หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 6 ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมกราคม 2564
ข่าว ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. หนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ EEC เสริมความรู้ด้าน Digital Transformation สวทช. ชวนผู้ประกอบการร่วมงาน Thailand Tech Show 2020 พร้อมลงทุน 2-4 ธ.ค. 63 10 Technologies to Watch 2020 -10 เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ-ชีวิตวิถีใหม่เทรนด์เทคโนโลยีอีก 3-5 ปี ‘ไฮบริดชัวร์’ คว้าผลงานวิจัยที่น่าลงทุนที่สุดในงาน THAILAND TECH SHOW 2020 DITP และ สวทช. จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ“เพิ่มโอกาสการส่งออกต่างประเทศด้วย DITP Business AI” สวทช. จับมือ 3 พันธมิตรสร้างฐานข้อมูลสมุนไพร หนุนเอกชนใช้งานด้านเครื่องสำอาง สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐาน รุ่นที่ 2” สวทช. ยกทัพผลงานเยาวชนสู่กิจกรรม “วัยใสปล่อยพลัง ปังสุดใจ” ในงาน “วันพ่อแห่งชาติ” สวทช. เปิดตัว 3 นักวิจัยแกนนำ ประจำปี 2563 สนับสนุนและสร้างเครือข่ายวิจัยด้านการแพทย์และอาหาร นาโนเทค สวทช. จับมือ 8 พันธมิตร หนุน “มาตรฐาน-ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี” ในภาคอุตสาหกรรม พิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ มหาวิทยาลัยบูรพา เฮลทิเนส จับมือ สวทช. และองค์กรวิจัยชั้นนำ ปั้น “Besuto 12” เจลไร้แอลกอฮอล์ ฆ่าเชื้อโควิด-19 สตง. นำร่อง ปี 64 ถึงทีบอกลา “กระดาษ” DDC-Care ระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คว้านวัตกรรมเด่นรับมือวิกฤติโควิด-19 จากกระทรวง อว. งานวิจัยชุดตรวจโควิดของไทยร่วมแข่งขันระดับโลก มุ่งสู่การขยายผลไปใช้ทั่วโลก ทีมวิจัย ม.เกษตรฯ เผยผลศึกษาวิจัยพื้นที่ทุ่งหญ้าศักยภาพพบสัตว์กีบ กระทิง-กวาง-หมูป่า   บทความ สวทช. เผย 10 เทคโนโลยี พลิกโฉมธุรกิจ-ชีวิตวิถีใหม่ 3-5 ปีข้างหน้า    Download เอกสารฉบับเต็ม [25.6 MB]
จดหมายข่าว สวทช.
 
ประกาศรับสมัครผู้เข้าร่วมกิจกรรมสำหรับโครงการ NCD Digital HealthTech Platforms
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญผู้ประกอบการและนวัตกร ด้านดิจิทัลที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เกี่ยวข้องกับโรค NCD หรือ non-communicable diseases เป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเปิดรับสมัคร ผู้ประกอบการและนวัตกร ด้านดิจิทัลที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เกี่ยวข้องกับโรค NCD เข้าร่วม โครงการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ดิจิทัลเพื่อต่อสู้กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) สู่ระบบสาธารณสุขไทยเพื่อความยั่งยืนทางด้านสุขภาพ เพื่อคว้าเงินสนับสนุนสูงสุด 280,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) เข้าร่วมกิจกรรม Acceleration Program ขยายผลเชิงพาณิชย์สู่สถานพยาบาลหรือองค์กรในระบบสาธารณสุข เพื่อสร้างความร่วมมือการสนับสนุน ผลักดันผลงานนวัตกรรมด้านดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) รวมถึงโอกาสในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพียงคุณมีนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตอบโจทย์ด้านนวัตกรรมการแพทย์ดิจิทัลสำหรับการรักษา ช่วยเหลือป้องกันเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ที่ TRL มากกว่าหรือเท่ากับ 4 ขึ้นไป รวมถึงมีแผนในการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อนำไปสู่การใช้งานจริง และขยายผลเชิงพาณิชย์สู่สถานพยาบาลในระบบสาธารณสุขไทย โปรดอย่าช้า !!! รับสมัครจำนวนจำกัด เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 31 มกราคม 2564 ผู้สนใจสมัครกรอกแบบฟอร์มรับสมัครได้ที่ https://forms.gle/ifuuSoW9iuMWexQJ7"ทางอวท. จะแจ้งผู้ที่มีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกเพื่อนำเสนอโครงการผ่านออนไลน์และจะแจ้งผลให้ทราบ ภายใน 28 ก.พ. 64" สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ โทรศัพท์ 086 373 4271 (คุณกานต์ธิดาพร), 089 456 2440 (คุณวัชรี) หรือ สมัครได้ทาง Email: ikd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
“Innovative Air Cleaner” เครื่องบำบัดอากาศระบบไฟฟ้าสถิต ฝีมือคนไทย
ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 อานุภาพร้ายแรง กลายเป็นหนึ่งในมลภาวะที่คนไทยต้องเผชิญทุกปี ทั้งจากพฤติกรรมของคนในประเทศ และการได้รับผลข้างเคียงจากประเทศรอบข้าง ด้วยขนาดของฝุ่นที่เล็กกว่า 2.5 ไมครอน ฝุ่น PM2.5 จึงสามารถปะปนไปกับอากาศที่หายใจเข้าสู่ปอด แล้วซึมผ่านผนังปอดเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้น เช่น การไอ เจ็บคอ ระคายเคืองผิวหนังและดวงตา และระยะยาว เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบตัน หัวใจวาย และเป็นอัมพาต นอกจากนั้นยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดอีกด้วย ผู้คนจึงรับมือกับปัญหาดังกล่าวโดยการใช้เครื่องกรองอากาศทั้งในที่อยู่อาศัยและอาคารสำนักงาน ทำให้เครื่องกรองอากาศมีมูลค่าการตลาดสูงถึง 1,500 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตร้อยละ 15 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยราคาค่าเครื่องที่ค่อนข้างสูง ทำให้เทคโนโลยีนี้ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง อีกทั้งยังมีราคาค่าบำรุงรักษาเครื่องในระยะ 5 ปี สูงกว่าราคาเครื่องอีกหลายเท่าตัว นักวิจัยไทยจึงได้คิดค้น “Innovative Air Cleaner” เครื่องกรองอากาศระบบไฟฟ้าสถิต ที่มีราคาเครื่องและค่าบำรุงรักษาย่อมเยา เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีให้แก่คนไทย โดยผลงานนี้เป็นหนึ่งใน 10 ผลงานวิจัยน่าลงทุนที่มีการนำเสนอบนเวที Investment Pitching ในกิจกรรม NSTDA Investor’s Day 2020 ภายใต้งาน Thailand Tech show 2020 จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ.ดร.พานิช อินต๊ะ หัวหน้าหน่วยวิจัยสนามไฟฟ้าประยุกต์ในงานวิศวกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีล้านนา อธิบายถึงเทคโนโลยีที่พัฒนาร่วมกับคณะว่า “Innovative Air Cleaner” เป็นเครื่องบำบัดอากาศระบบไฟฟ้าสถิต ที่มีการทำงาน 2 ขั้นตอนหลัก คือ การดักจับฝุ่นขนาด PM10 และ PM2.5 ด้วยระบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic ionizer) แล้วจึงฆ่าทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่ลอยอยู่ในอากาศด้วยระบบนอนเทอร์มอลพลาสมา (Non-thermal plasma) ก่อนจะปล่อยอากาศสะอาดคืนสู่ภายนอก โดยเทคโนโลยีนี้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพตามมาตรฐาน ASNI/AHAM AC-1-2002 และ JIS Z 2801:2000 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ประสิทธิภาพของเครื่องนี้เทียบเท่าเครื่องกรองที่มีการจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด คือ สามารถกำจัดฝุ่นออกจากอากาศได้มีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 99 และสามารถกำจัดแบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงกลิ่นได้ ด้วยเทคโนโลยีการกำจัดแบบไฟฟ้าสถิตจึงช่วยลดจำนวนขยะแผ่นกรองที่จะต้องเปลี่ยนเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังสามารถล้างทำความสะอาดได้ง่าย ราคาของเครื่อง Innovative Air Cleaner สำหรับบำบัดอากาศในพื้นที่ 50 ตารางเมตร อยู่ที่ 20,000 บาท และมีค่าบำรุงรักษาในการใช้งาน 5 ปี ประมาณ 500 บาท หรือมีราคาที่ใกล้เคียงกับเครื่องกรองอากาศแบบแผ่นกรอง แต่มีค่าบำรุงรักษาถูกกว่าถึง 100 เท่า และหากเปรียบเทียบกับเครื่องกรองอากาศระบบไฟฟ้าสถิตทั่วไปที่มีราคาสูงถึงประมาณ 50,000 บาท และมีค่าบำรุงรักษาประมาณ 5,000 บาท ก็ยังถือว่ามีราคาค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก” รศ.ดร.พานิช อธิบายเพิ่มเติมถึงการขยายผลงานวิจัยว่า เทคโนโลยีนี้มีการออกแบบให้สามารถขยายขนาดพื้นที่การใช้งาน (Upscale) ได้ง่าย จึงสามารถนำไปใช้งานได้กับพื้นที่ที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบภายในอาคารอย่างภายในที่อยู่อาศัย สถานประกอบการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมถึงโรงพยาบาล และสามารถใช้งานภายนอกอาคารในรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น การทำเป็นหอคอยเพื่อกรองฝุ่นละอองภายในอากาศ “เทคโนโลยี Innovative Air Cleaner ได้มีการเผยแพร่ในวารสารสำคัญและมีการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังได้รับรางวัลผลงานวิจัยระดับดีจากสภาวิจัยแห่งชาติ ปัจจุบันผลงาน Innovative Air Cleaner พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศ ผู้ประกอบการธุรกิจ Clean room รวมถึงเจ้าของสถานประกอบการขนาดใหญ่ลงทุนในด้านการผลิต หากสนใจติดต่อได้ที่ หน่วยวิจัยสนามไฟฟ้าประยุกต์ในงานวิศวรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีและสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา หรือทางอีเมล panich.intra@rmutl.ac.th (รศ.ดร.พานิช อินต๊ะ - นักวิจัย)” Innovative Air Cleaner เทคโนโลยีการบำบัดอากาศระบบไฟฟ้าสถิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ส่งมอบ 4 นวัตกรรม ฆ่าเชื้อ-ป้องกัน-คัดกรองโรค รับมือโควิด-19
For English-version news, please visit : NSTDA and partners present heath innovations to frontline hospitals to fight against COVID-19 13 มกราคม 2564 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย: ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. ได้เร่งพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยชะลอการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง สำหรับการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ สวทช. ได้นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมจำนวน 4 ผลงาน ซึ่งครอบคลุมทั้งในด้านการป้องกัน การลดการแพร่กระจายและฆ่าเชื้อโรค รวมทั้งการตรวจคัดกรองและการตรวจวินิจฉัยโรคเบื้องต้นส่งมอบให้แก่หน่วยงานที่มีความเสี่ยงและมีความต้องการใช้อุปกรณ์ต่างๆ 4 นวัตกรรมที่ส่งมอบไปแล้ว ได้แก่ 1. เครื่องกำจัดเชื้อโรคด้วยวิธีการฉายแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) ใช้ฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาลหรือสถานที่เสี่ยงต่างๆ ช่วยลดการตกค้างของสารเคมี และการใช้น้ำยาพ่นฆ่าเชื้อ ผลงานวิจัยพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. ทั้งนี้มีการส่งมอบเครื่อง Girm Zaber Station จำนวน 6 เครื่อง ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง จำนวน 2 เครื่อง ศูนย์สัตว์ทดลอง คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 1 เครื่อง และจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ในเขตสุขภาพที่ 5 กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 3 เครื่อง (บริษัท บีเอ็มเอฟ อินโนเทค จำกัด ผู้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมสนับสนุนจำนวน 1 เครื่อง) ทั้งนี้ เครื่องกำจัดเชื้อ Girm Zaber Station ทำงานโดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นอยู่ในย่านความถี่ 254 นาโนเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 สามารถกำจัดเชื้อโรคได้ทั้งบนพื้นผิวเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงไวรัสในฝอยละอองในอากาศ สำหรับวิธีการใช้งานต้องใช้ในพื้นที่ปิด (ไม่มีสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช) ใช้เวลากำจัดเชื้อโรคเฉลี่ยจุดละ 5-15 นาที ช่วยลดเวลาทำความสะอาด ลดความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน และลดค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ โดย Girm Zaber Station ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพและวิศวกรรมพันธุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผ่านการทดสอบมาตรฐาน Lighting (มอก. 1955/EN55015) จากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) 2. ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อเบนไซออน (Benzion) สารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากซิงค์ไอออน ที่มาจากการต่อยอดเทคโนโลยีของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ภายใต้โครงการวิจัย “การพัฒนากระบวนการผลิตซิงค์ไอออนสำหรับยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย” โดยร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ซึ่งทีมวิจัยนำแร่ธาตุอาหารเสริมอย่างซิงก์ (Zinc) ที่โดยปกติมีสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้ มาเพิ่มประสิทธิภาพให้ทำงานได้ดีขึ้นด้วยการเติมสารคีเลตและสารเสริมความคงตัว โดย บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีและผลิตได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์เบนไซออน จำนวน 64 แกลลอน ให้แก่ โรงพยาบาลระยอง จำนวน 10 แกลลอน จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ในเขตสุขภาพที่ 5 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จำนวน 50 แกลลอน โรงพยาบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก จำนวน 2 แกลลอน และโรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก จำนวน 2 แกลลอน 3. หน้ากากอนามัยประสิทธิภาพสูงเซฟีพลัส (Safie Plus) วิจัยและพัฒนาโดย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช. ผลิตโดยผู้ผลิตเอกชนที่ได้รับรองมาตรฐานการผลิตตามมาตรฐาน ISO 13485 ในการผลิตหน้ากากอนามัย ปัจจุบัน สวทช. ได้ส่งมอบหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส (Safie Plus) จำนวน 160,000 ชิ้น แก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ในเขตสุขภาพที่ 5 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จำนวน 100,000 ชิ้น โรงพยาบาลแม่ระมาด จังหวัดตาก จำนวน 5,000 ชิ้น โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 10,000 ชิ้น โรงพยาบาลสงขลา และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 25,000 ชิ้น โรงพยาบาลอุ้มผาง จังหวัดตาก จำนวน 5,000 ชิ้น โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี จำนวน 5,000 ชิ้น และโรงพยาบาลระยอง 10,000 ชิ้น “ความพิเศษของหน้ากากอนามัยเซฟีพลัส คือ มีความหนา 4 ชั้น แผ่นชั้นกรองพัฒนาด้วยเทคโนโลยีการเคลือบสารไฮดรอกซีอาปาไทต์และไทเทเนียมบนเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติในการดักจับฝุ่นละอองที่มีอนุภาคขนาดเล็กและจุลินทรีย์ จึงช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 และกำจัดเชื้อจุลินทรีย์ได้ทั้งไวรัสและแบคทีเรียเมื่อถูกแสงแดด เซฟีพลัสผ่านการออกแบบให้มีความกระชับกับใบหน้า หายใจได้สะดวก ไม่อึดอัด ทำให้สวมใส่ได้เป็นเวลานาน ที่สำคัญหน้ากากอนามัยเซฟีพลัสผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรองฝุ่น PM2.5 ได้ 99% ตามมาตรฐาน ASTM F2299 จาก TÜV SÜD ประเทศสิงคโปร์ และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกรองไวรัส (Viral filtration efficiency: VFE) ได้ 99% จาก Nelson Laboratory สหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส H1N1 (Influenza A Virus) โดยมหาวิทยาลัยมหิดล” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ในด้านการตรวจวินิจฉัยโรค สวทช. ได้นำผลงานวิจัยชิ้นที่ 4.เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสำหรับถ่ายทรวงอก BodiiRay S (Digital Chest Radiography) ระบบเอกซเรย์ดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัยระบบสร้างภาพทางการแพทย์ ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ซึ่งสามารถใช้ในการวินิจฉัยอาการปอดอักเสบ และผ่านมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านไฟฟ้าและรังสีแล้ว ส่งมอบและติดตั้งที่โรงพยาบาลสนาม ในการดูแลของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1 เครื่อง เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์นำไปใช้วินิจฉัยและคัดกรองโรคเบื้องต้นบริเวณปอด สำหรับ เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลสำหรับถ่ายทรวงอก ตัวเครื่องประกอบด้วยแหล่งกำเนิดเอกซเรย์ ฉากรับรังสีแบบดิจิทัล ซอฟต์แวร์บริหารจัดการและจัดเก็บภาพถ่ายเอกซเรย์ ซอฟต์แวร์สำหรับตั้งค่าและควบคุมการฉายเอกซเรย์ และซอฟต์แวร์ประมวลผลและแสดงภาพเอกซเรย์แบบดิจิทัล (RadiiView software) ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบจัดเก็บสื่อสารข้อมูลภาพทางการแพทย์ (PACS) ได้ สามารถแสดงผลภาพเอกซเรย์ได้ทันที ทำให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย และสามารถปรับได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สำคัญภาพมีความคมชัดด้วยซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพของ BodiiRay ทำให้แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคได้ดียิ่งขึ้น
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นายกรัฐมนตรีประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ ดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ
For English-version news, please visit : Bio-Circular-Green Economy to be declared a national agenda นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ (13 ม.ค.64) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ครั้งที่ 1/2564 หวังดึงคนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพิ่มรายได้ประเทศ  นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ว่า รัฐบาลมีเป้าหมายพัฒนาให้ประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ขณะที่ประชาชนที่เป็นเกษตรกรอยู่ในภาคการเกษตรมีจำนวนมากกว่า 10 ล้านคน จึงต้องหาวิธีการใหม่ เพื่อใช้พื้นที่เกษตรให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวาระของโลก อาทิ การลดปริมาณขยะ ลดการใช้พลังงานฟอสซิล สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน ภัยพิบัติ การกัดเซาะชายฝั่ง เป็นต้น นายกรัฐมนตรียังชื่นชมแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 โดยเน้นดึงคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจ BCG ใช้จุดเด่นและศักยภาพของประเทศไทยในเรื่องของการเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น โดยจะประกาศให้ BCG เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับนโยบายประเทศไทย 4.0 และจะต้องสำเร็จภายใน 5 ปี ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ รวมถึงให้ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความปลอดภัยในด้านสาธารณสุข และจะนำแผนยุทธศาสตร์ฯ ฉบับนี้เป็นกรอบการทำงานของงบประมาณปี 2565 ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ด้วย ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1: สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพด้วยการจัดสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ยุทธศาสตร์ที่ 2: การพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งด้วยทุนทรัพยากร อัตลักษณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ใช้ศักยภาพของพื้นที่โดยการระเบิดจากภายใน เน้น “ความหลากหลายทางชีวภาพ” และ “ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ยกระดับมูลค่าในห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ยุทธศาสตร์ที่ 3: ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนด้วยความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แบบ “ทำน้อยได้มาก” และยุทธศาสตร์ที่ 4: เสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างภูมิคุ้มกันและความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างเท่าทันเพื่อบรรเทาผลกระทบ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG พ.ศ. 2564-2569 อยู่บนพื้นฐานของ 4 + 1 ประกอบด้วย 4 สาขายุทธศาสตร์ คือ 1.เกษตรและอาหาร 2.สุขภาพและการแพทย์ 3.พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และ 4.การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ 1 ฐานความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นทุนพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศและการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
BCG
 
ข่าว 30 ปี สวทช.
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาโนเทค สวทช. จับมือยูนิซิลต่อยอดนวัตกรรมซิงก์ไอออนสู่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ สู้วิกฤตไวรัส
For English-version news, please visit : Company finds a dual application of NSTDA’s zinc ion ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ รับถ่ายทอดเทคโนโลยี “ซิงค์ไอออน” จากนาโนเทค สวทช. สู่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคจากธรรมชาติ ก่อนขยายสู่สารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากซิงค์ไอออน ตอบความต้องการใช้งานในวิกฤตโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ตั้งเป้าดันแบรนด์ไทยเทียบของนำเข้าในราคาเอื้อมถึง   นายธนากร ตั้งเมธากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เบนไซออน (Benzion) สารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากซิงค์ไอออน กล่าวว่า เป็นการต่อยอดเทคโนโลยีที่รับถ่ายทอดมาจากงานวิจัยของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เนื่องจากบริษัทเองสนใจในกลุ่มแร่ธาตุอาหารเสริมที่สามารถฆ่าเชื้อได้ เพราะในท้องตลาดปัจจุบัน สารฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงจะต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ในราคาที่สูง หรือหากมีแร่ธาตุสูง ก็มีความเป็นพิษสูงตามไปด้วย หรือหากความเป็นพิษต่ำ ประสิทธิภาพก็ไม่สูงเท่าที่ต้องการ หรืออาจไม่ครอบคลุมเชื้อทั้งหมด จนได้ทราบว่า ทางนาโนเทคมีงานวิจัยทางด้านนี้ จึงเข้ามาพูดคุยปรึกษา จนเกิดเป็นโครงการวิจัยข้างต้น ในปี 2561 ดร.วรายุทธ สะโจมแสง นักวิจัยจากทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งเเวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า โครงการวิจัย “การพัฒนากระบวนการผลิตซิงค์ไอออนสำหรับยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย” ซึ่งเป็นโครงการย่อยภายใต้โครงการแผนบูรณาการยุทธศาสตร์เป้าหมาย (Spearhead) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โดยนำแร่ธาตุอาหารเสริมอย่างซิงก์ (Zinc) ที่โดยปกติมีสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้ แต่ประสิทธิภาพนั้นไม่ดีนัก มาเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการเติมสารคีเลตและสารเสริมความคงตัว เช่น พอลิแซคคาร์ไรด์ กรดอะมิโน กรดไขมัน กรดอินทรีย์และสารลดแรงตึงผิว เป็นการเสริมประสิทธิภาพให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว และใช้ได้ในปริมาณที่น้อยลง สู่ผลิตภัณฑ์ทางเลือกทดแทนยาปฏิชีวนะ ทดสอบใช้ในฟาร์มหมูได้ผลดี ที่ยูนิซิล กรุ๊ป รับถ่ายทอดเทคโนโลยีและต่อยอดเชิงพาณิชย์ เปิดตลาดอุตสาหกรรมปศุสัตว์ นวัตกรรมซิงค์ไอออนสามารถแก้ปัญหาเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ อาทิ เชื้อไวรัสอหิวาต์สุกรอัฟริกัน (African swine fever virus, ASFV) และโรคพีอีดี (porcine epidemic diarrhea, PED) ที่นวัตกรรมนี้ตอบโจทย์ โดยสามารถนำไปฆ่าและป้องกันเชื้อไวรัสอหิวาต์สุกรอัฟริกันได้ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวม 74,600 ล้านบาทในปี 2562 หากไม่มีการป้องกันเชื้อดังกล่าว จะทำให้สุกรเสียชีวิตมากกว่า 50% และยังสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อย่างมหาศาล ด้วยจุดแข็งด้านนาโนเทคโนโลยี ทำให้กรรมการผู้จัดการยูนิซิล กรุ๊ป มองว่า ซิงค์ไอออนจากธรรมชาติมีโอกาสทางการตลาดสูง จึงมองเห็นโอกาสที่จะต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มากกว่าแค่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ จึงเริ่มต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ “เบนไซออน (Benzion)” ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจากซิงค์ไอออนร่วมกับสารลดแรงตึงผิวที่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมหรืออีพีเอ (U.S. Environmental Protection Agency: EPA) แนะนำว่า เป็นสารที่สามารถฆ่าเชื้อโคโรนาไวรัสได้และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม “เรามองตลาดนี้ ก่อนที่จะเกิดวิกฤตโรคโควิด-19 (COVID-19) แต่เมื่อการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า เป็นโรคระบาดร้ายแรง เนื่องจากการแพร่ระบาดที่กระจายไปในหลายประเทศทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนโดยยอดติดเชื้อทะลุ 1 ล้านคนทั่วโลก ความต้องการผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคจึงเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เราเร่งมือผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้เกิดได้เร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้” นายธนากรกล่าว เบนไซออน (Benzion) ใช้ไอออนิกเทคโนโลยีและคีเลชันเทคโนโลยี ทำให้มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาด ด้วยประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัสที่อยู่ระดับสูง โดยผลจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ*พบว่า สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ภายใน 1 นาที เทียบเท่าผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศ ในราคาที่เข้าถึงได้ เทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในท้องตลาด ที่ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อระดับกลาง ที่สำคัญคือ ไม่มีกลิ่น และไม่ติดไฟ นอกจากนี้ เบนไซออน ผ่านการทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนัง จากสถาบัน Aisa Dermscan โดยทดสอบกับอาสาสมัคร รวมถึงทดสอบด้าน Toxicology and Bio Evaluation Service Center (TBES) ศูนย์บริการทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา สวทช. พบว่า มีความปลอดภัยไม่ระคายเคือง ขณะที่แอลกอฮอล์ 70% ก่อให้เกิดการระคายเคือง “เรามองกลุ่มเป้าหมาย 2 ส่วนคือ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต้องการใช้ฆ่าเชื้อภายในโรงงาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ อาหาร ลอจิสติกส์ โรงแรม สถานพยาบาล หน่วยงานราชการต่างๆ และภาคประชาชนที่ใช้ในที่พักอาศัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราต้องการให้สามารถเข้าถึงและใช้งานผลิตภัณฑ์นวัตกรรมนี้ได้อย่างแพร่หลายในราคาที่เอื้อมถึง ตอบโจทย์เรื่องของสุขภาพ อนามัย โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50 ล้านบาทภายในปี 2563” กรรมการผู้จัดการยูนิซิล กรุ๊ปย้ำ ทั้งนี้ ความท้าทายหลักคือ ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ใช้องค์ความรู้ สาร หรือเทคโนโลยีใหม่นั้น มีความยากตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาจนถึงการขึ้นทะเบียน การทำตลาด แต่ด้วยความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่ผ่านการทดสอบรับรองมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งจะทำให้สามารถอยู่ได้ในระยะยาว ปัจจุบัน นายธนากรเผยว่า เบนไซออนเป็นผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อเครื่องมือแพทย์ ภายใต้การกำกับดูแลสถานที่ผลิตโดยกองเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.) โดยเป็นผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีสารสกัดจากธรรมชาติที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพสูงและครอบคลุมเชื้อได้อย่างกว้างขวาง สามารถยับยั้งและทำลายเชื้อ เช่น เชื้อก่อโรคอาหารเป็นพิษ Escherichia coli ATCC 10536, Salmonella enterica (choleraesuis) ATCC 10708, Staphylococcus aureus ATCC 6538 และ Pseudomonas aeruginosa PRD 10 ATCC 15442 ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับช่วงเวลานี้ เขามองว่า เป็นช่วงของการสร้างแบรนด์ ที่ต้องแข่งกับแบรนด์ใหม่ ๆ ที่แข่งกันออกมาในช่วงเวลาวิกฤต แต่ประสิทธิภาพจะเป็นตัวกำหนดว่า แบรนด์ไหนจะอยู่รอด ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมจะทำให้เราพลิกตลาด และสร้างช่องทางใหม่ๆ ให้ธุรกิจ ผลทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัส เช่น H1N1, Influenza Virus, Human Immunodeficiency Virus (HIV), Hepatitis B Virus (HBV), Filoviridae (e.g. Ebola, Marburg), Hepatitis C Virus (HCV), Flavivirus, Coronavirus e.g. SARS, MERS และ Covid-19 เป็นต้น บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด ส่งไปทดสอบจากสถาบันที่เชื่อถือได้ เช่น Blutest Laboratory จากประเทศอังกฤษ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ส่งมอบนวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ให้โรงพยาบาลระยอง
วันที่ 5 มกราคม 2564 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ (คนที่ 4 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. มอบนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ป้องกันโควิด-19 ให้กับโรงพยาบาลระยอง อาทิ หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อโรคด้วยแสงยูวีซี (Girm Zaber UV-C Sterilizer) จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งสามารถใช้แสงยูวีซี กำจัดเชื้อโรคในพื้นที่เฉพาะและจุดเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วย ผลิตภัณฑ์เบนไซออน (Benzion) นวัตกรรมจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่ บริษัท ยูนิซิล กรุ๊ป จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงผลิตภัณฑ์ผงชาร์โคลล้างผักและผลไม้ดูดซับสารพิษ (Be Klear) ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในผักและผลไม้ ทั้งนี้ สวทช. หวังให้นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้ช่วยปกป้องและเป็นขวัญกำลังใจให้กับทีมบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาให้ปลอดภัยและห่างไกลโรคโควิด
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
รู้จริงเรื่อง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล “หลักสูตร DATA PROTECTION PDPA & BEYOND”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย (ซอฟต์แวร์พาร์ค) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี ร่วมกับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) บริษัท บูโร เวอริทัส ประเทศไทย จำกัด และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จัดอบรม เดินหน้าธุรกิจอย่างมั่นใจหากเข้าใจ GDPR และ PDPA "หลักสูตร DATA PROTECTION PDPA & BEYOND" คอร์สนี้จะทำให้คุณ -เข้าใจเจตนารมณ์ ของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล บทปรับ บทลงโทษ กระทบกับองค์กรของท่านหรือไม่ -ได้รับความรู้เบื้องต้น พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การประยุกต์กับองค์กร - ทราบมุมมองของผู้มีประสบการณ์ การลงทุน และเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับ PDPA
ปฏิทินกิจกรรม
 
งานวิจัยชุดตรวจโควิดของไทยร่วมแข่งขันระดับโลก มุ่งสู่การขยายผลไปใช้ทั่วโลก
For English-version news, please visit : COVID-19 test from Thailand among finalists in the XPRIZE rapid COVID testing competition ทีมนักวิจัยไทยจากไบโอเทค สวทช. และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมส่งผลงานวิจัยชุดตรวจโควิด-19 แบบเร็ว อ่านผลง่ายและแม่นยำในขั้นตอนเดียว รวมทั้งมีราคาถูก เข้าประกวดโครงการ “Rapid COVID Testing” ของมูลนิธิ XPRIZE (ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรระดับโลก ดำเนินการระดมทุนแบบ Crowd Funding เพื่อแก้ปัญหาระดับโลกในมิติต่างๆ) และเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 63 XPRIZE ได้ประกาศผลการคัดเลือกโดยผลงานของนักวิจัยไทยเป็นหนึ่งใน 20 ผลงานเพื่อทดสอบแข่งขันในรอบสุดท้าย (Finalists) จาก 702 ผลงานที่ส่งเข้าแข่งขันเบื้องต้นจากทั่วโลก ถือเป็นผลงานหนึ่งเดียวจากภูมิภาคเอเซียที่ได้รับคัดเลือก ร่วมกับทีมนักประดิษฐ์จากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี จากนี้ไป ทีมนักวิจัยมีเวลาอีก 2 สัปดาห์ ในการส่งชุดตรวจโควิดที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมด พร้อมกระบวนการ (Protocol) ไปยังห้องปฏิบัติการวิจัยของ XPRIZE 2 แห่ง ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อทดสอบทางคลีนิคและความเป็นไปได้ในการขยายผล โดยจะประกาศผลงานชนะเลิศ จำนวน 5 ผลงานในเดือน ก.พ. 64 ทั้งนี้ แต่ละผลงานจะได้รับรางวัลมูลค่า 5 แสนเหรียญสหรัฐ เพื่อให้นำไปใช้ผลิตและขยายผลชุดตรวจไปทั่วโลก การมีชุดตรวจโควิด-19 ที่ได้ผลแม่นยำ รวดเร็ว และราคาถูก จะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่มนุษยชาติ ทั้งการคัดกรองผู้ป่วย และการช่วยส่งเสริมภาคเศรษฐกิจและสังคมในการใช้ชีวิตแบบ New Normal ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ทีมวิจัยสัตว์ป่า เผยผลศึกษาวิจัยพื้นที่ทุ่งหญ้าศักยภาพพบสัตว์กีบ กระทิง-กวาง-หมูป่า เข้าพื้นที่วิจัยในช่วง 1 ปี 6 เดือนเล็งศึกษาเชิงลึก หวังเพิ่มประชากรเหยื่อเสือโคร่งให้เสือโคร่งเพิ่มจำนวน-ข้ามแนวเชื่อมต่อสัตว์ป่า อช.เขาใหญ่
ทีมวิจัย คณะวนศาสตร์ ม.เกษตร ภายใต้ “โครงการศึกษาคุณภาพถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโครงในผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่” เผยผลการศึกษาความหนาแน่นของสัตว์กีบที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง จากการคัดเลือกพื้นที่ทุ่งหญ้าที่มีศักยภาพ 2 แห่ง บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน ประกอบด้วย ทุ่งหญ้าบริเวณผาเม่น และทุ่งหญ้าบริเวณหน่วยลำมะไฟ พบสัตว์กีบ ทั้งกระทิง กวาง หมูป่า เข้ามาอาศัยในพื้นที่ศึกษาในโครงการตลอดช่วง 1 ปี 6 เดือน หวังใช้เป็นพื้นที่ศักยภาพเพิ่มประชากรเหยื่อเสือโคร่ง ทำให้เสือโคร่งเข้ามาในถิ่นอาศัยและข้ามแนวเชื่อมต่อสัตว์ป่ามายังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในอนาคต   เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 ภายในงานวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2563 ที่จัดโดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ภายใต้แนวคิด “60 ปี การอนุรักษ์สัตว์ป่าไทย” สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2503 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อครั้งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณลงพระนามในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 นับแต่นั้นมาการอนุรักษ์สัตว์ป่าได้ดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ในปีนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 60 ปี กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชน และมูลนิธิ จึงได้จัดกิจกรรมวันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ ประจำปี 2563 ขึ้น เพื่อรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ตระหนักเห็นความสำคัญ และร่วมมือกันอนุรักษ์สัตว์ป่า ณ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ รศ.ดร.ประทีป ด้วงแค หัวหน้าโครงการศึกษาคุณภาพถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโครงในผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดำเนินการโดยได้รับความร่วมมือจาก กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (WCS) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) โดยการสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งทีมวิจัยคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการจัดการพื้นที่เพื่อสร้างระบบติดตามตรวจสอบ และแนวทางปฏิบัติเพื่อการจัดการถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า ให้เป็นพื้นที่นำร่องเพื่อการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า รวมทั้งพืชอาหารของสัตว์ที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง เพื่อให้รู้ถึงโครงสร้างของถิ่นอาศัย สภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรที่จำเป็นต่อสัตว์ป่าโดยเฉพาะพืชอาหาร และเกิดแนวทางในการจัดการเพิ่มคุณภาพของถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าในหลายระดับเชิงพื้นที่ของป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ตลอดจนเป็นข้อมูลให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีข้อมูลทางวิชาการและแนวทางเพื่อใช้ประกอบการจัดการให้เสือโคร่งและสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง สามารถเดินทางข้ามผ่านไปมาระหว่างสองฝากแนวถนน 304 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน รศ.ดร.ประทีป กล่าวว่า การศึกษาวิจัยตลอด 1 ปี 6 เดือนที่ผ่านมา ทีมวิจัยใช้วิธีการดำเนินการเฉพาะในพื้นที่ทุ่งหญ้าเพื่อสร้างระบบติดตามตรวจสอบ ทีมวิจัยมีการศึกษาวิจัยเป็นขั้นตอนตั้งแต่ วางแปลงศึกษาทุ่งหญ้าก่อนชิงเผา และใช้วิธีกล ตั้งกล้องศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่ก่อนการชิงเผา ทำแนวกันไฟก่อนชิงเผา ปฏิบัติการชิงเผาร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อช.) และประชาชน ซึ่งดำเนินการภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่ การจัดการทุ่งหญ้าด้วยวิธีกลหรือการตัดโดยเครื่องมือ และตั้งกล้องศึกษาการใช้ประโยชน์พื้นที่โดยสัตว์ป่า และวางแปลงศึกษาหลังการชิงเผา พร้อมลงพื้นที่เก็บข้อมูลต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน ผลปรากฎว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลา 1 ปี พบว่า ความหนาแน่นของสัตว์กีบหลังการชิงเผาบริเวณทุ่งหญ้าผาเม่น มีความหนาแน่นของกระทิง กวาง และหมูป่า โดยสำรวจภายหลังการเผาเป็น 3 ช่วงเวลาคือ 1 เดือน จำนวน 86 แปลง 6 เดือน จำนวน 33 แปลง และ 12 เดือน จำนวน 120 แปลง รวมทั้งสิ้น 239 แปลง พบว่า จำนวนกระทิงมีความหนาแน่นช่วงหลังการเผา 1 เดือนแรกมากที่สุด และมีแนวโน้มลดลงเมื่อระยะเวลาหลังการเผานานขึ้น ซึ่งแตกต่างจากกวางป่า ที่พบว่าความหนาแน่นในช่วงหลังการเผา 1 เดือน มีค่าต่ำสุด ภายหลังการเผา 6 เดือนมีค่าเพิ่มขึ้นและสูงสุดในแปลงหญ้าหลังการเผาไปแล้ว 12 เดือน จากนั้นทำการสร้างแบบจำลองถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับเสือโคร่ง กระทิง และกวางป่า โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่จากจุดการปรากฏของกระทิง และกวางป่า จากข้อมูลการตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าระหว่างปี 2562-2563 ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจัดทำเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและการจัดการเหยื่อหลักของเสือโคร่ง นอกจากนั้นแล้ว ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ถิ่นอาศัยที่เหมาะสมของเหยื่อหลักเสือโคร่งระหว่างข้อมูลการปรากฏของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช (ข้อมูล ปี 2562-2563) กับปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดนำมาสร้างถิ่นอาศัยที่เหมาะสมของเหยื่อเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพในการฟื้นฟูถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อหลักของเสือโคร่ง โดยพบว่าพื้นที่ที่มีศักยภาพมากที่สุด อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าลำแปรง (ภาพที่3) บริเวณมูลสามง่าม (ภาพที่ 4)  และบริเวณผ่าเม่นในอุทยานแห่งชาติทับลาน (ภาพที่ 5) ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวเป็นงานวิจัยได้ข้อมูลในระยะเริ่มต้น โดยทีมวิจัยกำลังอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่เชิงลึก ทั้งการศึกษาสภาพของดิน และพืชอาหารหลักของสัตว์ป่าที่เป็นเหยื่อของเสือโคร่ง เพื่อจัดทำเป็นแผนที่ดิจิทัล (Digital mapping) ในทุกปัจจัย เพื่อช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงใช้ในการตัดสินใจการจัดการถิ่นอาศัยประชากรสัตว์ป่าในระดับพื้นที่ในระยะยาว ตลอดจนเป็นการช่วยในการวางนโยบายในระดับภูมิภาคอีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. คุมเข้มทำความสะอาดพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ฯ
ภายหลังจาก สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ออกแถลงการณ์ ผ่านเว็บไซต์ www.nstda.or.th และ เพจเฟซบุ๊ก NSTDA-สวทช. เรื่อง กรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่สำนักงาน ฯ จำนวน 1 ราย ซึ่งขณะนี้ได้เข้าพักรักษาตัวตามกระบวนการควบคุมโรค ของกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้วพร้อมทั้งได้ประกาศปิดสำนักงาน ฯ เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 22-24 ธันวาคม 2563 เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อทุกพื้นที่ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย พร้อมให้บริการ มั่นใจ ปลอดภัยไร้โควิด-19
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSPCC) พร้อมให้บริการ โดยได้เพิ่มมาตรการป้องกันและข้อควรปฏิบัติ เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID – 19 สำหรับผู้ที่มาใช้บริการในศูนย์ประขุมฯ เพื่อให้ทุกท่านมีความมั่นใจในการใช้บริการของศูนย์ประชุมฯ (more…)
ข่าวประชาสัมพันธ์