หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
กระทรวง อว. สวทช. ชวนผู้ประกอบการ ช้อปงานวิจัยพร้อมลงทุน 2-4 ธ.ค. ไทยแลนด์เทคโชว์2020 พร้อมอัพเดท 10 เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
For English-version news, please visit : THAILAND TECH SHOW 2020 is now open for business (2 ธันวาคม 2563) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” บนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นครั้งแรกอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ New Normal ผ่านช่องทาง www.nstda.or.th/thailandtechshow/2020 เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์ กว่า 290 ผลงาน จากพันธมิตร 40 หน่วยงาน โดยได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ประธานในพิธีเปิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ มีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หนุนผู้ประกอบการ เสริมความรู้ รับเทรนด์ Plant-based Food
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ SMS Corporation Co.,Ltd. จัดกิจรรมในหัวข้อ “Healthy living with Plant-based solutions” เมื่อวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ณ อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี เพื่อส่งเสริม ต่อยอดให้กับบริษัทภาคเอกชน ผู้ประกอบการ ร่วมถึงผู้ที่ต้องการหารายได้เพิ่ม ให้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโปรตีนพิเศษ หรือ Plant-based meat เป็นช่องทางสู่การสร้างรายได้เพิ่ม พร้อมเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้ โดยมี นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เป็นประธาน และ คุณวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ที่ได้ให้เกียรติร่วมเป็นวิทยากร โดยภายในงานมีภาคเอกชน ผู้ประกอบการ startup  และหน่วยงานที่เป็นสมาชิกประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย เข้าร่วมกว่า 70 ราย (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ยกระดับคุณภาพ “มะม่วงไทย” สู่ผลไม้พรีเมียม เพิ่มช่องทางตลาดไฮเอนด์ ปรับกลยุทธ์ดันยอดขายสู้วิกฤตโควิด
For English-version news, please visit : ITAP-NSTDA helps orchards produce premium quality mangoes for high-end ณ วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโครงการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีน แทนการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ ช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในระหว่างการบ่มและลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี ได้มะม่วงที่มีคุณภาพเกรดพรีเมียมส่งขายในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำปรับกลยุทธ์ด้านการตลาด ดันยอดขายสู้วิกฤตโควิด-19 ช่วยสร้างงานและเพิ่มรายได้ให้ชุมชน นางสาวเสาวภา ยุววุฑโฒ ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรม ITAP สวทช. กล่าวว่า ภารกิจหลักของ ITAP  คือ การสร้างกลไกเชื่อมโยงและจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการยกระดับ เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงวิสาหกิจชุมชน ผ่านเครือข่าย ITAP ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการ ITAP ของวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรีในครั้งนี้ใช้เวลาดำเนินการ 1 ปี (พ.ศ. 2562-พ.ศ.2563) ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ ITAP ได้ทำงานตอบโจทย์แก้ไขปัญหาร่วมกันกับผู้ประกอบการ โดยประธานวิสาหกิจฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเข้ามาปรับปรุงการดำเนินงานเพื่อเพิ่มคุณภาพผลไม้ไทย ซึ่งแม้ว่าจะเกิดวิกฤตโควิด-19 แต่ก็นับเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและอยู่รอดได้ นายราเชนทร์  สุขหวานอารมณ์  ประธานวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี กล่าวว่า วิสาหกิจุชมชนฯ นี้ก่อตั้ง ปี พ.ศ.2555 บนพื้นที่กว่า 58 ไร่ จำหน่ายมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้   สีทอง น้ำดอกไม้เบอร์ 4 มะม่วง R2E2 และมหาชนก โดยมีผลผลิตปีละ 200 ตัน จำหน่ายทั้งตลาดในและส่งออกต่างประเทศ เช่น รัสเซียและประเทศในแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น มะม่วงของกลุ่มฯ ผ่านการปลูกด้วยมาตรฐาน ThaiGAP และคัดบรรจุผ่านมาตรฐาน GMP อย. ซึ่งการดำเนินงานของวิสาหกิจฯ จะคำนึงถึงคุณภาพของการส่งมะม่วงให้กับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญและยึดมั่นมาโดยตลอด ที่ผ่านมาจะบ่มมะม่วงด้วยถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพคนงาน และมะม่วงเน่าเสียในระหว่างการบ่ม เนื่องจากควบคุมยาก เมื่อได้ปรึกษากับ ITAP เพื่อแก้ไขปัญหาและนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ก็ได้พบทางออกด้วยการสร้างห้องบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีนขนาด 30.375 ลูกบาศก์เมตร บ่มมะม่วงได้ครั้งละ 3 ตัน ใช้เวลาบ่ม 24 ชั่วโมงต่อ 1 ครั้ง เมื่อนำออกจากห้องบ่ม บรรจุและจัดส่งให้กับลูกค้าได้เลย ข้อดีของการใช้แก๊สเอทิลีน นอกจากจะปลอดภัยต่อทั้งคนงาน ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยให้มะม่วงมีเนื้อสัมผัสแน่น ไม่เละ ไม่เน่าเสียง่าย เพิ่มระยะเวลาในการวางจำหน่ายได้นานขึ้น ทำให้มีกำไรมากขึ้นด้วย และในปี 2563 นี้ “มะม่วงน้ำดอกไม้ เบอร์ 4 และมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง” ของวิสาหกิจฯ ได้รับคัดเลือกจากท็อปส์มาร์เก็ต ให้เป็นสินค้าเกรดคุณภาพ แบรนด์ My Choices จำหน่ายในท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ เพื่อให้คนไทยได้ทานมะม่วงที่มีคุณภาพคุ้มค่า คุ้มราคา และจากวิกฤตโควิด-19 นี้ วิสาหกิจฯ ได้ปรับกลยุทธ์ด้านราคา ทำให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงและชุมชนมีงานทำและมีรายได้อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือให้ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน นายพีรพงษ์  แสงวนางค์กูล นักวิจัยชำนาญการ ศูนย์เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ ITAP กล่าวว่า การบ่มผลไม้ด้วยการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์เป็นวิธีที่เกษตรกรส่วนใหญ่คุ้นเคย เพราะเป็นวิธีปฏิบัติที่ง่าย แต่ส่งผลกระทบเชิงลบค่อนข้างมาก เช่น สูญเสียน้ำหนักระหว่างบ่ม ควบคุมการสุกของผลไม้ได้ยาก หากใช้ถ่านแก๊สมากเกินไป จะส่งผลให้ผลไม้สุกเร็วและเนื้อนิ่ม หรืออาจทำให้ผิวผลไม้มีลักษณะไหม้ได้  และในระหว่างบ่มจะเกิดกลิ่นของแก๊สอะเซทิลีนจากการระเหิดของถ่านก้อน มีกลิ่นฉุนติดไปกับผลไม้ และกลิ่นอาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจของผู้ปฏิบัติงาน และถ่านแก๊สยังมีโอกาสปนเปื้อนสารหนูซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและผู้บริโภคด้วย จึงเป็นข้อจำกัดในการส่งออกสินค้าไปบางประเทศในสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ส่วนที่เหลือของถ่านแก๊สภายหลังทำปฏิกิริยาจะเป็นของเหลือทิ้งที่ยากต่อการกำจัด จากปัญหาดังกล่าว ทางวิสาหกิจฯ ได้ขอคำปรึกษากับโครงการ ITAP เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา จึงเกิดเป็นโครงการ “ระบบการควบคุมและบ่มมะม่วงด้วยแก๊สเอทิลีน” การบ่มผลไม้ในห้องบ่มด้วยแก๊สเอทิลีน เป็นวิธีบ่มผลไม้ทางการค้าที่ใช้กันทั่วไปในต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ความรู้และความเข้าใจ เพื่อออกแบบห้องบ่มที่สามารถควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณแก๊สเอทิลีนที่เหมาะสมกับผลไม้แต่ละชนิดได้ โดยนำผลไม้ที่ต้องการบ่มใส่ในห้องบ่มที่ปิดสนิท และปล่อยแก๊สเอทิลีนให้ไหลเข้าห้องบ่ม ตามความเข้มข้นที่ต้องการในเวลาที่เหมาะสม ทำให้สามารถนำผลไม้ออกมาและปล่อยให้สุกตามธรรมชาติได้ การบ่มด้วยแก๊สเอทิลีนของวิสาหกิจฯ ส่งผลให้ลดการสูญเสียจากผลเน่า 12% เหลือ 7% คิดเป็นมูลค่ากว่า 100,000 บาท ลดค่าใช้จ่ายค่าถ่านก้อนแคลเซียมคาร์ไบด์ 536,426 บาท (ต่อ 1 รอบการผลิตมะม่วง) มียอดสั่งซื้อมะม่วงเพิ่มขึ้น 193.4% (เติบโตเกือบ 2 เท่า) คิดเป็นมูลค่า 3.3 ล้านบาท นายสมนึก ยอดดำเนิน Head of Farmer's ,Quality Line  Local and sourcing บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงนโยบายและหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผลไม้เพื่อจำหน่ายในร้านท็อปส์ และ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ว่ามีหลักเกณฑ์สำคัญที่บริษัทฯ ยึดมั่น คือ มาตรฐานสินค้าขั้นสูงสุด  ‘หัวใจคุณภาพ’ (QUALITY AT HEART) เป็นการตรวจสอบในทุกขั้นตอนการผลิตอย่างพิถีพิถันตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพของสินค้าและสามารถตรวจสอบสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ประกอบด้วย 5 หัวใจสำคัญ ได้แก่ 1. ความปลอดภัยของอาหาร มีระบบควบคุมความปลอดภัยของอาหาร สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จากสวนจนสู่มือผู้บริโภค  2. คุณภาพของอาหาร รับประกันความสดใหม่ รสชาติอร่อย คุณภาพสูงจากแหล่งที่ดีที่สุด 3. พัฒนาเพื่อความยั่งยืน เพิ่มคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับเกษตรกร โดยพัฒนาเกษตรกรและชุมชนภายในประเทศ ให้การสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย ใส่ใจสภาพแวดล้อมในการทำงานและค่าแรง ภายใต้จริยธรรมธุรกิจ 4. ดูแลสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำจัดขยะอย่างเป็นระบบ ใช้ระบบการขนส่งผ่านเครือข่ายรถส่งสินค้า (Backhaul) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ 5. ราคาที่เหมาะสม คัดสรรผลิตผลตามฤดูกาลด้วยคุณภาพที่ดีที่สุดจำหน่ายในราคาที่เหมาะสม สำหรับวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตมะม่วงส่งออกอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี เป็นสวนมะม่วงในโครงการที่ท็อปส์เข้าไปดูแลผลผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานสินค้าขั้นสูงสุด ‘หัวใจคุณภาพ’ (QUALITY AT HEART) แนะนำองค์ความรู้สมัยใหม่ มีการนำคิวอาร์โค้ดมาติดที่ลูกมะม่วง ทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งเพาะปลูกและโรงคัดบรรจุได้ อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้ว่าทานวันไหน รสชาติถึงจะอร่อยที่สุด โดยผลมะม่วงจะติดสติกเกอร์วันที่พร้อมทานไว้อย่างชัดเจน หากเกษตรกรหรือวิสาหกิจฯ โรงคัดบรรจุผลไม้ ที่จำเป็นต้องบ่มผลไม้ก่อนจำหน่าย อาทิ มะม่วง กล้วย มะละกอ และทุเรียน สามารถปรับการบ่มจากการใช้ถ่านแก๊สแคลเซียมคาร์ไบด์ มาเป็นการบ่มด้วยแก๊สเอทิลีน จะเกิดประโยชน์มหาศาลทั้งต่อเกษตรกร ผู้ปฏิบัติงานในโรงคัดบรรจุ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค รวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย        
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
แนะนำ 10 ผลงานวิจัยเด่นพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ Investment Pitching ในงาน Thailand Tech Show 2020
ขอเชิญผู้สนใจร่วมฟังการนำเสนอ 10 งานวิจัยเด่นพร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์ Investment Pitching ภายในงาน Thailand Tech Show 2020 วันที่ 2 ธันวาคม 2563 นี้ เวลา 10.00-11.30 น. พร้อมร่วมโหวตและลุ้นผลงานวิจัยที่น่าลงทุนได้ที่นี่ (คลิก) 1. ไฮบริดชัวร์ การตรวจความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (HybridSure) HybridSure เป็นงานบริการตรวจเอกลักษณ์และความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสม เช่น แตงกวา แตงโม แตงเทศ มะเขือเทศ มะระ และพริก โดยจะทำการตรวจความบริสุทธิ์ด้วยเครื่องหมายโมเลกุลสนิปที่จำเพาะเจาะจงกับลูกผสมแต่ละคู่ วิธีการตรวจสอบนี้รวดเร็วและแม่นยำกว่าวิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันมาก  HybridSure สามารถตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ลูกผสมที่ผลิตกันอย่างแพร่หลายในแทบ Southeast Asia ได้เกือบทุกสายพันธุ์ แม้กระทั่งสายพันธุ์ที่มีฐานพันธุกรรมใกล้เคียงกัน 2. เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน (PETE เปลปกป้อง) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเหมาะสมสำหรับการใช้งานในด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ประกอบด้วย (1) ระบบสร้างและควบคุมแรงดันลบแบบโมดูล ที่มีประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่เชื้อสูงถึง 99.995% มีขนาดเล็กทำให้เคลื่อนย้ายได้สะดวก ประหยัดพลังงานสามารถติดตั้งได้เข้ากับเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหลายขนาด (2) แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ผลิจากวัสดุที่สามารถนำเปลเข้าเครื่อง X-ray  และ อุโมงค์ CT scan ได้ ทำให้สามารถลดขั้นตอนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย รวมถึงการลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อ นอกจากนี้ยังสามารถพับเก็บได้เป็นชุดให้สามารถลากคล้ายกระเป๋าเดินทางหรือสะพายหลัง ประหยัดพื้นที่เหมาะกับการใช้งานบนรถพยาบาลร่วมกับเตียงพยาบาล แผ่นรองหลัง หรือเปลตัก ที่มีมีอยู่เดิม มีความแข็งแรงรองรับน้ำหนักผู้ป่วยได้กว่า 250 กิโลกรัม และ (3) ระบบสร้างและควบคุมแรงดันลบอัตโนมัติที่สามารถควบคุมแรงดันอากาศให้เหมาะสมตามการใช้งานได้โดยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ 3. เครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อในอากาศภายในอาคาร (Innovative Air Cleaner) อินโนเวทีฟแอร์คลีนเนอร์ (Innovative Air Cleaner) เป็นเครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อโรคในอากาศภายในอาคารที่ประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีทางไฟฟ้าสถิต (electrostatic technology) ที่ให้ประสิทธิภาพสูงถึง 99% สำหรับฝุ่นในช่วงขนาด 0.1 – 50 ไมครอน  สามารถกำจัดกลิ่นและเชื้อโรคบางชนิดในอากาศได้ มีการปลดปล่อยโอโซน (O3) ต่ำ กำจัดโอโซนด้วยเทคโนโลยี Ozone Trapper หรือ Ozone Absorber มีการบำรุงรักษาต่ำกว่า ออกแบบให้เหมาะสมต่อการใช้งานในโรงพยาบาล ครัวเรือน สำนักงานทั่วไป และโรงเรียน 4. ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COXY-AMP) COXY-AMP หรือ ชุดตรวจ COVID-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของโรค โดยนำเอาเทคนิคแลมป์ หรือ Loop-mediated isothermal amplification (LAMP) มาใช้ร่วมกับสีบ่งชี้ปฏิกิริยา Xylenol Orange เพื่อให้สามารถอ่านผลการตรวจได้ด้วยตาเปล่า โดยสังเกตจากสีที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมของไวรัส SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิคแลมป์ในหลอดทดสอบ โดยหากตัวอย่างส่งตรวจมีการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สีของสารละลายจะเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้าไม่มีการติดเชื้อ สีของสารละลายจะยังคงเป็นสีม่วง เทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียวนี้ มีความไว ความจำเพาะและความแม่นยำสูง ไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ราคาแพง เป็นการทำงานแบบขั้นตอนเดียว ที่ไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาทดสอบเพียง 75 นาที 5. โมเดลการผลิตสารทางชีวภาพเป้าหมาย (Smart-BIOact) Smart-BIOact ใช้ข้อมูลในระดับ Big data ของสิ่งมีชีวิต เพื่อวิเคราะห์-ทำนายความสามารถในการสร้างสารชีวภัณฑ์ (bioproduct) หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพเป้าหมายของจุลชีพ ด้วยเทคนิคด้าน ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) วิเคราะห์ด้วยแบบจำลองสารชีวเคมีในเซลล์ (Metabolic model) และปัญญาประดิษฐ์ (AI optimization method) ช่วยทำนายสภาวะการเลี้ยงที่เหมาะสมกับจุลชีพในการผลิตสารชีวภัณฑ์เป้าหมาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค้นหาสารชีวภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงการผลิตสารชีวภัณฑ์ที่สนใจ หรือค้นหาการออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่น่าสนใจในจุลชีพ (microorganism) หมายเหตุ: ในกรณีนี้ใช้สาหร่ายเป็นโมเดล แต่ Platform สามารถปรับใช้กับจุลชีพอื่นๆ นอกจากสาหร่ายได้ 6. มหัศจรรย์สีสันยางพารา (The Amazing Rubber Paint) สีเพ้นท์จากน้ำยางธรรมชาติ คือ สีเพ้นท์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติเป็นองค์ประกอบหลัก สามารถนำมาใช้ในการเพ้นท์บนผ้าชนิดต่าง ๆ เช่น ผ้าไหม ผ้าดิบ ผ้ามัสลิน ผ้าสาลู เป็นต้น เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานที่ได้จากวัสดุธรรมชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางด้านการลดต้นทุนของการผลิต ลดมลพิษ และไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปให้ผู้ต้องการฝึกปฏิบัติการเพ้นท์หรือการทำงานศิลปะได้อีกทางหนึ่ง และเป็นการเพิ่มทางเลือกของการเพ้นท์ผ้า ไม่เป็นอันตรายกับผู้ใช้งาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 7. หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ (AGV-Cobot UVC) การฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี (UVC) ซึ่งมีความยาวคลื่นในช่วง 200-280 นาโนเมตร มีความสามารถในการฆ่าเชื้อได้ทั้งกลุ่มของ แบคทีเรีย (Bacteria) เชื้อรา (Molds) โปรโตซัว (Protozoa) ไวรัส (Virus) และยีสต์ (Yeast) ความสามารถในการฆ่าเชื้อด้วยยูวีซี จะมีประสิทธิภาพบนพื้นผิวของวัตถุ ภายใต้ค่าความเข้ม (Power Density) และเวลา (Time) ของการฉายรังสีต่อการกำเนิดพลังงาน (Energy) ที่เพียงพอในการฆ่าเชื้อแต่ละชนิด โดยในปัจจุบันมีตู้อบยูวีซีเพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อจำนวนมากโดยเป็นการรับรังสีจากแหล่งกำเนิดติดตรึง (Stationary Radiation Source) โดยที่ระยะห่างของพื้นผิววัตถุจะมีผลของการรับความเข้มของรังสีที่แตกต่างกัน ดังนั้นประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อจะมีค่าไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ กรณีพื้นผิวใกล้แหล่งกำเนิด (หลอดยูวีซี) จะได้รับความเข้มสูงการกำจัดเชื้อมีประสิทธิภาพสูง ในทางกลับกันหากพื้นผิววางอยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดจะทำให้ความเข้มของรังสีต่ำจนบางครั้งไม่สามารถที่จะกำจัดเชื้อได้ สำหรับวัตถุที่ต้องการนำมาฆ่าเชื้อกรณีมีขนาดเล็ก สามารถนำเข้าตู้อบยูวีซีได้นั้นจะไม่พบปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามในกรณีของการเกิดโรคระบาด อาทิ วิกฤติ COVID-19 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการฟุ้งกระจายของเชื้อไวรัสสู่พื้นผิวต่างๆได้ตลอด สำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นต้น การใช้รังสียูวีซีในการฆ่าเชื้อจะต้องมีการเข้าถึงของแหล่งกำเนิดให้ใกล้กับพื้นผิวที่ต้องการฆ่าเชื้อมากที่สุด (ระยะห่างขึ้นกับกำลัง (Watt) ของหลอดยูวีซี) ซึ่งวิธีการนำหลอดยูวีซีมาติดตั้งอยู่กับที่ แล้วแผ่รังสีเป็นระยะเวลานาน ไม่เป็นผลที่ดี เนื่องจากความเข้มของยูวีซีที่ลดลงดังที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าจะมีการจัดหาหลอดยูวีซีที่มีค่ากำลังวัตต์สูงมาใช้นั้น เป็นการสูญเสียทรัพยากรทางกำลังไฟฟ้า มีต้นทุนที่สูง รวมถึงอันตรายต่อเนื้อเยื่อและดวงตาของมนุษย์หากต้องมีแรงงานมนุษย์ในกระบวนการฆ่าเชื้อ เพื่อเลื่อนแหล่งกำเนิดไปในพื้นที่ต่างๆจุดเด่นของเทคโนโลยี (Innovation Statement) 8. นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสดโดยใช้ RF Dry Blanching ยับยั้งการทำงาน ของเอนไซม์คงสภาพสีและกลิ่นรสของสมุนไพรในฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุง (RF Dry Blanching) “นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสดด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ และการใช้ฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุงที่ผสมวัตถุกันหืนจากธรรมชาติ” ได้มีการพัฒนาต่อยอดจากนวัตกรรมเดิม ได้แก่ การใช้ฟิล์มบริโภคได้ร่วมกับกระบวนการคงสภาพสมุนไพรอบแห้งพร้อมปรุง โดยนวัตกรรมนี้ได้นำเทคโนโลยีการใช้คลื่นความถี่วิทยุมายับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระบวนการ dry blanching ที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูง ต้นทุนต่ำ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันเป็นการสร้างนวัตกรรมจากงานวิจัยที่ไม่เคยมีในโลก และเป็นการทดแทนวิธี wet blanching ด้วยน้ำร่วมกับอุณหภูมิสูงที่ใช้ดั้งเดิมในอุตสาหกรรมอาหารอบแห้ง ซึ่งวิธี RF dry blanching นี้ เป็นการลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิตโดยไม่ต้องใช้น้ำหรือไอน้ำอุณหภูมิสูง และสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คงสภาพความสดของสมุนไพรทั้งสี กลิ่น และรส สามารถยืดอายุการเก็บรักษาสมุนไพรทั้งชนิดที่ใช้ประกอบอาหาร หรือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติโภชนเภสัชไว้ได้ สามารถขนส่งภายใต้อุณหภูมิปกติ ทำให้การขนส่งเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการลด carbon footprint 9. แผ่นฟิล์มถนอมอาหารและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ (Activ-Pack-19) บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ทางธรรมชาติกำลังเป็นที่สนใจในการนำมาใช้ทดแทนบรรจุภัณฑ์แบบดั้งเดิมที่ผลิตมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งมาสามารถย่อยสลายได้ โดยแป้งถือเป็นวัสดุทางชีวภาพอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่เป็นพิษ และย่อยสลายได้ง่าย แป้งยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น สมบัติการต้านทานน้ำและสมบัติเชิงกลต่ำ จึงมีการนำแป้งมาผสมร่วมกับวัสดุที่ย่อยสลายทางธรรมชาติ โดยนำไพลิไวนิลแอลกอฮอล์มาผสมกับแป้งมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตเป็นบรรจุซึ่งภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ เนื่องจากความเข้ากันได้ดีและสามารถขึ้นรูปฟิล์มได้ง่าย นอกจากนั้นยังมีการนำน้ำมันหอมระเหยได้จากการสกัดพืชมาประยุกต์ใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ จะมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย แต่จะส่งผลให้คุณสมบัติทางกลของฟิล์มบรรจุภัณฑ์ลดลง ผู้ประดิษฐ์จึงได้พัฒนาแผ่นฟิล์มยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากพืช เพื่อให้ได้แผ่นฟิล์มที่นำไปประยุกต์ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับถนอมอาหาร 10. ออฟติบอท (Optibot) Optibot (ออฟติบอท) เป็น Software ที่นำหลักการคำนวณทางวิศวกรรมหรือ Algorithm มาสร้างเป็นโปรแกรมคำนวณการจัดเรียงกล่องสินค้าใส่ตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อให้เกิดพื้นที่เหลือว่างน้อยที่สุดและนำกล่องบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ให้ได้มากที่สุด โดยโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นได้ใช้อัลกอริทึมที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมาใช้ในการกำหนดตำแหน่ง ของกล่องสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์เพื่อพัฒนา Software ที่ช่วยในการตัดสินใจ (Decision making Tools) โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเรียงกล่องสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อย 5% หรือปรับปรุงกระบวนการจัดเรียงสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ให้เหมาะสม ลงทะเบียนร่วมงานที่ https://www.tts2020-online.com/
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. จับมือ โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง วว. และ สมอ. ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ นำอุตสาหกรรมไทยให้ทันโลก
(24 พ.ย. 63) จังหวัดสุพรรณบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ บริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด ,สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)  ร่วมลงนามความร่วมมือในการพัฒนาอุตสาหกรรมขนส่ง และโลจิสติกส์ของไทยทั้งรถ ราง เรือ ให้มีกระบวนการพัฒนาอย่างครบวงจร ตั้งแต่ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ในการออกแบบ, พัฒนา, ผลิต, ทดสอบ และรับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล จนถึงสามารถออกเป็นผลิตภัณฑ์ยานพาหนะสมัยใหม่ทางด้านขนส่งลงสู่ตลาดไทย รวมถึงการส่งออกต่างประเทศได้ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
3 กระทรวงฯ ผนึกกำลังพัฒนาบุคลากรด้านยานยนต์สมัยใหม่ ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันภาคอุตสาหกรรม  
เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 2 ฉบับ โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ และศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่าง กระทรวง อว. โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม อก 1 ชั้น 2 สำนักปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สืบเนื่องจากนโยบายด้านการขับเคลื่อน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล ยานยนต์ไฟฟ้า เป็น 1 อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้เป็นเมืองสะอาด ตลอดจนนำพาประเทศสู่โลกยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ปี 2573 จำนวนร้อยละ 30 ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องพึ่งพาแรงงาน และบุคลากรที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเกิดเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 กระทรวงใหญ่ในการร่วมกันผลักดันให้เกิดการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทักษะฝีมือและวิชาการขั้นสูง การกำหนด กรอบคุณวุฒิวิชาชีพ หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน เพื่อสร้างกำลังคนทักษะฝีมือและวิชาการขั้นสูง  ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการให้แก่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการหรือกิจการที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ รวมทั้งสร้างแพลตฟอร์ม (Platform) กลาง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานภาคอุตสาหกรรม และหน่วยงานภาคการศึกษา เพื่อเป็นข้อมูลกลางด้านจำนวนกำลังคนและช่องว่างทางทักษะ (Skills Gap) ของกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ นายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการ สอศ. กล่าวว่า สอศ. เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตแรงงานเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับอีกสองหน่วยงาน และภาคเอกชน  ซึ่งปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีนโยบายขับเคลื่อนโครงการศูนย์การเรียนรู้ หรือ Excellent Center (EC) สำหรับการฝึกทักษะอาชีพให้แก่นักศึกษา โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการพัฒนาให้ครอบคุลม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และในอนาคตวางเป้าหมายเปิดศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC) โรงเรียนต้นแบบแห่งแรก เพื่อเป็นศูนย์กลางการสร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียนเอกชนในระดับภูมิภาค มุ่งพัฒนาศักยภาพบุคคลสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากล นอกจากนั้นแล้ว สอศ. ยังมีหลักสูตรสำคัญที่เปิดสอนในปีการศึกษา 2564 คือ สาขาวิชาเทคนิคเครื่องกล สาขางาน (ย่อย) เทคนิคยานยนต์ไฟฟ้ารวมทั้งหมด 14 วิทยาลัย ซึ่งสามารถต่อยอดด้านกำลังผลิตได้อย่างเต็มที่ “ปัจจุบัน สอศ. มีการทำความร่วมมือทวิภาคร่วมกับบริษัทผลิตแบตเตอรี่รถยนต์หลายบริษัท ซึ่งอยู่ในโครงการ EC โดยได้ร่วมมือกับวิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทราในสังกัดของ สอศ. ดำเนินโครงการ EC ในด้านยานยนต์ ดังนั้นทางอาชีวศึกษามีความพร้อมในการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ผลิต อย่างไรก็ตามการผลิตนักศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการนั้นยังคงต้องคำนึงถึงโอกาสในการประกอบอาชีพหลังสำเร็จการศึกษา ว่าจะสามารถรองรับจำนวนนักศึกษาจบใหม่ได้ครบถ้วนหรือไม่” เลขาธิการ สอศ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การปรับเปลี่ยนการพัฒนา/เพิ่มหลักสูตรที่ รมว.ศธ. ได้วางนโยบายไว้ 3 เรื่อง คือ ปลดล็อก ปรับเปลี่ยน และเปิดกว้าง (3 ป.) เพื่อยกระดับการศึกษาสู่ความเป็นเลิศนั้น สอศ. ต้องการนำนโยบายดังกล่าวมาประยุกต์ใช้กับองค์กร โดยเฉพาะเรื่องการผลิตนักศึกษาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ โดยประเด็นแรกที่ สอศ. เห็นควรให้เกิดการปลดล็อก คือ ครู โดยต้องการให้เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และศักยภาพพร้อมเป็นผู้ให้การเรียนการสอนแก่นักศึกษา สามารถปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการขององค์กรให้ตอบสนองความต้องการของภาคการผลิตให้มากขึ้น โดยคาดว่าหลักสูตรที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วจะนำเสนอต่อสภาการอุดมศึกษาให้การรับรองต่อไป                     ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนภาคเอกชนให้เข้ามาทำวิจัยและพัฒนาร่วมกับนักวิจัย นักวิชาการ เรามีอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยที่รังสิต อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคที่สงขลา เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา และเครือข่ายรวม 44 แห่ง ทั่วประเทศ จะสามารถช่วยในการสนับสนุนข้อมูล การใช้ห้องปฏิบัติการเครื่องมืออุปกรณ์ โรงงานต้นแบบ ให้กับผู้ประกอบการที่เป็นเครือข่ายเพื่อส่งเสริมและพัฒนาต่อยอดให้ธุรกิจอุตสาหกรรมมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยการสนับสนุนดังกล่าว จะสามารถลดต้นทุน พร้อมทั้งยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยความช่วยเหลือของนักวิจัยระดับชาติ ส่งต่องานวิจัยจากหิ้งสู่ห้างได้สำเร็จ โดยผ่านกระบวนการเชื่อมโยงกับหน่วยงานในระดับจังหวัด ในการขยายผลขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืนต่อไป ไม่เพียงแต่ความพร้อมในการสนับสนุนข้อมูลและการใช้ห้องปฏิบัติการเครื่องมืออุปกรณ์เท่านั้น ยังมีความพร้อมให้ความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการระหว่างอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาและบุคลากรจากสถานประกอบการ เพื่อเพิ่มพูนทักษะและพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการผลิตกำลังคนให้เป็นบัณฑิตพันธุ์ใหม่ที่มีทักษะ ความสามารถในด้านการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา การพัฒนาและมีสมรรถนะความเชี่ยวชาญที่เป็นสากล ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการกำหนดข้อมูลความต้องการด้านทักษะ สมรรถนะของกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่จากกระทรวงอุตสาหกรรมและสถานประกอบการ  สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ยินดีให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะปรับกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาคนให้มีทักษะ สมรรถนะที่ตอบโจทย์ของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา จัดนิทรรศการ CDTI 2020 Virtual Exhibition
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ขอเชิญนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไปเข้าชมนิทรรศการ CDTI 2020 Virtual Exhibition ทุกวันจันทร์และวันพุธ ตั้งแต่วันนี้ - 30 พฤศจิกายน 2563 ณ อาคาร 605 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา สำนักพระราชวัง สนามเสือป่า โดยผู้ที่สนใจสามารถจองรอบการเข้าชมได้ 2 รอบ รอบแรกเวลา 10.00 น. - 11.00 น. และ รอบ 14.00 น. - 15.00 น. หรือสามารถรับชมนิทรรศการรูปแบบ Virtual Exhibition ทางออนไลน์ได้ที่ https://my.matterport.com/show/?m สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2280-0551 ต่อ 3200, 3306, 3316
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. ร่วมกับหัวเหว่ย นำผู้ประกอบการ โครงการ SUCCESS 2020 เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่นและการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำโดย คุณศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. และโครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ปี 2563 (SUCCESS 2020) รุ่นที่ 18 จัดกิจกรรมร่วมกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด นำผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในโครงการฯ จำนวน 12 บริษัท ได้แก่ บริษัท ซีเอสไอ เอ็ดดูเคชั่น จำกัด ,บริษัท ไทย อินฟอร์เมติก ซิสเต็มส์ จำกัด, บริษัท ชิปป๊อป จำกัด ,บริษัท โกอิ้งเจ็ส จำกัด ,บริษัท มิวแทรค จำกัด ,บริษัท ฟร็อก ดิจิตอล กรุ๊ป จำกัด ,บริษัท แบร์คอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ,บริษัท กอล์ฟดิกก์ จำกัด ,บริษัท ไอเวิร์ค อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด ,บริษัท คีย์ จำกัด ,บริษัท ฟินน์ โซลูชั่น จำกัด .บริษัท ไอเอสบีซี จำกัด เยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่นและการเรียนรู้ (CSIC: Customer Solution Innovation and Integration Experience Center ) ที่รวบรวมตัวอย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ทางเทคโนโลยี 5G และ Digital Transformation เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ณ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด อาคารจี ทาวเวอร์ แกรนด์ พระราม 9 ชั้น 39 กรุงเทพมหานคร     (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. อว. เปิดรับสมัครโครงการ Deep Tech Acceleration by NSTDA : แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (PMU C) ขอเชิญทีมนักวิจัย หรือผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีผลงานวิจัยพัฒนาระดับ TRL 4 ขึ้นไป ในสาขานวัตกรรมอาหาร (Food Innovation) สาขา IOT for Smart Industry และสาขาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ (Assistive Technology Devices) โดยสาขานี้ต้องเป็น Startup หรือ SME ที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคลและมียอดจำหน่ายผลงานบ้างแล้ว เข้าร่วมสมัคร “โครงการ Deep Tech Acceleration by NSTDA: แพลตฟอร์มเร่งรัดการเติบโตธุรกิจที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงลึก” โดยผู้ได้รับการคัดเลือกจะได้รับความรู้ความเข้าใจและแนวทางการวางโมเดลธุรกิจนวัตกรรม คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อออกสู่เชิงพาณิชย์ตลอดระยะเวลาโครงการ รวมถึงเงินสนับสนุนการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีออกสู่ตลาด อีกทั้งโอกาสในการแสวงหาผู้ร่วมทุนและเชื่อมโยงกับพันธมิตรธุรกิจ สมัครเข้าร่วมได้แล้วที่ https://bit.ly/3kG13m7  จนถึงวันที่ 30 พ.ย. 63 ติดต่อผู้ดูแลโครงการ Food Innovation ดร.ปรเมษฐ์ ชุ่มยิ้ม (ที่ปรึกษาอาวุโส) Tel: 086 308 2283 E-Mail: porramate.chu@nstda.or.th Assistive Technology Devices คุณศรีทิพย์ อุชชิน Tel: 085 9079077 E-Mail: srithip@nstda.or.th IOT for Smart Industry คุณเสาวภาพ รักษาพราหมณ์ Tel: 081 4438724 E-Mail: saowapap.rag@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. เปิดอบรมให้เยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce
ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ศูนย์วิจัยการจัดการความรู้การสื่อสารและการพัฒนา (CCDKM) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดกิจกรรมเวทีสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมให้เยาวชน (การสร้างแรงบันดาลใจ) ภายใต้โครงการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce เมื่อวันที่ 11 – 13 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมานั้น เพื่อสร้างความเข้าใจภาพรวมการดำเนินโครงการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนในสถานพินิจตามมาตรฐานอาชีพด้าน e-Commerce ให้กับ เยาวชน และครูที่เข้าร่วมโครงการ สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนในการเห็นคุณค่าของตนเอง และเห็นประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ และ ติดตั้งองค์ความรู้เรื่องการออกแบบกระบวนการเพื่อสร้างทักษะแรงงานในศตวรรษที่ 21 ให้กับ เยาวชน และครู ที่เข้าร่วมกิจกรรม ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช./รองเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาเยาวชนให้มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ สามารถประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อช่วยสร้างรายได้ โดยจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นด้านธุรกิจออนไลน์ให้แก่เยาวชน เปิดโอกาสให้เยาวชนได้ใช้ความรู้จากการอบรมในการขยายตลาดสินค้า/ผลิตภัณฑ์ที่ปกติจะเน้นการขายที่ร้านค้า ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน แต่ละแห่งไปยังตลาดออนไลน์ โดยงานที่เยาวชนสามารถช่วยได้เป็นงานที่เยาวชนสามารถดำเนินการในรูปแบบออฟไลน์ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและกฎระเบียบของศูนย์ฝึกฯ เช่น การออกแบบหน้าร้าน การเขียนเรื่องเล่าผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การถ่ายภาพสินค้า ฯลฯ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้เยาวชนได้ทดสอบสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพหลักสูตรด้านธุรกิจออนไลน์ผ่านสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) และได้รับใบประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ ในปี 2563 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานโครงการดังกล่าว  จึงได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานตลอดหนึ่งปี  โดยกิจกรรมแรกที่จัดขึ้นคือ กิจกรรมเวทีสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมให้เยาวชน (การสร้างแรงบันดาลใจ)  มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการการดำเนินงานโครงการ  และสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง การเห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีในตนเองของเยาวชน  ตลอดจนสร้างช่องทางประกอบอาชีพและการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่เยาวชนเมื่อพ้นโทษ ทั้งนี้ กิจกรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากครูและเยาวชน ที่ร่วมสมัครมาทั้งสิ้น 96 คน จากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ฝึกฯ บ้านกรุณา จ.สมุทรปราการ ศูนย์ฝึกฯ บ้านปรานี จ.นครปฐม  ศูนย์ฝึกฯ เขต ๑ จ.ระยอง ศูนย์ฝึกฯ เขต ๒ จ.ราชบุรี  ศูนย์ฝึกฯ เขต ๖ จ.นครสวรรค์ ศูนย์ฝึกฯ เขต ๙ จ.สงขลา และ ศูนย์ฝึกฯ บ้านอุเบกขาและศูนย์ฝึกฯ บ้านบึง
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
 
สวทช. ผนึก 40 พันธมิตร จัดงาน “THAILAND TECH SHOW 2020” ออนไลน์เต็มรูปแบบ วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน พลาดไม่ได้ 2– 4 ธันวาคม นี้
17 พฤศจิกายน 2563 กรุงเทพฯ : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ดร. ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงข่าวการจัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 พร้อมโชว์ตัวอย่างไฮไลท์ผลงานวิจัยพร้อมต่อยอดธุรกิจ ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน” ที่จะจัดขึ้นวันที่ 2 - 4 ธันวาคม 2563 นำทัพผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจาก สวทช. และ 40 พันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศรวมกว่า 290 ผลงาน จัดเต็มในรูปแบบออนไลน์ผ่านเว็บแอปพลิเคชั่น เพื่อให้เป็นตลาดเทคโนโลยี เชื่อมโยงงานวิจัยจาก สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรสู่ภาคธุรกิจ เกิดการต่อยอดงานวิจัยสู่การสร้างนวัตกรรม เพิ่มมูลค่าในเชิงพาณิชย์ พร้อมเปิดลงทะเบียนร่วมงานแล้วตั้งแต่วันนี้ที่เว็บไซต์ www.nstda.or.th/thailandtechshow นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า THAILAND TECH SHOW จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 นำเสนอในรูปแบบตลาดเทคโนโลยีที่นักวิจัยผู้คิดค้นนวัตกรรมจะได้มานำเสนอผลงานต่อนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ที่กำลังมองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน ตลอดจนผู้สนใจเข้าร่วมงาน เพื่อโอกาสพบกับนักวิจัย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและโจทย์ความต้องการที่เหมาะสมกับธุรกิจ พร้อมอัพเดทความรู้และเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เป็นข้อมูลสำหรับทิศทางในการดำเนินงานธุรกิจเทคโนโลยี ในปีนี้ สวทช. จึงได้กำหนดจัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 ขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 ธันวาคม 2563 ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในยุค นิวนอร์มอลให้กับผู้ประกอบการ/นักลงทุนที่สนใจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Bio-Circular-Green Economic Model (BCG Model) ที่จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผ่านการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน พลังงานสะอาดและการบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างความมั่นใจในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สวทช. จึงได้ปรับรูปแบบการจัดงานให้เหมาะสมในรูปแบบนิวนอร์มอลที่ผู้เข้าร่วมงานไม่ต้องเดินทาง แต่สามารถเข้าร่วมงานออนไลน์เต็มรูปแบบและเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา โดยวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน การเปิดเทรนด์ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) โดย ผู้อำนวยการ สวทช. และกิจกรรม NSTDA Investors' Day ในรูปแบบ Investment Pitching 11 ผลงานเด่นจากนักวิจัยของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงการเสวนาและบรรยายพิเศษที่เกี่ยวกับเทรนด์ในการทำธุรกิจแนวใหม่และการปรับตัวธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างไรในยุคนิวนอร์มอล ตลอด 3 วันของการจัดงานจะได้สัมผัสกับผลงานและนวัตกรรมผ่านนิทรรศการออนไลน์ในโซนต่างๆ รวมกว่า 290 ผลงานจาก 40 พันธมิตร ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น แบ่งเป็นโซนเทคโนโลยีแนะนำ (ราคาเดียว) และเทคโนโลยีไฮไลท์ (เจรจาเงื่อนไข) Tech Start Up  การเจรจาธุรกิจแบบ One-on-One Matching และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่าย รวมถึงบูธให้คำแนะนำและบริการแบบครบวงจรจาก สวทช. ที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการ การจำหน่ายสินค้านวัตกรรมของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตหรือให้บริการ โดยตลอดการเข้าชมงานแบบออนไลน์จะมีช่องทางการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างใกล้ชิด สำหรับผลงานวิจัยเด่นของ สวทช. และพันธมิตร 11 ผลงาน ประกอบด้วย ไฮบริดชัวร์ การตรวจความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (HybridSure), เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน (PETE เปลปกป้อง), เครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อในอากาศภายในอาคาร (Innovative Air Cleaner), ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COXY-AMP), โมเดลการผลิตสารทางชีวภาพเป้าหมาย (Smart-BIOact), มหัศจรรย์สีสันยางพารา (The Amazing Rubber Paint), หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ (AGV-Cobot UVC), ชุดตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 (PSU COVID-19), นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสด โดยใช้ RF Dry Blanching ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ คงสภาพสีและกลิ่นรสของสมุนไพรในฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุง (RF Dry Blanching), แผ่นฟิล์มถนอมอาหารและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ (Activ-Pack-19) และออฟติบอท สวทช. ขอเชิญชวนนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ผู้ที่มองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน และผู้สนใจเข้าร่วมงาน THAILAND TECH SHOW 2020 แบบออนไลน์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานได้ที่ www.nstda.or.th/thailandtechshow หรือสอบถาม โทร. 0-2564-7000
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ ผู้พัฒนา ‘มดลูกจำลอง’ ครั้งแรกของไทย
เรียบเรียง: วัชราภรณ์ สนทนา เมื่อ ‘อวัยะจำลอง’ หรือ ออร์แกนอยด์ (organoids) กำลังถูกจับตาในฐานะเทคโนโลยีอันน่าอัศจรรย์ที่จะเป็นความหวังในการไขกลไกการเกิดโรคต่างๆ รวมถึงการรักษาและการพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพให้แก่คนทั้งโลก สิ่งที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน คือนักวิจัยชาวไทยสามารถพัฒนา ‘มดลูกจำลอง’ อวัยวะจิ๋วที่มีความเสมือนจริงเป็นครั้งแรกของประเทศไทยได้สำเร็จ ดร.ธีรวัฒน์ วิวัฒน์พาณิชย์ คือหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอวัยวะจำลอง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโบวดินคอลเลจ (Bowdoin College) เมืองบรันส์วิค และปริญญาโท-เอก ในมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสต์เทิร์น (Northwestern University) เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ภายใต้ทุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันคือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ก่อนจะกลับมาเป็นนักวิจัยในทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เขาเริ่มลงมือพัฒนาลำไส้จำลองครั้งแรก เมื่อครั้งศึกษางานวิจัยเรื่องความผิดปกติของยีนที่มีผลกระทบต่อการได้ยินและระบบลำไส้ในหนูทดลอง ก่อนจะสานต่องานวิจัยถึงผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ของหนูเพศเมียด้วยการสร้างมดลูกจำลองในเวลาต่อมา ขณะนี้เตรียมเดินหน้าสร้างรกจำลองเชื่อมต่อกับมดลูกจำลอง เพื่อศึกษายับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ลูก ซึ่งเป็น 1 ใน 5 โครงการใน TDR Global Crowdfunding Challenge Contest ขององค์การอนามัยโลก (WHO) และเป็นก้าวสำคัญสู่การสร้างระบบอวัยวะหรือกายจำลองเพื่อศึกษาการเกิดโรคและทดสอบยา ทำไมถึงสนใจศึกษาด้านการพัฒนาอวัยวะจำลอง เทคโนโลยีนี้ถือเป็นความก้าวหน้าของการวิจัยทางชีววิทยาและทางการแพทย์ ที่จะเข้ามาช่วยปลดล็อคข้อจำกัดในการศึกษากลไกการเกิดโรคและทดสอบยาต่างๆ เพราะที่ผ่านมาจะเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง ซึ่งกำลังมีปัญหาในเรื่องของหลักจริยธรรม ทำให้มีความพยายามนำเซลล์สัตว์หรือมนุษย์มาเพาะเลี้ยงให้ห้องปฏิบัติการ แต่ว่าที่ผ่านมายังเป็นการเลี้ยงเซลล์จำลองแบบ 2 มิติ คือเป็นการเลี้ยงเซลล์เป็นแผ่นบางๆ อยู่ที่ก้นจานเลี้ยงเชื้อ จากนั้นเซลล์เหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาทดสอบ เช่น กลไกการโรคเป็นอย่างไร ยามีพิษหรือมีผลต่อเซลล์หรือไม่ แต่ระยะหลังนักวิจัยทั่วโลกเริ่มทบทวนว่า ร่างกายของคนเราแทบไม่มีอะไรที่เป็น 2 มิติเลย เพราะขนาดผิวหนังยังมีหลายชั้น ดังนั้นอาจจะมีระบบอื่นที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น จึงนำมาสู่การพัฒนาเซลล์ในรูปแบบ 3 มิติ หรืออวัยวะจำลองซึ่งมีความใกล้เคียงกับอวัยวะจริงในร่างกายมากขึ้น และเมื่อมีการนำใปใช้ศึกษาก็พบว่ามีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างมากในอนาคต อวัยวะจำลองที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร อวัยวะจำลองที่พัฒนาขึ้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนเซลล์ที่มาจากการเพาะเลี้ยงแบบ 3 มิติจนมีลักษณะและคุณสมบัติเสมือนหรือคล้ายกับอวัยวะจริงในร่างกาย เป็นอวัยวะจิ๋วที่มีรูปร่างคล้ายลูกบอล มีขนาดเล็กๆ ไม่ถึงเซนติเมตร เกิดจากเซลล์ที่มาเกาะรวมกันในลักษณะ 3 มิติ หากเข้าไปดูระบบภายใน เราจะเห็นเซลล์มีการจัดเรียงตัวที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีการเรียงตัวเป็นชั้นๆ คล้ายกับอวัยวะจริง เพียงแต่รูปร่างหน้าตาและขนาดจะไม่ได้เหมือนกับอวัยวะจริงๆ ที่จะนำไปใช้ปลูกถ่ายอวัยวะได้ แต่ก็หวังว่างานในครั้งนี้จะเป็นก้าวแรกในการพัฒนาอวัยวะจำลองสำหรับปลูกถ่ายอวัยวะในผู้ป่วยได้จริงในอนาคตข้างหน้า จุดเริ่มต้นในการพัฒนามดลูกจำลอง ในช่วงที่เรียนปริญญาโท-เอก ได้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการได้ยินในหนูทดลอง ทั้งนี้ปกติคนทั่วไป เวลาเราอายุมากขึ้น ประสาทหูจะแย่ลง เราอยากรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไร จึงทดลองทำให้หนูมีการกลายพันธุ์ของยีนชนิดหนึ่งซึ่งทำให้หนูสูญเสียการได้ยินตั้งแต่อายุน้อย ปรากฏว่ายีนดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการได้ยินเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบลำไส้และระบบสืบพันธุ์ของหนูตัวเมียด้วย แต่เนื่องจากต้องศึกษาวิจัยแตกแขนงในหลายหัวข้อ จึงเลือกศึกษาเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบการได้ยินและการทำงานของลำไส้ในหนูทดลองก่อน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้ลงมือพัฒนาลำไส้จำลองของหนูเป็นครั้งแรก ส่วนหูไม่ได้ทำอวัยวะจำลองเพราะสามารถผ่าตัดนำหูชั้นในของหนูออกมาวิจัยได้เลย กระทั่งเมื่อเรียนจบปริญญาเอก อาจารย์ที่ปรึกษาท่านหนึ่งมาชวนให้วิจัยพัฒนาด้านมดลูกต่อ ช่วงนั้นเลยพยายามนำองค์ความรู้และเทคนิคต่างๆ ที่มีมาใช้เพาะเลี้ยงเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก กระทั่งสร้างมดลูกจำลองแบบสามมิติในห้องปฏิบัติการได้สำเร็จ ความยากและท้าทายในการพัฒนามดลูกจำลอง ยากมากเลย (หัวเราะ) เพราะเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างใหม่ เพิ่งมีการพัฒนาในช่วง 10 ปีหลังมานี้ เทคนิคการพัฒนาอวัยวะจำลองช่วงแรกๆ จะยากพอสมควร เราต้องดูว่าจะใส่สารอาหารชนิดไหน ฮอร์โมนแบบไหน โปรตีนชนิดใด เพื่อให้เซลล์ตอบสนองและมีการมาเกาะรวมตัวกัน รวมทั้งมีการเรียงตัวให้เหมือนอวัยวะจริง เช่น มดลูกซึ่งเป็นอวัยวะที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน เราต้องพยายามดูว่าจะใส่ฮอร์โมนชนิดใด ปริมาณเท่าไหร่ และต้องพยายามหาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อเลี้ยงเซลล์ให้เจริญเติบโตได้และมีอัตราการรอดสูง ซึ่งกว่าจะได้เซลล์มดลูกจำลองแบบ 3มิติ ที่มีความสมบูรณ์เสมือนจริงต้องใช้ระยะเวลานานเกือบปี พอนำมาย้อมสีเซลล์ โดยย้อมเซลล์ผิวของเยื่อบุโพรงมดลูกให้เป็นสีม่วง ย้อมเซลล์ชั้นเนื้อให้เป็นสีน้ำเงินได้ ภาพแรกที่เห็นเป็นมดลูกจำลองที่มีความสวยงามมาก แล้วก็เหมือนของจริงมาก เพราะว่าเราก็มีตัวอย่างชิ้นเนื้อจริงๆ มาเทียบด้วย หลังจากประสบความสำเร็จในการสร้างมดลูกจำลองแล้ว วางเป้าหมายต่อไปไว้อย่างไร ก้าวต่อไปเราพยายามสร้างอวัยวะจำลองขึ้นมาหลายๆ อวัยวะ แล้วพยายามนำอวัยวะจำลองเหล่านี้มาเชื่อมต่อกันเพื่อลอกเลียนการทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายมนุษย์มากขึ้น เพราะร่างกายคนเราประกอบด้วยระบบอวัยวะต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน เช่น ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธุ์ เป็นต้น เราจึงพยายามสร้างอวัยวะจำลองต่างๆ มาทำงานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ เพื่อดูกลไกการเกิดโรค การติดเชื้อ หรือกลไกการออกฤทธิ์ของยา เช่น การสร้างอวัยวะจำลองตับกับลำไส้มาไว้ด้วยกันเพื่อทดสอบยา เพราะยาจะผ่านลำไส้ก่อนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดแล้วไปที่ตับ โดยขณะนี้มีแผนทำโครงการวิจัยสร้างอวัยวะจำลองรกเพื่อทำงานร่วมกับมดลูกเพื่อศึกษากลไกการติดเชื้อไวรัสซิกาจากแม่สู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จะมีการสร้างระบบอวัยวะจำลองด้วย ทำไมถึงพุ่งเป้าไปที่เชื้อไวรัสซิกา ทุกวันนี้หลายประเทศทั่วโลกยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสซิกา ซึ่งยังไม่มียารักษา และไม่มีวัคซีนป้องกัน ในขณะที่การติดเชื้อไวรัสซิกาในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะไม่มีอาการรุนแรง หรืออาจไม่แสดงอาการออกมาเลยก็ได้ แต่สำหรับหญิงมีครรภ์หากได้รับเชื้อไวรัสซิกาอาจเป็นอันตราย และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกที่จะเสียชีวิตในครรภ์ เสียชีวิตขณะแรกเกิด หรือมีปัญหาพัฒนาการทางสมอง โดยร้อยละ 20 ของทารก หรือทารกกว่า 3,700 คน ที่รับเชื้อซิกาจากแม่มีปัญหาพัฒนาการทางสมอง สำหรับประเทศไทยแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ได้สูงมาก แต่งานวิจัยพบว่า ไทยมีประวัติการแพร่เชื้อไวรัสซิกาอย่างน้อย 16 ปีมาแล้ว โดยผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายติดเชื้อ ตรวจพบเชื้อถึง 21 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญคือเชื้อไวรัสซิกามีลักษณะทางพันธุกรรมใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสเด็งกี่ที่ก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออก และมีพาหะนำโรคคือยุงลายเช่นเดียวกับโรคไข้เลือดออก จึงเป็นไปได้ว่าในอนาคตไวรัสซิกาอาจแพร่ระบาดคล้ายกับไข้เลือดออกที่เป็นปัญหาหลักในไทย อีกทั้งตอนนี้ไบโอเทค สวทช. อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยเชื้อไวรัสซิกา แต่ยังไม่มีการศึกษาเรื่องการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก เราเห็นช่องว่างตรงนี้ จึงคิดว่าเทคโนโลยีการสร้างอวัยวะจำลองจะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยได้ โครงการวิจัยฯ ดำเนินไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว ปัจจุบันโครงการวิจัยนี้ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 โครงการ จาก 121 ผู้สมัครจาก 37 ประเทศ ที่ชนะ TDR Global Crowdfunding Challenge Contest ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งจัดตั้งเพื่อให้การสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโรคติดต่อในเขตร้อน โดยทางองค์การอนามัยโลกได้ให้การรับรอง 5 โครงการที่ได้รับคัดเลือกเพื่อจัดตั้ง Crowdfunding for Science หรือการระดมทุนเพื่องานวิจัย รวมไปถึงการฝึกอบรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งทางทีมวิจัยได้ตั้งเป้าหมายงบประมาณในการดำเนินงานวิจัยเบื้องต้นไว้ที่ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 260,000 บาท โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการสนับสนุนโครงการสามารถร่วมบริจาคเงินให้กับโครงการได้ที่http://www.experiment.com/noZika4Baby ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม จนถึง 30 พฤศจิกายน 2563 เงินที่ระดมทุนได้จะนำไปใช้ในการสร้างระบบอวัยวะจำลองมดลูกและรกจากตัวอย่างเนื้อเยื่อคนไข้อาสาสมัคร เพื่อศึกษากระบวนการติดเชื้อไวรัสซิก้าในมดลูก ทดสอบแอนติบอดี้ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อซิก้า และการส่งต่อเชื้อจากแม่สู่ทารกในครรภ์ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการวิจัยและการพัฒนาอวัยวะจำลอง การศึกษาวิจัยครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเตรียมพร้อมรับมือการระบาดของโรคซิก้าไวรัสในประเทศไทยแล้ว เราสามารถนำผลงานวิจัยไปช่วยผู้ป่วยในประเทศที่ประสบปัญหา รวมถึงต่อยอดไปสู่การป้องกันโรคต่างๆ ที่มีการส่งผ่านจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วย แต่ที่สำคัญคือโครงการนี้จะเป็นฐานในการสร้างระบบอวัยวะจำลองในห้องปฏิบัติการที่มีคุณสมบัติคล้ายกับร่างกายคนจริงมากขึ้น รวมทั้งช่วยยกระดับการวิจัยพัฒนาระบบอวัยวะจำลองของประเทศไทย เพราะในวงการวิจัยยังไม่มีใครสามารถสร้างมดลูกและรกที่ทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์ได้ ดังนั้นเราจะเป็นเจ้าแรกที่สร้างระบบอวัยวะจำลองสามมิติแบบนี้ขึ้นมา หากประสบความสำเร็จจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่จะช่วยให้เราศึกษาค้นพบกลไกการเกิดโรคพันธุกรรมต่างๆ อาทิ เช่น โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ( Endometriosis ), ผลกระทบจากโรคเบาหวานต่อมะเร็งและเนื้องอกมดลูก และแม้กระทั่งการศึกษาความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น สามารถทดสอบและพัฒนายาที่มีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่สั้นลง ช่วยลดการใช้สัตว์ทดลอง และลดความเสี่ยงในขั้นตอนการทดสอบในมนุษย์ เพราะอวัยวะจำลองมีความเหมือนมนุษย์มากที่สุดแล้ว  
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น