคณะให้แทนที่ตำราเรียนแบบดั้งเดิมสำหรับหลักสูตรด้วยคลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด (Open Educational Resources, OER) และตำราเรียนแบบเปิด
สิ่งที่พบจากการศึกษา
จากการวิเคราะห์โปรแกรมนำร่องบ่งชี้ว่านักศึกษาประหยัด 128 ดอลลาร์ต่อหลักสูตร ด้วยตำราเรียนแบบดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยตำราเรียนแบบเปิด
โดยคาดการณ์การประหยัดของนักศึกษาเฉลี่ยและประยุกต์ใช้กับประชากรนักศึกษาที่ใหญ่กว่า สามารถทำนายว่าตำราเรียนแบบเปิดสามารถประหยัดมากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
นอกจากนี้ โดยเปรียบเทียบการลงทุนทั้งหมดและเงินที่ใช้ระหว่างโปรแกรมนำร่องกับการประหยัดทั้งหมดโดยนักศึกษา ซึ่งเป็นผลของโครงการ สามารถสรุปว่าการลงทุนในตำราเรียนแบบเปิดมีผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ exponential ในการประหยัดของนักศึกษา
สรุปจากการศึกษา
ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลประโยชน์ที่ชัดเจนกว่าตำราเรียนแบบดั้งเดิม
อย่างแรก ตำราเรียนแบบเปิดทำให้นักศึกษาประหยัดอย่างมาก ด้วยสามารถเข้าถึงฟรีออนไลน์ ดาวน์โหลดและพิมพ์ด้วยตนเองฟรี และรูปสั่งพิมพ์ออกมามีให้ที่ประมาณค่าใช้จ่ายในการสั่งพิมพ์ ตำราเรียนแบบเปิดสามารถทำให้นักศึกษาประหยัดพันล้านดอลลาร์แต่ละปี
อย่างที่สอง ตำราเรียนแบบเปิดให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่น่าเชื่อ หลายโปรแกรมที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินประหยัดหนึ่งดอลลาร์สำหรับทุกดอลลาร์ที่ใช้ ผลตอบแทนจากการลงทุนของตำราเรียนแบบเปิดเป็นแบบ exponential
คำแนะนำจากการศึกษา
สถาบันและผู้ถือผลประโยชน์ร่วมทั้งหมดในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยควรให้ความสนใจมากขึ้นกับการแก้ปัญหาของราคาตำราเรียนที่สูง และให้อย่างมีประสิทธิภาพการฝึกอบรมและทรัพยากรที่คณะต้องการเพื่อเปลี่ยนชั้นเรียนให้ใช้ตำราเรียนแบบเปิด
ที่มา: Ethan Senack (February 2015). Open textbooks: The Billion-Dollar Solution. The Student PIRGs. Retrieved May 2, 2022, from https://studentpirgs.org/2015/02/24/open-textbooks-billion-dollar-solution/
นานาสาระน่ารู้
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
ช่วงปีที่ผ่านมามีข่าวที่น่าตื่นเต้นในวงการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ เช่น นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันสามารถโคลนนิงเฟอร์เรตตีนดำ (Black-footed Ferret) สัตว์ใกล้สูญพันธุ์จากตัวอย่างเนื้อเยื่อที่เก็บรักษาไว้นานกว่า 30 ปี และนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียสามารถคืนชีวิตให้ต้น ไซลีน สเต็นโอฟิลลา (Silene stenophylla) ที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากเมล็ดที่ผ่านการแช่แข็งตามธรรมชาติมานานนับหมื่นปี ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ต่างมีแนวโน้มที่จะเสียงต่อการสูญพันธุ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะดีหรือไม่หากประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศในระยะยาวได้เช่นกัน
[caption id="attachment_32162" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สวทช.[/caption]
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ทำให้ไทยมีความมั่นคงด้านอาหาร สามารถนำทรัพยากรชีวภาพมาใช้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้หลากหลาย แต่การคงอยู่ของทรัพยากรชีวภาพอาจไม่ยั่งยืน เนื่องด้วยพฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของมนุษย์ และการต้องเผชิญเหตุภัยธรรมชาติหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้ทรัพยากรหลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ ส่งผลให้ระบบนิเวศขาดความสมดุล ประเทศไทยอาจสูญเสียความมั่นคงด้านอาหาร และต้องเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ ในอนาคต
“เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ สวทช. ได้ก่อตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว (Long-term Conservation) และเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพสำรองให้แก่ประเทศ (Long-term Biobanking Facility) สำหรับรับมือกับวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรชีวภาพไปอย่างถาวร ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการรักษาฐานทรัพยากรชีวภาพและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุล โดย NBT ได้พัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและใช้เทคโนโลยีมาตรฐานเพื่อยกระดับการอนุรักษ์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่จัดเก็บไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในภาคส่วนต่างๆ อย่างยั่งยืน”
การทำงานเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว
ทรัพยากรชีวภาพในไทยมีทั้งที่เป็นทรัพยากรท้องถิ่นและทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายมาจากพื้นที่อื่น ทรัพยากรแต่ละชนิดมีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ไม่เท่ากัน NBT จึงมีเกณฑ์ในการจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพรวมถึงข้อมูลต่างๆ ของตัวอย่างเหล่านี้ เพื่อการอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่า NBT ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศโดยการทำงานร่วมกันของนักวิจัยจาก 3 ธนาคารหลัก คือ ธนาคารพืช (Plant Bank) ธนาคารจุลินทรีย์ (Microbe Bank) และธนาคารข้อมูล (Data Bank) โดยธนาคารพืชจะให้ความสำคัญต่อการจัดเก็บพืชถิ่นเดียว พืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยจัดเก็บส่วนขยายของพืช เมล็ดพันธุ์ (Seed) และเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) และมีการจัดเก็บตัวอย่างพรรณไม้แห้ง (Herbarium Specimen) เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ ธนาคารจุลินทรีย์จะให้ความสำคัญกับการเก็บสำรองจุลินทรีย์ที่ค้นพบในไทย ที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีของประเทศ โดยจัดเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์ในรูปแบบและอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการ และมีแนวโน้มที่จะนำไปใช้เป็นมาตรฐานสากลในอนาคต ซึ่ง NBT มีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพในรูปแบบคงสภาพหรือคงความมีชีวิตที่อุณหภูมิเยือกแข็ง 2 ระดับ ระดับ -20 องศาเซลเซียส จัดเก็บเมล็ดพืชได้ 100,000 หลอดที่ขนาด 25 มิลลิลิตร และระดับ -80 องศาเซลเซียส จัดเก็บจุลินทรีย์และตัวอย่างชีววัสดุอื่นๆ ได้ 300,000 หลอดที่ขนาด 2.5 มิลลิลิตร และมีความสามารถในการจัดเก็บตัวอย่างเซลล์ในถังไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ขนาด 1,770 ลิตร”
ร่วมวิจัยและพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นอกจากการให้บริการการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวแล้ว อีกหนึ่งการทำงานที่ NBT ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การวิจัยและพัฒนาด้านข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นบทบาทของธนาคารข้อมูลชีวภาพ (Data Bank) เป็นโครงสร้างที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีค่าของทรัพยากรชีวภาพของประเทศ
ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่าในการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแต่ละชนิด นักวิจัยของ NBT จะรวบรวมข้อมูลหลากหลายมิติของตัวอย่าง อาทิ สารสำคัญของทรัพยากรชนิดนั้นๆ รูปแบบและวิธีการจัดเก็บทรัพยากรที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์และข้อมูลรหัสพันธุกรรรม เพื่อทำให้การจัดเก็บเป็นระบบและถูกต้อง NBT ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลตัวอย่าง Specimen Management System หรือ SMS ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำกับให้การจัดเก็บเป็นระบบ สามารถตรวจสอบคุณภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดให้หน่วยงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันใช้งานเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการทรัพยากร โดยฐานข้อมูลเหล่านี้จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และต่อยอดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคการอนุรักษ์และการต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร การแพทย์
ดร.ศิษเฎศ เสริมว่า ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่ NBT มีส่วนร่วมในการพัฒนาฐานข้อมูลอ้างอิง คือ การร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ในการพัฒนาฐานข้อมูลสารออกฤทธิ์ที่สำคัญของสมุนไพรเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอก และการดำเนินงานโครงการ Genomics Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อการประมวลผลข้อมูลจีโนมมนุษย์ และการพัฒนาเครื่องมือชีวสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนกิจกรรมเวชพันธุศาสตร์ (Genomic Medicine) เพื่อช่วยเหลือแพทย์ในการพยากรณ์โรค (Prognosis) การวินิจฉัย (Diagnosis) และการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม (Treatment Selection) ให้แก่ผู้ป่วย
“NBT มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนประเทศให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเจ้าของทรัพยากร นักวิจัย และองค์กรทั้งภายในและต่างประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศที่เข้มแข็งในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ โดยปัจจุบันนอกจากที่ NBT ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐแล้ว NBT ยังได้ร่วมงานกับผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศอีกหลายรายในการสนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ เวชสำอาง และอาหารทางเลือก เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงก่อให้เกิดรายได้กลับเข้าสู่องค์กรสำหรับวิจัยและอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ ตามนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ” ดร.ศิษเฎศ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ NBT พร้อมแล้วที่จะสนับสนุนการยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ และยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT ได้ที่ www.nbt.or.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล biobank@biobank.in.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
การสำรวจความสามารถในการซื้อตำราเรียนของนักศึกษาเพื่อการศึกษาในมหาวิทยาลัย
ได้ทำการสำรวจกับนักศึกษามากว่า 5,000 คนในเดือนกันยายน 2020
สิ่งที่พบจากการสำรวจ
1. นักศึกษาไม่ซื้อตำราเรียนที่ถูกสั่งให้ซื้อ ถึงแม้เป็นห่วงว่าจะมีผลกับเกรด
65% ของนักศึกษาที่ถูกสำรวจไม่ซื้อตำราเรียนเพราะราคา นักศึกษาเป็นห่วงอย่างมากว่าไม่ซื้อวัสดุจะมีผลในทางลบกับเกรด ด้วย 90% รายงานเป็นห่วงอย่างชัดเจนหรือค่อยข้างเป็นห่วง
2. มีนักศึกษามากกว่าไม่ใช้รหัสการเข้าถึง (access codes) ระหว่างการระบาด
มีนักศึกษา 21% ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง อาจเป็นเพราะปัญหาการเงินหรือมีความเชื่อมากขึ้นว่ารหัสการเข้าถึงเป็นส่วนของการเรียนรู้ทางไกล (remote learning) การไม่ใช้รหัสการเข้าถึงหมายความว่านักศึกษาพลาดโอกาสเกี่ยวกับการบ้าน การสอบ และส่วนสำคัญอื่น ๆ ของเกรดในชั้นเรียน
3. COVID-19 มีผลต่อนักศึกษาอย่างมากและมีผลต่อความสามารถในการซื้อวัสดุของหลักสูตร
นักศึกษาได้รับผลกระทบจากการระบาดอย่างกว้าง ด้วย 79% ของนักศึกษา ได้รับผลกระทบในบางหนทาง (นอกเหนือจากส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน) ผลข้างเคียงของการระบาดเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับการต่อสู้มากขึ้นเพื่อการเข้าถึงวัสดุของหลักสูตร
4. การไม่มีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้สัมพันธ์กับการเข้าถึงวัสดุของหลักสูตรและการประสบผลสำเร็จของนักศึกษา
10% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้เพื่อเข้าร่วมในชั้นเรียนทางไกล 30% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง 8% ของนักศึกษาไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ ไม่ประสบผลสำเร็จในชั้นเรียนเนื่องจากไม่สามารถซื้อวัสดุของหลักสูตร
5. ความไม่ปลอดภัยในอาหารทำให้นักศึกษาไม่ซื้อวัสดุของหลักสูตรด้วยอัตราที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน
82% ของนักศึกษาซึ่งพลาดมื้ออาหารเนื่องจากการระบาด ไม่ซื้อตำราเรียนเนื่องจากราคา และ 38% ไม่ซื้อรหัสการเข้าถึง
สรุปจากการสำรวจ
COVID-19 เพิ่มอุปสรรคซึ่งนักศึกษาประสบทั้งการเงินและเทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงวัสดุของหลักสูตร แม้ว่าไม่ได้ทำให้วัสดุของหลักสูตรแพงขึ้น นักศึกษาซึ่งไม่มีงานทำเนื่องจากการะบาดหรือไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เชื่อถือได้ถูกกระทบมากที่สุดโดยราคาวัสดุของหลักสูตร ปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่ผ่านวิกฤตสุขภาพสาธารณะโดยปราศจากการให้ทุนเพิ่มขึ้นและการประยุกต์ใช้นโยบายระยะยาวซึ่งให้ความสำคัญกับการเข้าถึงและความสามารถในการซื้อ
คำแนะนำจากการสำรวจ
- สภานิติบัญญติและสำนักงานการศึกษา ควรให้ทุนสำหรับโปรแกรมตำราเรียนแบบเปิดและฟรี แก้ปัญหาการขาดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
- สถาบันอุดมศึกษาและระบบ ควรสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ทุน, การพัฒนาและการยอมรับทางอาชีพ, บรรณารักษ์การศึกษาแบบเปิด เพื่อทำให้ง่ายกว่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญในการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้และส่งงานออกภายใต้การอนุญาตแบบเปิด นอกจากนี้สถาบันทำเครื่องหมายราคาของวัสดุของหลักสูตรระหว่างการสมัครเข้าเรียนในชั้นเรียน
- คณะ ควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้ และคิดทบทวนก่อนให้รหัสการเข้าถึง ผู้สอนควรนำการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตแบบไม่แน่นอนมาพิจารณาเมื่อออกแบบหลักสูตร โดยทำให้วัสดุสามารถดาวน์โหลดและสร้างงานที่ได้รับมอบหมายที่ไม่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่มั่นคงเพื่อเสนอให้พิจารณา
- หน่วยงานและรัฐบาลนักศึกษา ควรสนับสนุนที่ระดับท้องถิ่นสำหรับนโยบายที่สนับสนุนการนำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้, ลดการใช้รหัสการเข้าถึง และเติมเต็มความต้องการพื้นฐานของนักศึกษา รัฐบาลนักศึกษายังสามารถสร้างห้องสมุด hot-spot
ที่มา: Cailyn Nagle and Kaitlyn Vitez (February 2021). Fixing the Broken Textbook Market: Third Edition. U.S. PIRG Education Fund. Retrieved April 25, 2022, from https://uspirg.org/reports/usp/fixing-broken-textbook-market-third-edition
นานาสาระน่ารู้
หนังสือ 3 ทศวรรษ วิสัยทัศน์การวิจัยของ สวทช.
เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปี สวทช. ได้จัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการบันทึกและเผยแพร่ผลงานวิจัยและพัฒนา และแสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมต่างๆ ที่นักวิจัย สวทช. ทำขึ้น และได้มีการนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และแก้ปัญหาสำคัญต่างๆ โดยเน้นไปที่การคัดเลือกผลงานวิจัยและพัฒนาที่มีดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นำไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง และสร้างผลกระทบอย่างชัดเจนต่อประเทศ จนได้รับการเผยแพร่และการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางจากสื่อมวลชน รวมถึงผลงานที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและนานาชาตินอกจากนี้ ยังจัดทำบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร เพื่อเป็นการถอดบทเรียน เบื้องหลังการผลักดัน กำหนดทิศทาง และวิสัยทัศน์ ในการดูแลให้งานวิจัยตอบโจทย์ประเทศในด้านต่าง ๆ อาทิ ทิศทางการเกษตรและอาหาร สุขภาพการแพทย์ ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ มีการนำเสนอการเปลี่ยนแปลงของ สวทช. เทียบกับเหตุการณ์สำคัญของประเทศและของโลก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า สวทช. ปรับตัวมากเพียงใดต่อการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆตลอด 3 ทศวรรษ ปี สวทช. มีการพัฒนาและปรับปรุงการทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยอาศัยจุดแข็งคือ กำลังคนที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญและศักยภาพในระดับต้นๆ ของประเทศ นอกจากนี้ ยังสร้างเครือข่ายความร่วมมือและมีหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนที่เข้มแข็ง ร่วมงานกันเสมอมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะฉายภาพ “ความเป็น สวทช.” ให้ผู้อ่านได้เห็น ไม่มากก็น้อยตอนที่ 1 ไทม์ไลน์ (Timeline)Download PDF
Timeline
Flip Book
ตอนที่ 2 สวทช. เป็น อยู่ คือ (Where We Are)Download PDF
Where We Are
Flip Book
ตอนที่ 3 สวทช. ในพริบตา (NSTDA@ a Glance)Download PDF
NSTDA@ a Glance
Flip Book
ตอนที่ 4 ทวนอดีต (Retrospective)Download PDF
Retrospective
Flip Book
ตอนที่ 5 มองไปข้างหน้า (From Now Onwards)Download PDF
From Now Onwards
Flip Book
ตอนที่ 6 หอเกียรติยศ (Hall of Fame)Download PDF
Hall of Fame
Flip Book
ตอนที่ 7 จากนวัตกรรมการวิจัยสู่คุณค่าทางเศรษฐกิจ (From Research Innovation to Economic Values)Download PDF
From Research Innovation to Economic Values
Flip Book
ตอนที่ 8 สวทช. เพื่อสังคม (NSTDA's Social Impacts)ตอนที่ 9 เราคือทีมเดียวกับ (You Are Our Team)ตอนที่ 10 พีระมิดการสั่งการ (Pyramid of Orders)Download PDF
NSTDA's Social Impacts
You Are Our Team / Pyramid of Orders
Flip Book
ตอนที่ 11 ยินดีให้บริการ (Your Need is Our Service)Download PDF
Your Need is Our Service
Flip Book
ตอนที่ 12 วิสัยทัศน์ ค่านิยมหลัก และการกิจ (Visions, Core Values & Mission)Download PDF
Visions, Core Values & Mission
Flip Book
เอกสารเผยแพร่
นักศึกษาตอบสนองอย่างไรต่อราคาตำราเรียนที่สูงและต้องการทางเลือกใหม่
The Student PIRGs (The Student Public Interest Research Groups) ได้ดำเนินการศึกษาเพื่อค้นหาผลของราคาตำราเรียนที่สูงที่มีต่อนักศึกษาและการศึกษาในมหาวิทยาลัย และเพื่อประเมินความสนใจของนักศึกษาในทางเลือกใหม่นอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิม
สิ่งที่พบจากการศึกษา
ระหว่างฤดูใบไม้ร่วงของปี 2013 the Student PIRGs ทำการสำรวจจากนักศึกษา 2,039 คน จากมากกว่า 150 วิทยาเขตของมหาวิทยาลัย สิ่งที่พบหลัก คือ
1. ราคาตำราเรียนที่สูงขัดขวางนักศึกษาจากการซื้อวัสดุที่ถูกสั่งถึงแม้มีความห่วงใยเกรด
- 65% ของนักศึกษา ให้ความเห็นว่า ไม่ซื้อตำราเรียนเพราะว่าแพงเกินไป
- 94% ของนักศึกษา ซึ่งไม่ซื้อตำราเรียนรู้สึกกังวลว่าการทำแบบนี้จะมีผลเสียต่อเกรด
2. ราคาตำราเรียนที่สูงมีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาอื่น ๆ ของนักศึกษา
- เกือบครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่ถูกสำรวจ ตอบว่าราคาของตำราเรียนมีผลต่อกี่ชั้นเรียนหรือชั้นเรียนไหนที่นักศึกษาจะเข้าเรียนในแต่ละภาคการศึกษา
3. นักศึกษาเชื่อว่าทางเลือกใหม่ของสิ่งที่พิมพ์ออกมาและใช้ได้ฟรีผ่านออนไลน์นอกจากตำราเรียนแแบบดั้งเดิมจะทำให้การปฏิบัติดีขึ้น
- 82% ของนักศึกษารู้สึกว่าจะทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนในหลักสูตร ถ้าตำราเรียนมีให้ฟรีออนไลน์และการซื้อสิ่งที่พิมพ์ออกมาเป็นทางเลือก
- นักศึกษาสนับสนุนตำราเรียนที่มีให้ฟรีออนไลน์และการซื้อสิ่งที่พิมพ์ออกมาเป็นทางเลือก ชี้ให้เห็นโดยตรงว่า ตำราเรียนแบบเปิด (open textbooks) เป็นต้นแบบในอุดมคติเพื่อแทนที่ตำราเรียนแบบดั้งเดิม
สรุปจากการศึกษา
ราคาตำราเรียนที่สูงจะเป็นปัญหาสำหรับนักศึกษาถ้าราคาตำราเรียนที่ถูกจัดพิมพ์ใหม่ที่สูงไม่ลดลง นอกจากนี้การศึกษาครั้งนี้ยังแสดงว่านักศึกษาพร้อมสำหรับทางเลือกใหม่นอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิมในห้องเรียน ตำราเรียนแบบเปิดเป็นต้นแบบในอุดมคติ ซึ่งนักศึกษาในการสำรวจรู้สึกว่าจะทำให้การปฏิบัติในห้องเรียนดีขึ้น
ในขณะที่การจัดให้มีในปัจจุบันของตำราเรียนแบบเปิดกำลังขยายอย่างรวดเร็ว ยังครอบคลุมเพียงส่วนน้อยของหลักสูตรมหาวิทยาลัยทั้งหมด เพื่อให้มีการแข่งขันในตลาดและเพื่อทำให้ตำราเรียนแบบเปิดเป็นทางเลือกใหม่ที่แท้จริงนอกจากตำราเรียนแบบดั้งเดิม ต้องลงทุน start-up มากขึ้นในการสร้างและการพัฒนาตำราเรียนแบบเปิด
คำแนะนำจากการศึกษา
- นักศึกษาควรสนับสนุนโดยตรงสำหรับการใช้ตำราเรียนแบบเปิดในห้องเรียน
- คณะควรพิจารณานำตำราเรียนแบบเปิดไปใช้ในห้องเรียน ควรตรวจสอบ the U. Minnesota Open Textbook Library ว่ามีหนังสือสำหรับชั้นเรียนหรือไม่
- ผู้บริหารวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยควรพิจารณาสร้างโปรแกรมนำร่องตำราเรียนแบบเปิดในวิทยาเขต สามารถดู MOST Initiative ของระบบมหาวิทยาลัยของ Maryland เป็นตัวอย่าง
- สภานิติบัญญัติของรัฐและสหรัฐ ควรลงทุนสร้างและพัฒนาตำราเรียนแบบเปิดมากขึ้น ดู Open Course Library ของรัฐวอชิงตัน เป็นตัวอย่าง
- สำนักพิมพ์ควรพัฒนารูปแบบใหม่ ซึ่งสามารถผลิตหนังสือคุณภาพสูงโดยไม่กำหนดราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักศึกษา
ที่มา: Ethan Senack (January 2014). Fixing the Broken Textbook Market. the Student PIRGs. Retrieved April 19, 2022, from https://uspirg.org/reports/usp/fixing-broken-textbook-market
นานาสาระน่ารู้
เปิดความก้าวหน้างานวิจัยนานาชาติ ผนึกกำลังช่วยหยุดยั้งโควิด-19
โรคโควิด-19 เป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายคนทั้งโลก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักในความสำคัญของการใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อรับมือโรคระบาดใหญ่เช่นนี้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงได้จัดสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีสู้โรคโควิด-19 ของนานาชาติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกและนักวิจัยจากไบโอเทค สวทช. ร่วมเป็นผู้บรรยาย ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (17th NSTDA Annual Conference: NAC2022) ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา
เบื้องหลังความสำเร็จวัคซีน mRNA
[caption id="attachment_31352" align="aligncenter" width="350"] ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis)[/caption]
ดร.พีเตอร์ คุลลิส (Dr. Pieter Cullis) ศาสตราจารย์ด้านชีวเคมีและอณูชีววิทยา (Molecular Biology) จากศูนย์วิทยาศาสตร์ชีวิต (Life Science Centre) เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์นาโน (Nanomedicine) กล่าวถึงการทำงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา LNP (Lipid Nanoparticle) หรืออนุภาคระดับนาโนที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เพื่อพัฒนาระบบส่งยาจำพวกกรดนิวคลีอิกไปยังอวัยวะเป้าหมายและเข้าสู่เซลล์ชนิดที่จำเพาะ
การสร้าง LNP ต้องใช้ไขมันที่มีประจุบวก ทว่าในธรรมชาติมีเพียงไขมันที่มีประจุลบและไขมันที่เป็นกลางเท่านั้น อีกทั้ง LNP แบบประจุบวกส่วนใหญ่ยังมีความเป็นพิษสูงอีกด้วย จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะสร้าง LNP แบบประจุบวกที่มีประสิทธิภาพในการนำส่งสารสำคัญแต่มีความเป็นพิษน้อย ซึ่งในที่สุด ดร.คุลลิสก็ทำสำเร็จ โดย LNP ที่สร้างขึ้นสามารถใช้นำส่งส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ siRNA ได้ จึงนำมาใช้ในการบำบัดด้วยยีนสำหรับรักษาโรคพันธุกรรมบางอย่าง เช่น โรคอะมีลอยโดซิสชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน (Hereditary Amyloid Transthyretin Amyloidosis; hATTR) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ต่อมาเมื่อเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 จึงมีการประยุกต์ใช้ LNP ที่มี mRNA เป็นส่วนประกอบ เพื่อใช้เป็นวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 โดย ดร.คุลลิสได้ทำวิจัยร่วมกับ ดร.ดรูว์ ไวส์แมน (Dr. Drew Weissman) นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชาวอเมริกัน และ ดร.คาทาลิน คาริโค (Dr. Katalin Kariko) นักชีวเคมีชาวฮังการี ที่ต้องการวิธีนำส่งสารที่มีประสิทธิภาพดี ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ของบริษัท Pfizer-BioNTech และ Moderna ที่ใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ทั้งนี้ จากการเป็นผู้บุกเบิกงานวิจัยด้าน LPN เพื่อพัฒนาระบบนำส่งยาของ ดร.คุลลิส และจากความพยายามร่วมกันเป็นเวลานานของ ดร.ไวส์แมนและ ดร.คาริโค ในการนำ mRNA มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ จนเกิดผลสำเร็จเป็นวัคซีน mRNA ดังกล่าว จึงส่งผลให้ทั้ง 3 ท่าน ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี พ.ศ. 2564 สาขาการแพทย์ ร่วมกัน
พัฒนาวัคซีนชนิด Protein Subunit สู้เชื้อกลายพันธุ์
[caption id="attachment_31351" align="aligncenter" width="350"] ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao)[/caption]
ดร.จอร์จ เอฟ. เกา (Dr. George F. Gao) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาไวรัสและวิทยาภูมิคุ้มกัน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศจีน (Chinese Center for Disease Control and Prevention) กล่าวว่า เชื้อก่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน มีการเปลี่ยนกรดอะมิโนที่บริเวณโครงสร้างของหนาม (spike) ที่ใช้จับกับตัวรับของเซลล์มากถึง 30 ตำแหน่ง หลายตำแหน่งตรงกับที่พบในไวรัสอื่นก่อนหน้านี้ ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลบรอดระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และพบการเปลี่ยนแปลงของ 3 ตำแหน่งที่ทำให้จับกับตัวรับของสิ่งมีชีวิตได้มากชนิดยิ่งขึ้น
การกลายพันธุ์ของไวรัสกับการรับมือของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คล้ายกับ “ทอมกับเจอร์รี่” ที่หนีกันไปและวิ่งไล่กันไปตลอดเวลา ความท้าทายที่เผชิญกันอยู่ตอนนี้คือการลดลงของระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน และความสามารถในการทำให้ติดเชื้ออย่างก้าวกระโดดของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนและสายพันธุ์ย่อย โดยมาตรการที่ใช้รับมือตอนนี้คือการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพิ่มหลังจากฉีดครบ 2 โดสแล้ว และการฉีดวัคซีนชนิดอื่นที่ต่างจากเดิม ซึ่งวัคซีนที่ผลิตเพื่อใช้ต่อสู้กับโคโรนาไวรัสตอนนี้มี 7 แบบ หนึ่งนั้นคือชนิดใช้หน่วยย่อยโปรตีน (Protein Subunit) กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะนี้มีวัคซีนชนิด Protein Subunit อยู่ 12 ชนิดที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ชนิดที่ใช้กว้างขวางที่สุดคือ Novavax ซึ่งใช้ใน 32 ประเทศ และมีวัคซีนชนิดที่ใช้ในประเทศเดียวอยู่ 7 ชนิด
ทั้งนี้ ศ.เกามีส่วนร่วมในการสร้างวัคซีนชนิด Protein Subunit (ชื่อ ZF2001) ที่ออกแบบโดยนำ Receptor ต่อโปรตีนหนามของโคโรนาไวรัส 2 โมเลกุลมาเชื่อมต่อกัน เมื่อทดลองในหนูพบว่าทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อ SARS-CoV-2 ได้ และได้กลายมาเป็นวัคซีนชนิด Protein Subunit ชนิดแรกของโลก ซึ่งต่อมาพบว่าใช้กับเชื้อกลายพันธุ์ได้ด้วย และจากการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เป็นเข็มกระตุ้นได้ดี
นอกจากนี้มียาหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ชนิดแรกคือ Etesevimab ที่เป็นโมโนโคลนัลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์กับตัวรับของโปรตีนหนามของ SARS-CoV-2 ชนิดที่สองคือ Molnupiravir ของบริษัท Merck เป็นยารับประทานซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ตัดสาย RNA ของไวรัส จึงช่วยยับยั้งการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสได้ ชนิดที่สามคือ Paxlovid ของบริษัท Pfizer หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Ritonavir เป็นยารับประทานที่ลดอาการป่วยหนักหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ Protease ของไวรัส นอกจากนี้ยังมียาสมุนไพรพื้นเมืองของจีนเรียกว่า TCM Herbs ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ Paxlovid ด้วย
“โมโนโคลนัลแอนติบอดี” เสริมทัพวัคซีนหยุดยั้งโควิด-19
[caption id="attachment_31350" align="aligncenter" width="350"] นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta)[/caption]
นพ.เออร์เนสโต โอวีโด-ออร์ตา (Dr. Ernesto Oviedo-Orta) ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์คลินิกของบริษัท Novartis Vaccines & Diagnostics Siena ประเทศอิตาลี ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Infectious Disease Lead บริษัท Regeneron Pharmaceuticals, Inc. อธิบายถึงความสามารถของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งเข้าสู่เซลล์ได้ดีที่เยื่อบุผิวของปอดและลำไส้เล็ก รวมไปถึงเยื่อบุหลอดเลือด เมื่อไวรัสเข้าเซลล์ได้จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวน โดยช่วงที่แบ่งตัวมากที่สุดคือระยะที่เริ่มมีอาการป่วยน้อยไปจนถึงปานกลาง ขณะที่ตอนยังไม่มีอาการหรือเมื่อป่วยหนักแล้วเชื้อไวรัสจะแบ่งตัวน้อย
อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยที่ชี้ว่าสามารถใช้โมโนโคลนัลแอนติบอดี (mAb) รักษาผู้ป่วยจากโรคโควิด-19 ได้ และเมื่อเปรียบเทียบวัคซีนกับ mAb พบว่ามีส่วนคล้ายกันคือมีความจำเพาะกับเชื้อโรค แต่มีรายละเอียดหลายอย่างที่แตกต่างกัน ประการแรกคือ mAb ใช้ปกป้องร่างกายจากเชื้อไวรัสได้ทันที ส่วนวัคซีนต้องใช้เวลาสร้างภูมิ ประการที่สอง mAb ออกฤทธิ์ระยะสั้นๆ ตรงข้ามกับวัคซีนที่ออกฤทธิ์ยาวนานกว่า ประการที่สาม วัคซีนกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันในร่างกายคล้ายกับการที่ร่างกายตอบสนองกับเชื้อโรคตามธรรมชาติ แต่ mAb ที่ฉีดเข้าไปจะเป็นตัวไปทำลายเชื้อโรคโดยตรง และประการสุดท้ายคือแอนติบอดีที่เกิดขึ้นในกรณีของวัคซีนนั้น เกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่กรณีการฉีด mAb เป็นการรับเข้าไปจากภายนอก และเพื่อป้องกันการเกิดไวรัสที่กลายพันธุ์จนดื้อต่อ mAb ที่ใช้ฉีด ดังนั้นควรใช้ mAb มากกว่า 1 ชนิดในการฉีด
ทั้งนี้ องค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา อนุมัติการใช้ mAb แล้วหลายชนิด ทั้งแบบผสมและแบบเดี่ยว ได้แก่ Casirivimab/imdevimab ของบริษัท Regeneron, Bamlanivimab/etesevimab ของบริษัท Eli Lily, Bebtelovimab ของบริษัท Eli Lily, Sotrovimab ของบริษัท GSK และ Evusheld ของบริษัท AstraZeneca ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นยารักษาโรคโควิด-19 แล้ว mAb ยังถือเป็นจิกซอว์ชิ้นสำคัญที่ช่วยปิดช่องว่างสำหรับคนที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้หรือฉีดแล้วไม่กระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกัน mAb จึงเป็นปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่จะช่วยหยุดยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้
วัคซีนพ่นจมูกแบบ 2-in-1 ใช้งานสะดวก ป้องกันได้ 2 โรค
[caption id="attachment_31349" align="aligncenter" width="350"] ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา[/caption]
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. และผู้เชี่ยวด้านไวรัสวิทยาแถวหน้าของประเทศไทย ได้เปิดเผยถึงงานวิจัยการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถประยุกต์ใช้ไวรัลเวกเตอร์ (Viral Vector) ที่เหมาะสมในการผลิตวัคซีนต่อโรคโควิด-19 และการออกแบบวัคซีนที่ชื่อ นาสแว็ก (NASTVAC) โดยอาศัยการนำข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 มาสร้างสารพันธุกรรมเฉพาะที่ใช้สร้างส่วนโปรตีนหนาม (Spike) จากนั้นจึงนำไปใส่ไว้กับสารพันธุกรรมของไวรัสอื่นที่ไม่เป็นอันตราย เช่น อะดีโนไวรัส (Adenovirus)
วัคซีนที่ออกแบบนี้ใช้การฉีดพ่นทางจมูกได้ เพราะไวรัสที่เลือกมาใช้เป็นไวรัลเวกเตอร์ สามารถเกาะกับเซลล์เป้าหมายในทางเดินหายใจได้ดี จึงใช้งานได้สะดวกกว่าวัคซีนชนิดฉีด และการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยจากโรคโควิด-19 ที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นได้ดี โดยไปยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในเซลล์ของหนูทดลอง และวัคซีนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ ทั้ง Humoral Immune Response และ Cell-Mediated Immune Response
เมื่อทดลองโดยใช้ไวรัสสายพันธุ์เดลตา พบว่าสามารถป้องกันหนูไม่ให้ป่วยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่การปรากฏตัวของสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้ต้องปรับโครงสร้างวัคซีน NASTVAC เวอร์ชัน 2 และ 3 ที่จะใช้ป้องกันสายพันธุ์ดังกล่าวได้ดีขึ้นตามไปด้วย แต่ยังคงใช้ไวรัลเวกเตอร์ชนิดอะดีโนไวรัสเช่นเดิม
นอกจากนี้ยังได้พัฒนาวัคซีนแบบพ่นจมูกชนิด 2-in-1 (Bivalent Vaccine) ที่ป้องกันได้ทั้งไวรัสไข้หวัดใหญ่และ SARS-CoV-2 โดยในกรณีของไวรัสไข้หวัดใหญ่ จะใช้การสร้างโปรตีนเลียนแบบโปรตีน HA ที่อยู่บนผิวของไวรัส ข้อดีของวัคซีน 2-in-1 คือสามารถป้องกันได้ทั้ง 2 โรคพร้อมกัน แพลตฟอร์มที่ใช้ทำให้สามารถปรับสร้างโปรตีนที่ต่างจากเดิมเล็กน้อยได้รวดเร็ว และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทั้ง 2 แบบ แต่ความท้าทายคือยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่และการหาวิธีทำให้สารพันธุกรรมเสถียรในไวรัลเวกเตอร์ยังเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม จากการวิจัยร่วมกับทีมวิจัยของ Pasteur Institute โดยทดลองในแฮมสเตอร์ แสดงให้เห็นว่าไวรัสโรคหัดน่าจะนำมาใช้เป็น “ไวรัลเวกเตอร์” ได้ดีกับกรณีวัคซีนต่อโควิด-19 เช่นกัน
การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มุมมอง ความคิด และประสบการณ์ระหว่างนานาประเทศจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนางานวิจัยให้เข้าถึงเส้นชัยได้เร็วยิ่งขึ้น และองค์ความรู้ที่เราพัฒนาขึ้นนี้จะช่วยให้เรามีความพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมการแพทย์ในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนตามแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สามารถชมคลิปวิดีโอการสัมมนาหัวข้อ International Webinar on COVID-19 ย้อนหลังได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/international-webinar-on-covid-19/
BCG
ข่าว
บทความ


