ผลการค้นหา :
ระบุตัวเสือโคร่งในกรงเลี้ยงด้วยรหัสพันธุกรรม
ย่างเข้าสู่ปีขาล ยิ่งต้องขานรับการอนุรักษ์ “เสือ” เมื่อนับวันสัตว์ป่านักล่าต่างตกเป็นเหยื่อของการลักลอบค้าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย และมีจำนวนลดน้อยลงทุกที กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ใช้เทคนิคการค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลที่บ่งบอก “รหัสพันธุกรรมเพื่อระบุตัวเสือโคร่ง (DNA fingerprint)” เพื่อจัดทำฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมเสือโคร่งในกรงเลี้ยงกว่า 2,400 ตัวทั่วประเทศ ป้องกันการสวมทะเบียนเสือโคร่งในป่าธรรมชาติ ลดปัญหาอาชญากรรมเสือโคร่งในประเทศไทย
ดร.กณิตา อุ่ยถาวร กลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ปัจจุบันประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติของประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 200-250 ตัว เท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ขนาดใหญ่บางแห่ง ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้นำระบบลาดตระเวนเชิงคุณภาพมาใช้ภายในพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อติดตามสร้างระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ส่วนในพื้นที่สวนสัตว์สาธารณะพบว่ามีเสือโคร่งที่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองได้อย่างถูกกฎหมายมากถึง 1,200 ตัว แต่ยังไม่มีระบบฐานข้อมูลที่ได้มาตรฐานรองรับสำหรับติดตามและให้ความคุ้มครองเท่าที่ควร ทำให้เมื่อพบการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย บ่อยครั้งไม่สามารถจำแนกแหล่งที่มาได้ชัดเจนว่ามาจากประเทศใดหรือแหล่งใด
[caption id="attachment_29672" align="aligncenter" width="700"] เสือโคร่ง[/caption]
“ที่ผ่านมา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดทำฐานข้อมูลเสือโคร่งในกรงเลี้ยงโดยการใช้ภาพถ่ายเพื่อเปรียบเทียบลายเสือโคร่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยใช้โปรแกรม Extract Compare ช่วยในการวิเคราะห์จำแนกเสือรายตัวได้อย่างถูกต้อง หากแต่ว่าวิธีนี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถติดตามลูกเสือโคร่งแรกเกิดได้ ดังนั้นการจัดทำฐานข้อมูลพันธุกรรมร่วมด้วย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การจัดทำฐานข้อมูลของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงมีความรัดกุมหนักแน่นมากขึ้น ซึ่งเป็นที่มาความร่วมมือกับศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. ในการจัดทำโครงการการใช้เทคโนโลยีดีเอ็นเอเพื่อตรวจพิสูจน์พันธุกรรมของเสือโคร่งในเชิงนิติวิทยาศาสตร์”
[caption id="attachment_29671" align="aligncenter" width="700"] ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช.[/caption]
ดร.วิรัลดา ภูตะคาม นักวิจัยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สวทช. กล่าวถึงการดำเนินงานในการตรวจพันธุกรรมเพื่อระบุตัวเสือโคร่งว่า ทางกลุ่มงานวิจัยสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า เป็นผู้เก็บตัวอย่างเลือดของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงกว่า 2,400 ตัวทั่วประเทศ และสกัดดีเอ็นส่งมาให้ทางศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ สำหรับใช้จำแนกเสือ รวมทั้งยังทำการศึกษาเปรียบเทียบฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมของเสือโคร่ง ซึ่งปัจจุบันมีสายพันธุ์ย่อยทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ได้แก่ เสือโคร่งไซบีเรีย เสือโคร่งเบงกอล เสือโคร่งอินโดไชนิส เสือโคร่งสุมาตรา เสือโคร่งจีนใต้ และเสือโคร่งมลายู เพื่อเลือกเครื่องหมายโมเลกุล (molecular marker) ที่สามารถแยกความเป็นเอกลักษณ์ระหว่างเสือโคร่งแต่ละสายพันธุ์ได้
“ทีมวิจัยนำเครื่องหมายโมเลกุลที่ถูกคัดเลือกมาออกแบบสังเคราะห์ตัวตรวจจับ (probe) ซึ่งมีลักษณะเป็นดีเอ็นเอสายสั้นๆ ที่มีความจำเพาะต่อโมเลกุลเป้าหมาย จากนั้นนำไปใช้ในการตรวจหาเครื่องหมายโมเลกุลจากตัวอย่างเลือดของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงแต่ละตัว ด้วยเครื่อง SNP Genotyping MassArray เทคโนโลยีที่ใช้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสารพันธุกรรมด้วยเทคนิคการวัดน้ำหนักมวล เนื่องจากในสายพันธุกรรมจะประกอบด้วยลำดับเบส 4 ตัว คือ Adenine, Cytosine, Guanine และ Thymine (A, C, G และ T) ซึ่งแต่ละตัวมีน้ำหนักมวลโมเลกุลไม่เท่ากัน จึงทำให้วิเคราะห์โมเลกุลของดีเอ็นเอที่ตรวจจับได้อย่างละเอียดและรวดเร็ว สามารถค้นพบลำดับเบสในดีเอ็นเอ หรือ “รหัสพันธุกรรมเพื่อใช้ระบุตัวเสือโคร่ง (DNA fingerprint)” ได้อย่างจำเพาะเจาะจง ไม่ต่างจากการตรวจลายนิ้วมือเพื่อพิสูจน์ตัวบุคคล”
ความร่วมมือในการใช้เทคโนโลยีค้นหาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อระบุตัวเสือโคร่งในกรงเลี้ยงครั้งนี้ นับเป็นการบูรณาการการทำงานครั้งสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลพันธุกรรม เพื่อจัดทำระบบทะเบียนประชากรของเสือโคร่งในกรงเลี้ยงได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการตรวจสอบเสือโคร่งของกลางในคดีต่างๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันการสวมทะเบียนจากเสือโคร่งในป่าธรรมชาติ และลดปัญหาการลักลอบค้าเสือโคร่งลงได้ในอนาคต ที่สำคัญยังตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ที่เป็นวาระของชาติ โดยตั้งเป้ามุ่งพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อคุ้มครอง ป้องกัน ทรัพยากรสัตว์ป่าของประเทศไทยให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์และยั่งยืน
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Traffy Fondue นวัตกรรม Smart City จบปัญหาเมืองในแพลตฟอร์มเดียว
ตอนนี้ไม่ว่าเมืองไหนในโลกต่างก็ตั้งเป้าสู่การเป็น ‘Smart City’ เมืองที่ผ่านการพัฒนาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน แต่เมื่อหันกลับมามองประเทศไทยในช่วงเวลานี้ การจะก้าวสู่ Smart City คงไม่ใช่เรื่องง่าย หากการแจ้งความต้องการหรือปัญหาเกี่ยวกับเมืองให้ผู้ดูแลรับผิดชอบยังทำได้ยาก เสียเวลา และเสียค่าใช้จ่าย
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตระหนักถึงความลำบากของประชาชนในการแจ้งความต้องการหรือปัญหาไปยังหน่วยงานผู้ดูแลพื้นที่ต่างๆ และเข้าใจถึงอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการสำรวจปัญหาเมือง จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับแจ้งปัญหา พร้อมทั้งส่งตรงถึง ‘หน่วยงานผู้รับผิดชอบ’ ช่วยให้เจ้าหน้าที่แก้ปัญหาได้รวดเร็ว ปัญหาไม่ลุกลาม ตรงตามความต้องการของประชาชน ที่สำคัญตรวจสอบได้
ประชาชนแจ้งปัญหาเมืองได้ง่ายผ่านสมาร์ตโฟน
สภาพปัญหาเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละวันทั้งถนนชำรุด ไฟฟ้าไม่ส่องสว่าง ทางเท้าไม่สะอาด ฝาท่อน้ำถูกเปิดทิ้งไว้ โรงงานส่งกลิ่นเหม็น ฯลฯ แจ้งปัญหาที่พบเพื่อร่วมกันพัฒนาเมืองได้ง่ายๆ ผ่าน Traffy Fondue ไม่ต้องมีเบอร์หน่วยงาน ไม่ต้องเสียเวลา ค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทาง
[caption id="attachment_29528" align="aligncenter" width="500"] ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม เนคเทค สวทช[/caption]
ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า Traffy Fondue เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางระหว่างประชาชนกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ ทำหน้าที่รับแจ้งปัญหา (Ticketing system) ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (Line) ซึ่งมีระบบแชตบอต (Chatbot) หรือระบบตอบอัตโนมัติในการสอบถามรายละเอียดของปัญหาและข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น อาทิ ตำแหน่งที่ตั้งและภาพถ่ายของปัญหา จากนั้น AI จะทำหน้าที่วิเคราะห์ปัญหานั้นๆ แล้วจัดส่งข้อมูลให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแบบเรียลไทม์ โดยผู้ดูแลรับผิดชอบปัญหาสามารถส่งรายงานความคืบหน้าการแก้ไขให้ประชาชนรับทราบผ่านระบบด้วยเช่นกัน
“สำหรับปัญหาเมืองที่ประชาชนสามารถแจ้งผ่าน Traffy Fondue มี 16 ด้านหลัก คือ ไฟฟ้า/แสงสว่าง ประปา จราจร/รถยนต์ ถนน ทางเท้า ระบบสื่อสาร กลิ่น เสียง ความสะอาด ความปลอดภัย ต้นไม้สาธารณะ อาคารชำรุด วัสดุชำรุด ห้องประชุม ระบบปรับอากาศ และสัตว์ ซึ่งหากจุดที่เกิดเหตุยังไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบลงทะเบียนไว้ในแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ระบบจะดำเนินการแจ้งให้ผู้แจ้งเหตุรับทราบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้แจ้งดำเนินการแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านช่องทางอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการใช้ Traffy Fondue อย่างแพร่หลายแล้วในหลายพื้นที่ของหลายจังหวัด เช่น ในจังหวัดอุบลราชธานี ปทุมธานี และชลบุรี"
Traffy Fondue ใช้งานง่าย ไม่มีมีค่าใช้จ่าย และไม่ต้องเปิดเผยตัวตน เพียงประชาชนเข้าแอปพลิเคชันไลน์ แล้วเพิ่มเพื่อน ID @traffyfondue หรือคลิก https://lin.ee/nwxfnHw ก็จะสามารถพิมพ์แจ้งปัญหาได้ทันทีที่หน้าแชต เช่น พิมพ์แจ้งว่า ‘พบปัญหาถนนชำรุด’ หรือ ‘ได้กลิ่นสารเคมี’ เป็นต้น ระบบจะสอบถามรายละเอียดที่จำเป็นเพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ หลังจากแจ้งปัญหาแล้ว ผู้แจ้งสามารถติดตามการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่ได้ผ่านหน้าแชตเดิม รวมถึงประเมินความพึงพอใจในการแก้ไขปัญหาได้อีกด้วย
ดร.วสันต์ อธิบายว่าหน่วยงานผู้ดูแลรับผิดชอบอาคารสถานที่หรือเมืองทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถใช้บริการระบบ Traffy Fondue เพื่อรับแจ้งปัญหาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงเพิ่มเพื่อน ID @fonduemanager แล้วดำเนินการสร้างพื้นที่ที่ดูแลและกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงาน ก็จะสามารถเริ่มดำเนินการรับแจ้งปัญหาได้ทันที โดยในส่วนของเทศบาลและ อบต. ล่าสุดทีมผู้พัฒนาระบบได้จัดเตรียมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานให้แก่ภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถขออนุมัติผ่านทางไลน์เพื่อเข้าใช้งานได้โดยไม่ต้องดำเนินการสร้างขอบเขตพื้นที่ที่ดูแล
“หลังจากลงทะเบียนเป็นผู้ดูแลแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบการรับแจ้งปัญหาจากประชาชน และ รายงานสถานะพร้อมรายละเอียดในการแก้ไขปัญหาแต่ละขั้นตอนเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ระบบจะดำเนินการส่งข้อมูลให้ผู้แจ้งปัญหาได้รับทราบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้แจ้งสามารถติดตามการแก้ไขและประเมินความพึงพอใจในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ได้ ทั้งนี้ Traffy Fondue ยังมีระบบ Dashboard ให้เจ้าหน้าที่ ผู้บังคับบัญชา และผู้บริหารทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และประเทศ ใช้ตรวจสอบภาพรวมปัญหาที่ได้รับแจ้ง สถานะการดำเนินงานแก้ไขปัญหา ความรวดเร็วในการทำงาน รวมถึงความพึงพอใจจากผู้แจ้ง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการสรุปผลการดำเนินงาน เปิดเผยความโปร่งใสในการทำงาน รวมถึงใช้ในการบริหารงานทั้งระดับหน่วยงานและระดับภาพรวมประเทศ”
ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ใช้ระบบ Traffy Fondue ในการรับแจ้งปัญหาแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งล่าสุดเนคเทคได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สำหรับขยายผลการใช้งานระบบ Traffy Fondue ไปสู่เทศบาลและ อบต. ทั่วประเทศภายใน 2 ปีข้างหน้า เพื่อหนุนเสริมการยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Smart City
ดร.วสันต์เสริมว่านอกจากการให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ ‘ความยั่งยืนของแพลตฟอร์ม’ จึงได้มีการออกแบบให้ระบบ Traffy Fondue จัดเก็บข้อมูลและประมวลผลการทำงานผ่านระบบคลาวด์ ทำให้สามารถขยายพื้นที่จัดเก็บข้อมูล รวมถึงพัฒนาความฉลาดให้กับระบบประมวลผลได้อยู่เสมอ ระบบจึงมีความพร้อมในการให้บริการในระยะยาว
ด้วยจุดแข็งทั้งหมดนี้ทำให้แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เป็นผลงานที่ได้รับรางวัลระดับชาติมาแล้วหลายรางวัล อาทิ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ประเภทหน่วยงานภาครัฐ จากเวที “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติปี 2564” และรางวัลผลงานวิจัยแห่งชาติที่มีผลกระทบสูง ปี 2565 ระดับดี จากเวที “Prime Minister’s TRIUP Award for Research Utilization with High Impact 2022”
Traffy Fondue รองรับความต้องการของเมืองที่หลากหลาย
แพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไม่ได้มีดีแค่การรับแจ้งปัญหาหลักของเมืองที่ครอบคลุมถึง 16 ด้าน แต่ด้วยการออกแบบระบบให้มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ Traffy Fondue ให้สอดคล้องกับสถานการณ์หรือความต้องการของผู้รับแจ้งได้อีกด้วย
ดร.วสันต์ ยกตัวอย่างสำคัญในการปรับระบบ Traffy Fondue ให้สามารถรับแจ้งปัญหาเร่งด่วนของประเทศได้ เช่น ในปี 2563 ช่วงเริ่มต้นการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย กระทรวงมหาดไทยได้ใช้บริการระบบ Traffy Fondue ในการเปิดให้บริการรับแจ้งความเสี่ยงในการติดโควิด-19 แจ้งขอความช่วยเหลือให้ผู้ป่วยที่ติดโรค แจ้งเรียกรถพยาบาล แจ้งส่งต่อผู้ป่วย แจ้งจองคิวการตรวจโรค รวมถึงแจ้งเบาะแสให้ตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการติดหรือแพร่กระจายโรค
“นอกจากการเพิ่มฟังก์ชันเฉพาะกิจเพื่อรับแจ้งเหตุด่วนแล้ว ทีมวิจัยยังเปิดให้บริการวิจัยและออกแบบแพลตฟอร์มเพื่อรับแจ้งปัญหาเฉพาะทางของแต่ละหน่วยงาน ตัวอย่างการให้บริการที่ผ่านมา เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อใช้ในการรับแจ้งและบริหารจัดการเหตุสาธารณภัย ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผ่านไลน์ ID @1784DDPM โดยประชาชนสามารถแจ้งภัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งภัยแล้ง วาตภัย ภัยหนาว ไฟป่า อัคคีภัย แผ่นดินไหว ดิน/โคลนถล่ม อาคารถล่ม/ทรุด ภัยจากการก่อความไม่สงบ/วินาศภัย ภัยทางถนน ฯลฯ อีกตัวอย่างที่สำคัญคือการใช้เป็นแพลตฟอร์มรับแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนของรัฐบาล ซึ่งประชาชนสามารถทั้งร้องทุกข์ เสนอข้อคิดเห็น และติชมการทำงานได้ผ่านไลน์ ID @psc1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน”
แพลตฟอร์ม Traffy Fondue เกิดขึ้นจากการผสานการทำงานของ 2 เทคโนโลยีหลัก คือ Geographical Information System (GIS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บรายละเอียดข้อมูล ตำแหน่งของสถานที่ รวมถึงรูปภาพของสถานที่ และเทคโนโลยี AI ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล Big Data ออกมาเป็นข้อมูลที่พร้อมใช้งาน รวมถึงการมีจุดแข็งที่การมีแพลตฟอร์มให้ประชาชนทั่วไปใช้งานได้ง่าย ทำให้สามารถประยุกต์ใช้งานแพลตฟอร์ม Traffy Fondue เพื่อส่งเสริมการเป็น Smart City ในด้านอื่นๆ ให้กับประเทศได้อีกหลากหลาย
ดร.วสันต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ล่าสุดในปีที่ผ่านมาทีมวิจัยได้นำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปปรับใช้กับการพัฒนายกระดับ Smart City ในด้านสุขภาวะของคนพิการและผู้สูงวัย โดยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการทำแพลตฟอร์ม ‘เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย’ เพื่อใช้ขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อคนพิการและผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่มีความต้องการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก และผู้ป่วย ประชาชนสามารถช่วยกันระบุรายละเอียดที่สำคัญ เช่น ประเภทของสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ที่จอดรถ ห้องน้ำ และทางลาด ฯลฯ จำนวนและตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงช่วยกันประเมินว่าสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นได้มาตรฐานหรือไม่ และควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร โดยฐานข้อมูลนี้จะนำไปสู่การพัฒนายกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ที่มีความต้องการใช้งานเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งของสิ่งอำนวยความสะดวกได้ง่ายและรวดเร็วต่อไปในอนาคต รวมถึงเป็นการช่วยสนับสนุนการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ปัจจุบันการทำงานของแพลตฟอร์มนี้อยู่ในระยะที่ 1 คือการขึ้นทะเบียนสิ่งอำนวยความสะดวก เจ้าของอาคารสถานที่หรือผู้ที่พบเห็นสิ่งอำนวยความสะดวกสามารถร่วมขึ้นทะเบียนได้ที่ไลน์ ID @jaideecity ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เมืองใจดี เที่ยวได้ทุกวัย
ดร.วสันต์ ทิ้งท้ายว่า เนคเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ในรูปแบบเฉพาะที่หน่วยงานต้องการ ติดต่อขอรับบริการได้ที่ไลน์ ID @fonduehelp หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Traffy Fondue ได้ที่ www.traffy.in.th
คำว่า ‘Smart City’ จะไม่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเมืองไทยอีกต่อไป ร่วมกันยกระดับ ‘หน่วยงาน’ ของคุณให้ ‘สมาร์ต’ จัดการปัญหาได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วยแพลตฟอร์ม Traffy Fondue และคุณก็ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเมืองให้น่าอยู่ขึ้นได้ง่ายๆ เพียงหยิบมือถือมาแอดไลน์ @traffyfondue แล้วบอกเราว่าคุณเจอปัญหาเมืองที่ตรงไหน
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“UNAI” เทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร เสริมแกร่งธุรกิจจัดงานอีเวนต์
ในโลกธุรกิจที่มีการแข่งขันทางการตลาดสูง “ข้อมูล” คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจผู้บริโภค ไม่เว้นแม้แต่ในธุรกิจการจัดงานอีเวนต์ ทั้งงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมนานาชาติ หรือเรียกว่าอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) ซึ่งมีมูลค่านับแสนล้านบาทและกำลังเติบโตในประเทศไทย และล่าสุดทีมนักวิจัยไทยได้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและเสริมศักยภาพธุรกิจไมซ์ของไทยให้ก้าวไกลระดับนานาชาติ
เทคโนโลยีที่ว่านี้คือ ระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร หรือ “แพลตฟอร์มอยู่ไหน” (UNAI platform) ผลงานวิจัยพัฒนาของทีมวิจัยที่นำโดย ดร.ละออ โควาวิสารัช หัวหน้าทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก “อยู่ไหน 3 มิติ” แพลตฟอร์มสำหรับให้บริการข้อมูลตำแหน่งหรือข้อมูลเส้นทางการเคลื่อนที่ของคนหรือวัตถุสิ่งของภายในอาคารแบบออนไลน์
ดร.ละออ ให้ข้อมูลว่า เริ่มแรกทีมวิจัยได้พัฒนาระบบระบุตำแหน่งภายในอาคารขึ้นสำหรับใช้ติดตามหรือระบุตำแหน่งของพัสดุต่างๆ ภายในอาคารสำนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารงานพัสดุของสำนักงาน และปัจจุบันกำลังพัฒนาต่อยอดเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ เนื่องจากที่ผ่านมาผู้จัดงานจะเก็บข้อมูลผู้เข้าชมงานทั้งในรูปแบบการลงทะเบียนหน้างาน หรือการสแกนคิวอาร์โคดด้วยโทรศัพท์มือถือ ซึ่งวิธีนี้ยังไม่สามารถบอกได้ถึงความหนาแน่นของผู้เข้าชมงานในบริเวณต่างๆ หรือแสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมงานให้ความสนใจบริเวณใดเป็นพิเศษ
ทีมวิจัยจึงนำต้นแบบระบบ UNAI มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ประกอบด้วยธุรกิจการจัดประชุมสัมมนาองค์กร (Meetings) การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) การประชุมนานาชาติ (Conventions) และการจัดนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้า (Exhibitions) ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยได้พัฒนาและทดสอบระบบ UNAI ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB และได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติมจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อพัฒนาฮาร์ดแวร์และปรับเทคนิคให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
“ระบบ UNAI จัดอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (Internet of Things) ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 ส่วนหลัก ได้แก่ อุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สาย หรือ แท็ก (Tag) ทำหน้าที่เป็นป้ายระบุตำแหน่งโดยใช้เทคโนโลยีสมองกลฝังตัวขนาดเล็ก อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สาย หรือ แองเคอร์ (Anchor) ซึ่งออกแบบให้มีแถวสายอากาศ (Antenna Array) มีระบบสื่อสารไร้สายมาตรฐานบลูทูทพลังงานต่ำ (Bluetooth Low Energy: BLE) และใช้เทคนิค AoA (Angle of Arrival) ในการหาตำแหน่งของแท็ก และส่วนสุดท้ายคือ ระบบสื่อสารสำหรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ซึ่งรองรับการใช้เครือข่ายทั้ง 3G/4G Cellular Network และ 5G
การทำงานของระบบระบุตำแหน่ง แท็กจะส่งสัญญาณไปยังสายอากาศของแองเคอร์ 3 ตัวที่ใกล้ที่สุด แองเคอร์แต่ละตัวจะคำนวณมุมตกกระทบของสัญญาณที่แท็กส่งมากับแถวสายอากาศ ซึ่งจะมีความต่างเฟสที่ได้รับในแต่ละสายอากาศ และส่งข้อมูลมุมเหล่านี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ โดยเซิร์ฟเวอร์จะคำนวณหาตำแหน่งของแท็กได้อย่างแม่นยำและส่งข้อมูลตำแหน่งไปแสดงผลที่เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน UNAI แบบเรียลไทม์”
[caption id="attachment_29184" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์รับสัญญาณไร้สายหรือแองเคอร์ (Anchor) และอุปกรณ์ส่งสัญญาณไร้สายหรือแท็ก (Tag)[/caption]
[caption id="attachment_29187" align="aligncenter" width="750"] ภาพแสดงตำแหน่งแบบเรียลไทม์[/caption]
[caption id="attachment_29189" align="aligncenter" width="750"] ระบบ UNAI แสดงข้อมูลความหนาแน่นของผู้คนภายในงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ[/caption]
ดร.ละออ กล่าวว่า ระบบ UNAI จะช่วยให้ผู้จัดงานหรือผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลภาพรวมและข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ เช่น จำนวนผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่อยู่ที่ไหน ผู้เข้าชมงานสนใจกิจกรรมใดบ้าง นิทรรศการหรือสินค้าประเภทใดได้รับความสนใจมากที่สุด ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปพัฒนาคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น หรือนำเสนอบริการเสริมนอกเหนือจากระบบอำนวยความสะดวกที่มีอยู่แล้ว เช่น เพิ่มระบบนำทางไปยังบูทที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเดินหา ทำให้มีเวลาเลือกสินค้าหรือเจรจาธุรกิจได้มากขึ้น รวมถึงประยุกต์ใช้เพื่อค้นหาตำแหน่งของผู้เข้าร่วมที่เป็นเด็กหรือผู้สูงอายุที่อาจเกิดการพลัดหลงจากผู้ดูแล
การนำระบบระบุตำแหน่งในอาคาร UNAI ไปประยุกต์ใช้ในการจัดงานนิทรรศการและงานแสดงสินค้า นอกจากช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้จัดงานและสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้เข้าชมงานแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำเทคโนโลยีไปเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยที่กำลังเติบโตให้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในระดับโลก
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
‘ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ’ จากนาโนเทค สวทช. นวัตกรรมยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ต่อยอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีสู่ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบที่มีความไวสูง สามารถตรวจไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบได้แม้มีความเข้มข้นน้อย ราคาถูก ใช้งานง่าย ตรวจวัดและวิเคราะห์ผลเร็ว มีความจำเพาะเจาะจงและความถูกต้องสูง ลดการสูญเสียน้ำนมดิบที่ไม่มีคุณภาพ และลดผลกระทบต่อกระบวนการแปรรูปน้ำนมดิบ ส่งมอบ อ.ส.ค. สำหรับใช้ในศูนย์รับน้ำนม อ.ส.ค ทั่วประเทศ หวังเป็นตัวช่วยยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์นม และอุตสาหกรรมโคนมของไทย
น้ำนมดิบที่ศูนย์รับน้ำนม องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ทั่วประเทศรับมาจากเกษตรกร ซึ่งต้องมีการตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงสิ่งเจือปนต่างๆ ที่ส่งผลต่อคุณภาพและราคาขายน้ำนมดิบ โดยหลังจากที่ทีมวิจัยของศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าเยี่ยมชมการทำงาน ก็ได้รับโจทย์จาก อ.ส.ค. ที่ต้องการชุดตรวจสารปนเปื้อนที่มีความไว และจำเพาะสูง
“ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ (Peroxide Test Stripe)” จึงเกิดขึ้น โดย ดร.กุลวดี การอรชัย จากทีมวิจัยการวินิจฉัยระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ พร้อมทีมวิจัยที่ประกอบด้วย น.ส. อรุณศรี งามอรุณโชติ และน.ส. ประภาภรณ์ แสงแก้วพัฒนาเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีสำหรับการตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เชิงปริมาณในน้ำนม ซึ่งการตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เป็นหนึ่งในชุดตรวจคุณภาพน้ำนมดิบ โดยสามารถบ่งบอกปริมาณและความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เจือปนในน้ำนมได้ โดยอาศัยเทคโนโลยีในการออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนโลหะผสมแล้วนำไปเคลือบบนขั้วไฟฟ้าคาร์บอนพิมพ์สกรีน
“หลักการของเซนเซอร์นี้ อาศัยการเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชันของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โดยใช้อนุภาคนาโนของโลหะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาดังกล่าว และใช้เครื่องวัดสัญญาณเคมีไฟฟ้าแบบพกพาในการตรวจวัด ซึ่งสามารถตรวจได้ง่ายและรวดเร็วและมีความไวสูง การใช้อนุภาคนาโนของโลหะนี้สามารถใช้ทดแทนวัสดุชีวภาพ เช่น เอนไซม์ออกซิเดส และเอนไซม์คะตะเลส ได้เป็นอย่างดี และยังเพิ่มเสถียรภาพให้กับชุดตรวจ เนื่องด้วยอนุภาคนาโนของโลหะนี้ มีความคงตัวสูงที่สภาวะการเก็บรักษาในระยะเวลานาน” ดร.กุลวดีกล่าว
จุดเด่นของงานวิจัยชิ้นนี้ นักวิจัยนาโนเทคชี้ว่า เป็นเซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดการปนเปื้อนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เชิงปริมาณในน้ำนมดิบได้ โดยสามารถแสดงค่าเป็นตัวเลขความเข้มข้นของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เมื่อใช้ร่วมกับเครื่องอ่านแบบพกพา สามารถใช้งานได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว รู้ผลภายในเวลา 2 นาที มีความไวในการตรวจวัดสูงกว่าชุดตรวจที่มีในท้องตลาด นอกจากนี้ ชุดตรวจที่พัฒนาขึ้นมีความเสถียรและเก็บรักษาได้ง่าย เนื่องจากไม่มีการใช้สารชีวโมเลกุล จึงทำให้สามารถใช้ได้ทุกสถานที่ในการตรวจคุณภาพน้ำนมดิบจำนวนมากได้
“ความท้าทายของงานวิจัยชิ้นนี้ คือ การออกแบบและสังเคราะห์อนุภาคนาโนของโลหะให้มีความจำเพาะต่อการเร่งปฏิกิริยารีดอกซ์ของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการคัดเลือก และการปรับสภาวะขององค์ประกอบต่างๆของอนุภาคนาโนในการวิเคราะห์ให้เหมาะสมสำหรับการนำไปใช้ตรวจวัดสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบ” ดร.กุลวดีกล่าว พร้อมชี้ว่า ความท้าทายอีกประการคือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฐานด้านเซนเซอร์ทางไฟฟ้าเคมีเพื่อตรวจวัดสารปนเปื้อนในน้ำ มาพัฒนาชุดตรวจในน้ำนมนั้น ถือว่า ยากมาก เพราะน้ำแทบจะไม่มีสารอื่นรบกวน ในขณะที่น้ำนมนั้นมีองค์ประกอบที่หลากหลาย มีสารชีวโมเลกุล รวมถึงเอนไซม์บางตัวที่ช่วยสลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ได้เร็ว ทำให้เราต้องพัฒนาชุดตรวจที่มีความไวสูง และตรวจวัดให้เร็วที่สุด
เซนเซอร์สำหรับตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่พัฒนาขึ้นจากงานวิจัยนี้สมารถนำไปใช้ในการตรวจคัดกรองคุณภาพน้ำนมดิบ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิตและแปรรูป เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำนมดิบที่ได้ปราศจากการเจือปนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งการปนเปื้อนของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีน ทำให้น้ำนมตกตะกอนและส่งผลกระทบอย่างมากต่อกระบวนการแปรรูปน้ำนมดิบ ซึ่งมีผลกระทบมูลค่าประมาณ 20000 บาทต่อน้ำนมดิบ 1 ตัน โดยชุดตรวจนี้สามารถนำไปใช้ได้จริงทั้งในห้องปฏิบัติการภายใน อ.ส.ค และการตรวจวิเคราะห์ภาคสนาม เช่น ที่ฟาร์มหรือสหกรณ์โคนมย่อยต่าง ๆ
นอกจากนี้ ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบยังเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมนมทั่วประเทศ ในการคัดกรองคุณภาพน้ำนมดิบก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูป เพื่อให้ประชาชนได้บริโภคนมที่มีคุณภาพมากขึ้น
“ทีมวิจัยมีแผนที่จะวิจัยและพัฒนาต่อยอดชุดตรวจฯ นี้ ในด้านความแม่นยำ (validation) ด้วยวิธีมาตรฐาน รวมถึงการทดสอบเปรียบเทียบกับชุดตรวจที่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันอีกด้วย นอกจากนี้ องค์ความรู้ที่ได้พัฒนาชุดตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำนมดิบนี้ ยังสามารถนำมาต่อยอดเพื่อพัฒนาชุดตรวจวัดไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่เจือปน หรือตกค้างในอาหาร หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้” ดร.กุลวดีชี้
ปัจจุบัน ชุดตรวจสารปนเปื้อนในน้ำนมดิบจากนาโนเทค สวทช. ได้พัฒนาแล้วเสร็จ และส่งมอบ ให้กับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) สำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการจริงของศูนย์รับน้ำนม อ.ส.ค ทั่วประเทศ และจะเป็น 1 ในผลงานนวัตกรรมของ สวทช. ที่จะนำไปร่วมแสดงในงานเทศกาลโคนมแห่งชาติประจำปี 2565 ระหว่างวันที่ 3-7 มกราคม 2565
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
เอ็มเทค สวทช. – บ.ธนัทธร เปิดตัว ‘กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ ขานรับภาคอุตสาหกรรม ผสมยางพารา 30 % ‘ทนทาน-ไม่แตกหักง่าย-ลดการใช้พลาสติก’กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก
21 ธันวาคม 2564 ห้องแถลงข่าวกระทรวง อว. : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค)
เปิดตัวกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ที่ได้จากการผสมยางธรรมชาติและพลาสติก ทดแทนกรวยจราจรแบบเดิมที่ผลิตจากพลาสติก ทำให้ใช้เวลาในการฉีดขึ้นรูปกรวยจราจรต่อรอบต่อชิ้นน้อยลงกว่าเดิม สามารถแกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ฉีดได้ง่ายกว่า ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้กรวยจราจรที่มีความยืดหยุ่น ไม่แตกหักเมื่อถูกรถชนหรือทับ ทั้งยังช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิตขณะนี้ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงจากผู้ประกอบการ อีกทั้งได้เข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายแล้ว
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy Model ที่ต้องการให้อุตสาหกรรมไทยหันมาใช้วัสดุสีเขียว (Green Materials) ซึ่งได้มาจากธรรมชาติมากขึ้น “ยางพารา หรือยางธรรมชาติ” ถือเป็นวัสดุที่อุตสาหกรรมให้ความสนใจ และในกรณีนี้คือ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่ เอ็มเทค สวทช. มีอยู่ในรูปความลับทางการค้า จึงสามารถตอบโจทย์ของบริษัทเอกชนที่ต้องการผลิตกรวยจราจรที่มียางธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เพื่อผลิตเป็นกรวยจราจรเกรดพิเศษโดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic Natural Rubber, TPNR) จากเดิมที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเอทิลีนไวนิลแอซีเทตโคพอลิเมอร์ (Ethylene Vinyl Acetate Copolymer, EVA)
“จากที่ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ยางพาราหรือยางธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางสำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อให้เพิ่มชนิดและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้มากขึ้น จึงเกิดการส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในการคมนาคมภายในประเทศมากขึ้น เช่น หลักกิโลเมตร แนวกันโค้ง และแผ่นยางกันชนครอบแบริเออร์คอนกรีต เป็นต้น กรวยจราจรก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีการใช้งานแพร่หลายในปริมาณมาก และเป็นโจทย์วิจัยที่ผู้ประกอบการต้องการให้ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นกรวยจราจรที่มีส่วนผสมของยางธรรมชาติ มีสมบัติยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายเมื่อถูกรถเหยียบ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตอบโจทย์ภาคเอกชนและต่อยอดไปจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้” ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าว
นายวษุวัต บุญวิทย์ ผู้บริหาร บริษัท ธนัทธร จำกัด กล่าวถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาของ บริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จราจรฯ ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามาบริษัทพยายามสนับสนุนการใช้ยางพาราในผลิตภัณฑ์ต่างๆ หากทำได้ เช่น การผลิตหลักกิโลเมตรจากยางพารา ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะผลิตกรวยจราจรซึ่งมีส่วนผสมของยางพารา เพื่อสร้างความแตกต่างและปรับปรุงสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น เนื่องจากกรวยจราจรผลิตอยู่นั้นทำจากพลาสติก 100% ถึงแม้จะเลือกใช้พลาสติกที่มีความยืดหยุ่น เช่น EVA แต่หากสามารถผลิตกรวยจราจรจากยางธรรมชาติได้ น่าจะทำให้กรวยจราจรนั้นยืดหยุ่น และทนทานมากขึ้นหากโดนรถทับหรือเฉี่ยวชน เมื่อใช้งานจริงบนท้องถนน จึงได้ติดต่อกับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. เพราะทราบว่า มีผลงานนี้พร้อมถ่ายทอดฯ จากนั้นจึงได้ร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก นำมาสู่การผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” ซึ่งได้จัดจำหน่ายกรวยยางชนิดใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการเพื่อจดแจ้งผลิตภัณฑ์ “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” ให้อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยอีกด้วย
“บริษัทฯ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช. ในการเตรียมยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกสำหรับผลิตกรวยจราจรเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้บริษัทได้ทดลองผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” และได้ทดสอบการใช้งานจริง พบว่า สมบัติที่ได้ตรงตามความต้องการของบริษัท นอกจากนี้การที่ “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น เวลารถวิ่งผ่าน ไม่ปลิวไปได้ง่ายเหมือนกรวยพลาสติก ทั้งนี้จากที่บริษัทฯ ได้ผลิตและจัดจำหน่ายกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก บริษัทได้การตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี จึงได้เพิ่มการผลิต “กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการผลิต “ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” นี้ ส่งผลให้บริษัทเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการตลาดได้มากขึ้นอีกด้วย”
ดร.ภาสรี เล้ากิจเจริญ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. กล่าวถึงเทคโนโลยีการผลิตยางผสมพลาสติก หรือ ‘ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ (Thermoplastic Natural Rubber, TPNR) ว่าเป็นการผสมยางธรรมชาติและพลาสติกเข้าด้วยกันในเครื่องอัดรีดสกรูคู่ (Twin Screw Extruder) ร่วมกับเทคนิคไดนามิกวัลคาไนเซชันทำให้ได้ ‘ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ เมื่อนำไปฉีดขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติก (Injection Molding Machine) จึงได้ผลิตภัณฑ์กรวยจราจรที่มีลักษณะและผิวสัมผัสเหมือนยางซึ่งมาจากส่วนผสมยางธรรมชาติ 30 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาได้ร่วมทดสอบสมบัติเบื้องต้นและสมบัติการใช้งานจริง กับ บริษัท ธนัทธร จำกัด ประมาณ 1 ปี ขณะนี้ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัทแล้ว และบริษัทฯ ได้เดินหน้านำไปผลิตตามมาตรฐานทันทีอีกกว่า 7 ตัน โดยผู้ประกอบการได้ซื้อยางแท่งจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) พันธมิตรภาครัฐที่สำคัญของ เอ็มเทค สวทช. มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการใช้งานและแปรรูปยางพาราในประเทศไทย
“เหตุผลแรกที่ผู้ประกอบการเดินเข้ามาหา ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. เพราะต้องการหาเทคโนโลยีที่จะใช้ยางธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมของกรวยจราจรพลาสติกซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท เมื่อ ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. มีองค์ความรู้ ทั้งสูตรและกระบวนการที่สามารถทำได้ จึงทดลองปรับสูตรให้ตรงกับสมบัติที่บริษัทต้องการ ร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ และถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก จำนวน 500 กิโลกรัมได้สำเร็จ ในระหว่างนั้น บริษัทฯ ได้นำยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกไปผลิตเป็นกรวยจราจร และทดลองใช้งานจริงได้พบว่ากรวยจราจรชนิดใหม่นี้ ทนต่อการฉีกขาด และทนทานต่อการแตกหักได้สูงขึ้น เนื่องจากมีส่วนผสมของยางพารา นอกนั้นยังสามารถขึ้นรูปได้สะดวก รวดเร็วขึ้น แกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ได้ง่าย ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และยังเกิดของเสียในกระบวนการผลิตน้อยลง”
ดร.ภาสรี กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม นวัตกรรม ‘กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก’ นี้ นอกจากเพิ่มความทนทานต่อการแตกหัก และพับงอ ยังทำให้กรวยจราจรยึดเกาะพื้นผิวถนนได้ดีขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นราว 0.2 กิโลกรัมต่อชิ้น และมียางพาราหรือยางธรรมชาติที่ยืดหยุ่นเป็นส่วนผสม อีกประเด็นที่สำคัญคือ การเลือกใช้งานวัสดุประเภท “ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก” นี้ ยังสามารถทำให้ขึ้นรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เหมือนพลาสติก ถือว่าสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ตามนโยบาย BCG Economy Model ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้ยางพาราในประเทศ โดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากยางพารา และส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำอีกด้วย
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) สนับสนุนและส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ รวมถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยที่ผ่านมา กยท. ดำเนินโครงการและกิจกรรมที่สนับสนุนให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้น ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยาง การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ รวมถึงการสนับสนุนทุนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปยาง เช่นครั้งนี้ กยท. สนับสนุนและส่งเสริมโครงการจัดทำ (ร่าง) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ให้แก่ เอ็มเทค สวทช. ในปี 2565 นี้ ถือเป็นการนำยางพาราเข้าไปทดแทนพลาสติกซึ่งเป็นวัสดุพอลิเมอร์ที่มาจากปิโตรเคมี ถึง 30% โดยน้ำหนัก ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงานที่มุ่งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ยางของไทยมีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ขณะนี้ กยท. มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจยางพาราโดยวางแนวทางการพัฒนายางพาราสู่ความยั่งยืน ลดความเสี่ยงเรื่องผลผลิต รวมถึงปรับปรุงวิธีการทำสวนยางของเกษตรกรรายย่อยในประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้องและมาตรฐานสากล เพื่อให้ผลผลิตยางของไทยเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการในตลาด ซึ่งปัจจุบัน กยท. ดำเนินกิจกรรม Rubber Way โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสวนยางรวมถึงตัวเกษตรกรเองให้ตรงตามมาตรฐานและความต้องการของบริษัทผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่ เบื้องต้น กยท. ได้ลงนามความร่วมมือกับมิชลินแล้ว แน่นอนว่าสิ่งนี้ถือเป็นการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสด้านการแข่งขันทางธุรกิจ เกิดความมั่นคงด้านรายได้แก่เกษตรกรฯ
“การพัฒนายางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่า เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกภาคส่วนควรกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ ตั้งแต่การบริหารจัดการและสร้างมาตรฐานภายในสวนยาง (ต้นน้ำ) ไปจนถึงกระบวนการผลิตในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา (ปลายน้ำ) สอดคล้องกับนโยบาย BCG MODEL ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (Green Economy) ก่อให้เกิดความยั่งยืนกับยางธรรมชาติทั้งห่วงโซ่อุปทาน”
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
Para Dough ของเล่นจากยางพาราไทย พร้อมตีตลาดส่งออกของเล่นโลก
สำหรับใครที่กำลังมองหาของขวัญให้แก่เด็กๆ ในเทศกาลแสนพิเศษทั้งคริสมาสต์ ปีใหม่ รวมถึงวันเด็กที่กำลังใกล้เข้ามา ไม่ควรพลาด ‘Para Dough (พาราโด)’ ผลิตภัณฑ์ของเล่นยางสำหรับปั้น มีลักษณะคล้ายดินน้ำมัน แต่ปลอดภัย ไร้กลิ่น ปราศจากสารเคมีอันตราย ผลิตจาก ‘ยางพารา’ พืชเศรษฐกิจของไทย ผลงานวิจัย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ปัจจุบันพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม หนุนตีตลาดของเล่นทางเลือกเพื่อสุขภาพระดับโลก
[caption id="attachment_28705" align="aligncenter" width="750"] คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]
คุณกรรณิกา หัตถะปะนิตย์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค อธิบายว่า Para Dough เป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นแป้งปั้นหรือโด (Dough) ผลิตขึ้นจากยางพาราชนิดยางแท่งและยางแผ่น ซึ่งนำมาผ่านกระบวนการปรับลักษณะทางกายภาพให้มีสมบัติความหนืดที่เหมาะสม ก่อนนำมาผสานรวมเข้ากับสารจากธรรมชาติอื่นๆ อาทิ แป้งประกอบอาหาร น้ำมันพืช และสี
“Para Dough มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้อย่างกลูเตนจากแป้งสาลีและสารเคมีที่เป็นอันตราย ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ ไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด อีกทั้งยังสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียก่อนและหลังการเล่นด้วยการฉีดพ่นแอลกอฮอล์แล้วนวดก้อนแป้งจนแอลกอฮอล์ระเหยโดยไม่ทำให้โดเสียสภาพ นอกจากนี้ Para dough ยังไม่มีกลิ่น ไม่แห้งแข็งและไม่ละลายเยิ้มเมื่อวางไว้ภายนอกบรรจุภัณฑ์อีกด้วย
Para Dough สามารถเก็บในบรรจุภัณฑ์ได้อย่างน้อย 2 ปี มีอายุการใช้งานหลังแกะบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 1 ปี หากไม่สัมผัสน้ำหรือความชื้น และภายหลังหมดอายุการใช้งานสามารถทิ้งผลิตภัณฑ์ลงในถังขยะเปียก เพราะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่สร้างมลพิษแก่สิ่งแวดล้อม”
[caption id="attachment_28706" align="aligncenter" width="500"] ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง (IRM) เอ็มเทค[/caption]
ดร.ปณิธิ วิรุณห์พอจิต นักวิจัยกลุ่มวิจัย IRM เอ็มเทค เสริมว่าผลิตภัณฑ์ Para Dough เหมาะแก่ผู้ที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป สามารถใช้เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการเด็ก กระตุ้นให้เกิดการฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine motor) พัฒนาทักษะการทำงานประสานกันระหว่างตาและมือ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมอง และทักษะความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังเหมาะแก่การใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำกิจกรรมศิลปะบำบัด เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงช่วยบำบัดให้เกิดความผ่อนคลาย กล่าวได้ว่า Para Dough เป็นแป้งปั้นที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
“ด้วยจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ ทำให้ Para Dough มีโอกาสเข้าถึงตลาดส่งออกหลักของไทย ที่ต้องการผลิตภัณฑ์ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่มีความปลอดภัยสูง และได้มาตรฐานสากล โดยตามการรายงานของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการส่งออกผลิตภัณฑ์ของเล่นสูง ซึ่งเมื่อกลางปี 2564 ที่ผ่านมามีการคาดประมาณว่าในปี 2564 ไทยจะมีตัวเลขมูลค่าการส่งออกของเล่นรวมสูงถึง 220 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เนื่องจากการขยายตัวของตลาดออนไลน์[1]
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ ปัจจุบันเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Para Dough ในระดับอุตสาหกรรม โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตมีราคาไม่สูง เนื่องจากใช้เครื่องจักรทั่วไปในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร รวมถึงใช้วัตถุดิบที่ผลิตและจำหน่ายทั่วไปในประเทศ นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพร้อมร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย เช่น การปรับระดับความแข็งและความคงรูปของผลิตภัณฑ์สำหรับการใช้ในงานประเภทอื่นๆ อาทิ การทำเป็นดินปั้นสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องประดับหรือของตกแต่งบ้าน
การพัฒนา Para Dough มีส่วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพาราไทยได้สูง 5-6 เท่า ถือเป็นอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น และเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราไทย ส่งเสริมการยกระดับสินค้าการเกษตรไทยตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
ปัจจุบัน สวทช. ได้นำร่องผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Para Dough ต้นแบบแล้วที่ศูนย์หนังสือ สวทช. ในราคา 99 บาท ปริมาณ 240 กรัม หรือสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ http://nstdabookstore.lnwshop.com/p/214 นอกจากผลิตภัณฑ์ Para Dough แล้ว นักวิจัยยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ Para Note และ Para Sand ซึ่งพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/para-plearn/
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่
งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม เอ็มเทค สวทช.
โทรศัพท์: 0 2564 6500 ต่อ 4782-4789
E-mail: BDD-IBL@mtec.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม
[1]ตลาดที่ประเทศไทยส่งออกสินค้าประเภทของเล่นเป็นหลัก คือ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 57.30 ส่วนตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ เกาหลีใต้ร้อยละ 964.90 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 105.89 และรัสเซียร้อยละ 73.22 โดยสินค้าที่มีการขยายตัวเพิ่มอย่างน่าสนใจ คือ ของเล่นที่มีล้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 52.58 และของเล่นประเภทอื่นๆ ร้อยละ 20.16 ซึ่งจุดแข็งที่ทำให้ของเล่นไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดสากลคือเป็นผลิตภัณฑ์ของเล่นที่มีความปลอดภัยสูง เป็นของเล่นเสริมพัฒนาการ ได้มาตรฐานสากล และมีคุณภาพของสินค้าที่ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ฟื้นผิวด้วย LumiDart แผ่นนำแสงสามมิติ
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้สถานเสริมความงามต่างๆ ต้องปิดให้บริการชั่วคราว ผู้บริโภคจึงเริ่มหันมาดูแลผิวพรรณในรูปแบบที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผิวพรรณและความสวยงาม โดยเฉพาะอุปกรณ์เสริมความงามที่เน้นเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้เองเกิดการขยายตัวและมีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 900 ล้านบาทในประเทศไทย
[caption id="attachment_28301" align="aligncenter" width="750"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ และนางสาวลลิตภัทร ศุภประภากร[/caption]
ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ประยุกต์ความเชี่ยวชาญด้านเข็มระดับไมโครเมตรและนาโนเมตรพัฒนา “ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว”
“ลูมิดาร์ทพัฒนาขึ้นจากการนำแผ่นเข็มนำแสงสามมิติที่วิจัยและพัฒนาโดยนาโนเทค ซึ่งมีขนาดเล็กมากในระดับไมโครเมตร ผสานกับเทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง หรือ Phototherapy ที่ใช้แสงจากแอลอีดี (Light Emitting Diode: LED) ส่องผ่านเข้าไปใต้ผิว เพื่อบำบัดและฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในสู่ภายนอก เทคโนโลยีนี้ใช้แสงแอลอีดีเป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงแต่ละสีมีค่าความยาวคลื่นแสงที่ต่างกัน จึงมีคุณสมบัติให้การบำบัดที่แตกต่างกันออกไป เช่น แสงสีฟ้า (ความยาวคลื่น 470 นาโนเมตร) จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสิว ส่วนแสงสีแดง (ความยาวคลื่น 640 นาโนเมตร) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอย
การใช้แสงในการบำบัดจำเป็นต้องใช้พลังงานสูงมาก ทำให้แสงทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิวได้ ดังนั้นเราจึงประยุกต์ใช้ร่วมกับแผ่นเข็มนำแสงสามมิติระดับไมโครเมตร ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดโดยการนำพาแสงไปยังชั้นใต้ผิวหนังได้โดยตรง ทำให้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และใช้พลังงานหรือความเข้มแสงน้อย ช่วยลดอันตรายจากการได้รับแสงความเข้มสูงเป็นเวลานาน ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อผู้ใช้งาน” ดร.ไพศาลกล่าว
[caption id="attachment_28295" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
[caption id="attachment_28303" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
[caption id="attachment_28302" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
ทั้งนี้ผลการทดสอบเมื่อเทียบกับการใช้เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยการฉายแสงแบบเดิม พบว่า เทคโนโลยีการบำบัดผิวด้วยแสงด้วยลูมิดาร์ทมีประสิทธิภาพดีกว่าถึง 4 เท่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดผิวด้วยการกระตุ้นกลไกให้ผิวฟื้นฟูสภาพได้ด้วยตนเอง สามารถใช้ได้กับทุกส่วนของร่างกาย และยังใช้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
[caption id="attachment_28294" align="aligncenter" width="750"] ลูมิดาร์ท (LumiDart) แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว[/caption]
ดร.ไพศาล กล่าวว่า นวัตกรรมลูมิดาร์ทยังผลิตได้หลากหลายรูปแบบตามความต้องการ มีความแม่นยำสูง และผลิตได้จำนวนมาก หากสถานการณ์ปกติสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปใช้ควบคู่กับการการฉายแสงบำบัดผิว เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวเพื่อความงามตามร่างกาย ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มของสถานเสริมความงาม นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจที่มีความสนใจในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
“เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางนวัตกรรมของเข็มไมโครนีดเดิล (Microneedle) สำหรับนวัตกรรมที่เราพัฒนาขึ้นนี้สามารถต่อยอดไปใช้ในทางการแพทย์ โดยใช้ร่วมกับการรักษาความผิดปกติหรือโรคต่างๆ ทางผิวหนังได้ เมื่อได้รับการควบคุมการผลิตภายใต้การแนะนำของแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ” ดร.ไพศาลกล่าว
ปัจจุบัน “ลูมิดาร์ท” แผ่นนำแสงสามมิติเพื่อฟื้นฟูผิว อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตร และพร้อมในการเจรจาหาพันธมิตร เพื่อนำเทคโนโลยีไปสู่การใช้งานจริงต่อไป ทั้งนี้จะมีการนำมาจัดแสดงภายในงาน BCG Health Tech Thailand 2021 มหกรรมนวัตกรรมการแพทย์และสุขภาพแห่งปี ภายใต้แนวคิด “The Sustainable Solutions of Health & Wellness” จัดโดย อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และองค์กรพันธมิตร ระหว่างวันที่ 8-9 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบไฮบริด อีเวนต์ (Hybrid Event) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และออนไลน์เสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี 3D เต็มรูปแบบบนช่องทาง www.healthtech-thailand.com
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ส่งมอบนวัตกรรมสนับสนุนการปฏิบัติงานบุคลากรทางการแพทย์
ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดโควิด-19 มีหลากหลายนวัตกรรมจากนักวิจัย สวทช. ที่ได้คิดค้นและพัฒนาเพื่อส่งมอบสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ โดย สวทช. จะเดินหน้าใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิจัย พัฒนานวัตกรรมสู้ภัยโควิด-19 ต่อไป
พวกเราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับบุคลากรด่านหน้าและเบื้องหลังทุกท่านในความทุ่มเท เสียสละปฎิบัติหน้าที่ป้องกันและรักษาทุกชีวิตมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
https://www.youtube.com/watch?v=vBV2inZzVL8
คลัง VDO
ผลงาน/นวัตกรรมรับมือโควิด-19
เทคโนโลยีการผลิต “Cider vinegar” เครื่องดื่มสุขภาพจากผลไม้ไทย
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)
“Cider vinegar” หรือ “น้ำส้มสายชูหมัก” เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะกรดแอซีติก (Acetic acid) ซึ่งเป็นสารสำคัญในเครื่องดื่มประเภทนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยอาหารและควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้ดี ส่งผลให้ตลาดของผลิตภัณฑ์ Cider vinegar มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2570 ผลิตภัณฑ์ Cider vinegar ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในประเทศไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดนี้น้อย เพราะแม้จะมีผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้ แต่ผู้ประกอบการไทยยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสม จึงยากแก่การผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรม
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว สำหรับวัตถุดิบการเกษตรของไทย โดยเป็นกระบวนการผลิตแบบง่ายและต้นทุนต่ำ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงการใช้เทคโนโลยีแปรรูปสินค้าการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้
[caption id="attachment_27165" align="aligncenter" width="450"] นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_27164" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากไบโอเทค สวทช.[/caption]
นายยุทธนา กิ่งชา นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหาร กลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชันและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า จุดเริ่มต้นการทำวิจัยนี้มาจากความต้องการของบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ผู้ผลิตมังคุดที่ต้องการแก้ปัญหามังคุดล้นตลาดด้วยการนำมาแปรรูปเป็น Cider vinegar เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยบริษัทฯ พยายามพัฒนากระบวนการหมักกว่า 7 ปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการหมักที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากต่างประเทศก็มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท จึงเป็นเรื่องยากต่อการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งนี้ไบโอเทค สวทช. มีองค์ความรู้เรื่องจุลินทรีย์และมีคลังจุลินทรีย์ที่พบในประเทศไทยจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสสำคัญที่นำมาสู่การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar จากมังคุดในระดับอุตสาหกรรมร่วมกัน
“โจทย์ใหญ่ในการพัฒนาคือต้องเป็นเทคโนโลยีที่ง่ายและต้นทุนไม่สูง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิต Cider vinegar แบบขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นกระบวนการหมักแบบช้า (Slow process) ที่ทำให้ได้ Cider vinegar ที่มีกลิ่นรสเฉพาะของวัตถุดิบโดยไม่ต้องปรุงแต่งด้วยสารเติมแต่งภายหลังการหมัก โดยได้พัฒนาเทคโนโลยีใน 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือการพัฒนาหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรผสมที่สามารถผลิตเอทานอลและกรดแอซีติกจากการหมักได้พร้อมๆ กัน ซึ่งกระบวนการเดิมต้องหมักถึง 2 ขั้นตอน คือหมักให้เกิดเอทานอลก่อนแล้วนำมาหมักต่อให้ได้กรดแอซีติกภายหลัง
ส่วนที่สองคือการพัฒนาสภาวะที่เหมาะสมและง่ายสำหรับการหมัก เพื่อให้ได้ผลผลิตน้ำส้มสายชูหมักที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังสามารถลดระยะเวลาการหมักจาก 6 เดือน เหลือเพียง 3 เดือน โดยส่วนของระบบของการหมักมีการออกแบบแยกเป็นยูนิต 1 ยูนิตของการหมักประกอบด้วยถังหมักพลาสติกชนิด food grade ขนาด 100 ลิตร จำนวน 4 ถัง ซึ่งสามารถผลิต cider vinegar ได้ประมาณ 280 ลิตร จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง ผู้ผลิตสามารถปรับเพิ่มหรือลดจำนวนถังหมักและระบบการให้อากาศเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิตที่ต้องการได้ ไม่จำเป็นต้องหมักครบทุกถัง หรือหากต้องการเพิ่มปริมาณการผลิตก็ทำได้ง่าย เพียงทำการเพิ่มจำนวนยูนิตของการหมักเท่านั้น นอกจากนี้กระบวนการเตรียมหัวเชื้อจุลินทรีย์และอุปกรณ์การผลิตยังมีราคาถูกและใช้งานง่าย ไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อควบคุมการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกกว่าเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศมาก ที่สำคัญคือ Cider vinegar จากมังคุดที่ผลิตได้ยังมีคุณภาพดีทั้งกลิ่นและรสชาติมีคุณภาพสม่ำเสมอตามมาตรฐาน สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่มังคุดมากกว่า 50 เท่า”
[caption id="attachment_27159" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม แบรนด์ Sukina Drink[/caption]
ปัจจุบันบริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด ได้ร่วมทุนกับบริษัทเอสคิวไอ กรุ๊ป จำกัด พัฒนาผลิตภัณฑ์ “Cider Vinegar จากมังคุดออร์แกนิกแบบพร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ Sukina Drink” วางจำหน่ายในตลาดแล้ว ความพิเศษของผลิตภัณฑ์นอกจากสรรพคุณหลักของกรดแอซีติกที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว มังคุดยังมีสารสำคัญ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ และสารต้านการอักเสบ และสารอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ อีกด้วย
นายยุทธนา เล่าว่า เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวสามารถประยุกต์ใช้ในการผลิต Cider vinegar ครอบคลุมวัตถุดิบการเกษตรของไทยได้หลากหลาย เพียงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการมีวัตถุดิบที่มีจุดเด่นที่คุ้มค่าต่อการลงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์
[caption id="attachment_27158" align="aligncenter" width="640"] Cider vinegar จากสัปปะรด แบรนด์ SINAR[/caption]
“ปัจจุบันไบโอเทคได้ขยายผลการใช้งานเทคโนโลยีสู่การผลิต Cider vinegar จากสัปปะรด ให้แก่บริษัทซินอา บริว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตน้ำส้มสายชูกลั่นที่ต้องการขยายตลาดสู่สินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีการจำหน่ายสินค้าแล้วใน “แบรนด์ SINAR (ซินอา)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Cider vinegar สูตรไม่ปรุงแต่งรสและปราศจากน้ำตาล จึงเหมาะสำหรับนำไปทำเครื่องดื่มและอาหารเพื่อสุขภาพ มีสรรพคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดคอเลสเตอรอล เหมาะแก่ผู้บริโภคอาหารแบบคีโตเจนิค (Ketogenic diet) และผู้ดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ในอนาคตไบโอเทคยังมีแผนพัฒนาต่อยอดไปสู่ผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ อาทิ กระเทียมดำ ผลเชอร์รีกาแฟ และอ้อย ฯลฯ เนื่องจากตลาด Cider vinegar มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในไทย เอเชียแปซิฟิก รวมถึงตลาดโลก”
เทคโนโลยีการผลิตน้ำส้มสายชูหมักแบบขั้นตอนเดียวที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย นับเป็นโอกาสสำคัญของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยในการยกระดับ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพ สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดการสร้างของเสีย และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 11 มิถุนายน 2567 (ท้ายบทความ)
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่ายแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ คือ cider vinegar จากมังคุด (บริษัทเอแอนด์พี ออร์ชาร์ด 1959 จำกัด) สับปะรด (บริษัทซินอา บริว จำกัด) และกระเทียมดำ (บริษัทนพดาซุปเปอร์ฟู้ดส์ จำกัด) และมีอีก 2 ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทเอกชนอีก 2 เจ้าอยู่ระหว่างเตรียมการผลิต คือ cider vinegar จากอ้อย และลำใย
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Development of a THz Photoconductive Antenna (PCA) Emitter
ที่มาความสำคัญ : ปัจจุบันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในย่านความถี่เทระเฮิรตซ์ได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณลักษณะเฉพาะตัวของความถี่ในย่านนี้ที่ Non-Ionizing และสามารถทะลุผ่านสิ่งของที่เป็น Dielectric materials รวมถึงมีความไวในการตรวจจับสารเคมีและสารตั้งต้นวัตถุระเบิด ทำให้ได้มีการวิจัยและพัฒนานำเทคโนโลยีเทระเฮิรตซ์มาประยุกต์ใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยในภาคอุตสาหกรรม ศอ. ได้พัฒนา Photoconductive antenna (PCA) หรือ ต้นแบบการพัฒนาตัวส่งสัญญาณแบบเสาอากาศตัวนำเชิงแสงในย่านเทระเฮิรตซ์ การใช้เทคนิค E-beam irradiation เพื่อปรับปรุงวัสดุกึ่งตัวนำและ พัฒนาเป็นอุปกรณ์ Photoconductive antenna (PCA) เพื่อสร้างสัญญาณ Terahertz ซึ่งใช้เป็นตัวสร้างสัญญาณ (Emitter) และตัวรับสัญญาณเทระเฮิรตซ์ (Detector) ที่มีประสิทธิภาพดี ราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ และได้รับความสนใจจากบริษัทผลิตเครื่องเทระเฮิรตซ์ในประเทศจีน
จุดเด่นของผลงาน/อธิบายรายละเอียดผลงาน : การทดสอบจากลูกค้าคือบริษัท Daheng New Epoch Technology Inc ที่เป็น ผู้ผลิตระบบ Terahertz TDS system ส่งขายไปทั่วโลก 1. ยืนยันว่า PCA ที่ผลิตโดยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่ที่ไม่เคยมีรายงานมาก่อน 2. มีประสิทธิภาพเหนือกว่า PCA ที่บริษัทจัดหาเพื่อใช้ผลิตระบบเพื่อจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน 3. เทคนิคการผลิตยังสามารถรองรับการผลิตแบบ Mass Production ได้ดีกว่าเทคนิคอื่นที่ใช้กัน อยู่ทั่วไปมาก 4. เป็นต้นแบบ Deep tech ที่มีโอกาส disrupt การผลิต commercial PCA สำหรับการสร้าง สัญญาณ Terahertz
ผลงานวิจัยเด่น
ไบโอเทค สวทช. พัฒนาชุดตรวจ “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” สำหรับตรวจหาปริมาณภูมิคุ้มกันโควิด-19 รวดเร็ว แม่นยำ ราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) พัฒนา “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)”ชุดตรวจภูมิคุ้มกันโควิด-19 ด้วยเทคนิค ELISA ใช้งานง่าย รวดเร็ว แม่นยำ และราคาถูกกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ อยู่ระหว่างการยื่นคำขอประเมินเทคโนโลยีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเริ่มมีการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาในหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเชื้อโควิด 19 จาการติดเชื้อหรือได้รับวัคซีน
ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า“COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” เป็นชุดตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด-19 พัฒนาโดยทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี และทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. เป็นการนำองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาของสุกรที่เป็นความเชี่ยวชาญเดิมของทีมวิจัยผนวกกับเทคโนโลยีที่เป็นแพลตฟอร์มพื้นฐานคือ ELISA มาพัฒนาต่อยอดได้ทันท่วงที จึงทำให้ชุดตรวจนี้สำเร็จรูปพร้อมใช้งานสำหรับตรวจระดับแอนติบอดีต่อเชื้อก่อโรคโควิด-19 เชิงปริมาณ ที่สามารถใช้ตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการได้รับวัคซีน และได้ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.- AFRIMS) ทดสอบคุณภาพชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2
โดยมีการอนุเคราะห์ตัวอย่างซีรั่มมาทดสอบเปรียบเทียบกับชุดตรวจแอนติบอดีทั่วไปในท้องตลาด พบว่ามีความไวและความจำเพาะเทียบเท่ากัน รวมทั้งยังมีการสอบเทียบชุดตรวจตัวอย่างซีรั่มมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO เพื่อให้สามารถอ่านค่าแอนติบอดีในหน่วยมาตรฐานของ WHO ในขณะนี้ได้นำไปใช้งานในโครงการวิจัยระดับประชากรโดยร่วมกับคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรวจระดับภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ในบุคลากรสาธารณสุขมากกว่า 1,000 ตัวอย่าง
ดร.พีร์ อธิบายต่อว่า “COVYD-19 Ab test kit (ELISA)” ทางทีมวิจัยได้เลือกตรวจแอนติบอดีต่อส่วนที่สำคัญที่สุดของไวรัส เป็นส่วนที่ไวรัสใช้จับเข้าเซลล์มนุษย์ในการติดเชื้อ คือ Receptor Binding Domain หรือ RBD ที่อยู่บนโปรตีนสไปค์ (ส่วนที่เป็นหนาม) โดยมีการผลิตแอนติเจน RBD ด้วยวิธีการตัดต่อพันธุกรรมและการผลิตรีคอมบิแนนท์โปรตีนให้มีหน้าตาที่เหมือนกันกับโปรตีนของไวรัส แต่ไม่ได้ใช้ชิ้นส่วนจากไวรัสจริงๆ เพื่อความปลอดภัย จากนั้นนำแอนติเจน RBD มาเคลือบลงบนเพลท และใช้สารตรวจจับซึ่งมีปฏิกิริยาทำให้เกิดสี เมื่อนำตัวอย่างซีรั่ม หรือพลาสมา มาตรวจ ถ้าในตัวอย่างมีแอนติบอดีต่อ RBD แอนติบอดีนั้นจะจับอย่างจำเพาะเจาะจงกับ RBD และถูกจับด้วยสารตรวจจับ และแสดงสัญญาณสี แต่หากในตัวอย่างซีรั่ม หรือพลาสมานั้นไม่มีแอนติบอดีที่จำเพาะต่อ RBD ก็จะไม่มีสีเกิดขึ้น”
“ขณะนี้ ทางทีมวิจัย สวทช. อยู่ในระหว่างการถ่ายทอดชุดตรวจแอนติบอดีต่อ SARS-CoV-2 ที่พัฒนาขึ้น ให้กับคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็วที่สุดในช่วงเวลาวิกฤติ ในส่วนของชุดตรวจฯ ยังต้องใช้ตรวจในห้องปฏิบัติการ ไม่สามารถตรวจเองได้ เพราะยังต้องใช้เครื่องอ่านผล แต่ก็เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มีในห้องปฏิบัติการทั่วไป รวมถึงโรงพยาบาลขนาดกลาง เนื่องจากเป้าหมายการพัฒนาชุดตรวจแอนติบอดีในช่วงแรกเน้นเพื่อการตรวจวินิจฉัยส่วนบุคคลในระดับประชากร ที่มีตัวอย่างจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นข้อมูลสถิติในการอ้างอิง ด้วยเชื่อว่าการตรวจเพื่อให้ทราบระดับของภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นในระดับประชากรจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนการบริหารวัคซีนและกำหนดมาตรการสาธารณสุขที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อ และลดความรุนแรงของโรคได้ รวมทั้งสามารถวางแผนบริหารบุคลากรด่นหน้าได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย” ดร.พีร์ กล่าว.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผลงานวิจัยเด่น
ฉีด 1 ได้ถึง 2 ต้นแบบวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกร จากไวรัสนิปาห์และพีอาร์อาร์เอส
โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ (Nipah) เป็นโรคร้ายแรงที่สามารถติดได้ทั้งในสัตว์และคน ในกรณีสัตว์เศรษฐกิจอย่างสุกร หากติดเชื้อจะมีอาการไข้สมองอักเสบรุนแรงและอาจตายในเวลาอันสั้น ส่วนคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสุกรป่วยมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสนิปาห์ ทำให้มีอาการไข้สมองอักเสบซึ่งอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกัน ที่ผ่านมา ในปี 2541-2542 มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ครั้งรุนแรงที่สุดในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ขณะนั้นมีจำนวนผู้ป่วยสูงถึงเกือบ 300 ราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ทำให้ต้องมีการสั่งฆ่าสุกรเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อมากกว่า 1.2 ล้านตัว หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของสุกรทั่วประเทศมาเลเซีย
แม้ในตอนนี้จะยังไม่พบการอุบัติซ้ำที่รุนแรง แต่หากไม่มีการเฝ้าระวังและเตรียมการป้องกันโรคไว้ล่วงหน้า เมื่อเกิดเหตุขึ้นอีกครั้งก็อาจสร้างความเสียหายได้ไม่น้อยกว่าเหตุการณ์ที่เคยเผชิญกันมาแล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยพัฒนา “วัคซีนต้นแบบสำหรับป้องกันการติดเชื้อไวรัสนิปาห์และไวรัสพีอาร์อาร์เอส (PRRS) ในสุกร” ที่คาดหวังว่าจะสามารถป้องกันโรคอันตรายได้ถึง 2 ชนิด ในวัคซีนเข็มเดียว
[caption id="attachment_24923" align="aligncenter" width="1000"] ดร.นันท์ชญา วรรณเสน[/caption]
ดร.นันท์ชญา วรรณเสน นักวิจัยจากทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี กลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงการพัฒนาวัคซีนว่า ปัจจุบันยังไม่มีการใช้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ทั้งสำหรับคนและสัตว์ในประเทศไทย เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ได้มีการอุบัติขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการพัฒนาวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้สามารถรับมือการระบาดได้อย่างทันท่วงทีและลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นแล้วทีมวิจัยจึงได้คิดค้นการพัฒนาวัคซีนต้นแบบที่สามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคนิปาห์รวมเข้ากับวัคซีนป้องกันโรคที่มีการฉีดอย่างแพร่หลายให้กับสุกรอยู่แล้ว คือ วัคซีนป้องกันโรค PRRS เพื่อให้ใน 1 เข็ม ที่เกษตรกรลงทุนค่าวัคซีน สามารถป้องกันโรคติดเชื้อที่เป็นอันตรายแก่สุกรได้ถึง 2 โรค
[caption id="attachment_24922" align="aligncenter" width="1000"] คณะวิจัยไบโอเทค สวทช.[/caption]
“โครงการวิจัยนี้คณะวิจัยไบโอเทคได้ใช้ความเชี่ยวชาญในการตัดต่อพันธุกรรมไวรัส PRRS และได้วางแผนร่วมกับ Prof. Simon Graham และ Dr. Rebecca McLean จาก The Pirbright Institute (TPI) สหราชอาณาจักร ในการทดสอบคุณสมบัติของไวรัส PRRS ในการใช้เป็นเวกเตอร์ไวรัส (Viral vector) นำส่งโปรตีนของไวรัสนิปาห์เข้าไปในร่างกายสุกร เพื่อให้สุกรที่ได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้มีภูมิคุ้มกันต่อโรคทั้ง 2
ในการทำวิจัยครั้งนี้ไบโอเทคได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก The Transnational Access Activities (TNA) : Veterinary Biocontained Facility Network (VetBioNet) มูลค่า 61,350 ปอนด์ (2,504,000 บาท) โดยเป็นการสนับสนุนการทดสอบวัคซีนในห้องปฏิบัติการวิจัย High containment laboratory ซึ่งใช้สำหรับการวิจัยและทดลองเกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคร้ายแรงและสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ที่ Animal and Plant Health Agency, UK รวมถึงให้การสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง”
ดร.นันท์ชญา เสริมว่า ตอนนี้ทีมวิจัยได้พัฒนาวัคซีนต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนของการทดสอบเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการติดโรคทั้ง 2 ในสุกรที่ประเทศอังกฤษ คาดว่าน่าจะรู้ผลภายในปีนี้ หากผลออกมาดีก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไป โดยวัคซีนชนิดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการป้องกันโรคสุกรในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการระบาด โดยเฉพาะประเทศเขตร้อนซึ่งรวมถึงประเทศไทย
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


