หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เจาะลึกแนวทางนักวิจัยรุ่นใหม่: สัมมนาทุนรัฐบาล กระทรวง อว. ปี 2568 ชี้ทางสู่ ‘นวัตกรรมเชิงพาณิชย์’ บนฐานจริยธรรม
(เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ) กิจกรรมสัมมนานักเรียนทุนรัฐบาลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ "Innovating Tomorrow: Scholars Leading Thailand's Future" ได้ปิดฉากลงแล้ว ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยกิจกรรมในวันสุดท้ายได้มุ่งเน้นการติดอาวุธทางความคิดและให้ข้อมูลเชิงลึกแก่นักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกการทำงานวิจัยที่มุ่งผลกระทบจริง โดยครอบคลุมตั้งแต่การปรับกระบวนทัศน์การวิจัยให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรม, การนำทางนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์, การเข้าถึงระบบนิเวศแหล่งทุนของประเทศ และการยึดมั่นในมาตรฐานจริยธรรมการวิจัย ปรับกระบวนทัศน์วิจัย: จาก Supply Push สู่ Demand Pull ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. จุดประกายให้นักวิจัยรุ่นใหม่ในหัวข้อ “แบ่งปันประสบการณ์การบริหารจัดการและทิศทางการวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม” เปลี่ยนวิธีคิดจากการวิจัยแบบ "Supply push" ที่มักต่อยอดจากองค์ความรู้เดิมของตนเอง ไปสู่การวิจัยที่ขับเคลื่อนด้วยความต้องการจริงของสังคมหรือภาคอุตสาหกรรม หรือ "Demand pull" โดยยกกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จอย่าง Traffy Fondue และ FoodSERP ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจริงของประชาชน นอกจากนี้ ดร.สมบุญ ได้ให้บริบทของระบบวิจัยในปัจจุบันว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังการควบรวมกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับทบวงมหาวิทยาลัยในปี 2562 ซึ่งนำไปสู่การแยกหน่วยงานทำวิจัยและหน่วยงานให้ทุนออกจากกันอย่างชัดเจน โดยหน่วยงานให้ทุนบริหารงานโดย สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) และกองทุน ววน. ที่จะกระจายงบประมาณให้แก่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึง จัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยบริหารจัดการทุน คือ PMU ต่าง ๆ ซึ่งนักวิจัยรุ่นใหม่จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างเหล่านี้เพื่อความสำเร็จในการของบวิจัย วางรากฐานนวัตกรรมด้วยจริยธรรมและธรรมาภิบาล คุณฐิติวรรณ เกิดสมบุญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาคุณภาพและจริยธรรมการวิจัย สวทช. ได้ให้แนวคิดสามเสาหลักในการสร้างสรรค์งานวิจัย คือ ธรรมาภิบาล (Good Governance), จริยธรรม (Ethics) และความซื่อตรง (Integrity) พร้อมทั้งได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ 6 หลักการสำคัญที่ได้รับการยอมรับในการสร้างบูรณภาพการวิจัย สร้างวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำวิจัย, ผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพไม่ขัดต่อกฎหมาย สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาล เปิดเผย/เผยแพร่ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ให้เป็นสาธารณะ เข้าถึงได้ง่ายและแบ่งปันประโยชน์อย่างทั่วถึง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องกับงานวิจัย ดำเนินงานวิจัย พัฒนา และพิจารณาทบทวนกิจกรรมการวิจัยด้วยความซื่อสัตย์ เคารพเพื่อนร่วมงาน ผู้เข้าร่วมการวิจัยตลอดจนสังคม ระบบนิเวศ มรดกทางวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม และเจาะลึกในมาตรฐานภาคปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ -จรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์: ยึดหลักการใช้สัตว์ให้น้อยที่สุด หาทางเลือกอื่นทดแทน และลดความทรมานของสัตว์ให้มากที่สุด -จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์: ทุกโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ก่อนเริ่มดำเนินการ -ความปลอดภัยทางชีวภาพ: การวิจัยที่ใช้เชื้อโรคต้องคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม -จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์: มุ่งเน้นการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ โปร่งใส และปลอดภัย เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ถอดรหัสเส้นทางสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ศาสตราจารย์ ดร.สนอง เอกสิทธิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิจาก วช. ได้ให้มุมมองที่เฉียบคมเกี่ยวกับการพัฒนานวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ โดยชี้ว่างานวิจัยยุคใหม่ไม่สามารถเป็นแบบ "Single Discipline" ได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยทีมเวิร์คและการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญศาสตร์อื่น ท่านได้วางกรอบการเดินทาง 3 ขั้น คือ Idea (ทฤษฎี), Invention (สิ่งประดิษฐ์) และ Innovation (นวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง) พร้อมเน้นย้ำว่า "บทความที่ตีพิมพ์แต่ไม่มีคนอ้างอิงก็ไม่มีค่า เช่นเดียวกับสิทธิบัตรที่ไม่มีการนำไปใช้งาน" ท่านจึงแนะนำให้นักวิจัยใช้เครื่องมือประเมินระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี หรือ TRL เป็น "แผนที่นำทาง" ในการพัฒนางานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง เจาะลึกระบบนิเวศแหล่งทุนวิจัยของไทย ดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการ บพค. ได้ฉายภาพรวมระบบการให้ทุนของประเทศภายใต้แผนด้าน ววน. (พ.ศ. 2566-2570) โดยเปิดเผยว่า งบประมาณด้านการวิจัยของประเทศมีมูลค่าราว 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่ง สกสว. จะจัดสรรไปยังหน่วยบริหารจัดการทุน (PMU) 7 แห่ง อาทิ บพท. (PMUA) ที่เน้นการพัฒนาระดับพื้นที่, บพข. (PMUC) ที่เน้นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ บพค. (PMUB) ซึ่งรับผิดชอบทุนด้านการพัฒนากำลังคนและสถาบันอุดมศึกษา โดย ดร.รัฐภูมิ ย้ำว่าแต่ละ PMU มีตัวชี้วัด (OKR) และเกณฑ์การให้ทุนที่แตกต่างกัน สร้างเครือข่ายและแรงบันดาลใจ ส่งท้ายสู่เส้นทางจริง ในช่วงท้ายของวัน สมาคมเครือข่ายนักวิจัยไทยรุ่นใหม่ (TYSA) ได้จัดกิจกรรม Reflection and Sharing เพื่อให้นักเรียนทุนได้สะท้อนและแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้ โดยก่อนหน้านี้ TYSA ได้จัดกิจกรรมเสวนาที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของการวิเคราะห์ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของงานวิจัย และการค้นหาผู้ใช้งาน (User) ให้พบ ขณะที่ ดร.ปรีชา เกียรติกิระขจร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ได้ให้คำนิยาม "นวัตกรรม" ว่าคือสิ่งใหม่ที่คนยอมรับและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้ใช้งาน ไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีเสมอไป รวมทั้ง ดร.ปวีณ นราเมธกุล ผู้ช่วยอำนวยการ สวทช. ให้กำลังใจนักเรียนทุนทุกคนที่ได้กลับมาปฏิบัติงานในหน่วยงานราชการต่างๆ แล้ว ขอให้ปฏิบัติงานอย่างมีความสุข หากติดขัดปัญหาหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การปฏิบัติงานชดใช้ทุนก็สามารถปรึกษาพี่เลี้ยงได้ จากนั้น รศ. ดร.ดารา ภู่สง่า นักเรียนทุนรุ่นพี่ ได้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานในฐานะอาจารย์และนักวิจัย เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนทุนรุ่นใหม่ กิจกรรมสัมมนาปิดท้ายด้วยสรุปจาก ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. โดยหวังว่านักเรียนทุนจะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้และเครือข่ายเพื่อใช้ตัดสินใจในการทำงานวิจัย การสร้างทีม และการหาแหล่งทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก และย้ำว่านักเรียนทุนยังสามารถติดต่อขอคำปรึกษาจากพี่เลี้ยง และ สวทช. ได้ทุกโอกาส เส้นทางของนักวิจัยรุ่นใหม่ในวันนี้ไม่ได้สิ้นสุดแค่เพียงห้องทดลองและบทความวิชาการ แต่คือการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจในระบบนิเวศการวิจัยของประเทศ และหัวใจที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคม การสัมมนาครั้งนี้ได้มอบทั้งเข็มทิศและแผนที่เพื่อนำทางสู่เป้าหมายนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความกล้าที่จะก้าวออกไปจากกรอบเดิม ๆ และลงมือทำเพื่อสร้างผลกระทบที่แท้จริงบนพื้นฐานของจริยธรรมและความรับผิดชอบ เพราะนักเรียนทุนรัฐบาลคืออนาคตของชาติ ที่จะเปลี่ยนทฤษฎีให้เป็นความจริง และเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ให้การต้อนรับ คณะ สกสว. ในโครงการ RU Connext ครั้งที่ 3: สานพลัง วิจัยไทย ใช้งานจริง
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในโครงการ RU Connext ครั้งที่ 3: สานพลัง วิจัยไทย ใช้งานจริง ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ซึ่งการจัดประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และนโยบาย ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลบัญชีนวัตกรรมไทย เพื่อเสริมศักยภาพการวิจัยและสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ มีอยู่ รองผู้อำนวยการ สกสว. และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปตัวอย่างผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพสูง และแนวทางการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมเชิงเศรษฐกิจ สังคม/พื้นที่ และนโยบายของ สวทช. โดยมี ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานกลยุทธ์องค์กร และคณะผู้บริหารจากศูนย์แห่งชาติร่วมบรรยายถึงผลงานเด่นของแต่ละศูนย์ฯ ประกอบด้วย ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC), ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง รองผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC), ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC), ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC), ดร.วิยงค์ กังวานศุภมงคล รองผู้อำนวยการ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) รวมถึง ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานบริการโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับบริการและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของ สวทช. และคุณวฑัญญู ตันธีระพงศ์ นักวิเคราะห์ งานส่งเสริมนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ ฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สวทช. ได้สรุปภาพรวมของการดำเนินงานบัญชีนวัตกรรมไทย พร้อมกันนี้ สวทช. ได้นำผลงานเด่นจากศูนย์ฯ แห่งชาติ มาร่วมจัดแสดงนิทรรศการ อาทิ การพัฒนาต้นแบบเซลล์แสงอาทิตย์ฟิล์มบางเพอรอฟสไกต์ด้วยการเคลือบนาโน (NANOTEC) OSSICURE Bone Graft ในการเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (MTEC) โครงการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย (ENTEC), AlPro Platform : น้ำตาลฟังก์ชันเพื่อเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมเกษตรไทย (BIOTEC) และผลงานด้าน Medical AI (NECTEC) -  โครงการ Medical AI Consortium & Medical AI Data Sharing Platform, บริการทดสอบ Medical Device Software, MagikBot: หุ่นยนต์ส่งยา นอกจากนี้ คณะ สกสว. ยังได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของ สวทช. อาทิ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), ทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ (MIS), ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) , ห้องปฏิบัติการ Plant Phenomics, NSTDA Supercomputer Center (ThaiSC), ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT), ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC), ศูนย์นวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์, ผลงานด้าน Carbon Neutrality, ศูนย์วิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) และ ทีมวิจัยความปลอดภัยระดับนาโนและฤทธิ์ทางชีวภาพ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. จัดพิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2568 เกษียณอายุรวม 35 คน จาก 11 หน่วยงาน
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีประกาศเกียรติคุณและแสดงมุทิตาจิตแด่ผู้เกษียณอายุราชการประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมภูมิบดินทร์ ชั้น 6 อาคารสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กรมวิทยาศาสตร์บริการ โดยมีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานในพิธี  ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวรายงาน และมี นายวิเชียร สุขสร้อย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง ในการนี้ นางสาวสุดาวรรณ ได้มอบประกาศเกียรติคุณและของที่ระลึกแด่ผู้เกษียณอายุราชการทุกท่าน เพื่อสดุดีคุณงามความดี และแสดงความขอบคุณต่อความทุ่มเทในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดระยะเวลาราชการที่ผ่านมา โดยภายในงานยังมีการจัดแสดงรำอวยพรอันอ่อนช้อย สื่อถึงความเคารพรักและความปรารถนาดีจากรุ่นสู่รุ่น สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยความประทับใจ สำหรับในปีนี้ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ปรีชา เกียรติกิระขจร รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านบริหารทรัพยากรบุคคล         นายโกเมศ สุขบัติ รักษาการผู้อำนวยการกลยุทธ์บุคคลและพัฒนาองค์กร และ นางสาวสิรินทร อินทร์สวาท รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ รวมถึงเพื่อน ๆ พนักงานได้เข้าร่วมแสดงความยินดี ด้วยความชื่นชมและซาบซึ้งในผลงานที่ได้ฝากไว้ และส่งมอบกำลังใจแด่ผู้เกษียณอายุราชการ สวทช. รวมทั้งสิ้น 11 คน ช่วงสุดท้ายของพิธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. พร้อมผู้บริหารระดับสูง และผู้เกษียณอายุราชการ ได้ร่วมถ่ายภาพที่ระลึก ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ภายในบริเวณกระทรวงฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความทรงจำ และเกียรติประวัติอันทรงคุณค่าของผู้ปฏิบัติงานภายใต้กระทรวง อว. โอกาสนี้ สวทช. ขอแสดงความยินดี และขอขอบคุณในคุณูปการของผู้เกษียณอายุราชการทุกท่านที่ได้อุทิศตน สร้างคุณประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ และขออำนวยอวยพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความสำเร็จในชีวิตใหม่หลังเกษียณอายุราชการ  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จับมือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยกระดับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย
(วันที่18 กันยายน 2568) ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ: เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดฉากงาน “CP Innovation Exposition & Symposium 2025” อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด “Innovate the Future for a Better Tomorrow” ตอกย้ำบทบาทองค์กรแห่งนวัตกรรม (Tech-Driven Company) ที่พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจ และสังคมไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน โดยงานในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ภายในมีการมอบรางวัล Chairman Awards เพื่อเชิดชูนวัตกรผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กรจำนวน 82 ผลงาน และจัดแสดงผลงานครอบคลุมนวัตกรรม 4 ด้านหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์และบริการ กระบวนการ รูปแบบธุรกิจและความยั่งยืน ซึ่งมีทั้งผลงานต้นแบบทดลองและผลงานที่พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ พร้อมกันนี้มีการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ ภายใต้บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม Center of Excellence (CoE) กับทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหนึ่งใน 30 องค์กรที่ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อผนึกกำลังขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมี ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ลงนามในฐานะตัวแทนของ สวทช. นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า “นวัตกรรมคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม และถือเป็นหนึ่งในคุณค่าหลักของเครือซีพี เพราะการขับเคลื่อนองค์กรและสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยทั้งนวัตกรรมและคุณธรรมควบคู่กัน ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการเรียนรู้จากความล้มเหลว และการไม่หยุดนิ่งในการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ นายศุภชัย กล่าวต่อว่า “AI คืออนาคต และจะเป็นผู้ช่วยสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม ไม่เพียงต่อธุรกิจและอุตสาหกรรม แต่ยังรวมถึงผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ซีพี จึงลงทุนสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม อย่างครบวงจร ทั้ง Data Center, Cloud, AI Lab รวมถึงการพัฒนา True Digital Park, Cloud 11 และโครงการใหม่บนถนนสุขุมวิท 50 เพื่อให้เป็น Innovation District ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมในภูมิภาค นอกจากนี้ยังจัดให้มี ‘พิธีลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนเครือข่ายนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ’ โดยมีพันธมิตรชั้นนำจากไทยและต่างประเทศ ทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน เกือบ 30 องค์กรร่วมลงนาม ได้แก่ Alltech, Novonesis, IBM Thailand, Tencent Cloud, Unitree Robotics, Galaxy Space, ZTE Thailand, Huawei Thailand, Xi Xiang, Qiao Yin Group, Clobotics, AlgoSynth, Tcab Tech, Salus Biomed & GibThai, Muhdo Health, World Tech Enterprise, Lifomics, Cloudpick, Nuralogix, TechShake, Yawin, Shanghai Zixing Biotechnology Co., Ltd., โชว์ไร้ขีด (BT beartai), Techsauce, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) รวมถึงมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยชั้นนำของไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ Harbour.Space แห่งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถือเป็นการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมที่ครอบคลุมทั้งในระดับองค์กร ระดับประเทศ และระดับสากล ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวรายงานในพิธีลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนเครือข่ายนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ ว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือการรวมพลังเพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ ต่อยอดงานวิจัย สนับสนุนการเกิดสตาร์ตอัป และ Spin-off เพื่อสร้าง S-Curve ใหม่ที่จะยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศไปสู่เวทีโลก โดยมี CP – Center of Excellence (CoE) ศูนย์กลางด้านวิจัยและพัฒนาที่เป็นฐานรากของการสร้างนวัตกรรมใน 3 สาขา 1. Bio-Tech Lab 2.Digital & AI Lab และ 3. Data Center & Cloud CoE ทั้งนี้การจัดตั้ง CoE เพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างภาครัฐภาคเอกชนมหาวิทยาลัยและองค์กรวิจัยทั้งในและต่างประเทศเพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมสร้าง S-Curve ใหม่และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเเละภูมิภาคอาเซียน ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ สวทช. ได้นำเอาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้จากนักวิจัย ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย และเครือข่ายความร่วมมือกับภาคการศึกษา ไปใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะมุ่งเน้นในหลายด้าน อาทิ การแบ่งปันความเชี่ยวชาญ การสนับสนุนการทดสอบนวัตกรรม การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ และการเปิดโอกาสให้เข้าถึงห้องปฏิบัติการวิจัยและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ "เรามองว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็น 'พื้นที่ทดสอบและผู้ใช้งานนวัตกรรม' ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถนำงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ทำงานร่วมกันในการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายทางธุรกิจและสังคม และร่วมกันสร้างนวัตกรรมที่มีมูลค่าสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย" ดร.วรวรงค์ กล่าว สำหรับงาน CP Innovation Exposition & Symposium 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-21 กันยายน 2568 ทรู ดิจิทัล พาร์ค (TDPK) กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการสร้างสรรค์แรงบันดาลใจด้านนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ โดยครั้งนี้จะมีเวทีเสวนามากกว่า 30 เซสชั่น ที่รวบรวมผู้ทรงคุณวุฒิและผู้นำด้านเทคโนโลยีจากองค์กรระดับโลกกว่า 60 คน รวมถึงนักวิชาการจาก MIT และผู้บริหารระดับสูงจากไทย ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน AI, Robotics, Green Technology และ Biotechnology ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันสำคัญของเศรษฐกิจโลกในศตวรรษหน้า ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ https://cpinnoexpo2025.cpgroupsustainability.com
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาและชมนิทรรศการ “สร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจด้วยแนวคิดการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน”
📢 ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าร่วมสัมมนาและชมนิทรรศการ "สร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจด้วยแนวคิดการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน" -------------------- 🎯 สัมมนานี้เหมาะกับ • ผู้ประกอบการที่ต้องการขับเคลื่อนธุรกิจ CE • นักออกแบบ นักวิจัย และนักพัฒนาผลิตภัณฑ์ • ผู้ที่สนใจนำ CE ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ 📚 หัวข้อสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด: • แนวคิดการออกแบบสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน • เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน • แนวโน้มและความท้าทายในอนาคต -------------------- 🗓 วันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568 🕘เวลา 08:30 – 16:00 น. 📍สถานที่: ห้องบอลรูม C โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ -------------------- 📌ลงทะเบียน: https://www.nstda.or.th/r/WIVsX
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดตัว “Roxizyme” เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระฝีมือนักวิจัยไทย ประสิทธิภาพเหนือวิตามินซี
  นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เปิดตัว “ร็อกซิไซม์” (Roxizyme) นวัตกรรมเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ ที่พัฒนาจากยีสต์สายพันธุ์ท้องถิ่นในไทย พร้อมเดินหน้าต่อยอดสู่ธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยร่วมพัฒนาการผลิตเชิงพาณิชย์และขยายตลาดสู่สากล กระแสการดูแลสุขภาพและความงามในปัจจุบันให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะ "สารต้านอนุมูลอิสระ" ที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสารเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีข้อจำกัดในการแข่งขันทางการตลาด   [caption id="attachment_74761" align="aligncenter" width="617"] ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นักวิจัย ไบโอเทค สวทช.[/caption]   จากปัญหาดังกล่าว ทีมวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนา “Roxizyme” โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพจากยีสต์ที่คัดเลือกจากตัวอย่างข้าวหมักจากทางภาคเหนือของไทย และปรับกระบวนการผลิตให้ยีสต์ดังกล่าวสามารถสร้างเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญ ได้แก่ ซูเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (Superoxide dismutase; SOD) คะตะเลส (Catalase; CAT) และกลูตาไธโอนเปอร์ออกซิเดส (Glutathione peroxidase; GPx) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางระดับสากล   [caption id="attachment_74758" align="aligncenter" width="562"] ต้นแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ “Roxizyme” เพื่ออุตสาหกรรมความงาม (ภาพจาก ไบโอเทค)[/caption]   ปัญหาสำคัญของการใช้เอนไซม์ในเชิงพาณิชย์ คือ ความไม่เสถียร ทีมวิจัยจึงพัฒนาเทคโนโลยีการผสมสูตร (formulation technology) เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรของเอนไซม์ ทำให้สามารถคงคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น     ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการแสดงให้เห็นว่า Roxizyme มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่สูง (ABTS assay) และสามารถช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสในระดับใกล้เคียงกับสารที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เช่น กรดโคจิก (Kojic acid) (anti-tyrosinase assay) โดยไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์ (cell cytotoxicity) และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเซลล์ผิว (skin irritation test) ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวมีประโยชน์ในการต่อยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี     ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นักวิจัยทีมเทคโนโลยีเอนไซม์ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า “สารต้านอนุมูลอิสระที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางของประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2,400-2,600 ล้านบาท และยังเติบโตต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ Roxizyme มีโอกาสเข้าสู่ตลาดเครื่องสำอางที่เน้นส่วนผสมจากธรรมชาติซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย พร้อมทั้งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย”   [caption id="attachment_74762" align="aligncenter" width="562"] ดร.พิษณุ ปิ่นมณี นำเสนอนวัตกรรม Roxizyme บนเวทีการนำเสนอผลงานวิจัยเด่นที่น่าลงทุน (Investment Pitching) ในงาน Thailand Tech Show 2025[/caption]   นอกจากนี้ นวัตกรรมเอนไซม์ Roxizyme ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ผลงานนำเสนอในเวที Thailand Tech Show 2025 (TTS2025) เพื่อหาความร่วมมือกับภาคเอกชนในการต่อยอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ โดยทีมวิจัยตั้งเป้าให้สามารถนำ Roxizyme ไปใช้จริงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และขยายไปสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงตลาดต่างประเทศในอนาคต   [caption id="attachment_74760" align="aligncenter" width="750"] สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบสำคัญในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย[/caption]   Roxizyme จึงไม่เพียงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเครื่องสำอาง แต่ยังเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของไทยมาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมความงามของประเทศให้ก้าวสู่เวทีโลก ผู้ประกอบการที่สนใจนวัตกรรม Roxizyme ติดต่อได้ที่ ดร.พิษณุ ปิ่นมณี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3401 อีเมล phitsanu.pin@biotec.or.th เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช. ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช. และ Shutterstock
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
DITP จับมือ 6 พันธมิตรเชื่อมข้อมูลและนำ AI มาเสริมทัพการค้าไทย
(วันที่17 กันยายน 2568) กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ แถลง Kick off การพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสู่โลกการค้ายุคใหม่ ในงาน "เสริมแกร่งทัพการค้าไทย ด้วยบริการดิจิทัลยุค AI" เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน แก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) เป็นประธานเปิดงานและเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU 2 ฉบับ ได้แก่ 1.การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ระหว่าง 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งจะบูรณาการข้อมูลด้านการค้าร่วมกัน โดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญ  2.การเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานและข้อมูล SMEs ระหว่าง DITP และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ SMEs ไทย ในการเข้าถึงบริการระหว่าง 2 หน่วยงานแบบไร้รอยต่อ ทั้งนี้ตั้งเป้าพัฒนา AI Chatbot แล้วเสร็จในปี 2569 โดยความร่วมมือครั้งนี้มี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. เป็นผู้แทนองค์กรร่วมแถลงข่าว นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “การจัดงานในครั้งนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของกระทรวง ที่มุ่งสู่การเป็นองค์กรขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ AI สาขา Generative AI จะเป็น Change Agent สำคัญของโลกการค้ายุคใหม่ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า แก่ผู้ประกอบการและประชาชนได้อย่างดี ช่วยให้ผู้ประกอบการซึ่งเปรียบเสมือนกองทัพทางเศรษฐกิจ สามารถต่อสู้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศได้ ท่ามกลางตลาดโลกปัจจุบันที่มีความผันผวนและความท้าทาย ที่ต้องปรับตัวได้เร็ว เพื่อต้องชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน และช่วยให้ผู้ส่งออกรายใหม่มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนา AI Chatbot ผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า ครั้งนี้ ยังถือเป็นครั้งแรกที่สามารถทลายไซโลระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นรูปธรรมของกระทรวง โดยมีการบูรณาการข้อมูล ให้อยู่ในฐานเดียวกัน แก้ Pain Point ของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาต้องติดต่อหลายหน่วยงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำการค้าอย่างครบถ้วน” นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวเสริมว่า “การพัฒนา AI Chatbot ครั้งนี้มุ่งยกระดับการให้บริการข้อมูลการค้า ช่วยลดอุปสรรคของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ในการเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยี  ทลายข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลกฎระเบียบการค้าที่มีปริมาณมาก ซับซ้อนเข้าใจยาก กระจัดกระจายหลายแหล่ง และเป็นภาษาต่างประเทศอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ  ช่วยให้ SMEs ไทยก้าวทันข้อมูลแนวโน้มความต้องการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว อีกทั้ง AI Chatbot จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ช่วยลดระยะเวลา กำลังคนและทรัพยากรในการวิเคราะห์ข้อมูล เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ส่งออกรายเดิม และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจส่งออกรายใหม่  นอกจากนี้ AI Chatbot จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพมาตรฐานในการให้บริการข้อมูลคำปรึกษาด้านการค้าของ DITP และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งมีผู้ขอรับข้อมูลคำปรึกษารวมกัน 180,000 – 200,000 ครั้งต่อปี นางสาวสุนันทา กล่าวต่อว่า “DITP ได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาระบบ AI Chatbot จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยมีมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นผู้ร่วมดำเนินการกับ DITP นอกจากนี้ ยังมีทีม Hackathon อีก 2 ทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริษัท เวสเทิร์น กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ที่เข้ามาช่วยพิสูจน์แนวคิดการประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาต้นแบบผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการค้า โดยใช้โมเดล AI ที่แตกต่างกันไป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะคัดเลือกโมเดลที่ฉลาดหรือมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อนำมาพัฒนาเป็นบริการสำหรับผู้ประกอบการไทยต่อไป” สำหรับ MOU ฉบับที่ 2 เป็นความร่วมมือในการเชื่อมโยงบัญชีผู้ใช้งานระบบดิจิทัลและข้อมูลผู้ประกอบการ SMEs ระหว่างระบบ DITP Single Sign-on (DITP SSO) กับ SME One ID ของ สสว. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานระบบของทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย ให้สามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลที่สำคัญระหว่างกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร ไร้รอยต่อ ไม่ต้องลงทะเบียนหรือกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ช่วยลดความยุ่งยากในการเข้าถึงบริการภาครัฐ และยังมีความมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถเข้าถึงบริการดิจิทัลของทั้งสองหน่วยงานได้รวม 18 บริการ พร้อมกันนี้ DITP ยังได้เปิดตัวบริการดิจิทัลใหม่ล่าสุดอีก 2 ระบบ ได้แก่ โมบายแอปพลิเคชัน DITP ONE ที่รวบรวมบริการดิจิทัลของกรมไว้ในที่เดียวในลักษณะ One Stop Service เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลที่นิยมใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ และระบบ DITP My Scores ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ความพร้อมและศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการ ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของตนเองได้ และจะได้รับคำแนะนำกิจกรรมหรือบริการที่เหมาะสม เพื่อยกระดับศักยภาพทางธุรกิจได้อย่างตรงจุด “DITP ได้พัฒนาบริการดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลดิจิทัล โดยมุ่งหวังให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงข้อมูลและบริการได้สะดวกรวดเร็ว การพัฒนาบริการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการของผู้รับบริการ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 255,000 ราย แต่ยังเป็นการสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทยท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในยุคดิจิทัล และคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยให้เป็น 1 ใน 3 ของโลก ภายในปี 2570 อีกทั้งยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อขับเคลื่อนการค้าไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางสาวสุนันทา กล่าวสรุป
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อว. ประกาศความสำเร็จ ‘อว.แฟร์ 2025’ ตลอด 9 วันประชาชนร่วมงานกว่า 720,000 คน เดินหน้าใช้พลังนวัตกรรมขับเคลื่อนอนาคตไทย
(วันที่ 16 กันยายน 2568) ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) แถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน อว.แฟร์ 2025: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND” ภายใต้แนวคิด Creators of Tomorrow: คิดสร้างสรรค์ Kids สร้างอนาคต ที่เปิดให้ประชาชนเข้าชมฟรีและร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดล้ำด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ 9-17 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งตลอด 9 วันของการจัดงาน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมกว่า 720,000 ราย แบ่งเป็น On-site กว่า 222,000 ราย และ Online กว่า 498,000 ราย สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญ โดยมี ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (โยธี) ศ. ดร.ศุภชัย กล่าวว่า การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ถือเป็นความท้าทายสำคัญของกระทรวง อว. ในการดำเนินการจัดมหกรรมด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับภูมิภาคและส่วนกลาง เพื่อมอบองค์ความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ตลอดจนเปิดโอกาสและจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ในการนำวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและชุมชน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากำลังคนที่มีศักยภาพ สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างยั่งยืน ปลัดกระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า “อว.แฟร์ ไม่ได้เป็นเพียงงานนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ หากแต่เป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมและนำเสนอผลงานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. ครอบคลุมทั้งด้านอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เชื่อมโยงองค์ความรู้และนวัตกรรมกับการใช้ชีวิตจริง ตลอดจนจุดประกายโอกาสจากทักษะใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศ พร้อมทั้งปลุกพลังแห่งการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งสะท้อนบทบาทเชิงกลไกของกระทรวง อว. ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ ด้วยพลังของการเรียนรู้ที่บูรณาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อมุ่งสู่การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทย” การจัดงาน 'อว.แฟร์ 2025' ในครั้งนี้นับว่าบรรลุผลสำเร็จอย่างรอบด้าน โดยมีผลลัพธ์เชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญและคุณค่าของงานอย่างชัดเจน ทั้งในด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิ Facebook PR Pages, KOL Influencer, Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ Line ซึ่งสร้างการรับรู้รวมกว่า 125 ล้านครั้ง ตลอดจนมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 720,000 คน แบ่งเป็นการเข้าร่วม On-site กว่า 222,000 คน และ Online กว่า 498,000 คน อีกทั้งยังเกิดการจับคู่เจรจาทางธุรกิจสำเร็จ 345 คู่ อันนำไปสู่การต่อยอดและขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์มากกว่า 1,059 ผลงาน ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการและประชาชนกว่า 18,000 คน ได้รับการพัฒนาศักยภาพผ่านกิจกรรมสัมมนา เสวนา และเวิร์กชอปกว่า 300 กิจกรรม พร้อมทั้งก่อให้เกิดรายได้จากการจำหน่ายสินค้านวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากหน่วยงานในสังกัด อว. ผ่านโซน Marketplace และ Craft Market รวมมูลค่ากว่า 4.3 ล้านบาท โดยมีผลการประเมินความพึงพอใจจากผู้เข้าชมงานอยู่ในระดับสูงกว่า 96% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของการจัดงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวง อว. ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน อย่างไรก็ตามความสำเร็จของงาน อว.แฟร์ 2025 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเรียนรู้ของคนไทย และเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญ 3 ประการ คือ การสร้างปัญญา: ด้วยการเปิดพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการต่อยอดแนวคิด "นิทรรศการเพื่อการเรียนรู้" ไปสู่โมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะการขับเคลื่อนทุนการศึกษาแบบ Targeted Scholarship และการสร้างพื้นที่เรียนรู้เสมือนจริงสำหรับกลุ่มเปราะบาง การเปิดโอกาส: ด้วยการยกระดับเวที Business Matching และ Innovation Showcase ให้เชื่อมโยงกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการในระดับพื้นที่ โดยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน เทคโนโลยี และงานวิจัยให้มากขึ้น การสร้างอนาคตไทย: ด้วยการเร่งขับเคลื่อน Deep Tech และอุตสาหกรรมอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนา AI Excellence Center, Quantum Hub, Smart Farming Platform และ Digital Health Supply Chain ให้กลายเป็น Flagship Projects ระดับชาติ “สิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากการจัดงานในปีนี้ คือ การเรียนรู้คือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปิดเวทีให้เยาวชน นักวิจัย ผู้ประกอบการ และประชาชน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ ความรู้เหล่านี้สามารถต่อยอดไปสู่อาชีพ สร้างธุรกิจ และก่อให้เกิดคุณค่าที่กลับคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ในนามของผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อว. ผมขอให้คำมั่นว่า เราจะยังคงมุ่งมั่นและเดินหน้าในการสร้างปัญญา เปิดโอกาส และร่วมกันสร้างอนาคตของประเทศไทย ผ่านพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม” ปลัดกระทรวง อว. กล่าว  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Smart Modern Manager หลักสูตรเสริมทักษะผู้บริหารยุคใหม่
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย Career for the Future Academy เปิดรับสมัครผู้บริหารและผู้จัดการเข้าร่วม หลักสูตรอบรมเชิงปฏิบัติการ “Smart Modern Manager for Organization of the Future” ระหว่างวันที่ 6 – 7 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ Key Highlights เสริมขีดความสามารถผู้บริหารในการใช้ “คน” ขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้ทักษะและเทคนิคการจัดการที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืนและการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ รับมือกับการเปลี่ยนแปลงยุคดิจิทัล ผ่านการเรียนรู้เครื่องมือและเทคนิคสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์การบริหารธุรกิจ พัฒนาผู้นำองค์กรยุคใหม่ที่สร้างแรงบันดาลใจและความเชื่อมั่นให้ทีมงาน วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิดร.วัลลภ ใหญ่ยิ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์กร การจัดการนวัตกรรม และการบริหารเชิงกลยุทธ์ บริษัท เอชอาร์ดี ไวซ์ จำกัด และทีม หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับ หัวหน้างานที่เตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้จัดการ ผู้จัดการสายงาน ผู้ที่ต้องการเสริมทักษะการบริหารจัดการ ผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการพัฒนาองค์กรด้วยมุมมองใหม่ ค่าลงทะเบียนท่านละ 9,900 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)หมายเหตุ: สำหรับหน่วยงานรัฐและองค์กรธุรกิจที่ไม่ใช่กำไร มีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาบุคลากร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 0 2644 8150 ต่อ 81901 (คุณปานทิพย์)เว็บไซต์: https://www.career4future.com/smf
ข่าว
 
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปลี่ยนรถเก่าให้เป็นรถ EV ด้วย 2 หลักสูตร
🚙⚡️เปลี่ยนรถเก่าให้เป็นรถไฟฟ้า ด้วยตัวคุณเอง!⚡️🚗 ฝึกทักษะล้ำอนาคตกับ 2 หลักสูตรสุดพิเศษ โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (NSTDA) สำหรับใครที่สนใจเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า หรืออยากต่อยอดธุรกิจ ไม่ควรพลาด! ---  1. รู้ทัน ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ในวันเดียว (EVConv-1D) รุ่นที่ 2 📅 วันที่ 16 ธันวาคม 2568 - เรียนรู้ศักยภาพ EV CONVERSION แบบเน้นเนื้อหา กระชับ เข้าใจง่ายใน 1 วัน - เข้าใจระบบต่าง ๆ ของรถดัดแปลงไฟฟ้า พร้อมไฮไลต์การเลือกอุปกรณ์สำคัญ - ได้รับคูปองฟรี!  เข้าเรียนทบทวนเนื้อหาผ่านหลักสูตร e-Learning ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EV Conversion) ของทางสถาบัน เป็นระยะเวลา 30 วัน 💸 ค่าสมัครเพียง 6,420 บาท 👉 ดูข้อมูลเพิ่มเติมและสมัคร: https://www.career4future.com/evconv-1d --- 2. การพัฒนาผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง (EVConv) รุ่นที่ 2 📅 17 - 18 ธันวาคม 2568 (อบรมเชิงปฏิบัติการ ที่ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ) - เรียนรู้อุปกรณ์ และวิธีการออกแบบ เพื่อดัดแปลงรถยนต์สันดาปภายในเป็นรถไฟฟ้า (EV Conversion) โดยผู้เชี่ยวชาญจาก NECTEC - ฝึกปฏิบัติจริงอย่างเข้มข้น ตั้งแต่การเตรียม การประกอบ การเชื่อมต่อ และการทดสอบระบบ EV ต่าง ๆ - เหมาะที่สุดสำหรับผู้ประกอบการและผู้สนใจธุรกิจรถ EV - รับส่วนลดทันที 10% สำหรับผู้ผ่านการฝึกอบรมในหลักสูตร “รู้ทัน ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ในวันเดียว” 💸 ค่าสมัคร 10,700 บาท 👉 รายละเอียด: https://www.career4future.com/evconv --- สนใจสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉีรวรรณ) หรืออีเมล npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
สวทช. โดย นาโนเทค คิกออฟ “เชียงราย” พื้นที่ต้นแบบ วทน. ยกระดับคุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกก
 วันที่ 16 กันยายน 2568 ณ จังหวัดเชียงราย – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค-สวทช.) จับมือพันธมิตรทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย และสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย ลงนามความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพน้ำด้วย วทน. มุ่งเป้าพื้นที่ลุ่มน้ำกก ชู “เชียงราย” พื้นที่ต้นแบบ ยกนวัตกรรมระบบกำจัดความขุ่นและสารหนูสำหรับระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้าน ให้สามารถกำจัดสารหนู ยกระดับคุณภาพน้ำประปาหมู่บ้านเพื่อเข้าสู่มาตรฐานน้ำประปาของกรมอนามัย นำร่องบ้านริมกก ต.แม่ยาว และบ้านเมืองงิม ต.ริมกก กว่า 900 ครัวเรือน ให้ประชาชนเข้าถึงน้ำสะอาดปลอดภัยสำหรับอุปโภคบริโภคอย่างยั่งยืน ดร.ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย พื้นที่เป้าหมายในการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคสำหรับชุมชนในภาวะปัญหาคุณภาพน้ำที่ได้ประสบ ที่ผ่านมานาโนเทคได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นปัญหาจัดการคุณภาพน้ำ ในการตรวจวัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภคสำหรับชุมชน ภายใต้แผนงานบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระหว่างปี 2566-2568 และได้รับทุนอุดหนุนกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม (แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ปีงบประมาณ 2568 “ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญที่จะร่วมกันนำนวัตกรรมเพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านหรือระบบประปาที่ดูแลโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพิ่มการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดที่ได้มาตรฐานน้ำประปาสำหรับชุมชน สร้างความตระหนักรู้ให้ชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจวัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำ รวมทั้งองค์กรผู้ใช้น้ำในการจัดการน้ำอุปโภคและบริโภคผ่านนวัตกรรมตรวจวัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยอาศัยองค์ความรู้จากการวิจัยและพัฒนาของนาโนเทค สวทช. ร่วมกันแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำอุปโภคบริโภคสำหรับชุมชนในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จากสภาพปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมด้านน้ำโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกกที่เป็นโจทย์และปัญหาสำคัญ การเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถือเป็นการเริ่มต้น (Kick off) กิจกรรมภายใต้แนวคิดการบูรณาการความร่วมมือเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจากภาคส่วนที่ทำหน้าที่ให้บริการสาธารณะหรือชุมชนโดยเฉพาะน้ำสะอาดในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ดร.ณัฏฐพร พิมพะ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการเร่งปฏิกิริยา การดูดซับ และการคำนวณระดับนาโน (NCAS) นาโนเทค สวทช. และหัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการบูรณาการงานวิจัยและพัฒนาด้านการบริหารจัดการน้ำของนาโนเทค เพื่อแก้ปัญหาแหล่งนํ้าดิบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความขุ่น สารหนู และโลหะหนักต่างๆ ด้วยโจทย์หลักคือ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ภายในโครงการ เริ่มตั้งแต่การกําจัดความขุ่นเพื่อประเมินปริมาณสารสร้างตะกอนที่เหมาะสม ผ่านนวัตกรรมทั้งกระบอกวัดความขุ่นแบบแผ่นสังเกตเคลื่อนที่, อุปกรณ์ช่วยตกตะกอนชนิดกวนด้วยแม่เหล็กแบบสองความเร็ว สําหรับประเมินปริมาณสารสร้างตะกอนภาคสนาม (Mobile Jar Test), เว็บไซต์ที่จะช่วยคํานวณปริมาณสารตกตะกอนสําหรับระบบผลิตนํ้าประปาหมู่บ้าน รวมถึงเซนเซอร์ตรวจวัดภาคสนาม (M Sense) นอกจากนี้ ยังศึกษาถึงวัสดุกรองจากวัตถุดิบในท้องถิ่นที่หาได้ง่าย ต้นทุนถูก และประสิทธิภาพดี อาทิ ถ่านกัมมันต์ ถ่านกระดูกสัตว์ ถ่านกะลาแมคคาดาเมีย หรือถ่านไม้ไผ่ ที่นำมาดัดแปรพื้นผิวให้สามารถดูดซับสารหนู และออกแบบติดตั้งถังกรองเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ “ความร่วมมือนี้ นาโนเทคจะร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น สทนช., อบจ.เชียงราย, สสจ. เชียงราย,ท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย รวมทั้ง วช. กำหนดพื้นที่นำร่องใน 2 ตำบลคือ ตำบลแม่ยาว และตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ที่จะปรับปรุงระบบผลิตนํ้าประปาให้สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน” ดร. ณัฏฐพร กล่าว นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า น้ำ นับเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับทุกภาคส่วน สทนช. เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ รวมทั้งส่งเสริมการบูรณาการและการมีส่วนร่วมการจัดการทรัพยากรน้ำบนหลักธรรมาภิบาล โดยที่ผ่านมา สทนช. ได้ให้ความสำคัญและพยายามในการบริหารจัดการปัญหาทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำกก ทั้งปัญหาในมิติมหภาคจากความร่วมมือและเขตแดนระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำกก คุณภาพชีวิตประชาชน และมิติจุลภาคที่จะให้ประชาชนได้รับน้ำสะอาด “วันนี้ พันธมิตรทุกภาคส่วน รวมถึง สทนช. จะร่วมกันเสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สู่การพัฒนาการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านให้สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนลุ่มน้ำกกอย่างยั่งยืน และคาดหวังว่า ในระยะต่อไป ผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีส่วนร่วมนั้น จะนำแนวทางพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านไปเพิ่มประสิทธิภาพระบบผลิตน้ำประปาในพื้นที่ ให้เกิดประโยชน์กับประชาชน และชุมชนนั้นๆ ในอนาคต” นางพัชรวีร์ กล่าว นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่สำคัญของภาคเหนือตอนบนด้านตะวันออก มีแม่น้ำกกไหลผ่านพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 16 แห่ง และมีพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำกก มากกว่า 100,000 ครัวเรือน แต่ด้วยปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และปรากฏการณ์เอลนีโญ-ลานีญา เป็นต้นมา แม่น้ำกกและแม่น้ำหลายสายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทำให้พื้นที่ลุ่มแม่น้ำกกเกิดความเสียหาย และที่รุนแรง คือ การพบการปนเปื้อนของโลหะหนักเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก ซึ่งถือเป็นวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของจังหวัดเชียงราย “เพื่อขับเคลื่อนให้จังหวัดเชียงรายเป็น “เมืองสุขภาพดี วิถีน่ายล ประชาชนมีความสุขอย่างยั่งยืน” และ Chiang Rai Wellness City องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นาโนเทค สวทช. ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับระบบบริหารจัดการน้ำ รวมถึงระบบประปาหมู่บ้านที่ได้มาตรฐาน เหมาะกับการอุปโภค บริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ที่มีการพบโลหะหนัก (สารหนู) เกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น ผลกระทบทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และที่สำคัญคือผลกระทบด้านสุขภาพ เรามุ่งมั่นที่จะร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน จัดการปัญหาอย่างจริงจัง โดยการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี บุคลากรและทรัพยากรที่มีเพื่อเชียงรายของเรา” นายก อบจ. เชียงราย กล่าวย้ำ  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ENTEC สวทช.-กฟภ. ขยายการใช้งาน “EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ภายใต้การดูแลของ กฟภ. สาขารังสิต
เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568 ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เดินหน้าโครงการขยายการใช้งานน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย “EnPAT” โดยติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT ในพื้นที่ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขารังสิต และได้รับเกียรติจาก คุณจักรพล สันติยานนท์ ผู้จัดการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขารังสิต เป็นผู้ควบคุมการดำเนินงานติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT ในครั้งนี้ โครงการขยายการใช้งาน EnPAT สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เป้าหมายช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ จากความสำเร็จในการนำร่องใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT เครื่องแรกในพื้นที่ จ.ชลบุรี มานานกว่า 1 ปี 6 เดือน ภายใต้ความร่วมมือของ ENTEC สวทช. และ กฟภ. ได้เดินหน้าต่อยอดการนำร่องใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT พร้อมระบบติดตามผลแบบออนไลน์อีก 8 เครื่อง ในพื้นที่ 8 จังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคของไทย ได้แก่ ปทุมธานี ราชบุรี นครราชสีมา อุดรธานี เชียงราย เชียงใหม่ ชุมพร และอุบลราชธานี เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งานจริง และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนทั้งผู้ใช้งาน ผู้ผลิต และประชาชน ( https://youtu.be/hBL7lOTkg4w ) คุณจักรพล สันติยานนท์ ผู้จัดการ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขารังสิต ให้สัมภาษณ์ระหว่างกิจกรรมการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT ว่าการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT เป็นการยกระดับความปลอดภัยให้กับประชาชน ด้วยคุณสมบัติเด่น คือ ติดไฟยาก เมื่อมีเกิดเหตุฉุกเฉินหรือหม้อแปลงระเบิด อย่างที่เคยเกิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความรุนแรง และสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชนในพื้นที่ได้ โดยเฉพาะการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขารังสิต ดูแลพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น จะมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ กฟภ. มีมุมมองในเรื่องการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์หนึ่งขององค์กร น้ำมัน EnPAT ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของ กฟภ. ได้ เนื่องจาก EnPAT ผลิตจากน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ จะช่วยยกระดับและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศได้
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์