ผลการค้นหา :
“Smart-BIOact” แพลตฟอร์มค้นหาสารจุลชีพสำคัญ ลดเวลาทำวิจัย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการลงทุน
ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio-based product) เป็นหนึ่งในประเภทของสินค้าที่กำลังมาแรงทั่วโลก เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีการพัฒนาโดยให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพของผู้บริโภค รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ใจสายกรีนไปเต็มๆ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์พบเห็นได้ทั่วไป เช่น อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ ยา อาหารสัตว์ และชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช
แต่การจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ขึ้นมาสักชิ้น ก็ถือเป็นโจทย์หินท้าทายการทำงานของผู้ประกอบการไม่น้อย เพราะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพโดยส่วนใหญ่จะต้องมีการทำวิจัยเพื่อค้นหาสารจุลชีพสำคัญมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง ซึ่งการทำวิจัยจะมีความซับซ้อนสูง ใช้เวลาในการค้นคว้าและทดลองนาน ก่อให้เกิดความล่าช้า และอาจนำมาซึ่งการสูญเสียพื้นที่ทางการตลาด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เสนอทางเลือกใหม่ในการทำวิจัยให้แก่ผู้ประกอบการ เป็นแพลตฟอร์ม “Smart-BIOact” ที่สามารถตอบโจทย์ทุกคำถามสำคัญของการทำวิจัยในแพลตฟอร์มเดียว
ดร.จิตติศักดิ์ เสนาจักร์ นักวิจัยทีมวิจัยชีวศาสตร์และชีววิทยาระบบ (ISST) ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า Smart-BIOact สามารถช่วยผู้ประกอบการในการคัดเลือกสารจุลชีพที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ค้นหาสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดในการเพาะเลี้ยงจุลชีพ รวมถึงสามารถประเมินปริมาณผลผลิตสารเป้าหมายที่จะได้ (Production yield) ภายในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ประกอบการได้มีชุดข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ทางการตลาดก่อนนำไปลงทุนจริง ช่วยลดระยะเวลาในการทำวิจัย และความเสี่ยงในการลงทุน
“Smart-BIOact เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำ มีการนำเทคโนโลยีหลายด้านมาบูรณาการเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจีโนมของจุลินทรีย์ อาทิ AI, Metabolic modeling และ Bioinformatics ฯลฯ ที่สำคัญปัจจุบัน Smart-BIOact เป็นเพียงแพลตฟอร์มเดียวที่สามารถทำงานทั้งหมดนี้ได้แบบ One-stop-service และมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการตลอดการทำวิจัย”
ดร.จิตติศักดิ์ ยกตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Smart-BIOact สามารถเข้าไปช่วยสนับสนุนการเติบโตได้ คือ อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ ที่ทั่วโลกมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 5.5 ล้านล้านบาท (1.8 แสนล้าน USD) ในไทยมีมูลค่าสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท มีอัตราการเติบโตสูงถึงประมาณร้อยละ 5 ต่อปี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ชีวภาพในอุตสาหกรรมอื่น เช่น อุตสาหกรรมยา และอุตสาหกรรมวัสดุ ที่กำลังมีความต้องการของตลาดสูงขึ้นตามนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green) Economy Model ของประเทศอีกด้วย
ดร.จิตติศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า ในตอนนี้ Smart-BIOact พร้อมแล้วที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพใหม่หรือพัฒนากระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม ทั้งในรูปแบบการรับจ้างวิจัย (Contract research) และการให้คำปรึกษา โดยในอนาคตทีมวิจัยยังมีแผนที่จะเปิดให้บริการใช้แพลตฟอร์มในรูปแบบ Subscription และ Licensing อีกด้วย หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่จะช่วยในการค้นหาสารสำคัญ ลดเวลาทำวิจัย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการลงทุน ‘Smart-BIOact’ คือคำตอบ
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ผนึกสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมอุตสาหกรรมด้านระบบรางของไทย
วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดพิธี ลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อความร่วมมือด้านเทคนิค (Memorandum of Understanding (MoU) : Technical Cooperation) ระหว่างสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟ ประเทศญี่ปุ่น (Railway Technical Research Institute: RTRI) ประเทศญี่ปุ่น และ สวทช. ผ่านระบบออนไลน์ โดยมี ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.อิคุโอะ วาตานาเบะ (Dr. Ikuo Watanabe) ประธานสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และ ดร. เทตสุโอะ อุซุกะ (Dr. Tetsuo Uzuka) ผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายต่างประเทศ สถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น
เข้าร่วมในพิธีลงนาม และได้รับเกียรติจาก นายโฮโซโนะ เคสุเกะ (Mr. Hosono Keisuke) เลขานุการเอกด้านดิจิทัล สารสนเทศ เทคโนโลยีการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ร่วมกล่าวคำแสดงความยินดี โดยบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อผลักดันการร่วมมือวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร และการเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพของระบบขนส่งทางราง รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึง 30 มิถุนายน 2567
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. และ RTRI ได้มีการทำงานร่วมกันตั้งแต่ปี 2554 โดย RTRI ได้ให้การสนับสนุนการจัดฝึกอบรม “หลักสูตรวิศวกรรมระบบขนส่งทางราง (วศร.)” รวมถึง การร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการและนิทรรศการ “อุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย (The Thai Rail Industry Symposium and Exhibition: RISE) ตั้งแต่ปี 2559 จนนำมาสู่พิธีการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมมือด้านเทคนิคครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างและขยายความร่วมมือของสองหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างด้านการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และการพัฒนาบุคลากรวิจัย ซึ่งเป็นพันธกิจของ สวทช. และเป็นกลไกสำคัญต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศตามนโยบายภาครัฐ ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ของอาเซียน รวมถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมกับกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ดร.อิคุโอะ วาตานาเบะ (Dr. Ikuo Watanabe) ประธานสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ สวทช. เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาระบบรางในประเทศไทย ดังนั้นการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง RTRI และ สวทช. จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกเหนือจากความร่วมมือทางด้านการวิจัยและพัฒนาที่จะดำเนินการกันแล้ว RTRI ยังสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่นำไปสู่การยกระดับมาตรฐานด้านการขนส่งระบบรางในกลุ่มประเทศเอเชียด้วย
นายโฮโซโนะ เคสุเกะ (Mr. Hosono Keisuke) เลขานุการเอกด้านดิจิทัล สารสนเทศ เทคโนโลยีการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า ระบบการขนส่งทางรางเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย ซึ่งประเทศไทยได้มีความก้าวหน้าในระบบขนส่งทางอย่างชัดเจน จะเห็นได้จากมีการเปิดการเดินรถไฟสายใหม่ทุกปี และได้ใช้เทคโนโลยีรถไฟของประเทศญี่ปุ่นในระบบรถไฟฟ้าชานเมืองทั้งสายสีม่วงและสายสีแดง สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จึงขอแสดงความยินดีกับ RTRI และ สวทช. ที่จะมีความร่วมมือในด้านระบบขนส่งทางราง ผ่านบันทึกความเข้าใจฯ นึ้
สวทช. ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับความต้องการใช้งานในระบบขนส่งทางมาโดยตลอด จึงได้จัดตั้ง ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Rail and Modern Transports Research Center : RMT) ซึ่งเป็นหน่วยงานในรูปแบบศูนย์วิจัยและพัฒนาเฉพาะทาง (Focus Center) ในปี 2563 เพื่อรับผิดชอบดำเนินการวิจัยและพัฒนาที่มีเป้าหมายในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความพร้อมสำหรับใช้งานในภาคอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางและการขนส่งสมัยใหม่ อาทิ การพัฒนาเทคโนโลยีการซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ การพัฒนาเทคนิคการตรวจสอบแบบอัตโนมัติสำหรับรถไฟ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนทดแทนเพื่อการใช้งานในรถไฟ และการสร้างฐานข้อมูลเพื่อการวางแผนซ่อมบำรุงรถไฟ รวมถึง การพัฒนาเทคโนโลยีการขนส่งเชื่อมต่อเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเข้าสู่การใช้งานระบบขนส่งทางรางหลัก
ในส่วนของมาตรฐานและการทดสอบ สวทช. ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบที่มีขีดความสามารถด้านการทดสอบและตรวจสอบผลิตภัณฑ์และสินค้าให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้สร้างระบบ และผู้ให้บริการเดินรถไฟในประเทศ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อรองรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของระบบขนส่งทางรางของประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอ็มเทค สวทช. ส่งโนฮาว นวัตกรรม ‘เปลความดันลบ’ ให้ บ.สุพรีร่าฯ ผลิตสู้ศึกการระบาดโควิด-19 โรคอุบัติใหม่
(30 มิถุนายน 2564) ที่ห้องประชุม 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงาน PETE (พีท) เปลปกป้อง หรือ ‘เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19’ แบบออนไลน์ ระหว่าง เอ็มเทค สวทช. กับ บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด
พร้อมได้มอบเปลความดันลบ ให้แก่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เพื่อใช้ในภารกิจการแพทย์ฉุกเฉิน โดยมี ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. ดร.นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) นายไกร กาญจนวตี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ทีมวิจัยเอ็มเทค เข้าร่วมงาน
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช. ได้สร้างนวัตกรรม‘PETE (พีท) เปลปกป้อง’ หรือเปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 โดยออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะ แข็งแรง ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 สามารถนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกน (CT Scan) ปอดผู้ป่วย ขณะอยู่บนเปลเพื่อคัดกรองอาการในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยวันนี้ เอ็มเทค สวทช. จัดพิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงาน PETE (พีท) เปลปกป้อง หรือ ‘เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19’ ให้กับ บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด เป็นรายแรกและรายเดียว
โดยได้รับถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากงานวิจัยไปผลิตในเชิงพาณิชย์ ถือเป็นการผลักดันให้ผลงานวิจัยถูกนำไปสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ สอดคล้องกับบทบาทและภารกิจของ เอ็มเทค สวทช. ซึ่งมีเป้าหมายใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรม ให้สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง นอกจากนั้นแล้วในวันนี้ทีมวิจัยเอ็มเทคร่วมกับบริษัท ได้ส่งมอบเปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 1 ชุด ให้แก่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ หรือ สพฉ. เพื่อนำใช้งานในภารกิจการแพทย์ฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าการระบาดของโรคโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัดทำงานอย่างหนัก รับหน้าที่เป็นเสมือนด่านหน้าในการต่อสู้กับโรค จึงจำเป็นต้องได้รับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดยเปลความดันลบที่ เอ็มเทค สวทช. พัฒนาขึ้นนอกจากจะตอบโจทย์สำหรับเป็นอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 ไปในแต่ละจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยแล้ว ยังมีราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศถึง 3 เท่า ซึ่งได้ใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นกลไกในการยกระดับความสามารถอุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ของรัฐบาล
นายไกร กาญจนวตี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท สุพรีร่าฯ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมลงนามในสัญญาอนุญาตให้สิทธิใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยเปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยยินดีเข้ามารับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมนี้ พร้อมกับสิทธิเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว ด้วยประสบการณ์ในการให้บริการด้านเครื่องมือแพทย์ รวมถึงรถฉุกเฉิน รถพยาบาลแก่สถานพยาบาลทั่วประเทศมากว่า 30 ปี จึงมีความพร้อมในด้านการให้บริการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ และพร้อมที่จะร่วมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยฝีมือคนไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากล
“เราทราบว่าเปลความดันลบนี้เป็นผลงานวิจัยที่ทาง เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานเป็นอย่างหนักในการลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากผู้ใช้ และแก้ปัญหาด้านที่มีอยู่ของอุปกรณ์ชนิดเดียวกันนี้ที่มีอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้งานร่วมกับรถพยาบาล การเข้าเครื่อง CT Scan การออกแบบวิธีการทำความสะอาดรวมไปถึงการใช้อะไหล่และวัสดุที่มีอยู่ในประเทศ” สำหรับแผนการผลิตและจำหน่ายบริษัท สุพรีร่าฯ จะขอเป็นส่วนหนึ่งในฐานะคนไทยที่จะร่วมกันพัฒนาเครื่องมือแพทย์จากฝีมือคนไทย 100% ให้ได้มาตรฐานระดับสากล มีราคาที่จับต้องได้และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่สมเหตุสมผล เพื่อสนับสนุนงานวิจัยไทยและลดการพึ่งพาเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศ ซึ่งนวัตกรรมเปลความดันลบที่เอ็มเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ทำให้เห็นบทเรียนสำคัญว่าการระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้ในด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และน่าจะเป็นหนทางที่ยั่งยืนและมั่นคงที่สุด
ด้าน ดร.นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยผลงานวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการเครื่องมือแพทย์สำหรับใช้ในประเทศนั้น สพฉ. ในฐานะหน่วยงานที่ใช้ประโยชน์มีความยินดีที่ได้อุปกรณ์นี้มาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางแพทย์ และเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉินในภารกิจการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยเฉพาะในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงมีความรุนแรงอยู่ ซึ่งนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก จนถึงระลอกล่าสุด สพฉ. ให้การปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน ร่วมกับกรมการแพทย์ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และศูนย์เอราวัณ กทม. ในการนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จากบ้านไปยังโรงพยาบาลสนามของหน่วยงานต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยผลการปฏิบัติงานระลอกล่าสุดตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน จนถึง 19 มิถุนายน 2564 นำส่งผู้ป่วยไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 7,500 ราย เป็นทีมปฏิบัติการทั้งสิ้น 139 ทีม ซึ่งหากแบ่งโรงพยาบาลปลายทางที่รับผู้ป่วยโควิด-19 มากที่สุดคือ โรงพยาบาลบุษราคัม จำนวนกว่า 2,000 ราย รองลงมาคือโรงพยาบาลสนามวัฒนา Factory ประมาณ 900 ราย และโรงแรมบางกอกชฎา 700 ราย ขณะที่ศูนย์นิมิบุตรรับผู้ป่วยไปรักษาแล้วประมาณ 600 ราย
“ในขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย นอกเหนือจากการมีบุคลากรเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ ตลอดจนรถพยาบาลที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตตามมาตรฐานสากลแล้ว สพฉ. เห็นความจำเป็นและประโยชน์ในการใช้งานอุปกรณ์เปลความดันลบรูปแบบนี้อย่างยิ่ง เพราะสามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากจุดเกิดเหตุไปถึงจุดรักษา ไม่ว่าจะเป็นห้องฉุกเฉิน หรือเครื่อง CT scan ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนทั่วไปได้แล้ว ยังสามารถลดภาระ เวลา และค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดอุปกรณ์ได้อีกด้วย”
รองเลขาฯ สพฉ. กล่าวด้วยว่า เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากอุปกรณ์นี้สามารถกระจายไปใช้อย่างแพร่หลาย โดยติดตั้งไปพร้อมรถพยาบาลตั้งแต่ขั้นตอนเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการใช้งานภายในสถานพยาบาล จะช่วยให้ระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินจากจุดเกิดเหตุและระหว่างนำส่งโรงพยาบาล จนไปถึงขั้นตอนการรักษาเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์
เสวนาออนไลน์ “การเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุเหลือใช้จากความหลากหลายทางชีวภาพและผลิตภัณฑ์ชุมชนตามแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG”
"อ๊ะ อ๊ะ อย่าพึ่งทิ้ง ❗❗...... นำเศษวัสดุเหลือใช้นำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่ากันดีกว่า😃......
.....ร่วมเสวนากับวิทยากรที่สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนในการเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุเหลือใช้จากความหลากหลายทางชีวภาพ
และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ♻🌎……
💚 BioD Talk Episode#2
🍀 เสวนา : การเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุเหลือใช้จากความหลากหลายทางชีวภาพและผลิตภัณฑ์ชุมชนตามแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
🗓 วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564
🕑 เวลา 14.00 - 15.30 น.
💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ
✔️ วัสดุเหลือใช้จากเมนูอาหารยอดฮิต “จักจั่นทะเล” สู่การแปรรูปเป็นอาหารเลี้ยงปลาช่อนทะเล
✔️ พลิกวิกฤต เป็นโอกาส ฟื้นคืนวิถีชีวิตชุมชนในช่วงสถานการณ์โควิด–19 ด้วยทุนทางธรรมชาติ
✔️ พลาสติกชีวภาพจากเศษวัสดุเหลือใช้
.......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร
🔈 เสวนาออนไลน์ฟรี❗
🖥 เสวนาออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Webex Meeting
📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง Link 👉🏻 https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=mb7ef1288500e9368884b84fec0edfcf7
Meeting number: 184 033 2108 Password: RkBFpbGx788
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : Sunthari.sueakham@nstda.or.th (สุนทรีย์), Pornpong.nar@nstda.or.th (พรพงษ์)
ปฏิทินกิจกรรม
🛑(Facebook Live) พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงทางด้านเทคนิค (Technical Copperation) ระหว่างสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น (Railway Technical Research Institute : RTRI) ประเทศญี่ปุ่น และ สวทช.
รับชม Facebook Live พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงทางด้านเทคนิค (Technical Copperation) ระหว่างสถาบันวิจัยเทคนิครถไฟประเทศญี่ปุ่น (Railway Technical Research Institute : RTRI) ประเทศญี่ปุ่น และ สวทช. เพื่อผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมอุตสาหกรรมด้านระบบราง ประกอบด้วย ด้านการวิจัยและพัฒนา ด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล
วันที่ 1 กรกฎาคม 2564
เวลา 09.00-09.30 น.
Facebook: NSTDA-สวทช. (คลิก)
ปฏิทินกิจกรรม
งานสัมมนาออนไลน์ “พลิกเกมส์ธุรกิจอาหารให้พ้นวิกฤต ด้วยเทรนด์บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต”
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ SMEs เข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์
หัวข้อ : พลิกเกมส์ธุรกิจอาหารให้พ้นวิกฤต ด้วยเทรนด์บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต
Highlight:
- เคล็ดลับการใช้บรรจุภัณฑ์ ยกระดับสินค้า และเพิ่มมูลค่า ให้ธุรกิจฝ่าวิกฤต
- อัพเดท นวัตกรรมและเทรนด์ในอนาคตของบรรจุภัณฑ์สำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
กลุ่มเป้าหมาย :
กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ผู้ผลิตอาหารแปรรูป อาหารพร้อมทาน-พร้อมปรุง ร้านอาหาร และ Food Delivery
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2564 เวลา 14.00-15.30 น.
วิทยากร :
1) คุณชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด
2) คุณปฐมพงศ์ ดีปัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพ็คเวิร์คส์ จำกัด (Dezpax)
3) ดร.วิชชุดา เดาด์ หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ผู้ดำเนินรายการ : คุณกุลวัชร ภูริชยวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ ออริจินัล ฟาร์ม จำกัด (ร้านอาหารญี่ปุ่น โชนัน)
ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.00 น.
https://forms.office.com/r/tpyPsAK5Ub
สามารถเข้ารับฟังสัมมนาออนไลน์ ผ่าน Cisco Webex Meeting
(แจ้งยืนยันการสมัครและลิงก์เข้าร่วมฟังงานสัมมนาออนไลน์ทางอีเมล์ ในวันที่ 6 กรกฎาคม 2564)
รับจำนวนจำกัด 120 บริษัท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : (เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 18.00 น.)
1. คุณอุดมเดช ยอดชีวัน โทร 085-111-4237 udomdej@scb.co.th
2. คุณพฤทธิพร วัชกรอมรไชย โทร 063-261-1344 pruttiporn.watchagornamornchai@scb.co.th
หมายเหตุ
• ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการรับสมัครผู้เข้าร่วมสัมมนาตามลำดับเท่านั้น
• ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและหลักสูตรสัมมนา
• เมื่อท่านให้ข้อมูลข้างต้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารติดต่อกลับ ท่านรับรองว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นของท่านจริงและยินยอมให้ธนาคารเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลข้างต้นในการติดต่อท่านเพื่อให้คำปรึกษาทางการเงินและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของธนาคารที่ท่านอาจจะสนใจ โปรดอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกาศนโยบายความเป็นส่วนตัวของธนาคารอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจถึงวิธีการที่ธนาคารเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านและสิทธิของท่าน ได้ที่ https://www.scb.co.th/.../personal.../privacy-notice.html
• เว็บไซต์สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) https://www.nstda.or.th/home/
ปฏิทินกิจกรรม
นาโนเทค สวทช. ส่งมอบหน้ากากอนามัย n-Breeze M03 จำนวน 10,000 ชิ้น ให้กับ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง โดยความร่วมมือจาก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ส่งมอบหน้ากากอนามัย n-Breeze M03 จำนวน 10,000 ชิ้น ด้วยร่วมมือจาก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ โดย ดร.วรล อินทะสันตา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน และคุณสมชัย กลิ่นสุวรรณมาลี ผู้จัดการส่วนกิจการเพื่อสังคม เพื่อการใช้งานด้านสาธารณประโยชน์และการประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีต่อเศรษฐกิจและสังคม ณ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระยอง โดยมี นพ.อรรถพล ศรีวัฒนะ รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ 2 เป็นผู้รับมอบ
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ให้ความอนุเคราะห์ นวัตกรรมเครื่องกำจัดเชื้อโรค ด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี
(25 มิ.ย. 64) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และทีมวิจัย ให้ความอนุเคราะห์นวัตกรรมเครื่องกำจัดเชื้อโรค ด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสก่อโรคโควิด-19 จำนวน 1 เครื่อง ให้กับนายนิติชัย วิริยานนท์ นายอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมทีมงาน เพื่อนำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อำเภอคลองหลวง เพื่อลดการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดปฐมนิเทศโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ปี 2564 ลดเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างยั่งยืน
25 มิถุนายน 2564 อาคารสราญวิทย์ ชั้น 6 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จัดพิธีปฐมนิเทศโครงการ ไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ประจำปี 2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์แบบออนไลน์ขึ้น โดยมีหน่วยงานพันธมิตรทั้งจากภาครัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอนและช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการ สวทช. และ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า โครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ เป็นโครงการที่ดำเนินงานตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีความห่วงใยต่อโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในด้านการศึกษา ซึ่งมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ร่วมกับ สวทช. ดำเนินโครงการนำร่องการบริหารระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบ ค้นหาแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยจุดเริ่มต้นโครงการมาจากพระราชกระแสว่า โรงเรียนในพื้นที่ชายขอบยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งเมื่อเขามีไฟฟ้าใช้จะทำให้มีโอกาสด้านการเรียนมากขึ้น เด็กก็จะมีคอมพิวเตอร์ใช้ มีแท็บเลตใช้ และโรงเรียนก็มีช่องทางสื่อสารกับเรามากขึ้น การสื่อสารที่ดีทำให้สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งด้านความรู้ ด้านการแพทย์ การอาชีพและอื่น ๆ
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. และ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ และ สวทช. ได้ดำเนินโครงการไอซีทีเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับชุมชนชายขอบฯ มาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ได้ก้าวสู่ระยะที่ 3 แล้ว มีเป้าหมายเพื่อการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบโทรมาตร ระบบโทรคมนาคมเพื่อการสื่อสารและระบบแอปพลิเคชั่นเพื่อการจัดการเรียนการสอน มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 23 แห่ง คือ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 14 แห่ง ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวง จำนวน 8 แห่ง และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1 แห่ง โดยมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนการดำเนินงานด้านการบำรุงรักษาระบบผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และระบบโทรมาตร และบริษัทแอดวานซ์ อินโฟว์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ให้การสนับสนุนด้านระบบโทรคมนาคมเพื่อการสื่อสาร
ที่ผ่านมา มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ร่วมกับ สวทช. จัดกิจกรรมต่อยอดการใช้ประโยชน์จากระบบไอซีที ที่ได้ดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ โดยมีเป้าหมายสำคัญ 4 ประการคือ 1. เพื่อการพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพครู ตชด. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีที 2. เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพด้านการตลาดดิจิทัล (มีพื้นที่นำร่อง 1 แห่ง) 3.เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการการพบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และ 4. เพื่อส่งเสริมศักยภาพชุมชนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเรื่อง “การผลิตไฟฟ้าส่องสว่างด้วย LED แบบพึ่งพาตนเอง”
ในปี 2564 นี้ โครงการได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานพันธมิตรเพื่อจัดกิจกรรม ประกอบด้วย กองทุนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทยร่วมเป็นคณะทำงาน ให้คำปรึกษาและติดตามผลการดำเนินงานร่วมกันทั้งในรูปแบบออนไลน์และการลงพื้นที่นิเทศติดตาม และเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาตลอดกิจกรรม และแผนการดำเนินงานโครงการตามเป้าหมายที่สำคัญทั้ง 4 ประการ โดยกำหนดจัดกิจกรรมตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2564
พลตำรวจโทวิชิต ปักษา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กล่าวว่า โรงเรียนในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนประสบภาวะความยากลำบากและข้อจำกัดหลายด้านที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพของครู ด้านการจัดการเรียนการสอน และคุณภาพของเด็กนักเรียน ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศไทย ปัจจุบันมีสถานศึกษาในสังกัดรวมทั้งสิ้น 220 แห่ง กว่าร้อยละ 20 เป็นโรงเรียนที่เดินทางยากลำบากมากไม่สามารถเข้าถึงได้โดยรถยนต์ในทุกฤดู นักเรียนส่วนใหญ่มีฐานะยากจนด้อยโอกาส และส่วนหนึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยไม่รู้ภาษาไทย จึงเป็นอุปสรรคต่อการจัดการเรียนการสอน ประกอบกับเด็กนักเรียนมักขาดเรียนบ่อยอันมีสาเหตุจากการเดินทางที่ยากลำบากโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน มีการอพยพย้ายตามผู้ปกครอง และประสบปัญหาภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและการเรียนรู้ของเด็ก อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาที่เพียงพอ เนื่องจากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนไม่ใช่หน่วยงานหลักในการจัดการศึกษา ครู รร.ตชด.ส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิทางการศึกษา หรือไม่ตรงตามสาขาวิชาที่ตนเองสอน
การเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ครูผู้สอนทุกท่านจะได้รับความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนสอนได้อย่างเหมาะสม และนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ได้ในเบื้องต้น เป็นการเตรียมตนเองไปสู่การเปลี่ยนแปลงในแบบชีวิตวิถีใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการเรียนการสอนและช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
🛑(Facebook Live) พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงาน PETE (พีท) เปลปกป้อง และมอบให้กับ สพฉ. เพื่อใช้ในภารกิจการแพทย์ฉุกเฉิน
กำหนดการ
พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิผลงาน PETE (พีท) เปลปกป้อง และมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้
วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 เวลา 13:00 น.-14:00 น.
ณ ห้อง SD601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
[wpdatatable id=32]
ปฏิทินกิจกรรม
30th Anniversary Story of NSTDA: สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการเกษตรของคนไทย
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ในด้านการเกษตร เพื่อช่วยให้คนไทยทำการเกษตรได้ผลดีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการเลือกปลูกพืชให้เหมาะสม ดูแลด้วยเทคโนโลยีอันชาญฉลาด กำจัดแมลงศัตรูพืชแบบรักษ์โลก และพาผลผลิตไปให้ถึงมือผู้บริโภคด้วยคุณภาพและรสชาติที่ดีที่สุด
เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
การปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดี สิ่งสำคัญคือการเลือกปลูกให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ ทั้งดิน น้ำ และอากาศ ซึ่งการจะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ เพียงใช้ “Agri-Map Online” ที่พัฒนาโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และหน่วยงานภาคี
“Agri-Map Online” คือ ระบบแผนที่เชิงรุกแบบออนไลน์ เป็นโปรแกรมอำนวยความสะดวกการเข้าถึงข้อมูลภูมิสารสนเทศด้านการเกษตรด้วยเทคโนโลยี What 2 Grow เพื่อให้เกษตรกรและเจ้าหน้าที่สามารถบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะทำการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศ ปริมาณน้ำฝน สภาพดิน และพืชเศรษฐกิจที่แนะนำให้เพาะปลูกในพื้นที่ ด้วยข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน รวมถึงการคาดการณ์อนาคต อีกทั้งยังมีข้อมูลด้านการตลาด แหล่งรับซื้อ และข้อมูลกลุ่มสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ให้เกษตรกรได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ สำหรับการใช้งาน นอกจากจะสามารถใช้ Agri-Map Online ผ่านทางเว็บไซต์ http://agri-map-online.moac.go.th/ แล้ว นักวิจัยยังพัฒนา “Agri-Map Mobile” แอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ซึ่งรองรับทั้งระบบ Android และ iOS ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกทุกที่และทุกเวลา
ไม่เพียงมีแอปพลิเคชันช่วยเกษตรกรเลือกเพาะปลูกให้สอดคล้องกับพื้นที่และการตลาด สวทช. ยังร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตร อาทิ TAMIS ระบบสารสนเทศเพื่อการเกษตรแบบพกพา ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลการตรวจสอบแปลงเกษตรโดยภาครัฐ และ FAARMis แอปพลิเคชันสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเกษตรกรแบบเชิงรุก เป็นต้น
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://bit.ly/3umt8nc
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Agri-Map Mobile ได้ผ่าน : Play Store (https://bit.ly/34eavav) และ App Store (https://apple.co/3fgdBkA)
Smart Farming พัฒนาการปลูกพืชด้วยเกษตรแม่นยำ
เทรนด์การทำเกษตรยุคใหม่มาแรงในปัจจุบัน คือ การปลูกพืชด้วย “ระบบเกษตรแม่นยำ” หรือระบบการทำการเกษตรที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมให้เป็นไปตามความต้องการของพืชเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ได้พัฒนา “โรงเรือนอัจฉริยะ หรือ SMART Greenhouse Knockdown Double Roof GH-1” นวัตกรรมโรงเรือนปลูกพืชที่สามารถควบคุมระบบการปลูกพืชผ่านสมาร์ตโฟน ช่วยให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และเกษตรกรทำงานได้สะดวกมากขึ้น
จุดเด่นของโรงเรือนอัจฉริยะ คือเป็นโรงเรือนแบบน็อกดาวน์ สามารถขึ้นโครงและติดตั้งได้ในทุกพื้นที่ มีขนาดความกว้าง 6 เมตร ยาว 20 เมตร สูง 5.6 เมตร มีหลังคา 2 ชั้นพร้อมพัดลมระบายอากาศ และมีประตูกันแมลง 2 ชั้น เพื่อป้องกันการเล็ดรอดของแมลง การทำงานของโรงเรือนใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ในการตรวจวัดปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และควบคุมการทำงานด้วยเทคโนโลยีไอโอที (Internet of Things หรือ IoT) ผู้ใช้งานจึงสามารถตรวจสอบและควบคุมการทำงานของโรงเรือนได้สะดวกผ่านสมาร์ตโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เซนเซอร์ที่ควบคุมการทำงานภายในโรงเรือนประกอบด้วย เซนเซอร์วัดความเข้มแสงควบคุมการทำงานของม่านพรางแสง เซนเซอร์วัดความชื้นดินควบคุมการทำงานของระบบน้ำหยด เซนเซอร์วัดความชื้นอากาศควบคุมการทำงานของระบบพ่นหมอก และเซนเซอร์วัดอุณหภูมิควบคุมการทำงานของพัดลมใต้หลังคา ข้อมูลการตรวจวัดและการทำงานทั้งหมดจะมีการบันทึกในระบบเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถนำมาใช้พัฒนาการปลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการทดสอบปลูกเมลอนร่วมกับบริษัทเอกชนได้ผลประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของผลผลิต
สำหรับเกษตรกรที่มีโรงเรือนอยู่แล้วสามารถทำฟาร์มอัจฉริยะได้ด้วยเทคโนโนโลยี “HandySense” ผลงานวิจัยพัฒนาโดยเนคเทค สวทช. เป็นระบบเกษตรแม่นยำที่นำเซนเซอร์ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีไอโอที ทำให้สามารถตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมการเพาะปลูกได้จากทางไกล ไม่ว่าจะเป็นการให้น้ำ ปุ๋ย การควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณแสง
ผู้ใช้งานสามารถดูข้อมูลสภาพแวดล้อมและสั่งการทำงานได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟนหรือ
คอมพิวเตอร์ และสามารถนำข้อมูลการทำงานทั้งหมดไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อวางแผนการเพาะปลูกรอบต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่า นอกจากผลผลิตที่ได้จะมีคุณภาพดีขึ้นแล้ว ปริมาณผลผลิตยังเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 20 รวมถึงใช้แรงงานลดลงเฉลี่ยร้อยละ 52
ปัจจุบัน HandySense เตรียมเปิดพิมพ์เขียวให้ประชาชนนำไปใช้ทำการเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ภายใต้แนวคิด “Smart Opening Innovation” หรือ “นวัตกรรมอัจฉริยะแบบเปิด” เพื่อเพิ่มโอกาสให้เกษตรกรไทยยุคใหม่ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัยใช้งานในราคาที่จับต้องได้ หากคุณสนใจจองสิทธิ์การใช้งานได้ที่ https://bit.ly/3fg7yfO
รายละเอียดเพิ่มเติม
โรงเรือนอัจฉริยะ (https://bit.ly/3gHGpDt)
‘โรงเรือนอัจฉริยะ’ ความหวังผลิตพืชอาหาร ในโลกยุคหลังโควิด (https://bit.ly/3vKNO9f)
HandySense (https://handysense.io/)
โรงงานผลิตพืช นวัตกรรมปลูกผักอัจฉริยะ
ด้วยปัจจุบันทั่วโลกต่างกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนพื้นที่การเพาะปลูก ทำให้มีการพัฒนานวัตกรรมการทำเกษตรรูปแบบใหม่ คือ “Plant Factory” หรือ “โรงงานผลิตพืช” ซึ่งศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้จัดตั้งโรงงานผลิตพืช พื้นที่ขนาด 1,200 ตารางเมตรที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืชด้วยแสงไฟเทียม หรือ Plant Factories with Artificial Lighting (PFALs) จากมหาวิทยาลัยชิบะ ประเทศญี่ปุ่น
โรงงานผลิตพืชเป็นการปลูกพืชในห้องควบคุมระบบปิดหรือกึ่งปิดที่มีการควบคุมปัจจัยในการเจริญเติบโตของพืชทั้งหมด ทั้งชนิดของคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น และแร่ธาตุ เพื่อให้ได้ผลผลิตและสารสำคัญตามต้องการ ที่สำคัญการปลูกพืชในชั้นปลูกสามารถปลูกซ้อนกันได้สูงสุดถึง 10 ชั้น ทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากถึง 10 เท่า อีกทั้งการปลูกพืชในระบบปิดและมีระบบกรองอากาศทำให้ปราศจากเชื้อโรคและแมลง ไม่ต้องใช้สารเคมีปราบศัตรูพืช ทำให้ได้ผลผลิตที่ได้สะอาด ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับการผลิตพืชมูลค่าสูงนอกฤดูกาล และพืชสมุนไพรเพื่อใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ยา เวชสำอาง และอาหารเสริมสุขภาพ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. ยังมีโรงงานผลิตพืชต้นแบบระดับชุมชนที่ตำบลนาราชควาย จังหวัดนครพนม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบการผลิตสมุนไพรของจังหวัด ให้สามารถผลิตวัตถุดิบคุณภาพสำหรับผลิตยาให้แก่โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลของจังหวัด
รายละเอียดเพิ่มเติม : Plant Factory (https://bit.ly/2SrBywd)
วัสดุเพาะปลูกคุณภาพ เพิ่มผลผลิต ลดการสูญเสีย
นอกจากการดูแลดิน น้ำ แสงสว่าง และอุณหภูมิให้เหมาะสมแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่มีผลอย่างมากต่อการเพาะปลูก คือ “วัสดุเสริมการเพาะปลูก” ได้แก่ ถุงปลูกพืช ถุงห่อผลไม้ และวัสดุคลุมดิน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. พัฒนา “Magik Growth” วัสดุเสริมการเพาะปลูกชนิดนอนวูฟเวนชนิดสปันบอนด์ที่ขึ้นรูปด้วยสูตรเฉพาะ มีโครงสร้าง 3 มิติในลักษณะของเส้นใยที่สานกันไปมา ทำให้มีโครงสร้างแข็งแรงและมีรูพรุนช่วยถ่ายเทน้ำและอากาศได้ดี รวมทั้งยังคัดกรองช่วงแสงที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชได้ ช่วยให้การปลูกได้ผลผลิตคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถใช้งานซ้ำเพื่อลดการสร้างขยะได้อีกด้วย
ปัจจุบันมีการพัฒนา Magik Growth ไปใช้เป็นถุงปลูก เช่น ปลูกเมลอน พบว่าช่วยลดอัตราการสูญเสียเหลือเพียง 1 ใน 5 ช่วยเพิ่มผลผลิตร้อยละ 20-30 ส่วนถุงห่อผลไม้ มีการนำไปใช้ห่อผลไม้เศรษฐกิจ เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง กล้วยหอม และทุเรียน พบว่าช่วยให้ผลไม้มีผิวสวย ไม่มีรอยโรคและแมลง ผลผลิตมีคุณภาพดีขึ้น สามารถลดต้นทุนการใช้สารเคมี สุดท้ายคือถุงวัสดุคลุมดิน จากการทดลองใช้ปลูกสตรอว์เบอร์รี นอกจากจะให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแล้ว ส่วนไหลที่ใช้ในการขยายพันธุ์ยังเจริญเติบโตได้ดีขึ้นด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม :
Magik Growth นอนวูฟเวน เพื่อการเพาะปลูก (https://bit.ly/3cYu5fH)
ถุงปลูก "Magik Growth" ใช้ซ้ำ นวัตกรรมรักษ์โลก (https://bit.ly/3cWvHGZ)
เติมปุ๋ยธาตุรองเสริมสู้โรค หยุดแมลงบุกด้วยสารชีวภัณฑ์
ปัญหาหนึ่งที่ทำให้พืชไม่แข็งแรงทนทานต่อสภาพแวดล้อม โรค และการรุกรานของแมลง คือ การขาดธาตุอาหารรองเสริม อาทิ แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก และแมงกานีส ฯลฯ สาเหตุสำคัญมาจากธาตุอาหารรองเสริมที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดไม่มีการใช้เทคโนโลยีห่อหุ้ม ทำให้เมื่อธาตุอาหารเหล่านั้นไปสัมผัสกับค่า pH ที่ไม่เหมาะสมในน้ำหรือดินโดยตรงจะเกิดการตกตะกอน พืชดูดซึมไปใช้ได้ไม่เต็มที่ และส่วนที่เหลือตกค้างในดินยังก่อให้เกิดปัญหาดินเสื่อมสภาพอีกด้วย
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. พัฒนา “ปุ๋ยคีเลต (Plant micronutrient chelate fertilizer)” โดยใช้เทคโนโลยีคีเลชัน (Chelation) นำกรดอะมิโนมาเป็นตัวห่อหุ้มธาตุอาหารรองเสริม เพื่อป้องกันไม่ให้ธาตุอาหารรองเสริมมีการสัมผัสกับค่า pH ที่ไม่เหมาะสมในน้ำหรือดินโดยตรง จึงทำให้ปุ๋ยคีเลตละลายน้ำได้ดีไม่เกิดการตกตะกอน พืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้พืชแข็งแรงทนต่อโรคและการรุกรานของแมลง ที่สำคัญกรดอะมิโนที่นำมาห่อหุ้มยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเร่งให้พืชมีการเจริญเติบโตดีขึ้นด้วย ปุ๋ยชนิดนี้เป็นปุ๋ยฉีดพ่นทางใบสามารถใช้ได้กับพืชทุกชนิดที่ต้องการธาตุอาหารรองเสริม ไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนประกอบ
ปัจจุบันมีการนำปุ๋ยคีเลตไปใช้กับสวนทุเรียนแล้ว 5,000 ไร่ ใน 3 จังหวัด จากต้นทุเรียนที่เคยอ่อนแอ มีการเจริญเติบโตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วยเพิ่มผลผลิตทุเรียนต่อไร่มากถึงร้อยละ 20 และช่วยลดปริมาณการใช้ปุ๋ยและอาหารเสริมได้มากถึงร้อยละ 30 ทั้งนี้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัท เทค ซายน์ จำกัด และวางจำหน่ายภายใต้แบรนด์ “นาโนส (Nanose)”
นอกจากนี้เพื่อต่อสู้กับแมลงร้ายที่นับวันจะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ไบโอเทค สวทช. ยังได้วิจัยพัฒนาชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช ซึ่งเป็นการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี หรือ Biocontrol ใช้จุลินทรีย์ที่มีในธรรมชาติควบคุมและกำจัดแมลงศัตรูพืชต่างๆ โดยมี 3 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่มีการนำไปใช้งานจริงแล้ว คือ “ไวรัส NPV” (Nuclear Polyhedrosis Virus: NPV) ไวรัสสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนกระทู้ผัก “ราบิวเวอเรีย” (Beauveria bassiana) เชื้อราสำหรับกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยแป้ง หนอนศัตรูพืช และแมลงปากกัดดูดทุกชนิด รวมถึงสามารถทำลายปลวก และมดคันไฟ
สุดท้ายคือ “VipPro” ผลิตภัณฑ์จากโปรตีน Vip3A (Vegetative insecticidal protein) โปรตีนฆ่าหนอนแมลงในกลุ่มหนอนผีเสื้อและหนอนผีเสื้อกลางคืน ซึ่งเป็นแมลงศัตรูหลักของพืชเกือบทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ออกฤทธิ์เร็วสามารถทำให้แมลงหยุดกินอาหารใน 1 ชั่วโมง ช่วยลดความเสียหายและรอยตำหนิบนใบพืชได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังออกฤทธิ์เสริมกับชีวภัณฑ์อื่นๆ เช่น ไวรัสเอ็นพีวี และราบิวเวอเรีย ทำให้ลดปริมาณการใช้ชีวภัณฑ์เหล่านั้นได้อย่างน้อยสิบเท่า และยังสามารถใช้กับแมลงที่ดื้อต่อสารเคมีหรือดื้อต่อโปรตีนผลึกได้อีกด้วย ผลการทดสอบพบว่า VipPro สามารถควบคุมแมลงศัตรูพืชได้ดีมากในทุกแปลงทดสอบ และมีปริมาณผลผลิตที่ได้เทียบเท่าการกำจัดแมลงด้วยสารเคมี
นอกจากผลิตภัณฑ์ชีวภัณฑ์กำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิด จะสามารถกำจัดศัตรูของพืชเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดีแล้ว ผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ยังมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม
รายละเอียดเพิ่มเติม
นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต สำหรับพืชไร้ดินและพืชทั่วไป (https://bit.ly/2Pwl5Gg)
นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต เพิ่มผลผลิตสวนทุเรียน ลดต้นทุน 20-30% เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(https://bit.ly/3xAbIWq)
นาโนเทค สวทช. ตอบโจทย์ BCG ส่ง ‘นวัตกรรมปุ๋ยคีเลต’ ลงสวนทุเรียน จังหวัดระยอง (https://bit.ly/3aH6cbA)
ไวรัส NPV (https://bit.ly/3ujjJwH)
ราบิวเวอเรีย (https://bit.ly/3ugzogb)
VipPro (https://bit.ly/3fgyP1D)
ถนอมรสชาติยืดอายุผลผลิตด้วยบรรจุภัณฑ์คุณภาพ
เมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยวและนำออกจำหน่าย คงไม่ดีแน่ถ้าผลิตภัณฑ์มีอายุการวางจำหน่าย (Shelf life) สั้น เพราะนั่นเป็นการตัดโอกาสการวางขายในร้านค้าชั้นนำหรือส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา “ActivePAKTM” หรือ “ถุงหายใจได้” นวัตกรรมการขึ้นรูปฟิล์มบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติยอมให้ก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึมผ่านเข้าออกได้ดี สอดคล้องกับอัตราการหายใจของผักและผลไม้สดที่บรรจุอยู่ภายใน ช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ ยืดอายุการเก็บรักษาผักผลไม้สดให้นานขึ้น 2-5 เท่า โดยคงคุณภาพและรสชาติที่ดี นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ยังมีลักษณะใส ไม่เกิดฝ้า ทำให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นสินค้าได้ชัด สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ และช่วยให้ตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
ปัจจุบันจาก ActivePAKTM ได้มีการพัฒนาต่อยอดเป็น “ActivePAKTM Ultra” สำหรับผลิตผลสดที่มีอัตราการหายใจสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่งและเห็ด ซึ่งมักเน่าเสียอย่างรวดเร็วภายหลังการเก็บเกี่ยว ทำให้ยากต่อการกระจายสินค้าเพื่อจำหน่าย โดย ActivePAKTM Ultra จะช่วยให้ผลิตผลสดมีอัตราการหายใจลดต่ำลง สามารถยืดความสดได้นานถึง 9 วัน ที่อุณหภูมิ 4-8 องศาเซลเซียส จากเดิมเก็บได้เพียง 3 วันเท่านั้น
รายละเอียดเพิ่มเติม
ActivePAKTM (https://bit.ly/3vlbhhZ)
ActivePAKTM Ultra (https://bit.ly/3vpByvG)
ทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้านการเกษตรให้แก่คนไทยตลอด 30 ปี สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการทำการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หากสนใจเทคโนโลยีการเกษตรอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่หนังสือ 3 ทศวรรษ สวทช. กับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่มเกษตรและอาหาร (https://bit.ly/2SrBywd)
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
โครงการสำมะโนธุรกจิและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 (นับจด)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กำหนดจัดทำโครงการสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 (นับจด)
ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม จนถึง 31 สิงหาคม 2564 เพื่อให้ประเทศมีสถิติที่สำคัญสำหรับใช้ในการยกระดับศักยภาพการเติบโตและเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว
รับชมข้อมูลได้ที่ http://www.nso.go.th/
ข่าวหน่วยงานภายนอก


