หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
คณะจิตอาสาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา มอบอาหารน้ำดื่ม-สิ่งของ ให้ รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
วันนี้ (22 มิ.ย. 64) ณ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี : คณะจิตอาสาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สมาคมศิษย์เก่าจิตรลดาในพระราชูปถัมภ์ฯ และสถานประกอบการในเครือข่ายสถาบันฯ ได้เดินทางมามอบข้าวกล่อง ขนม น้ำดื่ม และแอลกอฮอล์ล้างมือ จำนวน 200 ชุด เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยพิการที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 และปฏิบัติงานโรงพยาบาลสนามฯ เพื่อสืบสานตามพระราชปณิธานในการทำความดีของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี นายกสภาสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา โดยมี นายแพทย์สาธิต สันตดุสิต ผู้อำนวยการสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ แพทย์หญิงบุษกร โลหารชุน รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ และนางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย นางจิตรา เตมีศรีสุข ผู้อำนวยการกองคุ้มครองสวัสดิภาพและพัฒนาคนพิการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมต้อนรับคณะจิตอาสาฯ และรับมอบสิ่งของในครั้งนี้  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
“Para Walk” พื้นยางพาราเพื่อสุขภาพ
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช.พัฒนา "Para Walk" วัสดุปูพื้นทำจากยางพาราเพื่อสุขภาพการเดิน ลดอันตรายรุนแรงเมื่อหกล้มปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช.พัฒนา #ParaWalk วัสดุปูพื้นหรือผนังที่มีส่วนผสมของยางพารา มีผิวสัมผัสแข็งแรงทนทาน แต่ยังคงคุณสมบัติของยางพาราที่สามารถดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่จะเดินได้อย่างมั่นคง ช่วยถนอมข้อเข่า และช่วยลดอันตรายรุนแรงได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุหกล้ม "Para Walk" ยังอยู่ระหว่างการทดสอบความทนทานเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง ในขณะที่นักวิจัยยังเดินหน้าต่อยอดพัฒนา Para Walk ให้เป็นพื้นยางพาราเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ต้องการพื้นที่เหมาะสมต่อพัฒนาการเดิน รวมถึงกีฬาแต่ละชนิดที่ต้องการพื้นนิ่มแข็งในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งนักวิจัยกำลังศึกษาและเก็บข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาพัฒนาพื้นยางพารา Para Walk ให้เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัยและทุกกิจกรรม
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. โปรแกรม ITAP หนุนผู้ประกอบการ ‘พัฒนาชุดตรวจสอบภาคการเกษตร’ – ‘น้ำยาล้างผักผลไม้’ ช่วยลดปนเปื้อนจุลินทรีย์-สารเคมีตกค้าง ใช้ง่ายทราบผลทันที
For English-version news, please visit : ITAP-NSTDA helps Thai enterprises launch products enhancing food safety. ผู้บริโภค เฮ โปรแกรม ITAP  สวทช. หนุนผู้ประกอบการ พัฒนาชุดตรวจสารเคมีตกค้างในภาคการเกษตร มีการนำไปใช้จริงแล้วกับร้านอาหารชั้นนำ และโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้ยังผลิตนวัตกรรมน้ำยาล้างผักและผลไม้ เอาใจสายเฮลท์ตี้ ที่นิยมซื้อผักสดผลไม้ มาปรุงอาหารเองที่บ้าน ช่วยล้างผักผลไม้ ให้ปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์และยาฆ่าแมลงได้มีประสิทธิภาพ   (วันที่ 18 มิถุนายน 2564) ศ.ดร. พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) โดยศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้สนับสนุนให้ทำงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อช่วยผู้ประกอบการพัฒนาชุดตรวจสอบสารเคมีทางการเกษตรอย่างง่าย และทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์น้ำส้มสายชูหมักจากหยาดน้ำดอกมะพร้าว เพื่อลดปริมาณสารเคมีตกค้างและลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อนในผักและผลไม้ ให้กับ 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เอิร์ธแคร์อินโนซิส จำกัด โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดตรวจสอบ CHEMISPOT ซึ่งเป็นชุดตรวจสอบสารกำจัดวัชพืช 2 ชนิด คือ พาราควอต (Paraquat) และไกลโฟเซต (Glyphosate) สำหรับใช้คัดกรอง (screening) การตกค้างของสารเคมีในผักและผลไม้ โดยแสดงผลว่า ‘พบ’ หรือ ‘ไม่พบสารตกค้าง’ สามารถนำไปใช้งานได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และทราบผลทดสอบได้ทันที “ชุดตรวจสอบพาราควอต อยู่ในรูปของ “เจลทดสอบ” มีสีขาวขุ่น อยู่ในภาชนะพลาสติกขนาดเล็ก การทดสอบทำได้ง่ายๆ โดยใส่ตัวอย่างของเหลว ลงในสารทดสอบ หากไม่มีสารพาราควอต สารทดสอบจะมีสีขาวใสเหมือนเดิม แต่ถ้ามีสารพาราควอต สารทดสอบจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าทันที โดยความเข้มของสีจะเปลี่ยนไปตามปริมาณของสารพาราควอตที่พบ”  “ชุดตรวจสอบไกลโฟเซต อยู่ในรูป“ของเหลวทดสอบ” มีลักษณะสีขาวใส บรรจุในขวดแก้ว ใช้งานโดยเติมตัวอย่างที่ต้องการทดสอบ ในขวดทดสอบ เขย่าและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีที่เกิดขึ้น จากการทำปฏิกิริยาของสารทดสอบกับสารไกลโฟเซต จะทำให้เกิดสีเหลืองขุ่น โดยความเข้มของสีจะเปลี่ยนไปตามปริมาณของสารไกลโฟเซตที่พบ” ทั้งนี้ชุดตรวจสอบนี้ถูกนำไปใช้ทดสอบผักและผลไม้ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ซึ่งปัจจุบันได้ให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงแรม 5-6 ดาว รวมถึงร้านอาหารชั้นนำต่างๆ นายอุกฤษฏ์ วิศิษฐ์กิจการ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอิร์ธแคร์อินโนซิส จำกัด กล่าวว่า บริษัท เอิร์ธแคร์ฯ เป็นบริษัทที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศเพื่ออาหารปลอดภัย และสนใจที่จะพัฒนาชุดตรวจสอบที่ใช้ง่าย สามารถใช้ได้เองที่บ้าน ซึ่งการที่ได้ร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP สวทช. ทำให้สินค้าของบริษัท ทั้งผลิตภัณฑ์ Paraquat หรือ Glyphosate ได้รับการตอบรับจากทั้งภาครัฐและเอกชนหลายหน่วยงาน นอกจากนี้ตัวชุดตรวจสอบได้ถูกใช้จริงในโครงการของสำนักงานสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แล้ว เพื่อนำร่องในโครงการอาหารปลอดภัยสำหรับให้คนในชุมชน โรงเรียน สถานพยาบาล ตื่นตัวถึงปัญหาสารเคมีตกค้างในผักและในน้ำ ทำให้นักเรียนผู้เข้าร่วมในโครงการอาหารปลอดภัย มีโอกาสใช้ชุดตรวจสอบและเห็นถึงปัญหาด้วยตนเองด้วย ศ.ดร. พวงรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นแล้วยังมีผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งตัวคือ “ชีวาดี ฟรุต แอนด์ เวจจี่    วอช” (Chiwadi Fruit Veggie Wash) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ บริษัท ชีวาดี โปรดักส์ จำกัด ได้พัฒนาขึ้นจากหยาดน้ำดอกมะพร้าว ซึ่งได้มีการทดสอบในห้องปฏิบัติการ พบว่าประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์เริ่มแรกสามารถลดแบคทีเรียและสารเคมีปราบศัตรูพืชได้ในระดับหนึ่ง แต่เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าจะได้ผักผลไม้ที่ปลอดภัยจริง ทีมวิจัยได้ปรับสูตรน้ำยาล้างผัก โดยต่อยอดจากสูตรเดิม ทั้งการเพิ่มสารสำคัญ ปรับสัดส่วนของสารต่างๆ ในน้ำยาล้างผักและปรับปริมาณการใช้น้ำยาล้างผัก ทำให้สามารถล้างผักและผลไม้ ให้ปลอดจากเชื้อจุลินทรีย์และสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ตกค้างในผักผลไม้ ได้ในเวลาอันสั้น โดยผลทดสอบพบว่า Chiwadi Fruit Veggie Wash สูตรใหม่ สามารถกำจัดจุลินทรีย์ตกค้างได้หมด และช่วยลดยาฆ่าแมลง ที่ใช้ทดสอบสองชนิด คือ Methomyl และ Lambda-Cyhalothrin จากในระดับที่ ‘ไม่ปลอดภัยมาก’ ให้เป็นระดับ ‘ปลอดภัย’ ได้ ด้าน นางสารภี ยวดยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาดี โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า ทีมวิจัยได้ดำเนินการทดลองและช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็ก สามารถเข้าถึงงานวิจัย เข้าใจลักษณะงานที่เป็นขั้นตอน ซึ่งนอกจาก    ผลการทดลองที่ทำให้ได้รับความมั่นใจในตัวสินค้าแล้ว ยังได้รับคำแนะนำการปรับให้สูตรสมดุล เพื่อประโยชน์สูงสุดกับขนาดธุรกิจของตนเอง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคด้วย “ด้วยธุรกิจขนาดเล็กของเราเป็นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ล้างผักและผลไม้อินทรีย์ ที่ไม่มีสารเคมีเป็น    รายแรกของประเทศ และได้ผลในการลดเชื้อจุลินทรีย์ทำความสะอาดและชำระล้างสารเคมีตกค้าง ประเภทกลุ่มยาฆ่าแมลงที่เกษตรกรนิยมใช้ ได้มีประสิทธิภาพดีในระดับปลอดภัย” ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. เนื่องจากเป็นสินค้าใหม่ที่ใช้สารอินทรีย์ชนิดต่างๆ ซึ่งยังไม่มีในพระราชบัญญัติอาหาร หากได้รับใบอนุญาตจาก อย. เรียบร้อยแล้ว ทางบริษัทฯ พร้อมส่งออกสินค้าต่อไป เนื่องจากช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เรื่องของความสะอาดปลอดภัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้โภคคำนึงถึงเป็นลำดับแรก ทำให้สินค้ามีแนวโน้มแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ทั้งในและนอกประเทศ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาดีฯ กล่าวทิ้งท้าย //////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญร่วมเสวนาออนไลน์เรื่อง “การค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก !! กับการต่อยอดการใช้ประโยชน์ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG”
" ทุนทางธรรมชาติ " ที่จับต้องได้ ประเทศไทย "ร่ำรวย" ความหลากหลายทางชีวภาพ ทำอย่างไร...จะสร้างนวัตกรรม และประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ร่วมเสวนากับวิทยากรที่ค้นพบพืชวงศ์ขิงชนิดใหม่ของโลก 8 ชนิด พร้อมตอบทุกข้อซักถามถึงแนวทางการต่อยอด การสร้างนวัตกรรม และใช้ประโยชน์ทางการค้า การเสวนา : การค้นพบพืชวงศ์ขิง 8 ชนิดใหม่ของโลก !! กับการต่อยอดการใช้ประโยชน์ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 14.00 - 15.30 น. เสวนาออนไลน์ฟรี ! #BIODTALKEPISODE#1 มีหัวข้อที่น่าสนใจ การค้นพบพืชวงศ์ขิงชนิดใหม่ของโลก 8 ชนิดกับความท้าทายการอนุรักษ์ และการใช้ประโยชน์ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG นวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย การปรับปรุงพันธุ์พืชวงศ์ขิงในเชิงการค้า .......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร ห้องประชุมออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Webex event สมัครเข้าฟังฟรี ที่ลิงก์ : https://meeting-nstda.webex.com/meeting.../onstage/g.php... หรือสามารถเข้าร่วมเสวนาได้ ผ่านการสแกน QR Code
ปฏิทินกิจกรรม
 
เลี้ยงปลาหนาแน่นระบบน้ำไหลเวียนอัตโนมัติ ความเสี่ยงต่ำ กำไรสูง
For English-version news, please visit : Automated recirculating aquaculture system for intensive farming   ประเทศไทยมีสถิติการส่งออกสัตว์น้ำเป็นอาหารมากกว่าปีละร้อยล้านบาท แต่การทำประมงกลับยังไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงสำหรับคนไทย เพราะชาวประมงส่วนใหญ่ยังทำประมงโดยพึ่งพิงแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งมีความสมบูรณ์ลดน้อยลงทุกวัน อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากทั้งภัยแล้ง อุทกภัย โรคระบาด รวมถึงมลพิษทางน้ำจากสาเหตุต่างๆ เช่น น้ำมันรั่วไหลหรือการเพิ่มจำนวนของสาหร่าย ที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้มหาศาล ที่สำคัญยังมีการทำประมงที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผิดกฎหมายอยู่มากอีกด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยเทคโนโลยีต้นแบบ “ระบบอัตโนมัติสำหรับเพาะเลี้ยงปลากะพงในระบบน้ำไหลเวียน” ซึ่งพัฒนาจากระบบการเลี้ยงแบบน้ำไหลเวียน (Recirculation Aquaculture System: RAS) เทคโนโลยีเพื่อการทำประมงอย่างยั่งยืนที่กำลังได้รับความนิยมจากฝั่งตะวันตก เป็นเทคโนโลยีที่มีการพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติน้อย ให้ผลผลิตสูง ความเสี่ยงต่ำ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรูปแบบการทำประมงที่ถูกกฎหมาย   [caption id="attachment_22530" align="aligncenter" width="1000"] ดร.ยศกร ประทุมวัลย์ ทีมวิจัยคอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณทางวิศวกรรม (CAE Research Team) เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ยศกร ประทุมวัลย์ ทีมวิจัยคอมพิวเตอร์ช่วยในการคำนวณทางวิศวกรรม (CAE Research Team) กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยรู้จักเทคโนโลยี RAS มาสักระยะแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ยังไม่ได้รับความนิยมในการใช้งาน เพราะแม้จะมีข้อดีกว่าการเลี้ยงแบบบ่อดินหรือแบบกระชังหลายประการ แต่การจะเปลี่ยนมาเลี้ยงด้วยระบบ RAS ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีสูง และต้องนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายระหว่างการเลี้ยงที่สูงกว่าแบบเดิมมาก ทำให้โดยรวมแล้วยังไม่คุ้มค่าแก่การลงทุน เอ็มเทค สวทช. จึงได้ร่วมวิจัยกับบริษัท ท็อป อะควา เอเชีย เทรดดิ้ง แอนด์ คอนซัลแทนท์ จำกัด พัฒนาเทคโนโลยี RAS ให้เหมาะสมแก่ชาวประมงไทย เป็นเทคโนโลยีที่เข้าถึงง่าย ราคาจับต้องได้ และมีระบบการใช้งานที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากกลุ่มบริหารการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (RDI) สวทช. “สำหรับโมเดลที่พัฒนาขึ้นมีจุดเด่นของเทคโนโลยีอยู่ 3 ส่วนหลัก ส่วนแรก คือ “ซอฟต์แวร์ราสแคล (RAScal)” ใช้ในการคำนวณการออกแบบระบบการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพ สามารถติดตามและประเมินระหว่างการเลี้ยงได้ ส่วนที่สองคือการพัฒนา “ระบบตรวจวัดและควบคุมอัตโนมัติ” เพื่อควบคุมคุณภาพการเลี้ยงให้ได้มาตรฐาน น้ำในบ่อเลี้ยงมีความสะอาดและปลอดโรค เหมาะแก่การเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ อีกทั้งยังลดการใช้น้ำเหลือเพียงร้อยละ 6 ของการเลี้ยง เมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบบ่อดินหรือแบบกระชังที่ปริมาณผลผลิตเท่ากัน ที่สำคัญมีการปลดปล่อยของเสียสู่สิ่งแวดล้อมลดลงจนเกือบเป็นศูนย์ โดยระบบตรวจวัดและควบคุมอัตโนมัตินี้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบการเลี้ยงและสั่งการทำงานได้ง่ายจากทุกที่ทุกเวลาผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูง ส่วนสุดท้าย คือ “การออกแบบอุปกรณ์ให้สามารถผลิตได้ในประเทศ” เพื่อให้มีราคาที่เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ โดยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้ใช้ได้กับทั้งการเลี้ยงปลาน้ำจืด น้ำเค็ม รวมถึงกุ้ง”     [caption id="attachment_22532" align="aligncenter" width="1000"] ภาพบ่อเลี้ยงระบบน้ำไหลเวียนอัตโนมัติ[/caption]   [caption id="attachment_22533" align="aligncenter" width="1000"] ภาพหน้าจอแสดงการทำงานของระบบ[/caption]   ดร.ยศกร อธิบายการทำงานของระบบว่า ในส่วนของบ่อเลี้ยงมีลักษณะเป็นทรงกลม มีการปล่อยน้ำเข้าสู่บ่อด้วยการฉีดตามแนวรอบ ทำให้น้ำเกิดน้ำวนเข้าสู่ศูนย์กลาง (สะดือกลาง) จากบนลงล่างก่อนไหลออกจากบ่อ ความเร็วของน้ำสามารถปรับได้ตามพฤติกรรมการว่ายน้ำของสัตว์น้ำที่เลี้ยง การให้อาหารตั้งได้ 2 รูปแบบ คือ เป็นช่วงเวลาหรือตลอดเวลา ของเสียที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงภายในบ่อจะไหลออกทางสะดือกลางของน้ำวนเข้าสู่กระบวนการบำบัด “ในขั้นตอนการบำบัด ของเสียส่วนแรกที่ถูกกรองออกจากน้ำเสียคือของแข็งหรือ “มูลสัตว์น้ำ” โดยใช้ระบบตัวกรองเชิงกล (Mechanical filter) เพื่อแยกออกไปใช้ทำปุ๋ยบำรุงพืช ขั้นต่อไปคือการกำจัด “สารอินทรีย์ที่ละลายน้ำ” (Dissolved Organic Compounds (DOCs)) ออก โดยใช้ฟองก๊าซโอโซนในการดักจับ ซึ่งเป็นการฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำไปในตัว โดยกระบวนการนี้มีชื่อเรียกแบบสั้นว่าโปรตีนสกิมเมอร์ (Protein skimmer) หลังจากนั้นขั้นตอนต่อไปคือการเปลี่ยน “แอมโมเนีย” ที่สัตว์ขับถ่ายออกมาให้เป็นเป็นไนไตรต์และไนเตรต ด้วยกระบวนการไนตริฟิเคชัน (Nitrification) โดยใช้แบคทีเรียในเครื่องปฏิกรณ์ชีวภาพ (Bioreactor) ขั้นสุดท้ายของการบำบัดคือการนำ “ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์” ออกจากน้ำ (Degassing) เพื่อลดค่าความเป็นกรด โดยการสเปรย์น้ำเพื่อเพิ่มพื้นผิวสัมผัส ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลุดออกจากน้ำ เมื่อน้ำได้รับการบำบัดจนสะอาดจึงเติม “ก๊าซออกซิเจนบริสุทธิ์” ด้วยระบบเติมก๊าซแรงดันสูง (Oxygen cone) เพื่อให้มีปริมาณออกซิเจนในน้ำที่เหมาะสม ก่อนปล่อยน้ำวนกลับเข้าสู่บ่อเลี้ยงต่อไป การตั้งค่าทั้งหมดนี้สามารถออกแบบและปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรม ขนาด และอายุของสัตว์น้ำที่เลี้ยง ทำให้สัตว์น้ำโตไวและสุขภาพดี การเลี้ยงด้วยระบบนี้หากนำมาใช้เป็นโมเดลเลี้ยงปลากะพงที่ความหนาแน่น 40 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ใช้บ่อเลี้ยง 6 บ่อ (พื้นที่ประมาณ 120 ตารางเมตร) จะได้ผลผลิตปลากะพงที่ประมาณ 340 กิโลกรัม/เดือน ใช้เงินลงทุนประมาณ​ 700,000 บาท คืนทุนในระยะ 3.43 ปี และได้ผลกำไรร้อยละ 30 ทั้งนี้ปริมาณความหนาแน่นที่รองรับได้ขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์น้ำ เช่น การเลี้ยงปลานิลที่มีอัตราการว่ายน้ำน้อยกว่า จะสามารถเลี้ยงได้หนาแน่น 60-80 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร” ดร.ยศกร อธิบาย ดร.ยศกร กล่าวอีกว่า การเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบที่พัฒนาขึ้นนี้ แม้จะมีการลงทุนสูงกว่าการเลี้ยงด้วยรูปแบบบ่อดินหรือแบบกระชัง แต่ด้วยปริมาณผลผลิตที่มากกว่าถึง 30 เท่า (กรณีเลี้ยงปลากะพง) จึงทำให้ได้กำไรจากการลงทุนสูงกว่า โดยไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ โรคที่เกิดจากระบบการเลี้ยงที่ไม่สะอาด หรือการรับเชื้อโรคจากภายนอก จึงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านรายได้เป็นอย่างดี “ปัจจุบันเอ็มเทคกำลังร่วมมือกับ RDI พัฒนาศูนย์การเรียนรู้ 2 แห่งคือ ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา และสถานีวิจัยประมงศรีราชา คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบสำหรับถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ชาวประมง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักเรียนนักศึกษา ให้เข้ามาเรียนรู้เทคโนโลยีและนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้ คาดว่าจะเริ่มถ่ายทอดเทคโนโลยีได้ในปลายปี 2564 นี้ ซึ่งหวังว่าจะนำไปสู่การขยายจำนวนการใช้งาน รวมถึงมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีนี้ในประเทศมากขึ้นต่อไป” ดร.ยศกร ทิ้งท้ายว่า แม้ในตอนนี้การเลี้ยงสัตว์น้ำโดยพึ่งพิงธรรมชาติจะยังพอทำได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ข้อจำกัดของธรรมชาติจะเป็นตัวเร่งให้การทำประมงต้องลดการพึ่งพิงและทำลายสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการทำการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเทคโนโลยีนี้จึงเป็นความหวังที่จะช่วยเสริมสร้างอาชีพชาวประมงให้เป็นอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับคนไทย เรียบเรียงโดย นางสาวภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. กราฟิกโดย ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ และฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. ภาพประกอบโดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
ข่าว
 
บทความ
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม 2564
ข่าว สวทช. พร้อม อภ. และ ปตท. ร่วมมือผนึกกำลังต่อยอดการวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบทางยา ส่งเสริมความมั่นคงด้านสุขภาพให้คนไทย โครงการ Asian Herb in Space ปลูกโหระพาอวกาศ เทียบกับบนพื้นโลก สวทช. ผนึก บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาขีดความสามารถ แล็บวิเคราะห์ทดสอบมาตรฐาน รองรับความต้องการของผู้ประกอบการภาครัฐ-เอกชน สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมทุน “บริษัท เจเนพูติก ไบโอ จำกัด”ต่อยอดงานวิจัยการแพทย์ขั้นสูงเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่เกี่ยวกับเลือดด้วยเทคโนโลยีเซลล์และยีนบำบัด เป็นรายแรกของประเทศไทย สวทช. ร่วมลงนาม "ภาคีความร่วมมืออวกาศไทย” กับหน่วยงานภายใต้ อว. พัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอวกาศไทย ไบโอเทคและพันธมิตรต่างชาติได้รับทุนวิจัยกว่า 51 ล้านบาท สวทช. เสิร์ฟบุฟเฟต์ความรู้ จาก ‘นักวิทย์รุ่นใหม่’ สู่น้องวัยทีน นาโนเทค สวทช. ตอบโจทย์ BCG ส่ง ‘นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต’ ลงสวนทุเรียน จังหวัดระยอง นาโนเทค สวทช. จับมือหอการค้าจังหวัดระยอง ดัน ‘นวัตกรรมฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว’ สร้างความเชื่อมั่นยุคโควิด-19 เมืองนวัตกรรมอาหาร - มก. เปิดตัว “ฟู้ดอินโนโพลิส แอด เกษตรศาสตร์”พร้อมให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ ยกระดับผลิตภัณฑ์นวัตกรรม อว.ไม่หวั่นโควิด – 19 พร้อมเดินหน้าโครงการ U2T ต่อ “เอนก” ปรับการทำงานใหม่ให้ทำงานเป็น “จิตอาสา” ช่วยงานโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ สวทช.-จุฬาฯ-วท.กห. ชูนวัตกรรม ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออน’ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยไร้ระเบิด สวทช. ส่งมอบหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี ให้ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ เอ็มเทค สวทช. ส่งมอบ ‘พีท เปลปกป้อง’ ‘เปลความดันลบ’ สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้โควิด-19 ระลอกใหม่ ช่วยผู้ป่วยโควิดเอกซเรย์-สแกนปอด โดยไม่ต้องออกจากเปล ลดการแพร่เชื้อแบบเบ็ดเสร็จ   บทความ ‘บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร’ จากศูนย์กลางการเรียนรู้ สู่ภารกิจโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ    Download เอกสารฉบับเต็ม [15.2 MB]  
จดหมายข่าว สวทช.
 
การประกวดนวัตกรรมข้าวไทย ปี 2564 (RICE INNOVATION AWARDS 2021)
มูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดนวัตกรรมข้าวไทย ปี 2564 : Rice Innovation Awards 2021 ชิงโล่พระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมเพิ่มมูลค่าข้าวไทย ทั้งผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิต เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวและพัฒนาความใฝ่รู้เพื่อสรรหานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ข้าวไทย เพื่อยกย่องและสร้างขวัญกําลังใจแก่ผู้ค้นคิดและผลักดันนวัตกรรมข้าวไทย จนบรรลุผล   ประเภทผู้สมัคร กลุ่มอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการเอกชน องค์กรภาครัฐระดับชาติ หรือ สถาบันการศึnษาระดับอุดมศึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้สมัครที่มาจาก “ชุมชน”   ลักษณะของผลงานที่ส่งเข้าประกวด ผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่าง ๆ ของข้าว (ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสาร ปลายข้าว ข้าวหัก แป้งข้าว แกลบ รําข้าว ฟางข้าว ฯลฯ) โดยมี “ข้าว” เป็นส่วนประกอบสําคัญโดยอาจจะเกิดจากการสร้างความรู้ใหม่ หรือการใช้ภูมิปัญญา พื้นบ้านมาประยุกต์ ให้เกิดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ข้าวที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์สูง ระบวนการผลิต ที่เป็นนวัตกรรมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ข้าวไทย ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องไม่เคยได้รับรางวัลระดับชาติมาก่อน และไม่ได้ อยู่ในเชิงwาณิชย์มาแล้วเกิน 2 ปี   กำหนดระยะเวลา ยื่นใบสมัครตั้งแต่วันนี้ถึง 16 สิงหาคม 2564 ตัดสินผลงาน 16 กันยายน 2564 พิธีมอบรางวัล 5 ตุลาคม 2564   ติดต่อสอบถาม https://thairice.org/ https://www.facebook.com/ThaiRiceFoundationTh E-mail : ricefoundthailand@yahoo.com โทรศัพท์ 0-2942-7620-1 ,0-2942-7626
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
คาโอ จับมือ อมตะ-กนอ.-เนคเทค และกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค เปิดโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก”
(15 มิ.ย. 64) จ. ชลบุรี : บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวโครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก” พื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ ชลบุรี จังหวัดชลบุรี ร่วมกับ 4 องค์กรใหญ่ ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) หน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสนับสนุนโครงการ และลดจำนวนผู้ป่วยรวมถึงผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก เนื่องในวันไข้เลือดออกอาเซียน นำร่องโครงการฯ ในเขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี ให้ปลอดไข้เลือดออกภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” มุ่งให้ประชาชนรู้ทันโรคภัยไข้เจ็บ พร้อมมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน โครงการ “ร่วมแรงร่วมใจ ลดป่วย ลดกระจาย ลดภัยร้ายจากไข้เลือดออก” เป็นโครงการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการกำจัดลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออก ในพื้นที่ตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี โดยความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และชุมชน โดยมุ่งร่วมกันลดภาชนะที่ไม่ใช้ประโยชน์และการจัดการขยะ ซึ่งอาจจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายได้ การให้ความรู้เรื่องการป้องกันควบคุมโรคไข้เลือดออก และการหมั่นสำรวจลูกน้ำยุงลาย ในสถานที่ต่าง ๆ โดยพนักงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยินดีสนับสนุนการอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมถึงการร่วมสร้างระบบรายงานผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก ผ่านทางฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละบริษัท พร้อมตั้งเป้าหมายการลดจำนวนผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ดังกล่าว ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2567 มร.ยูจิ ชิมิซึ ประธานกรรมการ บริษัท คาโอ อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงความร่วมมือในโครงการดังกล่าวว่า แม้ว่าคนไทยจะรู้จักโรคไข้เลือดออกมานานแล้ว แต่ยังมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ซึ่งพบว่าสาเหตุหลักมาจากการขาดความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่องการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ขาดการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี จนกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของลูกน้ำยุงลาย ซึ่งพื้นที่ภาคตะวันออกยังคงมีอัตราการระบาดอยู่ทุกปี ทางคาโอและพันธมิตรจึงได้เลือกพื้นที่เขตตำบลหนองไม้แดง ตำบลดอนหัวฬ่อ และนิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จังหวัดชลบุรี เป็นพื้นที่นำร่อง เนื่องจากมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเป็นพื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่คาโอตั้งอยู่ด้วย โดยเลือกเปิดโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นวันไข้เลือดออกอาเซียน (ASEAN Dengue Day) และยังมีแผนจะขยายโครงการไปยังพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอนาคต “ด้วยแนวคิดหลักของบริษัท คาโอ ที่ต้องการให้ประชาชนมีการดำเนินชีวิตที่ดีและดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น การเข้ามาสนับสนุนโครงการฯ ในครั้งนี้ จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ว่า คาโอ-สร้างสรรค์สิ่งดี เพื่อชีวิตที่สวยงาม ซึ่งเป็นการแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการที่จะให้เกิดความยั่งยืนด้านสุขภาพในสังคมไทย โดยการร่วมมือกันครั้งนี้ มีแผนที่จะขยายพื้นที่การดำเนินงานออกไป และเชื่อมั่นว่า เมื่อทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานอย่างจริงจัง จะทำให้ไข้เลือดออกในพื้นที่ดำเนินกิจกรรมลดน้อยลงจนกลายเป็นศูนย์ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน” นายชิมิซึ กล่าว นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สมาชิกภายในนิคมอมตะ ประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 250,000 คน และประชาชนในชุมชนโดยรอบ รวมถึงโครงการนี้ยังมีการนำแอปพลิเคชัน เข้ามาประยุกต์ใช้ให้ทุกคนได้รู้ทันโรคไข้เลือดออก และติดตามสถานการณ์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้มีไว้เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตอบสนองต่อแนวคิดการสร้างเมืองอัจฉริยะของอมตะให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าในอนาคตโครงการนี้อาจกลายเป็น Role model ให้กับนิคมฯ อมตะที่ต้องอยู่ในต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว พม่า ได้อีกด้วย” ทางด้านนายวีริศ  อัมระปาล ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า นิคมอุตสาหกรรมอมตะ ซิตี้ จ.ชลบุรี เป็นนิคมขนาดใหญ่ พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมจำนวนกว่า 181,879 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2363) มีชุมชนโดยรอบรัศมี 5 กิโลเมตร จำนวนกว่า 212 หมู่บ้าน ทาง กนอ. ยินดีที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้สถานประกอบการที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมให้ความสำคัญในการป้องกันโรคไข้เลือดออกแก่พนักงานและชุมชนโดยรอบ เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมยั่งยืนควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน การสร้างความสมดุล ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ในส่วนของ ดร.พญ.ฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง ยังได้นำเสนอถึงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทยว่า ในยุค new normal ที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม้จำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกจะลดลงถึงกว่าร้อยละ 80 แต่ไม่ควรไว้วางใจ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาโรคไข้เลือดออกได้ทำให้เด็กเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมาพบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน และเมื่อวัยทำงานเสียชีวิต จึงส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสร้างความเสียหายต่อสังคมและเศรษฐกิจ และโรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกัน ไม่มียารักษาจำเพาะ ซึ่งทำให้การลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยากยิ่งกว่าโรคโควิด-19 ดังนั้น มาตรการสำคัญในการลดโรคจึงยังคงเป็นการกำจัดพาหะนำโรคทั้งลูกน้ำยุงลาย  กองโรคติดต่อนำโดยแมลงยินดีอย่างยิ่งกับการผนึกกำลังครั้งนี้ ที่จะได้เห็นประชาชนในพื้นที่เป้าหมาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทยต่อไป สำหรับโครงการนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมมาสร้างความตระหนักรู้โรคไข้เลือดออก โดยเปิดตัวแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” แอปสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ เปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ง่ายขึ้น ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยิอิเล็กทรอนิกสและคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค-สวทช. กล่าวว่า ทีมนักวิจัยจากเนคเทค-สวทช. ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนา “ชุดซอฟต์แวร์ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือดออก ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งมีการนำไปใช้งานกว่า 5 ปี และในปี พ.ศ. 2563 ได้ร่วมกันต่อยอด ทันระบาด ไปสู่ภาคประชาชน ภายใต้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “รู้ทัน” เพื่อสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน และพื้นที่ที่สนใจ โดยแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก แต่ยังรวมถึง สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด และพร้อมขยายผลสู่ความเสี่ยงสุขภาพอื่นๆ ต่อไป” ซึ่งประชาชนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้แล้ววันนี้                                        ///////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักวิจัยไบโอเทค สวทช. และ มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นพบแนวทางการผลิตวัคซีนในกุ้งทะเลจากองค์ความรู้เรื่อง cvcDNA ที่กุ้งสร้างเลียนแบบสารพันธุกรรมของไวรัส
For English-version news, please visit : Breakthrough discovery made on shrimp viral defense mechanism ประเทศไทยผลิตกุ้งเลี้ยงประมาณ 400,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดของประเทศ โดยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกสูงถึง 8.15% แต่อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากจากการระบาดของโรคต่างๆ ในกุ้ง สร้างความสูญเสียมากถึง 60% ของผลผลิตในประเทศ โดยการติดเชื้อไวรัสถือเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) นำโดย ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ หัวหน้าทีมวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ และดร.ศุภรัตน์ แตงชัยภูมิ หัวหน้าโครงการวิจัย สังกัดกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำแบบบูรณาการ และทีมวิจัยจากหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ภายใต้การให้คำปรึกษาของ ศ.ดร. ทิมโมที เฟลเกล ที่ปรึกษาอาวุโสของ สวทช. ได้ค้นพบองค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกลไกของระบบการป้องกันตัวของกุ้งจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาเรื่องนี้มามากกว่า 1 ทศวรรษ ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ หัวหน้าทีมวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพสัตว์น้ำแบบบูรณาการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า เมื่อกุ้งมีการติดเชื้อไวรัส กุ้งจะสร้างโมเลกุลชนิดหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า circular viral copies DNA หรือ cvcDNA ซึ่งจะเป็นการเลียนแบบสารพันธุกรรมของไวรัส กุ้งจะสร้างรูปแบบของ cvcDNAs ที่หลากหลาย ซึ่งพบว่าถ้ามีการแยกเอา cvcDNAs ต่อเชื้อไวรัสนี้ออกมาจากกุ้งติดเชื้อ และฉีดเข้าไปในกุ้งปกติที่ไม่ติดเชื้อ โมเลกุล cvcDNAs เหล่านี้จะทำหน้าที่เหมือนวัคซีนที่สามารถป้องกันไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนในกุ้งปกติ เมื่อกุ้งปกติมีการติดเชื้อไวรัสได้ ผลงานวิจัยนี้ก่อให้เกิดแนวคิดใหม่ในการสร้างวัคซีนสำหรับกุ้ง คือการผลิตโมเลกุล cvcDNAs ต่อเชื้อไวรัสของกุ้งขึ้นในหลอดทดลองและผลิตในปริมาณมากขี้น เพื่อนำมาใช้ผสมอาหารกุ้งและนำไปให้กุ้งกินเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสของกุ้งในบ่อเลี้ยง ด้าน ดร.ศุภรัตน์ แตงชัยภูมิ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทีมวิจัยยังได้ค้นพบองค์ความรู้ใหม่ที่ยังไม่เคยมีผลการศึกษามาก่อน คือ กุ้งสามารถสร้างโมเลกุล cvcDNAs ต่อเชื้อไวรัสได้จากข้อมูลสารพันธุกรรมของไวรัสที่แทรกอยู่ในจีโนมของกุ้งที่เรียกว่า endogenous viral elements (EVEs) มาใช้เป็นต้นแบบได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีผลงานการวิเคราะห์จีโนมที่สมบูรณ์ของกุ้งทะเลทั้งกุ้งกุลาดำ (Penaeus monodon) และกุ้งขาว (Penaeus vannamei) โดยนักวิจัยต่างประเทศและในประเทศไทย พบว่ามีข้อมูล EVEs หลายชนิดแทรกอยู่ในจีโนมของกุ้งทะเลเป็นจำนวนมาก ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลไกการจดจำไวรัสของกุ้ง และที่สำคัญ EVEs เหล่านี้สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้ตามลักษณะการถ่ายทอดทางพันธุกรรมตามกฏของเมนเดล (Mandelian Inheritance) ทำให้ทีมวิจัยตั้งสมมติฐานในการทำงานวิจัยเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งที่มี EVEs ที่สามารถสร้าง cvcDNA ต่อเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรง เช่น ไวรัสตัวแดงดวงขาว เพื่อให้ได้กุ้งสายพันธุ์ที่ได้มีความทนต่อเชื้อไวรัสและเชื้อไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในสายพันธุ์กุ้งนี้ได้ ดร.กัลยาณ์ ให้ข้อมูลเสริมว่า ทีมวิจัยตระหนักว่าความยากของงานวิจัยนี้คือการวิเคราะห์หา EVEs ต่อเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาวที่มีอยู่หลายชนิดและหลายรูปแบบในจีโนมของกุ้ง ว่า EVEs ชนิดใดเป็น EVEs ที่เป็นต้นแบบที่เหมาะสม (protective EVEs) ที่ควรต้องมีในสายพันธุ์ทนไวรัสที่จะสร้างขึ้น ถ้าทราบ ก็จะสามารถตรวจหาพ่อแม่พันธุ์ที่มี protective EVEs ดังกล่าว เพื่อนำมาสร้างลูกพันธุ์ที่ได้รับการถ่ายทอด EVEs นั้นๆ ที่สามารถทนต่อการติดเชื้อไวรัสได้ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ในการฉีด protective EVEs เข้าไปในรังไข่ของแม่กุ้ง และตรวจหาลูกพันธุ์ที่ได้รับการถ่ายทอด  protective EVEs เหล่านั้นด้วย ซึ่งการค้นพบองค์ความรู้ดังกล่าวเป็นประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งทะเลทนการติดเชื้อไวรัสโดยใช้กลไกตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองในกุ้ง นอกจากนี้ผลงานวิจัยดังกล่าวยังสามารถประยุกต์ใช้ในการสร้างสายพันธุ์ที่ทนต่อการติดเชื้อไวรัสในหนอนไหมและผึ้งที่อยู่ในกลุ่ม arthropod เหมือนกุ้งและเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญด้วย ทีมวิจัยขอขอบพระคุณทุนวิจัยที่ได้รับจากบริษัท Guangdong HAID Group Co., Ltd. (China) และไบโอเทค สวทช. ทีมวิจัยขอขอบพระคุณ Dr. DongHuo Jiang ที่ให้โอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่นี้ พร้อมทั้งให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาตลอดโครงการวิจัย ดร.กัลยาณ์ กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เนคเทค สวทช. ส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม หนุนเยาวชนสร้างสรรค์สื่อดิจิทัล ผ่านแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ (NAVANURAK)
นวนุรักษ์ (NAVANURAK)  คือ แพลตฟอร์มเพื่อการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้ชุมชนหรือหน่วยงานสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ให้ข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพท้องถิ่น ยังคงสามารถคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนและเข้าถึงได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อคงไว้ซึ่งองค์ความรู้ของท้องถิ่น ไม่สูญหายไปตามกาลเวลา การผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่กับข้อมูลและเรื่องราวด้านวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทย หากถ่ายทอดผ่านมุมมองและความคิดสร้างสรรค์โดยเยาวชนคนรุ่นใหม่แล้ว ก็จะช่วยกระตุ้นให้เยาวชนเกิดการเรียนรู้และกระตุ้นให้เยาวชนหันมาสนใจที่จะร่วมกันอนุรักษ์วัฒนธรรมและซึมซับเอกลักษณ์ความเป็นไทย จึงเป็นที่มาของการจัดการประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020” ที่ดำเนินงานโดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้เกิดเป็นกิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการเล่าเรื่องผ่านสื่อดิจิทัล โดยนำเสนอเรื่องราว เรื่องเล่า ความประทับใจในความงดงามของวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ภูมิปัญญา และแหล่งท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ ๆ สะท้อนความรู้สึกผ่านคลิปวิดีโอแนวสร้างสรรค์ เพื่อเชิญชวนและดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย โดยสอดแทรกการนำเสนอระบบนวนุรักษ์ของเนคเทค อันจะทำให้เกิดความเข้าใจในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการจัดเก็บและนำเสนอข้อมูลวัฒนธรรม ะโดยจัดเตรียมพื้นที่แข่งขันการจัดทำคลิปวิดีโอเชิงสร้างสรรค์ ณ “สถาบันไทยเบิ้งโคกสลุงเพื่อการพัฒนา” ต.โคกสลุง อ.พัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี เพื่อให้กลุ่มเยาวชนผลิตคลิปวิดีโอนำเสนอภาพและเรื่องราวของชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ผ่าน 6 ฐานการเรียนรู้ ประกอบด้วย ทอผ้า, ทอเสื่อ, ของเล่นจากใบตาล, ทำพวงมะโหตร นายสุข สุขสลุง, ทำพริกตะเกลือ นายวิเชียร ยอดสลุงและขนมเบื้องไทยเบิ้ง ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020” คือ ผลงาน “ขอบคุณ ณ โคกสลุง” โดยทีม “BLACK LIGHT” จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ นายภัทร์นิธิ กาใจ (น้องอาร์ท)  นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ตัวแทนจากทีม BLACK LIGHT เล่าให้ฟังว่า ตนและเพื่อนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแพลตฟอร์มนวนุรักษ์นี้มาบ้างแล้ว ในตอนนั้นเรียนอยู่ประมาณปี 2 ถือเป็นรุ่นแรกที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้จัดการเรียนการสอนวิชานี้ขึ้นมา โดยมี นักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นอาจารย์ผู้สอน ซึ่งอาจทำให้เป็นข้อดีเมื่อได้มาร่วมโครงการประกวดฯ ครั้งนี้ สามารถนำความรู้ความเข้าใจเดิมที่เคยได้เรียนในตอนนั้นมาประยุกต์ใช้ทำโครงการได้ง่ายขึ้น น้องอาร์ท เล่าต่อว่า หลังจากที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้อ่านรายละเอียด กฎเกณฑ์ กติกาแล้ว ซึ่งประกอบด้วยการส่งคลิปวิดีโอเพื่อใช้สำหรับเป็น Presentation แนะนำตัวของทีม เล่าถึงที่มาของการรวมตัวเป็นทีม backlight ซึ่งทีมเรามี 4 คน แต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เช่น เป็นช่างภาพ คนทำตัดต่อ คิด เนื้อหา (content) หลังจากนั้น เมื่อประกาศผลการคัดเลือกทีมเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อลงพื้นที่และทำ workshop และเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งช่วงเวลานั้นทำให้ตนและเพื่อนได้เห็นถึงการทำงานในรูปแบบต่างๆของแต่ละทีม ทั้งในเรื่องการวางแผนการทำงาน กระบวนการคิด และการร่วมมือกันทำงานเป็นทีม  และได้มองกลับมาในส่วนของทีมเราซึ่งเป็นทีมจากทางภาคเหนือเพียงทีมเดียวที่เข้าร่วมแข่งขัน และไม่มีผลงานที่เคยส่งประกวดมาก่อน เลยยอมรับว่าทำให้ทีมมีความประหม่าเพราะได้เห็นเพื่อน ๆ จากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ  แต่สุดท้ายพวกเราก็ตั้งใจทำให้เต็มที่สุดความสามารถจนประสบความสำเร็จในการแข่งขันในครั้งนี้ และอีกเรื่องที่ประทับใจ คือ เมื่อทีมเราได้ลงพื้นที่ สถาบันไทยเบิ้งโคกสลุงเพื่อการพัฒนา พวกเราก็ได้รับการต้อนรับจากชุมชนอย่างอบอุ่น และมีไกด์ชุมชนพาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็น unseen ทำให้ได้รู้จักสถานที่ใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งตนและเพื่อนไม่เคยมีโอกาสได้เห็นหรือสัมผัสอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนหัวข้อที่ทีมเราได้รับคือการนำเสนอเรื่อง “ขนมเบื้องไทยเบิ้ง” ก่อนหน้านี้คิดว่าเป็นขนมเบื้องทั่วไป ที่เห็นขายกันตามงานเทศกาลต่าง ๆ และตามตลาดนัดทั่วไป แต่ในความเป็นจริง เมื่อได้เรียนรู้ กลับกลายเป็นขนมเบื้องในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการทำขนมเบื้อง ที่มา หรือแม้แต่รายละเอียดที่สามารถทำให้เล่าเรื่องได้มากมาย ยกตัวอย่าง “คุณป้าที่ทำขนมเบื้องเล่าให้ฟังเป็นเกร็ดความรู้ว่า เมื่อก่อนนี้การทำขนมเบื้องจะไม่ใช้น้ำมัน จะใช้ใบมะเขือแทน เพราะว่าคนสมัยก่อนไม่ซื้อน้ำมันปรุงอาหาร และเป็นขนมที่ทำกินได้ทุกบ้าน เพราะใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในครัวเรือนอยู่แล้ว เช่น ข้าวสาร เครื่องโม่แป้ง ก็สามารถทำได้แล้ว” ทำให้เห็นวิถีชีวิตและอาหารของคนสมัยก่อน เป็นการใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นและกรรมวิธีแบบครัวเรือนในการประกอบอาหาร ซึ่งมีต้นทุนไม่สูง ทั้งหมดนี้ทีมเราต้องนำเสนอในรูปแบบสื่อ VDO มีความยาว 5 นาที และได้ปรึกษากับทีมว่าควรจะตั้งชื่อผลงานอย่างไรให้ครอบคลุม สามารถสื่อถึงเรื่องราวที่จะนำเสนอได้  สรุปความเห็นตรงกันได้ชื่อว่า “ขอบคุณนะโคกสลุง” เพื่อเป็นสิ่งที่แทนคำขอบคุณ รวมถึงความประทับที่อยากบอกให้คนที่ได้รับชมคลิปวิดีโอนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)สวทช. กล่าวว่า “นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม  หรือ แพลตฟอร์มคลังข้อมูลวัฒนธรรมเพื่อการอนุรักษ์มรดกไทย  ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการคลังข้อมูลวัฒนธรรมดิจิทัล  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ  โดยข้อมูลวัฒนธรรมที่จัดเก็บต้องสนับสนุนบริการข้อมูลในลักษณะโครงสร้างแบบเปิด  “Open Data”  เพื่อให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล นำไปต่อยอดสร้างประโยชน์ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของการใช้องค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์  เชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ  เพื่อรังสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการรูปแบบใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง  สามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวผ่านระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้  เช่น  การท่องเที่ยวเชิงอาหาร การท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งเนคเทคสวทช. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการ เพื่อช่วยชุมชนพัฒนาสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน” แพลตฟอร์ม NAVANURAK  ผู้สนใจสามารถติดตามชมผลงานชนะเลิศการประกวดเรื่องเล่า “NAVANURAK Story Creator Challenge 2020” ของทีม backlight และผลงานจากเยาวชนทีมอื่นๆ พร้อมค้นหาข้อมูลทางวัฒนธรรมจากแหล่งต่างๆ ที่น่าสนใจจากทั่วประเทศได้ที่เว็บไซต์ http://www.navanurak.in.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘บ้านวิทยาศาสตร์สิริธร’ จากศูนย์กลางการเรียนรู้ สู่ภารกิจโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการ
โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ พร้อมให้บริการสำหรับคนพิการที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย (ระดับสีเขียว) ถูกเนรมิตขึ้นเพื่อรองรับคนพิการได้ถึง 224 เตียง ในวิกฤติการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19 ระลอกเมษายน และเปิดให้บริการแล้วเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 เหตุผลที่ต้องมีโรงพยาบาลสนามเพื่อคนพิการนั้น หากใครมีญาติสนิทมิตรสหาย ที่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว พิการทางการได้ยิน พิการทางสายตา หรือพิการด้านใดก็ตาม คนพิการเหล่านั้นมีความจำเป็นที่ต้องมีผู้ดูแลใกล้ชิดเป็นปกติในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เกิดขึ้นการมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และความเหมาะสมของสถานที่ ที่มีความพร้อมสรรพด้วยนวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่คนพิการให้สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุดนั้น ถือว่ามีความจำเป็นไม่น้อยในภาวะที่ผู้ดูแลต้องเว้นระยะห่างจากพวกเขา การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ (Sirindhorn Science Home Field Hospital for People with Disabilities (PWD) ได้บูรณาการความเชี่ยวชาญของ 3 กระทรวง คือ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ตั้งใจผนึกความเชี่ยวชาญกันร่วมสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนพิการไปพร้อมๆ กับช่วยประเทศหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลอนุมัติให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสร้างขึ้น ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ในขณะนั้น) โดย สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อ “บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” (Sirindhorn Science Home: SSH) เพื่อดำเนินโครงการค่ายวิทยาศาสตร์ถาวร (Permanent Science Camp) เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชนผู้มีความสนใจและมีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรม มีห้องพักสำหรับพักค้างแรม และพื้นที่นันทนาการ ซึ่งมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับที่คนพิการสามารถใช้งานได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้บทบาทหน้าที่ของ 3 กระทรวงในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ได้บูรณาการบทบาทหน้าที่เพื่อรองรับการดูแลทั้งคนพิการและครอบครัว ด้วยระบบการให้บริการที่อาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและลดการสัมผัสระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ กับผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีภารกิจสำคัญที่ดำเนินการอย่างเข้มแข็ง ดังนี้ 1.ด้านอาคารสถานที่และการจัดสภาพแวดล้อม และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ สนับสนุนโดย กระทรวง อว. สวทช. เพื่อดำเนินภารกิจการจัดการ ด้านระบบเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในระหว่างรักษาตัวภายในโรงพยาบาลสนาม ได้แก่ อุปกรณ์ป้องกันและลดการแพร่กระจายเชื้อโรค ประกอบด้วย หน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie Plus) หน้ากากอนามัย N95 n-Breeze หมวกควบคุมแรงดันลบสำหรับผู้ติดเชื้อ และหมวกควบคุมแรงดันบวกสำหรับบุคลากร (nSPHERE Pressurized Helmet) เทคโนโลยี ลดการแพร่กระจายเชื้อโรค ประกอบด้วย ระบบลิฟต์ไร้สัมผัส (Magik Tuch) เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย (PETE เปลปกป้อง) เครื่องฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilzer) และเทคโนโลยีการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยโรคและอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ระบบตรวจสุขภาพผู้ป่วยทางไกล สำหรับโรงพยาบาลสนาม (A-MED TeleHealth) เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลเคลื่อนที่ได้ (BodiiRay M) ระบบ TTRS บริการล่ามทางไกลสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน และรถส่งของบังคับทางไกล ‘อารี’ และ ‘ปิ่นโต 2’ ซึ่ง อันหลังนี้ได้รับการสนับสนุนจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ เพื่อใช้สำหรับส่งของให้ผู้ป่วยโควิด-19 2.ด้านการแพทย์ อุปกรณ์การตรวจรักษา/เวชภัณฑ์ และหลักสูตรการอบรมเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สนับสนุนโดย สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ในการดำเนินภารกิจหลักในการรักษาอาการป่วยบนฐานของการเชื่อมประสานระบบเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของคนพิการ และ 3.ภารกิจด้านสวัสดิการสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ และสิ่งของอุปโภคบริโภค สนับสนุนโดย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวง พม. ทำหน้าที่ในการประสาน ส่งต่อ และให้ความช่วยเหลือด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการในระหว่างที่คนพิการและครอบครัวพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนาม รวมถึงวางแผนการให้ความช่วยเหลือและติดตามภายหลังคนพิการและครอบครัวหายจากอาการป่วยและปลอดเชื้อโรคโควิด-19 เดินทางกลับสู่ครอบครัวและชุมชน โดยในระหว่างที่คนพิการที่ติดโควิด-19 อยู่ในโรงพยาบาลสนามฯ แห่งนี้ ทางกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้เตรียมความพร้อมด้านสวัสดิการสังคม เช่น เครื่องอุปโภค บริโภค เครื่องใช้ส่วนตัวฯลฯ และได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดบุคลากรที่ผ่านการอบรมเกี่ยวกับการรับ-ส่ง คนพิการที่ติดโรคโควิด-19 มาร่วมปฏิบัติงานด้วย ทั้งนี้สามารถประสานแจ้งข้อมูลเบื้องต้นได้ที่สายด่วน 1668 สายด่วนศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 และสายด่วนคนพิการ 1479 เพื่อประสานส่งต่อคนพิการ ครอบครัว และผู้ดูแลเพื่อเข้ารับบริการสู่โรงพยาบาลสนามฯ แม้วันนี้ภายในบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร เราอาจไม่เห็นภาพคุ้นตาของเหล่าเยาวชนในห้องเลคเชอร์ที่ยกมือถามวิทยากรนักวิจัยอย่างสนใจใฝรู้ หรือจะเป็นภาพเด็กๆ กำลังจดจ่อส่องกล้องจุลทรรศน์อย่างตั้งใจเพื่อทดลองทางวิทยาศาสตร์ ทว่าศูนย์กลางการเรียนรู้แห่งนี้ ได้กลับมาทำหน้าที่เป็นสถานที่พำนักฟักฟื้นเพียงชั่วคราวจากโรคระบาดครั้งใหญ่ให้แก่คนพิการได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ก่อเกิดจากความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของหลายหน่วยงาน และผู้ให้การช่วยเหลือบริจาคสิ่งของต่างๆ แสดงถึงความรักสามัคคีโดยไม่ทอดทิ้งกัน
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาแบคทีรีโอฟาจ ทำลายเชื้อแบคทีเรียก่อโรคพืชในดิน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ศึกษาและพัฒนา แบคทีรีโอฟาจ (bacteriophage) หรือ ฟาจ (phage) ซึ่งเป็นไวรัสที่มีประสิทธิภาพในการเข้าทำลายเชื้อแบคทีเรียก่อให้เกิดโรคในพืช เพื่อใช้เป็นสารชีวภัณฑ์ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคพืช ทดแทนการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค มุ่งเป้าพัฒนาสูตการเก็บรักษาฟาจให้คงทนต่อสภาพแวดล้อม เพื่อนำไปใช้จริงในพื้นที่เกษตรกรรม โรคเหี่ยวเขียวหรือโรคเหี่ยว (bacterial wilt disease) มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย ราลสโตเนีย โซลานาซีเอรัม (Ralstonia solanacearum) จัดเป็นเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคพืชที่มีความสำคัญมากชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดโรคเหี่ยวกับพืชมากกว่า 200 ชนิด โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจสำคัญ เช่น มะเขือเทศ มะเขือ มันฝรั่ง พริก พริกไทย กล้วย ขิง ถั่วลิสง และยาสูบ เป็นต้น โดยจากสถิติขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โรคเหี่ยวเขียวสร้างความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาททั่วโลก  สำหรับในประเทศไทยพบว่าโรคเหี่ยวเขียวสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตมะเขือเทศและพริกคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 540 ล้านบาทต่อปี เชื้อแบคทีเรียราลสโตเนีย โซลานาซีเอรัม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสามารถอาศัยอยู่ในดิน โดยจะเข้าทำลายพืชทางราก ตามรอยแผลที่เกิดจากการทำลายของแมลง ไส้เดือนฝอย รอยฉีกขาดของราก หรือแผลที่เกิดในธรรมชาติ และสามารถแพร่ระบาดไปกับน้ำได้ดีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกชุกจะมีการระบาดของโรครุนแรงและรวดเร็ว รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียนี้สามารถติดไปกับหัวพันธุ์โดยแอบแฝงอยู่ในหัวพันธุ์และอยู่ข้ามฤดูได้ การป้องกันกำจัดทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากเชื้อสามารถอยู่ในดินได้เป็นเวลานาน ทั้งยังมีพืชอาศัยกว้าง และมีความหลากหลายของสายพันธุ์ ปัจจุบันยังไม่มีสารเคมีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันกำจัด ทำให้เชื้อแบคทีเรียนี้ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งในแหล่งปลูกมะเขือเทศและพริกทั่วประเทศ นับได้ว่าส่งผลกระทบต่อพืชเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก ดร.อุดม แซ่อึ่ง นักวิจัย ทีมวิจัยการวิเคราะห์และประยุกต์ใช้สารชีวโมเลกุล ไบโอเทค ให้ข้อมูลว่า การป้องกันและควบคุมโรคเหี่ยวในปัจจุบันทำได้โดยการทำเขตกรรม เช่น การไถดินและผึ่งดินให้แห้งก่อนการปลูก การปรับสภาพดินด้วยปูนขาว การกำจัดต้นพืชที่แสดงอาการ เป็นต้น ซึ่งการใช้สารเคมีเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก เนื่องจากสารเคมีไม่สามารถเข้าถึงเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในดินได้ ดังนั้นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันและควบคุมโรคเหี่ยวได้ดี คือการใช้แบคทีรีโอฟาจ (bacteriophage) ซึ่งสามารถเข้าทำลายและย่อยสลาย (lysis) แบคทีเรียก่อโรคพืชได้โดยตรง นับเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีศักยภาพสูง ในการป้องกันและควบคุมโรคพืชหลากหลายชนิดรวมทั้งโรคเหี่ยวด้วย ดร.อุดม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการศึกษาร่วมกับ  ดร.อรวรรณ ชัชวาลการพาณิชย์ และทีมวิจัยไวรัสพืชและแบคทีรีโอฟาจ ไบโอเทค พบว่า คุณสมบัติที่สำคัญของแบคทีรีโอฟาจ ซึ่งเหมาะกับการนำมาใช้ควบคุมแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคในพืช คือ แบคทีรีโอฟาจ มีความเฉพาะเจาะจงกับแบคทีเรียแต่ละชนิด (specificity) โดยแบคทีรีโอฟาจจะไม่ทำลายแบคทีเรียที่ไม่ใช่เป้าหมาย ซึ่งหมายความว่า แบคทีรีโอฟาจที่พัฒนาขึ้นนี้จะไม่ทำลายแบคทีเรียชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ที่อยู่ตามธรรมชาติ  และแบคทีรีโอฟาจจะหยุดเพิ่มจำนวนทันที เมื่อเชื้อแบคทีเรียเป้าหมายหมดไป แบคทีรีโอฟาจไม่เป็นพิษต่อพืช สัตว์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นทางเลือกสำหรับการเกษตรแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การใช้แบคทีรีโอฟาจยังคงมีอุปสรรคและปัญหาสำคัญ คือ ความคงทนของแบคทีรีโอฟาจ (phage stability) เมื่อฟาจต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกในสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความเป็นกรดด่าง สภาพเกลือในดิน เป็นต้น โครงสร้างของแบคทีรีโอฟาจอันประกอบด้วยโปรตีนและดีเอ็นเอ จึงแตกสลายได้ง่าย (degradation) จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขปัญหาความคงทนของแบคทีรีโอฟาจ โดยใช้งานวิจัยและเทคโนโลยีทั้งทางชีววิทยา เคมีและฟิสิกส์ อาทิ การศึกษาโครงสร้างของแบคทีรีโอฟาจในสภาวะต่างๆ การศึกษาความแข็งแรงเชิงโครงสร้างของแบคทีรีโอฟาจ การศึกษากลไกการเข้าทำลายเชื้อแบคทีเรียของแบคทีรีโอฟาจ เป็นต้น เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านความคงทนของแบคทีรีโอฟาจ และปัจจัยต่างๆ ที่มีผล โดยองค์ความรู้นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาความคงทนของแบคทีรีโอฟาจให้สูงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการเก็บรักษาแบคทีรีโอฟาจ (storage) เช่น สูตรการเก็บรักษา (storage formulation) และการนำแบคทีรีโอฟาจไปใช้งานจริงในพื้นที่เกษตรกรรม (field utilization) ต่อไปในอนาคต     ///////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์