ผลการค้นหา :
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021: EP.5 อีกทางเลือกชุดตรวจโควิด ติด…ไม่ติด ที่นี่มีคำตอบ
R&D Sharing 2021: EP.5
อีกทางเลือกชุดตรวจโควิด ติด...ไม่ติด ที่นี่มีคำตอบ
.
ค้นหาคำตอบในรอบสัปดาห์นี้ กับ “อีกทางเลือกชุดตรวจโควิด ติด...ไม่ติด ที่นี่มีคำตอบ” ใน R&D Sharing ร่วมค้นหาคำตอบที่คุณอยากรู้ คลายความสงสัยในทุกประเด็นแบบเจาะลึกกับนักวิจัยไทยที่ผลิตชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคใหม่ ตรวจครบในจุดเดียว นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ!
.
ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความรู้ ทุกคำถามเรามีคำตอบ ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดนี้ก่อนใคร...
.
แล้วพบกัน!!! 1 กันยายน 2564
เวลา 10.30-11.15 น.
มาร่วมพูดคุยกับ คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย
นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด
ไบโอเทค สวทช.
รับชมได้ทาง
Facebook: NSTDA-สวทช.
https://www.facebook.com/NSTDATHAILAND
หรือรับฟังเสียงทาง Club House “Sci Sence”
https://www.clubhouse.com/join/sci-scene/ppmQCpl1/PGlwAazw
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม ระหว่างวันที่ 21 – 23 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เนื้อหา กิจกรรมและสื่อการเรียนการสอนเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ “Plant Factory โรงงานผลิตพืช” และ “เทคโนโลยี IoT เพื่อการเกษตร” ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของนักวิจัยสวทช. เน้นการนำความรู้เรื่องกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ความยาวคลื่นและความเข้มของแสงที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืชมาใช้ออกแบบแสงเทียมจากหลอดไฟ LED แทนแสงจากดวงอาทิตย์ในการควบคุมการเจริญเติบโตและสร้างสารออกฤทธิ์สำคัญบางชนิดที่มีประโยชน์และมูลค่าสูง รวมถึงการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาช่วยในระบบการปลูกพืช
ครูผู้สอนที่เข้าอบรมจะได้รับความรู้ผ่านกิจกรรม hands - on ตามแนวทางสะเต็มศึกษาที่พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น การคิดวิเคราะห์ การสื่อสารข้อมูล การทำงานเป็นทีม ฯลฯ สามารถนำกิจกรรมและสื่อจากหลักสูตรนี้ไปออกแบบการจัดการเรียนรู้ พัฒนาต่อยอดเป็นผลงานหรือนวัตกรรมที่นำไปประยุกต์ใช้จริง อันเป็นพื้นฐานต่อยอดสู่อุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ที่กำลังเติบโตในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)
โดยมีครูผู้สอนในระดับมัธยมศึกษาเข้าร่วมอบรมจากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 60 คน ทั้งยังมีบุคลากรทางการศึกษามากกว่า 40 ท่าน เข้าร่วมสังเกตการณ์
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. อัญเชิญพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับความสำคัญของการเกษตร เพื่อกล่าวต้อนรับความดังนี้ “...กสิกรรมและเกษตรกรรมเป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านทั้งหลายจะต้องช่วยกันค้นคว้าหาความรู้และความชำนาญให้กว้างขวางยิ่งขึ้นเสมอ และพยายามส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ที่ได้ศึกษามาแก่กสิกร และเกษตรกร ให้ได้ทราบถึงวิธีปฏิบัติอันถูกต้องตามหลักวิชาอีกด้วย จึงจะเกิดประโยชน์แก่สังคมในด้านนี้ และเป็นผลดีแก่ประเทศชาติสืบไป...” (คัดตัดตอนจากพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 19 กรกฎาคม 2505) และ “...เศรษฐกิจของเราขึ้นอยู่กับการเกษตรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รายได้ของประเทศที่ได้มาใช้สร้างความเจริญด้านต่าง ๆ เป็นรายได้จากการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่าความเจริญของประเทศต้องอาศัยความเจริญของเกษตรเป็นสำคัญ และงานทุก ๆ ฝ่ายจะดำเนินการก้าวหน้าไปได้ก็เพราะการเกษตรของเราเจริญ...” (คัดตัดตอนจากพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและอนุปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 9 กรกฎาคม 2507) ดังนั้นการส่งเสริมให้ครูผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจและมีประสบการณ์ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องจะทำให้สามารถนำไปใช้เสริมในการออกแบบการเรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้จัดประสบการณ์ให้แก่นักเรียนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
จากนั้นเป็นการบรรยายภาพรวมโครงการ โดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวถึงการอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย 4 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเคมีชีวภาพ “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” 4) หลักสูตร อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC
โดยมี ดร.สมศักดิ์ ทองเนียม ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง กล่าวเปิดการอบรม ต่อด้วยการบรรยายพิเศษ ภาพรวมการอบรมและพัฒนาครูหลักสูตรอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม โดย อาจารย์ณภัทร ศรีละมัย ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา ซึ่งได้กล่าวถึงรูปแบบการอบรมเชิงปฏิบัติการที่เป็นการผสานสาระการเรียนรู้การงานอาชีพกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน เป็นการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาพัฒนาให้งานเกษตรเกิดมูลค่ามากขึ้น ช่วยให้การทำงานสะดวก รวดเร็ว ไม่ได้เป็นเพียงการเรียนการสอนงานเกษตรหรืองานช่าง อีกทั้งยังเป็นการ Upskill ครูผู้สอนกลุ่มสาระการงานอาชีพร่วมกับกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ผสานความรู้ไปสู่วิทยาศาสตร์เพื่อการอาชีพ ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการที่ทำได้จริง
หลักสูตรที่ออกแบบโดยนางสาวจิดากาญจน์ สีหาราช นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. และทีมวิทยากร แนะนำภาพรวมหลักสูตรซึ่งประกอบด้วยการบรรยายเนื้อหาความรู้และกิจกรรมปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความรู้ความเข้าใจ ได้ประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการเกษตรสมัยใหม่ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอนาคต คือ Plant Factory โรงงานผลิตพืช และเทคโนโลยี IoT เพื่อการเกษตร ผ่านกิจกรรม hands - on พร้อมเทคนิคและสื่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางแชตหรือโปรแกรมช่วยสอน รวมถึง สื่อ แอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น padlet Quizlet TikTok Canva
การบรรยายช่วงแรกในหัวข้อ นวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ plant factory โรงงานผลิตพืช เพื่อการเกษตรในอนาคต โดย ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ นักวิจัย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. เกี่ยวกับแนวโน้มของเทคโนโลยีสมัยใหม่ plant factory โรงงานผลิตพืชเพื่อการเกษตรในอนาคต ความสำคัญของการปลูกพืชสมัยใหม่ที่มีการวางแผนออกแบบระบบปลูกและใช้แสงเทียม ตัวอย่างพืชที่นิยมปลูก บทบาทในมิติต่าง ๆ ของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้ในการปลูกพืช รวมถึงตัวอย่างงานวิจัยและเทคโนโลยีโรงงานผลิตพืช สวทช.
ต่อด้วยการบรรยายที่น่าสนใจในหัวข้อ “รู้จักกับไมโครกรีน....ผักจิ๋วมหัศจรรย์” โดย ผศ.ดร.ณัฐชัย พงษ์ประเสริฐ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นำเสนอ “ไมโครกรีน” ที่มีคุณประโยชน์และเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แนวโน้มการปลูกพืชแนวใหม่ การปลูกโดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบแสงเทียม รวมถึง IoT กับการเกษตรสมัยใหม่เพื่อควบคุมคุณภาพผลผลิตและกระตุ้นสารสำคัญในพืช ปิดท้ายด้วยการลงมือปลูกพืชไมโครกรีนของคุณครูผู้เข้าร่วมอบรม
ภาคบ่ายต่อด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจในหัวข้อ เทคโนโลยี IoT กับการเกษตรสมัยใหม่ การปรับใช้ในการจัดกิจกรรม STEM ศึกษาในชั้นเรียน โดย ผศ.ดร.จุฬาลักษณ์ วัฒนานนท์ นายพลวัฒน์ จินตนาภรณ์ และนายประภาส ทองรัก จากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.ธัญบุรี ซึ่งเริ่มกิจกรรมด้วย “Coding กับ KidBright IoT” เกี่ยวกับการใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานต่าง ๆ เช่น การสร้างบล็อกคำสั่ง การสร้างเงื่อนไข แล้วเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่มห้องย่อยของ Zoom
วันที่ 2 ของการอบรมเริ่มด้วยกิจกรรม “Coding กับ KidBright IoT” ต่อเนื่องจากวันแรก เป็นความรู้เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรและนำมาประยุกต์เป็นกิจกรรม STEM ในชั้นเรียน โดยเรียนรู้ระบบการใช้งานและปฏิบัติการสร้างคำสั่งใช้งานระบบ IoT สั่งการผ่านแอปพลิเคชัน KidBright IoT รวมถึงระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ เชื่อมโยงสู่การออกแบบระบบการดูแลพืชในกล่องปลูกพืช โดย ผศ.ดร.จุฬาลักษณ์ วัฒนานนท์ นายพลวัฒน์ จินตนาภรณ์ และทีมผู้ช่วยวิทยากร จากสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.ธัญบุรี
ต่อด้วยกิจกรรม เรียนรู้สเปกตรัมแสง เพื่อการเพาะปลูกพืช ไมโครกรีน โดย ดร.อัชฌา กอบวิทยา นักวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ และนางสาวกมลชนก ดวงกันยา เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ความรู้พื้นฐานเรื่องแสงและปฏิบัติการวัดค่า PPFD (Photosynthesis Photo Flux Density) หน่วยวัดปริมาณแสงที่พืชใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง เปรียบเทียบความเข้มแสงที่ได้จากจำนวนหลอดไฟที่แตกต่างกัน ระยะทางที่แตกต่างกัน สำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานในการออกแบบกล่องปลูกพืช
หลังจากนั้นเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช แสงที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไมโครกรีน และระบบ IoT เพื่อปฏิบัติภารกิจกลุ่มออกแบบกล่องปลูกพืชไมโครกรีนที่ใช้ระบบควบคุมแสงเทียม
เริ่มกิจกรรมวันสุดท้ายด้วยการนำเสนอผลงานการออกแบบกล่องปลูกพืชไมโครกรีนโดยใช้ระบบ IoT ดูแลพืชและผลิตภัณฑ์จากไมโครกรีน เมนูอาหารหรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วยโปสเตอร์ Canva
เสริมด้วยการบรรยาย หัวข้อ การนำกิจกรรมจากหลักสูตรอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม ไปสู่การออกแบบการจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมในสถานศึกษา โดย คณะศึกษานิเทศก์จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง นำโดย ศน.อมร สุดแสวง และคณะศึกษานิเทศก์จากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา นำโดย ศน.ณภัทร ศรีละมัย เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเห็นแนวทางการนำความรู้ สื่อการเรียนรู้ กิจกรรม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาที่ได้รับจากการอบรมไปปรับประยุกต์ใช้ต่อไป โดยรูปแบบการนำไปใช้อาจจะเป็นกิจกรรมชุมนุม ค่ายวิชาการ หน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาพื้นฐาน หน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเติม รายวิชาเพิ่มเติมตามแผนการเรียน ซึ่งครูผู้เข้าอบรมได้ระดมความคิดในกลุ่มย่อยออกแบบเป็นร่างแนวทางการนำกิจกรรมไปประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน ก่อนที่จะสรุปกิจกรรมและร่วมกันวางแผนการดำเนินงานติดตามการนำกิจกรรมไปใช้ในสถานศึกษาต่อไป
เสียงสะท้อนส่วนหนึ่งจากผู้เข้าร่วมอบรม จาก คุณครูสรัญญา จาก รร.พนมสารคาม พนมอดุลวิทยาฉะเชิงเทรา “ได้รู้จักกับ plant factory ไมโครกรีน การปลูกโดยใช้แสงเทียม KidBright ขอขอบคุณทีมวิทยากรทุกท่านที่ได้นำความรู้ใหม่ ๆ มาให้เรา เกิดแนวคิดใหม่ที่สามารถนำไปปรับใช้ในการสอนได้”
“ชอบทุกกิจกรรมเลยค่ะ อุปกรณ์ครบถ้วนมาก ๆ ได้ไอเดียในการในการจัดการเรียนรู้ ขอบคุณทุก ๆ ฝ่ายเลยค่ะ” จากคุณครูธนิษฐา อินทมาตยากูล รร.พานทองสภาชนูปถัมภ์ ชลบุรี
“เป็นการอบรมที่ดีมาก มีอุปกรณ์ให้ดำเนินกิจกรรม ได้ลงมือปฏิบัติ ทำให้รู้ถึงปัญหาก่อนที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการสอน แต่การเขียนโปรแกรมต้องใช้เวลา หากมีครั้งต่อไป อยากให้ขยายเวลาแบ่งเป็นส่วน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการเขียน code ต้องใช้เวลาและแต่ละคนมีพื้นฐานต่างกัน ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ในครั้งนี้ค่ะ” จาก คุณครูทิวาพร คนหาญ รร.สุนทรภู่พิทยา ระยอง
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
วศ. จับมือ วว.และ สวทช. เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด” มองภาพอนาคตตอบโจทย์ประเทศ
26 สิงหาคม 2564 ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานเสวนา เรื่อง “ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด”
จัดโดยกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผ่านระบบ ZOOM Online และ Facebook Live เพื่อสอดคล้องกับนโยบายการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้าฯ สป.อว.
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.อว. กล่าวว่า การจัดงานเสวนาในครั้งนี้ เป็นการร่วมมือหลายหน่วยงานในสังกัด อว. อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ชาติไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรป รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิทยา จากมหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ เรื่อง “เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างอนาคต” บรรยากาศงานจะทำให้ทุกท่านได้รับความรู้ ความเข้าใจ ด้านประวัติศาสตร์ วิวัฒนาการความเชื่อมโยงในการพัฒนาองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน และสามารถมองภาพอนาคตประเทศไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของกระทรวง อว. ในฐานะเป็นกระทรวงแห่งความรู้ ศิลปะวิทยาการ ผสมผสานทั้งสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปกรรมศาสตร์ ตลอดจนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ ได้เปิดเวทีเสวนา เรื่อง “ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด” โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ศาสตราจารย์ (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมแลกเปลี่ยนบันทึกประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ชาติไทย ประวัติศาสตร์หน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ที่รวมถึงการเรียนรู้อดีตที่ผ่านมาของหน่วยงาน ภารกิจความรับผิดชอบสำคัญ เรื่องราวที่พบเจอวิวัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ในแต่ละยุคสมัย จนถึงสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2534 โดยในช่วงแรกประกอบด้วย 3 ศูนย์แห่งชาติ คือ 1 ไบโอเทค มุ่งเน้นงานวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพที่เกี่ยวกับพืชและสัตว์เศรษฐกิจเป็นหลัก 2 เนคเทค มุ่งเน้นงานวิจัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ และ 3 เอ็มเทค มุ่งทำงานวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ โลหะ ยาง เป็นต้น แม้ในช่วงแรกนั้น สวทช. ยังไม่ค่อยได้ทำงานวิจัยด้านสุขภาพและการแพทย์มากนัก จนกระทั่งในปี 2539 เนคเทคได้เริ่มจัดทำโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (พระนามในขณะนั้น) และต่อมาได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ จัดทำโครงการนำร่อง “ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ” ในปี 2543 เพื่อส่งเสริม วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ ให้คนพิการได้รับโอกาส มีความเท่าเทียมกันในสังคม สามารถพึ่งพิงตนเองได้ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
สวทช. มีการพัฒนา ยาต้นแบบ P218 สำหรับรักษาโรคมาลาเรีย จากคณะผู้วิจัยไบโอเทค สวทช. นำโดย ศ. ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ ศึกษาวิจัยกลไกยาต้านมาลาเรียกลุ่มแอนติโฟเลตมาตั้งแต่ปี 2540 กระทั่งปี 2547 ประสบความสำเร็จค้นพบโครงสร้าง 3 มิติของโปรตีนที่มาลาเรียสร้างขึ้น ซึ่งนำมาสู่การต่อยอดพัฒนายาต้นแบบ P218 ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อมาลาเรียทั้งสายพันธุ์ที่ไวต่อยาและดื้อต่อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปี 2555
นอกจากนี้ สวทช.ยังพัฒนา เดนตีสแกน DentiiScan เทคโนโลยีขั้นสูงที่ช่วยให้เห็นความสูง ความหนา และความกว้างของกระดูกขากรรไกร รวมทั้งคลองเส้นประสาทอย่างชัดเจน ทันตแพทย์สามารถวางแผนก่อนการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันมีการติดตั้งใช้งานในโรงพยาบาลแล้ว 57 เครื่อง ใน 42 จังหวัด
ทั้งนี้ สวทช. ได้วิจัยพัฒนาและสั่งสมองค์ความรู้เทคโนโลยีด้านสุขภาพและการแพทย์ โดยมีการบูรณาการความรู้ในหลากหลายสาขาเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะในด้านการแพทย์ที่ตอบโจทย์สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ซึ่ง สวทช. ได้ใช้องค์ความรู้และพัฒนาเทคโนโลยีวัคซีนมาตั้งแต่ปี 2547 ประเทศไทยเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดนก H5N1 ไบโอเทค สวทช. ได้มอบหมายให้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค สวทช. เร่งศึกษาเทคโนโลยีด้าน Reverse Genetics ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างไวรัสจากสารพันธุกรรมในหลอดทดลองโดยไม่ต้องแยกไวรัสออกมาจากผู้ป่วย เพื่อใช้เป็นแนวทางการผลิตวัคซีนในประเทศไทย
“จากองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาวัคซีนไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ 2009 และการศึกษาไวรัสโคโรนา เชิงลึกเพื่อนำวัคซีนในสุกร ได้กลายเป็นฐานทุนที่นำมาสู่การพัฒนาต้นแบบ วัคซีนต้นแบบป้องกันโรคโควิด-19 แบบพ่นจมูก เพื่อรับมือสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ได้สำเร็จ ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอ อย. ขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อทดลองในมนุษย์ต่อไป” ผอ. สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
ภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการย่อย ผลงานและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย โดย วศ. แสดงเครื่องมือวิทยาศาสตร์ยุคแรกๆ ได้แก่ สมุดบันทึกการทดลองของ ดร.ตั้ว ลพานุกรม คู่มือเภสัชกรรมหรือคู่มือวิชาการ Handbuch Der Pharmakognosie ไฮโดรมิเตอร์ ระฆังตีนอกเวลาเรียนสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ และเครื่องโรเนียวบัตรรายการ เป็นต้น ทั้งนี้สวทช. ได้แสดงผลงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมด้านการแพทย์
อาทิ ต้นแบบวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 แบบพ่นจมูก (Adenovirus -based และ Influenza-based) , ชุดตรวจ NANO COVID-19 Rapid Test, ชุดตรวจ COXY-AMP, สราตั้งต้น (API) สำหรับ Favipiravir, n-SPHERE หมวกแรงดันบวกและแรงดันลบ เป็นต้น ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ นำไปปรับใช้ประโยชน์ ต่อยอดงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
2 กระทรวงผนึกกำลัง ใช้ประโยชน์จาก Big DATA จัดการท่องเที่ยวอุทยานธรณี หนุนเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืน
วันที่ 26 สิงหาคม 2564 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “การสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา เพื่อขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการสนับสนุนหน่วยงานในยุคดิจิทัลและ BCG Model” ในรูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) สู่การอนุรักษ์ ป้องกัน และจัดการแหล่งเรียนรู้ สร้างมูลค่าและประโยชน์ของงานทางด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย และอุทยานธรณี สอดรับโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Economy model รวมทั้งสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนกรมทรัพยากรธรณี สู่การเป็นองค์กรดิจิทัลในอนาคต
ดร.สมหมาย เตชวาล อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเกี่ยวกับการสงวน การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดำบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม และธรณีพิบัติภัย โดยการสำรวจ ตรวจสอบ และวิจัยสภาพธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณี การประเมินศักยภาพแหล่งทรัพยากรธรณี การกำหนดและกำกับ ดูแลเขตพื้นที่สงวน อนุรักษ์ ทรัพยากรธรณี และพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อการพัฒนาทรัพยากรธรณี คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องสู่สาธารณชน จึงร่วมมือกับกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรทางวิชาการ อาทิ เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ เครือข่ายธรณีพิบัติภัย เครือข่ายอุทยานธรณี เครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เผยแพร่ประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ทางวิชาการด้านธรณีวิทยาสู่ชุมชนและหน่วยงานในท้องถิ่น สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น เพื่อยกระดับการสร้างการรับรู้สู่สาธารณชน กรมทรัพยากรธรณีจึงได้สนับสนุนและขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมและการแปรรูปทางดิจิทัล (Digital Transformation & Innovation : DTI) ในงานด้านธรณีวิทยา ที่สอดคล้องกับแนวคิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในปัจจุบัน โดยร่วมมือกับเนคเทคขับเคลื่อนการวิจัย พัฒนา สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม แลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้และประสบการณ์ พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือร่วมกัน จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านธรณีวิทยา บูรณาการกับความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มในมิติต่างๆ ของเนคเทค ที่เป็นองค์กรวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อสร้างนวัตกรรมผลงานและเชื่อมโยงข้อมูลที่มีประสิทธิภาพให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ควบคู่กับการพัฒนาโครงการต่างๆ ร่วมกันในอนาคต
สำหรับนวัตกรรมและการแปรรูปทางดิจิทัล (Digital Transformation & Innovation : DTI) ที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดงานวิจัย นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ของกรมทรัพยากรธรณี ได้แก่ DTI สำหรับงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ งานด้านพิพิธภัณฑ์ งานด้านธรณีพิบัติภัย งานด้านสำรวจธรณีฟิสิกส์ งานด้านอุทยานธรณี และถ้ำวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ธรณีวิทยา ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับเครือข่ายการวิจัยและพัฒนา และสร้างระบบการใช้เทคโนโลยีในการวิจัยและพัฒนาให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวถึงความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม และผลงานวิจัย ในความร่วมมือนี้ โดยนำ “นวนุรักษ์” (https://www.navanurak.in.th) แพลตฟอร์มบริหารจัดการและให้บริการข้อมูลวัฒนธรรม สร้างฐานข้อมูลและความหลากหลายทางชีวภาพอัตลักษณ์ชุมชนและพื้นที่อุทยานธรณี และ“Museum pool”แพลตฟอร์มบริหารจัดการเนื้อหาการนำชมมาใช้ในส่วนฐานข้อมูลการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ทั้ง 7 แห่ง ของ ทธ. นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาใช้ในอุทยานธรณี (Geopark) เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนเพื่อบริหารการจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่อุทยานธรณี ยกระดับพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในระดับประเทศและระดับโลก โดยใช้องค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การประสานเชื่อมโยงนักวิจัย กับเครือข่ายให้เกิดการทำงานร่วมกัน ศึกษาวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จ.สตูล ในระบบนิเวศถ้ำ (ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำอุไรทอง และถ้ำทะลุ) ทะเลและชายฝั่ง และความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบพืช สัตว์ จุลินทรีย์และเห็ดรา รวมทั้งสิ้น 802 ชนิด นำข้อมูลเข้านวนุรักษ์แพลตฟอร์มดิจิทัล จำนวน 3,163 รายการ (ข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพ 2,076 รายการ และข้อมูลวัฒนธรรม 1,088 รายการ) และยังได้นำข้อมูลไปอบรมไกด์ท้องถิ่นในพื้นที่ จัดทำคู่มือการอนุรักษ์หญ้าทะเลหอสี่หลัง คู่มือเล่าเรื่องอย่างง่ายสิ่งมีชีวิตเด่น ป้ายประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code คลิปวีดิโอเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเอกสาร Biodiversity in Satun UNESCO Global Geopark และได้แต่งตั้งคณะทำงานความหลากหลายทางชีวภาพพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวสร้างเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ เนคเทค สวทช. ได้นำงานวิจัยและพัฒนามาประยุกต์ใช้ในกระบวนการวิธีประเมินความเสี่ยงจากภัยพิบัติดินถล่มและหินหล่นด้วยการประยุกต์ใช้ไอซีที เช่น การติดตั้งระบบเครือข่ายเซนเซอร์ไร้สายในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม การวิเคราะห์ข้อมูล point clouds เพื่อระบุเหตุการณ์หินหล่น และการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อระบุพื้นที่เกิดดินถล่ม
โครงการความร่วมมือระหว่าง 2 หน่วยงาน จะเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน เครือข่ายพิพิธภัณฑ์ทางด้านทรัพยากรธรณี เครือข่ายการวิจัยด้านธรณีพิบัติภัย เครือข่ายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับงานด้านธรณีวิทยา ธรณีพิบัติภัย อุทยานธรณี และแหล่งธรณีวิทยา รวมทั้งสามารถนำเทคโนโลยีด้านธรณีวิทยาไปประยุกต์ใช้ เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาของภาคประชาชนในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการบูรณาการความร่วมมือในการใช้เครื่องมือที่เกิดขึ้น จากงานวิจัยและองค์ความรู้ด้านในการสงวน อนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการด้านธรณีวิทยา ทรัพยากรธรณี ซากดึกดําบรรพ์ ธรณีวิทยาสิ่งแวดล้อม และธรณีพิบัติภัย ให้เกิดประโยชน์ให้เกิดมิติต่าง ๆ รวมถึงสนับสนุน โมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน BCG Economy Model ให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เน้นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ที่อยู่กับชุมชน เกษตรกร ด้วยการอนุรักษ์ รู้จักการใช้ประโยชน์เพิ่มพูน และฟื้นฟูไปพร้อม ๆ กัน โดยการร่วมมือกันของภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
30th Anniversary Story of NSTDA: สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสัตว์น้ำไทย
อุตสาหกรรมสัตว์น้ำ โดยเฉพาะกุ้งและปลา นับเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อันดับต้นๆ ของประเทศ เพื่อหนุนเสริมให้คนไทยทำอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ทั้งการพัฒนาพ่อแม่พันธุ์คุณภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงด้วยระบบอัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอาหารและสารเสริมสุขภาพสัตว์น้ำจากวัตถุดิบที่มีภายในประเทศ รวมถึงการป้องกันโรคระบาดด้วยการพัฒนาวัคซีนและชุดตรวจคัดกรองโรค
ผลิตพ่อแม่พันธุ์กุ้งปลอดโรคและโตเร็ว ลดความเสียหายเกษตรกร
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเลี้ยงกุ้งกุลาดำคือ การขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์คุณภาพดี ในปี 2546 ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และกองทัพเรือ จัดตั้ง “ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (Shrimp Genetic Improvement Center: SGIC)” เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคให้แก่เกษตรกร โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือศูนย์การดำเนินงานในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคจากรุ่นสู่รุ่น แล้วจัดส่งลูกกุ้งคุณภาพสูงไปให้แก่ส่วนการดำเนินงานที่ 2 คือ ศูนย์การดำเนินงานที่อยู่ในพื้นที่ของกองทัพเรือ อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาต้นแบบการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ตัวอย่างภารกิจสำคัญของศูนย์ SGIC คือ การเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำปลอดโรค เพื่อทดแทนพ่อแม่พันธุ์ที่มีในธรรมชาติน้อย และแก้ปัญหาการติดเชื้อไวรัสก่อโรคจากพ่อแม่พันธุ์ตามธรรมชาติ ซึ่งผลการดำเนินงานของศูนย์นี้ทำให้ได้พ่อแม่พันธุ์กุ้งกุลาดำที่โตเร็ว ต้านทานโรค ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เป็นที่พึงพอใจของเกษตรกรทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ในปี 2548 ยังได้มีการตั้ง “ทีมวิจัยและพัฒนาบริการด้านเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture Service Development Research Team: AQST)” เพื่อสนับสนุนการทำอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ทั้งด้านการให้คำปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยง การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการต่อยอดการวิจัย และให้บริการรับจ้างทำวิจัย
รายละเอียดเพิ่มเติม :
ศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 53-54)
ทีมวิจัยและพัฒนาบริการด้านการเลี้ยงสัตว์น้ำ (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 54-55)
ระบบอัจฉริยะเพื่อการเพาะเลี้ยง “กุ้ง” สัตว์น้ำเศรษฐกิจอย่างปลอดภัย
ที่ผ่านมาการเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศเคยเผชิญปัญหาโรคระบาดจนเกิดการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลมาแล้วหลายครั้ง เช่น ช่วงปี 2538-2540 มีการระบาดของโรคไวรัสตัวแดงขาวและโรคหัวเหลือง และในปี 2555 มีการระบาดของโรคที่ทำให้กุ้งมีอาการตายด่วน (Early Mortality Syndrome) ฯลฯ
เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดของโรคในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมสูงอย่างกุ้ง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้พัฒนา “Aqua Grow” ระบบอัจฉริยะเพื่อการดูแลคุณภาพน้ำแบบ Real-time
[caption id="attachment_25177" align="aligncenter" width="800"] Aqua Grow[/caption]
Aqua Grow ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ระบบบริหารจัดการคุณภาพน้ำ อุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมี และอุปกรณ์ตรวจวัดการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ผู้ใช้งานสามารถดูข้อมูลการประเมินคุณภาพน้ำเบื้องต้นรวมถึงคำแนะนำในการปรับสภาพบ่อได้ผ่านสมาร์ตโฟน และสามารถบริหารจัดการฟาร์มผ่านแพลตฟอร์ม โดยแพลตฟอร์มนี้เป็นแพลตฟอร์มแรกของไทยที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันแบบครบวงจร ทั้งนี้นอกจากอุตสาหกรรมสัตว์น้ำแล้ว Aqua Grow ยังสามารถใช้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในอุตสาหกรรมอื่นๆ อาทิ โรงงานผลิตอาหาร และโรงงานสินค้าแปรรูป เป็นต้น
ไม่เพียง Aqua Grow ปัจจุบัน เนคเทค สวทช. ยังขยายผลสู่ Aqua-IoT นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มสัตว์น้ำ พัฒนาระบบตรวจสอบสภาพบ่อเพาะเลี้ยงทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพด้วยเทคโนโลยี IoT เพื่อลดความเสี่ยงต่อความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะต่างๆ ในบ่อเลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลและปลากะพง สำหรับเทคโนโลยีหลักของ Aqua-IoT ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1. ระบบตรวจวัด ติดตาม แจ้งเตือน ค่าออกซิเจน (DO) ที่ละลายในน้ำแบบทันท่วงที รวมทั้งสถานีวัดอากาศ (Weather Station) 2. ระบบกล้องตรวจจุลชีวะขนาดเล็กในน้ำ 3. ระบบอ่านค่าสารเคมีแทนการดูด้วยตาสำหรับตรวจคุณภาพน้ำบ่อเลี้ยง และ 4. ระบบตรวจรูปแบบของจุลินทรีย์ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทั้งนี้มีการติดตั้งทดสอบใช้งานจริง ณ พื้นที่ภาคตะวันออก คือ จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา
รายละเอียดเพิ่มเติม :
Aqua Grow ระบบอัจฉริยะเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ (https://bit.ly/3D5lO5a)
Aqua-IoT นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มสัตว์น้ำ (https://bit.ly/3sM90Mb)
เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิด ปลอดสารพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบปิด เป็นเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเป็นระบบที่ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติและสามารถควบคุมโรค (Biosecure) ได้ดี โดยทั่วไปกลไกสำคัญของระบบนี้คือการบำบัดน้ำให้สะอาดด้วย “ถังตัวกรองชีวภาพไนตริฟิเคชัน (Nitrification biofilter)” เพื่อเปลี่ยนแอมโมเนียซึ่งเป็นสารที่มาจากการขับถ่ายของสัตว์น้ำให้เป็นไนเตรตที่มีความเป็นพิษต่ำกว่า ทำให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำในระบบการเลี้ยงได้ อย่างไรก็ตามระบบนี้ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยครั้ง เพราะหากมีปริมาณไนเตรตสะสมในน้ำมากจะส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียดและกระทบต่อการเจริญพันธุ์
[caption id="attachment_25169" align="aligncenter" width="700"] ระบบบำบัดไนเตรตแบบท่อยาว (Tabular denitrification reactor: TDNR)[/caption]
ไบโอเทคพัฒนา “ระบบบำบัดไนเตรตแบบท่อยาว (Tabular denitrification reactor: TDNR)” สำหรับเสริมการใช้งานระบบบำบัดด้วยถังตัวกรองชีวภาพไนตริฟิเคชัน ในส่วนของการบำบัดไนเตรตออกจากน้ำ เพื่อให้สามารถนำน้ำกลับมาใช้งานซ้ำได้จำนวนครั้งมากขึ้น โดยบำบัดได้ทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทพรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทฟาร์มสตอรี่ จำกัด หรือ ป.เจริญฟาร์ม พัฒนา “ถังเลี้ยงปลานิลหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียน” หรือระบบ Recirculating aquaculture system (RAS) โดยการพัฒนาให้ระบบ RAS มีการใช้งานที่ง่ายขึ้น ซึ่งระบบนี้โดดเด่นเรื่องการใช้ทรัพยากรน้ำน้อยกว่าการเลี้ยงแบบบ่อดินถึงร้อยละ 95 ช่วยลดการใช้สารเคมี ลดการปลดปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม และยังดูแลระบบทั้งหมดด้วยคนงานเพียงคนเดียว ผลการทดสอบใช้งานจริงที่ ป.เจริญฟาร์ม พบว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเลี้ยงปลานิลได้หนาแน่นสูง 30 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร มากกว่าการเลี้ยงด้วยบ่อดิน 20-30 เท่า
[caption id="attachment_25170" align="aligncenter" width="800"] ระบบอัตโนมัติสำหรับเพาะเลี้ยงปลากะพงในระบบน้ำไหลเวียน[/caption]
สำหรับระบบ RAS ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีเพื่อผู้ประกอบการที่มองหาระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร สามารถควบคุมการทำงานจากทางไกลได้สะดวก เป็นต้นแบบ “ระบบอัตโนมัติสำหรับเพาะเลี้ยงปลากะพงในระบบน้ำไหลเวียน” พัฒนาโดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับบริษัท ท็อป อะควา เอเชีย เทรดดิ้ง แอนด์ คอนซัลแทนท์ จำกัด โดยการสนับสนุนของกลุ่มบริหารการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม (RDI) จุดเด่นของเทคโนโลยีต้นแบบนี้มีอยู่ 3 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือมีซอฟต์แวร์ในการคำนวณระบบการเลี้ยงให้มีประสิทธิภาพ สามารถติดตามและประเมินผลระหว่างการเลี้ยง ส่วนที่สองคือระบบตรวจวัดและควบคุมอัตโนมัติเพื่อควบคุมคุณภาพการเลี้ยงให้ได้มาตรฐาน และส่วนสุดท้ายคือการออกแบบอุปกรณ์ให้สามารถผลิตได้ในประเทศ เพื่อให้มีราคาที่เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ โดยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้ใช้ได้ทั้งการเลี้ยงปลาน้ำจืด น้ำเค็ม รวมถึงกุ้ง
การเลี้ยงด้วยระบบนี้สามารถเลี้ยงปลากะพงที่ความหนาแน่น 40 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร และเลี้ยงปลานิลได้ที่ความหนาแน่น 60-80 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร ใช้น้ำเพียงร้อยละ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงด้วยรูปแบบบ่อดินหรือแบบกระชังที่ปริมาณผลผลิตเท่ากัน และด้วยปริมาณผลผลิตที่สูงกว่าการเลี้ยงแบบกระชังและแบบบ่อดินมากจึงทำให้การเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบนี้ได้กำไรมากกว่าแม้จะลงทุนสูงก็ตาม
รายละเอียดเพิ่มเติม :
ระบบบำบัดไนเตรตแบบท่อยาว (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 49)
ถังเลี้ยงปลานิลหนาแน่นสูงระบบน้ำหมุนเวียน (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 50-51)
ระบบอัตโนมัติสำหรับเพาะเลี้ยงปลากะพงในระบบน้ำไหลเวียน (https://bit.ly/3wD7xcb)
สัตว์น้ำแข็งแรงด้วยเทคโนโลยีอาหารและสารเสริมสุขภาพ
ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยปี 2561 ระบุว่าประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้อาหารในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำประมาณ 1 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 32,000 ล้านบาท โดยเป็นส่วนของค่าอาหารกุ้งสูงถึง 19,000 ล้านบาท ดังนั้นหากประเทศไทยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูง นอกจากจะช่วยให้ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยลดปริมาณอาหาร ค่าใช้จ่าย และการสูญเสียสัตว์น้ำระหว่างการเลี้ยงให้แก่ชาวประมงหรือผู้ประกอบการได้อีกด้วย
[caption id="attachment_25172" align="aligncenter" width="800"] สูตรอาหารลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่น โดยใช้ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีน[/caption]
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) พัฒนา “สูตรอาหารลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่น โดยใช้ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีน” จุดเด่นสำคัญของอาหารสูตรนี้มี 2 ส่วน อันดับแรก คือ การใช้กากถั่วเหลืองเป็นแหล่งโปรตีนแทนปลาป่น เนื่องจากสหภาพยุโรปมีนโยบายลดการใช้ปลาเป็นวัตถุดิบในอาหารสัตว์ จึงมีการพัฒนาสูตรนี้ขึ้นเพื่อช่วยลดความเดือดร้อนให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องเผชิญปัญหาการคัดเลือกวัตถุดิบที่เหมาะสมมาทดแทน อันดับที่ 2 คือ การใช้ไฮโดรเจลในการกักเก็บโปรตีน เพื่อช่วยให้กุ้งสามารถดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายได้ดีมากขึ้น และสามารถเติมสารสำคัญ รวมถึงไขมันเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของกุ้ง จากการทดสอบภาคสนามพบว่ากุ้งที่กินอาหารรูปแบบนี้มีอัตราการเติบโตดีใกล้เคียงกับอาหารทั่วไป และด้วยคุณสมบัติไม่ละลายน้ำของอาหารในรูปแบบไฮโดรเจล ยังช่วยลดการสิ้นเปลืองค่าอาหารโดยเปล่าประโยชน์ได้ถึงร้อยละ 20 ที่สำคัญยังช่วยยืดอายุการเก็บผลิตภัณฑ์ได้นานกว่าอาหารทั่วไปอีกด้วย ปัจจุบันผลงานนี้มีการขยายผลเทคโนโลยีไปใช้ในเชิงพาณิชย์แล้ว
ส่วนทางด้านสารเสริมสุขภาพสัตว์น้ำ ไบโอเทค ได้ร่วมมือกับ บริษัท โอโว่ ฟู้ดเทค จำกัด และบริษัท ดีเอ็มเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนาสารยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคในสัตว์น้ำ “eLYSOZYME-T2/TPC” จากโปรตีนในไข่ไก่หรือไลโซไซม์ (Lysozyme) ที่ผ่านกระบวนการเสริมฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคในสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยง อาทิ Vibrio parahaemolyticus, Vibrio harveyi, Vibrio alginolyticus, Streptococcus agalactiae, Staphylococcus aureus และ Aeromonas hydrophila จากการทดสอบภาคสนามพบว่า eLYSOZYME-T2/TPC สามารถลดปริมาณเชื้อ Vibrio ในลำไส้กุ้งและอัตราการตายของกุ้งจากเชื้อ Vibrio ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และสามารถกระตุ้นการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันและการต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันผลงานได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมปศุสัตว์แล้ว
รายละเอียดเพิ่มเติม :
สูตรอาหารลูกกุ้งแบบไร้ปลาป่น โดยใช้ไฮโดรเจลกักเก็บโปรตีน (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 55-56)
eLYSOZYME-T2/TPC (https://bit.ly/36hK4BY)
พัฒนาวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันยับยั้งการติดโรคในกุ้งและปลา
นอกจากการพัฒนาพ่อแม่พันธุ์คุณภาพปลอดโรค การเลี้ยงด้วยระบบปิด และการให้อาหารเสริมภูมิคุ้มกันแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยยับยั้งการติดและการแพร่ระบาดของโรคได้เป็นอย่างดีคือการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน
ล่าสุด ไบโอเทค และมหาวิทยาลัยมหิดลได้เผยผลการศึกษาร่วมกันกว่าทศวรรษ เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคในกุ้ง กล่าวคือ กุ้งที่ติดเชื้อไวรัสจะสร้าง Circular viral copies DNA หรือ cvcDNA เพื่อเลียนแบบสารพันธุกรรมจากไวรัส ซึ่งหากนำ cvcDNA ไปฉีดให้กุ้งปกติ cvcDNA จะสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนวัคซีนป้องกันการเพิ่มจำนวนไวรัสในกุ้งได้ นักวิจัยจึงมีแนวคิดนำ cvcDNA ไปเพิ่มจำนวนในหลอดทดลองให้มีปริมาณมากขึ้น เพื่อนำมาใช้ผสมในอาหารกุ้งสำหรับเป็นอาหารเพื่อป้องกันกุ้งในบ่อเลี้ยงที่ติดเชื้อไวรัส
อีกองค์ความรู้สำคัญที่ค้นพบและได้เปิดเผยออกมาพร้อมกัน คือ กุ้งสามารถสร้าง cvcDNAs จากข้อมูลสารพันธุกรรมของไวรัสที่แทรกอยู่ในจีโนมของกุ้ง หรือ Endogenous viral elements (EVEs) ได้เช่นกัน และ EVEs สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ไบโอเทคจึงกำลังศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ในการนำองค์ความรู้มาใช้ในการผลิตพ่อแม่พันธุ์ทนทานต่อโรคที่มีความรุนแรงสูง เช่น ไวรัสตัวแดงขาว โดยมี Dr. DongHuo Jiang เป็นที่ปรึกษา และได้รับทุนวิจัยจาก Guangdong HAID Group Co., Ltd. (China)
นอกจากนี้ นาโนเทค สวทช. ยังได้ร่วมมือกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนานวัตกรรมนาโนวัคซีนแบบแช่ แก้ปัญหาโรคระบาดและสร้างภูมิคุ้มกันให้ปลา โดยนาโนวัคซีนอยู่ในรูปของอนุภาคนาโนที่มีคุณสมบัติดูดซึมทางเหงือกและเกาะติดเยื่อเมือก จึงสามารถให้วัคซีนปลาแบบแช่ แทนการฉีดด้วยเข็มทีละตัวทั้งบ่อ ซึ่งทำได้ครั้งละจำนวนมาก ต้นทุนต่ำ ประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้งยังใช้ได้กับปลานิลทุกขนาด ซึ่งพบว่าควบคุมโรคติดเชื้อในปลานิลได้ดี ช่วยให้ปลาแข็งแรง ลดการใช้ยาและสารเคมี ได้เนื้อปลาที่ปลอดภัยแก่ผู้บริโภค สะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเลี้ยงปลาและผู้บริโภคโดยตรง ทั้งนี้มีการนำไปทดสอบใช้งานจริงแล้วที่ณันต์ธชัยฟาร์ม อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
รายละเอียดเพิ่มเติม :
cvcDNAs และ EVEs ในกุ้ง (https://bit.ly/2UvbZvC)
นาโนวัคซีนแบบแช่ (https://bit.ly/3yinlRI)
เทคโนโลยีชุดตรวจโรค รู้โรคไว ยับยั้งการแพร่ระบาดเร็ว
หนึ่งในวิกฤติการณ์ที่สร้างความสูญเสียมหาศาลให้กับอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคือการระบาดของโรค เช่น ในปี 2538-2539 ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้ครั้งใหญ่จากโรคไวรัสตัวแดงขาวในกุ้ง ก่อนที่ปี 2540 จะมีการระบาดรุนแรงของโรคหัวเหลืองมาซ้ำเติมอีกระลอก ในช่วงวิกฤตนั้นนักวิจัยไบโอเทคและมหาวิทยาลัยมหิดลได้ร่วมกันพัฒนาวิธีตรวจเชื้อไวรัสก่อโรค โดยได้รับความร่วมมือร่วมใจจากหน่วยงานต่างๆ ทำให้ในช่วงเวลานั้นประเทศไทยสามารถลดความเสียหายได้มากกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกัน
ด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) ไบโอเทคจึงส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำมาจนถึงปัจจุบัน โดยในส่วนของการรับมือกับโรคระบาดมีหลายเทคโนโลยีเด่น เช่น การพัฒนาเทคนิคการเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมของสัตว์น้ำเพื่อการตรวจสอบเชื้อที่รวดเร็วและแม่นยำ การพัฒนาชุดตรวจที่มีความจำเพาะต่อเชื้อก่อโรคสูง และการพัฒนาชุดตรวจรวดเร็วเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรคอย่างทันท่วงที ฯลฯ
[caption id="attachment_25173" align="aligncenter" width="1000"] ชุดตรวจรวดเร็วเพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรค[/caption]
ตัวอย่างชุดตรวจรวดเร็วจากไบโอเทคสำหรับตรวจโรคในกุ้ง เช่น “Amp-Gold” ชุดตรวจโรคตับตายฉับพลัน สาเหตุหนึ่งของโรคตายด่วน (Early Mortality Syndrome: EMS) ชุดตรวจนี้ใช้ตรวจเชื้อ Vibrio parahaemolyticus ด้วยเทคนิคแลมป์ (Loop-mediated isothermal amplification: LAMP) ซึ่งเป็นเทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมที่มีความจำเพาะ ควบคู่กับการใช้เทคนิคการติดฉลากดีเอ็นเอด้วยอนุภาคทองคำนาโน โดยการตรวจทุกขั้นตอนจะใช้เวลารวมกันไม่เกิน 1 ชั่วโมง ตรวจได้เร็วกว่าเทคนิค PCR เท่าตัว ช่วยลดต้นทุนการตรวจโรคให้แก่เกษตรได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างชุดตรวจรวดเร็วจากไบโอเทคสำหรับตรวจโรคในปลา เช่น “blueAmp” ชุดตรวจโรคสเตรปโตคอคโคซิส (Streptococcosis) ในปลานิลและปลาทับทิม ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่ทำให้ปลามีอัตราการรอดต่ำและมีร่องรอยของโรคเหลืออยู่บนตัวปลาทำให้ไม่สามารถจำหน่ายได้ กลไกการทำงานของชุดตรวจนี้ใช้เทคนิคการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของแบคทีเรีย และการผสมด้วยสี Hydroxynaphthol blue (HNB) ทำให้ใช้เวลาในการตรวจเพียง 1 ชั่วโมง และสามารถดูผลตรวจได้จากสีที่เปลี่ยนไปได้ด้วยตาเปล่า เหมาะแก่การใช้ตรวจคัดแยกพ่อแม่พันธุ์ ไข่ปลา และลูกปลาที่เป็นพาหะนำโรค และใช้เฝ้าระวังป้องกันการเกิดโรค
ตัวอย่างสุดท้ายเป็น “ชุดตรวจเชื้อไวรัส Tilapia lake virus (TiLV) ในปลานิลและปลาทับทิม” ด้วยเทคนิค RT-LAMP nanogold ซึ่งมีประสิทธิภาพเทียบเท่าวิธี semi-nested RT-PCR ใช้เวลาตรวจเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง เหมาะแก่การใช้ตรวจคัดแยกพ่อแม่พันธุ์ ไข่ปลา และลูกปลาที่เป็นพาหะนำโรค และใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังการเกิดโรคระบาด ปัจจุบันอยู่ระหว่างการนำไปทดสอบในภาคสนามเพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบระดับภาคสนามต่อไป
รายละเอียดเพิ่มเติม :
การวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพ (https://bit.ly/3wkXs2K)
Amp-Gold (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 57)
blueAmp (https://bit.ly/3xoEqd1)
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยให้เข้มแข็ง ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการทำการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หากสนใจเทคโนโลยีการเกษตรอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ “หนังสือ 3 ทศวรรษ สวทช. กับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่มเกษตรและอาหาร” ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/2SrBywd
ข่าว
บทความ
สวทช. ร่วมกับ วช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การสกัดคอนเทนต์สไตล์งานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ ในรูปแบบออนไลน์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผนึกกำลังร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติ "การสกัดคอนเทนต์สไตล์งานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ" เสริมศักยภาพบุคลากรให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับประเทศและระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
สวทช. สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ วช. จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติ "การสกัดคอนเทนต์สไตล์งานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ" ระหว่างวันที่ 21 - 22 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ด้วยโปรแกรม zoom เพื่อพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนทางด้านทักษะการสื่อสารเพื่อให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจเนื้อหางานวิจัย ความสำคัญของงานวิจัยที่ต้องการนำเสนอได้อย่างชัดเจน และมีประสิทธิภาพ เรียนรู้เทคนิคการวางโครงสร้างเพื่อสร้างเนื้อหาในการนำเสนองานวิจัย และจัดทำเอกสารประกอบการนำเสนอ ตลอดจนเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคที่จำเป็นในการสร้างสรรค์สื่อนำเสนอผลงาน
นางอติพร สุวรรณ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง สวทช. กล่าวรายงานการจัดกิจกรรมโดยในการอบรมครั้งนี้มีคุณครู อาจารย์ และนักเรียน จากมหาวิทยาลัย โรงเรียนภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 74 คน เป็นครู/อาจารย์ 27 คน นักเรียน 47 คน
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวถึงพันธกิจของ สวทช. ภายใต้ อว.ในการสร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและนวัตกร เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการพัฒนาทักษะการนำเสนอและการสื่อสาร (Communication skills) เป็นทักษะที่ถูกนำไปใช้ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน และถือเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญที่นักวิจัยและนวัตกรจำเป็นต้องมี เพื่อใช้ในการสื่อสารเพื่อการขับเคลื่อนความสำเร็จของงานวิจัยและนวัตกรรม พร้อมขอขอบคุณสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวเปิดกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ พร้อมกล่าวชื่นชมความตั้งใจในการพัฒนาตนเองของผู้เข้าอบรมทุกท่าน โดย วช. ภายใต้ อว. ตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมกำลังคน และการพัฒนาบุคลากรวิจัย นักวิจัย และนักประดิษฐ์ และนวัตกรรมในทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นกำลังขับเคลื่อนประเทศด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยการส่งเสริมทักษะด้านต่างๆ รวมไปถึงทักษะในด้านการสื่อสาร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเสริมและสร้างศักยภาพให้บุคลากรได้มีขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศและนานาชาติได้อย่างยั่งยืน
กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติ "การสกัดคอนเทนต์สไตล์งานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ"
ได้รับเกียติจากวิทยากร คุณบัณฑิต บุญยฤทธิ์ ดร.ธนศานต์ นิลสุ คุณณัฐกันต์ แสงนิล และคุณภูริ วิรการินทร์ เจ้าของผลงานรางวัลที่ 1 สาขา Computational Biology And Bioinformatics ในการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลก Regeneron ISEF 2021
ผู้เข้าอบรมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เรียนรู้เกี่ยวกับ
- การสกัดเนื้อหาของผลงานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ
- การวางโครงสร้างเพื่อสร้างคอนเทนต์งานวิจัยในการนำเสนอและการสร้างสรรค์สื่อนำเสนอ
- เรียนรู้เทคนิคการตัดต่อคลิปวิดีโอ พร้อมการวิเคราะห์แนะนำผลงานที่จัดทำใน Workshop
เสียงตอบรับจากผู้เข้าอบรมการการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ระบุว่าเป็นการอบรมที่ดีมากๆ เป็นการอบรมที่มีความสุข อัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่าในการส่งต่อมาก พร้อมทั้งได้รับความรู้เต็มเปี่ยม ถือเป็นการเข้าอบรมที่ได้ประโยชน์มาก ขอบคุณพี่ๆ ผู้สอนและพี่ผู้จัดทุกคน เชียร์ให้ทีมงานจัดเป็นประจำทุกปี ตลอดจนอยากให้เพิ่มเวลาการอบรมเพื่อให้มีเวลาย่อยสิ่งที่ได้เรียน และมีเวลาให้การทดลองทำผลงานการทำเสนอที่มากขึ้นด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
🛑(Facebook Live) เสวนาออนไลน์เรื่อง “ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด”
ขอเชิญฟังการเสวนาออนไลน์เรื่อง
"ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด"
.
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564
เวลา 12.30-16.00 น.
.
กล่าวเปิดงานและแถลงข่าว โดย
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
.
บรรยายพิเศษเรื่อง "เรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้างอนาคต" โดย
รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี
มหาวิทยาลัยมหิดล
.
เสวนาเรื่อง ""ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด" โดย
ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ
ศาสตราจารย์ (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต
ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล
ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
.
รับชมผ่านทาง Facebook: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ NSTDA-สวทช.
.
#COVID19 #MHESI #NSTDA
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ขอเชิญร่วมรับฟังการเสวนาออนไลน์ BioD Talk Episode#3 เสวนาป่าชายเลน: คุณค่าต่อประเทศไทยและโลก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทช.) ขอเชิญร่วมรับฟังการเสวนาออนไลน์ “การพัฒนาคุณค่าป่าชายเลนต่อประเทศไทยและโลก ” การจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ แห่งแรกของโลก!!
เทคโนโลยีจีโนมิกส์ และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากชุมชนอย่างยั่งยืน พร้อมตอบทุกข้อซักถามเกี่ยวกับประเด็นร้อน "การแบ่งปันคาร์บอนเครดิต" จากการปลูกป่าชายเลน
BioD Talk Episode#3
เสวนาป่าชายเลน: คุณค่าต่อประเทศไทยและโลก
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันายน 2564
เวลา 14.00 - 15.40 น.
พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ
นโยบายด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูพืชป่าชายเลน และระเบียบการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตของพืชป่าชายเลน
สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ แห่งแรกของโลก
การใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์ในการเข้าใจวิวัฒนาการของพืชป่าชายเลน
การใช้ประโยชน์ป่าชายเลนส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนอย่างยั่งยืน
.......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร
เสวนาออนไลน์ฟรี
ผ่านโปรแกรม Webex Event
Meeting number: 170 237 4809 Password: DmwJfWSZ833
สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง ผ่านการสแกน QR Code
Link https://meeting-nstda.webex.com/meeting.../onstage/g.php...
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
อีเมล์สำหรับติดต่อกลับ: Sunthari.sueakham@nstda.or.th (สุนทรีย์), Pornpong.nar@nstda.or.th (พรพงษ์)
ปฏิทินกิจกรรม
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจ “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” สำหรับตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกันโควิด-19 รวดเร็ว แม่นยำ ราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) พัฒนา “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)”ชุดตรวจภูมิคุ้มกันโควิด-19 ด้วยเทคนิค ELISA ใช้งานง่าย รวดเร็ว แม่นยำ และราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ อยู่ระหว่างการยื่นคำขอประเมินเทคโนโลยีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเริ่มมีการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาในหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเชื้อโควิด 19 จาการติดเชื้อหรือได้รับวัคซีน
ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า“COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” เป็นชุดตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 พัฒนาโดยทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี และทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. เป็นการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาของสุกรที่เป็นความเชี่ยวชาญเดิมของทีมวิจัยผนวกกับเทคโนโลยีที่เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานคือ ELISA มาพัฒนาต่อยอดได้ทันท่วงที จึงทำให้ชุดตรวจนี้สำเร็จรูปพร้อมใช้งานสำหรับตรวจระดับแอนติบอดีต่อเชื้อก่อโรคโควิด-19 เชิงปริมาณ ที่สามารถใช้ตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการได้รับวัคซีน และได้ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.- AFRIMS) ทดสอบคุณภาพชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2
โดยมีการอนุเคราะห์ตัวอย่างซีรั่มมาทดสอบเปรียบเทียบกับชุดตรวจแอนติบอดีทั่วไปในท้องตลาด พบว่ามีความไวและความจำเพาะเทียบเท่ากัน รวมทั้งยังมีการสอบเทียบชุดตรวจตัวอย่างซีรั่มมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพื่อให้สามารถอ่านค่าแอนติบอดีในหน่วยมาตรฐานของ WHO ในขณะนี้ได้นำไปใช้งานในโครงการวิจัยระดับประชากรโดยร่วมกับคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรวจระดับภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ในบุคลากรสาธารณสุขมากกว่า 1,000 ตัวอย่าง
ดร.พีร์ อธิบายต่อว่า “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” ทางทีมวิจัยได้เลือกตรวจแอนติบอดีต่อส่วนที่สำคัญที่สุดของไวรัส เป็นส่วนที่ไวรัสใช้จับเข้าเซลล์มนุษย์ในการติดเชื้อ คือ Receptor Binding Domain หรือ RBD ที่อยู่บนโปรตีนสไปค์ (ส่วนที่เป็นหนาม) โดยมีการผลิตแอนติเจน RBD ด้วยวิธีการตัดต่อพันธุกรรมและการผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนให้มีหน้าตาที่เหมือนกันกับโปรตีนของไวรัส แต่ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนจากไวรัสจริงๆ เพื่อความปลอดภัย จากนั้นนำแอนติเจน RBD มาเคลือบลงบนเพลท และใช้สารตรวจจับซึ่งมีปฏิกิริยาทำให้เกิดสี เมื่อนำตัวอย่างซีรั่ม หรือพลาสมา มาตรวจ ถ้าในตัวอย่างมีแอนติบอดีต่อ RBD แอนติบอดีนั้นจะจับอย่างจำเพาะเจาะจงกับ RBD และถูกจับด้วยสารตรวจจับ และแสดงสัญญาณสี แต่หากในตัวอย่างซีรั่ม หรือพลาสมานั้นไม่มีแอนติบอดีที่จำเพาะต่อ RBD ก็จะไม่มีสีเกิดขึ้น”
“ขณะนี้ ทางทีมวิจัย สวทช. อยู่ในระหว่างการถ่ายทอดชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 ที่พัฒนาขึ้น ให้กับคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็วที่สุดในช่วงเวลาวิกฤติ ในส่วนของชุดตรวจฯ ยังต้องใช้ตรวจในห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถตรวจเองได้ เพราะยังต้องใช้เครื่องอ่านผล แต่ก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีในห้องปฏิบัติการทั่วไป รวมถึงโรงพยาบาลขนาดกลาง เนื่องจากเป้าหมายการพัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีในช่วงแรกเน้นเพื่อการตรวจวินิจฉัยส่วนบุคคลในระดับประชากร ที่มีตัวอย่างจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นข้อมูลสถิติในการอ้างอิง ด้วยเชื่อว่าการตรวจเพื่อให้ทราบระดับของภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นในระดับประชากรจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการบริหารวัคซีนและกำหนดมาตรการสาธารณสุขที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ และลดความรุนแรงของโรคได้ รวมทั้งสามารถวางแผนบริหารบุคลากรด่นหน้าได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย” ดร.พีร์ กล่าว.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
รายการ The NEXT คลื่นอนาคต ตอน BCG โมเดลเศรษฐกิจ ปั้นไทยสู่โลก
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 เวลา 17.30 - 18.00 น. รายการ The NEXT คลื่นอนาคต โดยสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ออกอากาศรายการตอน BCG โมเดลเศรษฐกิจ ปั้นไทยสู่โลก
ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่เรียกว่า Bio Economy กำลังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั่วโลกและไทย ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจและชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร เราจะสามารถกำหนดคุณสมบัติพืชที่ต้องการปลูกได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาฤดูกาลอีกต่อไป ด้วยวิถีเกษตรใหม่ภายใต้ Plant Factory หรือ โรงงานผลิตพืช
เรากำลังมุ่งพัฒนาภาคการเกษตรของไทย ไปสู่วิถีการจัดการพืชลักษณะเกษตรแม่นยำ อาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สำคัญเข้ามาช่วย นั่นคือ เทคโนโลยีการประเมินสรีระวิทยาและรูปลักษณ์ขั้นสูงของพืช หรือ Plant Phenomics Facility ระบบอัตโนมัติที่จะเป็นฐานความรู้ให้เราจัดการกระบวนการปลูกพืชพร้อมเตือนภัยในภาคการเกษตรในอนาคต
ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ BCG โมเดล รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศ ที่มีศักยภาพสูงในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างทั่วถึง พร้อมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้าน Bio Economy
ร่วมหาคำตอบไปกับ
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล : ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา : รักษาการรองผู้อำนวยการ ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร : ห้องปฏิบัติดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ดร.รจนา ตั้งกุลบริบูรณ์ : ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
คุณสายันต์ ตันพานิช : รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
ดร.นิสภา ศีตะปันย์ : หัวหน้าทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง : ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน : ผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
ดร.อติกร ปัญญา : หัวหน้าทีมวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC)
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา : ผู้อำนวยการ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
รับชมรายการ
ที่มาข้อมูล : Thai PBS รายการ The NEXT คลื่นอนาคต
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จับมือคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม
สวทช. ลงนามความร่วมมือกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม มุ่งยกระดับการรักษาทางทันตกรรมไทยสู่สากล
(วันที่ 20 สิงหาคม 2564) : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม” โดยพิธีการลงนามจัดขึ้นในรูปแบบออนไลน์ มีนางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ เป็นผู้แทน ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ลงนามร่วมกับ รศ.ทพ.ดร.พรชัย จันศิษย์ยานนท์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ศ.ทพ.ดร.ธนภูมิ โอสถานนท์ รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นางสาววันทนีย์ พันธชาติ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. กล่าวว่า A-MED เป็นศูนย์วิจัยเฉพาะทางที่ใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางแพทย์และสุขภาพ การลงนามความร่วมมือ “โครงการผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันต กรรม” ร่วมกับคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในครั้งนี้ สวทช.พร้อมที่จะสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ชั้นสูง โดยจะร่วมคิดค้น ออกแบบ พัฒนา คัดเลือก ผลิตและศึกษาความเป็นไปได้ในการทำตลาดและการขายนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ทางทันตกรรมต่างๆ เพื่อต่อยอดไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ รวมทั้งร่วมกันดำเนินการประเมินด้านคลินิก มาตรฐานทางการแพทย์และการรับรองนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ถูกคิดค้นพัฒนาขึ้นมาจากความร่วมมือในครั้งนี้ความร่วมมือในครั้งนี้นอกจากจะมุ่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว ยังเป็นการสร้างโอกาสและยกระดับอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ของประเทศไทยให้มีคุณภาพในระดับสากล และเกิดประโยชน์กับประชาชนที่จะได้มีสุขภาพที่ดีจากผลงานวิจัยของคนไทย
ทั้งนี้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเด่นด้านทันตกรรมของ A-MED เช่น DentiiScan ที่นำไปใช้ในงานในด้านทันต กรรมและศัลยกรรมบริเวณช่องปากและใบหน้าที่ให้ภาพ 3 มิติ เป็นผลงานเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 3 มิติสำหรับงานทันตกรรมรายแรกในประเทศ, Drill Guide หรือเครื่องมือช่วยจัดรากฟันเทียม, ครอบฟันและสะพานฟัน และฟันปลอมแบบถอดได้โดยใช้วิธีการทางดิจิทัลที่มีความแม่นยำสูง และ M-Bone ซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์สำหรับใช้เป็นวัสดุทดแทนกระดูกที่ช่วยในการเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างกระดูกและมีความปลอดภัยในงานด้านทันตกรรม
รศ.ทพ.ดร.พรชัย คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สวทช.ครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการร่วมมือผลักดันและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรมอย่างเป็นรูปธรรมระหว่าง 2 หน่วยงาน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือเพื่อให้เกิดผลผลิตที่เป็นคุณประโยชน์ในการพึ่งพาตนเองเชิงโครงสร้างสาธารณสุข ทันตกรรม และเชิงเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพในการรักษาทางทันตกรรมทัดเทียมต่างประเทศ แต่ผลิตภัณฑ์และวัสดุอุปกรณ์ในการรักษาทางทันตกรรมส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลต่ออัตราค่ารักษาบริการทางทันต กรรมที่สูง
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สวทช.ในครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์สำหรับสุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม เพื่อทดแทนการนำเข้า และสร้างนวัตกรรมทางทันตกรรมจากศักยภาพของคนไทยในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟังบรรยายหัวข้อ Battery Technology : Applications and Development Trend ในรูปแบบออนไลน์
ประชาสัมพันธ์กิจกรรมร่วมระหว่าง TGGS (The Sirindhorn International Graduate School of Engineering) กับ TESTA (สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย) เพื่อให้ความรู้และแนะแนวทางงาน R&D ในเทคโนโลยีแบตเตอรี่สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก และเปิดสำหรับผู้ที่สนใจทั่วไปหรือนักวิชาชีพทั่วไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน


