ผลการค้นหา :
Food Innopolis ขอเชิญชวนเข้าร่วมค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารระดับประเทศ (ออนไลน์) Thailand Food Innovation Nationwide Online BootCamp 2022
📣📣📣 เมืองนวัตกรรมอาหาร Food Innopolis สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ขอเชิญชวนเข้าร่วมค่ายสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารระดับประเทศ (ออนไลน์) Thailand Food Innovation Nationwide Online BootCamp 2022
พิเศษสำหรับ
• นักเรียน นิสิต/นักศึกษา ทุกสาขาวิชา ที่สนใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีอาหาร, โภชนาการ, คหกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ, เกษตรศาสตร์, วิศวกรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจและการจัดการ การตลาด การออกแบบหรืออื่น ๆ
• อาจารย์ นักวิจัย ผู้ประกอบการด้านอาหาร และผู้ที่มีความสนใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหาร
มาร่วมเรียนรู้:
• การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหาร
• การสร้างนวัตกรรมอาหารผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ
• การพัฒนาโมเดลธุรกิจสำหรับธุรกิจนวัตกรรมอาหาร
• การพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากอาหารหมักดองพื้นถิ่น
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารจาก Street Food
สู่ผู้บริโภคในยุค New Normal
อบรมออนไลน์พร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 19 - 20 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป
ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเข้าร่วมกิจกรรม ฟรี! ตามลิงก์ด้านล่าง
ตั้งแต่วันนี้ - 18 กุมภาพันธ์ 2565
https://forms.gle/Qn78mbSFvRFS6sSi9
สามารถติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook Page : FI Innovation Contest (fb.com/Foodinnopolisinnovationcontest)
ปฏิทินกิจกรรม
สัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ“เจาะตลาดการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และ supporting Industry ใน อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา”
กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง เตรียมตัวให้พร้อม!! จับตามองโอกาสทองสู่ต่างแดนกับการพัฒนานวัตกรรม เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และบริษัท ซีไอพี แวลู จำกัด (CIP Value)
ขอเชิญผู้ประกอบการร่วมสัมมนาออนไลน์ในหัวข้อ“เจาะตลาดการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และ supporting Industry ใน อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา”
วันอังคารที่ 25 มกราคม 2565 เวลา 13.00 – 15.30 น. ในรูปแบบออนไลน์ผ่าน WebEx
พบกับไฮไลท์การบรรยายให้ความรู้ ในหัวข้อ
กลยุทธ์การเจาะตลาดเอเชียใต้
แนวโน้มการลงทุนในตลาด อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา
เสวนาแบ่งปันประสบการณ์การสร้างโอกาสการค้าการลงทุน ด้านอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และ supporting Industry
.
รับจำนวนจำกัด สนใจลงทะเบียนได้ฟรีที่ https://forms.gle/AfWiak1V8ExRXkGe8
ผู้ลงทะเบียนจะได้รับลิงก์เข้าร่วมงานผ่านทางอีเมล
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ : bcd@nstda.or.th , Tel. 0852892669, Line ID : maiys19 (คุณใหม่)
ปฏิทินกิจกรรม
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด “ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”
ณ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๒.๓๐ น. : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด “ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” โดยมี นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย นายกสภามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศ.(เชี่ยวชาญพิเศษ) นพ.บรรณกิจ โลจนาภิวัฒน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผศ.นพ.กฤษณ์ ขวัญเงิน ผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และคณะกรรมการอำนวยการศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ คณาจารย์และบุคลากร เฝ้าฯ รับเสด็จ
จากนั้น เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ทรงวางพุ่มดอกไม้ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะ และเสด็จฯ เข้าสู่พลับพลาพิธี ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ทูลเกล้าฯ ถวายเอกสารสถิติผู้ป่วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ทูลเกล้าฯ ถวายเอกสารสถิติการใช้เทคโนโลยีของ สวทช. ผศ.นพ.กฤษณ์ ขวัญเงิน ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย กราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมรายงานความเป็นมาของการจัดตั้งศูนย์แก้ไขความพิการบนในหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และกราบบังคมทูลเบิกคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นผู้แทนคณะกรรมการอำนวยการศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ เข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังแท่นทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้าย “ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” เสด็จพระราชดำเนินไปยังบริเวณด้านหน้าอาคารสุจิณโณ ทรงวางพวงมาลัยถวายสักการะรูปเหมือนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ฉายพระฉายาลักษณ์ร่วมกับคณะกรรมการ ผู้บริหารและบุคลากรของศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ จากนั้นเสด็จพระราชดำเนิน ไปยังสำนักงานศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ บริเวณชั้น ๓ อาคารตะวัน กังวานพงศ์ ทอดพระเนตรนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาและการดำเนินงานของศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ ได้แก่ การดำเนินงานด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อช่วยในการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ การดำเนินงานด้านการรักษาผู้ป่วยทางคลินิกและผลลัพธ์การรักษา การติดตามผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาตามนัดผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้ารับการรักษาในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อเนื่อง รวดเร็ว ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น และการดำเนินงานด้านเครือข่ายความร่วมมือในการดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่และพิการบริเวณใบหน้าและกะโหลกศีรษะ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน จากนั้นทรงเยี่ยมผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ
การดำเนินงานด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสนับสนุนและวางแผนการรักษาผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มีตัวอย่างเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่นำมาจัดแสดง อาทิ
• เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติลำรังสีทรงกรวยแบบเคลื่อนย้ายได้ ภายใต้ชื่อ MobiiScan (โมบีสแกน) ผลงานวิจัยและพัฒนาโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. โดยความร่วมมือของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์และคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเครื่อง MobiiScan ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยทางด้านรังสีจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ทางด้านไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และผ่านการทดสอบคลินิกเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 13485 มีคุณสมบัติเด่น คือ เป็นเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ง่ายและผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีที่น้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทางการแพทย์ ใช้ถ่ายอวัยวะภายในบริเวณใบหน้าและกะโหลกศีรษะ เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการผ่าตัดรักษา ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและทันท่วงที ซึ่งเครื่อง MobiiScan ที่นำมาติดตั้งที่ศูนย์แก้ไขความพิการบนในหน้าและกะโหลกศีรษะฯ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเป็นงบประมาณที่ทางมูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ ได้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เพื่อสนับสนุนการสร้างเครื่อง MobiiScan รวมทั้งอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นให้แก่ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะฯ
• การใช้เครื่องพิมพ์ ๓ มิติ (3D Printing) ในการสร้างแบบจำลอง ๓ มิติเสมือนจริงจากภาพถ่ายรังสีทางการแพทย์ของผู้ป่วยที่มีความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ เพื่อใช้ในการวางแผนการรักษาและการผ่าตัด ซึ่งข้อดีของการสร้างแบบจำลอง ๓ มิติ ช่วยลดระยะเวลาการผ่าตัด ผู้ป่วยฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้เร็วขึ้น และสามารถคาดการณ์ผลการผ่าตัดได้แม่นยำมากขึ้น
• โปรแกรม Thai Cleft Link เป็น Web application ที่สามารถใช้งานผ่าน Browser ทั่วไปเพื่อจัดเก็บฐานข้อมูลผู้ป่วยภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ โดยเชื่อมโยงการทำงานระหว่างทีมเครือข่ายบุคลากรทางการแพทย์ในเชิงบูรณาการแบบสหวิทยาการ ซึ่งใช้ข้อมูลเดินทางแทนการเดินทางจริงของผู้ป่วย โดยทีมผู้รักษาไม่จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ศูนย์แก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเป็นศูนย์กลางการดูแล รักษาผู้ป่วยยากไร้กลุ่มโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการอื่น ๆ บนใบหน้าหรือกะโหลกศีรษะแต่กำเนิด เช่น โรคงวงช้าง โรคใบหน้าเล็ก โรคใบหน้าแหว่ง เป็นต้น โดยศูนย์ฯได้สร้างเครือข่ายการให้บริการครอบคลุมในเขตพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย เชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย แพร่ น่าน ลำพูน และพะเยา รวมทั้งขอบชายแดนไทย-เมียนมาร์ (อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก) ผลการดำเนินงานนับตั้งแต่จัดตั้งศูนย์ฯ จนถึงปัจจุบันมีความก้าวหน้าในการใช้นวัตกรรมเพื่อตรวจรักษาและผ่าตัดแก้ไขความพิการบนใบหน้าและกะโหลกศีรษะให้แก่ผู้ป่วย ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
ภาพ / ข่าว : กลุ่มงานสื่อสารองค์กร งานประชาสัมพันธ์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
สุดยอดสิ่งประดิษฐ์เพื่อผู้พิการ-ผู้สูงอายุ ผลงานเยาวชนไทย
รับชมต้นแบบสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเด่นจากฝีมือเยาวชนไทย ที่คว้ารางวัลในการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2564 จัดโดยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. มี 8 ทีมที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัล ซึ่งล้วนเป็นทีมนิสิตนักศึกษาจากหลายสถาบัน
โดยรางวัลเหรียญทอง ได้แก่ JustSigns แพลตฟอร์มสร้างแอนิเมชันภาษามือจากคำบรรยาย ของทีมนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี , เหรียญเงิน ได้แก่ SightBand อุปกรณ์สร้างการรับรู้ให้ผู้พิการทางการเห็น จากนิสิตคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , และเหรียญทองแดง 2 รางวัล ได้แก่ นวัตกรรมฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ของทีมนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และทีมนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีอีก 4 ทีมได้รับรางวัลเป็นประกาศนียบัตร
ทั้ง 8 ทีมเยาวชนไทยที่ได้รับรางวัล จะได้นำต้นแบบผลงานไปร่วมประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022 ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ 26-29 สิงหาคม 2565 อีกทั้งหลังการประกวดเสร็จสิ้น สวทช. พร้อมให้การสนับสนุนและผลักดันผลงานของเยาวชนไทยที่มีความพร้อมเพื่อต่อยอดนวัตกรรมต่อไป.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ร่วมกับ NEDO จัดสัมมนาออนไลน์ (ฟรี..ไม่มีค่าใช้จ่าย) เรื่อง The 1st Webinar of “Synergy of BCG Economic Model and Green Growth Strategy” ภายใต้หัวข้อ Paving the Way by Technology
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) จัดสัมมนาออนไลน์เรื่อง The 1st Webinar of “Synergy of BCG Economic Model and Green Growth Strategy” ภายใต้หัวข้อ Paving the Way by Technology ในวันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 เวลา 14.00-16.00 น. เชิญผู้ประกอบการ นักวิจัยและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการพัฒนาเมล็ดพันธุ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงประเทศไทยร่วมกันหาแนวทางนโยบายที่สามารถต่อยอดจากการลงนามบันทึกความเข้าใจ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการสอดประสานความร่วมมือระหว่างโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ - เศรษฐกิจหมุนเวียน - เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) ของไทย กับยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียวของญี่ปุ่น (Green Growth Strategy) ในสาขา เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านชีวภาพ หมุนเวียนและสีเขียว โดยเฉพาะเทคโนโลยีชีวภาพ เกษตรกรรม และอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ วัสดุ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ พลังงานเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน และยานยนต์เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Carbon Neutrality) เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ นักวิจัยและนักลงทุนที่สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/32NeaiD ตั้งแต่บัดนี้
ปฏิทินกิจกรรม
“UNAI” เทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร เสริมแกร่งธุรกิจจัดงานอีเวนต์
ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันทางการตลาดสูง “ข้อมูล” คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจผู้บริโภค ไม่เว้นแม้แต่ในธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ ทั้งงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมนานาชาติ หรือเรียกว่าอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาทและกำลังเติบโตในประเทศไทย และล่าสุดทีมนักวิจัยไทยได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและเสริมศักยภาพธุรกิจไมซ์ของไทยให้ก้าวไกลระดับนานาชาติ
เทคโนโลยีที่ว่านี้คือ ระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร หรือ “แพลตฟอร์มอยู่ไหน” (UNAI platform) ผลงานวิจัยพัฒนาของทีมวิจัยที่นำโดย ดร.ละออ โควาวิสารัช หัวหน้าทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก “อยู่ไหน 3 มิติ” แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลเส้นทางการเคลื่อนที่ของคนหรือวัตถุสิ่งของภายในอาคารแบบออนไลน์
ดร.ละออ ให้ข้อมูลว่า เริ่มแรกทีมวิจัยได้พัฒนาระบบระบุตำแหน่งภายในอาคารขึ้นสำหรับใช้ติดตามหรือระบุตำแหน่งของพัสดุต่างๆ ภายในอาคารสำนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารงานพัสดุของสำนักงาน และปัจจุบันกำลังพัฒนาต่อยอดเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้จัดงานจะเก็บข้อมูลผู้เข้าชมงานทั้งในรูปแบบการลงทะเบียนหน้างาน หรือการสแกนคิวอาร์โคดด้วยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งวิธีนี้ยังไม่สามารถบอกได้ถึงความหนาแน่นของผู้เข้าชมงานในบริเวณต่างๆ หรือแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมงานให้ความสนใจบริเวณใดเป็นพิเศษ
ทีมวิจัยจึงนำต้นแบบระบบ UNAI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ประกอบด้วยธุรกิจการจัดประชุมสัมมนาองค์กร (Meetings) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) การประชุมนานาชาติ (Conventions) และการจัดนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้า (Exhibitions) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้พัฒนาและทดสอบระบบ UNAI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์และปรับเทคนิคให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
“ระบบ UNAI จัดอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (Internet of Things) ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สาย หรือ แท็ก (Tag) ทำหน้าที่เป็นป้ายระบุตำแหน่งโดยใช้เทคโนโลยีสมองกลฝังตัวขนาดเล็ก อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สาย หรือ แองเคอร์ (Anchor) ซึ่งออกแบบให้มีแถวสายอากาศ (Antenna Array) มีระบบสื่อสารไร้สายมาตรฐานบลูทูทพลังงานต่ำ (Bluetooth Low Energy: BLE) และใช้เทคนิค AoA (Angle of Arrival) ในการหาตำแหน่งของแท็ก และส่วนสุดท้ายคือ ระบบสื่อสารสำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ซึ่งรองรับการใช้เครือข่ายทั้ง 3G/4G Cellular Network และ 5G
การทำงานของระบบระบุตำแหน่ง แท็กจะส่งสัญญาณไปยังสายอากาศของแองเคอร์ 3 ตัวที่ใกล้ที่สุด แองเคอร์แต่ละตัวจะคำนวณมุมตกกระทบของสัญญาณที่แท็กส่งมากับแถวสายอากาศ ซึ่งจะมีความต่างเฟสที่ได้รับในแต่ละสายอากาศ และส่งข้อมูลมุมเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเซิร์ฟเวอร์จะคำนวณหาตำแหน่งของแท็กได้อย่างแม่นยำและส่งข้อมูลตำแหน่งไปแสดงผลที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน UNAI แบบเรียลไทม์”
[caption id="attachment_29184" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สายหรือแองเคอร์ (Anchor) และอุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สายหรือแท็ก (Tag)[/caption]
[caption id="attachment_29187" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์[/caption]
[caption id="attachment_29189" align="aligncenter" width="750"] ระบบ UNAI แสดงข้อมูลความหนาแน่นของผู้คนภายในงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ[/caption]
ดร.ละออ กล่าวว่า ระบบ UNAI จะช่วยให้ผู้จัดงานหรือผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลภาพรวมและข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน ผู้เข้าชมงานสนใจกิจกรรมใดบ้าง นิทรรศการหรือสินค้าประเภทใดได้รับความสนใจมากที่สุด ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น หรือนำเสนอบริการเสริมนอกเหนือจากระบบอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้ว เช่น เพิ่มระบบนำทางไปยังบูทที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา ทำให้มีเวลาเลือกสินค้าหรือเจรจาธุรกิจได้มากขึ้น รวมถึงประยุกต์ใช้เพื่อค้นหาตำแหน่งของผู้เข้าร่วมที่เป็นเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจเกิดการพลัดหลงจากผู้ดูแล
การนำระบบระบุตำแหน่งในอาคาร UNAI ไปประยุกต์ใช้ในการจัดงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า นอกจากช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้จัดงานและสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้เข้าชมงานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำเทคโนโลยีไปเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยที่กำลังเติบโตให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในระดับโลก
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ผนึกกำลัง สพฐ. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ(ออนไลน์)หลักสูตรเคมีชีวภาพ เรื่อง “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” สอดคล้องกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กลุ่มงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเคมีชีวภาพ เรื่อง “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธันวาคม 2564 ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนในโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีครูผู้เข้าร่วมอบรมในระดับมัธยมศึกษา จากโรงเรียนในพื้นที่ EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) จำนวน 160 คน พร้อมด้วยบุคลากรทางการศึกษามากกว่า 20 ท่าน เข้าร่วมสังเกตการณ์
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายไพฑูรย์ จารุสาร ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การพัฒนาเด็กและเยาวชน รวมทั้งครูอาจารย์เป็นสิ่งสาคัญที่ควรเร่งดำเนินการ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับรองรับการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก คณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Human Development Center หรือ EEC-HDC) ได้กำหนดความรู้และทักษะที่จำเป็นต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะด้านภาษา (ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน) ทักษะ Coding และทักษะ STEAM ซึ่งการพัฒนาทักษะด้าน STEAM จำเป็นต้องเพิ่มความรู้ความสนใจด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของเด็กและเยาวชนให้มากขึ้นด้วยกิจกรรมและการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นการบ่มเพาะทักษะทางความคิดสร้างสรรค์ การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ พัฒนาและกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนเกิดความสนใจในการเข้าสู่เส้นทางอาชีพนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพครูอาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
การอบรมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมภายใต้โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้กับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ประกอบด้วย 4 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรยานยนต์และขนส่งสมัยใหม่ 2) หลักสูตรอาหารและอาหารเพื่ออนาคต 3) หลักสูตรเคมีชีวภาพ “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” 4) หลักสูตร อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ตอน ระบบ IoT กับการออกแบบกล่องปลูกพืชโดยใช้แสงเทียม ซึ่งเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักในเขตพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า หลักสูตรนี้เน้นความสำคัญของการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านทรัพยากรชีวภาพที่มีความหลากหลายของประเทศไทย รวมถึงการประยุกต์ใช้สารเคมีชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม หรือ BCG Model ที่มุ่งเน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อยู่ภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน
ซึ่งเนื้อหาและกิจกรรมออกแบบเพื่อพัฒนา “คุณครู” ผู้ถ่ายทอดความรู้สู่เด็กและเยาวชนเพื่อให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยเสริมความรู้พื้นฐานให้ผู้เข้าร่วมอบรมมีความรู้ความเข้าใจด้านการวิจัยพัฒนาคัดแยกสารเคมีชีวภาพที่มีประโยชน์มาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ผ่านการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 สอดแทรกแนวทางการทำโครงงานวิทยาศาสตร์เพื่อให้เห็นแนวทางการพัฒนาและต่อยอดแนวคิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้จริงในชั้นเรียนและชีวิตประจำวันได้
การจัดฝึกอบรมในครั้งนี้มีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒินำโดยวิทยากร นางสาวสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. จัดการอบรมด้วยการแนะนำภาพรวมหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วยการบรรยายเนื้อหาความรู้และกิจกรรมปฏิบัติการเพื่อให้ครูมีความรู้ความเข้าใจ ได้ทดลองปฏิบัติการเกี่ยวกับสารเคมีชีวภาพและเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ และต่อด้วยการบรรยายปรับพื้นฐานหัวข้อ “ทรัพยากรชีวภาพและการวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์”
โดย รศ.ดร.เทียนทอง ทองพันชั่ง จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นภาพรวมของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพในตลาดโลกและไทย เชื่อมโยงสู่ “จากทรัพยากรชีวภาพสู่การวิจัยเพื่อนำไปใช้ประโยชน์” และภาพรวมของกระบวนการศึกษาวิจัยทรัพยากรชีวภาพ ตั้งแต่การสกัดสารสำคัญ การทำให้บริสุทธิ์ การศึกษาโครงสร้าง การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีและการนำไปใช้ประโยชน์
กิจกรรมส่งเสริมเทคโนโลยีการสอนออนไลน์ โดย ดร.กมลรัตน์ ฉิมพาลี ครูชำนาญการพิเศษ (คศ.3) โรงเรียนถนนหักพิทยาคม จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งกระตุ้นการมีส่วนร่วมให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ด้วยรูปแบบกิจกรรมและสื่อการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่ผ่านช่องทางแชตหรือโปรแกรมช่วยสอนรวมถึง สื่อ แอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น padlet Quizlet wordwall FizziQ และการใช้ Canva ผลิตสื่อนำเสนอ
ต่อด้วยกิจกรรมที่ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ผ่านการทดลองปฏิบัติการในหัวข้อ “เทคนิคการสกัด และการทำสารให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมาโทกราฟี” เป็นหลักการสกัดสารสำคัญจากพืชและการทำสารให้บริสุทธิ์ด้วยวิธีโครมาโทกราฟี การแยกสารเพื่อนำไปใช้ และกิจกรรมหัวข้อ “การศึกษาโมเลกุลสารเคมี” ซึ่งจะเรียนรู้หลักการศึกษาโมเลกุลของสารสำคัญที่ได้จากทรัพยากรชีวภาพ โมเลกุลสารเคมีที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า การเปลี่ยนสีและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีรวมไปถึงการเกิดการเรืองแสง
กิจกรรมบรรยายหัวข้อ การนำกิจกรรมไปสู่การออกแบบการจัดทำรายวิชาเพิ่มเติมในสถานศึกษา โดยคณะศึกษานิเทศก์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง นำโดย นายอมร สุดแสวง และคณะศึกษานิเทศก์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนางสาวชานิศรา แสงอินทร์ และ นายวรพจน์ สิงหราช ผู้อำนวยการ เขตสำนักงานเขตพื้นที่มัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา เพื่อให้ผู้เข้าอบรมเห็นแนวทางการนำความรู้และกิจกรรมที่ได้รับจากการอบรมไปใช้ปรับ ประยุกต์ใช้ในชั้นเรียน และร่วมกันวางแผนการดำเนินงานกิจกรรมไปใช้ในสถานศึกษาต่อไป
และกิจกรรมการบรรยายสุดท้ายหัวข้อ “การเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลผ่านปฏิกิริยาเคมี” เพื่อเรียนรู้หลักการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลผ่านปฏิกิริยาเคมี นำโดย รศ.ดร.เทียนทอง ทองพันชั่ง และทีมงาน จากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อด้วยกิจกรรมปฏิบัติการหัวข้อ “การนำสมุนไพรมาใช้ประโยชน์” เพื่อเรียนรู้แนวทางการนำผลิตภัณฑ์ที่สกัดได้จากพืชมาใช้ประโยชน์ ผ่านตัวอย่างกิจกรรมการทำยาหม่องสมุนไพร และการระดมสมอง ในห้องย่อยเพื่อสรุปแนวทางการนำกิจกรรมไปสู่ชั้นเรียน แนวทางการพัฒนานวัตกรรมต่อยอด นำเสนอ แลกเปลี่ยนผลงานผ่าน Padlet คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการกระดานแสดงความคิดเห็นออนไลน์
หลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมครูทุกท่านต่างก็มีความรู้สึกประทับใจและดีใจที่ตัวเองได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมนี้ ครูทศพร หลียะวงค์ รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ชลบุรี กล่าวถึงความรู้สึกว่า มันเป็นความประทับใจที่ยากจะบรรยาย ตนชอบกิจกจรรมเช่นนี้เพราะได้มาทบทวนความรู้ที่เคยเรียนมา ซึ่งบางเรื่องอาจจะลืมไปแล้ว ทำให้มีความแม่นยำในเนื้อหามากขึ้น สามารถนำไปใช้ได้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการสอนที่น่าสนใจเพื่อนำไปจัดกิจกรรมให้กับนักเรียน อาจจะประยุกต์ใช้ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดกล่องของขวัญปีใหม่ 2565 จากใจ สวทช.
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอมอบของขวัญปีใหม่ 2565
“รู้ทัน” แอปพลิเคชันสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ
นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือดออกให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการลดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย
จากการดำเนินตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมา เนคเทค-สวทช. ได้ร่วมมือกับกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนา “ชุดซอฟต์แวร์ทันระบาด” เพื่อการเฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้เลือดออก และนำไปใช้ประโยชน์มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว โดยสนับสนุนการจัดการ ประมวลผล และนำเสนอข้อมูล อย่างเป็นระบบและต่อเนื่องตามการดำเนินงาน อย่างครบวงจร ตั้งแต่ข้อมูลพาหะนำโรค จนกระทั่งการเกิดโรคระบาด อย่างหลากหลายมิติ เพื่อตอบโจทย์ทุกมุมมอง แบบเรียลไทม์ เพื่อการสื่อสารที่ทันท่วงที และแบบย้อนเวลา เพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ และในปี พ.ศ. 2563 ได้ร่วมกันต่อยอด ทันระบาด ไปสู่ภาคประชาชน ภายใต้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า รู้ทัน เป็นแอปพลิเคชันสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ณ ตำแหน่งปัจจุบัน และพื้นที่ที่สนใจ โดยแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไข้เลือดออก แต่ยังรวมถึง สถานการณ์ฝฝุ่น PM 2.5 และดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด พร้อมขยายผลสู่ความเสี่ยงด้านสุขภาพอื่นๆ ต่อไป”ประชาชนทั่วไปสามารถ Download ไปใช้งานได้ฟรี
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-mobile-application/rootan-2021.html
ชมคลิป VDO https://youtu.be/int4GFJBQ2o
“Traffy Fondue” นวัตกรรมบริหารจัดการเมืองด้วยข้อมูลด้วยเทคโนโลยี
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ “สร้างฐานข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ” เพื่อเปลี่ยนแปลง สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี สังคมดี เมืองน่าอยู่ ทุกพื้นที่การใช้ชีวิตให้กลายเป็น Smart City เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย โครงการดังกล่าว เป็นความร่วมมือระหว่าง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำนวัตกรรมดังกล่าวพัฒนาเป็น “แพลตฟอร์มการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ” ภายใต้แนวคิด “เจอ แจ้ง แจ่ม แจ๋ว” แพลตฟอร์มดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือในการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ” โดยระบบได้ออกแบบมาให้ประชาชนทั่วไปและเจ้าของพื้นที่ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สามารถร่วมกันเพิ่มข้อมูลสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุที่ตนเองพบเจอ หรือเป็นเจ้าของ ผ่าน LINE OA @jaideecity โดยไม่ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ระบบสามารถพูดคุยเพื่อรับข้อมูลสิ่งอำนวยสะดวกได้โดยอัตโนมัติ และเพื่อให้ผู้พิการและผู้สูงอายุนำไปใช้ประโยชน์ ค้นหาสิ่งอำนวยความสะดวกได้ง่าย ๆ ในทุกพื้นที่ เพื่อใช้ในการวางแผน เตรียมความพร้อมในการเดินทางไปยังสถานที่หรือหน่วยงานของท่านได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถคลิกดูพิกัดของสถานที่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกได้ที่ https://ud.traffy.in.th
HandySense: Smart Farming Open Innovation
HandySense ระบบเกษตรอัจฉริยะที่มีความแม่นยำ คือ การนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ผสานกับอุปกรณ์ไอโอที (Internet Of Things) สำหรับตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมในแปลงเพาะปลูก เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างแม่นยำ สะดวกต่อการติดตั้ง สะดวกการใช้งาน และเกษตรกรสามารถเข้าถึงได้
พิมพ์เขียวต้นแบบผลงานวิจัย HandySense เพื่อประโยชน์สาธารณะ ร่วมกับ กรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล [ DEPA ] จังหวัดฉะเชิงเทรา และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส ที่ช่วยกันขับเคลื่อนสมาร์ตฟาร์มแบบเปิดสู่สังคมไทย ให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจทั่วไปนำไปผลิตเพื่อใช้หรือจำหน่ายได้ ภายใต้แนวคิด Smart Farming Open innovation หรือ นวัตกรรมที่เปิดเผยรายละเอียดการผลิต และอนุญาตให้สาธารณะนำไปผลิตและใช้งานโดยไม่คิดค่า license และไม่คิดค่า royalty โดยคาดหวังให้เกษตรกรไทยยุคใหม่ ได้มีเครื่องมือที่ทันสมัยใช้งาน ในราคาที่จับต้องได้ และต้องการให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางด้านสมาร์ทฟาร์ม โดยผู้ประกอบการไทย ด้วยอุปกรณ์เครื่องมือการเกษตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐาน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://handysense.io/
“เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ ที่ทุกๆ องค์กรต้องการตัว เข้ามาเรียนรู้กับ Career 4 Future e-Learning” เรียนออนไลน์ในหลักสูตรเข้มข้นฟรี 32 หัวข้อ
ต่อที่ 1 - การเรียนรู้ไม่สิ้นสุดสำหรับผู้ที่ไม่หยุดเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ แห่งอนาคต ฟรี 32 หัวข้อ
เรียนรู้ได้แล้ววันนี้ตลอด 24 ชั่วโมงที่ https://www.career4future.com/
ต่อที่ 2 - หลักสูตรเข้มข้นอีก 35 หัวข้อที่เสียค่าใช้จ่ายในการสมัครเรียนเพียงเดือนละ 399 บาทเท่านั้น
แต่วันนี้ สวทช. ขอมอบสิทธิพิเศษสุด ให้โค้ดฟรีเพื่อเป็นรหัสผ่าน (password) สำหรับผู้ต้องการ Upskill/Reskill เพียง 2,000 สิทธิ์เท่านั้น
ช้าอด.... หมดสิทธิ์เรียนฟรี กับหลักสูตรดีๆ จาก สวทช.
ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 1 มกราคม - 28 กุมภาพันธ์ 2565
คลิกด่วน https://elearn.career4future.com
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ออมสิน จับมือพันธมิตร Kick off โครงการ “สร้างงาน สร้างอาชีพ” ภายใต้แนวคิด 4 ให้
27 ธันวาคม 2564 ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ : นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เปิดโครงการออมสิน สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมพิธีมอบเงินสนับสนุนจัดทำรถเข็นรักษ์โลก ซึ่งเป็นมาตรการตามนโยบายของรัฐบาล ที่ได้มอบหมายให้ ธนาคารออมสิน โดย นายวิชัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ช่วยฟื้นฟูและช่วยเหลือประชาชน ผู้ตกงานหรือขาดรายได้ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโคริด-19 ที่มุ่งหวังให้สามารถต่อยอดสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “4 ให้ ได้แก่ ให้ทักษะ ให้เงินทุน ให้อุปกรณ์ และ ให้พื้นที่ค้าขาย
โดยมี ดร.อัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการ ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) สถาบันอุดมศึกษา และ กรุงเทพมหานคร ร่วมเคลื่อนโครงการฯ ในครั้งนี้
นายวินัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ ธนาคารออมสิน ปรับภารกิจ ขยายผลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงานหรือขาดรายได้ จากสถานการณ์แพร่ ระบาดของโควต-19 ซึ่งถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยธนาคารได้จัดทำโครงการ “ออมสิน สร้างงาน สร้างอาชีพ” ภายใต้แนวคิด “4 ให้ ได้แก่ ให้ทักษะ ให้เงินทุน ให้อุปกรณ์ และให้พื้นที่ค้าขาย ซึ่งถือเป็นการมอบความช่วยเหลือที่ยั่งยืน โดยตั้งเป้าหมายสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ที่เดือดร้อนจำนวนมาก ได้มีการ ปรับตัวและมองเห็นโอกาสใหม่ในการประกอบอาชีพ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สามารถใช้ความรู้ใหม่และทักษะ ทางอาชีพที่ได้รับการถ่ายทอด เป็นทางเลือกและช่องทางต่อยอดในการประกอบอาชีพมากขึ้น โดยมีธนาคารออมสิน และพันธมิตรคอยช่วยเหลือเคียงข้าง ให้สามารถยังชีพตนเองและดูแลครอบครัวต่อไปได้
ด้าน นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช. กล่าวว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบโดยตรงกับกิจการของผู้ค้าสตรีทฟู้ด ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ช้า ย่อมกระทบกับรายได้ของผู้ประกอบการร้านอาหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ของร้านอาหารริมทางจะเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และสิ่งที่จะทำให้ร้านอาหารสามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว ควรจะต้องมีความยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพในการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการให้ความสำคัญในเรื่องการดูแลสุขอนามัยของตัวเองและคนรอบข้าง การประกอบการอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ถูกสุขลักษณะจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในสถานการณ์เช่นนี้
ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สวทช.พัฒนา “นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกเพื่อสตรีทฟู้ด” โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยยกระดับมาตรฐานทั้งด้านคุณภาพ ความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร สุขอนามัย ความสะอาดของร้านและผู้ปรุงอาหาร คุณภาพของการให้บริการและความอร่อย จึงทำการออกแบบและพัฒนารถเข็นและอุปกรณ์ภายในร้านให้มีความสะอาดปลอดภัย ลดการสร้างมลพิษหรือขยะของเสีย ลดน้ำหนักรถเข็นให้เบาที่สุด สามารถใช้งานในพื้นที่ปิดได้ และปรับปรุงระบบบำบัดน้ำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนเกิดเป็นนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลกในเวอร์ชั่นที่สมบูรณ์แบบ โดยผ่านการใช้งานจากผู้ประกอบทั่วประเทศมาแล้ว และได้รับความไว้วางใจเพื่อสร้างอัตลักษณ์อาหารริมทาง โดยครั้งนี้ได้ขยายผลร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และธนาคารออมสิน
โดยการมอบรถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลกให้กับผู้ประกอบการบริเวณเขตสัมพันธวงศ์ ที่สามารถทำการค้าตามนโยบายและระเบียบของกรุงเทพมหานครในเรื่องของการรักษาความสะอาด การจัดการสุขลักษณะของการจำหน่ายอาหาร โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคด้วย จึงเป็นที่มาของการต่อยอดความร่วมมือในวันนี้ โดยการส่งมอบรถเข็นฯ ให้ผู้ประกอบการเขตสัมพันธวงศ์แล้ว จำนวน 77 ราย ในย่านการค้าพื้นที่ถนนเยาวราช ถนนข้าวหลาม และถนนราชวงศ์ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ค้า ผู้ประกอบการและผู้จำหน่ายอาหาร มีส่วนร่วมในการรักษาและพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ทำการค้า ให้มีความทันสมัย ใส่ใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เกิดความเป็นระเบียบเรียบเรียบร้อย สวยงาม มีเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และตอบรับตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
สำหรับผู้ประกอบการสตรีทฟู้ดที่สนใจสอบถามข้อมูล ‘รถเข็นนวัตกรรมรักษ์โลก’ สามารถศึกษารายละเอียด ได้ที่ http://www.decc.or.th/streetfood หรือ ช่องทาง Line: @679hqbmi
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ’ จากนาโนเทค สวทช. นวัตกรรมยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ต่อยอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีสู่ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบที่มีความไวสูง สามารถตรวจไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบได้แม้มีความเข้มข้นน้อย ราคาถูก ใช้งานง่าย ตรวจวัดและวิเคราะห์ผลเร็ว มีความจำเพาะเจาะจงและความถูกต้องสูง ลดการสูญเสียน้ำนมดิบที่ไม่มีคุณภาพ และลดผลกระทบต่อกระบวนการแปรรูปน้ำนมดิบ ส่งมอบ อ.ส.ค. สำหรับใช้ในศูนย์รับน้ำนม อ.ส.ค ทั่วประเทศ หวังเป็นตัวช่วยยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม และอุตสาหกรรมโคนมของไทย
น้ำนมดิบที่ศูนย์รับน้ำนม องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ทั่วประเทศรับมาจากเกษตรกร ซึ่งต้องมีการตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงสิ่งเจือปนต่างๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและราคาขายน้ำนมดิบ โดยหลังจากที่ทีมวิจัยของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าเยี่ยมชมการทำงาน ก็ได้รับโจทย์จาก อ.ส.ค. ที่ต้องการชุดตรวจสารปนเปื้อนที่มีความไว และจำเพาะสูง
“ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ (Peroxide Test Stripe)” จึงเกิดขึ้น โดย ดร.กุลวดี การอรชัย จากทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ พร้อมทีมวิจัยที่ประกอบด้วย น.ส. อรุณศรี งามอรุณโชติ และน.ส. ประภาภรณ์ แสงแก้วพัฒนาเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีสำหรับการตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เชิงปริมาณในน้ำนม ซึ่งการตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นหนึ่งในชุดตรวจคุณภาพน้ำนมดิบ โดยสามารถบ่งบอกปริมาณและความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เจือปนในน้ำนมได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีในการออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนโลหะผสมแล้วนำไปเคลือบบนขั้วไฟฟ้าคาร์บอนพิมพ์สกรีน
“หลักการของเซนเซอร์นี้ อาศัยการเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชันของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โดยใช้อนุภาคนาโนของโลหะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าว และใช้เครื่องวัดสัญญาณเคมีไฟฟ้าแบบพกพาในการตรวจวัด ซึ่งสามารถตรวจได้ง่ายและรวดเร็วและมีความไวสูง การใช้อนุภาคนาโนของโลหะนี้สามารถใช้ทดแทนวัสดุชีวภาพ เช่น เอนไซม์ออกซิเดส และเอนไซม์คะตะเลส ได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มเสถียรภาพให้กับชุดตรวจ เนื่องด้วยอนุภาคนาโนของโลหะนี้ มีความคงตัวสูงที่สภาวะการเก็บรักษาในระยะเวลานาน” ดร.กุลวดีกล่าว
จุดเด่นของงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยนาโนเทคชี้ว่า เป็นเซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดการปนเปื้อนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เชิงปริมาณในน้ำนมดิบได้ โดยสามารถแสดงค่าเป็นตัวเลขความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เมื่อใช้ร่วมกับเครื่องอ่านแบบพกพา สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 2 นาที มีความไวในการตรวจวัดสูงกว่าชุดตรวจที่มีในท้องตลาด นอกจากนี้ ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นมีความเสถียรและเก็บรักษาได้ง่าย เนื่องจากไม่มีการใช้สารชีวโมเลกุล จึงทำให้สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ในการตรวจคุณภาพน้ำนมดิบจำนวนมากได้
“ความท้าทายของงานวิจัยชิ้นนี้ คือ การออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนของโลหะให้มีความจำเพาะต่อการเร่งปฏิกิริยารีดอกซ์ของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการคัดเลือก และการปรับสภาวะขององค์ประกอบต่างๆของอนุภาคนาโนในการวิเคราะห์ให้เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ตรวจวัดสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ” ดร.กุลวดีกล่าว พร้อมชี้ว่า ความท้าทายอีกประการคือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฐานด้านเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีเพื่อตรวจวัดสารปนเปื้อนในน้ำ มาพัฒนาชุดตรวจในน้ำนมนั้น ถือว่า ยากมาก เพราะน้ำแทบจะไม่มีสารอื่นรบกวน ในขณะที่น้ำนมนั้นมีองค์ประกอบที่หลากหลาย มีสารชีวโมเลกุล รวมถึงเอนไซม์บางตัวที่ช่วยสลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ได้เร็ว ทำให้เราต้องพัฒนาชุดตรวจที่มีความไวสูง และตรวจวัดให้เร็วที่สุด
เซนเซอร์สำหรับตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยนี้สมารถนำไปใช้ในการตรวจคัดกรองคุณภาพน้ำนมดิบ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำนมดิบที่ได้ปราศจากการเจือปนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งการปนเปื้อนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีน ทำให้น้ำนมตกตะกอนและส่งผลกระทบอย่างมากต่อกระบวนการแปรรูปน้ำนมดิบ ซึ่งมีผลกระทบมูลค่าประมาณ 20000 บาทต่อน้ำนมดิบ 1 ตัน โดยชุดตรวจนี้สามารถนำไปใช้ได้จริงทั้งในห้องปฏิบัติการภายใน อ.ส.ค และการตรวจวิเคราะห์ภาคสนาม เช่น ที่ฟาร์มหรือสหกรณ์โคนมย่อยต่าง ๆ
นอกจากนี้ ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบยังเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมนมทั่วประเทศ ในการคัดกรองคุณภาพน้ำนมดิบก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคนมที่มีคุณภาพมากขึ้น
“ทีมวิจัยมีแผนที่จะวิจัยและพัฒนาต่อยอดชุดตรวจฯ นี้ ในด้านความแม่นยำ (validation) ด้วยวิธีมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบเปรียบเทียบกับชุดตรวจที่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันอีกด้วย นอกจากนี้ องค์ความรู้ที่ได้พัฒนาชุดตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบนี้ ยังสามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาชุดตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เจือปน หรือตกค้างในอาหาร หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้” ดร.กุลวดีชี้
ปัจจุบัน ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบจากนาโนเทค สวทช. ได้พัฒนาแล้วเสร็จ และส่งมอบ ให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการจริงของศูนย์รับน้ำนม อ.ส.ค ทั่วประเทศ และจะเป็น 1 ในผลงานนวัตกรรมของ สวทช. ที่จะนำไปร่วมแสดงในงานเทศกาลโคนมแห่งชาติประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 3-7 มกราคม 2565
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. มอบรางวัลสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในประเทศ ประจำปี 2564พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมแข่งขันในเวทีนานาชาติ
วันที่ 24 ธันวาคม 2564 ณ ไบเทค บางนา :: ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนางสาววันทนีย์ พันธชาติ ที่ปรึกษาศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช.
เข้าร่วมพิธีประกาศรางวัลการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2564 พร้อมทั้งเยี่ยมชมผลงานสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวและผลงานวิจัย สวทช. และพันธมิตร
ศาสตราจารย์ ดร. ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อคัดเลือกผลงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุของนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ หรือที่เรียกว่า Global Student Innovation Challenge (gSIC)
ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology) i-CREATe ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและผู้สูงอายุระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล
ซึ่งเกิดจากภาคีความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย ภายใต้ชื่อว่า CREATe Asia โดยเป็นการรวมกลุ่มระหว่าง 13 องค์กร จาก 10 เขตเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและออสเตรเลีย
A-MED สวทช. จึงได้จัดการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ในรูปแบบออนไลน์ เพื่อคัดเลือกผลงานสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุของนิสิตนักศึกษาในประเทศไทย จำนวน 8 ทีม เพื่อเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC) ที่จะจัดขึ้นวันที่ 26-29 สิงหาคม 2565 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผลการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2564 ได้แก่
รางวัลเหรียญทอง ได้แก่ ผลงาน “JustSigns” โดยทีมนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รางวัลเหรียญเงิน ได้แก่ ผลงาน “SightBand” โดยนิสิตจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รางวัลเหรียญทองแดง ทั้งสิ้น 2 รางวัล ได้แก่
ผลงาน “AOMI-based system for stroke patient’s upper extremity rehabilitation” โดยนักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน “Design and development of physical therapy upper limb device with symmetrical reflections mechanism” โดยทีมนักศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พร้อมนี้ยังมีอีก 4 ผลงาน ที่จะเข้าร่วมการประกวดระดับนานาชาติ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ผลงาน “D Mind: Detection and Monitoring Intelligence Network for Depression” โดยทีมนิสิตจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงาน “New design power wheelchair for easy transfer” โดยทีมนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผลงาน “Non-implantable bone conduction hearing aids, The amazing hearing device (AHD)” โดยทีมนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงาน “The sit-to-stand support device for the elderly” โดยทีมนักศึกษาจากวิทยาลัยวิศวกรรมชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ด้าน ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ในนามของกระทรวง อว. โดย สวทช. รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่มีต่อเหล่าคนพิการและผู้สูงอายุเป็นอย่างยิ่ง ที่พระองค์ท่านทรงเข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ปี 2550 ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-สิงคโปร์ ตามพระราชดำริฯ โดยภารกิจหนึ่งของ สวทช. ได้เน้นการส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งจะช่วยให้คนพิการและผู้สูงอายุได้มีนวัตกรรมใช้ เพื่อการดำรงชีวิตอิสระในสังคมบูรณาการต่อไป
“ขอแสดงความยินดีกับนิสิตนักศึกษาทั้ง 8 ทีมที่ได้รับการคัดเลือกจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ ประจำปี 2564 และจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ หรือ Global Student Innovation Challenge ในงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2022 ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งภายหลังจากการเข้าร่วมประกวดในเวทีนานาชาติครั้งนี้แล้ว สวทช. จะมีกลไกพร้อมให้การสนับสนุนผลงานที่มีความพร้อมและต่อยอดไปสู่การเป็น startup เพื่อผลักดันผลงานไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 9 ประจำเดือนธันวาคม 2564
ข่าว
ทีมวิจัย สวทช. -พันธมิตร คิดวิธีสกัดสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19 จากตัวอย่างแบบง่าย สำเร็จ! ราคาถูกกว่านำเข้า 2 เท่า เตรียมผลิตขายครั้งแรกในไทยพร้อมส่งมอบ
ENTEC สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม “น้ำยาฆ่าเชื้อ ENERclean” สนับสนุนโครงการ “อว. พารอด” ใช้ประโยชน์ในสถานการณ์ COVID-19
นาโนเทค สวทช. หนุน “ฮิโนกิ” สู้โควิด-19 ด้วยนวัตกรรม ส่ง “หมอนอโรม่าฮิโนกิ” กลิ่นหอมนาน 6 เดือนลุยตลาดใหม่
สวทช. จัดใหญ ‘มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ’ 8-9 ธ.ค. 64 โชว์ ‘BCG นวัตกรรมการแพทย์’ กว่า 100 ผลงาน ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
สวทช. ร่วมยินดีกับเยาวชนโครงการ YSC ในการรับสิทธิ์เป็นสมาชิก Sigma Xi และรางวัล Top Presenters จากการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ Sigma Xi Annual Meeting & Student Research Conference
เนคเทค สวทช. จับมือพันธมิตร เสริมแกร่งภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทย ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการ NECTEC-ACE 2021 ในรูปแบบออนไลน์
สวทช. เผยโฉมนวัตกรอาหารรุ่นใหม่ คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรมอาหาร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ “โลกอนาคต” ในโครงการ Food Innopolis Innovation Contest 2021
นาโนเทค สวทช. ต่อยอด “ใบขลู่” สู่ “แชมพู-ครีมอาบน้ำอนุภาคนาโนขลู่ต้านอนุมูลอิสระ”เตรียมถ่ายทอดให้ชุมชน สร้างนวัตกรรมของดีเมืองกระบี่
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาพันธุ์ข้าวเจ้านาปี “หอมสยาม” ข้าวหอม ผลผลิตสูง คุณภาพดี ต้านทานโรคไหม้ หวังส่งออกตลาดต่างประเทศ
เนคเทค สวทช. ผนึกกำลัง 11 มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคอีสานส่งเสริมและผลักดัน 5 นวัตกรรมเพื่อการศึกษาสำหรับภูมิภาค ตอบโจทย์โมเดล BCG เพื่อพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
เอชพีอี ผนึก สวทช. ยกระดับ วทน. ไทย ด้วยระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดในอาเซียน
สวทช. เสริมแกร่ง วิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ด เบิร์ด ตามรอยเท้าพ่อ จ.ปทุมธานี เข้าถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญ “กัญชา-กัญชง-กระท่อม” ระดับมาตรฐานสากล
บทความ
ศูนย์ SMC สวทช. “ตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0
Download เอกสารฉบับเต็ม (21.2MB)
จดหมายข่าว สวทช.


