ผลการค้นหา :
รวมนวัตกรรม สวทช. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์สู้ภัยโควิด-19
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดโควิด-19 มีหลากหลายนวัตกรรมจากนักวิจัย สวทช. ที่ได้คิดค้นและพัฒนาเพื่อส่งมอบสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดย สวทช. จะเดินหน้าใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิจัยพัฒนานวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ต่อไป และขอเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรด่านหน้าทุกคน #เราจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนกันยายน 2564
ข่าว
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
CPF ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารในเครือสนับสนุน รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
GPSC ส่งมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 แบบพ่นจมูก เพิ่มประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียง สู้เชื้อกลายพันธุ์
เอ็มเทค สวทช – สจล. เปิดผลทดสอบ ‘Magik Growth’ นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน ‘เปลือกบาง-เนื้อหนาขึ้น’ ช่วยลดสารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิตชาวสวน
‘เชฟแคร์ส’ มอบ 4 เมนูสุขภาพ จาก 4 เชฟ แทนความห่วงใย บุคลากรทางการแพทย์ รพ.สนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ
สวทช. จัดพิธีจบการศึกษาออนไลน์ พร้อมร่วมแสดงความยินดีแก่มหาบัณฑิตโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2021
สวทช. จับมือคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพช่องปากและการรักษาทางทันตกรรม
สวทช. ร่วมกับ วช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ “การสกัดคอนเทนต์สไตล์งานวิจัยเพื่อใช้ในการนำเสนอ” ในรูปแบบออนไลน์
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจ “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” สำหรับตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกันโควิด-19 รวดเร็ว แม่นยำ ราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรอุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
2 กระทรวงผนึกกำลัง ใช้ประโยชน์จาก Big DATA จัดการท่องเที่ยวอุทยานธรณี หนุนเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืน
วศ. จับมือ วว.และ สวทช. เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “ศึกษาอดีต เรียนรู้ปัจจุบัน สู่อนาคตกับวิทยาศาสตร์ไทยสู้ภัยโควิด” มองภาพอนาคตตอบโจทย์ประเทศ
ไอแทป สวทช. หนุนผู้ประกอบการก่อสร้างต่อยอดธุรกิจพัฒนาระบบฟาร์มเกษตรในอาคาร ‘ปลูกได้ทุกฤดูกาล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ตอบโจทย์ BCG
บทความ
ฟื้นฟู “ป่าชายเลน” สร้างเศรษฐกิจฐานราก ลดก๊าซเรือนกระจก
Download เอกสารฉบับเต็ม [15.2 MB]
จดหมายข่าว สวทช.
🛑(Facebook Live) R&D Sharing EP.9 “BodiiRay เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลเคลื่อนที่ พร้อมใช้ในโรงพยาบาลสนาม”
พบกับผลงานวิจัยและพัฒนาของนักวิจัย สวทช.
R&D Sharing EP.9
“BodiiRay เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลเคลื่อนที่ พร้อมใช้ในโรงพยาบาลสนาม”
ร่วมพูดคุยกับ 2 นักวิจัย
ดร.เสาวภาคย์ ธงวิจิตรมณี และ ดร.อุดมชัย เตชะวิภู
ทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์
A-MED
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564
เวลา 10.30 - 11.15 น.
Live ทาง facebook NSTDA - สวทช.
หรือรับฟังเสียงทาง Clubhouse ชื่อคลับ "Sci Scene"
นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ!
ปฏิทินกิจกรรม
กิจกรรม HPC Tech Talk EP.1 “เปิดโลก HPC นำวิจัยไทยสู่สากล”
ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟังข้อมูลจาก ThaiSC
ในกิจกรรม HPC Tech Talk EP.1 "เปิดโลก HPC นำวิจัยไทยสู่สากล"
"เปิดโลก Supercomputer หรือ HPC: High Performance Computing
ที่จะสามารถนำประเทศไทยสู่การพัฒนา Deep Technology
พร้อมแนวทางปฏิบัติเพื่อการใช้พัฒนางานวิจัยไทยเตรียมความพร้อมมุ่งสู่สากลและเชิงพาณิชย์"
#Topic
- Supercomputer หรือ HPC คืออะไร
- ทำความรู้จัก ThaiSC
- ประโยชน์/ความสำคัญของ Supercomputer ต่อการสนับสนุนงานวิจัย
- กลไลการสนับสนุนและประยุกต์ HPC ในทุกภาคส่วน
ผ่านช่องทาง Facebook Fan Page : ThaiSC
>>> https://www.facebook.com/thaisupercomputer <<<
🗓วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
⏰เวลา 10:30 – 11:30 น.
ลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสาร และอัพเดทสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจาก ThaiSC
https://bit.ly/3tlYdZi
ปฏิทินกิจกรรม
30th Anniversary Story of NSTDA: สวทช. พัฒนาเทคโนโลยียกระดับอุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาลสู่การทำน้อยแต่ได้มาก
อุตสาหกรรมการผลิตอ้อยเพื่อการแปรรูปเป็นน้ำตาลของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก เนื่องจากมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนการผลิตอ้อยต่ำ และยังมีทำเลที่ตั้งของประเทศอยู่ในภูมิภาคที่มีความต้องการบริโภคน้ำตาลสูง ทำให้ต้นทุนการส่งออกถูกกว่าผู้ผลิตในทวีปอื่น ส่งผลให้ไทยมีสถิติการส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับต้นของโลก
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาลจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ด้วยการทำวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งการพัฒนาสายพันธุ์อ้อย การทำเกษตรสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ และการพัฒนาชุดตรวจเพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตน้ำตาลระดับอุตสาหกรรม ฯลฯ
พัฒนาสายพันธุ์อ้อยความหวานสูง เพื่อความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกและเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละครั้ง เพื่อให้การเพาะปลูกอ้อยในแต่ละรอบการผลิตเกิดประโยชน์สูงสุด สวทช. ได้วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์อ้อยที่ให้ความหวานสูง แปรรูปเป็นน้ำตาลได้มาก เพื่อช่วยเพิ่มผลกำไรให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ
สวทช. โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) นำเทคโนโลยี Marker Assisted Selection หรือ MAS ที่มีประสิทธิภาพในการคัดเลือกพันธุ์สูง มาใช้ในการคัดเลือกพันธุ์อ้อยที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ ทำให้ระยะเวลาในการคัดเลือกพันธุ์จาก 10-12 ปี ตามวิธีมาตรฐาน ลดลงเหลือเพียง 6 ปี และมีความแม่นยำในการคัดเลือกที่สูงกว่ามาก โดย NOC ยังได้ร่วมกับ บริษัทมิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด ดำเนิน “โครงการปรับปรุงพันธุ์อ้อยแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำตาล” เพื่อศึกษาและค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่สัมพันธ์กับความหวานในอ้อยสำหรับใช้คัดเลือกพันธุ์อ้อยลูกผสม โดยได้ค้นพบเครื่องหมายโมเลกุล 3 เครื่องหมาย ที่มีศักยภาพสัมพันธ์กับความหวาน คือ SEM358, ILP10 และ ILP82 นำไปสู่การพัฒนา “ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอที่มีความจำเพาะต่อเครื่องหมายยีนในวิถีเมแทบอลิซึมของน้ำตาลในอ้อย” และ “กระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์อ้อยที่มีพันธุกรรมหวานโดยใช้ชุดไพรเมอร์เครื่องหมายดีเอ็นเอดังกล่าว” ในการปรับปรุงพันธุ์อ้อย ซึ่งได้จดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้คณะวิจัยสามารถพัฒนาพันธุ์อ้อยที่มีศักยภาพจำนวน 9 สายพันธุ์ และมี 2 สายพันธุ์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์แล้ว คือ ภูเขียว 2 (14-1-772) และภูเขียว 3 (14-1-188) ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2563 มีการนำอ้อยทั้ง 9 สายพันธุ์ ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว 550 ไร่ และจะมีการขยายผลเป็น 5,500 ไร่ ในปี พ.ศ. 2564 นอกจากนี้ในการทำโครงการฯ ทีมวิจัยยังได้ฐานข้อมูล Transcriptome ของอ้อย ซึ่งประกอบด้วยยีนมากกว่า 46,000 transcripts ที่ไม่เพียงนำไปใช้พัฒนาเครื่องหมายโมเลกุล แต่ฐานข้อมูลนี้ยังมีความสำคัญอย่างมากในการค้นหายีนใหม่ๆ ในโครงการวิจัยในอนาคต เช่น การค้นหายีนที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตทางชีวมวล (biomass productivity), การแตกกอ, การตอบสนองต่อภาวะแล้ง เป็นต้น ที่สำคัญในกระบวนการวิจัยยังได้พัฒนาโปรแกรมวิเคราะห์และประมวลภาพ Gel electrophoresis และแปลงข้อมูล Genotype profile เป็นข้อมูลดิจิทัลที่สามารถนำไปวิเคราะห์ทางสถิติได้ง่าย ซึ่งจดสิทธิบัตรแล้วในชื่อ “การวิเคราะห์แถบภาพของอิเล็กโทรโฟรีซิสเจลด้วยเทคนิคการประมวลภาพ”
รายละเอียดเพิ่มเติม : การค้นหาจีโนมอ้อยความหวานสูง (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 36-39)
ก้าวสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision farming)
ในปี พ.ศ. 2562 สวทช. ดำเนินงานยกระดับการปลูกอ้อยของไทยสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ โดยร่วมมือกับพันธมิตรนำเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) Internet of Things (IoTs) และเทคโนโลยีการวิเคราะห์และประมวลผล ฯลฯ มาพัฒนาให้การทำการเกษตรมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง (Precision farming)
ตัวอย่างโครงการแรก คือ ความร่วมมือในการ “พลิกโฉมการทำไร่อ้อยสู่ระบบเกษตรแม่นยำ” สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับไอบีเอ็ม และกลุ่มมิตรผล พัฒนาแดชบอร์ดอัจฉริยะและแอปพลิเคชันบนมือถือ เพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพอ้อยให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต โดยได้นำเทคโนโลยีชั้นนำของโลกมาใช้ในการรวบรวมข้อมูลบิ๊กเดต้า (Big data) วิเคราะห์ และประมวลผล ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลประเมินการปลูกและการจัดการความเสี่ยงแบบจำเพาะเจาะจงกับพื้นที่ได้สะดวกและทันต่อสถานการณ์ อีกทั้งยังมีข้อมูลสำหรับวางแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเพาะปลูกในรอบต่อไป ด้วยการสนับสนุนเทคโนโลยีนี้จะทำให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรแบบเดิมสู่การทำเกษตรสมัยใหม่ได้รวดเร็วขึ้น
อีกตัวอย่างโครงการหนึ่ง คือ “การพัฒนาเทคโนโลยีประเมินผลผลิตอ้อย (Field Practice Solutions หรือ FPS)” สวทช. ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และบริษัทเอกชนได้แก่ บริษัท HG Robotics จำกัด บริษัท Global crop จำกัด บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลบ้านไร่ จำกัด บริษัทน้ำตาลสระบุรี จำกัด และบริษัทเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำเทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ ซอฟต์แวร์ภาพถ่ายดาวเทียม และ AI มาพัฒนาเป็นเทคโนโลยีสำหรับวิเคราะห์การเติบโตของอ้อยในพื้นที่เพาะปลูก โรคพืช ค่าความหวาน และระยะการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม โดยเทคโนโลยีนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลไร่อ้อยได้รวดเร็วและมีความแม่นยำสูง
รายละเอียดเพิ่มเติม
1) สวทช. ผนึกสถาบันวิจัยไอบีเอ็ม จับมือนำ AI พลิกโฉมการทำไร่อ้อยร่วมกับกลุ่มมิตรผล (https://bit.ly/3AbR8xb)
2) ม.ขอนแก่นร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชน เปิดตัว AI โดรนวัดความหวาน ประเมินผลผลิตไร่อ้อย (https://bit.ly/3AbRfc5)
ชุดตรวจเดกซ์แทรน ป้องกันการปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล
เดกซ์แทรน (Dextran) คือ สายพอลิเมอร์ของกลูโคสที่เกิดจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในน้ำอ้อย ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการผลิตน้ำตาลเป็นอย่างมาก เนื่องจากทำให้เกิดการสูญเสียปริมาณผลผลิตน้ำตาลทรายของโรงงาน โดยพบว่าหากมีการปนเปื้อนของเดกซ์แทรน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำอ้อย จะสูญเสียน้ำตาลถึง 1.123 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงงาน และยังต่อเนื่องไปถึงรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ผู้ผลิตน้ำตาลจำเป็นต้องตรวจการปนเปื้อนของเดกซ์แทรนในน้ำอ้อยอยู่เสมอ เพื่อกำจัดเดกซ์แทรนที่ตรวจพบก่อนนำน้ำอ้อยเข้าสู่กระบวนการผลิต
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) โดยทีมนักวิจัยห้องปฏิบัติการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซนเซอร์ระดับนาโน พัฒนา “ชุดตรวจเดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในกระบวนการผลิตน้ำตาล” โดยใช้หลักการ Competitive immunoassay ทำให้สามารถวิเคราะห์ปริมาณเดกซ์แทรนได้รวดเร็ว มีค่าคัตออฟของชุดตรวจที่ 1,000 ppm/brix มีความไว ความจำเพาะ และความถูกต้องในการตรวจวัดมากกว่าร้อยละ 90 การใช้งานชุดตรวจทำได้ง่าย พนักงานสามารถตรวจสอบและอ่านผลการตรวจได้จากแถบสีที่แสดงบนชุดตรวจโดยไม่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ผล
ปัจจุบันนาโนเทคได้ส่งมอบชุดตรวจให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมน้ำตาลเพื่อใช้ควบคุมคุณภาพการผลิตของโรงงานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 สามารถช่วยลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
รายละเอียดเพิ่มเติม : ชุดตรวจเดกซ์แทรน (Dextran) ปนเปื้อนในการผลิตน้ำตาล (https://bit.ly/2SrBywd หน้า 40-43)
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยให้มีความพร้อมในการแข่งขันระดับโลกอยู่เสมอ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำเพื่อความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับการทำการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
หากสนใจเทคโนโลยีการเกษตรอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถติดตามได้ที่ “หนังสือ 3 ทศวรรษ สวทช. กับการขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่มเกษตรและอาหาร” ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/2SrBywd
BCG
ข่าว
บทความ
ฟรี…คลินิกให้คำปรึกษาออนไลน์ธุรกิจเทคโนโลยีแบบตัวต่อตัวเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญพันธมิตรชั้นนำ Advisory Clinic@TSP
เปิดแล้ว !!
ฟรี...คลินิกให้คำปรึกษาออนไลน์ธุรกิจเทคโนโลยีแบบตัวต่อตัวเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญพันธมิตรชั้นนำ
Advisory Clinic@TSP กิจกรรมให้คำปรึกษาธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
โดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำ
เปิดให้คำปรึกษาเชิงลึกแบบ One on One แก่ผู้ประกอบการ แบบออนไลน์ (ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย) ตลอดเดือนกันยายน 2564
ลงทะเบียนนัดหมายขอรับคำปรึกษาเชิงลึกแต่ละสัปดาห์ที่ >>> https://forms.gle/HcvSRVBbPLSfszhx6
ร่วมกิจกรรมออนไลน์ ผ่านทาง Cisco WebEx ปรึกษา 60 นาที ต่อบริษัท
การส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์จาก BOI
การวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ
การวิเคราะห์ทดสอบ มาตรฐาน (Testing HUB Service @TSP)
เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อการวิจัยและพัฒนา โดย สวทช.
สินเชื่อเพื่อการทำธุรกิจ โดยสถาบันการเงินชั้นนำ
การรับรองโครงการวิจัยลดหย่อนภาษี
บัญชีนวัตกรรมไทย สู่ตลาดภาครัฐ
การตลาดสินค้านวัตกรรมเครื่องมือแพทย์
พื้นที่เช่าเพื่อการวิจัยและพัฒนา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
E-mail: bcd@nstda.or.th
Line ID : maiys19
0852892669 (คุณใหม่)
0994983635 (คุณปอ)
0868217666 (คุณเอม)
ปฏิทินกิจกรรม
งานสัมมนาเชิงวิชาการออนไลน์ ในหัวข้อ “Rethinking Malaria in the Context of COVID–19”
สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาเชิงวิชาการออนไลน์ ในหัวข้อ “Rethinking Malaria in the Context of COVID–19”
โดยงานสัมมนาเชิงวิชาการนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยทุกท่านได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการและการควบคุมโรคมาลาเรีย การพัฒนาศักยภาพการบริการด้านโรคมาลาเรียแบบบูรณาการ รวมถึงการฝึกอบรมและเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการรับมือกับโรคมาลาเรีย นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการร่วมอภิปรายถึงวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมและกำจัดเชื้อมาลาเรียให้หมดไปจากโลก อีกด้วย
.
งานสัมมนาออนไลน์จัดขึ้นใน วันที่ 28 - 29 กันยายน 2564 เวลา 20:00 – 22:30 น. เวลาประเทศไทย
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://rethinkingmalaria.org/
********************************************************
You are invited to join National Science and Technology Development Agency (NSTDA) and Harvard University for a special 2-day webinar on focused on thematic topics stemming from the "Rethinking Malaria in the Context of COVID–19” global engagement—Malaria Governance, Integrated Service Delivery, Training & Capacity Building for Malaria on September 28–29, 2021 from 20:00 – 22:30 Thailand time.
To register and learn more about webinar agenda, speaker bios, please visit: https://rethinkingmalaria.org/
ปฏิทินกิจกรรม
ฟื้นฟู “ป่าชายเลน” สร้างเศรษฐกิจฐานราก ลดก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนมากเป็นอันดับ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ไม่เพียงสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในฐานะแหล่งอาหาร ยา พลังงาน และการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนโดยรอบ แต่ยังเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่สำคัญเพื่อลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย นักวิชาการมีการประเมินตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจไว้ว่า หากมีการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดราว 1.73 ล้านไร่ทั้งทางตรงและทางอ้อม จะมีมูลค่าสูงถึงกว่า 6 หมื่นล้านบาทต่อปี
เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนอย่างยั่งยืน ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดการเสวนาเรื่อง “ป่าชายเลนคุณค่าต่อประเทศไทยและโลก” โดยมีผู้แทนจากส่วนงานต่างๆ มาร่วมสะท้อนทิศทางการดำเนินงานทั้งในแง่มุมการเพิ่มปริมาณพื้นที่ป่า การสร้างมูลค่าเพิ่ม การอนุรักษ์ การสร้างแหล่งเรียนรู้ และการสร้างเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนพัฒนาตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)
“ป่าชายเลน” แหล่งอาหารและดูดซับก๊าซเรือนกระจก
ศ. ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาความหลากหลายทางชีวภาพ ได้กล่าวเปิดการเสวนาด้วยการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของป่าชายเลนและสถานการณ์ภาพรวมว่า ป่าชายเลนเป็นระบบนิเวศที่เชื่อมต่อระหว่างผืนดินกับน้ำทะเลในเขตร้อนและกึ่งร้อนของโลก ประเทศไทยมีแนวป่าชายเลนเกิดขึ้นทั้ง 2 ฝั่งของประเทศ ฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จันทบุรีไปถึงปัตตานีมีความยาวของพื้นที่ประมาณ 2,000 กิโลเมตร และฝั่งอันดามันจากจังหวัดระนองถึงจังหวัดสตูลมีความยาวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร
[caption id="attachment_25861" align="aligncenter" width="700"] ศ. ดร.สนิท อักษรแก้ว ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาความหลากหลายทางชีวภาพ[/caption]
“คุณค่าของป่าชายเลนไทย ไม่เพียงเป็นบ้านขนาดใหญ่สำหรับอนุบาลสัตว์น้ำชายฝั่งเท่านั้น แต่ยังเป็นโรงครัวที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นกำแพงกันภัยธรรมชาติให้แก่คนชายฝั่ง โดยเฉพาะตอนเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 อย่างไรก็ตามหากย้อนไปประมาณช่วง 30-60 ปีที่ผ่านมา น่าเสียดายว่าป่าชายเลนไทยเคยถูกรุกรานอย่างหนักเพื่อประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจจนพื้นที่ป่าหายไปกว่าครึ่ง แต่ด้วยประชาชนเริ่มมีความรู้ความเข้าใจถึงความสำคัญของป่าชายเลนมากขึ้น จึงทำให้มีการฟื้นคืนป่าชายเลนเพิ่มขึ้นมาในช่วงระยะหลัง นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรอีกกว่า 90 ประเทศ ในการเชื่อมโยงพื้นที่ป่าชายเลนของแต่ละประเทศให้เป็นป่าชายเลนของโลกในนามสมาคมป่าชายเลนนานาชาติ (International Society for Mangrove Ecosystem หรือ ISME) ซึ่งจะมีบทบาทหน้าที่ในการร่วมฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน และการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงอีกด้วย”
เมื่อประชาคมโลกเกิดการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของป่าชายเลน ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยได้มีการดำเนินงานพัฒนาป่าชายเลนตามเป้าหมายหลายด้าน ทั้งเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และการดำเนินงานตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อหยุดหรือชะลอปัญหาภาวะโลกร้อนให้ได้มากที่สุด ซึ่งประเทศไทยมีเป้าหมายที่ต้องบรรลุ คือ การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ภายในปี 2573
ป่าชายเลน ความหวังไทยลดการปล่อย CO2
จากปัญหาภาวะโลกร้อนและการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศที่มากเกินไป ได้นำมาสู่ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยต้องหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการปลูกป่าโดยเฉพาะป่าชายเลนถือเป็นความหวังสำคัญในการนำมาใช้แลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต หรือใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองจากการปลูกป่าในพื้นที่รัฐดูแล
[caption id="attachment_25859" align="aligncenter" width="500"] นางพูลศรี วันธงไชย ผู้อำนวยการส่วนวิจัยทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช.[/caption]
นางพูลศรี วันธงไชย ผู้อำนวยการส่วนวิจัยทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช. เล่าถึงแผนงานนโยบายด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูและระเบียบการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตของพืชป่าชายเลนว่า หนึ่งในแผนงานที่ ทช. กำลังดำเนินงานคือการทำให้เกิดการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนอย่างยั่งยืน โดยกรมได้ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. และหน่วยงานพันธมิตร สร้างกลไกเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกับภารกิจนี้ คือการปลูกป่าชายเลนเพื่อคาร์บอนเครดิต เพราะมีข้อมูลการวิจัยจากต่างประเทศรายงานว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าป่าชนิดอื่น 2-4 เท่า โดยจะกักเก็บคาร์บอนไว้ในมวลชีวภาพที่อยู่ในลำต้น ราก ซากไม้ตาย และที่สำคัญคือการกักเก็บอยู่ในดิน
“การดำเนินงานปลูกป่าชายเลนของภาคเอกชนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นคาร์บอนเครดิตจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ภายใต้ระเบียบ ทช. ว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก พ.ศ. 2564 ซึ่งดำเนินการร่วมกัน 3 ฝ่าย มีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยองค์กรหรือบุคคลภายนอกจะเป็นผู้ปลูกและออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ทช. จะเป็นผู้กำกับดูแล และอบก. มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต ซึ่งการปลูกป่าจะต้องดูแลอย่างน้อย 6 ปี หลังครบ 6 ปี ผู้พัฒนาโครงการฯ ต้องมีการเสนอแผนนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนโดยรอบได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการฟื้นคืนหรือเพิ่มปริมาณผืนป่า และมีการส่งเสริมอาชีพให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในชุมชน
ส่วนการปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิต จะต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยผู้พัฒนาโครงการฯ ได้คาร์บอนเครดิต 90% ทาง ทช. ได้ 10% และเป็นโครงการฯ ที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 24 เมษายน 2564 ตามเงื่อนไขข้อตกลงกับทาง ทช. เท่านั้น ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของ ทช. ส่วนระเบียบและขั้นตอนขึ้นทะเบียนและการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ของ อบก. ซึ่งจะมีกระบวนการคิดคาร์บอนเครดิตเป็นแบบภาคสมัครใจ และสามารถนำไปใช้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อาทิ การใช้หักลบจำนวนการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบขององค์กร หรือใช้จำหน่ายเป็นเครดิต เป็นต้น”
ป่าชายเลนหล่อเลี้ยงชุมชน เชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก
แม้คุณค่าของป่าชายเลนและเงื่อนไขในการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตจะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานรัฐเข้ามาช่วยกันฟื้นฟูเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มมากขึ้น แต่มิติสำคัญที่จะนำมาซึ่งการดูแลอนุรักษ์ป่าชายเลนไว้ได้อย่างยั่งยืน คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน และการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีรายได้จากการใช้ประโยชน์ป่าชายเลน
[caption id="attachment_25856" align="aligncenter" width="700"] นายไชยภูมิ สิทธิวัง ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช.[/caption]
นายไชยภูมิ สิทธิวัง ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน กองอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน ทช. เล่าถึงการทำงานที่ผ่านมาว่า ทช. ได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรและชุมชนโดยรอบป่าชายเลนในการดำเนินงานส่งเสริมการเติบโตเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนจากฐานทรัพยากรป่าชายเลนในท้องถิ่น ทั้งการศึกษารวบรวมองค์ความรู้ การเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพัฒนาต่อยอดเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมการใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน ทั้งทางด้านสัตว์น้ำเศรษฐกิจ พืชอาหาร พืชสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากพืชป่าชายเลน รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในป่าชายเลน เช่น การนำพืชป่าชายเลนกว่า 20 ชนิด มาทำเป็นอาหารกว่า 70 เมนู การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรกว่า 30 ชนิด การทำประมงชายฝั่งแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ไม้ป่าชายเลนผลิตเป็นถ่านหุงต้มคุณภาพสูง และการผลิตไม้ป่าชายเลนเพื่อเป็นไม้ดอกไม้ประดับหรือไม้ให้ร่มเงาที่มีราคาสูง เป็นต้น ถือได้ว่าป่าชายเลนเป็นแหล่งสร้างงานสร้างรายได้หล่อเลี้ยงคนในพื้นที่
อย่างไรก็ตามด้านองค์ความรู้ในการใช้ประโยชน์จากพืชป่าชายเลนตอนนี้ยังขาดผู้เชี่ยวชาญจากแขนงต่างๆ มาร่วมบูรณาการนำเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาช่วยยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรที่ชุมชนมีเป็นต้นทุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายการกระจายสินค้าและช่องทางการตลาดให้แก่ผลิตภัณฑ์จากป่าชายเลน เพื่อให้เศรษฐกิจฐานรากมีการเติบโตอย่างมั่นคง เป็นไปตามเป้าหมายการดำเนินงานของ ทช.
เทคโนโลยีจีโนมิกส์อนุรักษ์พันธุ์ไม้ป่าชายเลนเสี่ยงสูญพันธุ์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่ามกลางความพยายามฟื้นฟูป่าชายเลน ยังคงมีการบุกรุกเข้าใช้ประโยชน์ที่ดิน ส่งผลให้ป่าชายเลนที่เป็นป่าธรรมชาติลดลง พันธุ์ไม้ชายเลนหลายชนิด โดยเฉพาะชนิดที่กระจายพันธุ์ได้น้อย และพบเฉพาะถิ่นเริ่มหายากและเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
[caption id="attachment_25862" align="aligncenter" width="500"] ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช.[/caption]
ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช. เล่าถึงความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ ทช. ในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนไทยว่า ปัจจุบัน สวทช. โดย NOC ได้นำเทคโนโลยีจีโนมิกส์มาใช้ในการศึกษาถอดรหัสพันธุกรรมของพืชป่าชายเลนไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (Natural selection) รวมถึงการปรับตัวในระดับพันธุกรรมของพืชแต่ละชนิดเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นยังได้มีการวิเคราะห์จีโนมพืชป่าชายเลนที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในปัจจุบัน ดังปรากฏใน IUCN Red List เช่น พังกาถั่วขาว (Bruguiera hainesii) ที่อยู่ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธุ์ (Critically Endangered หรือ CR) มีเหลืออยู่ในประเทศไทยไม่ถึง 100 ต้น
“นักอนุกรมวิธานได้วิเคราะห์ลักษณะต่างๆ ของพังกาถั่วขาวไว้ว่า มีลักษณะผสมกันระหว่างพังกาหัวสุมดอกแดง และถั่วขาว ผลการศึกษาทางพันธุศาสตร์พบว่าขนาดจีโนมของพังกาถั่วขาวใหญ่กว่าตัวพ่อแม่ และมีจำนวนยีนมากกว่าเกือบ 2 เท่า โดยพบหลักฐานว่าบางโครโมโซมในพังกาถั่วขาวนั้นมาจากถั่วขาว และบางโครโมโซมนั้นมาจากพังกาหัวสุมดอกแดง ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังศึกษาความหลากหลายทางธรรมชาติของพืชกลุ่มถั่วนี้ ทั้งนี้องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยด้วยเทคโนโลยีจีโนมิกส์ จะมีการนำมาขยายผลด้านงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนไทยต่อไปในอนาคต”
สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนฯ ร.๙ แหล่งเรียนรู้สู่ความยั่งยืน
ประเด็นสุดท้ายที่มีการนำมาพูดคุยในการเสวนาครั้งนี้คือการจัดสรรพื้นที่สร้างความตระหนักรู้แก่ประชากรไทยและประชากรโลกถึงความสำคัญของป่าชายเลน ด้วยการสร้างแหล่งเรียนรู้ระดับสากล สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนแห่งแรกของโลก
[caption id="attachment_25857" align="aligncenter" width="700"] นายชาตรี มากนวล ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ ทช. [/caption]
นายชาตรี มากนวล ผู้อำนวยการสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ ทช. เล่าถึงความเป็นมาของสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร.๙ จังหวัดจันทบุรีแห่งนี้ว่า มีการสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยสวนแห่งนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่รวบรวมองค์ความรู้และพรรณไม้ป่าชายเลนจากพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกมาจัดแสดง เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และสถานที่พักผ่อนทางธรรมชาติให้แก่คนไทยและต่างชาติ โดยสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ อาคารนิทรรศการให้ความรู้ โรงเรือนจัดแสดงพันธุ์ไม้ป่าชายเลนทั้งของไทยและต่างประเทศ และทางเดินศึกษาธรรมชาติที่มีทางเดินชมเรือนยอดไม้ป่าชายเลน หอชมวิว และเส้นทางปั่นจักรยาน ซึ่งคาดว่าอาคารนิทรรศการให้ความรู้จะสามารถเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ. 2565 ก่อนจะทยอยเปิดส่วนอื่นๆ ต่อไป
ทั้งหมดนี้คือทิศทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ป่าชายเลนไทย เพื่อรักษาฐานทุนทางทรัพยากรให้คงความสมบูรณ์ และก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติ ที่มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการคุ้มครอง ป้องกัน ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ ให้เกิดการสร้างรายได้ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
สวทช. จับมือ วช. พัฒนา PETE เปลปกป้อง สู้ภัยโควิด-19
นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. ยังเดินหน้าพัฒนา "PETE เปลปกป้อง" เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการรับมือสถานการณ์ระบาดของ #โควิด19 ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุขด่านหน้าหลายแห่งนำไปใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยแล้ว ล่าสุดได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ผลิตและส่งมอบ "PETE เปลปกป้อง" ให้กับโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 แห่ง.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
🛑(Facebook Live) R&D Sharing 2021: EP.8 เปลความดันลบ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19
🤔คุณเคยสงสัยกันหรือไม่?
เรามีวิธีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายได้อย่างไร
สัปดาห์นี้ R&D Sharing งานวิจัยไทย...สู้ภัยโควิด
เรามีคำตอบให้คุณเสมอ
.
📌พบกับนวัตกรรม “PETE” เปลปกป้อง นวัตกรรมฝีมือคนไทย
เกราะคุ้มกัน ด่านหน้า สู้โควิด
ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อโควิดระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์
ร่วมพูดคุย ค้นหาคำตอบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับนักวิจัยไทย
ที่คิดค้นวิจัยตอบโจทย์ แก้ไขสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด
👍นักวิจัยไทยทำ เรามีคำตอบ ให้คุณเสมอ!
ร่วมรับฟังแลกเปลี่ยนความรู้ ทุกคำถามเรามีคำตอบ
ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวผลงานวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิดนี้ก่อนใคร...
.
👉แล้วพบกัน!!! 22 กันยายน 2564 เวลา 10.30-11.15 น.
มาร่วมพูดคุยกับ ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ
หัวหน้าทีมวิจัยการออกแบบและแก้ปัญหาอุตสาหกรรม
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช.
.
นักวิจัยไทยทำ สู้ภัยโควิค
.
รับชมได้ทาง
Live Facebook Fanpage: NSTDA-สวทช.
.
หรือรับฟังเสียงพร้อมแลกเปลี่ยนแบบ Exclusive ทาง Club House “Sci Sence”
#NSTDA#R&D Sharing#Sciscene#clubhouse
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญผู้สนใจในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม (Deep Tech Startup) เข้าร่วมกิจกรรม NSTDA ACCEL : Demo Days
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (Technology Management Center) โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (PMU-C)
ขอเชิญผู้ที่สนใจในกลุ่มธุรกิจนวัตกรรม (Deep Tech Startup) เข้าร่วมกิจกรรม NSTDA ACCEL : Demo Days
ภายใต้โครงการ “NSTDA Deep Tech Acceleration: แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก”
ในวันที่ 27 - 28 กันยายน 2564 รูปแบบ Online ผ่าน Webex Meeting และ Facebook Live
พบกับ✨สุดยอด 24 Deep Tech Startups Pitching จาก 3 สาขาเทคโนโลยี✨ ได้แก่
> Food Technology
> Internet of Things (IoT)
> Health Devices
และเสวนาในหัวข้อ
• นโยบายการสนับสนุน Deep Tech Startups
• บทบาท PMU-C ในการสนับสนุน Deep Tech Acceleration
• Deep Tech Startups Ecosystem in Thailand
• Deep Tech Startups Investment
• Corporate Investment in Deep Tech Startups
📌📌ลงทะเบียนฟรี ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 กันยายน 2564 ผ่านลิงก์ด้านล่างนี้
https://forms.gle/WTC6J8jLujWPaZQQ7
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Page: Deep Tech Acceleration
ปฏิทินกิจกรรม
เอ็มเทค สวทช. ร่วมกับ วช. ส่งมอบ‘เปลความดันลบ’ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มอีก 7 โรงพยาบาล
วันที่ 15 กันยายน 2564 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ส่งมอบ PETE (พีท) เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 7 ชุด ให้แก่โรงพยาบาล เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์รับมือสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. และทีมนักวิจัยเอ็มเทค เป็นผู้ส่งมอบฯ
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหนึ่งในหน่วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของประเทศ ได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของทีมแพทย์และด่านหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 โดยที่ผ่านมา สวทช. ได้ส่งมอบนวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ไปใช้ทั้งในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือมูลนิธิต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ PETE เปลปกป้อง, หน้ากากอนามัยเซฟฟีพลัส (Safie Plus), หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีซี, ชุดตรวจ NANO COVID-19, แอปพลิเคชัน DDC Care ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19, ระบบบริการการแพทย์ทางไกล AMED Telehealth สนับสนุนการทำงาน Home Isolation และ Community Isolation และการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์เพื่อคนพิการ เป็นต้น และในวันนี้ สวทช. มีความยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่จะส่งต่อ PETE (พีท) เปลปกป้องไปช่วยบรรเทาปัญหาการทำงานของทีมแพทย์ท่ามกลางวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้
สวทช. โดยเอ็มเทคมีเป้าหมายที่จะใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรม ที่สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงได้ออกแบบและพัฒนา PETE (พีท) เปลปกป้อง : เปลความดันลบเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อเป็นอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดไปในแต่ละจุด ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยการออกแบบส่วนแคปซูลไร้โลหะ แข็งแรงและปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 และยังสามารถนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด ขณะอยู่บนเปลเพื่อคัดกรองอาการในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล โดยไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปลความดันลบ ช่วยลดการแพร่เชื้อโรคบนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และยังช่วยลดเวลา ลดจำนวนคนที่ต้องใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดได้อีกด้วย โดยขณะนี้ได้ถ่ายทอดสิทธิให้กับบริษัท สุพรีร่า อินโนเวชั่น จำกัด เพื่อผลักดันให้ผลงานถูกนำไปสร้างคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และที่ผ่านมาเอ็มเทค สวทช. ยังได้ส่งมอบเปลปกป้องเพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่/อาสาสมัครของหน่วยงานต่างๆ รวม 50 แห่ง
การสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในครั้งนี้ จึงทำให้เกิดการขยายผลและส่งมอบเปลปกป้อง ให้กับโรงพยาบาลเพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ 1. โรงพยาบาลตากสิน 2. โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ฯ 3. โรงพยาบาลลาดกระบัง 4. โรงพยาบาลสิรินธร 5. โรงพยาบาลบางขุนเทียน 6. โรงพยาบาลบางไผ่ และ 7. โรงพยาบาลวังจันทร์ จ.ระยอง เพื่อใช้ในการปกป้องบุคลากรทางการแพทย์และบุคคลทั่วไปจากการแพร่กระจายเชื้อของโรคโควิด-19 ซึ่งการระบาดของ ‘โรคโควิด-19’ สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัดทำงานอย่างหนักมาอย่างต่อเนื่อง รับหน้าที่เป็นเสมือนด่านหน้าในการต่อสู้กับโรค จึงจำเป็นต้องได้รับความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. มีภารกิจหลัก คือการนำการวิจัยและนวัตกรรมมาพัฒนา เพื่อตอบโจทย์และแก้วิกฤตของประเทศ ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร การวิจัย นวัตกรรม รวมถึงการสนับสนุนโจทย์ที่ท้าทายทางสังคม และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วช. ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมทางการแพทย์และวิจัยพัฒนา ภายใต้ ศปก.ศบค. ได้มีการนำโจทย์จากประเด็นความสำคัญของประเทศมาดำเนินการผลักดันเพื่อให้เกิดผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จะช่วยแแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยรับโจทย์จากสถานการณ์จริง รวมถึงการส่งเสริมให้กับนักวิจัยและนักวิชาการได้ช่วยกันในการพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรม โดยเล็งเห็นความสำคัญของการนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่เริ่มมีการระบาดจนถึงปัจจุบัน โดยระยะแรกที่อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์เริ่มมีการขาดแคลน วช. จึงให้การสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ทดแทนอุปกรณ์ดังกล่าว ตัวอย่าง เช่น ชุด PAPR ที่กระทรวงสาธารณสุขได้ขอรับการสนับสนุน จำนวน 3,000 ชุด นอกจากนี้ วช. ยังมีการสนับสนุนห้อง ICU ความดันลบเคลื่อนที่ซึ่งนำไปติดตั้งและใช้งานจริงแล้วในหลายโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบุษราคัม โรงพยาบาลทหารผ่านศึก โรงพยาบาลภูมิพล เป็นต้น สำหรับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้มีวัคซีนที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนาทั้งสิ้นมากกว่า 20 ชนิด โดย วช. ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ภายในประเทศร่วมกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนที่มีความก้าวหน้าพร้อมนำมาทดสอบในมนุษย์แล้ว จำนวน 4 ชนิด ทั้งนี้ PETE (พีท) เปลปกป้อง ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของเอ็มเทค สวทช. ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตให้แก่ภาคเอกชนแล้ว ซึ่งเป็น “ผลงานพร้อมใช้” ที่ วช. ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน ในภารกิจการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคโควิด-19 โดยติดตั้งไปพร้อมรถพยาบาลตั้งแต่ขั้นตอนเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการใช้งานภายในสถานพยาบาล จะช่วยให้ระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินจากจุดเกิดเหตุและระหว่างนำส่งโรงพยาบาล จนไปถึงขั้นตอนการรักษา เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด “วช. จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในฐานะผู้ร่วมส่งมอบอุปกรณ์ “พีท เปลปกป้อง” ไปใช้ในภารกิจการแพทย์ฉุกเฉิน ที่จะมีการส่งมอบเปลปกป้องนี้ ไปยังหน่วยงานผู้ใช้ 7 แห่งแรก จากทั้งหมด 16 แห่งที่ วช. ได้ให้ทุนสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรมในการวิจัยและพัฒนาเพื่อขยายผลการใช้งาน โดยมีบริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด มาร่วมให้บริการด้านการใช้งานและซ่อมบำรุงแก่หน่วยงานสถานพยาบาลต่างๆ รวมถึงเก็บข้อมูลการใช้งานจากผู้ใช้ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลให้แก่คณะวิจัยในการปรับปรุงและพัฒนาผลงานนี้ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์


