ผลการค้นหา :
เอ็มเทค สวทช. ส่ง‘เปลความดันลบ’ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอีก 3 ชุด พร้อมมอบ รถส่งของ ‘อารี’ ลดเสี่ยงแพร่เชื้อในโรงพยาบาล
(20 พฤษภาคม 2564) ที่โถงชั้น 1 อาคาร สวทช. (โยธี) ถนนพระรามที่ 6 กทม. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
นำโดย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยทีมวิจัยเอ็มเทค ได้แก่ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และ ดร.ก่อเกียรติ เศษชัยชาญ ร่วมกันส่งมอบ PETE (พีท) เปลปกป้อง: เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 3 ชุด และรถส่งของบังคับทางไกล “อารี” เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ สำหรับใช้ขนส่งสัมภาระให้ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 1 ชุด ให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม สนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรับมือสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. ได้สร้างนวัตกรรมเปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 หรือ ‘PETE (พีท) เปลปกป้อง’ โดยออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะ แข็งแรง ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 สามารถนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด ขณะอยู่บนเปลเพื่อคัดกรองอาการในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล โดยวันนี้ได้มอบเปลความดันลบ สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งทีมวิจัยได้เร่งผลิตเป็นกรณีพิเศษเพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชนที่ต้องการบริจาคเปลความดันลบ ให้กับโรงพยาบาลสนามและสถานพยาบาลทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ 1. โรงพยาบาลสนามราชพิพัฒน์ บริจาคโดย นางสมบัติ สามิตสมบัติ 2. โรงพยาบาลกลาง กทม. และ 3. โรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 สังกัดโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ กทม. ทั้งนี้โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งมี ดร.ภัทรารัตน์ ตันนุกิจ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) รวมถึงผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายท่านและสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนศรีอยุธยา ร่วมบริจาคอุปกรณ์นี้ เพื่อใช้ในการปกป้องบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปจากการแพร่กระจายเชื้อของโรคโควิด-19 รวมถึงลดภาระในการทำความสะอาด
นอกจากนั้นแล้ว เอ็มเทค สวทช. บริษัท บุญวิศวกรรม จำกัด และบริษัท เมตริก วิศวกรที่ปรึกษาและสถาปนิก จำกัด ยังส่งมอบ รถส่งของบังคับทางไกล “อารี” เพื่อบุคลากรทางการแพทย์ ให้แก่ โรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ 1 ชุด เพื่อใช้ในการขนส่งสัมภาระแทนบุคลากรทางการแพทย์ เช่น การส่งอาหาร และยาให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 ที่พักภายในหอผู้ป่วย ช่วยลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าทีมวิจัยออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ทีมวิจัยรู้สึกดีใจและภูมิใจที่สามารถพัฒนาเปลความดันลบ มาช่วยป้องกันบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ในภาวะวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทันท่วงที โดยก่อนหน้านี้ได้มีการส่งมอบเปลความดันลบ ให้แก่โรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนไปใช้งานแล้ว 5 แห่ง ซึ่งมีผลตอบรับในการใช้งานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 อย่างดีมาก ทั้งในด้านการใช้งานเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เน้นความปลอดภัย
ลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายเชื้อสู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางแพทย์ในขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การทำความสะอาดและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งสวทช. เป็นองค์กรวิจัยที่คิดค้นนวัตกรรมโดยคำนึงถึงและปฏิบัติตามมาตรฐานทางการแพทย์และอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยนวัตกรรมเปลความดันลบนี้ ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่าย ให้กับ บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดการผลิตและนำไปใช้งานได้ทันกับสถานการณ์การระบาดต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08 1334 3672
ด้าน ดร.ภัทรารัตน์ ตันนุกิจ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ในฐานะตัวแทนผู้มีจิตศรัทธา กล่าวว่า โดยปกติแล้วการส่งต่อคนไข้โรคทั่วไปก็จะมีความยากลำบากอยู่แล้ว ยิ่งสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยิ่งทำให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานส่งต่อผู้ป่วยมีความยากลำบากในการหาอุปกรณ์ป้องกันตนเองไปอีกหลายเท่า ดังนั้นเปลความดันลบของเอ็มเทค สวทช. ที่มีการผลิตผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยและนำไปใช้ได้จริงแล้ว จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริจาคเห็นตรงกันว่าควรช่วยสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่มีอุปกรณ์ทำงานที่สะดวก ปลอดภัย ในการส่งต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 สังกัดโรงพยาบาลเวชการุณย์รัศมิ์ หรือโรงพยาบาลสนามแห่งอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งเดิมรับผู้ป่วยโควิด-19 จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย (ระดับสีเขียว) และเมื่อมีเคสผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว มีความเสี่ยง มีโรคร่วมที่สำคัญ (ระดับสีเหลือง) เปลความดันลบจึงเป็นคำตอบที่จะสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ ถือเป็นการปกป้องทั้งคนทำงานและผู้ติดเชื้อให้ได้รับการดูแลรักษาโรคในทันที
ข่าวเพิ่มเติม:
(29 เมษายน 2564) เอ็มเทค สวทช. ส่งมอบ ‘พีท เปลปกป้อง’ ‘เปลความดันลบ’ สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้โควิด-19 ระลอกใหม่ ช่วยผู้ป่วยโควิดเอกซเรย์-สแกนปอด โดยไม่ต้องออกจากเปล ลดการแพร่เชื้อแบบเบ็ดเสร็จ
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทคพัฒนาวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ “อินทผลัม” ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops date palm micropropagation technology
นักวิจัย ไบโอเทค-สวทช. ใช้ไบโอรีแอคเตอร์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต้นอินทผลัมพันธุ์บาฮีเชิงการค้าสำเร็จเป็นครั้งแรกในประเทศไทย แก้ปัญหาเกษตรกรเสี่ยงปลูกอินทผลัมเพาะเมล็ดแล้วไม่ได้คุณภาพของผลผลิตตามต้องการ ช่วยลดการนำเข้าต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศ ตั้งเป้าขยายผลเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์ หวังช่วยผู้ประกอบการสร้างรายได้และกระจายโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึง
[caption id="attachment_27127" align="aligncenter" width="3114"] ต้นอินทผลัม[/caption]
[caption id="attachment_27126" align="aligncenter" width="3101"] ผลอินทผลัม[/caption]
“อินทผลัม” เป็นผลไม้โบราณรสหอมหวานฉ่ำจากดินแดนตะวันออกกลางที่มีสรรพคุณมากมายและได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะพันธุ์บาฮี พันธุ์รับประทานผลสดและเป็นพันธุ์การค้ายอดนิยม ให้ผลผลิตสูง สามารถปลูกได้ดีในประเทศไทย ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้อินทผลัมขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาแรงที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยเป็นกอบเป็นกำ ทั้งการปลูกเพื่อจำหน่ายผลผลิตและการจำหน่ายต้นกล้าอินทผลัมนำเข้าจากต่างประเทศ
เพื่อส่งเสริมการผลิตอินทผลัมให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดและกระจายโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ได้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัท พี โซลูชัน จำกัด จึงได้พัฒนาเทคนิคการขยายพันธุ์อินทผลัมพันธุ์บาฮีในเชิงการค้า โดยใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อร่วมกับระบบไบโอรีแอคเตอร์ (Bioreactor) ทำให้สามารถขยายต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีในห้องปฏิบัติการในระดับเชิงพาณิชย์ได้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. ด้วย
[caption id="attachment_27125" align="aligncenter" width="3101"] ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่าอินทผลัมเป็นพืชแยกต้นเพศผู้และเพศเมีย เกษตรกรจะปลูกให้ได้ผลผลิตจะต้องปลูกต้นเพศเมียเท่านั้น แต่การเพาะเมล็ดอินทผลัมนั้นนอกจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์แล้ว ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะได้ต้นเพศผู้มากกว่าต้นเพศเมีย และจะทราบก็ต่อเมื่อปลูกไปแล้ว 2-3 ปี จนกระทั่งพืชออกดอก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถส่งตรวจทดสอบเพศของต้นอินทผลัมได้แล้ว แต่ก็ไม่การันตีถึงคุณภาพของผลผลิตที่ได้รับ ทำให้เกษตรกรเสียเวลาและเกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรรายใหญ่จึงมักเลือกซื้อต้นกล้าอินทผลัมที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศมาปลูก ซึ่งมีราคาสูงแต่รับประกันได้ว่าเป็นต้นเพศเมียและให้ผลผลิตแน่นอน
“อินทผลัมเป็นพืชตระกูลปาล์ม ซึ่งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชตระกูลปาล์มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นพืชที่โตช้า ดังนั้นการพัฒนาเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการจึงช้าไปด้วย ปัจจุบันยังไม่มีห้องปฏิบัติการแห่งไหนในประเทศสามารถผลิตต้นอินทผลัมพันธุ์บาฮีเพศเมียจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อระดับเซลล์ได้ ทางทีมวิจัยก็ได้รับโจทย์นี้มาจากผู้ประกอบการและเกษตรกรที่สนใจการขยายพันธุ์อินทผลัมพันธุ์บาฮีด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จึงได้เริ่มทำวิจัยโดยคัดเลือกต้นอินทผลัมเพศเมียสายพันธุ์บาฮีที่มีลักษณะดีเพื่อใช้เป็นต้นแม่ แล้วนำเนื้อเยื่อเจริญส่วนยอดและใบอ่อนของต้นแม่มาเพาะเลี้ยงด้วยอาหารสังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเป็นเวลากว่า 1-2 ปี จนสามารถชักนำให้เกิดการพัฒนาเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่าแคลลัส และแคลลัสสามารถเจริญไปเป็นยอดอ่อนได้”
“ที่ผ่านมาทำวิจัยในปาล์มน้ำมัน พบว่ากว่าจะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมันให้เกิดเป็นต้นอ่อนขึ้นในขวดแก้วได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี แต่ในอินทผลัมเราสามารถทำได้เร็วกว่าปาล์มน้ำมัน โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี ก็เริ่มเห็นเป็นยอดอ่อนสีเขียวเกิดขึ้นบนแคลลัสแล้ว ยอดอ่อนสีเขียวที่เห็นนี้ถือว่าสำเร็จไปแล้ว 80% และจากประสบการณ์ของทีมวิจัย เราเห็นแนวโน้มว่าจะพัฒนาไปเป็นต้นและขยายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ต้นในปีหน้า ซึ่งเราใช้ระบบไบโอรีแอคเตอร์เข้ามาช่วยเร่งการเจริญเติบโต และคาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 6 เดือน อินทผลัมบาฮีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของเราจะเจริญเป็นต้นที่สมบูรณ์ พร้อมนำลงปลูกในดิน”
[caption id="attachment_27128" align="aligncenter" width="3113"] เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมัน[/caption]
[caption id="attachment_27129" align="aligncenter" width="3116"] เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม[/caption]
สำหรับไบโอรีแอคเตอร์เป็นระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วยอาหารเหลวแบบกึ่งจมที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น ซึ่งช่วยลดปัญหาของการเพาะเลี้ยงด้วยอาหารแข็ง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเจริญและพัฒนาเนื้อเยื่อไปเป็นต้นอ่อน ทำให้สามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็วกว่าวิธีการใช้อาหารแข็งปกติประมาณ 3-4 เท่า ทั้งยังช่วยลดต้นทุนและประหยัดแรงงานในการดูแลย้ายอาหารของต้นอ่อนในห้องปฏิบัติการ
“อินทผลัมเป็นพืชมูลค่าสูง ผลสดเป็นที่ต้องการสูงในตลาด มีราคาจำหน่ายกิโลกรัมละ 500-800 บาท ทั้งบริโภคในประเทศและส่งออก โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง ในขณะที่ต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงถึงต้นละ 1,500-2,000 บาท ส่วนใหญ่นำเข้าจากอิรัก อียิปต์ รวมถึงอังกฤษ จึงมีแต่เกษตรกรหรือผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้นที่ลงทุนปลูกได้ แต่หากเราสามารถผลิตต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้เองในประเทศและทำให้มีราคาถูกกว่าของต่างประเทศ จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้มาก ส่วนเกษตรกรรายย่อยก็มีโอกาสปลูกได้มากขึ้นด้วย หรือปลูกเสริมจากการทำไร่ทำนาเพียงไม่กี่ต้น ก็จะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง”
ทั้งนี้ นักวิจัยตั้งเป้าว่าในอนาคตจะมีการต่อยอดและขยายผลเทคโนโลยีนี้ไปสู่เกษตรกร โดยอาจเป็นในรูปแบบการร่วมลงทุนเพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับผลิตต้นกล้าอินทผลัมโดยเฉพาะ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนด้านห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมในเชิงพาณิชย์ รวมถึงได้ศึกษาวิจัยการขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบไบโอรีแอคเตอร์ อาทิ มะพร้าว ปาล์มน้ำมัน พืชสมุนไพร และไม้ดอกไม้ประดับที่มีมูลค่าสูงในตลาดปัจจุบัน
งานวิจัยนี้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และกระจายโอกาสให้ทั่วถึง สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG economy model) ที่เป็นวาระของชาติในขณะนี้
ผู้เรียบเรียง: นางสาววีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
กราฟิก: ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพ: ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค และฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าว
บทความ
Mutrack Dispatcher แพลตฟอร์มเพิ่มประสิทธิภาพ “งานเวรเปล” ในโรงพยาบาล ฝีมือสตาร์ทอัพคนไทยภายใต้การสนับสนุนจาก สวทช. ช่วยบ่มเพาะธุรกิจต่อยอดสู่สากล
บริษัทสตาร์ทอัพไทยประสบความสำเร็จพัฒนาแพลตฟอร์มบริหารจัดการเวรเปลในโรงพยาบาล Mutrack Dispatcher รับส่งผู้ป่วยทันใจ ปลอดภัยต่อบุคลาการทางการแพทย์ในยุคโควิด-19 ได้รับการสนับสนุนจาก สวทช.ผ่านโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ช่วยต่อยอดธุรกิจจนนำไปสู่การใช้งานจริงในโรงพยาบาล ล่าสุดบริษัทเครือข่ายไร้สายระดับโลกดึงร่วมเป็นพันธมิตรเตรียมพัฒนาธุรกิจสู่นานาชาติ
นายปิโยรส ปิยจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มิวแทรค จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทพัฒนา "ระบบบริหารจัดการเวรเปล" ในรูปแบบของแพลตฟอร์มชื่อ Mutrack Dispatcher ที่จะช่วยลดขั้นตอนการกระจายงานเวรเปลในโรงพยาบาล โดยใช้เทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ำ (Bluetooth Low Energy : BLE) เป็นการติดตั้งอุปกรณ์ Bluetooth Gateway หรือเรียกว่า Locator ตามจุดหรือแผนกต่างๆ ในอาคาร ลักษณะคล้ายการปักหมุดในแผนที่เพื่อบอกตำแหน่งของแต่ละชั้นและแผนกในส่วนการใช้งานจะมี 2 ส่วน คือ พยาบาลและเจ้าหน้าที่เวรเปล โดยพยาบาลจะใช้แพลตฟอร์มที่อยู่บนเว็บไซต์เพื่อสร้างคำขอในระบบสำหรับเรียกเจ้าหน้าที่เวรเปลให้มารับผู้ป่วย
ซึ่งจะมองเห็นตำแหน่งของเจ้าหน้าที่เวรเปลทั้งหมดในอาคาร โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่เวรเปลที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้สามารถประเมินระยะเวลาในการรับส่งผู้ป่วยได้ และในส่วนของเจ้าหน้าที่เวรเปลจะมีการติดตั้งแอปพลิเคชัน Mutrack Dispatcher ลงในโทรศัพท์มือถือใช้งานผ่านสัญญาณบลูทูธที่ตรวจจับกับสัญญาณ Locator ที่อยู่ใกล้ เมื่อมีคำขอเข้ามาในระบบก็จะรู้ตำแหน่งของผู้ป่วยที่ต้องการให้ไปรับ เจ้าหน้าที่เวรเปลที่อยู่ใกล้ที่สุดสามารถกดปุ่มเพื่อรับงานไปรับตัวผู้ป่วยได้ทันที ลักษณะการใช้งานจะคล้ายกับบริการรถขนส่ง Grab หรือ Uber เมื่อเสร็จงานแล้วยังมีระบบบันทึกการทำงานของเจ้าหน้าที่เวรเปลแต่ละคน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่เวรเปล รวมถึงผู้ป่วยก็ได้รับความสะดวกมากขึ้นจากบริการของโรงพยาบาลด้วย
"โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังใช้วิทยุสื่อสารในการเรียกเจ้าหน้าที่เวรเปล และเมื่อส่งผู้ป่วยไปยังแผนกปลายทางแล้ว เจ้าหน้าที่ต้องเดินกลับไปยังเซ็นเตอร์หรือส่วนกลางของเวรเปลเพื่อรองาน ทำให้เกิดความล่าช้าในการรับส่งผู้ป่วยที่มักจะอยู่ตามชั้นหรือแผนกที่ไกลออกไป ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวจะเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้"
ปัจจุบัน Mutrack Dispatcher ถูกนำไปใช้จริงแล้วที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากพยาบาลและเจ้าหน้าที่เวรเปลผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ป่วยต่างได้รับความพึงพอใจการบริการเวรเปลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มนี้มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระงานเวรเปลได้อย่างมาก
"ในช่วงการระบาดโควิด-19 ความปลอดภัยของบุคลาการทางการแพทย์สำคัญมาก ระบบที่เราทำก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้ เนื่องจากการสร้างคำขอในระบบ เจ้าหน้าที่สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยที่จะให้เวรเปลไปรับเป็นผู้ป่วยประเภทไหน หากเป็นผู้ป่วยที่ต้องสงสัยติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นเชื้อโควิด-19 หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ เจ้าหน้าที่เวรเปลสามารถรู้ข้อมูลผู้ป่วยเบื้องต้น เพื่อเตรียมพร้อมอุปกรณ์สำหรับป้องกันการติดเชื้อระหว่างเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เช่น การสวมชุด PPE หรือเตรียมเตียงสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อโดยเฉพาะ ปลอดภัยทั้งเจ้าหน้าที่และตัวผู้ป่วย"
นอกจากนำไปใช้จัดการงานเวรเปลแล้ว Mutrack Dispatcher เมื่อมีการติดตั้งอุปกรณ์หรือวางระบบแล้ว ในอนาคตยังสามารถประยุกต์ใช้ในงานหลังบ้านอื่น ๆ ของโรงพยาบาลได้หลากหลาย เช่น งานล่ามแปลภาษา งานเมสเซนเจอร์ส่งพัสดุและเอกสารในโรงพยาบาล เป็นต้น สำหรับโรงพยาบาลที่สนใจระบบดังกล่าว บ.มิวแทรค พร้อมเข้าไปให้คำแนะนำโดยขณะนี้เปิดให้ลงทะเบียนทดลองใช้ฟรีที่ https://mutrack.co/th/dispatcherth/
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.มิวแทรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาเทคโนโลยีและทำแผนธุรกิจร่วมกับ Aruba บริษัทผู้พัฒนาเครือข่ายไร้สายชั้นนำของโลก ในการนำระบบดังกล่าวไปใช้ในโรงพยาบาลต่างประเทศที่ใช้เครือข่ายของ Aruba โดยจะพัฒนาให้สามารถนำแพลตฟอร์มไปใช้งานได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามความสำเร็จของ Mutrack Dispatcher ส่วนหนึ่งมาจากการได้รับการสนับสนุนที่ดีจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่เปิดโอกาสให้บริษัทเข้าร่วม "โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี หรือ SUCCESS" ที่ให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจ Startup ด้านไอทีและเทคโนโลยีเข้าไปบ่มเพาะเรียนรู้การทำธุรกิจและการลงทุน รวมถึงเป็นโอกาสที่ได้พบปะกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีความสนใจธุรกิจเทคโนโลยีมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และข้อเสนอแนะจนสามารถนำไปต่อยอดธุรกิจของตนเองได้
สำหรับโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี หรือ SUCCESS จัดโดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2564 หรือ SUCCESS 2021 (รุ่นที่ 19) ได้ที่ http://bit.ly/SUCCESS2021byBIC รับสมัครระหว่างวันที่ 10 - 31 พฤษภาคม 2564 หรือติดตามข่าวสารการเปิดรับสมัครโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ได้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/bic/ หรือเฟซบุ๊กเพจ www.facebook.com/NstdaBIC
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. หนุนสตาร์ทอัพ Herbs Starter พัฒนาแพลตฟอร์ม ตลาดสินค้าชุมชนเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น GI OTOP Organic รายแรกของไทย
แพลตฟอร์มพัฒนาธุรกิจและสร้างนวัตกรรมตลาดสินค้าเพื่อชุมชน ภายใต้ชื่อ “Herbs Starter” ผลงานหนึ่งในสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี 2563 หรือ SUCCESS 2020 ดำเนินงานโดยศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าชุมชนเกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น GI OTOP Organic รายแรกของไทย พัฒนาต่อยอดให้เกษตรกรขับเคลื่อนธุรกิจได้เอง พร้อมเชื่อมโยงลูกค้าให้เข้าถึงชุมชน และสามารถนำองค์ความรู้กลับไปสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
นางสาวอิสรีย์ นิตยสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท บอร์น อาร์ดีไอ เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า“Herbs Starter” เป็นสื่อกลางที่ช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรทั่วประเทศ ให้สามารถซื้อขาย แลกเปลี่ยน แปรรูปสินค้าได้ตามต้องการ โดยแพลตฟอร์มนี้จะค้นหา ถ่ายทอด และส่งต่อเรื่องราวของสินค้า GI OTOP (Geographical Indications) คือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยในแต่ละพื่นที่ในประเทศไทย จะมีสินค้า OTOP ที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชิ้นงานประจำพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่สามารถผลิตนอกพื้นที่ได้ เช่น กาแฟในป่า หมากเม่าจากเทือกเขา มะดันริมน้ำ ข้าวบนดอย กระเทียมน้ำแร่ และอีกมากมาย โดยแพลตฟอร์ม Herbs Starter จะค้นหา ถ่ายทอด และส่งต่อเรื่องราวของสินค้า GI OTOP มีอัตลักษณ์โดด เด่นส่งตรงถึงมือลูกค้า เพื่อยกระดับสินค้าเกษตร GI OTOP และ Organic ของไทย และเป็นสื่อกลางสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ทราบความต้องการของผู้บริโภคในท้องตลาด และที่สำคัญคือในการสร้างแพลตฟอร์มนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งตลาดสินค้าชุมชน GI OTOP Organic รายแรกของเมืองไทย ที่สามารถช่วยชุมชนในการพัฒนาสินค้าให้ตรงความต้องการของตลาดได้ และทดสอบตลาดขายจริงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้น้อย เนื่องจากต้องลงทุนมากและเกษตรกรยังไม่มีความพร้อม แต่ในทางกลับกันหากเกษตรกรมีรายได้จากการขายสินค้าเกษตรนั้นๆ ผ่านทางช่องทางการตลาดจริงๆ เขาจะนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในวิถีชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดผลผลิตที่มากขึ้น และสร้างรายได้มากขึ้น ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ GI เช่น กาแฟเทพเสด็จ ต.เทพเสด็จ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ที่ปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ทำให้ต้นกาแฟค่อยๆ สะสมอาหาร เม็ดกาแฟจึงสมบูรณ์ และกาแฟมีกลิ่นหอมดอกไม้ป่า เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟเทพเสด็จ ที่สามารถขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) อัตลักษณ์พื้นถิ่น โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นกาแฟที่มีเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นได้เฉพาะพื้นที่นี้เท่านั้น
"ปัญหาของเกษตรกร ส่วนใหญ่จะคล้ายๆกัน ก็คือปลูกเก่ง แปรรูปขั้นต้นเก่ง แต่ว่ายังขายไม่ค่อยเก่ง แล้วที่สำคัญ เขาไม่รู้ความต้องการว่าตลาดต้องการอะไร ดังนั้นหน้าที่ของ Herbs Starter คือ ไปช่วยเขาคิด ช่วยเขาต่อยอดหรือแก้ปัญหาที่เขาติดขัดเล็กน้อย และเชื่อมโยงเขาสู่ตลาดได้จริงๆ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์ที่จะทำให้เข้าถึงสินค้าได้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะในปัจจุบันโลกของออนไลน์ได้เข้ามาเป็นส่วนนึงของชีวิต ทำให้วิถีการใช้จ่ายได้เปลี่ยนไปมาก ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้เพียงปลายนิ้ว และสามารถดูข้อมูลได้ว่าสินค้านี้มาจากไหน แหล่งผลิตจากที่ใด และสินค้าที่ลูกค้าได้เลือกซื้อก็มีการรับรองและคัดสรรมาอย่างดี”
นางสาวอิสรีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 พบว่าพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนไปมาก ไม่นิยมออกมาซื้อสินค้าตามสถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในชุมชนต่างๆ ต่างหันมาซื้อสินค้าทางออนไลน์ และต้องมีการบริการที่รวดเร็ว และสินค้าต้องมีมาตรฐานเพื่อรับประกันสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ในสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนจากสินค้าที่เป็นของฝาก มาเป็นสินค้าที่สามารถใช้ หรือ รับประทานได้ เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่ มะขามคลุกน้ำตาลไร้เมล็ด ขนมปังลำไย และกาแฟเทพเสด็จ ผู้สนใจสามารถเข้าไปรับชมเรื่องราวของสินค้าและสั่งซื้อได้ที่ www.facebook.com/herbsstarter
นางสาวอิสรีย์ กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี 2563 (SUCESSS 2020) นั้น เพื่อต้องการหาโอกาสและช่องทางเปลี่ยนแปลงธุรกิจจากรูปแบบ SMEs ให้เป็นสตาร์ทอัพด้วยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างมีทิศทาง พร้อมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนผู้ประกอบการในสายเทคโนโลยีต่างๆ เช่น บริการทางขนส่ง ระบบบริการตลาด และการเงิน รวมถึงได้พบที่ปรึกษาที่สามารถปรับรูปแบบธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการพบปะกับกลุ่มนักลงทุนต่างๆ ทำให้ธุรกิจเติบโตก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น และปัจจุบันได้มีการทดสอบรูปแบบธุรกิจ Herbs Starter ร่วมกับโครงการ AGTECH4OTOP ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) โดยสามารถสร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลไม้ ต.ท่าทราย ซึ่งจำหน่ายมะดันแช่อิ่มและมะดันอบแห้ง ทำยอดขายได้ถึง 1 แสนบาทต่อเดือน เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการ จนปัจจุบัน Herbs Starter จัดอยู่ในส่วนของ e-market place ของ AGTECH Startup Lanscape ของ NIA เรียบร้อย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2564 (SUCCESS 2021)
ได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 พฤษภาคม 2564 ที่ www.facebook.com/NSTDABIC
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. มอบหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie plus) จำนวน 25,000 ชิ้น ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด-19
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มอบหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie plus) จำนวน 25,000 ชิ้น ให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด-19 ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มช. โดยมี ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ)นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. รับมอบ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารราชนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช.- มหิดลร่วมทดสอบประสิทธิภาพออร์แกนิคซิงค์ไอออนฆ่าเชื้อโรคนาน 24 ชม.พร้อมจับมือยูนิซิล กรุ๊ป ส่งมอบสารฆ่าเชื้อให้ รพ.เวชศาสตร์เขตร้อน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนอผลการทดสอบการคงประสิทธิภาพสารฆ่าเชื้อไวรัส-แบคทีเรียจากออร์แกนิคซิงค์ไอออน หลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิวยาวนาน 24 ชั่วโมง ตัวช่วยเสริมความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ลดภาระงานเจ้าหน้าที่ ลดต้นทุนการใช้สารฆ่าเชื้อสำหรับอาคารสถานที่ ตอบความต้องการยุควิกฤตโรคระบาด พร้อมจับมือบริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด ส่งมอบสารฆ่าเชื้อไวรัส-แบคทีเรียให้กับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์วีระพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ คณบดีคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของคณะเวชศาสตร์เขตร้อนที่เข้ามามีบทบาทในงานวิจัยเรื่องนี้ คือในขณะที่ประเทศไทยมีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ก่อโรค COVID-19 มหาวิทยาลัยมหิดลได้สนับสนุนให้คณะเวชศาสตร์เขตร้อนหารือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อหาแนวทางในการรับมือกับโรค COVID-19 โดยทางมหาวิทยาลัยมหิดล กับ สวทช. ได้มีการลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพและการแพทย์ โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมลงนามไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563
ภายใต้การลงนามความร่วมมือในครั้งนั้น ทางคณะเวชศาสตร์เขตร้อน และ สวทช.ก็ได้มีงานวิจัยที่ดำเนินการร่วมกันมาอีกหลายโครงการ โดยจุดแข็งของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน คือเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีทีมวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัย การรักษา และป้องกันโรค มีห้องปฏิบัติการอ้างอิงด้านโรคเขตร้อน (Tropical Medicine Diagnostic Reference laboratory) หรือ TMDR ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการเครือข่ายที่ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARA-CoV-2) ด้วยวิธี Real time RT-PCR จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในการตรวจวินิจฉัย ตรวจยืนยันตัวอย่างสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วย ผู้สัมผัส และผู้มีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ด้วยวิธีการ Real time RT-PCR ตั้งแต่มีการระบาดของโรค
ในขณะที่ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. มีงานวิจัยหลายด้านที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Development) โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อการฆ่าเชื้อ ซึ่งสามารถป้องกันการติดต่อของโรคติดเชื้อได้ โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน จึงได้ทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็ง จนปัจจุบันขยายผลมาสู่การทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์สารฆ่าเชื้อหลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิว ซึ่งเป็นงานวิจัยที่สามารถพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์พร้อมใช้ได้คือ สารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่มีองค์ประกอบของออร์แกนิคซิงค์ไอออน และนอกจากนี้คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ยังมีงานวิจัยที่กำลังพัฒนาร่วมกับ ศูนย์นาโนเทคอีก เช่น การพัฒนา Negative pressure helmet เป็นต้น จึงถือเป็นโอกาสดีที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน กับ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ จะร่วมมือกันผลิตผลงานวิจัย เพื่อพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวินิจฉัย รักษา และป้องกันโรคเขตร้อนอื่น ๆ ตลอดจนโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย (Neglected Tropical Diseases: NTDs) ในอนาคต
ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมงานวิจัยด้านสุขภาพและการแพทย์นั้น สวทช. มีเป้าหมายสำคัญในการสนับสนุนและเร่งสร้างขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาที่ตอบความต้องการของประเทศด้านระบบสาธารณสุข ได้แก่ นวัตกรรมยา วัคซีน ยาชีววัตถุ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาฐานกำลังบุคลากรและความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทางด้านนี้ ในด้านการวิจัยทางคลินิกและการบริหารจัดการข้อมูลวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งทางด้านสาธารณสุขของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์สาธารณสุขของประเทศและ รวมถึงการได้รับทุนจากแหล่งทุนภายนอกร่วมกันกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
“กระทั่งปี 2563 ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ Covid-19 มีผลให้ระบบสาธารณสุขของประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก การวิจัยและพัฒนาด้านสุขภาพและการแพทย์จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องผลักดันให้มีการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านวิชาการ เศรษฐกิจและสังคม ในส่วนของนาโนเทค สวทช. เอง มีการปรับแผนการทำงานเกิดเป็นโครงการเฉพาะกิจจากฐานความรู้และความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในสถานการณ์โรคระบาดเป็น 2 กลุ่มงาน ได้แก่ งานวิจัยและพัฒนาด้านการรับมือวิกฤต COVID-19 และงานด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังวิกฤต COVID-19 อาทิ ชุดตรวจหาเชื้อในกลุ่มโคโรนาไวรัสแบบรวดเร็วเพื่อการคัดกรองเบื้องต้น, แผ่นกรองและหน้ากากอนามัยสำหรับการป้องกันฝุ่น PM 2.5 แบคทีเรียและไวรัส, หมวกแรงดันลบ Negative Pressure Helmet เป็นต้น” ดร.วรรณีกล่าว
ในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ สวทช. เองก็ได้เร่งผลักดันผลงานวิจัยด้านสุขภาพและการณ์แพทย์ให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการวิชาการและเทคนิคเพื่อรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) และได้หยิบยกงานวิจัยการพัฒนาสารฆ่าเชื้อมีซิงค์ไอออนที่พัฒนาขึ้น ซึ่งมีสมบัติที่สามารถอยู่บนพื้นผิวได้ยาวนาน อีกทั้งยังสามารถป้องกันเชื้อต่างๆได้นานขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลให้ protocol การทำความสะอาดตามโรงพยาบาลต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยไม่ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ คณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้นำสารฆ่าเชื้อมีซิงค์ไอออนมาทดสอบ ณ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยพันธมิตรกับ สวทช. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์การแพทย์ประยุกต์ ด้านเวชศาสตร์เขตร้อน ตลอดจนความเชี่ยวชาญในการทดสอบฤทธิ์ในการต้านเชื้อจุลชีพ นั่นจึงเป็นที่มาของ โครงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์สารฆ่าเชื้อออร์แกนิคซิงค์ไอออนหลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิว ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
จากโครงการวิจัย “การพัฒนากระบวนการผลิตซิงค์ไอออนสำหรับยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย” โดย ดร.วรายุทธ สะโจมแสง ทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งเเวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค ซึ่งเป็นโครงการย่อยภายใต้โครงการแผนบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โดยใช้นาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวให้กับซิงค์ไอออนและเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้อย่างรวดเร็ว และออกฤทธิ์ได้ยาวนาน ทำให้มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาด ด้วยประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัสที่อยู่ระดับสูง โดยผลจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ* พบว่า สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ภายใน 1 นาที เทียบเท่าผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ ในราคาที่เข้าถึงได้ เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาด ที่ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อระดับกลาง ที่สำคัญคือ ไม่มีกลิ่น และไม่ติดไฟ รวมถึง ผ่านการทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนัง จากสถาบัน Aisa Dermscan โดยทดสอบกับอาสาสมัคร รวมถึงทดสอบด้าน Toxicology and Bio Evaluation Service Center (TBES) ศูนย์บริการทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา สวทช. พบว่า มีความปลอดภัยไม่ระคายเคือง
* ผลทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส เช่น H1N1, H5N1, Coronavirus e.g. SARS, MERS, Porcine epidemic diarrhea virus (PEDV) (Coronaviridae) และ SARS-CoV-2 (Covid-19) เป็นต้น ซึ่งบริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด เอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้ส่งไปทดสอบจากสถาบันที่เชื่อถือได้ เช่น Blutest Laboratory จากประเทศอังกฤษ
ความร่วมมือระหว่างนาโนเทค สวทช. และภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดย รศ.ดร.พรสวรรค์ เหลืองวุฒิวงษ์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยาและอิมมิวโนโลยี ในโครงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์สารฆ่าเชื้อมีองค์ประกอบของออร์แกนิคซิงค์ไอออนหลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิว เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีเกณฑ์วิธีทดสอบประสิทธิภาพสารฆ่าเชื้อหลังการพ่นใช้งานบนพื้นผิวว่ายังมีประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อได้ยาวนานเท่าไร และต้องพ่นซ้ำบนพื้นผิวความถี่แค่ไหนเพื่อให้สารฆ่าเชื้อยังคงมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยประจุบวกของออร์แกนิคซิงค์ไอออนที่ขนาดล็กระดับนาโนเมตรและมีความคงตัวสูงสามารถกระจายตัวในรูปฟิล์มเคลือบบนพื้นผิวและยังคงมีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อได้ยาวนาน
จากการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์สารฆ่าเชื้อที่มีองค์ประกอบของออร์แกนิคซิงค์ไอออน สามารถคงประสิทธิภาพฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ 100% หลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิวนาน 24 ชั่วโมง โดยเชื้อแบคทีเรียที่ใช้ทดสอบ ได้แก่ Salmonella Choleraesuis, Staphylococcus aureus และ Pseudomonas aeruginosa และสามารถคงประสิทธิภาพการฆ่าไวรัส Porcine epidemic diarrhea virus (PEDV) ซึ่งเป็นไวรัสในตระกูล(Coronavirus) เช่นเดียวกับเชื้อ SARS-CoV-2 หลังฉีดพ่นลงบนพื้นผิวนาน 24 ชั่วโมง
ปัจจุบัน นาโนเทค สวทช. อยู่ระหว่างประสานงานกับโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลสนามในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เพื่อนำไปใช้พ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่เสี่ยง โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด ผู้ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลงานวิจัยจาก นาโนเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เปิดรับสมัครผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2564
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ขอเชิญผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีทุกประเภทที่จดทะเบียนนิติบุคคล สมัครเข้าร่วม โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2564 (Technology Business Incubation Program: Gear Up Your Biz With SUCCESS 2021)
เพื่อสร้างรากฐานความแข็งแรงให้ธุรกิจ ผ่านการเรียนรู้ บ่มเพาะในกระบวนการต่างๆ และให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว เฉพาะตัวกับธุรกิจของคุณ ให้สามารถทำธุรกิจได้อย่างยั่งยืน พร้อมสร้างโอกาสขยายตลาดเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโต
ลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการฯที่
http://bit.ly/SUCCESS2021byBIC
ดาวน์โหลดรายละเอียดโครงการฯที่
https://bit.ly/3dRrg0T
รับสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2564
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีเทคโนโลยี (BIC) สวทช.
นายเสกสรรค์ สังสุข (อิฐ)
โทร: 02 5647000 # 81493, 081 913 1828
E-mail: seksun.sungsook@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
ปฏิทินกิจกรรม
ร่วมแสดงความยินดีกับสุดยอดฝีมือ ในการประกาศผล การประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020”
ปิดฉากลงแล้วสำหรับโครงการประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020” ณ สถาบันไทยเบิ้งโคกสลุงเพื่อการพัฒนา จังหวัดลพบุรีที่เป็นการหลอมรวมระหว่างศิลปวัฒนธรรม ผ่านเยาวชนผู้เข้าร่วมแข่งขันกับเจ้าของวัฒนธรรมในชุมชน เป็นเรื่องราวที่มีพลังผ่านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย เนคเทค-สวทช. พร้อมขยายผลสู่ชุมชนอื่น ผ่านเครือข่ายพันธมิตร เน้นสร้างคนรุ่นใหม่และนักเล่าเรื่องในท้องถิ่นเพื่อสร้างความยั่งยืนทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมต่อไป
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม หรือ แพลตฟอร์มคลังข้อมูลวัฒนธรรม เพื่อการอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการคลังข้อมูลวัฒนธรรมดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ โดยข้อมูลวัฒนธรรมที่จัดเก็บต้องสนับสนุนบริการข้อมูลในลักษณะโครงสร้างแบบเปิด "Open Data" เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล นำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้ และความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อรังสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ หรือบริการรูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง สามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวผ่านระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอาหาร การท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งมีศักยภาพในสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศ ด้วยการกระจายแหล่งท่องเที่ยวสู่เมืองรอง โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบดิจิทัล สามารถเข้าไปช่วยสนับสนุนสินค้าและบริการ ที่ดำเนินการด้วยชุมชนท้องถิ่น เน้นความโดดเด่นของอัตลักษณ์แต่ละพื้นที่ เนคเทค-สวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการ เพื่อช่วยชุมชนพัฒนาสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน และส่งเสริมสินค้าและบริการ ผ่านของขวัญ ของฝากที่สร้างสรรค์อย่างมีอัตลักษณ์”
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทคสวทช. ในนามตัวแทนคณะจัดการแข่งขันประกวด เรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020” กล่าวว่า “การจัดงานครั้งนี้เป็นกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์การเล่าเรื่องผ่านสื่อดิจิทัล โดยนำเสนอเรื่องราว เรื่องเล่า ความประทับใจในความงดงามของวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ ๆ สะท้อนความรู้สึกที่มี ผ่านคลิปวิดีโอแนวสร้างสรรค์ เพื่อเชิญชวนและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากส่วนกลาง และหน่วยงานในพื้นที่ มีหน่วยงานดังต่อไปนี้ 1. การรถไฟแห่งประเทศไทย 2. สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3.ททท. สำนักงานลพบุรี 4.วัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี 5.มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 6. สำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดลพบุรี 7.อุตสาหกรรมจังหวัดลพบุรี 8. ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดลพบุรี 9. สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดลพบุรี 10.สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอพัฒนานิคม 11.องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสลุง 12. สมาคมจิตอาสาสร้างสรรค์สุขภาวะลพบุรี จึงเป็นความร่วมแรงร่วมใจของหน่วยงานที่ได้กล่าวมาแล้วที่สนับสนุนให้กิจกรรมในพื้นที่ครั้งนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี”
นายประทีป อ่อนสลุง ผู้นำชุมชนวัฒนธรรมไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่าย และย้ำถึงการนำผลงานไปต่อยอดสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนว่า “ผลที่ได้จากโครงการนี้ ได้สร้างประโยชน์ในด้านการประชาสัมพันธ์อัตลักษณ์ที่ส่งคุณค่าของชุมชน ผ่านช่องทางการสื่อสารของชุมชนไทยเบิ้งบ้านโคกสลุง เพจชุมชน เว็บไซต์ ไลน์กลุ่มของชุมชน ส่วนในมุมมองของนวัตกรรม กิจกรรมนี้เป็นการส่งเสริมในพื้นที่ให้ใช้เครื่องมือนวนุรักษ์ เป็นโอกาสของชุมชนที่ทำให้ชุมชนได้พัฒนารูปแบบการเก็บข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่งประกอบเรื่องเล่า ฯ รวมถึงความสำคัญของการสร้างคลังข้อมูลวัฒนธรรมชุมชนในด้านต่างๆ ของชุมชนโคกสลุงเป็นพื้นที่จัดเก็บที่ครอบคลุมทั้งด้านประเภท เนื้อหา รูปแบบ และการเผยแพร่ผ่านโลกดิจิทัล นอกจากความน่าสนใจข้างต้น ความมีเสน่ห์ของชุมชนไทยเบิ้งยังเป็นอีกสิ่งที่คนที่ได้สัมผัสจะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เรียบง่าย ในวิถีของคนไทยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพื้นที่ของชุมชนไทยเบิ้ง มีการเดินทางที่สะดวก และสามารถไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นได้ ซึ่งทำให้สามารถผลักดันเป็นหนึ่งในสถานที่และเส้นทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี”
รางวัลชนะเลิศผลการประกวดโครงการ NAVANURAK Story Creator Challenge 2020 ได้รับเงิน
รางวัล 50,000 บาท ได้แก่ ผลงาน “ขอบคุณ ณ โคกสลุง”(https://bit.ly/3nAoksD) โดยทีม “BLACK LIGHT” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สมาชิกในทีมประกอบด้วยนางสาวเมธินี ศรีบุญเรือง นายต้นตะวัน สุวรรณศรี นายอาทิตย์ กันธิมา และนายภัทร์นิธิ กาใจ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ ผลงาน “ความทรงจำกับวัฒนธรรมที่ล้ำค่า สู่ภูมิปัญญาที่น่าจดจำ” (https://bit.ly/2R2S2dH) โดยทีม “BABY GROUP” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี สมาชิกในทีมประกอบด้วยนายวิวัตณ์ เสาสุข นายนัฐภัทร เทศทนง นางสาวสุภานัน โตสกุล นางสาวสุภนิดา โตสกุล และนางสาวทิพวรรณ์ พรมตะ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับเงินรางวัล 20,000 บาท ได้แก่ ผลงาน “บันทึก การเดินทาง ความทรงจำ (Travel memories)” (https://bit.ly/3vrfzUp) โดยทีม “WONDER” จากสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ สมาชิกในทีมประกอบด้วยนายอัฐฤทธิ์ วงค์ชัย นายสุตาภัทร กันผง และนายศุภวิชญ์ เอี่ยมกอง
รางวัลชมเชย 10,000 บาท จำนวน 3 รางวัล ได้แก่
ผลงาน “หัตถกรรมไทยเบิ้ง” (https://bit.ly/3t2KbdB) ทีม “Digital Local” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา สมาชิกในทีมประกอบด้วยนางสาวพรนภา มูระคา นางสาวสุพรรษา แตงอ่อน นางสาวธัญญาพร แก้วคงบุญ นางสาวเกวลิน ปรีเปรม และนางสาวญาตาวี เอี่ยมศิริ
ผลงาน “สืบสานภูมิปัญญา พริกตะเกลือ” (https://bit.ly/3ufuxg0) ทีม “Victory” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สมาชิกในทีมประกอบด้วยนายพีรดนย์ ศรีทองดี นายพงศ์พนิช พีชะพัฒน์ นางสาวณภัสสร วงค์สูงเนิน และนางสาวนฤมล เกตุชีพ
ผลงาน “เสน่ห์สีกก” (https://bit.ly/2R9XJXq) ทีม “ARCH TRAVEL” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สมาชิกในทีมประกอบด้วยนายเอกรินทร์ กุ้ยวงตาล นางสาวบุษบา คำอยู่ นายพีรพัฒน์ สุโพธิ์ และนางสาวณิชากร ทับทิมเขียว
รางวัลพิเศษ 5,000 บาท จำนวน 2 รางวัล ได้แก่
ผลงาน “เส้นทางสู่โคกสลุง” (https://bit.ly/3aOzeGa) ทีม “Charlotte” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา สมาชิกในทีมประกอบด้วยนางสาวสิริลักษณ์ ยะพิมสิน นางสาวสวภัทร กันฮก นายธนดล สมจิตต์ และนางสาวขวัญวิจิตร เปิงขุนทด
ผลงาน “พวงมโหตร ความงดงามของภูมิปัญญาชุมชนโคกสลุง” (https://bit.ly/3tb7lyx) ทีม “ขบวน 921” จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี สมาชิกในทีมประกอบด้วยนางสาวพิมพ์ชนก วุ้นกิ้ม นางสาว ปาณิสรา สิงห์ดวง และ นายราชันย์ ลาคูบอน
รางวัล Popular Vote 1,000 บาท ได้แก่ ผลงาน “ความทรงจำกับวัฒนธรรมที่ล้ำค่า สู่ภูมิปัญญาที่น่าจดจำ” (https://bit.ly/2R2S2dH) ทีม “BABY GROUP” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี สมาชิกในทีมประกอบด้วยนายวิวัตณ์ เสาสุข นายนัฐภัทร เทศทนง นางสาวสุภานัน โตสกุล นางสาวสุภนิดา โตสกุล และนางสาวทิพวรรณ์ พรมตะ
ผู้สนใจสามารถติดตามชมผลงานของผู้ชนะการประกวดและกิจกรรมต่างๆ ของโครงการได้ที่ www.facebook.com/navanurak/
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ :
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ งานประชาสัมพันธ์ เนคเทค 02 564 6900 ต่อ 2330-2340
สายพิณ ธนะศิริวัฒนา เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ 081 899 1380
ข่าวประชาสัมพันธ์
“Ve-Chick” เนื้อไก่จากถั่วเหลือง รส กลิ่น ผิวสัมผัส อร่อยเหมือนจริง
For English-version news, please visit : Ve-Chick: Plant-based Chicken Meat
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวผลงานวิจัย "Ve-Chick" ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากพืช โปรตีนทางเลือก เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. อธิบายถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต Ve-Chick ว่า เป็นการนำความรู้เรื่องการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อ “จัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้มีลักษณะเป็นเส้นใยเหมือนกับเนื้อไก่” ควบคู่ไปกับการปรุงแต่งกลิ่นและรสชาติให้เหมือนจริง ดังนั้นเมื่อผู้บริโภครับประทาน Ve-Chick จะได้รับความรู้สึกที่เหมือนรับประทานเนื้อไก่จริง
“ด้านคุณค่าทางโภชนาการ หากเปรียบเทียบที่ปริมาณ 100 กรัม เนื้อไก่ปกติจะมีโปรตีนประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนัก ขณะที่ Ve-Chick จะมีโปรตีนประมาณร้อยละ 16 ของน้ำหนัก โดย Ve-Chick จะมีส่วนผสมของไฟเบอร์เข้ามาเพิ่มเติมประมาณร้อยละ 6-10 ของน้ำหนัก ไม่มีคอเลสเตอรอล และปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตที่อาจตกค้างมาในเนื้อไก่อีกด้วย” ดร.กมลวรรณ กล่าวเสริม
[caption id="attachment_19630" align="aligncenter" width="1000"] ภาพตัวอย่างอาหารที่ใช้ Ve-Chick เป็นวัตถุดิบ[/caption]
[caption id="attachment_19629" align="aligncenter" width="1000"] ภาพตัวอย่างอาหารที่ใช้ Ve-Chick เป็นวัตถุดิบ[/caption]
ตอนนี้ผลิตภัณฑ์มี 2 รูปแบบหลัก คือ “เนื้อไก่กึ่งสำเร็จรูป (Pre-cooked)” เป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นเนื้ออกไก่ ซึ่งสามารถนำไปปรุงอาหารทดแทนเนื้อไก่ได้หลากหลาย และชิ้นเนื้ออกไก่ชุบแป้งทอด ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งคือ “เนื้อไก่แบบผง (Premix)” สำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นเนื้อไก่ด้วยตนเอง การขึ้นรูปทำได้ง่ายเพียงผสมเข้ากับส่วนผสมของเหลวตามสูตรด้วยเครื่องปั่น แล้วปั้นขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อตามต้องการก่อนนำไปใช้ทำอาหารได้ทันที ราคาของผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 รูปแบบ ถูกกว่าเนื้อไก่คุณภาพดีที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด ผู้บริโภคจึงสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางเลือกนี้ได้ง่าย
ปัจจุบันเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Chick และร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้ว เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงเป็นโปรตีนทางเลือกเพื่อทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ยังเป็นอาหารทางเลือกเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารในอนาคต และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ผู้เรียบเรียง: นางสาวภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
กราฟิก: ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ภาพ: เอ็มเทค และฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าว
บทความ
สวทช. ร่วมกับองค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น พร้อมหน่วยงานพันธมิตรเปิดตัวโครงการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศ ชิงแชมป์ประเทศไทยค้นหาสุดยอดทีมเยาวชนไทย ส่งโปรแกรมประมวลผลบนสถานีอวกาศนานาชาติ
For English-version news, please visit : NSTDA and JAXA launch the 2nd Kibo Robot Programming Challenge
5 พ.ค. 64 แถลงข่าวออนไลน์: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร
แถลงข่าวออนไลน์เปิดตัว “โครงการแข่งขัน The 2nd Kibo Robot Programming Challenge” ซึ่งได้จัดแข่งขันขึ้นเป็นปีที่ 2 เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในทุกระดับชั้นการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีเข้าร่วมการแข่งขัน มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเยาวชนไทยในด้านสะเต็ม เพื่อเตรียมความพร้อมทรัพยากรบุคคลรองรับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของประเทศไทยในอนาคต โดยทีมชนะเลิศจะได้เข้าแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชียทางออนไลน์ร่วมกับเยาวชนจากต่างประเทศในเดือนกันยายน 2564
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์กรสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือแจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน), สถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันจัด โครงการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทย ในการพัฒนาขีดความรู้ความสามารถด้านสะเต็มศึกษา และเตรียมทรัพยากรบุคคลให้มีความพร้อม สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมอวกาศ ของกระทรวง อว. ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยในอนาคต ซึ่ง สวทช. ได้รับเกียรติจากแจ็กซา ประเทศญี่ปุ่นให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทย โดยเปิดรับใบสมัครจนถึงวันที่ 16 พ.ค. 64 จากนั้นจะคัดเลือกทีมชนะเลิศเป็นตัวแทนทีมเยาวชนจากประเทศไทย โดยดูผลคะแนนการรันโค้ดในระบบซิมูเลชันของแจ็กซา เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน The 2nd Kibo Robot Programming Challenge รอบชิงแชมป์เอเชียทางออนไลน์ร่วมกับเยาวชนจากต่างประเทศ โดยถ่ายทอดสดจากสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านศูนย์ควบคุมอวกาศสึกุบะ ประเทศญี่ปุ่น ในเดือน ก.ย. 64 ต่อไป”
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทีมที่จะสมัครเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสมาชิก จำนวน 3 คน ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ไม่เกินระดับปริญญาตรี โดยสมาชิกในทีมสามารถอยู่ต่างสถานศึกษา และระดับชั้นเรียนได้ จากนั้นให้ส่งใบสมัครมายังโครงการฯ ภายในวันที่ 16 พ.ค. 64 ซึ่งในการแข่งขันผู้เข้าร่วมจะต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากเท็มเพลตที่ทางแจ็กซากำหนด เพื่อควบคุมหุ่นยนต์แอสโตรบีในระบบ Simulation ซึ่งจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินมีอุกกาบาตพุ่งชนสถานีอวกาศนานาชาติจนได้รับความเสียหาย ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษา JAVA ให้สั่งการให้หุ่นยนต์แอสโตรบีเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ที่กำหนด โดยจะต้องเคลื่อนเข้าไปอ่าน QR Code ตามจุดที่กำหนด และยิงเลเซอร์เข้าเป้าหมายเพื่อซ่อมแซมสถานีอวกาศนานาชาติ โดยคะแนนการแข่งขันจะคำนวณจากความแม่นในการยิงเลเซอร์สู่เป้าหมายของหุ่นยนต์แอสโตรบี และเวลาที่ใช้ในการปฎิบัติภารกิจ ขณะนี้ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันสามารถเข้าไปทดลองประมวลผลโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาในเซิฟเวอร์ของการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://jaxa.krpc.jp สำหรับการแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทย จะจัดขึ้นในวันที่ 18 มิ.ย. 64”
ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ (สวทช.) กล่าวเสริมว่า “สำหรับหุ่นยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ คือหุ่นยนต์แอสโตรบี (Astrobee) พัฒนาโดย NASA Ames Research Center ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการพัฒนาเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ขั้นสูง และเทคโนโลยีที่ใช้กับยานอวกาศ ซึ่งหุ่นยนต์แอสโตรบี คือหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศที่ใช้งานอยู่จริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ คอยสนับสนุนและช่วยเหลือการทำงานของนักบินอวกาศ”
นายโอะโนะ อะสึชิ (MR. ONO ATSUSHI) ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ (JAXA Bangkok Office) กล่าวทิ้งท้ายว่า “องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น มีโครงการความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีกับ สวทช. มาอย่างยาวนาน รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปีนี้โครงการแข่งขันได้จัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 และเป็นโอกาสครั้งสำคัญของทีมชนะเลิศตัวแทนประเทศไทย ที่จะได้เข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกอีกกว่า 10 ประเทศ ได้เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์แอสโตรบีของจริง โดยมีนักบินอวกาศนาซาที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน และมีการถ่ายทอดสดลงมายังพื้นโลกอีกด้วย”
[caption id="attachment_19626" align="alignnone" width="2560"] Astrobee flight units and docking unit in granite table lab at the Atomated Science Research Facility N-269 NASA Ames Research Center, Moffett Field in Silicon Valley California.[/caption]
นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษเรื่อง “ภารกิจเสริมสร้างกำลังคน เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอวกาศไทย” โดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. คุณปราณปริยา วงค์ษา ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ดร.พงศธร สายสุจริต รักษาการผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีอวกาศนานาชาติเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (INSTED) และคุณเอกชัย ภัคดุรงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานรัฐกิจ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)
ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลและสมัครเข้าร่วมโครงการแข่งขัน The 2nd Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/jaxa-thailand หรือแฟนเพจ NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนเมษายน 2564
ข่าว
ไบโอเทค สวทช. ลงนามความร่วมมือร่วมกับ National Institute of Genetic Engineering and Biotechnology (NIGEB) ประเทศอิหร่าน
สวทช. จัดงาน NAC2021 เสิร์ฟงานวิจัย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ออนไลน์เต็มรูปแบบ 25-30 มีนาคมนี้
นักวิจัย สวทช. สังเคราะห์สารตั้งต้นยา “ฟาวิพิราเวียร์” สำเร็จ ทดแทนวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ
สวทช. จับมือ มจษ. พัฒนาสื่อสาระความรู้ดิจิทัลสนับสนุนการเรียนรู้แบบเปิด สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน
สวทช. ผนึก วช. เฟ้นหา ‘เยาวชนคนเก่ง’ แข่งขันผลงาน ‘วิทย์ฯ -เทคโนโลยี-นวัตกรรม’ บนเวที ‘NSTIF 2021’ ครั้งแรก
สวทช. สนับสนุน โนวากรีน เพาเวอร์ซิสเต็ม พัฒนาระบบวัดอุณหภูมิ-ความชื้นตู้เก็บวัคซีนโควิด-19 ภายใต้โครงการ “FTI ช่วยชาติสู้ COVID-19"
สวทช. เผย อย. ไฟเขียว โคซี่-แอมป์ 'COXY-AMP' ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์ เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยี คัดกรองโควิด-19 เชิงรุก
เอ็มจี เดินหน้าหนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยจับมือ สวทช. กำหนดมาตรฐานสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเตรียมเปิดให้บริการสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE
ครั้งแรกในไทย วิจัย “โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์” พัฒนาสู่เนื้อบดเทียมทดแทนเนื้อสัตว์ ปลอดภัย ไร้สารปนเปื้อน
ไบโอเทค สวทช. ได้รับสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) 2 โครงการกว่า 27 ล้านบาท
สวทช. – APSA ขยายระยะเวลาความร่วมมือด้านเมล็ดพันธุ์พืช เดินหน้าสู่เป้าหมายความมั่นคงทางอาหารของโลก
สวทช. ผนึก มธ. เสริมแกร่งบริการ-วิเคราะห์ทดสอบ ยกระดับอุตสาหกรรมและงานวิจัยตามมาตรฐานสากล
ประกาศแล้ว ผู้ชนะการประกวดผลงาน วทน. ‘NSTIF 2021’ ครั้งที่ 1 สวทช.- วช. หนุนสร้าง ‘นวัตกร’ พัฒนากำลังคนของประเทศ
สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 3”
สวทช. จัดงาน ‘NAC2021’ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ 25-30 มี.ค.นี้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2564 (NAC2021) แบบออนไลน์
บทความ
“แบตเตอรี่สังกะสีไอออน” นวัตกรรมแบตเตอรี่ปลอดภัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โอกาสสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG Economy Model
Download เอกสารฉบับเต็ม [15.2 MB]
จดหมายข่าว สวทช.
(5 พฤษภาคม 2564) Facebook Live แถลงข่าว “โครงการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge”
Facebook Live แถลงข่าว “โครงการแข่งขันเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์อวกาศ The 2nd Kibo Robot Programming Challenge” เปิดรับสมัครเยาวชนไทยในทุกระดับชั้นการศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีเข้าร่วมการแข่งขัน โดยทีมชนะเลิศจะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยแข่งขันรอบชิงแชมป์เอเชียร่วมกับเยาวชนจากต่างประเทศในเดือนกันยายน 2564
รับชมพร้อมกันวันที่ 5 พฤษภาคม 2564
เวลา 10.00-11.00 น.
Facebook: NSTDA-สวทช.
กำหนดการ
[wpdatatable id=31 table_view=regular]
ปฏิทินกิจกรรม


