ผลการค้นหา :

รมว.อว. ตรวจเยี่ยม สวทช. แนะสร้างฐานข้อมูล ‘เยาวชน-ผู้สูงอายุ-ชุมชน’ หนุนใช้วิทย์ฯ สร้างความเข้มแข็ง
For English-version news, please visit : New Minister pays a visit to NSTDA
(วันที่ 11 กันยายน 2563) ศ. (พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการ รมว.อว. นายพรชัย ตระกูลวรานนท์ อดีตรองอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวง อว. รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร อว. เยี่ยมชมผลงานสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และคณะผู้บริหาร สวทช. ให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
จากนั้น ผู้อำนวยการ สวทช. ได้นำเสนอภาพรวมพันธกิจของ สวทช. พร้อมทั้งได้นำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และคณะฯ เข้าเยี่ยมชมผลงานวิจัยของ สวทช. ในแต่ละด้าน อาทิ AI For Thai ผลงานนวัตกรรมป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 เช่น ชุดตรวจโรค COVID-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ความก้าวหน้าของวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ผลงานวิจัยด้าน Green Rubber Technology ผลงานระบบกักเก็บพลังงาน
โดยในโอกาสนี้ผู้บริหาร สวทช. ได้นำ รมว.อว. และคณะ ทดลองนั่งรถ EV Aluminum Bus สัญชาติไทย ตัวถังผลิตจากอลูมิเนียมขึ้นรูปผสมพิเศษ แข็งแรงกว่าเหล็กและอลูมิเนียมทั่วไปถึง 4 เท่า ซึ่งเป็นอลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้สำหรับผลิต Super Car ผลงานความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด ผลิตขึ้นเพื่อเป็นรถต้นแบบ และเตรียมส่งมอบให้กับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ใช้เป็นต้นแบบของยานพาหนะรุ่นใหม่ที่จะนำมาใช้ปฏิรูประบบขนส่งของทาง ขสมก. และยังได้โดยสารรถโดยสารไฟฟ้า ของ บริษัท รถไฟฟ้าประเทศไทย จำกัด (มหาชน) จากนั้นได้เข้าชมผลงานด้านการแพทย์ Medical Devices & Implant ของศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ A-MED โดยมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ รมว.อว. และคณะ ได้เข้าเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ อาทิ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ หรือ National BioBank, ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง หรือ ThaiSC ซึ่งให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการคำนวณ การทำแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ในงานวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์ปัญหาขนาดใหญ่ประเทศ รวมทั้งได้เยี่ยมชมผลงานวิจัยเพิ่มเติมด้านต่างๆ ประกอบด้วย ด้านเกษตร อาทิ Plant Factory ด้านนาโนเทคโนโลยี อาทิ Cosmeceutical เทคโนโลยีการเคลือบนาโน รวมถึงผลงานวิจัยอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ เป็นต้น
โอกาสนี้ ศ. (พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว. อว. ได้กล่าวขอบคุณ สวทช. ที่นำเสนอผลงานวิจัยที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ รวมทั้งได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามข้อมูลและความสนใจต่างๆ ของเยาวชน ข้อมูลการใช้ชีวิตและสุขภาพผู้สูงอายุ รวมถึงข้อมูลภาคชุมชนและประชาสังคมที่มีความเข้มแข็งทั้งเรื่องเกษตรและวัฒนธรรม ในเครือข่ายของ สวทช. และพันธมิตร เพื่อสนับสนุนและทำงานร่วมกันโดยอาศัยพลังของชุมชน เพื่อใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งเสริมและสร้างโอกาสให้ชุมชนมีความเข้มแข็งสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์

ก.กลาโหม จับมือ สวทช. วิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมความมั่นคง หนุนอุตสาหกรรม S-Curve 11 ของประเทศอย่างยั่งยืน
For English-version news, please visit : NSTDA and Ministry of Defence sign agreement to develop defence research and innovation
8 กันยายน 2563 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือ กระทรวงกลาโหม โดย กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) ลงนามความร่วมมือ “โครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ” เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านความมั่นคง ในการขับเคลื่อนและขยายผลของงานวิจัยไปประยุกต์สู่การใช้งานจริง รวมถึงสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านนวัตกรรมความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน รวมถึงสร้างองค์ความรู้ นวัตกรรม และการถ่ายทอดเทคโนโลยี ภายใต้ยุทธศาสตร์ของ S- Curve 11
โดยมี พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมลงนาม
พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เจ้ากรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม (วท.กห.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) อนุมัติยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2560 - 2579 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าว กำหนดกรอบแนวทางการดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่สำคัญ คือ การเร่งรัดพัฒนาเครือข่ายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เพื่อมุ่งแสวงหาความร่วมมือกับเครือข่ายด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ กห. กับ หน่วยงานด้านการศึกษา ด้านการวิจัยและพัฒนาและภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
เพื่อให้มีเครือข่ายที่เกื้อกูลการดำเนินงานซึ่งกันและกัน จนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพึ่งพาตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในอนาคตจะส่งผลให้การดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมให้เป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศ เพื่อให้ผลิตได้เองและลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ รวมถึงพัฒนาต่อยอดเป็นอุตสาหกรรมส่งออก สร้างรายได้ให้กับประเทศ
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สำหรับการลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศ นี้ สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (National Security and Dual-Use Technology Center-NSD) ร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากับ กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม และทุกเหล่าทัพ ในระยะเวลา 3 ปี (2563 – 2566) เพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านความมั่นคง ในการขับเคลื่อนและขยายผลของงานวิจัยไปประยุกต์สู่การใช้งานจริง รวมถึงสนับสนุนและสร้างความเข้มแข็งให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศอย่างยั่งยืน
โดยให้ความสำคัญและสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งส่งเสริมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ บุคลากร และข้อมูลทางวิชาการในการวิจัยและพัฒนาให้มีศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถด้านนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ รวมทั้งขยายเครือข่ายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้จะมีการขยายผลด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการโครงการต่าง ๆ ได้แก่ ระบบแพลตฟอร์มสำหรับหุ่นยนต์ โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศอัจฉริยะเพื่อเชื่อมโยงและตรวจสอบอาชญากรรม โครงการพัฒนาผ้าเคลือบ กราฟีนอัจฉริยะสำหรับชุดเครื่องแบบทหาร โครงการวิจัยและพัฒนาระบบบำบัดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยเทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิตแบบมีโอโซนต่ำ โครงการขยายผลการใช้งานหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโดยแสงยูวี เป็นต้น รวมถึงความร่วมมือด้านโจทย์การวิจัยอื่น ๆ จาก กระทรวงกลาโหม ทั้ง 4 เหล่าทัพ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างและเป็นประโยชน์ต่อประเทศสูงสุดต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดเสวนาเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการในยุค New Normal ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดเสวนาสร้างความรู้และมุมมองทางด้านการลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมหัวข้อ “เพิ่มโอกาสทางธุรกิจในยุค New Normal ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” เพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาขยายธุรกิจ เชื่อมโยงภาคธุรกิจกับกลุ่มงานวิจัย และสร้างเครือข่ายนักลงทุนทางด้านธุรกิจนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการ
โดยมี นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. สำหรับการเสวนานี้บริษัท นาวิสพลัส จำกัด และ บริษัท มัมมี้ลิเชียส ทเวนตี้โฟร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ได้รับการบ่มเพาะจากโครงการ Startup Voucher มาร่วมแชร์ประสบการณ์การประกอบธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Innovation Pitching และการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมของผู้ประกอบการในงานครั้งนี้อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร ระดับ ม.ปลาย เสริมทักษะคิดนอกกรอบ ในวัยคนรุ่นใหม่
For English-version news, please visit : Thailand Food Innovation Junior Bootcamp 2020
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ (ACM) และ FI Accelerator เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis: FI) จัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ “ค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารประเทศไทย ระดับมัธยมศึกษา (Thailand Food Innovation: Junior Bootcamp 2020)” ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี เพื่อให้ความรู้ด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ติดความรู้และแนวทางสร้างนวัตกรรมจากมรดกภูมิปัญญาอาหาร (Food Heritage Innovation) และนวัตกรรมอาหารสำหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต (Future Lifestyle Food Innovation)
โดยมีเยาวชนจากทั่วประเทศระดับชั้นมัธยมปลายกว่า 150 คน จำนวน 30 ทีม เข้าร่วมกิจกรรม ก่อนจะนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับการพัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์นวัตกรรมอาหารเพื่อส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในโครงการ Thailand Food Innopolis Innovation Contest ในระยะต่อไป โดยพิธีเปิดค่ายมี ดร.อ้อมใจ ไทรเมฆ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ ดร.อัครวิทย์ กาญจนโอภาษ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ร่วมเปิดงาน
ดร.ปรเมษฐ์ ชุ่มยิ้ม ที่ปรึกษาอาวุโส Food Innopolis สวทช. วิทยากรหลักในค่ายครั้งนี้ เปิดเผยว่า ค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารประเทศไทย ระดับมัธยมศึกษา มีที่มาจากโครงการ Thailand Food Innopolis Innovation Contest ซึ่งดำเนินโครงการมาได้ 3 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาปริญญาตรี ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาได้มีการเพิ่มรุ่น เป็นรุ่นใหญ่เข้ามาในโครงการประกวดคือ กลุ่มนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอก อาจารย์ นักวิจัย และกลุ่มคนทั่วไป ซึ่งจะเป็นการแข่งขันแบบแยกกลุ่มภายใต้หัวข้อเดียวกัน โดยแต่ละทีมจะมี 2 หัวข้อ และหัวข้อจะถูกเปลี่ยนในทุกปี ด้วยความที่มีผู้สมัครจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเล็งเห็นว่า สวทช. มีทีมบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ที่ทำกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์กับเด็กมัธยม จึงเกิดแนวคิดว่า ในเมื่อเราสร้างแนวคิดผู้ประกอบการให้กับนักศึกษาปริญญาตรี ทำไมไม่ขยับลงมาในระดับมัธยมเพื่อให้สามารถเรียนรู้กระบวนการสร้างนวัตกรรมได้ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียน ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่เปิดรุ่นเล็ก ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้สมัครประมาณ 2,000 คน และเขียนในใบสมัครดีมากในเรื่องของไอเดียที่อยากจะทำ แต่จำเป็นต้องคัดมาเพียง 30 ทีมจากทั่วประเทศเท่านั้น โดยผ่านเกณฑ์ที่เราตั้งไว้ จึงเกิดเป็นค่าย Thailand Food Innovation: Junior Boot camp 2020 ขึ้นมา โดยในรุ่นนี้เปิดเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ มรดกภูมิปัญญาอาหาร (Food Heritage Innovation) ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่จะนำมาทำเป็นนวัตกรรมอาหาร และนวัตกรรมอาหารสำหรับการใช้ชีวิตแห่งอนาคต (Future Lifestyle Food Innovation)
“สำหรับ Workshop วิธีสร้างนวัตกรรมอาหารผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เป็นกระบวนการที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก คือ กระบวนการ Human center design หรือการนึกถึงผู้ใช้ทุกครั้งที่จะผลิตหรือคิดค้นนวัตกรรมอาหาร ซึ่งต้องคิดว่าผู้บริโภคปลายทางหลักต้องการอะไร ฉะนั้น ค่ายนี้จะฝึกให้น้องมัธยมคิดถึงผู้ใช้ให้มากที่สุด เพราะการที่จะเป็นนวัตกรหรือเป็นคนที่สร้างนวัตกรรมได้ องค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การเข้าใจผู้ใช้อย่างแท้จริง ผลการอบรมพบว่า น้อง ๆ มีความคิดที่น่าสนใจจำนวนมาก
“สำหรับ Workshop วิธีสร้างนวัตกรรมอาหารผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เป็นกระบวนการที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก คือ กระบวนการ Human center design หรือการนึกถึงผู้ใช้ทุกครั้งที่จะผลิตหรือคิดค้นนวัตกรรมอาหาร ซึ่งต้องคิดว่าผู้บริโภคปลายทางหลักต้องการอะไร ฉะนั้น ค่ายนี้จะฝึกให้น้องมัธยมคิดถึงผู้ใช้ให้มากที่สุด เพราะการที่จะเป็นนวัตกรหรือเป็นคนที่สร้างนวัตกรรมได้ องค์ประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การเข้าใจผู้ใช้อย่างแท้จริง ผลการอบรมพบว่า น้อง ๆ มีความคิดที่น่าสนใจจำนวนมาก
ด้านตัวแทนเยาวชนที่ร่วมเข้าค่าย น.ส.ศิรประภา งามสุทธิ์ ชั้น ม.5 โรงเรียนธิดาแม่พระ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงความรู้สึกว่า สนุกมาก เพราะมีกิจกรรมมากมายให้ร่วมทำ รวมถึงมี workshop ในหลายเรื่อง ทำให้ได้รู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น เครื่องมือที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการที่ได้คิดไว้ รวมถึงเกิดไอเดียในโครงการใหม่ที่จะสามารถต่อยอดให้สมบูรณ์ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับความรู้ในเรื่องของการคิดแบบการตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนในระดับชั้นมัธยม ซึ่งส่วนตัวตนเองมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงงานนวัตกรรมอาหารเพื่อที่จะส่งผลงานเข้าร่วมประกวดในโครงการ Food Innopolis Innovation Contest ต่อไป
ทั้งนี้ กิจกรรมภายในค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารประเทศไทย ระดับมัธยมศึกษา ประกอบด้วย การเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงในด้านต่าง ๆ ได้แก่ กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจจากตัวอย่างความสำเร็จจาก Food Innopolis Innovation Contest การให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาหาร เทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหาร วิธีการสร้างนวัตกรรมอาหารผ่านกระบวนการคิดเชิงแออกแบบ แนวทางการวางโมเดลธุรกิจนวัตกรรมอาหาร และการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าประกวดชิงเงินรางวัลและโอกาสเข้าศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์อาหาร ในโครงการ FI Innovation Contest 2021 หรือโครงการประกวดแนวคิดนวัตกรรมอาหาร ภายใต้การดำเนินงานโดย FI Accelerator แพลทฟอร์มเร่งรัดพัฒนาผู้ประกอบการอาหาร สวทช. รายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามได้ที่แฟนเพจ FI Innovation Contest
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนกว่า 12 ล้านบาทเพื่อพัฒนาบุคลากรด้านมันสำปะหลังในเขตประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA sets to build capacity across cassava value chain in Mekong countries
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง มีการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนกระบวนการ และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเป็นเวลากว่า 10 ปี จึงได้ดำเนินโครงการ “Capacity Building on Circular Economy, Resource and Energy Efficiency for Productivity and Sustainability of Cassava Chain to High Value Products: Cassava Root, Native Starch, and Biogas in Mekong Countries” หรือ โครงการ CCC
เพื่อพัฒนาศักยภาพเกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลัง บุคลากร และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังตลอดห่วงโซ่การผลิต ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมระบุล่าสุดได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนความร่วมมือแม่โขงและสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-Republic of Korea Cooperation Fund-MKCF) กว่า 12 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการมุ่งถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝึกอบรมให้บุคลากรในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง
ดร.วรินธร สงคศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เปิดเผยว่า มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกผลผลิตมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 68% ทั้งนี้ หากรวมผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม จะพบว่ามีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 90% ด้วยเหตุนี้ ไบโอเทค สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของมันสำปะหลังต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ จึงได้ริเริ่มโครงการ CCC
เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยหลักสูตรอบรมครอบคลุมหัวข้อสำคัญเริ่มตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือ การบริหารจัดการเทคโนโลยีการปลูกมันสำปะหลังและการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการเพิ่มผลผลิต และทำให้มันสำปะหลังมีคุณสมบัติเหมาะกับการแปรรูปหรือใช้งานในอุตสาหกรรมเฉพาะ ต่อด้วย “กลางน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง ลดการใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการผลิต จนถึง “ปลายน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีในการนำของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต ได้แก่ น้ำเสียและกากมันสำปะหลังมาผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าอบรมทั้งจากภาครัฐและเอกชนมากกว่า 100 คน จากประเทศในแถบลุ่มน้ำโขง
“โครงการ CCC เป็นความร่วมมือของ ทีมวิจัยการจัดการและใช้ประโยชน์จากของเสียอุตสาหกรรมการเกษตร ทีมวิจัยเทคโนโลยีแปรรูปมันสำปะหลังและแป้ง ไบโอเทค ศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางด้านการจัดการและใช้ประโยชน์จากของเสียอุตสาหกรรมการเกษตร มจธ. และ มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนความร่วมมือแม่โขงและสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-Republic of Korea Cooperation Fund-MKCF) เป็นจำนวนกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งกองทุนความร่วมมือแม่โขงและสาธารณรัฐเกาหลี จัดตั้งขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขง” ดร.วรินธร สงคศิริ กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. รับมอบใบรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ จาก สมอ. ด้วยมาตรฐานการวิเคราะห์ทดสอบขั้นสูงในระดับสากล
27 สิงหาคม 2563 ณ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รับมอบใบรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบ มอก.17025 – 2561 (ISO/IEC 17025 : 2017) จาก นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะที่มีมาตรฐานในการวิเคราะห์ทดสอบขั้นสูง และมีความพร้อมตามมาตรฐานการทดสอบในระดับสากล หนุนการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าที่มีมาตรฐานในสากล ประหยัดต้นทุน ตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2557 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณภาพในการวิเคราะห์ทดสอบ โดยเป็นหน่วยงานที่ให้บริการวิเคราะห์และทดสอบด้วยวิธีมาตรฐาน ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มาตรฐานเลขที่ มอก. 17025 (ISO/IEC 17025) และเป็นศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบขั้นสูง พร้อมมีมาตรฐานการทดสอบระดับสากล โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบตามหลักวิธีมาตรฐานต่าง ๆ ให้กับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
ด้วยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถให้บริการวิเคราะห์ทดสอบงานยากและซับซ้อน เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้ามูลค่าสูง และการแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ หุ่นยนต์และแมคาทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยเปิดดำเนินการแบบ One-Stop Service: 7 วัน 24 ชั่วโมง พร้อมให้บริการด้วยความสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการวิเคราะห์ทดสอบระดับอาเซียน (Asean Testing Hub) และเป็น Testing Solution Provider อีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 02-117-6850-57 อีเมล์ : nctc@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเคลือบนาโน หนุนการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน
For English-version news, please visit : Nanocoating technology for religious building preservation
ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ลงพื้นที่วัดปากน้ำ (สมุทรคงคาราม) จังหวัดระยอง ในโครงการ “เทคโนโลยีสารเคลือบนาโนเพื่อการอนุรักษ์อาคารศาสนสถาน” ดูความก้าวหน้าจากการต่อยอดใช้ประโยชน์จากนาโนเทคโนโลยีสู่สารเคลือบพื้นผิว ลดการเกิดคราบสกปรก ตะไคร่น้ำ และเชื้อรา เพิ่มความคงทนและสวยงาม ลดต้นทุนการดูแลรักษาอาคารศาสนสถาน หนุนการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ดร.ภาวดี อังค์วัฒนะ รองผู้อำนวยการ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า นาโนเทคมีพันธกิจหลักในการดำเนินการวิจัยและพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีศักยภาพไปสู่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และสังคม สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ “นาโนเทคเองให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาที่สามารถตอบความต้องการได้แบบ 360 องศา รอบด้านทุกมิติ ซึ่งในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา เราถ่ายทอดผลงาน 39 โครงการ ให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ รวม 30 หน่วยงาน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม 3,543 ล้านบาท ผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของภาคการผลิตและบริการ มูลค่ากว่า 117 ล้านบาท” ดร.ภาวดีกล่าว
ในขณะเดียวกัน นาโนเทคก็มีงานวิจัยเพื่อตอบประโยชน์ในเชิงสังคม ล้อไปกับโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ
สำหรับเทคโนโลยีสารเคลือบนาโนเพื่อการอนุรักษ์อาคารศาสนสถาน โดย ดร.พิศิษฐ์ คำหน่อแก้ว หัวหน้าโครงการของนาโนเทคที่ได้พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ วัดปากน้ำ (สมุทรคงคาราม) จังหวัดระยอง ในครั้งนี้ ดร.ภาวดีชี้ว่า เป็นการใช้องค์ความรู้ทางด้านนาโนเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมโยงกับทุนทางวัฒนธรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ ร่วมกับความต้องการในแต่ละพื้นที่ เพื่อดูแล รักษา และอนุรักษ์ของดีที่มีคุณค่าทางจิตใจของคนในพื้นที่ และยังจะสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืนผ่านระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อีกด้วย
ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโนของนาโนเทค กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการศึกษาคุณสมบัติของวัสดุเชิงเคมี กายภาพ ของอาคารศาสนสถานจากหลายแหล่งที่มา เพื่อการพัฒนาสารเคลือบผิวที่มีคุณสมบัติ กันฝุ่น กันการซึมน้ำ ป้องกันรา ตะไคร่น้ำ คราบสกปรกที่เกาะอยู่บนพื้นผิวของวัสดุที่ใช้บูรณะอาคารศาสนสถาน รวมไปถึงช่วยลดการแตกร้าว ทำให้สามารถยืดอายุพื้นผิวและคงความสวยงามของอาคารศาสนสถานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการปรับปรุงพื้นผิวอนุภาคนาโนซิลิกา โดยเข้าทดสอบภาคสนามการใช้สารเคลือบต้นแบบ เพื่อเคลือบพื้นผิวของหอระฆัง ณ วัดปากน้ำ (สมุทรคงคาราม) อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2562 ที่ผ่านมา
“เรานำสารเคลือบนาโนที่พัฒนาขึ้นไปทดสอบแก้ปัญหาการเกิดเชื้อราในหอระฆังของวัดฯ ที่มีปัญหาเชื้อรา และตะไคร่น้ำ ด้วยปริมาณความชื้นจากสถานที่ตั้งที่อยู่ใกล้ทะเล รวมการแตกลายงาจากอายุของสถานที่ที่ทำให้ต้นทุนการบำรุงรักษาอาคารสถานที่สูงไปด้วย”
หลังจากที่ทีมวิจัยนาโนเทคนำสารเคลือบผิวนาโนที่พัฒนาขึ้นไปฉีดพ่นรอบหอระฆัง และมีการติดตามผลหลังการฉีดพ่นเป็นระยะเวลา 10 เดือน พบว่า สามารถยืดระยะเวลาการเกิดเชื้อรา คราบสกปรก และการแตกลายงา โดยในระยะเวลา 10 เดือนนี้ ไม่มีเชื้อราหรือคราบตะไคร่น้ำเกิดขึ้นเลย ซึ่งการยืดระยะเวลาในการเกิดเชื้อรานี้ ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์นี้ไปต่อยอดใช้ในการบำรุงรักษาอาคารศาสนสถาน เพิ่มความคงทน ยืดอายุวัสดุที่จะนำไปซ่อมแซมบูรณะ และยังช่วยลดต้นทุนการดูแลรักษา รวมถึงเกิดความสวยงามให้กับอาคารศาสนสถานต่างๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบวิธีการทดสอบการเคลือบผิวอาคารและประเมินประสิทธิภาพของสารเคลือบ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการต่อยอดงานวิจัยไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบผิวที่เหมาะสมกับเนื้อวัสดุของสิ่งปลูกสร้าง เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพหรือความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของอาคารศาสนสถานหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ ด้วย
“สำหรับวัดปากน้ำ (สมุทรคงคาราม) นี้ เป็นพื้นที่ใกล้ทะเล มีความชื้นสูง โดยทีมวิจัยตั้งเป้าทดสอบประสิทธิภาพและความคงทนของสารเคลือบนาโนนี้ให้ได้ 10 วัดภายในปี 2563 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสารเคลือบในพื้นผิวต่างๆ สภาพแวดล้อม สภาพอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่” ดร.ธันยกรกล่าว พร้อมชี้ว่า นอกจากการต่อยอดใช้ในเชิงสาธารณประโยชน์และการท่องเที่ยวในพื้นที่ ยังสามารถต่อยอดในเชิงธุรกิจได้ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสี รวมถึงธุรกิจก่อสร้างที่เริ่มมีคนสนใจติดต่อเข้ามาแล้ว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ครม.อนุมัติจัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน” ในพื้นที่ EECi สวทช. พร้อมเดินหน้าหนุนการวิจัยพัฒนา ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
For English-version news, please visit : Cabinet approves the establishment of Sustainable Manufacturing Center
25 สิงหาคม 2563 ผู้อำนวยการ สวทช. ประกาศพร้อมเดินหน้าดำเนินงาน “ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC)” ภายใต้เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ ระบบอัจฉริยะ ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi ARIPOLIS) ณ วังจันทร์วัลเลย์ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าว มีนโยบายให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อต่อยอดการวิจัยพัฒนานำไปสู่เชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ในฐานะที่ สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เป็นเจ้าภาพหลักในการพัฒนา EECi ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในทุกภาคส่วน ให้เป็นศูนย์กลางการทำวิจัยและพัฒนา เพื่อต่อยอดไปสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์และเชิงสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ตามนโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งโครงการจัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC)” ภายใต้เมืองนวัตกรรมระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ ระบบอัจฉริยะ ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi ARIPOLIS) ที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. นี้มีระยะเวลาในการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2564 – 2568 ด้วยงบประมาณกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์สาธิตด้านอุตสาหกรรมอัจฉริยะ พัฒนาแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิต ผู้พัฒนาระบบ (SI) นวัตกร นักวิจัย ตลอดจนนักศึกษาในสาขาที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ให้ ทั้งในรูปแบบการสาธิต การเรียนรู้ และการทดลองปฏิบัติจริง ได้แก่ เครื่องมือประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0 Assessment Tools), สายการผลิตเพื่อการเรียนรู้ (Learning Station/Line) และ แพลตฟอร์มทดสอบ (testbed/sandbox) รวมไปถึงกิจกรรมวิจัยเพื่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ในการเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมและศูนย์กลางรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักของประเทศ เปลี่ยนวิถีการผลิตของประเทศตลอด Value Chain ครอบคลุมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และ SME รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มจากการเป็นฐานเชื่อมโยงงานบูรณาการองค์ความรู้และนวัตกรรมร่วมกัน เพื่อต่อยอดการวิจัยพัฒนาสู่การสู่เชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และสร้างให้เกิดผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนสอดคล้องนโยบาย BCG เพิ่มคุณภาพชีวิตและการจ้างงานของประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

รัฐมนตรีกระทรวง อว. เดินหน้าขับเคลื่อนเมืองนวัตกรรม EECi พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมฐานชีวภาพไทยด้วย วทน.
(24 สิงหาคม 2563) ณ พื้นที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง : ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อม ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการ รมว.อว. รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.อว. และ นายสำราญ รอดเพชร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ EECi และเยี่ยมชมสถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และ โรงเรียนกำเนิดวิทย์ (KVIS) รวมถึงเยี่ยมชมสวนทุเรียนใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้วยการนำเทคโนโลยี IoT มาพัฒนาเป็น “ระบบติดตามสภาวะแวดล้อมและให้น้ำทุเรียน”
โดยมี ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชฏามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. คุณวิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ EECi และเยี่ยมชมในครั้งนี้ว่า เป็นงานแรกหลังจากดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กิจกรรมนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ ครม.สัญจร จ.ระยอง จากการที่ลงพื้นที่ พบว่า EECi มีความคืบหน้าในการก่อสร้างเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้แล้วกว่าร้อยละ 40 โดยคาดว่าเมืองนวัตกรรม EECi จะพร้อมเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2564 รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์สำคัญที่สามารถรองรับการทำวิจัยขยายผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของ EECi อาทิ โรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี โรงเรือนฟีโนมิกส์ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน นอกเหนือจากการหาพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศจากหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา/สถาบันวิจัย กว่า 70 ราย แล้ว EECi ยังดำเนินกิจกรรมพัฒนาชุมชนด้วยการนำ วทน. เข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนภาคการเกษตร ภาคการศึกษา และวิสาหกิจชุมชนบนพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้ประโยชน์ด้วย
“อว. พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของ EECi อย่างเต็มกำลัง เนื่องจาก EECi เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ที่สำคัญของคนไทย ที่จะช่วยพลิกโฉมการทำนวัตกรรมของประเทศสู่เชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง ช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งในพื้นที่ EEC และในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ อันจะนำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต”
“อว. พร้อมให้การสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของ EECi อย่างเต็มกำลัง เนื่องจาก EECi เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ที่สำคัญของคนไทย ที่จะช่วยพลิกโฉมการทำนวัตกรรมของประเทศสู่เชิงพาณิชย์อย่างแท้จริง ช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งในพื้นที่ EEC และในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ อันจะนำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต”
รวมทั้งการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของไทยที่มีอย่างหลากหลายออกสู่ตลาดโลก ที่ด้านหนึ่งมีขีดความสามารถสร้างผลงานแล้วในระดับห้องปฏิบัติการ แต่ผลงานที่ได้ส่วนใหญ่ยังส่งไม่ถึงผู้ใช้ประโยชน์ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้ลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานและกลไกขยายผลงานวิจัย และอีกด้านหนึ่งก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศได้มากนัก เพราะขาดโครงสร้างพื้นฐานและกลไกที่จะรองรับการปรับแปลงเทคโนโลยีให้เข้ากับบริบทของไทย
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินงานการขยายผลและสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้ ตลอดจนองค์ความรู้ด้านการจัดการเกษตรสมัยใหม่ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาคเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในพื้นที่ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะทั้งในด้านพืชผัก ผลไม้ และประมง ได้แก่ เทคโนโลยีโรงเรือนเพาะปลูกและการบริหารจัดการครบวงจร เพื่อการจัดการการปลูกพืชผักครบวงจรตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูกในโรงเรือน การผลิตสารชีวภาพเพื่อควบคุมโรคพืชและแมลงศัตรูพืชผัก ระบบการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐาน เทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะพร้อมระบบติดตามและควบคุม เพื่อสาธิตและถ่ายทอดการปลูกพืชมูลค่าสูง เพื่อส่งต่อภาคอุตสาหกรรมแปรรูปในกลุ่ม อาทิ มะเขือเทศ พริก เทคโนโลยีระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ สำหรับการจัดการแปลงเพาะปลูกและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำ เทคโนโลยีระบบการให้น้ำตามสภาวะความต้องการของพืชในระบบแปลงเปิด เพื่อการประยุกต์ใช้ในการจัดการทรัพยากรน้ำในสวนทุเรียน สวนมังคุด ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร 29 ชุมชน รวมถึงเกษตรกรแกนนำ และ Young Smart Farmer รวม 29 ราย และร่วมพัฒนาศูนย์เรียนรู้เพื่อการขยายผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับภาคเอกชนและภาคการศึกษา 3 แห่ง
พร้อมทั้งจัดกิจกรรมการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ จากงานวิจัยขยายผล (Translational Research) มีการพัฒนาและติดตั้งต้นแบบแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเพื่อเกษตรสมัยใหม่ในพื้นที่ ได้แก่ ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ (Handy Sense) ติดตั้งในฟาร์มเกษตรกรรวม 34 แห่ง ระบบติดตามแจ้งเตือนสภาพทั้งกายภาพ เคมี และชีวภาพพร้อมระบบเฝ้าระวังและติดตามการระบาดของโรค สำหรับ ประมงอัจฉริยะ (Aqua IoT) ขยายผลการใช้งานในฟาร์มของผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (กุ้ง ปลา) รวม 15 แห่ง และอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบบ่อไร้ดินสำหรับการเลี้ยงกุ้งแนวใหม่ที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำ มีระบบหมุนวนน้ำ เติมออกซิเจน ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ เป็นแหล่งข้อมูลการควบคุมสภาพแวดล้อมและการจัดการอาหารตลอดระยะเวลาการเลี้ยงกุ้ง เพื่อการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต อีก 1 ต้นแบบ เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตภาคเกษตรกรในพื้นที่ EEC ให้เทียบเท่ากลุ่มการบริการและภาคอุตสาหกรรม ด้วย วทน. เพื่อหนุนให้การบริหารและส่งเสริมเขตนวัตกรรม EECi เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตอบโจทย์การพัฒนาประเทศต่อไป
รายละเอียดเพิ่มเติม: www.eeci.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

รัฐมนตรีกระทรวง อว. เยี่ยมสวนทุเรียนเน้นย้ำให้ความสำคัญเกษตรกรใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตสร้างรายได้
24 สิงหาคม 2563 ณ พื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง : ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อม ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการ รมว.อว. รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.อว. และ นายสำราญ รอดเพชร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง อว. รศ. ดร.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหาร ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมชมสวนทุเรียนใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมด้วยการนำเทคโนโลยี IoT มาพัฒนาเป็น “ระบบติดตามสภาวะแวดล้อมและให้น้ำทุเรียน”
โดยมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คุณวิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ให้การต้อนรับและนำเยี่ยมชม
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับในพื้นที่ EECi แล้ว สวทช. ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยได้ดำเนินงานการขยายผลและสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยีพร้อมใช้ ตลอดจนองค์ความรู้ด้านการจัดการเกษตรสมัยใหม่ ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาคเกษตรกร หน่วยงานภาครัฐ ภาคสถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในพื้นที่ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะทั้งในด้านพืชผัก ผลไม้ และประมง ได้แก่ เทคโนโลยีโรงเรือนเพาะปลูกและการบริหารจัดการครบวงจร เพื่อการจัดการการปลูกพืชผักครบวงจรตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูกในโรงเรือน การผลิตสารชีวภาพเพื่อควบคุมโรคพืชและแมลงศัตรูพืชผัก ระบบการผลิตเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐาน เทคโนโลยีโรงเรือนอัจฉริยะพร้อมระบบติดตามและควบคุม เพื่อสาธิตและถ่ายทอดการปลูกพืชมูลค่าสูง เพื่อส่งต่อภาคอุตสาหกรรมแปรรูปในกลุ่ม อาทิ มะเขือเทศ พริก เทคโนโลยีระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ สำหรับการจัดการแปลงเพาะปลูกและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำ เทคโนโลยีระบบการให้น้ำตามสภาวะความต้องการของพืชในระบบแปลงเปิด เพื่อการประยุกต์ใช้ในการจัดการทรัพยากรน้ำในสวนทุเรียน สวนมังคุด ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับเกษตรกร 29 ชุมชน รวมถึงเกษตรกรแกนนำ และ Young Smart Farmer รวม 29 ราย และร่วมพัฒนาศูนย์เรียนรู้เพื่อการขยายผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับภาคเอกชนและภาคการศึกษา 3 แห่ง
พร้อมทั้งจัดกิจกรรมการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ จากงานวิจัยขยายผล (Translational Research) มีการพัฒนาและติดตั้งต้นแบบแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะเพื่อเกษตรสมัยใหม่ในพื้นที่ ได้แก่ ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ (Handy Sense) ติดตั้งในฟาร์มเกษตรกรรวม 34 แห่ง ระบบติดตามแจ้งเตือนสภาพทั้งกายภาพ เคมี และชีวภาพพร้อมระบบเฝ้าระวังและติดตามการระบาดของโรค สำหรับ ประมงอัจฉริยะ (Aqua IoT) ขยายผลการใช้งานในฟาร์มของผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (กุ้ง ปลา) รวม 15 แห่ง
และอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบบ่อไร้ดินสำหรับการเลี้ยงกุ้งแนวใหม่ที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำ มีระบบหมุนวนน้ำ เติมออกซิเจน ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ เป็นแหล่งข้อมูลการควบคุมสภาพแวดล้อมและการจัดการอาหารตลอดระยะเวลาการเลี้ยงกุ้ง เพื่อการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต อีก 1 ต้นแบบ เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตภาคเกษตรกรในพื้นที่ EEC ให้เทียบเท่ากลุ่มการบริการและภาคอุตสาหกรรม ด้วย วทน. เพื่อหนุนให้การบริหารและส่งเสริมเขตนวัตกรรม EECi เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตอบโจทย์การพัฒนาประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ติวเข้ม ผู้ประกอบการอุตฯ เครื่องสำอาง เตรียมความพร้อมนำธุรกิจสู่ตลาดโลก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และโครงการบริหารจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (IM) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดอบรมวิชาการ Master Class EP II ในเรื่อง Global Gateway for Cosmetic Industry ภายใต้โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเครื่องสำอางสู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2563 ระยะที่ 1 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และนักวิจัยพี่เลี้ยง กว่า 50 คน เพื่อให้ความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติสู่เชิงพาณิชย์ ก่อนที่จะคัดเลือกผู้ประกอบการ 3 ราย ร่วมงาน COSMETIC-360 ครั้งถัดไปที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อขยายตลาดต่างประเทศ สร้างภาพลักษณ์ด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ไทย
นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และรองผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า โครงการเชื่อมโยงธุรกิจนวัตกรรมเครื่องสำอางสู่ตลาดต่างประเทศ (CIB) เป็นความร่วมมือของพันธมิตรหลายฝ่าย ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS สมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และโครงการบริหารจัดการนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ (IM) รวมถึงในปี 2563 มีการขยายการเชื่อมโยงเครือข่ายการดำเนินงานร่วมกันกับมหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งจะอาศัยจุดแข็งจากหน่วยงานพันธมิตรในการร่วมกันดำเนินการจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ CIB2020 โดยจะคัดเลือกผู้ประกอบการไทยที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมสารสกัด หรือสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ เพื่อใช้ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยเน้นสารที่มีคุณสมบัติด้านการชะลอวัย (Anti-aging) และเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการมีผลทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์ ก่อนผลักดันเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ COSMETIC 360 ที่จัดขึ้นโดยเครือข่าย Cosmetic Valley ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อให้ทราบถึงแนวโน้มเทคโนโลยี นวัตกรรม และตลาดอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เกิดการแลกเปลี่ยน เชื่อมโยงการทำงานในรูปแบบเครือข่ายนวัตกรรมเครื่องสำอาง แสวงหาตลาดใหม่ ๆ และนำข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการวางแผนและกำหนดทิศทางพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเกิดการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนกับคู่ค้าจากฝรั่งเศส หรือต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอางโลกได้อย่างมีประสิทธิผล อันจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับภาครัฐและเอกชนไทยต่อไป ทั้งนี้ การสนับสนุนที่ผ่านมา พบว่า ประสบความสำเร็จในการช่วยผลักดันและส่งเสริมให้ SME ไทย มากกว่า 10 กิจการ เกิดการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชนนานาชาติ และเกิดการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างประเทศ
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย Super Manager โปรแกรมเวชสำอาง สวทช. กล่าวเสริมว่า โครงการ CIB2020 เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สวทช. TCLES และวิทยากรจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีการทำงานจับคู่ไปด้วยกัน 8 คู่ ดำเนินการวิจัย มีผู้ประกอบการหลายรายได้รับผลการทดลองแล้ว ได้ชิ้นงานผลงานที่มีคุณภาพ เพื่อนำไปใช้ในการหารือกับคู่ค้าต่อไป และด้วยสถานการณ์ COVID การร่วมงาน COSMETIC 360 ในปีนี้ จึงปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็น virtual แทน โดยจะเน้นการให้ความรู้เรื่องเทรนด์เครื่องสำอางต่าง ๆ และสำหรับกิจกรรมการอบรมวิชาการในครั้งนี้ เป็น Master Class EP II ที่ให้ความรู้ในเรื่องพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง (พรบ. เครื่องสำอาง 2558) พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร (พรบ. ผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2562) การประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การจัดเตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง การระคายเคือง และการทดสอบการแพ้ในอาสาสมัคร การจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการขึ้นสารใหม่ที่ใช้ทางเครื่องสำอางผ่านระบบ “Personal Care Products Council” ตลอดจนกิจกรรมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดเตรียมข้อมูลผลิตภัณฑ์และประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการร่วมกัน ภายหลังจากนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะก้าวเข้าสู่งาน COSMECTIC 2564 ทั้งการสนับสนุนพาออกงาน แสดงผลงาน นิทรรศการ show case ตามงานต่าง ๆ รวมถึงจะมี Master Class EP III ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำเสนอผลงานในรูปแบบ Pitching เพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการ 3 รายที่โดดเด่นเข้าร่วมงาน COSMETIC 360 ปี 2021
ด้าน ผศ.ดร.วีรวัฒน์ ตีรณะชัยกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในวิทยากร กล่าวว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย หลายบริษัทเริ่มพัฒนาไปมาก โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีการทำตัวสารสกัดที่ใช้สมุนไพรค่อนข้างมาก และเริ่มมีการทำวิจัยที่ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นการนำสมุนไพรมาสกัดเพียงอย่างเดียวและควบคุมคุณภาพ แต่ปัจจุบันมีหน่วยงานของภาครัฐหลายที่ให้การสนับสนุนและผู้ประกอบการเองให้ความสนใจในการทำวิจัยมากขึ้น มีการศึกษาฤทธิ์ของตัวสารสกัด เช่น นาโนเทค สวทช. มีการศึกษาฤทธิ์ในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น whitening, Anti-aging ต่าง ๆ หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยเองได้เริ่มทำวิจัยด้านเครื่องสำอางค่อนข้างมาก ฉะนั้นอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะเรื่องของสารสกัดจึงมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น ส่วนในเรื่องการผลิตประเทศไทยมีศักยภาพสูงอยู่แล้ว โดยปกติในระดับของอาเซียน ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 1 แต่หากเทียบในระดับภูมิภาคเอเชีย ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากเกาหลีและญี่ปุ่น ฉะนั้นอุตสาหกรรมเรื่องของสารสกัดในตอนนี้จึงถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เพราะประเทศไทยมีสมุนไพรจำนวนมากและยังมีสารสกัดอีกหลายตัวที่ยังไม่ได้ทำการศึกษา ซึ่งการจัดโครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ดีที่จะทำให้ผู้ประกอบการได้ทราบว่า การทำวิจัยของตัวสารสกัดมีหลักเกณฑ์และหัวข้ออะไรบ้างที่ผู้ประกอบการต้องนำไปใช้ในการศึกษาเพื่อให้สารสกัดนั้นสามารถที่จะนำมาใช้ได้ในเครื่องสำอางได้ต่อไป
“สำหรับผู้ประกอบการที่จะได้รับการคัดเลือกจำนวน 3 รายที่มีความโดดเด่น มองว่า อันดับแรกเลย คือ ตัวสารสกัดจะต้องมี Marketing Story เพราะเป็นสิ่งแรกที่คนจะสนใจ ถัดไปคือการทดสอบในเรื่องความปลอดภัย สารที่ใช้จะต้องมีการทดสอบความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐานว่าต้องทดสอบหัวข้ออะไรบ้าง และสุดท้ายคือเรื่องการทำ Efficacy tests ซึ่งอาจเป็นการทำในหลอดทดลองหรือการทำในอาสาสมัคร ต้องอยู่ที่ว่าผู้ประกอบการสามารถที่จะดึงทั้ง 3 ส่วนขึ้นมานำเสนอให้กรรมการเห็นได้ไหมว่า สินค้าของตนเองเป็นสินค้าที่มีทั้งใบรับรอง certificate และมีการตลาดที่น่าสนใจ” ผศ.ดร.วีรวัฒน์ ตีรณะชัยกุล กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดเวที Innovation Pithch 2020 หนุน Startup – SMEs เพิ่มโอกาสการลงทุน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดเวที Innovation Pitch 2020 ครั้งที่ 4 สำหรับผู้ประกอบการเทคโนโลยีที่สนใจนำเสนอธุรกิจให้กับนักลงทุนและกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสในการร่วมลงทุน และระดมเงินทุน การต่อยอดเทคโนโลยีร่วมกัน การถ่ายทอดเทคโนโลยี การขอรับรองธุรกิจ Start-Up การขึ้นบัญชีนวัตกรรม การเข้าร่วมโครงการภาษี 300% การประเมินและจัดอันดับเทคโนโลยี และการให้คำปรึกษา ITAP ร่วมวิจัย-จ้างวิจัย หรือการส่งเสริมความร่วมมือในรูปแบบอื่น ๆ ในวันที่ 27 สิงหาคม 2563 นี้ เวลา 11.00 – 12.00 น. ผ่าน Cisco Webex Event ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/SECBEYE1tJgVmjy96 และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณธญา วรรณเสน อีเมล์ taya.wan@nstda.or.th โทร 025647000 ต่อ 71693
ข่าวประชาสัมพันธ์