หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เอนก เร่งเครื่อง BCG พลิกฟื้นทุ่งกุลาร้องไห้ด้วย วทน.
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำทัพหน่วยงานในสังกัด อาทิ สวทช. วว. สสน. หน่วยให้ทุน บพท. และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ จับมือกับ กระทรวงมหาดไทยและภาคี หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ 5 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ศรีสะเกษ มหาสารคาม และยโสธร ดำเนินงานมุ่งเป้าหมายการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) โดยใช้กลไกการขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เมื่อเร็วๆ นี้ ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อน “โปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ได้ร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ZOOM MEETING เพื่อมอบนโยบายและแนวคิดการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมี ดร.ณรงค์  ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ นำเสนอโครงการเร่งด่วน หรือ Quick Win project ต่อผู้บริหารจังหวัดและมหาวิทยาลัยในพื้นที่จากทั้ง 5 จังหวัด ประกอบด้วย นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายธัญญวัฒน์ ชาญพินิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม นายชัยวัฒน์ แสงศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และนายอดิเทพ กมลเวชช์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ โดยการประชุมออนไลน์ในแต่ละจังหวัดมีหัวหน้าส่วนราชการ , ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ รวมทั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และจากภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมรับทราบนโยบาย ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ได้มอบนโยบายให้เร่งแก้จนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยมุ่งเป้าการขับเคลื่อนงานให้สำเร็จภายใน 1 – 2 ปี เช่น เน้นการทำเกษตรปลอดภัย เกษตรประณีต เกษตรมูลค่าสูง เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การสร้างแบรนด์ (Branding) ของทุ่งกุลาเปลี่ยนจากความยากจนเป็นรุ่งเรือง สร้างสรรค์ ผลิตสินค้าแบรนด์ทุ่งกุลาให้คนในพื้นที่ทุ่งกุลามีความภูมิใจในการเป็นคนทุ่งกุลา สร้างผู้นำ BCG สร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ทรหด อดทน มุมานะ รู้จักรับและปรับใช้เทคโนโลยี สามารถพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิต สร้างอาชีพและรายได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสวทช. และประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบถึงเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยตั้งเป้าหมายให้ผู้ที่มีรายได้น้อย อย่างน้อยร้อยละ 50 ในพื้นที่ให้มีรายได้ก้าวพ้นเส้นความยากจน (มากกว่า 38,000 บาทต่อคนต่อปี) และยกระดับเกษตรกรต้นแบบอย่างน้อยร้อยละ 10 ของเกษตรกรในพื้นที่ และด้านประสิทธิภาพการผลิต คุณภาพมาตรฐาน ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 10 ตามแนวทางการขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นการใช้ฐานทรัพยากรที่โดดเด่นและหลากหลาย และยังเป็นอัตลักษณ์ในพื้นที่ ยกระดับให้ทุ่งกุลาร้องไห้เป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารไทยที่มีคุณภาพครบวงจร  เน้นการทำเกษตรพรีเมียม เกษตรมูลค่าสูง การผลิตที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกิดของเสียในกระบวนการผลิตน้อยที่สุด หรือเป็น zero waste และสามารถนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ใช้กลไกตลาดนำการผลิต เน้นเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ผสานศิลปะวัฒนธรรมภูมิปัญญาของท้องถิ่น และนวัตกรรม สร้างแบรนด์ทุ่งกุลาร้องไห้ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สำหรับการดำเนินงานในพื้นที่ 5 จังหวัดได้กำหนดคนจนพื้นที่เป้าหมายใน 7 อำเภอ 26 ตำบล และเกษตรกรต้นแบบใน 10 อำเภอ 39 ตำบล นำร่องโครงการเร่งด่วน (Quick win project) เพื่อการยกระดับสินค้าหลักในพื้นที่ อาทิ ข้าว พืชหลังนา โคเนื้อ ประมง ผักอินทรีย์ พืชสมุนไพร และผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นอัตลักษณ์ในพื้นที่ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และมูลค่าเพิ่ม โดยคาดหวังผลลัพธ์ที่จะนำไปสู่การยกระดับรายได้ เกิดอาชีพ การจ้างงานตลอดห่วงโซ่การผลิตในพื้นที่ ลดการเคลื่อนย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ เกิดแบรนด์สินค้าพรีเมียมไปสู่ตลาดสากล เกิดเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรต่างๆ ในพื้นที่ที่สามารถเชื่อมโยงตลาด เกิดผู้ประกอบการใหม่ในพื้นที่ เกิดตลาดกลางในพื้นที่เชื่อมโยงกับตลาดสากล นอกจากนั้นแล้วที่ประชุมได้รายงานให้ทราบถึงการจัดตั้งคณะทำงานในระดับพื้นที่ คือ คณะทำงานขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 5 จังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นประธาน มีหน้าที่จัดทำเป้าหมายและแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนในแต่ละจังหวัด ให้เป็นไปตามแผนและเป้าหมาย ในระดับนโยบาย และการผลักดันให้เกิดความต่อเนื่องของกิจกรรมต่างๆ เพื่อเร่งแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
FoodInnopolis เปิดรับสมัครผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมด้านนวัตกรรมเกษตรอาหารเข้าร่วมโครงการ PADTHAI Social Enterprise #1
PADTHAI Social Enterprise #1 โครงการพัฒนากิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ด้านนวัตกรรมเกษตรอาหาร 📣📣📣 เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (PSUSP) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดรับสมัครผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคมด้านนวัตกรรมเกษตรอาหารที่ต้องการยกระดับกิจการ เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และสร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ   >>สิ่งที่ท่านจะได้รับ ∙ การอบรมและเวิร์คชอปอย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนากิจการเพื่อสังคมด้านนวัตกรรมเกษตรอาหารกว่า 10 ท่าน ∙ การถอดบทเรียนการพัฒนาผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม ∙ โอกาสเข้าถึงแหล่งสนับสนุนด้านทุน ตลาด และการนำเสนอแผนธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ∙ การสนับสนุนผู้ประกอบการกิจการเพื่อสังคม ด้านนวัตกรรมเกษตรอาหาร ด้วยบริการแบบครบวงจร โดย One Stop Service จาก FoodInnopolis และหน่วยงานเครือข่าย ∙ เข้าเป็นผู้ประกอบการในเครือข่ายของ FoodInnopolis และโอกาสในการเข้าร่วมโครงการอื่น ๆ ของ FI Accelerator   >> สมัครเลย หากท่านมีคุณสมบัติดังนี้ ∙ ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอาหารที่มีวิธีการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Social Enterprise ∙ ผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรอาหารที่กำลังปรับรูปแบบธุรกิจ ให้มีกลไกของ Social Enterprise ∙ ผู้ประกอบการและผู้สนใจทั่วไป ที่มีแนวคิดและต้องการสร้างธุรกิจเกษตรอาหารในรูปแบบ Social Enterprise ∙ ผู้ที่อยู่ในระบบนิเวศของการพัฒนาธุรกิจเกษตรอาหารใน รูปแบบ Social Enterprise เช่น ภาคการศึกษา หน่วยงานวิจัยพัฒนา หน่วยงานให้ทุน เป็นต้น   กำหนดการโครงการ ∙ เปิดรับสมัครและสัมภาษณ์เพื่อเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ - 11 กุมภาพันธ์ 2565 ∙ ประกาศผลผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ : 12 กุมภาพันธ์ 2565 ∙ ชำระค่าลงทะเบียนสำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก : 14 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2565 ∙ อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเข้มข้น 5 วัน 5 คืน ณ โรงแรม Kantary Beach จังหวัดพังงา : 7 - 11 มีนาคม 2565 ∙ ศึกษาดูงานกิจการเพื่อสังคมในพื้นที่ภาคใต้ 2 วัน : 12 - 13 มีนาคม 2565   >>ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม* ∙ 1 ท่าน 18,000 บาท ∙ 2 ท่าน 25,000 บาท ∙ มากกว่า 2 ท่าน ติดต่อผู้ดูแลโครงการ * รวมค่าที่พัก 1 ห้อง ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายตลอดการฝึกอบรม * ไม่รวมค่าเดินทาง   สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการตามลิงค์ด้านล่าง https://forms.gle/L6sX6KJCkHkr3owo9   หรือ Facebook Page: Padthai by Food Innopolis   ติดต่อผู้ดูแลโครงการ 091-7135433 (กรองจิตร สมใส)
ปฏิทินกิจกรรม
 
นักวิจัย ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ FIMECS, Inc. ประเทศญี่ปุ่น ใช้เทคโนโลยี PROTAC หวังช่วยพัฒนายาต้านมาลาเรียแบบใหม่ โดยได้รับทุนวิจัยกว่า 27 ล้านบาท จากกองทุน Global Health Innovative Technology Fund (GHIT)
ข้อมูลขององค์กรอนามัยโลกเปิดเผยว่าในปัจจุบันมีผู้ป่วยจากโรคมาลาเรียทั่วโลกมากกว่า 200 ล้านคนต่อปีและมีผู้เสียชีวิตปีละประมาณ 400,000 คน การรักษาโรคมาลาเรียที่ผ่านมาสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้ยาต้านมาลาเรีย แต่ในปัจจุบันปรสิตที่ทำให้เกิดมาลาเรียพัฒนาตนเองจนต้านยารักษาได้สำเร็จ หากไม่มีการคิดค้นเป้าหมายยาและยาชนิดใหม่อย่างเร่งด่วนมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีผู้เสียชีวิตจากทั่วโลกหลายล้านคน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ FIMECS, Inc. ประเทศญี่ปุ่น จัดทำโครงการการค้นหาและประเมินศักยภาพของเอนไซม์ไลเกสชนิด E3 ของเชื้อมาลาเรียเพื่อใช้ในเทคโนโลยีฐาน PROTAC (Identification and Validation of Potential Plasmodium E3 Ligases for PROTAC Platform) เพื่อใช้ในการพัฒนาเป็นยาต้านมาลาเรียชนิดใหม่ได้ในอนาคต ดร.นิติพล ศรีมงคลพิทักษ์ นักวิจัย ทีมวิจัยการออกแบบและวิศวกรรมชีวโมเลกุลขั้นแนวหน้า ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า PROteolysis-TArgeting Chimeras หรือ PROTACs เป็นโมเลกุลยาขนาดเล็กรูปแบบใหม่ที่สามารถย่อยสลายโปรตีนเป้าหมายผ่านกลไก ubiquitin/proteasome ภายในเซลล์ได้ ซึ่งความสามารถในการย่อยสลายโปรตีนนี้ ทำให้ PROTACs มีศักยภาพในการนำมาใช้เพื่อรักษาอาการของโรคได้ การใช้ PROTAC เป็นยานั้นถือเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ในการออกแบบยาที่สามารถมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายยาได้หลากหลาย แม้กระทั่งเป้าหมายเก่าที่เคยใช้เป็นเป้าหมายยามาก่อนก็สามารถใช้วิธีนี้ในการทำได้ กลไกการทำงานของ PROTACs จะเป็นการเชื่อมต่อ E3 ubiquitin ligase เข้ากับโปรตีน E3 ligase สามารถเข้าย่อยสลายโปรตีนเป้าหมายโดยการทำให้โปรตีโซม (proteosome) แตกตัว  ปัจจุบันมีการพัฒนาการใช้ PROTAC ในการพัฒนายาต้านมะเร็งในระดับคลินิก แต่ยังไม่มีการประยุกต์ใช้ PROTAC ในโรคติดเชื้อมาก่อน ดร.นิติพล ให้ข้อมูลต่อไปว่า เชื้อมาลาเรียมีกลไกของ ubiquitin/proteasome เช่นเดียวกับโรคไม่ติดต่อ แต่ในปัจจุบันกลไกนี้ยังไม่มีการศึกษามากนัก ทีมวิจัยจึงประยุกต์ใช้เทคนิคทางเคมีและพันธุศาสตร์ในการค้นหาและตรวจสอบเอนไซม์ E3 ligase และลิแกนด์ของ E3 ligase ที่สามารถย่อยสลายโปรตีนเป้าหมายของเชื้อมาลาเรีย โดยองค์ความรู้ที่ได้จากโครงการนี้จะสามารถเป็นใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนายาต้านมาลาเรียต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้ทางไบโอเทค สวทช. จะดำเนินการร่วมกับ FIMECS, Inc. ประเทศญี่ปุ่น โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจำนวน 27,471,017 บาท (USD 838,587) จาก The Global Health Innovative Technology Fund กองทุน Global Health Innovative Technology Fund (กองทุน GHIT Fund) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่น (กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ) บริษัทยา และบริษัทชุดทดสอบเพื่อการวินิจฉัย 16 แห่ง มูลนิธิ Bill & Melinda Gates, Wellcome Trust และ United Nations Development Program (UNDP) เพื่อสนับสนุนทุนวิจัยแก่การวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการยับยั้งการติดเชื้อ (anti-infective) และเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยสำหรับโรคที่ส่งผลกระทบต่อประเทศกำลังพัฒนา
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 7 ฉบับที่ 10 ประจำเดือนมกราคม 2565
ข่าว อว. ผนึก อก. ยกระดับมาตรฐานการผลิต 'กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร' สู่อุตสาหกรรมสีเขียวตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตรและอาหาร  สวทช. เดินหน้านำ BCG สู่ภูมิภาค “ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ด้วย “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม” อว. เปิดงาน BCG Health Tech Thailand 2021 ‘มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพ’ ดันไทยสู่เป้าหมาย ‘ศูนย์กลางการแพทย์ในอาเซียน’ ในปี 2570 สวทช. มอบใบรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้กับ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ใช้สิทธิยกเว้นภาษีได้ด้วยตนเอง สวทช. จับมือ NIMS ประเทศญี่ปุ่น พัฒนาขดลวดรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจทำจากวัสดุทนทานแบบใหม่ แก้ปัญหาขดลวดเสื่อมสภาพ เนคเทค สวทช. จับมือ ส.อ.ท. พร้อมพันธมิตรเอกชนร่วมยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยแพลตฟอร์มสารสนเทศขั้นสูงพร้อมเปิดตัวศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) พม. สวทช. ร่วมกับ สสส. พัฒนาแพลตฟอร์ม “เจอ แจ้ง แจ่ม แจ๋ว” ช่วยคนพิการ-ผู้สูงอายุ ลดพึ่งพาผู้อื่น พร้อมขยายพื้นที่ จัดการเมืองยั่งยืน Inclusive City สวทช. ร่วมมือพันธมิตรวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์มระบบประจุไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศ สวรส. จับมือ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา “เปล-เต็นท์ความดันลบ” ผลงานการต่อยอดวิจัย สู่นวัตกรรมมาตรฐานสากล พร้อมส่งมอบแก่โรงพยาบาลและสถานพักฟื้นช่วยแยกผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานการณ์ที่ยังคงการระบาด สวทช. ร่วมกับ 3 หน่วยงาน ผนึกกำลังพัฒนาทักษะวิชาชีพ พัฒนากำลังคนด้าน ICT/Digital ของประเทศ เอ็มเทค สวทช. - บ.ธนัทธร เปิดตัว ‘กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ ขานรับภาคอุตสาหกรรม ผสมยางพารา 30 % ‘ทนทาน-ไม่แตกหักง่าย-ลดการใช้พลาสติก’ โรงพยาบาลสนามบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรเพื่อคนพิการ รับมอบโล่เชิดชูเกียรติหน่วยงานสนับสนุนบริการถ่ายทอดการสื่อสารดีเด่น สวทช. เปิดเวทีเสริมแกร่งผู้ประกอบการอาหาร ร่วมแบ่งปันแนวคิดพัฒนาธุรกิจยุค Covid-19 ในงาน Next step networking & sharing Food Accelerate 2021 มูลนิธิโครงการหลวง - สวทช. ลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนงานวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยี พัฒนาคน ยกระดับอาชีพและคุณภาพชีวิตชุมชนบนพื้นที่สูง สวทช. มอบรางวัลสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในประเทศ ประจำปี 2564 พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมแข่งขันในเวทีนานาชาติ ‘ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ’ จากนาโนเทค สวทช. นวัตกรรมยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม สวทช. ออมสิน จับมือพันธมิตร Kick off โครงการ “สร้างงาน สร้างอาชีพ" ภายใต้แนวคิด 4 ให้   บทความ นวัตกรรม Smart City จบปัญหาเมืองในแพลตฟอร์มเดียว    Download เอกสารฉบับเต็ม (18MB)
จดหมายข่าว สวทช.
 
XJTU ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi’an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi'an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 9 สาขาวิชาคือ (1) Mechanical Engineering (2) Power Engineering and Engineering Thermophysics (3) Electronic Science and Technology (4) Information and Communication Engineering (5) Control Science and Engineering (6) Computer Science and Technology (7) Materials Science and Engineering (8) Electrical Engineering และ (9) Management Science and Engineering โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2565 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/xjtu/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
UCD ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ประจำปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2565(ค.ศ. 2022) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 2 สาขาวิชาคือ (1) College of Engineering and Architecture และ (2) College of Science โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2565 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/ucd/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
SUTD ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์(Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 3 ทุน ใน 4 สาขาวิชาคือ (1) Engineering Product Development (EPD) (2) Engineering Systems and Design (ESD) (3) Information Systems Technology and Design (ISTD) และ (4) Science, Mathematics and Technology (SMT) โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2565 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/sutd/  สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
NTU ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University: NTU)  สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University: NTU) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2565 (ค.ศ. 2022) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 7 สาขาวิชาคือ ใน 7 สาขา ได้แก่ (1) Mechanical & Aerospace Engineering (2) Materials Science & Engineering (3) Biomechanics (4) Human Factors (5) Rehabilitation Engineering (6) Artificial Intelligence & Machine Learning และ (7) Robotics โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 18 กุมภาพันธ์ 2565 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/ntu/  สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
กระทรวง อว. สวทช. ผนึก 21 พันธมิตรด้านวิเคราะห์ทดสอบชั้นนำของไทย เตรียมความพร้อมก้าวสู่ “ฮับด้านศูนย์ทดสอบ” (Testing Hub) มาตรฐานระดับอาเซียน
วันที่ 21 มกราคม 2565 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSP-CC) สวทช. จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSEN) ครั้งที่ 2  เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ ผ่านเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (TSEN) รวม 21 หน่วยงาน โดยมี ผศ.ดร.สยาม ภพลือชัย ประธาน TSEN ผู้อำนวยการศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผศ. ดร.ภูวดล บางรักษ์ รองประธาน TSEN ผู้อำนวยการศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ เลขานุการ TSEN ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ สวทช. (NCTC) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากทั้ง 21 หน่วยงานร่วมพิธีลงนามในครั้งนี้ รวมถึงการแสดงนิทรรศการโชว์ศักยภาพเครื่องมือทดสอบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) ในฐานะเลขานุการ TSEN กล่าวถึง ผลการดำเนินการของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานใน TSEN 5 ปี ที่ผ่านมา ในระยะแรก 17 หน่วยงาน เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่ "ฮับด้านศูนย์ทดสอบ” (Testing Hub) ที่มีมาตรฐานระดับอาเซียน โดยการทำงานในรูปแบบเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือ TSEN ซึ่งมีวัตถุประสงค์ความร่วมมือเพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ของศูนย์เครื่องมือภายในประเทศรอบด้าน อันได้แก่ การบริหารจัดการ การดำเนินการวิเคราะห์ทดสอบ สอบเทียบและบริการวิชาการ การพัฒนามาตรฐานห้องปฏิบัติการ การสร้างฐานข้อมูลเครื่องมือวิทยาศาสตร์ การซ่อมบำรุงรักษาเครื่องมือวิทยาศาสตร์ การพัฒนาบุคลากร การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา สร้างความเชื่อมโยงทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของเครื่องมือและการบริหารจัดการทรัพยากรร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการดำเนินงาน ได้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการพัฒนา 6 ด้าน ได้แก่ (1) กลุ่มวิจัยเชิงพาณิชย์ (2) กลุ่มพัฒนามาตรฐานห้องปฏิบัติการ และวิธีวิเคราะห์ (3) กลุ่มบริหารจัดการความรู้การจัดหาครุภัณฑ์ (4) กลุ่มฐานข้อมูลทางด้านความสามารถของห้องปฏิบัติการ (5) กลุ่มซ่อมบำรุงรักษาเครื่องมือวิทยาศาสตร์และกลุ่มส่งเสริมกิจกรรมเครือข่ายและพัฒนาบุคลากร และ (6) กลุ่มความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการ รวมถึงมีการจัดทำฐานข้อมูลที่สำคัญทางด้านเครื่องมือวิทยาศาสตร์ร่วมกันของหน่วยงานเครือข่าย TSEN ที่เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ สามารถเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ผ่าน www.tsen.in.th นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสให้สมาชิกของเครือข่ายศูนย์เครื่องมือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ภายในประเทศได้พบปะและแลกเปลี่ยนความรู้ สนับสนุนการยกระดับมาตรฐานของห้องปฏิบัติการด้านการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนได้รับทราบความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมของเครื่องมือวิจัยขั้นสูง รวมถึงการให้คำปรึกษารายละเอียดการใช้เครื่องมือวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการวิเคราะห์ทดสอบภายในประเทศ ผอ. ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามครั้งนี้เป็นความร่วมมือกับ 21พันธมิตรทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย (1) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2) มหาวิทยาลัยขอนแก่น (3) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (4) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (5) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (6) มหาวิทยาลัยทักษิณ  (7) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (8) มหาวิทยาลัยนเรศวร (9) มหาวิทยาลัยบูรพา (10) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (11) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (12) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (13) มหาวิทยาลัยมหิดล (14) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (15) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (16) มหาวิทยาลัยศิลปากร (17) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (18) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (19) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (20) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ (21) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดย ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) จากความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการดำเนินงานแบบศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Service ในด้านการบริการวิเคราะห์ทดสอบร่วมกันกับหน่วยงานศูนย์เครื่องวิทยาศาสตร์ทุกภูมิภาคของประเทศ จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยแข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองบนเวทีเศรษฐกิจระดับโลก ตลอดจนสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยการการวิเคราะห์ทดสอบที่มีมาตรฐาน ผ่านห้องปฏิบัติการและศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ภายในประเทศที่ได้รับการยอมรับทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ ทำให้ศักยภาพการวิเคราะห์ทดสอบในประเทศเทียบเท่ามาตรฐานสากล เพื่อรองรับการขยายเป็น Testing Hub ระดับอาเซียนในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. แจงเหตุชะลอการรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพฯ ปี 2565 เพื่อคัดเลือกรับทุนในปีการศึกษา 2566
สวทช. แจงเหตุชะลอการรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพฯ ปี 2565 เพื่อคัดเลือกรับทุนในปีการศึกษา 2566 . ตามที่ได้มีการลงประกาศไม่เปิดรับสมัครโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน Junior Science Talent Project (JSTP) รุ่นที่ 25 ทาง Facebook ของโครงการ JSTP นั้น สวทช. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ผู้ที่จะรับทุน JSTP (ระยะยาว) สำหรับปีการศึกษา 2565 ได้ดำเนินการคัดเลือกเสร็จสิ้นแล้ว มีผู้ได้รับคัดเลือกจำนวนทั้งสิ้น 10 คน โดยจะเริ่มรับทุน JSTP ในปีการศึกษา 2565 ส่วนที่ประกาศว่าไม่เปิดรับสมัครเป็นเพียงการชะลอกิจกรรมการเข้าค่าย (เรียกว่าค่าย JSTP ระยะสั้น) เพื่อค้นหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมรับทุน JSTP (ระยะยาว) ในปีการศึกษา 2566 เนื่องจากสถานการณ์งบประมาณ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สวทช. จึงพิจารณาทบทวนแนวทางในการดำเนินการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันในการรับสมัครคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมรับทุน JSTP รุ่นที่ 25 ที่จะเริ่มรับทุนในปีการศึกษา 2566 ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป . สวทช. ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจในกิจกรรมการพัฒนาเยาวชนผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทช. ยังคงยึดมั่นในภารกิจส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของเยาวชนไทยที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ ประกาศ ณ วันที่ 20 มกราคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Traffy Fondue นวัตกรรม Smart City จบปัญหาเมืองในแพลตฟอร์มเดียว
  ตอนนี้ไม่ว่าเมืองไหนในโลกต่างก็ตั้งเป้าสู่การเป็น ‘Smart City’ เมืองที่ผ่านการพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน แต่เมื่อหันกลับมามองประเทศไทยในช่วงเวลานี้ การจะก้าวสู่ Smart City คงไม่ใช่เรื่องง่าย หากการแจ้งความต้องการหรือปัญหาเกี่ยวกับเมืองให้ผู้ดูแลรับผิดชอบยังทำได้ยาก เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่าย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักถึงความลำบากของประชาชนในการแจ้งความต้องการหรือปัญหาไปยังหน่วยงานผู้ดูแลพื้นที่ต่างๆ และเข้าใจถึงอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการสำรวจปัญหาเมือง จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับแจ้งปัญหา พร้อมทั้งส่งตรงถึง ‘หน่วยงานผู้รับผิดชอบ’ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาได้รวดเร็ว ปัญหาไม่ลุกลาม ตรงตามความต้องการของประชาชน ที่สำคัญตรวจสอบได้   ประชาชนแจ้งปัญหาเมืองได้ง่ายผ่านสมาร์ตโฟน สภาพปัญหาเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทั้งถนนชำรุด ไฟฟ้าไม่ส่องสว่าง ทางเท้าไม่สะอาด ฝาท่อน้ำถูกเปิดทิ้งไว้ โรงงานส่งกลิ่นเหม็น ฯลฯ แจ้งปัญหาที่พบเพื่อร่วมกันพัฒนาเมืองได้ง่ายๆ ผ่าน Traffy Fondue ไม่ต้องมีเบอร์หน่วยงาน ไม่ต้องเสียเวลา ค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทาง   [caption id="attachment_29528" align="aligncenter" width="500"] ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม   เนคเทค สวทช[/caption]   ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางระหว่างประชาชนกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ ทำหน้าที่รับแจ้งปัญหา (Ticketing system) ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ซึ่งมีระบบแชตบอต (Chatbot) หรือระบบตอบอัตโนมัติในการสอบถามรายละเอียดของปัญหาและข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น อาทิ ตำแหน่งที่ตั้งและภาพถ่ายของปัญหา จากนั้น AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ปัญหานั้นๆ แล้วจัดส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแบบเรียลไทม์ โดยผู้ดูแลรับผิดชอบปัญหาสามารถส่งรายงานความคืบหน้าการแก้ไขให้ประชาชนรับทราบผ่านระบบด้วยเช่นกัน     “สำหรับปัญหาเมืองที่ประชาชนสามารถแจ้งผ่าน Traffy Fondue มี 16 ด้านหลัก คือ ไฟฟ้า/แสงสว่าง ประปา จราจร/รถยนต์ ถนน ทางเท้า ระบบสื่อสาร กลิ่น เสียง ความสะอาด ความปลอดภัย ต้นไม้สาธารณะ อาคารชำรุด วัสดุชำรุด ห้องประชุม ระบบปรับอากาศ และสัตว์ ซึ่งหากจุดที่เกิดเหตุยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบลงทะเบียนไว้ในแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ระบบจะดำเนินการแจ้งให้ผู้แจ้งเหตุรับทราบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้แจ้งดำเนินการแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการใช้ Traffy Fondue อย่างแพร่หลายแล้วในหลายพื้นที่ของหลายจังหวัด เช่น ในจังหวัดอุบลราชธานี ปทุมธานี และชลบุรี" Traffy Fondue ใช้งานง่าย ไม่มีมีค่าใช้จ่าย และไม่ต้องเปิดเผยตัวตน เพียงประชาชนเข้าแอปพลิเคชันไลน์ แล้วเพิ่มเพื่อน ID @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw ก็จะสามารถพิมพ์แจ้งปัญหาได้ทันทีที่หน้าแชต เช่น พิมพ์แจ้งว่า ‘พบปัญหาถนนชำรุด’ หรือ ‘ได้กลิ่นสารเคมี’ เป็นต้น ระบบจะสอบถามรายละเอียดที่จำเป็นเพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ หลังจากแจ้งปัญหาแล้ว ผู้แจ้งสามารถติดตามการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่ได้ผ่านหน้าแชตเดิม รวมถึงประเมินความพึงพอใจในการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย     ดร.วสันต์ อธิบายว่าหน่วยงานผู้ดูแลรับผิดชอบอาคารสถานที่หรือเมืองทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถใช้บริการระบบ Traffy Fondue เพื่อรับแจ้งปัญหาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงเพิ่มเพื่อน ID @fonduemanager แล้วดำเนินการสร้างพื้นที่ที่ดูแลและกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงาน ก็จะสามารถเริ่มดำเนินการรับแจ้งปัญหาได้ทันที โดยในส่วนของเทศบาลและ อบต. ล่าสุดทีมผู้พัฒนาระบบได้จัดเตรียมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานให้แก่ภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถขออนุมัติผ่านทางไลน์เพื่อเข้าใช้งานได้โดยไม่ต้องดำเนินการสร้างขอบเขตพื้นที่ที่ดูแล “หลังจากลงทะเบียนเป็นผู้ดูแลแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบการรับแจ้งปัญหาจากประชาชน และ รายงานสถานะพร้อมรายละเอียดในการแก้ไขปัญหาแต่ละขั้นตอนเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ระบบจะดำเนินการส่งข้อมูลให้ผู้แจ้งปัญหาได้รับทราบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้แจ้งสามารถติดตามการแก้ไขและประเมินความพึงพอใจในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ได้ ทั้งนี้ Traffy Fondue ยังมีระบบ Dashboard ให้เจ้าหน้าที่ ผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศ ใช้ตรวจสอบภาพรวมปัญหาที่ได้รับแจ้ง สถานะการดำเนินงานแก้ไขปัญหา ความรวดเร็วในการทำงาน รวมถึงความพึงพอใจจากผู้แจ้ง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสรุปผลการดำเนินงาน เปิดเผยความโปร่งใสในการทำงาน รวมถึงใช้ในการบริหารงานทั้งระดับหน่วยงานและระดับภาพรวมประเทศ” ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ใช้ระบบ Traffy Fondue ในการรับแจ้งปัญหาแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดเนคเทคได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำหรับขยายผลการใช้งานระบบ Traffy Fondue ไปสู่เทศบาลและ อบต. ทั่วประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า เพื่อหนุนเสริมการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Smart City     ดร.วสันต์เสริมว่านอกจากการให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ ‘ความยั่งยืนของแพลตฟอร์ม’ จึงได้มีการออกแบบให้ระบบ Traffy Fondue จัดเก็บข้อมูลและประมวลผลการทำงานผ่านระบบคลาวด์ ทำให้สามารถขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล รวมถึงพัฒนาความฉลาดให้กับระบบประมวลผลได้อยู่เสมอ ระบบจึงมีความพร้อมในการให้บริการในระยะยาว  ด้วยจุดแข็งทั้งหมดนี้ทำให้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เป็นผลงานที่ได้รับรางวัลระดับชาติมาแล้วหลายรางวัล อาทิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานภาครัฐ จากเวที “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติปี 2564” และรางวัลผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ปี 2565 ระดับดี จากเวที “Prime Minister’s TRIUP Award for Research Utilization with High Impact 2022”    Traffy Fondue รองรับความต้องการของเมืองที่หลากหลาย แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไม่ได้มีดีแค่การรับแจ้งปัญหาหลักของเมืองที่ครอบคลุมถึง 16 ด้าน แต่ด้วยการออกแบบระบบให้มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ Traffy Fondue ให้สอดคล้องกับสถานการณ์หรือความต้องการของผู้รับแจ้งได้อีกด้วย ดร.วสันต์ ยกตัวอย่างสำคัญในการปรับระบบ Traffy Fondue ให้สามารถรับแจ้งปัญหาเร่งด่วนของประเทศได้ เช่น ในปี 2563 ช่วงเริ่มต้นการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย กระทรวงมหาดไทยได้ใช้บริการระบบ Traffy Fondue ในการเปิดให้บริการรับแจ้งความเสี่ยงในการติดโควิด-19 แจ้งขอความช่วยเหลือให้ผู้ป่วยที่ติดโรค แจ้งเรียกรถพยาบาล แจ้งส่งต่อผู้ป่วย แจ้งจองคิวการตรวจโรค รวมถึงแจ้งเบาะแสให้ตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการติดหรือแพร่กระจายโรค     “นอกจากการเพิ่มฟังก์ชันเฉพาะกิจเพื่อรับแจ้งเหตุด่วนแล้ว ทีมวิจัยยังเปิดให้บริการวิจัยและออกแบบแพลตฟอร์มเพื่อรับแจ้งปัญหาเฉพาะทางของแต่ละหน่วยงาน ตัวอย่างการให้บริการที่ผ่านมา เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อใช้ในการรับแจ้งและบริหารจัดการเหตุสาธารณภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผ่านไลน์ ID @1784DDPM โดยประชาชนสามารถแจ้งภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งภัยแล้ง วาตภัย ภัยหนาว ไฟป่า อัคคีภัย แผ่นดินไหว ดิน/โคลนถล่ม อาคารถล่ม/ทรุด ภัยจากการก่อความไม่สงบ/วินาศภัย ภัยทางถนน ฯลฯ อีกตัวอย่างที่สำคัญคือการใช้เป็นแพลตฟอร์มรับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนของรัฐบาล ซึ่งประชาชนสามารถทั้งร้องทุกข์ เสนอข้อคิดเห็น และติชมการทำงานได้ผ่านไลน์ ID @psc1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน” แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เกิดขึ้นจากการผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยีหลัก คือ  Geographical Information System (GIS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บรายละเอียดข้อมูล ตำแหน่งของสถานที่ รวมถึงรูปภาพของสถานที่ และเทคโนโลยี AI ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล Big Data ออกมาเป็นข้อมูลที่พร้อมใช้งาน รวมถึงการมีจุดแข็งที่การมีแพลตฟอร์มให้ประชาชนทั่วไปใช้งานได้ง่าย ทำให้สามารถประยุกต์ใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อส่งเสริมการเป็น Smart City ในด้านอื่นๆ ให้กับประเทศได้อีกหลากหลาย ดร.วสันต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ล่าสุดในปีที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปปรับใช้กับการพัฒนายกระดับ Smart City ในด้านสุขภาวะของคนพิการและผู้สูงวัย โดยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการทำแพลตฟอร์ม ‘เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย’ เพื่อใช้ขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีความต้องการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก และผู้ป่วย ประชาชนสามารถช่วยกันระบุรายละเอียดที่สำคัญ เช่น ประเภทของสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ที่จอดรถ ห้องน้ำ และทางลาด ฯลฯ จำนวนและตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงช่วยกันประเมินว่าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นได้มาตรฐานหรือไม่ และควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร โดยฐานข้อมูลนี้จะนำไปสู่การพัฒนายกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ที่มีความต้องการใช้งานเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวกได้ง่ายและรวดเร็วต่อไปในอนาคต รวมถึงเป็นการช่วยสนับสนุนการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ปัจจุบันการทำงานของแพลตฟอร์มนี้อยู่ในระยะที่ 1 คือการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวก เจ้าของอาคารสถานที่หรือผู้ที่พบเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกสามารถร่วมขึ้นทะเบียนได้ที่ไลน์ ID @jaideecity ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย ดร.วสันต์ ทิ้งท้ายว่า เนคเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในรูปแบบเฉพาะที่หน่วยงานต้องการ ติดต่อขอรับบริการได้ที่ไลน์ ID @fonduehelp หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Traffy Fondue ได้ที่ www.traffy.in.th คำว่า ‘Smart City’ จะไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเมืองไทยอีกต่อไป ร่วมกันยกระดับ ‘หน่วยงาน’ ของคุณให้ ‘สมาร์ต’ จัดการปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์ม Traffy Fondue และคุณก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเมืองให้น่าอยู่ขึ้นได้ง่ายๆ เพียงหยิบมือถือมาแอดไลน์ @traffyfondue แล้วบอกเราว่าคุณเจอปัญหาเมืองที่ตรงไหน   เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นาโนเทค สวทช. จับมือ GPSC นำสารเคลือบนาโนสูตรพิเศษสำหรับพื้นผิวเซลล์แสงอาทิตย์หนุนเกิดศูนย์เรียนรู้ระบบพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ของ วษท.สระแก้ว
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC นำนวัตกรรมสารเคลือบนาโนสูตรพิเศษสำหรับพื้นผิวเซลล์แสงอาทิตย์ ช่วยลดการจับเกาะของฝุ่น เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ ทนทานต่อสภาพอากาศในเมืองไทย ลดภาระในการทำความสะอาดและบำรุงรักษา ร่วมในโครงการ Light for a Better Life ที่ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารแผนกวิชาช่างกลเกษตร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว จ.สระแก้ว เพื่อขับเคลื่อนพัฒนาสู่ศูนย์เรียนรู้ระบบพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ของวิทยาลัยฯ ต่อไป ดร.ธันยกร เมืองนาโพธิ์ นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยฯ ทำการพัฒนาสารเคลือบนาโนสูตรพิเศษสำหรับพื้นผิวหลากหลายประเภท เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้กับพื้นผิวตามความต้องการ โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งในอุตสาหกรรมผลิตพลังงาน อุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง พลาสติก กระดาษ รวมถึงพื้นผิวอื่นๆ เพื่อเพิ่มสมบัติพิเศษให้กับวัสดุได้ตามต้องการ “สำหรับสารเคลือบนาโนสูตรพิเศษสำหรับพื้นผิวเซลล์แสงอาทิตย์นี้ เป็นสูตรสารเคลือบที่พัฒนาขึ้นจากการสังเคราะห์อนุภาคนาโน และออกแบบให้อนุภาคมีการจัดเรียงตัวตามแบบที่กำหนดอย่างเป็นระเบียบ ยึดเกาะพื้นผิวได้ดี โดยทีมวิจัยได้ทำการเปลี่ยนหมู่ฟังก์ชั่นของอนุภาคนาโนให้มีสมบัติเฉพาะ ได้แก่ การกันฝุ่น สะท้อนน้ำ และยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ โดยสารเคลือบนาโนสูตรสำหรับเซลล์แสงอาทิตย์นี้ ทีมวิจัยได้พัฒนาสารเคลือบให้อยู่ในรูปแบบสารละลาย ใช้งานได้ง่าย สามารถทำการเคลือบได้ทั้งก่อนติดตั้ง หรือว่าหลังติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์” ดร.ธันยกรอธิบาย นักวิจัยนาโนเทคได้พัฒนาสารเคลือบนาโนจากอนุภาคซิลิกา ที่มีความโปร่งใส ยึดเกาะบนพื้นผิวเซลล์แสงอาทิตย์ได้ดี และลดการจับเกาะของฝุ่นอันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าลดลง ทนทานต่อสภาพอากาศในเมืองไทย ช่วยลดภาระในการทำความสะอาดและบำรุงรักษา นอกจากนี้สารเคลือบนาโนสำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์เซลล์แสงอาทิตย์ ผู้ที่ทำการเคลือบ และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมนี้ สามารถต่อยอดใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้หลากหลาย อาทิ อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง หรือกลุ่มธุรกิจบริการซ่อมบำรุงอาคารสถานที่ เพื่อคงสภาพคอนกรีตหรือสีทาภายนอกอาคาร ให้ใหม่อยู่เสมอ, อุตสาหกรรมการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัสดุโลหะ เพื่อเคลือบป้องกันสนิม, อุตสาหกรรมเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันฝุ่น ช่วยรักษาสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์ หรืออุตสาหกรรมสิ่งทอหนังและพลาสติก เพื่อเพิ่มสมบัติการสะท้อนน้ำและสิ่งสกปรก กันฝุ่น หรือยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ เป็นต้น ล่าสุด ได้มีความร่วมมือกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ภายใต้โครงการ Light for a Better Life ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 30 กิโลวัตต์ บนหลังคาอาคารแผนกวิชาช่างกลเกษตร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้ว จ.สระแก้ว โดย ดร.ธันยกร และทีมวิจัยนวัตกรรมเคลือบนาโน ลงพื้นที่ร่วมกับคุณณรงค์ชัย วิสูตรชัย ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสรัฐกิจสัมพันธ์และกิจการสาธารณะ จาก GPSC เพื่อนำนวัตกรรมเคลือบนาโนฯ ดังกล่าวไปเคลือบเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้ง โดยมีคุณเกียรติสยาม ลิ้มตระกูล ผู้อำนวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วร่วมต้อนรับ ซึ่งโครงการ Light for a Better Life ของ GPSC นี้จะสนับสนุนให้พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ระบบพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ของวิทยาลัยฯ ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้า และต่อยอดกิจกรรมด้านการเกษตรสร้างรายได้สำหรับนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และสร้างประโยชน์ในด้านอื่นๆ ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์