ผลการค้นหา :
สวทช. หนุนวิสาหกิจชุมชนปลูกกัญชาให้ได้คุณภาพ เปิดแล็บพร้อมตรวจสารสำคัญให้ได้มาตรฐาน
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. หรือ NCTC เดินหน้าใช้ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัยให้บริการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญในพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม
ล่าสุด NCTC ลงนามความร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรของ จ.ปทุมธานี ที่กำลังหันมาปลูกพืชกัญชา กัญชง และกระท่อม โดย NCTC พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ตั้งแต่วิธีการปลูก ไปจนถึงการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญในพืชเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้พืชที่มีคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัย ก่อนจะถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ขอเชิญร่วมงาน “BCG Health Tech Thailand 2021 มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ” 8-9 ธันวาคม 2564
📢 BCG คือ โมเดลเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่เน้นความยั่งยืนให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้
🔬🩺 โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ
📌กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และ นวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช)
ขานรับนโยบาย เร่งผลักดันอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์เป็นอุตสาหกรรมแรก โดยจัดให้มีงาน BCG Health Tech Thailand 2021 หรือ มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพเพื่อการลงทุนและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
🗓 ในวันที่ 8-9 ธันวาคมนี้ พร้อมกับจัดกิจกรรมคู่ขนานทางออนไลน์ผ่าน www.healthtech-thailand.com ตลอด 12 เดือน
โดยร่วมกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ รวมมากกว่า 100 องค์กร
📝 ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ 📲 https://bit.ly/healthtechthailand-visitor-regist
🏢 8-9 ธันวาคมนี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
📢 ทำความรู้จักกับงาน HTT ภายใน 60 วินาที ได้ที่ https://youtu.be/iM04XAEFPc8
🚙 เดินทางง่าย ที่จอดรถสะดวก
สอบถามเพิ่มเติม
🟩 Add line ID : @healthtechthailand (มี@) หรือคลิก https://lin.ee/IXFIhYO
📧 Email : htt@nstda.or.th
📲 Tel : 02-5647200 ต่อ 5555
💻www.healthtech-thailand.com
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญร่วมงานประชุมวิชาการและนิทรรศการประจำปี NECTEC-ACE 2021 ในรูปแบบออนไลน์
กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ! เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัด NECTEC-ACE 2021
ยกกองทัพเทคโนโลยีนวัตกรรมด้าน Industry 4.0 จากพันธมิตรไทยและนานาชาติ ให้รับชมแบบใกล้ชิดผ่าน Virtual Exhibition
พร้อม 19 หัวข้อ สัมมนาแลกเปลี่ยนมุมมองเทรนด์เทคโนโลยีการผลิตกับกูรูชั้นนำ
📆 จัดเต็มตลอด 4 วัน แบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 13 - 16 ธันวาคม 2564
ลงทะเบียน https://www.nectec.or.th/ace2021
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. เดินหน้านำ BCG สู่ภูมิภาค “ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ด้วย “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (สท.) และฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สวทช. ลงพื้นที่ร่วมกับภาคเอกชนกระชับความร่วมมือกับ 5 ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ และ 3 มหาวิทยาลัยในพื้นที่ ขับเคลื่อน “โปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” กำหนดโจทย์มุ่งเป้าและวางแผนดำเนินงานร่วมกัน ให้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตั้งเป้ายกระดับคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มีรายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจน ยกระดับรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 10
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ดำเนินงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มาตั้งแต่ปี 2562 โดยร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่นำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปพัฒนาทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ตลอดจนพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ นวัตกรชุมชน เชื่อมโยงการตลาดกับภาคเอกชน รวมถึงยกระดับเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการ ดังนั้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ สวทช. โดย สท. จึงได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ดำเนินงานขับเคลื่อน “โปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ดำเนินงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งพื้นที่ทุ่งกลาร้องไห้เป็นที่ราบลุ่มผืนใหญ่มีพื้นที่กว่า 3.7 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 13 อำเภอ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร แต่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นแอ่งกระทะ มีชั้นผิวดินเป็นดินร่วนทราย ชั้นล่างเป็นหินเกลือ ดินของทุ่งกุลาจึงไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ บวกกับระบบชลประทานที่ไม่เอื้อต่อการเพาะปลูก เกษตรกรต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก
“แม้ว่าพื้นที่ทุ่งกุลาฯ จะเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่จากสภาพพื้นที่ที่แห้งแล้งส่งผลต่อการทำเกษตรซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ สท. จึงได้ลงพื้นที่เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 5 แห่ง หน่วยงานในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ 3 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับ สท. ในพื้นที่ทุ่งกุลาฯ ร่วมหารือด้วย เพื่อสร้างความร่วมมือขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกลาฯ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจากการหารือร่วมกันนำไปสู่การกำหนดโจทย์มุ่งเป้า (Quick win) กลุ่มเป้าหมายนำร่อง และการแต่งตั้งคณะทำงานในพื้นที่แต่ละจังหวัด เพื่อวางแผนและเดินหน้าทำงานร่วมกัน มุ่งให้เกษตรกรสามารถนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปปรับประยุกต์ใช้
และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านเศรษฐกิจและสังคม สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยโมเดล BCG ที่มุ่งให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีรายได้พ้นความยากจน การดำเนินงานภายใต้โปรแกรมฯ นี้คาดหวังให้กลุ่มคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจมีรายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจนที่ 38,000 บาทต่อคนต่อปี และกลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
จากการหารือดังกล่าว เบื้องต้นในแต่ละจังหวัดได้กำหนดประเด็นนำร่องสำหรับดำเนินการตามบริบทปัญหาของแต่ละพื้นที่ ได้แก่ ข้าว พืชหลังนา ผักอินทรีย์ โค สิ่งทอ และการบริหารจัดการน้ำ โดยคณะทำงานแต่ละจังหวัดจะร่วมกันกำหนดกลุ่มเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการทำงานต่อไป
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. ผนึก อก. ยกระดับมาตรฐานการผลิต ‘กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร’ สู่อุตสาหกรรมสีเขียวตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรและอาหาร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยโปรแกรม ITAP สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือ กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ติวเข้มกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมอาหารและซัพพลายเชน ในการยกระดับโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ให้ได้ 100% ภายในปี 2568 ตอบโจทย์นโยบาย BCG Economy Model สาขาเกษตรและอาหาร
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ภายใต้กระทรวง อว. มีบทบาทหลักในการผลักดันประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยการนำงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการได้อย่างประสิทธิภาพ และในปีงบประมาณ 2565 สวทช. ได้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรและอาหาร ผ่าน ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP)
เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชนกับผู้เชี่ยวชาญ และบริหารจัดการโครงการเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถยกระดับโรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ในระดับที่สูงขึ้น ให้พร้อมยื่นขอการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารในการทำโครงการ วิจัย พัฒนา หรือนวัตกรรมสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการดำเนินงานอุตสาหกรรมสีเขียวที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการแต่ละราย อันจะเสริมสร้างอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้เข้มแข็ง และคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับต้น ๆ ของโลก
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ในฐานะอนุกรรมการและเลขานุการ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเกษตรและอาหาร กล่าวว่า กระทรวง อว. และ กระทรวง อก. ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วย “การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม” มีระยะเวลาความร่วมมือ 2 ปี เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญในการใช้ห้องปฏิบัติการ อุปกรณ์และเทคโนโลยี ตลอดจนการบริการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ระหว่างกระทรวง อก. และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ภายใต้ สวทช. รวมถึงเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมทางวิชาการ และผลักดันความร่วมมือด้านงานวิจัยและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปสู่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม
“โครงการดังกล่าวจะประกอบด้วยกิจกรรมการให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการให้มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมสีเขียวและเตรียมความพร้อมในการดำเนินการต่าง ๆ ที่สอดคล้องทั้งในแง่การบริหารจัดการ ด้านการผลิตและสิ่งแวดล้อมในโรงงาน เช่น ลดการใช้น้ำหรือพลังงาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่จากสิ่งเหลือทิ้งหรือ by-products รวมถึงพัฒนาแนวความคิดใหม่ในการออกแบบหรือการผลิตสินค้าเพื่อลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการสร้างเศรษฐกิจสีเขียว หรือ Green Economy และสอดคล้องกับมาตรการอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry: GI) ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวง อก. ซึ่งตรงกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy: SEP) เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้เป็นการแสดงจุดยืนในความร่วมมือถึงการรวมพลังกันขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต นำไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน นับเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นนิมิตหมายที่ดีในการบูรณาการการทำงานร่วมกัน ในเรื่องที่มีความสำคัญต่อประเทศ เพื่อช่วยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ลดการใช้ทรัพยากร น้ำ และพลังงาน ลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิต และปรับเปลี่ยนของเหลือทิ้งให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ อันจะทำให้สามารถลดต้นทุนในระยะยาวได้ ทั้งยังช่วยลดการปล่อยของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการจากมาตรการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเกิดจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงเป็นการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามตามแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมและพัฒนาสถานประกอบการสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (พ.ศ. 2564 – 2580) ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยในปี พ.ศ. 2568 ได้ตั้งเป้าหมายให้โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ต้องได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ครบ 100 % และตามแผนยุทธศาสตร์ BCG ที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ในระยะสั้นได้อย่างชัดเจนและเร่งด่วน
กระทรวง อก. โดย กรอ. จะประสานผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อนำเสนอข้อมูลความต้องการทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ อว.และร่วมกันพัฒนากลไก รวมถึงทำให้งานวิจัยมีผลในทางปฏิบัติ และมีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ตลอดจนทำการถ่ายทอดเทคโนโลยีนวัตกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยทาง อว. มีโครงการ “การขยายผลโครงการอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อยกระดับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง” ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรและอาหาร ซึ่งมีนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่จะช่วยสนับสนุนในการยกระดับผู้ประกอบการ กระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้ตรงตามความต้องการ โดยทั้ง อว. และ อก. จะบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างกัน ให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม และให้ผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. เสริมแกร่ง วิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ จ.ปทุมธานี เข้าถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญ “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ระดับมาตรฐานสากลได้ภายในประเทศ
(30 พ.ย. 64) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัด ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) ร่วมกับ วิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ จัดพิธีลงนามความร่วมมือ การส่งกัญชาวิเคราะห์และทดสอบหาปริมาณกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อสร้างความสามารถในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจชุมชน กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย ผ่านการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ ให้สามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้เทียบเท่าผลิตภัณฑ์สากล โดยมี ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) และ นายสมบูรณ์ สุขสุเมฆ ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ ร่วมลงนามและมี คุณยุคล สูตะบุตร ดร.นภัทร สูตะบุตร ดร.นภัค สุนทรเดชาวัฒนา คุณปฏิกรณ์ ศรีสงคราม ผู้ทรงคุณวุฒิ และคุณภัทระ สิริโรจน์นานนท์ บริษัทภัทรวี เป็นสักขีพยานและเข้าร่วมงานในครั้งนี้
ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ (NCTC) สวทช. กล่าวว่า ศูนย์ NCTC สวทช. เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบสนับสนุนกลุ่มงานอุตสาหกรรมทั้งในและนอกประเทศ และพัฒนาขีด ความสามารถทางการทดสอบผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชา โดยสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างขีดความสามารถ และทำให้วิสาหกิจชุมชน กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย สามารถเข้าถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบที่มีคุณภาพเทียบเท่าสากลได้ภายในประเทศ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย และลดข้อจำกัดจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศและการส่งตัวอย่างเพื่อทำการวิเคราะห์ทดสอบในต่างประเทศ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้ และสามารถควบคุมคุณภาพได้เทียบเท่าหรือในระดับเดียวกับผลิตภัณฑ์สากล ทำให้ประชาชนในประเทศไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสม ปลอดภัย และได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานของประเทศและระดับสากล
คุณสมบูรณ์ สุขสุเมฆ ประธานวิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนยกระดับมาตรฐานสมุนไพรไทย ร่วมกับภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการปลูกสมุนไพรกัญชา กัญชงและกระท่อมเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล และมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายในการยกระดับสมุนไพรไทย ดึงรายได้สู่วิสาหกิจชุมชนในภูมิภาคต่างๆ ร่วมกัน พร้อมทั้งช่วยเหลือชุมชนในนำความรู้ที่ได้รับส่งต่อเกษตรกรในชุมชน ให้สามารถปลูกและส่งมอบวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เพื่อสร้างศักยภาพในการผลิตยาสมุนไพรกัญชา กัญชง และกระท่อมสำหรับใช้ในทางการแพทย์ และเป็นต้นแบบให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่างๆ ต่อไป
นอกจาก พิธีลงนามความร่วมมือ การส่งกัญชาวิเคราะห์และทดสอบหาปริมาณกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ให้ได้มาตรฐานสากล ทางศูนย์ NCTC สวทช. ได้มีการพากลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เข้าเยี่ยมชมห้องแล็บวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญ ที่ดำเนินงานภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC17025 มาตรฐานสากล ในการ ให้บริการวิเคราะห์ทดสอบอย่างครบวงจรเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ทั้งในเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณและตรวจสอบความปลอดภัย เช่น การหาปริมาณโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ตัวทำละลายตกค้าง สารพิษจากเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน รวมถึงการหาปริมาณกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) ให้ได้ค่ามาตรฐาน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และกำหนดราคาสินค้าได้ตามมาตรฐานที่กำหนดได้
/////////////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
เอชพีอี ผนึก สวทช. ยกระดับ วทน. ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน
เอชพีอี ผนึกศูนย์ไทยเอสซี ภายใต้สวทช. ยกระดับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน เพื่อรองรับการวิจัยและประมวลผลข้อมูลขั้นสูง เผยผลงานล่าสุดประมวลผลข้อมูลทางพันธุกรรมของไวรัส เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด หลายหน่วยงาน รวมถึงการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นPM2.5 ได้ล่วงหน้า3 วัน
(เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564) ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาเป็นประธานของงานแถลงข่าว “เอชพีอี ผนึก สวทช. ยกระดับ วทน. ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน” เพราะว่า Supercomputer เป็นเรื่องสำคัญของประเทศ ซึ่งมีการริเริ่มมาตั้งแต่สมัยท่านพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง (อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรัฐมนตรีกว่ากระทรวงยุติธรรม) ที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ โดยให้ทำ Supercomputer และได้รับการสานต่อจากท่าน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ได้ตั้งงบประมาณสำหรับซื้อ Supercomputer ซึ่งมีการเปิดตัวแถลงข่าวในวันนี้
“ผมมาสืบสานและต่อยอดในแง่ของการใช้ Supercomputer ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดในการวิจัย การพัฒนานวัตกรรม การทำนาย คาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ PM2.5 ถือว่าเป็นการต่อยอดจากที่ทั้ง 2 ท่านได้วางรากฐานไว้ โดยมุ่งหวังให้ สวทช. วางแผนดำเนินการใช้ประโยชน์ Supercomputer จากบริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) หรือ เอชพีอี ซึ่งเป็น Supercomputer ที่ดีที่สุดของโลก มาเพิ่มความสามารถของวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยก้าวหน้า เช่น ด้านเทคโนโลยี วิศวกรรม เทคโนโลยีขั้นสูง การเพิ่มสมรรถนะความเร็วของคอมพิวเตอร์ และ AI ขณะเดียวกันก็ต้องศึกษาการทำงาน และต้องมีความกล้าที่จะเริ่มต้นพัฒนา Supercomputer ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการพึ่งพาตนเองเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องเร่งทำความเข้าใจแก่ประชาชน หน่วยงานต่างๆ และผู้บริหารประเทศให้เห็นถึงนัยยะความสำคัญของการมี Supercomputer เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศอย่างกว้างขวาง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าว
นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย)หรือ เอชพีอี กล่าวว่า บริษัท เอชพีอี มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจ จากศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูงหรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure) ของ สวทช. ในการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ หรือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม(วทน.)ในระดับประเทศ
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำเสนอระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นที่ดีที่สุดของ Hewlett Packard Enterprise (HPE) คือ HPE Cray EX supercomputer ที่ประกอบด้วย CPU รุ่นล่าสุดจาก AMD EPYCTM เจนเนอเรชั่น ที่ 3 (Milan) จำนวน 496 CPUs/ 31,744 cores และมี 704 NVIDIA A100 GPU ที่ได้ประสิทธิภาพการประมวลผลในทางทฤษฎี (peak performance) ถึง 13 Petaflop ซึ่งจะเป็นระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการจัดอันดับประสิทธิภาพซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดย top500.org และมีขีดความสามารถการคำนวณที่สูงกว่าระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงที่ สวทช. มีอยู่เดิม (ระบบ TARA) ถึง 30 เท่า อีกทั้งมีการระบายความร้อนด้วยของเหลว (liquid cooling) ที่ให้ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้า (PUE) ที่ดีที่สุด โดยมีระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง Cray ClusterStor E1000 ที่มีความจุรวม 12 เพตะไบต์ (petabytes) เชื่อมต่อด้วย HPE Slingshot Interconnect ที่ความเร็ว 200 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ระบบดังกล่าวคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จและเปิดใช้งานในปี 2565
ด้านดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง หรือไทยเอสซี (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC) เป็นหนึ่งในหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (National S&T Infrastructure) ของ สวทช. เพื่อสนับสนุนนักวิจัยทั้งจากสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยฯ ทั้งจากภาครัฐ และเอกชน โดยที่ระบบใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับนักวิจัย อันได้แก่
· ปัญญาประดิษฐ์ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Artificial Intelligent & Big Data Analytics) ต้องใช้ระบบ HPC ในขั้นตอนการสอน AI โมเดล (training) ที่มีความซับซ้อนและแม่นยำสูงโดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ในการพัฒนา
· พันธุวิศวกรรม และ ชีวสารสนเทศเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ (Genomics and Bioinformatics for medical research) ที่ต้องจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมปริมาณมหาศาลของคน พืช และสัตว์ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ต่อยอดในงานวิจัยหรือการพัฒนา อาทิ การพัฒนาระบบการแพทย์แม่นยำ และการยกระดับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อตอบสนองการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระของชาติในปัจจุบัน
· การจำลองอนุภาคในระดับนาโน และอะตอมสำหรับการวิจัยวัสดุขั้นสูง (Nanoscale and atomistic-scale simulations for advanced materials research) เช่น การพัฒนายา วัคซีน อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ แบตเตอรี่ และการพัฒนาวัสดุล้ำยุคต่างๆ
· การทำแบบจำลองทางวิศวกรรม สำหรับการวิจัยทางอุตสาหกรรม (Engineering simulations for industrial research) เช่น การทดสอบประสิทธิภาพของยานยนต์ในด้านความเร็วและความปลอดภัย เพื่อลดการลงทุนสร้างต้นแบบเทคโนโลยี
· บรรยากาศศาสตร์ และการจัดการภัยพิบัติ (Atmospheric science and disaster management) เช่น การคำนวณคาดการณ์สภาพอากาศ การจำลองภัยพิบัติ หรือคาดการณ์ระดับค่ามลพิษของประเทศ เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจุบันไทยเอสซี (ThaiSC) ให้บริการการประมวลผลประสิทธิภาพสูง (High Performance Computing: HPC) ภายใต้ระบบคลัสเตอร์ TARA HPC ที่ประกอบด้วย 4,320 cores และ 28 NVIDIA V100 GPU โดยมีพื้นที่เก็บข้อมูล 750 เทระไบต์ (TB) เชื่อมต่อบนระบบเครือข่ายความเร็ว 100 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) โดยให้บริการกับโครงการวิจัยภายใน สวทช. เป็นหลัก และได้มีการเปิดรับโครงการจากภายนอก สวทช. ทั้งจากภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน
“ในช่วงวิกฤต โควิด-19 ทางไทยเอสซี ได้มีโอกาสช่วยสนับสนุนการวิจัยและประมวลผลข้อมูล ทางพันธุกรรมของไวรัส (Genomes) เพื่อหาแนวทางป้องกัน และรักษาโรคโควิด-19 อาทิ การสนับสนุนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการดำเนินโครงการคัดสรรสารออกฤทธิ์ต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ด้วยเทคนิคทางเคมีคำนวณขั้นสูง เพื่อใช้ Supercomputer ในการคัดกรองสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในยารักษาโรคที่มีการใช้งานอยู่เดิม ว่าสามารถนำมาใช้ในการยับยั้งการทำงานของไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสก่อโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดระยะเวลาในการผลิตยา (ขณะนั้นยังไม่มียารักษาโรคโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ) และได้ให้บริการแก่กลุ่มวิจัย COVID-19 Network Investigations (CONI) ในการใช้ Supercomputer เพื่อการดำเนินโครงการถอดรหัสจีโนมไวรัสสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่ระบาดในประเทศไทย โดยใช้ Supercomputer ในการประมวลผลยืนยันสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ลดเวลาในการคำนวณจาก 1 สัปดาห์ เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้สามารถส่งมอบข้อมูลสายพันธุ์ไวรัส SARS-CoV-2 ที่กำลังระบาดให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนรับมือการระบาดของโรคได้ทันการณ์ นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับ กรมควบคุมมลพิษ พัฒนาการใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เฉพาะทาง ด้านมลพิษทางอากาศ (WRF-chem) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือพีเอ็ม 2.5 ได้เร็วขึ้นถึง 15 เท่า ทำให้กรมควบคุมมลพิษสามารถคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ 9 จังหวัดในภาคเหนือของประเทศ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้ล่วงหน้าถึง 3 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนรับมือได้ทันต่อสถานการณ์” ดร. ณรงค์ กล่าว
ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล ผู้อำนวยการศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThaiSC) สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ThaiSC มีทีมนักวิจัยและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีด้านการคำนวณขั้นสูง (HPC Specialist) ที่สามารถให้คำแนะนำเรื่องการใช้ Supercomputer กับงานวิจัยหลายด้าน โดยเฉพาะใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ ชีวสารสนเทศ (Bioinformatics), การจำลองแบบวิศวกรรม (Engineering Simulations), เคมี-ฟิสิกส์ และ AI (Artificial Intelligence) โดยศูนย์ ThaiSC ยังมีเครือข่ายความร่วมมือด้านวิจัยพัฒนากับศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำทั่วโลก รวมไปถึงมีพันธกิจในการพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ HPC ในประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและยกระดับ วทน. ให้กับประเทศในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดให้บริการกับผู้ใช้งานทั่วประเทศในปี 2565 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอใช้บริการได้ที่ https://thaisc.io/ หรืออีเมล thaisc@nstda.or.th ศูนย์ ThaiSC
นายพลาศิลป์ กล่าวเสริมว่า ทางเอชพีอี มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ทำงานร่วมกับไทยเอสซี ในการถ่ายทอดเทคโนโลยี และองค์ความรู้ทางด้านไอทีเพื่อให้คนไทยได้ใช้ความรู้ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้มีความสามารถทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ตามคำที่ว่า “คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก”
ทั้งนี้ที่ผ่านมาเอชพีอีได้ติดตั้งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้กับโครงการต่างๆมากมาย อาทิเช่น
· U.S. Exascale system ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ถึง 4 โครงการใหญ่ รวมมูลค่า 1.5 พันล้านดอลล่าห์ สหรัฐฯ โดยการนำเสนอ HPE Cray EX Supercomputer (Shasta architecture)
· Singapore’s National Supercomputing Centre (NSCC) ของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 มีพลังการประมวลผลถึง 10 Petaflops (RAW) โดยใช้ CPU จาก AMD EPYCTM จำนวนเกือบ 900 CPUs และมี 352 NVIDIA A100 GPU จัดเก็บข้อมูลด้วย Cray ClusterStor E1000 ความจุ 10 เพตะไบต์เชื่อมต่อผ่าน HPE Slingshot Interconnect
· UK Meteorological Office ประเทศอังกฤษในปี 2020 ในการนำเสนอ HPE Cray EX Supercomputer ที่มีพลังการประมวลผล 60 petaflops สำหรับการวิจัยแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change modeling) โดยใช้ CPU จาก AMD EPYCTM และ AMD InstinctTM GPU
· Setonix Supercomputer ติดตั้งที่ Pawsey Supercomputing Centre ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้เริ่มติดตั้งในปี 2021 และคาดว่าสามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในปี 2022 โดยมีพลังประมวลผลถึง 50 Petaflops ที่ถูกออกแบบสำหรับประมวลผลแบบจำลอง (modeling and simulation) ที่ซับซ้อน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยในด้านต่างๆ อันได้แก่ การศึกษาคลื่นวิทยุที่ได้รับจากอวกาศ (radio astronomy), พยาธิวิทยาของพืช (plant pathology), การวิจัยเกี่ยวกับยา และ AI เป็นต้น โดยใช้ CPU จาก AMD EPYCTM 2 แสนกว่า CPU cores และ 750 AMD InstinctTM GPU จัดเก็บข้อมูลด้วย HPE Cray Clusterstor E1000
ข่าวประชาสัมพันธ์
ฟื้นผิวด้วย LumiDart แผ่นนำแสงสามมิติ
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้สถานเสริมความงามต่างๆ ต้องปิดให้บริการชั่วคราว ผู้บริโภคจึงเริ่มหันมาดูแลผิวพรรณในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผิวพรรณและความสวยงาม โดยเฉพาะอุปกรณ์เสริมความงามที่เน้นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้เองเกิดการขยายตัวและมีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 900 ล้านบาทในประเทศไทย
[caption id="attachment_28301" align="aligncenter" width="750"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ และนางสาวลลิตภัทร ศุภประภากร[/caption]
ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ประยุกต์ความเชี่ยวชาญด้านเข็มระดับไมโครเมตรและนาโนเมตรพัฒนา “ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว”
“ลูมิดาร์ทพัฒนาขึ้นจากการนำแผ่นเข็มนำแสงสามมิติที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค ซึ่งมีขนาดเล็กมากในระดับไมโครเมตร ผสานกับเทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง หรือ Phototherapy ที่ใช้แสงจากแอลอีดี (Light Emitting Diode: LED) ส่องผ่านเข้าไปใต้ผิว เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในสู่ภายนอก เทคโนโลยีนี้ใช้แสงแอลอีดีเป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงแต่ละสีมีค่าความยาวคลื่นแสงที่ต่างกัน จึงมีคุณสมบัติให้การบำบัดที่แตกต่างกันออกไป เช่น แสงสีฟ้า (ความยาวคลื่น 470 นาโนเมตร) จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสิว ส่วนแสงสีแดง (ความยาวคลื่น 640 นาโนเมตร) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย
การใช้แสงในการบำบัดจำเป็นต้องใช้พลังงานสูงมาก ทำให้แสงทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวได้ ดังนั้นเราจึงประยุกต์ใช้ร่วมกับแผ่นเข็มนำแสงสามมิติระดับไมโครเมตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดโดยการนำพาแสงไปยังชั้นใต้ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และใช้พลังงานหรือความเข้มแสงน้อย ช่วยลดอันตรายจากการได้รับแสงความเข้มสูงเป็นเวลานาน ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อผู้ใช้งาน” ดร.ไพศาลกล่าว
[caption id="attachment_28295" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
[caption id="attachment_28303" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
[caption id="attachment_28302" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
ทั้งนี้ผลการทดสอบเมื่อเทียบกับการใช้เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสงแบบเดิม พบว่า เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยแสงด้วยลูมิดาร์ทมีประสิทธิภาพดีกว่าถึง 4 เท่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดผิวด้วยการกระตุ้นกลไกให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้ด้วยตนเอง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และยังใช้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
[caption id="attachment_28294" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
ดร.ไพศาล กล่าวว่า นวัตกรรมลูมิดาร์ทยังผลิตได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ มีความแม่นยำสูง และผลิตได้จำนวนมาก หากสถานการณ์ปกติสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ควบคู่กับการการฉายแสงบำบัดผิว เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อความงามตามร่างกาย ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มของสถานเสริมความงาม นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางนวัตกรรมของเข็มไมโครนีดเดิล (Microneedle) สำหรับนวัตกรรมที่เราพัฒนาขึ้นนี้สามารถต่อยอดไปใช้ในทางการแพทย์ โดยใช้ร่วมกับการรักษาความผิดปกติหรือโรคต่างๆ ทางผิวหนังได้ เมื่อได้รับการควบคุมการผลิตภายใต้การแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ” ดร.ไพศาลกล่าว
ปัจจุบัน “ลูมิดาร์ท” แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตร และพร้อมในการเจรจาหาพันธมิตร เพื่อนำเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริงต่อไป ทั้งนี้จะมีการนำมาจัดแสดงภายในงาน BCG Health Tech Thailand 2021 มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพแห่งปี ภายใต้แนวคิด “The Sustainable Solutions of Health & Wellness” จัดโดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และองค์กรพันธมิตร ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ (Hybrid Event) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และออนไลน์เสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบบนช่องทาง www.healthtech-thailand.com
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
นักวิจัย สวทช. เดินหน้าพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบฉีดพ่นจมูก NASTVAC
ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักวิจัยไบโอเทค สวทช. เผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 แบบฉีดพ่นจมูก ในชื่อ NASTVAC ซึ่งอยู่ระหว่างเปิดระดมทุนเพื่อเดินหน้างานวิจัยเตรียมทดสอบในมนุษย์ พร้อมเชิญชวนผู้ที่สนใจมาชมต้นแบบวัคซีน NASTVAC และร่วมรับฟังเสวนาการรับมือโควิดกลายพันธุ์ ในงาน BCG Health Tech Thailand 2021
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. เชิญชวนร่วมงานออนไลน์ หัวข้อ International Symposium on Chemical design of functional coating and interface; self-healing, anti-corrosion, anti-fouling, self-cleaning and nanocomposites
📢📢สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. โดย ฝ่ายโครงการความร่วมมือวิจัยขนาดใหญ่ (RBC) งานบริหารโปรแกรมสนับสนุนกลุ่มนักวิจัยแกนนำ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน “International Symposium on Chemical design of functional coating and interface; self-healing, anti-corrosion, anti-fouling, self-cleaning and nanocomposites” ในรูปแบบออนไลน์ (ฟรี...ไม่เสียค่าใช้จ่าย) ในวันที่ 19 มกราคม 2565 เวลา 9.00 – 15.30 น.
📌ผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมแจ้งชื่อ และข้อมูดังนี้
1) ชื่อ-นามสกุล
2) อีเมล
3) สังกัด
4) ตำแหน่ง
📭มายังอีเมล makoto.ogawa@vistec.ac.th สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0-2644-8150 ต่อ 81882 (วนัสนันท์)4-8150 ต่อ 81882 (วนัสนันท์)
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญฟังเสวนาเรื่อง “สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก”
🌿 สมุนไพรไทยมีคุณค่า…ไม่ใช่แค่กัญชาที่ขายได้!!
มารู้เรื่องที่ทำให้เห็นถึงคุณค่าของสมุนไพรไทย และมาดูกันว่าเราจะสามารถขับเคลื่อนตลาดสมุนไพรในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างไร หาคำตอบได้ที่
💚Bi🌏D Talk Episode#5
🌱 เสวนา : สมุนไพรไทย มีคุณค่าต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG สู่ระดับโลก 🌏
🗓 วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2564
🕑 เวลา 14.00 - 15.30 น.
💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ
🔻 ภาพรวมการตลาดของสมุนไพรไทยและโลก
🔻 ชนิดสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าสร้างเศรษฐกิจ BCG ของประเทศได้อย่างยั่งยืน
🔻 แนวทางการวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวกับสมุนไพรไทย
🔻 กฎระเบียบและข้อบังคับต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
.......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร
🔈 เสวนาออนไลน์ฟรี❗️
ผ่านโปรแกรม Webex Event Meeting number: 2516 402 6878 Password: NSTDA_Biodtalk5
📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง 👉🏻
https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=me512b763c3f926f68c4d8d19827150b8
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่: 084-3062627 (รุ่งรวี), 085-1483890 (พรพงษ์)
BCG
ปฏิทินกิจกรรม
เนคเทค สวทช. ผนึกกำลัง 11 มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคอีสานส่งเสริมและผลักดัน 5 นวัตกรรมเพื่อการศึกษาสำหรับภูมิภาค ตอบโจทย์โมเดล BCG เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2564 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียง เหนือจำนวน 11 มหาวิทยาลัย
ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมและผลักดัน 5 นวัตกรรมเพื่อการศึกษาสำหรับภูมิภาคได้แก่ KidBright: บอร์ดสมองกลฝังตัว, ThaiJo หรือ Thai Journals Online: แพลตฟอร์มบริหารจัดการองค์ความรู้ (วารสาร) วิชาการของประเทศ, Massive Open Online Courses หรือ MOOC ระบบการศึกษาออนไลน์แบบเปิดเพื่อมหาชน, Navanurak Platform: ซอฟท์แวร์แพลตฟอร์มเพื่อการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และทรัพยากรธรรมชาติ และ Museum Pool: ระบบบริหารจัดการเนื้อหานำชมพิพิธภัณฑ์ที่ประยุกต์ใช้เป็นโมไบล์แอปพลิเคชันนำชมได้ เพื่อกระจายสู่การใช้งานและพัฒนาชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า หลายครั้งที่มีโอกาสได้เห็นผลงานวิจัยที่น่าสนใจของเนคเทค สวทช. ซึ่งสามารถสนับสนุนและส่งเสริมภาคการศึกษาของชุมชนในพื้นที่ได้ นับว่าสอดคล้องกับนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ต้องการเห็น มหาวิทยาลัยราชภัฏใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถของคณาจารย์และเครือข่ายนักวิจัย จากความร่วมมือในครั้งนี้ อยากเห็นความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรม ซึ่งราชภัฏก็มีจุดแข็ง ทำงานใกล้ชิดกับชุมชนและสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นให้เกิดเป็นรูปธรรม และมีความเป็นเลิศในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านการสอนและให้ความรู้แก่ชุมชน การทำงานได้จริง ความรักถิ่นฐาน และที่สำคัญมีความรู้ความเข้าใจด้านภูมิศาสตร์ของตน
เพื่อตอบโจทย์นโยบายและยุทธศาสตร์รัฐบาล “เตรียมคนไทยแห่งศตวรรษที่ 21 พัฒนาเศรษฐกิจที่ กระจายโอกาสอย่างทั่วถึง สังคมที่มั่นคง และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยสร้างความเข้มแข็งทางนวัตกรรมระดับ แนวหน้าในสากล นําพาประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จึงกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ โดยออกแบบให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดําเนินงานในลักษณะแพลตฟอร์ม (Platform) ความร่วมมือการพัฒนาใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนากําลังคนและสถาบันความรู้ 2) การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคม 3) การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ 4) การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ โดยดําเนินงานควบคู่ไปกับการปฏิรูประบบอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช.กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ในฐานะองค์กรชั้นนำในการสร้างฐานรากสำคัญด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูงของประเทศ มีพันธกิจ เพื่อผลักดันให้เกิดระบบนิเวศน์ของการใช้งานเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศขั้นสูง ผ่านโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติและเครือข่ายพันธมิตรภาคการศึกษา และภาคธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อรองรับประเทศไทย 4.0 นั้น ต้องการบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและสารสนเทศขั้นสูง เพื่อสร้างนวัตกรรมสมัยใหม่ที่มาจากการบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่จากทุกภาคส่วนในการการขับเคลื่อนสังคม โดยปัจจุบันประเทศไทยยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการรวบรวมข้อมูล ยังมีบุคลากรผู้้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ และการบูรณาการข้อมูลที่จำกัด ถือเป็นช่องว่างสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันที่มีบทบาทสำคัญ ในการผลิตบัณฑิตที่มีอัตลักษณ์ มีคุณภาพ มีสมรรถนะ และเป็นสถาบันหลักที่บูรณาการองค์ความรู้สู่นวัตกรรมในการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศ มีพันธกิจผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และน้อมนำแนวพระราชดำริสู่การปฏิบัติ พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
รองศาสตราจารย์มาลิณี จุโฑปะมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ตัวแทนกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 11 มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุดแข็งของมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งคือ การทำงานใกล้ชิดกับชุมชนและสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีความเป็นเลิศในหลายๆด้าน เช่น ด้านการเรียนการสอนและให้ความรู้แก่ชุมชน การทำงานได้จริง ความรักถิ่นฐาน และที่สำคัญมีความรู้ความเข้าใจด้านภูมิศาสตร์ของตน สามารถใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถของคณาจารย์และเครือข่ายนักวิจัย จากความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรมและผลงานสร้างสรรค์ร่วมกัน ซึ่งทราบมาว่าก่อนเกิดเวทีความร่วมมือในครั้งนี้ เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 11 แห่ง ได้ร่วมมือกันพัฒนาพิพิธภัณฑ์ในท้องถิ่นใน “โครงการ Museum Pool” มาแล้วเป็นเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา โดยมีการนำร่องในพื้นที่ชุมชนจำนวน 33 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ดูแลของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้ง 11 แห่ง
และเวทีวันนี้เป็นอีกความร่วมมือของเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) ทั้ง 11 สถาบัน กับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เพื่อดำเนินการ “ส่งเสริมและผลักดันนวัตกรรมเพื่อการศึกษาสำหรับภูมิภาค” ร่วมกัน
ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติ่ม
นัทธ์หทัย ทองนะ เจ้าหน้าประชาสัมพันธ์เนคเทค สวทช. โทรศัพท์มือถือ 093 598 2496
=============================
ข้อมูลเพิ่มเติม
บันทึกความเข้าใจระหว่างศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติกับกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 สถาบัน ได้แก่ (1) มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร (2) มหาวิยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (3) มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (4) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี (5) มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (6) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (7) มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม (8) มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย (9) มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด (10) มหาวิยาลัยราชภัฏสุรินทร์ และ(11) มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี เรามีวัตถุประสงค์ร่วมกันเพื่อ
พัฒนางานวิจัยที่ส่งเสริมการพัฒนากำลังคนให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
สนับสนุนและส่งเสริมการใช้ผลงานไปยังสถานศึกษา ชุมชนออนไลน์ให้เกิดการเข้าถึงการเรียนรู้ในวงกว้าง
ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศด้านการศึกษาเพื่อให้เกิดความยั่งยืน นำไปสู่การยกระดับศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย
ในความร่วมครั้งนี้ ทางเนคเทคยินดีที่จะนำร่องแพลตฟอร์มนวัตกรรมการศึกษา ที่ประกอบด้วย 5 เทคโนโลยี ได้แก่
KidBright: บอร์ดสมองกลฝังตัว (Embedded Board) เสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ที่มีไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller) สามารถรับข้อมูล ประมวลผล และสั่งงานเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ตามที่ต้องการได้
ThaiJo หรือ Thai Journals Online: แพลตฟอร์มบริหารจัดการองค์ความรู้ (วารสาร) วิชาการของประเทศ เพื่อยกระดับกระบวนการวารสารของประเทศ
ระบบการศึกษาออนไลน์แบบเปิดเพื่อมหาชน (Massive Open Online Courses หรือ MOOC): เป็นแพลตฟอร์มสำหรับระบบจัดการเรียนการสอนออนไลน์ในระบบเปิดที่สามารถรองรับผู้เรียนได้อย่างไม่จำกัด เพื่อการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิตของคนไทย
Navanurak Platform: ซอฟท์แวร์แพลตฟอร์มเพื่อการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ชุมชนหรือหน่วยงานสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ด้วยตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์ให้ข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพท้องถิ่น
Museum Pool: เป็นระบบบริหารจัดการเนื้อหานำชมพิพิธภัณฑ์ที่สามารถสร้างโมไบล์แอปพลิเคชันนำชมได้ โดยเป็นแอปพลิเคชันเดียวที่สามารถเข้าชมได้ทุกพิพิธภัณฑ์ในเครือข่าย
ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติ่ม
นัทธ์หทัย ทองนะ เจ้าหน้าประชาสัมพันธ์เนคเทค สวทช.
โทรศัพท์มือถือ 093 598 2496
ข่าวประชาสัมพันธ์


