ผลการค้นหา :
REMI แชตบอตติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล
จากปัญหาเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ประกอบกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งหลุดจากระบบการตรวจติดตามสุขภาพโดยแพทย์ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งการขาดการประเมินสุขภาพและการได้รับคำแนะนำจากสูตินารีแพทย์ตามการนัดหมาย อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่เป็นอันตรายร้ายแรงแก่ทั้งแม่และทารกในครรภ์ อาทิ ครรภ์เป็นพิษ คลอดก่อนกำหนด การแท้ง
[caption id="attachment_30790" align="aligncenter" width="750"] ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ เนคเทค สวทช.[/caption]
[caption id="attachment_30791" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยแชตบอต "REMI"[/caption]
ดร.พิมพ์วดี เชาวลิต อาหวาด ทีมวิจัยพฤติกรรมมนุษย์ กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า หลังจากทีมวิจัยได้มีโอกาสรับทราบปัญหาจากสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จึงได้ร่วมมือกันนำความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาวิจัยและพัฒนาระบบติดตามสุขภาพหญิงตั้งครรภ์จากทางไกล (Telemedicine) จนได้เป็น “REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์”
“REMI แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกคือระบบสำหรับให้บริการหญิงตั้งครรภ์ โดยหลังจากการฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แพทย์ผู้ดูแลจะเป็นผู้แนะนำการใช้งานระบบแชตบอตเพื่อใช้ติดตามประเมินสุขภาพตลอดช่วงตั้งครรภ์ การเริ่มต้นใช้งานผู้ใช้จะต้องลงทะเบียนและใส่รายละเอียดที่สำคัญ อาทิ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุครรภ์ โรคประจำตัว หลังจากนั้นทุกสัปดาห์จึงเข้ามาบันทึกข้อมูลน้ำหนัก อาหารที่บริโภค รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อให้ระบบช่วยประเมินความเหมาะสมของน้ำหนักตามอายุครรภ์ เพราะน้ำหนักที่น้อยหรือมากเกินเกณฑ์อาจเป็นข้อบ่งชี้ถึงการมีโรคแทรกซ้อนหรือการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสมได้ สำหรับการบริโภคของหญิงตั้งครรภ์ระบบจะช่วยแนะนำปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน รวมถึงประเภทอาหารที่ควรบริโภคตามความเหมาะสมของแต่ละคน
นอกจากนี้หากผู้ใช้งานมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ อาทิ อาหารที่ไม่ควรบริโภค การออกกำลังกาย การมีเพศสัมพันธ์ การบริโภคยา หรืออาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ สามารถพูดคุยกับแชตบอตเสมือนพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเพื่อให้แชตบอตแนะนำข้อมูลทางด้านการแพทย์ รวมถึงข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตามแชตบอตไม่สามารถทำหน้าที่ประเมินอาการผิดปกติหรือโรคแทนแพทย์ผู้ดูแล”
ดร.พิมพ์วดี อธิบายต่อว่า ส่วนที่สองของระบบ REMI คือส่วนของแพทย์ผู้ดูแล หลังจากหญิงตั้งครรภ์บันทึกข้อมูลเข้าระบบแล้ว เซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลข้อมูลและแสดงผลไปยังแดชบอร์ด โดยจะแสดงข้อมูลของหญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ในการดูแลทุกคนพร้อมโคดสีที่สื่อถึงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ อิงตามเกณฑ์การประเมินสุขภาพทางการแพทย์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามผล และหากแพทย์ผู้ดูแลพบความผิดปกติสามารถแชตเพื่อพูดคุยกับหญิงตั้งครรภ์ผ่านระบบนี้ได้
“ระบบ REMI เป็นระบบการตรวจสุขภาพที่เหมาะแก่การใช้ประเมินสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์เบื้องต้นในช่วงที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หญิงตั้งครรภ์ดูแลตนเองได้มีประสิทธิภาพ ลดเวลา ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการติดโรคจากการเดินทางมายังสถานพยาบาล โดยเฉพาะในสภาวะวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 แล้ว ยังช่วยลดภาระงานให้กับแพทย์ได้อีกด้วย ปัจจุบันมีการทดสอบการใช้งานระบบ REMI แล้วที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และจะมีการประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการ รวมถึงพัฒนาให้ระบบมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป”
ดร.พิมพ์วดี ทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจทั้งผู้ประกอบการและสถานพยาบาล เนคเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีรวมถึงร่วมทำวิจัยเพื่อพัฒนาระบบ Telemedicine สำหรับให้บริการผู้ป่วยโรคต่างๆ เพื่อหนุนเสริมให้คนไทยเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างความมั่นคงทางด้านสาธารณสุขให้กับคนไทยตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติในปัจจุบัน
ผลงาน ‘REMI (Robot for Expecting Mother’s Information) ระบบตอบกลับอัตโนมัติ (แชตบอต) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ผ่านแอปพลิเคชันไลน์’ เป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้หัวข้องาน ‘พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG’ ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. เปิดรับสมัครนักเรียนมัธยมที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เข้าร่วมโครงการ JSTP รุ่นที่ 25 ประจำปี 2565
** Update : จากกระแสตอบรับจากน้อง ๆ ที่สนใจร่วมโครงการ JSTP สวทช. จึงขยายเวลารับสมัครในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นตั้งแต่วันนี้ - 12 เมษายน 2565
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน เปิดรับสมัครนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาที่มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วม โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project: JSTP) รุ่นที่ 25 ประจำปี 2565 เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนสนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมเข้าใจถึงบทบาทของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติและมนุษยชาติ ตลอดจนมีความเข้าใจและใฝ่รักวิชาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนักวิจัย นำไปสู่การเพิ่มจำนวนนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยีและนักวิจัยที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
โอกาสที่จะได้รับ
เปิดโลกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การทดลองด้านวิทยาศาสตร์ การบรรยายพิเศษ และทัศนศึกษานอกสถานที่
สร้างสรรค์ผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์ รับทุนทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ม.ต้น 5,000 บาท/โครงงาน และม. ปลาย 10,000 บาท/โครงงาน
มีนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงและนักเทคโนโลยีพี่เลี้ยงชั้นนำของประเทศ (Mentor) คอยให้คำปรึกษาการทำงานทางวิทยาศาสตร์อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ
มีโอกาสได้รับคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาและทุนวิจัยจนจบปริญญาเอก โดยไม่ผูกพันการรับทุน
เปิดรับสมัครทางออนไลน์ในระดับ ม.ต้น ***ขยายเวลารับสมัครตั้งแต่วันนี้ - 12 เมษายน 2565
และในระดับ ม.ปลาย เดือนมีนาคม – เมษายน 2565
ศึกษารายละเอียดและกรอกใบสมัครได้ที่ https://bit.ly/3J9fexa
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ที่
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (กรุงเทพฯ จังหวัดใกล้เคียงและภาคเหนือ)
โทร. 06 4314 1258 (คุณสิริอร) e-mail: jstp@mail.kmutt.ac.th
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
โทร. 09 9162 4653 (คุณกุลฒี) e-mail: poonsoub@gmail.com
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (ภาคใต้)
โทร. 06 3413 6084 (คุณกวิสรา) e-mail: jstp.wu@gmail.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ที่
โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1436 , 1434 e-mail :yst@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์กิจกรรมของงานพัฒนากำลังคน
ปฏิทินกิจกรรม
ระบบเกษตรแม่นยำ “Handy Sense” ตัวช่วยเกษตรกรยุคใหม่ ขยายผลสู่ Farm to School
นักวิจัยเนคเทค สวทช. พัฒนาระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ #HandySense ประกอบด้วยอุปกรณ์ตรวจวัดและควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตของพืช ด้วยการนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ (sensor) ผนวกอุปกรณ์ไอโอที (Internet of Things) มาพร้อมกับความโดดเด่นคือ อุปกรณ์ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ในราคาที่เกษตรกรเข้าถึงได้ โดย HandySense จะตรวจวัดค่าสภาพแวดล้อมที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชผลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์ (sensor) ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความชื้นในดิน ความชื้นสัมพัทธ์ แสง และส่งต่อข้อมูลจากเซนเซอร์ผ่านระบบคลาวด์แล้วนำมาเปรียบเทียบกับค่าที่เหมาะสมของการเพาะปลูกพืช (Crop Requirement) เพื่อแจ้งเตือนและสั่งการระบบต่าง ๆ ให้ทำงานต่อไป
มีการติดตั้งใช้งานไปแล้วมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้กับแปลงเกษตรและเชิงพาณิชย์ได้แล้ว และขยายผลสู่ Farm to School ทดสอบการใช้งานในพื้นที่นำร่องของโครงการใน 3 ตำบล 3 อำเภอของจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย 8 กลุ่มวิสาหกิจและเครือข่ายเกษตรกรและ 5 โรงเรียนใน ต.จอมพระ อ.จอมพระ, ต. อู่โลก อ.ลำดวน และ ต.ตานี อ.ปราสาท
* * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบ ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. หนุนเทคโนโลยีเพิ่มมูลค่า “ฟักทองไข่เน่า” สู่พืชพื้นเมืองอัตลักษณ์ จ.น่าน
สวทช. ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการคัดเลือกพันธุ์และเพิ่มมูลค่า #ฟักทองไข่เน่า รองรับการขึ้นทะเบียนเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองอัตลักษณ์ของ จ.น่าน พร้อมช่วยยกระดับกลุ่มเกษตรกรให้เกิดการอนุรักษ์สายพันธุ์และใช้ประโยชน์จากผลผลิตอย่างครบวงจร สร้างความยั่งยืนและเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง
* * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022) ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
นักวิจัย สวทช. พัฒนา “ไวรัสตัวแทน” ใช้ประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19
ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาไวรัสตัวแทน #PseudotypeVirus เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนกับโครงการวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทย เช่น Chula-Cov-19, วัคซีนของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม และ วัคซีนขององค์การเภสัชกรรม นวัตกรรมนี้ยังได้ถูกใช้ประโยชน์เพื่อประเมินประสิทธิภาพวัคซีนสูตรต่างๆ ที่ใช้ในประเทศไทยต่อการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เช่น สายพันธุ์โอมิครอน BA.1 และ BA.2
นอกจากนี้เทคโนโลยี Pseudotype virus ยังสามารถต่อยอดนำไปเป็นวิธีทดสอบหายาต้านไวรัสตัวใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนติบอดีรักษาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ โดยทีมวิจัยของ สวทช. เป็นผู้ดำเนินการทดสอบ และมีแผนร่วมมือกับหลายหน่วยงานเกี่ยวกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในอนาคต
* * * * * ติดตามตัวอย่างผลงานวิจัยได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 #NAC2022 ภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG" วันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ออนไลน์เต็มรูปแบบที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
“มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ
[caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์
“โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก
ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”
[caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]
วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี
“ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”
[caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]
วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป
“การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”
[caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption]
ผลงานการวิจัยกระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์มะนีมะนาวเป็นหนึ่งในผลงานที่เผยแพร่ใน “งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NAC2022)” ภายใต้หัวข้องาน “พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG” ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานแบบออนไลน์ในวันที่ 28-31 มีนาคม 2565 ติดตามงานได้ที่ www.nstda.or.th/nac
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ประกาศผลการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24 (NSC2022)
ประกาศผลการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 24 (NSC 2022) รอบชิงชนะเลิศ
ข่าวประชาสัมพันธ์
สดนาน! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งเก็บได้นานเป็นปี
#มะนีมะนาว น้ำมะนาวคั้นสด 100% แช่แข็ง ผลงานนักวิจัยนาโนเทค สวทช. เปลี่ยนสภาวะการแช่เยือกแข็ง ลดการทำงานของเอนไซม์เก็บได้นานกว่า 2 ปี และเมื่อทำละลายแล้วสามารถเก็บในรูปของเหลวได้นาน 3 เดือน โดยที่กลิ่น สี และรสเทียบเคียงมะนาวสดทั่วไป
เชิญชมตัวอย่างผลงานได้ในงาน : การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 #NAC2022 วันที่ 28-31 มี.ค. 2565 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG " ลงทะเบียนร่วมงานและรับชมบนแพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
‘เอนก’ ขนทัพนักวิจัย สวทช. มหาวิทยาลัย จับมือภาคเอกชน ปูพรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 จังหวัด พื้นที่ ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : NSTDA brings technology and innovation to enhance the quality of life in Thung Kula Ronghai
รัฐมนตรีฯ กระทรวง อว. นำนักวิจัย สวทช. ถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่ชุมชน ต่อยอดเทคโนโลยีนาโน เพื่อยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นการพัฒนาฐานทุนเดิมที่เป็นจุดแข็งของทุ่งกุลาร้องไห้ให้มีความโดดเด่นและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นช่องทางทางการตลาดและรายได้แก่ประชาชน พร้อมกันนี้ สวทช. ยังส่งเสริมการปลูกพืชหลังนา อย่าง ‘ถั่วเขียว’ ซึ่งได้ร่วมพัฒนาพันธุ์กับเครือข่ายมหาวิทยาลัย และภาคเอกชน โดยนำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวมาสนับสนุนแก่กลุ่มเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาฯ และมีการประกันราคารับซื้อจากภาคเอกชนเพื่อให้ประชาชนสร้างอาชีพและมีรายได้ตลอดทั้งปี สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายได้เพิ่มพ้นความยากจน
(เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565) ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ : ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ศ. นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ผศ. ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรี อว. ดร.กิติพงษ์ พร้อมวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พร้อมด้วยผู้บริหาร สวทช. นำโดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ ดร.วรรณี ฉินศิริกุล ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมลงพื้นที่พบปะและแลกเปลี่ยนความรู้กับประชาชนในพื้นที่ ภายใต้กิจกรรม สวทช. เสริมแกร่งภูมิภาค ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” ณ จ.ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2565
@ ยกระดับผลิตภัณฑ์สิ่งทออัตลักษณ์พื้นถิ่น ผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมBCG
ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความยากจน โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ สวทช. และหน่วยงานภายใต้กระทรวง อว. ลงพื้นพื้นที่ภายใต้แผนงาน “ขับเคลื่อนโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้” โดยเฉพาะมิติทางด้านเศรษฐกิจและรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร และสุรินทร์ เนื่องจากพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์และต่างมีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าที่เข้มแข็ง
ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ชุมชน เช่น ผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ยังมีความงดงามตามวิถีอันเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ดังเช่น ‘ผ้าทอเบญจศรี’ ของดีศรีสะเกษ ที่นำเอาวัตถุดิบสำคัญของจังหวัดมาใช้ย้อมสีไหมหรือฝ้ายเพื่อสร้างผ้าทอที่คงคุณค่าความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน รวมไปถึงลวดลาย ซึ่งนำเอาวัฒนธรรม วิถีชีวิต มาเป็นลวดลายเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตามแม้พื้นที่ทุ่งกุลาฯ จะโดดเด่นด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม แต่ด้วยปัญหาภัยธรรมชาติ และสินค้าภูมิปัญญาที่ยังไม่ตอบโจทย์ตลาด
ดังนั้นกระทรวง อว. โดย สวทช. ได้นำนวัตกรรมมาถ่ายทอดสู่ชุมชนบนพื้นฐานอัตลักษณ์ของชุมชน เช่น การใช้เอนไซม์เอนอีซ "ENZease" สารจากธรรมชาติที่ช่วยทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากเส้นใยในขั้นตอนเดียว ทำให้ย้อมสีธรรมชาติได้ดีขึ้น สีสวย สม่ำเสมอ และยังช่วยลดต้นทุน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังได้สร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม โดยนำ ‘กลิ่นดอกลำดวน’ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษมาเติมลงในผ้าทอเบญจศรี เพื่อสร้างเสน่ห์และอัตลักษณ์ให้กับผ้าทอของจังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากนี้ยังมีการเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ณ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ซึ่ง สวทช. ได้เชื่อมประสานกับสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษในเรื่องของดีไซน์ต่างๆ และเทคโนโลยีกี่ทอมืออัตโนมัติที่เข้ามาช่วยจดจำลวดลายและเพิ่มกำลังการผลิต การนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาให้แนะนำการออกแบบลายผ้า รวมถึงการตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของการอนุรักษ์ภูมิปัญญา ศูนย์เนคเทค สวทช. นำแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลเข้ามาช่วยในการเก็บรักษาฐานข้อมูลและรูปภาพในเรื่องลายผ้าต่างๆ ไว้ให้ลูกหลานสืบสาน รักษา ต่อยอดลายผ้าจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งใช้เป็นฐานทุนทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าควรค่าแก่การอนุรักษ์และเชื่อมโยงสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวบนฐานความรู้ได้อีกด้วย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับการยกระดับผ้าทอของทุ่งกุลาร้องไห้ นักวิจัย สวทช. นำพัฒนาเทคโนโลยีด้านไบโอเทคโนโลยีที่เรียกว่านวัตกรรม เอนไซม์เอนอีซ (ENZease) ซึ่งผลิตได้จากการหมักเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรโดยใช้จุลินทรีย์ที่คัดเลือกคลังจุลินทรีย์กว่า 80,000 สายพันธุ์ของ สวทช. โดยจุลินทรีย์นี้สามารถทำงานได้ดีในช่วงค่าพีเอช (pH) และอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกัน คือ pH 5.5 และที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส เอนไซม์เอนอีซ มีจุดเด่นสำคัญคือ ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพความแข็งแรงของผ้า
สามารถลอกแป้งและกำจัดสิ่งสกปรกบนผ้าได้พร้อมกันในขั้นตอนเดียวช่วยประหยัดเวลา ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนในการผลิต และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยถนอมคุณภาพของผ้าให้คงคุณภาพสูง ผ้าไม่ถูกทำลายเหมือนการใช้สารเคมี นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัย สวทช. ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี มาเพิ่มสมบัติพิเศษต่างๆ เช่น ความนุ่มลื่น การป้องกันรังสียูวี การยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงการเติมกลิ่นหอม ‘ดอกลำดวน’ ในระดับนาโนแคปซูลกลิ่นดอกลำดวนจะเกิดการปล่อยกลิ่นเมื่อมีการสัมผัสกซึ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าไหมของจังหวัดศรีสะเกษ
@ ยกระดับรายได้จากอาชีพเสริมพืชหลังนา
จากนั้น (วันที่13มีนาคม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ สวทช.กับประชาชน ด้วยโมเดลBCG ขับเคลื่อนโปรแกรมยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จ.ศรีสะเกษ มีนายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายนพ พงศ์พลาดิสัย นายอนุรัตน์ ธรรมประจำจิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายชัยยงค์ เมธาสุรวิทย์ นายอำเภอราษีไศล นายวิชัย ศรีโพธิ์งาม เกษตรจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ (กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ร่วมให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สวทช. ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พัฒนาสายพันธุ์ถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง มีความต้านทานต่อโรคราแป้งและใบจุด และถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรทั้งกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และเกษตรกรผู้ผลิตถั่วเขียวเข้าโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งแต่สายพันธุ์ การบริหารจัดการแปลง การจัดการโรคและแมลง การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2563
ได้แก่ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ จำนวน 100 คน พื้นที่ปลูก 500 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ย 120 -150 กิโลกรัมต่อไร่ สร้างรายได้เสริมให้กับเกษตรกรเฉลี่ย 2,600 – 3,300 บาทต่อไร่ ซึ่งการปลูกพืชถั่วเขียว เป็นพืชหลังการเก็บเกี่ยวข้าวในนาข้าวแล้ว เป็นการเสริมรายได้ให้เกษตรกร และเป็นหนึ่งในแผนงานของโปรแกรมการยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและกลุ่มคนจนเป้าหมายในมิติเศรษฐกิจ
โดยมี สวทช. ขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ โดยเชื่อมโยงกับภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) มีปริมาณการรับซื้อ 1,000 ตันต่อปี และบริษัท กิตติทัต จำกัด มีปริมาณการรับซื้อ 3,500 ตันต่อปี เพื่อให้มีผลผลิตถั่วเขียวที่เพียงพอ ต่อความต้องการของตลาดต้องการพื้นที่ปลูก จำนวน 30,000 ไร่ (ผลผลิตเฉลี่ย 150 กิโลกรัมต่อไร่)
“กระทรวง อว. ยังเดินหน้านำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้าไปช่วยขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ในมิติต่างๆ โดยใช้ TPMAP ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนได้ตรงจุดและรวดเร็ว การนำเทคโนโลยีต่างๆ ไปช่วยเพิ่มศักยภาพและเพิ่มมูลค่าของสินค้าเกษตร การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้มีรายได้ที่นำพาให้คนทุ่งกุลาร้องไห้หลุดพ้นความยากจนได้” รัฐมนตรีกระทรวง อว. กล่าว
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินงานและผลผลิต ในฤดูกาลผลิตถั่วเขียว ปี 2564/2565 สวทช. ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และสำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการปลูกถั่วเขียวหลังนานำร่องในพื้นที่เป้าหมายในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ จำนวน 2,161 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 317 คน
ได้แก่ 1. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมขยายพันธุ์ข้าว ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ 2. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านโนนสวรรค์ ตำบลทุ่งหลวง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 3. กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านหนองฮี ตำบลเมืองเตา อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 4. กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนยั่งยืนน้ำอ้อม ตำบลน้ำอ้อม อำเภอค้อวัง จังหวัดยโสธร และ 5. กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งเกษตรกรเครือข่ายในพื้นที่ 5 จังหวัดทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเชื่อมโยงกับบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ในการรับซื้อผลผลิต จำนวน 1,679 ไร่ คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตถั่วเขียว จำนวน 324 ตัน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรไม่ต่ำกว่า 7.13 ล้านบาท
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล ประจำปีงบประมาณ 2565
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) ขอเชิญผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเสริมภูมิต้านทานโรคกลุ่ม NCDs โรคโควิค –19 เเละผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอางที่มีผลทดสอบประสิทธิภาพ เเละความปลอดภัยทางวิทยาศาสตร์เข้าร่วม "โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล ประจำปีงบประมาณ 2565"
กิจกรรมหลักของโครงการ
สัมมนา Thai Herbal & Natural Products to Global เพื่อสร้างความตระหนักด้านนวัตกรรมสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในเศรษฐกิจยุคใหม่ เสริมองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับ Herbal Innovation, Herbal Industrial
ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ Herbal Biz design thinking workshop เพื่อพัฒนากระบวนการสร้างความคิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ Problem Solution Market Fit, Market Validation ไปสู่การพัฒนาธุรกิจ
ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ Effective Negotiation workshop เพื่อเสริมสร้างทักษะการเจรจาธุรกิจ เรียนรู้กระบวนการเจรจาต่อรอง เเละการนำเสนอสินค้าเเละบริการ
กิจกรรมพบที่ปรึกษา (เเบบ 1 on 1) เพื่อทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายและวินิจฉัยปัญหาทางธุรกิจ การเงิน การวางกลยุทธ์ การตลาด การบริหารองค์กร และด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
กิจกรรม Pitching เพื่อนำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการ นักลงทุน เเละผู้ที่สนใจทั่วไป
.
สามารถส่งเอกสารการสมัครได้ทางอีเมล herbalac@nstda.or.th หรือติดต่อโดยตรงได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์พัฒนาประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี เลขที่ 111 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อาคาร Garden of Innovation) ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 **ภายในวันที่ 15 เมษายน 2565
ดาวน์โหลดใบสมัครโครงการ Herbal Accelerate ที่นี่
ดาวน์โหลดข้อมูลโครงการ ที่นี่
.
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช.
โทรศัพท์ 02-5647000 ต่อ 71743, 71745, 71746 เเละ 81494
Email: herbalac@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
บีโอไอ ร่วมกับ NIA ขอเชิญร่วมงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นเข้าถึงแหล่งทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วม “งานมหกรรม BCG Startup Investment Day” ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green Economy (BCG) ในวันที่ 24 มีนาคม 2565 เพื่อพัฒนาความเข้มแข็งจากศักยภาพภายในประเทศ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพโดยนำความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเน้นกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ด้าน BCG เพื่อยกระดับความสามารถและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกิดขึ้นได้ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดบนฐานรากการพัฒนาที่ยั่งยืน
ภายในงานมหกรรม BCG Startup Investment Day จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ
พิธีเปิดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day โดยมี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี
กิจกรรมเสวนาที่รวบรวม Unicorn Startup มากที่สุด มาร่วมถอดรหัสลับความสำเร็จผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์จาก Unicorn ชั้นนำ ในหัวข้อ “ปลุกพลัง Startup ไทย ก้าวไกลสู่ Unicorn” โดย
คุณญาดา ปิยะจอมขวัญ ผู้ร่วมก่อตั้งและ Chief Product Officer บริษัท Ajaib จำกัด
คุณจรัสพักตร์ การปลื้มจิตต์ พาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจแฟลช
คุณวีรภัทร กีรติวุฒิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทรัพยากรบุคคล ของ Bitkub Group
คุณณัฐวดี แซ่เอี้ย ผู้บริหารระดับสูง บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด และ บลน. แอสเซนด์ เวลธ์ จำกัด ภายใต้บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด
กิจกรรม BCG Startup Pitching จาก 23 บริษัท กับโมเดลธุรกิจที่น่าสนใจที่นักลงทุนไม่ควรพลาด
กิจกรรม Networking Session โอกาสที่คุณจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พูดคุย เจรจาธุรกิจร่วมกัน
การจัดแสดงบูธนิทรรศการทั้ง Startup และหน่วยงานพันธมิตร
ขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน "งานมหกรรม BCG Startup Investment Day " โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยสามารถเข้าร่วมงานได้ 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบ Onsite ที่จัดขึ้น ณ C asean ชั้น 10 อาคาร CW Tower กรุงเทพฯ ขอจำกัดเฉพาะผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วไม่น้อยกว่า 2 เข็ม และเพื่อการปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด ซึ่งนอกจากการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่างทางสังคม แล้วทางคณะผู้จัดงานมีความจำเป็นในการขอความร่วมมือผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบ Onsite ทุกท่านต้องผ่านจุดตรวจคัดกรอง และมีการตรวจ ATK (ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถเข้ารับการตรวจ ATK ได้ตั้งแต่ 09.30 น. เป็นต้นไป) ตามขั้นตอนที่กำหนดก่อนเข้าสถานที่จัดงาน สำหรับการเข้าร่วมในรูปแบบ Online ไม่มีการจำกัดจำนวน สามารถรับชมได้ที่ Facebook https://www.facebook.com/boithailandnews
Startup มา pitching 24 ราย เช่น ใบยา ไฟโตฟาร์ม, juiceinnov8, Q Box Point, Nabsolute เป็นต้น
วันที่ 24 มีนาคม 2565
เวลา 10.30 -19.00 น.
รูปแบบ Hybrid event
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ : https://www.zipeventapp.com/e/BCG-Startup-Investment-Day
BCG
ข่าวหน่วยงานภายนอก
การประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ (Focus group)
ขอเรียนเชิญเข้าร่วมการประชุมภาคีบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขาเครื่องมือแพทย์ วันที่ 30 มีนาคม 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
การสัมมนาและ focus group ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในงานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 17 (NSTDA Annual Conference: NAC2022) ภายใต้แนวคิดหลักพลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม BCG (Revitalizing Thai Economy through BCG Research and Innovation) ในการประสานความร่วมมือภาครัฐด้วยกลไกการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มาตรการทางการเงิน และ การพัฒนาธุรกิจและส่งเสริมการตลาด เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสในการขยายผลเชิงพาณิชย์ให้กับงานวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพและการแพทย์ และมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
การบรรยาย กลไกภาครัฐสนับสนุนภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ประกอบด้วย
กลไกกลุ่มที่ 1 การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
Thailand Business Innovation Research: TBIR – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
การสนับสนุนทุนวิจัยภายใต้กรอบการแพทย์ – หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
กลไกกลุ่มที่ 2 การส่งเสริมด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่มาตรการการเงิน
มาตรการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (THAI SME-GP) – สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
โครงการ Made in Thailand (MiT) การขอรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อสิทธิประโยชน์จากการให้แต้มต่อของภาครัฐ – สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โครงการ Merit based Incentives สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม สู่การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน – สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
การขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อสร้างตลาดภาครัฐ – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กลไกกลุ่มที่ 3 การสนับสนุนด้านการเงินในการต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์
โปรแกรมบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์และหุ่นยนต์ทางการแพทย์ขั้นสูง – ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน)
โครงการนวัตกรรมมุ่งเป้า (Thematic Innovation) เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมในระดับอุตสาหกรรม – สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance program: ITAP) การพัฒนาศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนได้ที่ : https://www.nstda.or.th/nac/2022/seminar/b2-30a-12/
BCG
ปฏิทินกิจกรรม


