หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
10 กระทรวง MOU ครั้งประวัติศาสตร์ คิกออฟฐานข้อมูลเกษตรแห่งชาติ สร้างมิติใหม่ Big Data ด้านเกษตร
ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้แทนกระทรวงฯ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดย นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวง กษ. และอีก 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ลงนามบันทึกความร่วมมือการพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลด้านการเกษตรที่ต่อยอดมาจากฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Farmer ONE) ซึ่งเดิมมีหน่วยงานเพียง 3 หน่วยงานที่เริ่มดำเนินการในระยะต้น ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ชื่อเดิมของกระทรวง อว.) และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (ชื่อเดิมของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์: สพร.)    การลงนามความร่วมมือในวันนี้ถือเป็นการร่วมสร้างให้มิติใหม่ให้วงการเกษตรของไทย เข้าสู่ Digital Thailand 4.0 โดยร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ด้วยมาตรฐานเดียวกันสู่รัฐบาลดิจิทัลตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่มุ่งขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเกษตรด้านฐานข้อมูลด้านเกษตรกรอัจฉริยะ โดยในส่วนของอว. มีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.) เข้าร่วมโดยร่วมเป็นที่ปรึกษาและสนับสนุนเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งให้องค์ความรู้ในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลผ่านโครงสร้างมาตรฐาน เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวนี้เนคเทค-สวทช. ได้พัฒนาและงานมาอย่างต่อเนื่องในโครงการขึ้นทะเบียนเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายแหล่งได้    สำหรับฐานข้อมูลด้านการเกษตรที่ดำเนินการร่วมกันภายใต้บันทึกความร่วมมือฯ นี้ จะมีข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งด้านเกษตรกรและด้านสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ทั้งในด้านการวางแผนเชิงนโยบายของภาครัฐ การวางแผนการผลิตทางการเกษตรของภาคเอกชน รวมไปถึงเกษตรกรยังสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ เพื่อวางแผนการเพาะปลูกและติดตามข้อมูลราคาสินค้าทางการเกษตรได้อีกด้วย ฐานข้อมูลนี้ไม่เพียงเป็นประโยชน์ในด้านการให้บริการข้อมูลแก่ ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ฐานข้อมูลดังกล่าวยังมีประโยชน์ต่อการส่งเสริมการวิจัย โดยเฉพาะการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytic) และการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อให้เกิดการวางแผนและการตัดสินใจที่แม่นยำมากขึ้นอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ถึงเวลา “TIME” เสริมกำลังนโยบาย Thailand Plus Package ของรัฐบาล รูปแบบการสร้างกำลังคนแนวใหม่ ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม รองรับการลงทุนจากต่างประเทศ
For English-version news, please visit : New industrial manpower development program, TIME, launched to support Thailand Plus Package ณ ห้องจามจุรี บอลรูม โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส กรุงเทพฯ : สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดงานสัมมนา “Thailand Plus Package ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย” ระดมภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย แลกเปลี่ยนมุมมองของการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง และรูปแบบการสร้างกำลังคนแนวใหม่ให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับสภาวะแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ทั้งการท้าทายของเทคโนโลยีใหม่ๆ ความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงปัญหาผลิตภาพการผลิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ส่งผลให้ประเทศไทยมีความจำเป็นที่ต้องเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) มาเป็นเครื่องมือในการรับมือที่ในปัจจุบันภาคเอกชนได้มีการนำ วทน. มาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มีการยกระดับกระบวนการผลิตไปสู่การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยในการผลิตสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภครายบุคคลมากยิ่งขึ้น สร้างสินค้าที่เป็นนวัตกรรม และสามารถรองรับการเติบโตของภาคการผลิตและบริการอย่างเพียงพอในเชิงปริมาณและคุณภาพ ในทางเดียวกันภาครัฐเองก็ได้มีการมุ่งเน้นสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นสาขาอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และสาขาอุตสาหกรรมที่เป็น New Engines of Growth หรือเครื่องยนต์สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยจะสามารถดำเนินงานไปยังทิศทางดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Science, Technology, Engineering and Mathematics : STEM) เพิ่มมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในประเทศ และการเตรียมพร้อมเป็นฐานรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่สำคัญ ภาครัฐจึงได้มีการขับเคลื่อนมาตรการที่มุ่งเน้นการเร่งรัดการลงทุนและรองรับการย้ายฐานการผลิตสืบเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า หรือ Thailand Plus Package โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศ ได้แก่ 1. การกำหนดมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการนำเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมที่เข้าข่าย Advanced Technology ไปหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 2.5 เท่า และ 2. มาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมขั้นสูง โดยสามารถนำค่าจ้างไปหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า ซึ่งเรื่องดังกล่าว สอวช. ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการนำมาตรการดังกล่าวไปใช้จริงในเดือนมกราคม พ.ศ.2563 ทั้งในส่วนการจัดทำรายละเอียดทักษะเพื่ออนาคต หรือ Future Skills Set การจัดทำรายละเอียดเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนหน่วยฝึกอบรม (Registered Training Organization - RTO) และการจัดทำรายละเอียดเงื่อนไขการรับรองการจ้างงานบุคลากรตำแหน่งงานทักษะสูง ในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรม ซึ่งจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวคาดว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยจะมีบุคลากรที่มีสมรรถนะที่สามารถตอบสนองทันต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของโลก ทันต่อการเปลี่ยนงานและอาชีพในโลกอนาคต มีทักษะสอดคล้องกับที่ตลาดงานต้องการ และทำให้ประเทศไทยสามารถรองรับการลงทุนหรือการย้ายฐานการผลิตที่มาจากต่างประเทศในระยะยาวได้ นอกเหนือจากมาตรการด้านการพัฒนากำลังคนดังที่กล่าวแล้ว การจัดงานในครั้งนี้ ไฮไลท์คือการนำเสนอรูปแบบการสร้างกำลังคนแนวใหม่อย่างโครงการยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการนวัตกรรมองค์กรแบบทั่วถึง หรือ TIME (Total Innovation Management Enterprise) ซึ่งมี สวทช. เป็นหน่วยบริหารจัดการ เพื่อให้บุคลากรบริษัทมีความรู้ทางวิชาการควบคู่ไปกับทักษะทางอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ภาคเอกชนสามารถใช้ วทน. ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังเป็นการสร้างกลไกที่ช่วยพัฒนากำลังคนตามความต้องการของประเทศ เพื่อรองรับการยกระดับทักษะของบุคลากรภายในประเทศให้มีทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญสอดคล้องต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเป็นการวางระบบสนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ทั้งในรูปแบบของการจัดหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-degree) และหลักสูตรระดับปริญญา (Degree) เพื่อพัฒนากำลังคนของประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ “TIME เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากการทดลองนำร่องโครงการ WiL และโครงการพัฒนานักวิจัยในอุตสาหกรรมร่วมกับสถานประกอบการขนาดกลาง ของ สอวช. ที่ประสบความสำเร็จจากการนำร่องโดยจากการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า บริษัทเกิดการพัฒนากระบวนการทำงานแบบข้ามสายงานเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตามการพัฒนากำลังคนทักษะสูงที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมนั้น ต้องมีความร่วมมือจากสามภาคส่วน ทั้ง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาอย่างเข้มข้นในทุกระดับ โดยแต่ละภาคส่วนล้วนได้ประโยชน์ร่วมกัน สถานประกอบการจะได้แรงงานทักษะสูงที่เข้าใจเนื้องานและสามารถเชื่อมการเรียนรู้สู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล ภาคการศึกษาได้รับประโยชน์ในเชิงความร่วมมือและการพัฒนาปรับปรุงงานและหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันภาครัฐก็ได้แก้ปัญหาคุณภาพและสมรรถนะของบัณฑิตที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง โครงการ TIME จึงถือว่าเป็นแก้ไขปัญหาที่เข้ากับบริบททางสังคมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย” ดร.พูลศักดิ์ กล่าว ด้าน ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า TIME เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาทั้งในระดับ ปวส. ปริญญาตรี และปริญญาโท ได้เข้าไปเรียนและฝึกทักษะในสถานประกอบการ โดยโครงการ TIME ในระดับ ปวส. ปริญญาตรี เป็นการจัดระบบการศึกษาให้นักศึกษามีองค์ความรู้และทักษะสอดคล้องต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมผ่านการทำงานในสถานประกอบการพร้อมกับการลงทะเบียนเรียนในสถาบันการศึกษา ซึ่งนักศึกษาจะได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติงานเสมือนเป็นพนักงาน และได้เรียนรายวิชาตามหลักสูตรหลังเลิกงานหรือวันหยุดในสถานที่ที่สถานประกอบการจัดให้ ส่วน TIME ระดับปริญญาโท เป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาเข้าศึกษาในหลักสูตรระดับปริญญาโท พร้อมกับเข้าทำงานเต็มเวลาในสถานประกอบการเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยจัดให้มีการเรียนและการฝึกทักษะการทำงานตามกระบวนการการพัฒนาบุคลากรผู้มีความรู้ด้านการจัดการนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรม (RDI QS) ในสถานประกอบการ เพื่อดำเนินโครงการนวัตกรรมและนำเสนอเป็นผลงานทางวิชาการผ่านโครงการวิทยานิพนธ์ “การดำเนินโครงการ TIME ระดับ ปวส. และปริญญาตรี เราคาดหวังว่าจะช่วยบ่มเพาะให้นักศึกษาก้าวสู่การเป็นบุคลากรทักษะสูงที่จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระดับประเทศ (High Qualified Workforce / Technician) ช่วยสถานประกอบการแก้ปัญหา Turn Over เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพสำหรับผู้ด้อยโอกาส ช่วยประเทศในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงเกิดการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนสถานศึกษาจะมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่เหมาะกับอุตสาหกรรมแต่ละประเภท สำหรับระดับปริญญาโท TIME จะช่วยสร้างให้เกิดการพัฒนากำลังคนตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม (Demand Driven) ตลอดจนสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรมให้แก่ภาคอุตสาหกรรม” ดร.ฐิตาภา กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
โตโยต้า จับมือ อว. โดย สวทช. และ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ลดเปลี่ยนโลก เพิ่มนวัตกรรม
19 ธันวาคม 2562 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ. ปทุมธานี : บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เปิดตัวงาน “โครงการลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า” บูรณาการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโครงการประกวด 2 ระดับ ได้แก่ “ชุมชนลดเปลี่ยนโลก” และ “นวัตกรรมเยาวชนลดเปลี่ยนโลก โดยมี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานฯ พร้อมด้วย นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมงาน บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้ดำเนินกิจกรรม “โตโยต้า ลดเมืองร้อน ด้วยมือเรา” หนึ่งในกิจกรรมภายใต้โครงการโตโยต้าเมืองสีเขียว มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ด้วยความมุ่งหวังในการสร้างจิตสำนึกให้สังคมไทยได้ตระหนักถึงปัญหาด้านภาวะโลกร้อน พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไข เปิดโอกาสให้โรงเรียน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั่วประเทศ จัดทำแผนงานส่งเข้าประกวดเพื่อรณรงค์การลดภาวะโลกร้อนภายในชุมชนของตน โดยตลอดระยะเวลา 14 ปี ได้สนับสนุนงบประมาณให้แก่โรงเรียน 299 แห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 238 แห่ง และ ชุมชน 162 แห่ง ทั่วประเทศ เกิดเป็นโครงการที่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 23,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปีนี้ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยแกนนำ ปี 62 พร้อมงบสนับสนุนรวม 50 ล้านบาท แก่นักวิจัยการแพทย์ จาก มช. และนักวิจัยวิศวกรรมก่อสร้าง จาก มธ. และ มทส.
For English-version news, please visit : Three big-impact research projects awarded NSTDA Research Chair Grant 2019 19 ธ.ค. 62 กรุงเทพฯ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศผู้ได้รับเป็นนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2562 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.นพ.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านสรีวิทยาทางไฟฟ้าและพยาธิสรีรวิทยาของหัวใจ ม.เชียงใหม่ ในงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันผลกระทบจากเคมีบำบัดต่อหัวใจและสมอง ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล ม.ธรรมศาสตร์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านคอนกรีตเทคโนโลยี ในงานวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีวัสดุและนวัตกรรมคอนกรีตก่อสร้าง และ ศ.ดร.สุขสันติ์ หอพิบูลสุข ม.เทคโนโลยีสุรนารี นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมถนน ในงานวิจัยที่เกี่ยวกับนวัตกรรมออกแบบถนน เพื่อให้นักวิจัยแกนนำที่มีศักยภาพสูง เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัยที่เข้มแข็งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสรรค์งานวิจัยใหม่หรือต่อยอดงานวิจัย ที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมและเชื่อมโยงระหว่างภาคความรู้ ภาคการผลิตและบริการ และภาคสังคม พร้อมยกระดับการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า นักวิจัยมีส่วนสำคัญในการผลิตผลงานวิจัยเพื่อออกมาขับเคลื่อนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ นักวิจัยแกนนำ นับเป็นนักวิจัยที่เป็นแกนนำในทุกด้านของการวิจัยและพัฒนา ทั้งแกนนำการวิจัย และแกนนำในการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในประชาคมวิจัยของประเทศ ท่ามกลางความท้าทายที่หลากหลาย ซึ่งคาดหวังให้ผลงานของนักวิจัยแกนนำ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในบริบทที่เกี่ยวข้อง สร้างรากฐานที่เข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศ รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์จะได้มีการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานจากเทคโนโลยี งานวิจัย และนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นจากโครงการของนักวิจัยแกนนำ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. และเลขานุการคณะกรรมการด้านการส่งเสริมกลุ่มนักวิจัยแกนนำ กล่าวว่า โครงการนักวิจัยแกนนำ เป็นหนึ่งในกลไกที่ สวทช. เล็งเห็นว่า สามารถสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประชาคมวิจัย ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับนานาชาติ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จนนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน จากการพิจารณาข้อเสนอโครงการวิจัย จำนวน 20 โครงการ ที่ส่งเข้ารับการพิจารณาภายใต้โครงการนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2562 ในปีนี้ คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์สนับสนุนนักวิจัย จำนวน 3 ท่าน เป็นนักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2562 ประกอบด้วย นักวิจัยด้านการแพทย์ 1 ท่าน และนักวิจัยด้านวิศวกรรมก่อสร้าง 2 ท่าน โดย สวทช. ให้การสนับสนุนงบประมาณโครงการวิจัยด้านการแพทย์รวม 20 ล้านบาท และสนับสนุนงบประมาณโครงการวิจัยด้านวิศวกรรมก่อสร้างรวม 30 ล้านบาท (โครงการละ 15 ล้านบาท) ทั้งสามโครงการจะดำเนินงานในระยะเวลา 5 ปี นับจากนี้ ซึ่งผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยแกนนำทั้ง 3 ท่าน จะมุ่งเน้นทั้งงานวิจัยในเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ บทความวิชาการ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ ต้นแบบเทคโนโลยี และสิทธิบัตร นักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2562 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์ (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.นพ.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาแนวทางการรักษาแบบใหม่ โดยใช้เครื่องมือทางการแพทย์และการใช้ยามุ่งเป้าไปที่ไมโตคอนเดรีย เพื่อป้องกันรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวและสมองเสื่อมจากการใช้ยาเคมีบำบัดรักษามะเร็ง” ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาเทคโนโลยีและมาตรฐานการปฏิบัติงานก่อสร้างอย่างยั่งยืน” และ ศ.ดร.สุขสันติ์ หอพิบูลสุข ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จากโครงการวิจัยเรื่อง “นวัตกรรมการออกแบบถนนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอย่างยั่งยืน” ท่านแรก ศาสตราจารย์ (เชี่ยวชาญพิเศษ) ดร.นพ.นิพนธ์ ฉัตรทิพากร (หัวหน้าโครงการ) คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญทางด้านสรีวิทยาทางไฟฟ้าและพยาธิสรีรวิทยาของหัวใจ เปิดเผยถึงโครงการวิจัยว่า เคมีบำบัดถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ยาเคมีบำบัด ได้แก่ doxorubicin และ trastuzumab จัดเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์คือ การเกิดภาวะความเป็นพิษต่อหัวใจทำให้หัวใจล้มเหลว (chemotherapy-induced cardiotoxicity) และความเป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลางที่ทำให้การเรียนรู้และความจำเสีย (chemobrain) ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเคมีบำบัดเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วย รวมทั้งเพิ่มภาระทางการเงินแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับประเทศและระดับโลก ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันผลเสียต่อหัวใจและสมองที่เกิดจากเคมีบำบัดได้ ดังนั้น การค้นหาวิธีการป้องกันความเป็นพิษต่อหัวใจและสมองซึ่งเกิดจากเคมีบำบัดที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นหัวใจสำคัญของข้อเสนอโครงการวิจัยนี้ เพื่อให้เป็นแนวทางใหม่ในการป้องกันผลข้างเคียงที่ร้ายแรงต่อหัวใจและสมองจากการใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดดีขึ้นในอนาคต โดยเป้าหมายหลักคือ การค้นหาวิธีการป้องกันภาวะความเป็นพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) และความเป็นพิษต่อระบบประสาทส่วนกลาง (chemobrain) ที่เกิดจากการให้เคมีบำบัด โดยอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์ หรือการใช้ยาที่มีผลต่อไมโตคอนเดรีย เพื่อป้องกันความเป็นพิษต่อหัวใจและสมอง โดยจะศึกษาตั้งแต่ในระดับเซลล์ สัตว์ทดลอง จนถึงผู้ป่วยมะเร็งเต้านม เพื่อค้นหาวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าผลที่ได้จากโครงการจะก่อให้เกิดการป้องกันรักษาแบบใหม่ นำไปสู่การพัฒนาแนวทางรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต ท่านที่สอง ศ.ดร.สมนึก ตั้งเติมสิริกุล (หัวหน้าโครงการ) ภาควิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านคอนกรีตเทคโนโลยี เปิดเผยถึงโครงการวิจัยว่า การจัดทำมาตรฐานและคู่มือปฏิบัติ โดยอาศัยผลการวิจัยศึกษาในประเทศไทยนับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้มีศักยภาพและมีความสามารถในการแข่งขันได้ โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างให้เกิดความยั่งยืน โดยทำการวิจัยพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ครอบคลุมขั้นตอนการปฏิบัติงานก่อสร้างอย่างครบวงจรในการให้ได้มาซึ่งโครงสร้างที่ไม่เพียงแค่แข็งแรงแต่ยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน คือ 1) การวิเคราะห์โครงสร้างและการออกแบบ 2) วัสดุสำหรับการก่อสร้าง 3) เทคโนโลยีและการบริหารก่อสร้าง และ 4) การบำรุงรักษา โดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม ลดการพึ่งพาแรงงาน และลดปัญหาด้านความปลอดภัยและสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานก่อสร้าง รวมถึงการสร้างนวัตกรรม โดยเน้นไปที่โครงสร้างคอนกรีต ซึ่งเป็นโครงสร้างส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นหลัก เพื่อให้สามารถนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้งานจริง และการสร้างนวัตกรรม ได้แก่ การแก้ปัญหาและสร้างนวัตกรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมและภาคปฏิบัติอื่น ๆ การจัดทำมาตรฐานและคู่มือในการปฏิบัติที่เหมาะสมกับประเทศไทย ตลอดจนผลักดันไปสู่การเป็นมาตรฐานนานาชาติ และการแสดงตัวอย่างการใช้งานจริงและผลักดันให้เกิดการใช้งานจริง สำหรับวัสดุหรือเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ ๆ ที่ได้พัฒนาขึ้น โดยร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และภาคปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง และท่านที่สาม ศ.ดร.สุขสันติ์ หอพิบูลสุข (หัวหน้าโครงการ) ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมถนน เปิดเผยถึงโครงการวิจัยว่า ด้วยข้อจำกัดด้านปริมาณวัสดุทางธรรมชาติที่ลดลง และปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้น วิศวกรถนนและนักวิจัยทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ได้พัฒนาวัสดุก่อสร้างถนนทางเลือกที่มีความแข็งแรง ต้นทุนต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนการใช้วัสดุธรรมชาติ แต่วัสดุดังกล่าวไม่สามารถนำมาใช้งานในได้จริงในทางปฏิบัติ เนื่องจากมาตรฐานการออกแบบของประเทศไทยเป็นแบบประสบการณ์ ที่ใช้ได้กับเฉพาะดินเม็ดหยาบธรรมชาติ และจำกัดให้ใช้ค่า California Bearing Ratio (CBR) ซึ่งเป็นผลทดสอบแบบสถิต เป็นตัวแปรในการออกแบบ ซึ่งแตกต่างจากพฤติกรรมการรับน้ำหนักของถนนที่เป็นแบบพลวัต ซึ่งวิธีออกแบบเชิงกลศาสตร์-ประสบการณ์ เป็นวิธีการออกแบบที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาข้างต้นได้ เนื่องจากใช้คุณสมบัติพื้นฐานทางกลศาสตร์และแบบจำลองเชิงทฤษฎี ในการวิเคราะห์หาหน่วยแรง ความเครียด และการเสียรูปที่เกิดขึ้นในวัสดุโครงสร้างทาง ภายใต้น้ำหนักล้อยานพาหนะที่กระทำแบบพลวัต แล้วจึงนำหน่วยแรงและความเครียดที่คำนวณได้ มาประเมินหาจำนวนเที่ยววิ่งของยานพาหนะที่จะสร้างความเสียหายต่อชั้นทางด้วยแบบจำลอง โครงการวิจัยนี้ เป็นโครงการวิจัยที่ต่อยอดงานวิจัยด้านวัสดุวิศวกรรมถนนของไทยให้สามารถประยุกต์ใช้จริงได้ รวมทั้งพัฒนาแนวทางการออกแบบเชิงกลศาสตร์-ประสบการณ์ ที่มีประสิทธิภาพและเป็นสากลเหมาะสำหรับวัสดุการทางและถนนทุกประเภท ทั้งนี้ โครงการนักวิจัยแกนนำ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา เพื่อสนับสนุนนักวิจัยศักยภาพสูงที่มีความเป็นผู้นำ ให้เกิดการรวมกลุ่มทำวิจัย โดยให้อิสระทางวิชาการพอสมควร ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยคุณภาพสูงในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่อไป ปัจจุบันนักวิจัยแกนนำ สวทช. มีจำนวนทั้งสิ้น 18 ท่าน จาก 20 โครงการวิจัย เป็นด้านการแพทย์ 11 ท่าน ด้านเกษตรและอาหาร 2 ท่าน ด้านอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ 2 ท่าน และด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม 3 ท่าน นักวิจัยแกนนำและทีมวิจัยได้สร้างความก้าวหน้าทางวิชาการในสาขาที่เชี่ยวชาญ ผลิตผลงานที่มีคุณภาพระดับสูง ในรูปแบบผลงานวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ สิทธิบัตร รวมถึงได้พัฒนากำลังคนด้านการวิจัยจำนวนมาก ทั้งนักศึกษาระดับปริญญาโท เอก และนักวิจัยหลังปริญญาเอก
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นายกฯ ชมผลงานวิจัย “นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2562 และนวัตกรรมตอบโจทย์ BCG ของ สวทช
นายกฯ ชมผลงานวิจัย “นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2562 และนวัตกรรมตอบโจทย์ BCG ของ สวทช. อว. เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง และเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรอง PM2.5  ของ บริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด,  เครื่องปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ PAC SolarAire และเครื่องทำน้ำร้อนจากเครื่องปรับอากาศ PAC Frenergy รถมินิบัสอลูมิเนียม และโครงการ KidBright” โดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ - ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ชมตัวอย่างผลงาน “นักเทคโนโลยีดีเด่นประจำปี 2562” จากมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบรังสีทรงกรวย และ “แพลตฟอร์มเทคโนโลยีฐานด้านการบูรณาการระบบเพื่องานหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ และปัญญาประดิษฐ์ สำหรับใช้งานในระบบอุตสาหกรรม” เพื่อเชิดชูเกียรติและแสดงความยินดีต่อนักเทคโนโลยีไทยที่สร้างผลงานด้านการวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผลักดันให้ผลงานวิจัยได้เชื่อมโยงไปสู่ตลาดธุรกิจได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะผลงานที่ขึ้นบัญชีนวัตกรรม เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง และเครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรอง PM2.5 บริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ PAC SolarAire และเครื่องทำน้ำร้อนจากเครื่องปรับอากาศ PAC Frenergy (more…)
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ข่าว สวทช. จับมือ การบินไทยและไทยสมายล์ เปิดตัวโครงการ “Save Food Save the World” เชฟรอน ผนึกกำลัง สวทช. อว. ร่วมสร้างอนาคตแห่งทศวรรษใหม่ “Maker Faire Bangkok 2020” สวทช. ร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษา จัดเวทีนำเสนอผลงานบัณฑิต สวทช. จับมือ มธ. และกรมการแพทย์ เตรียมจัดประชุมวิชาการนานาชาติ โชว์นวัตกรรมผู้สูงอายุ นาโนเทค สวทช. โชว์ศักยภาพในงาน nano tech 2020 สวทช. รับมอบใบรับรองฯ ISO 13485 อุปกรณ์นำเจาะสำหรับการฝังรากฟันเทียม เนคเทค สวทช. จับมือ สภาอุตสาหกรรมฯ ขับเคลื่อน EECi ARIPOLIS ด้วยโครงการ IDA สวทช. จัดสัมมนา Future Food Tech เสริมสร้างศักยภาพผปก. เติบโตอย่างก้าวกระโดด เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป เป็นเจ้าภาพหารือโต๊ะกลมร่วมกับ รมว.อว. และผู้บริหาร สวทช. นักวิจัย สวทช. เจ๋ง รับรางวัลการวิจัยแห่งชาติ ปี 2563 งาน “วันนักประดิษฐ์”   บทความ รู้ทัน-ป้องกัน “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” 2019-nCoV   ปฏิทินกิจกรรม สวทช. ขอเชิญเจ้าของธุรกิจสมัครเข้าร่วมโครงการ Startup Voucher ปีที่ 5 สวทช. ขอเชิญผู้ประกอบการร่วมศึกษาดูงานเทคโนโลยีเกษตรที่ญี่ปุ่น เปิดระบบรับสมัครทุนโครงการทุน TGIST แบบออนไลน์ กิจกรรมค่าย/ฝึกอบรม    Download เอกสารฉบับเต็ม [10.2 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 5 ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2563 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมกราคม 2563
ข่าว “สุวิทย์” ชูนวัตกรรมถุงพลาสติกย่อยสลาย 100% ตอบโจทย์นโยบาย BCG Economy นาโนเทค สวทช. พัฒนา “โบรอนอินทรีย์” เภสัชรังสีตรวจวินิจฉัยมะเร็ง พบอนาคตที่สัมผัสได้ในงาน “Maker Fair Bangkok 2020” ตอกย้ำความสำเร็จปีที่ 5 สวทช. จัดงาน Innovation Network Center เพิ่มโอกาสและความท้าทายสินค้านวัตกรรมไทย โตโยต้า จับมือ อว. โดย สวทช. และ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ลดเปลี่ยนโลก เพิ่มนวัตกรรม สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยแกนนำปี 62 พร้อมงบสนับสนุนรวม 50 ล้านบาท ถึงเวลา “TIME” เสริมกำลังนโยบาย Thailand Plus Package ของรัฐบาล 10 กระทรวง MOU ครั้งประวัติศาสตร์ คิกออฟฐานข้อมูลเกษตรแห่งชาติ สวทช. อว. จับมือ มจพ. พัฒนาบัณฑิตคุณภาพสูงด้าน วทน. ระดับปริญญาโท เอก   บทความ สวทช. ชู นวัตกรรมสู่ความยั่งยืน   ปฏิทินกิจกรรม เปิดลงทะเบียนผู้เข้าแข่งขัน โครงการประกวดทักษะการพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมระดับประเทศ กิจกรรมค่าย/ฝึกอบรม​    Download เอกสารฉบับเต็ม [7.63 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 5 ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมกราคม 2563 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand
จดหมายข่าว สวทช.
 
รับสมัครบุคคลเพื่อคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค
การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีวัตถุประสงค์ในการประกอบและส่งเสริมธุรกิจการประปา โดยผลิต จัดส่งและจำหน่ายน้ำประปา เพื่อประโยชน์ของรัฐและสุขภาพอนามัยของประชาชน ด้วยการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) มีความประสงค์จะรับสมัครบุคคลเพื่อรับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค ผู้สนใจขอรับใบสมัครได้ที่ กองทรัพยากรบุคคล ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลอาคาร 3 ชั้น 4 การประปาส่วนภูมิภาค สำนักงานใหญ่ หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ https://www.pwa.co.th/news/view/78513
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. เพิ่มศักยภาพ SMEs พัฒนาผลิตภัณฑ์ก้าวทันยุค Marketing 4.0”
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย (ITAP) จัดสัมมนาในหัวข้อ “การพัฒนาผลิตภัทฑ์และกลยุทธ์การตลาดในยุค Marketing 4.0” เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการในการนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าของสินค้าและรายได้ โดยมี คุณณฐมน ตัณฑ์เกยูร ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ จาก Central Group เป็นวิทยากร นอกจากนี้ ไอแทป สวทช. ยังมีกลไกต่าง ๆ ในการสนับสนุนและขับเคลื่อนภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ด้วยบริการด้านการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การจับคู่และเจรจาธุรกิจ รวมถึงจัดอบรม สัมมนาให้ความรู้ เพื่อช่วยเหลือ SMEs ไทยอย่างรอบด้าน สำหรับการสัมมนาครั้งนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงานมากกว่า 30 ราย โดยมีการให้คำปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิม ปรับปรุง และพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และสร้างโอกาสในการแข่งขันทางการตลาดทั้งในและนอกประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2562
ข่าว สวทช. ร่วมกับ TMA เปิดประเด็นนวัตกรรมอาหารเพื่อมนุษยชาติ ในงาน Food Innopolis 2019 สวทช. ร่วมกับพันธมิตรโชว์นวัตกรรม “ถุงพลาสติกสลายตัวได้” ประเดิมงาน “กาชาดสีเขียว 62” สวทช. จับมือ สอว. ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ยกระดับหน่วยบ่มเพาะธุรกิจฯ ทั่วประเทศ สวทช. ส่งต่อทูตเยาวชน JENESYS 2019 บินลัดฟ้าเรียนรู้ วทน. แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ธ.ก.ส. ร่วมกับ สวทช. หนุนพัฒนานวัตกรรมการเกษตรดิจิทัล สวทช. ร่วมกับ จ.ปทุมฯ และเครือข่ายพันธมิตร จัดเวิร์คชอปเรียนรู้โค้ดดิ้งเรื่อง PM 2.5 สวทช. ผลักศูนย์น้องใหม่ NSD ขับเคลื่อน S-Curve ที่ 11 พัฒนานวัตกรรมรับอุตฯป้องกันประเทศ สวทช. อว. ผนึก สยามพิวรรธน์ พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IonFresh’ ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก สวทช. จุดประกายนักวิทย์ฯน้อย ผ่าน Science Film Festival 2019   บทความ สวทช. รักษ์โลก เปิดตัว “ถุงขยะย่อยสลายได้”   ปฏิทินกิจกรรม สวทช. เปิดรับ Food SMEs ร่วมอบรม PADTHAI Batch#5    Download เอกสารฉบับเต็ม [8.96 MB] NSTDA Newsletter ปีที่ 5 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2562 from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) - Thailand  
จดหมายข่าว สวทช.
 
สวทช. จัดงาน Innovation Network Center เพิ่มโอกาสและความท้าทายสินค้านวัตกรรมไทย
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ณ ห้อง Auditorium อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม “Innovation Network Center” แก่ผู้ประกอบการ SME และผู้เช่าพื้นที่ในอุทยานวิทยาศาสตร์กว่า 200 คน เพื่อให้เป็นเวทีเครือข่ายแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมระหว่างกัน โดยมีนางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเปิดงานและให้การต้อนรับ ไฮไลท์ในงาน Innovation Network Center ได้แก่ การเสวนาในหัวข้อเรื่อง “โอกาสและความท้าทายสินค้านวัตกรรมไทย” โดยมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย คุณประพันธ์ วิไลเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเด็นทอล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดร.นพดล โปธิตา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชียงใหม่ เอ็นไวรอนเม้นท์โปรเทค จำกัด คุณธนัฐณ์ มีศรี Sales & Marketing Director บริษัท คีนน์ จำกัด และคุณสุดารัตน์ พุกบุญมี นักวิเคราะห์อาวุโส งานส่งเสริมนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ฝ่ายบริการทางการเงินเพื่อนวัตกรรม สวทช. เพื่อให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลจากผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมโดยคนไทยที่มีคุณภาพผ่านมาตรฐาน (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 5 ฉ.9 – ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. เปิดรับ Food SMEs ร่วมอบรม PADTHAI Batch #5 เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดรับสมัครผู้ประกอบการ SMEs ทายาทธุรกิจด้านนวัตกรรมอาหาร ที่ต้องการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ รวมถึงบุคลากรที่รับผิดชอบการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอาหารขององค์กร โดยต้องจดทะเบียนนิติบุคคลมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการใน “โครงการอบรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการอาหาร SMEs ด้านนวัตกรรมอาหารของไทย ครั้งที่ 5 (PADTHAI #5)” หลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารโดยตรง พร้อมรับโอกาสมากมาย เช่น การเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทุน ตลาด และการแข่งขันนำเสนอแผนธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เปิดรับสมัครวันนี้ - 6 ม.ค. 63 และจะฝึกอบรมแบบเข้มข้น 3 - 7 ก.พ. 63 ณ โรงแรมแสนโฮเทล จ.เชียงราย มีค่าใช้จ่ายลงทะเบียนฝึกอบรม ดูข้อมูลเพิ่มเติมและลิงค์สมัครที่ https://forms.gle/KPrgbi19gq59o1DXA หรือเพจเฟซบุ๊ก PADTHAI by Food Innopolis สอบถามโทร. 091-7135433 (กรองจิตร), 082-441-4169 (สันติ)
จดหมายข่าว สวทช. ย่อย