ผลการค้นหา :
ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ สนับสนุนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน
ช่วงปีที่ผ่านมามีข่าวที่น่าตื่นเต้นในวงการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ เช่น นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันสามารถโคลนนิงเฟอร์เรตตีนดำ (Black-footed Ferret) สัตว์ใกล้สูญพันธุ์จากตัวอย่างเนื้อเยื่อที่เก็บรักษาไว้นานกว่า 30 ปี และนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียสามารถคืนชีวิตให้ต้น ไซลีน สเต็นโอฟิลลา (Silene stenophylla) ที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากเมล็ดที่ผ่านการแช่แข็งตามธรรมชาติมานานนับหมื่นปี ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ต่างมีแนวโน้มที่จะเสียงต่อการสูญพันธุ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะดีหรือไม่หากประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศในระยะยาวได้เช่นกัน
[caption id="attachment_32162" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สวทช.[/caption]
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรชีวภาพสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ทำให้ไทยมีความมั่นคงด้านอาหาร สามารถนำทรัพยากรชีวภาพมาใช้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้หลากหลาย แต่การคงอยู่ของทรัพยากรชีวภาพอาจไม่ยั่งยืน เนื่องด้วยพฤติกรรมการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพของมนุษย์ และการต้องเผชิญเหตุภัยธรรมชาติหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้ทรัพยากรหลายชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ ส่งผลให้ระบบนิเวศขาดความสมดุล ประเทศไทยอาจสูญเสียความมั่นคงด้านอาหาร และต้องเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงต่างๆ ในอนาคต
“เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ สวทช. ได้ก่อตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ขึ้นในปี 2562 เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในการสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว (Long-term Conservation) และเป็นคลังทรัพยากรชีวภาพสำรองให้แก่ประเทศ (Long-term Biobanking Facility) สำหรับรับมือกับวิกฤติการณ์ต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรชีวภาพไปอย่างถาวร ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานนี้จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงการรักษาฐานทรัพยากรชีวภาพและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมดุล โดย NBT ได้พัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องและใช้เทคโนโลยีมาตรฐานเพื่อยกระดับการอนุรักษ์ในประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้เกิดการนำข้อมูลทรัพยากรชีวภาพที่จัดเก็บไปใช้ประโยชน์ต่อยอดในภาคส่วนต่างๆ อย่างยั่งยืน”
การทำงานเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาว
ทรัพยากรชีวภาพในไทยมีทั้งที่เป็นทรัพยากรท้องถิ่นและทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายมาจากพื้นที่อื่น ทรัพยากรแต่ละชนิดมีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ไม่เท่ากัน NBT จึงมีเกณฑ์ในการจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพรวมถึงข้อมูลต่างๆ ของตัวอย่างเหล่านี้ เพื่อการอนุรักษ์อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่า NBT ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพของประเทศโดยการทำงานร่วมกันของนักวิจัยจาก 3 ธนาคารหลัก คือ ธนาคารพืช (Plant Bank) ธนาคารจุลินทรีย์ (Microbe Bank) และธนาคารข้อมูล (Data Bank) โดยธนาคารพืชจะให้ความสำคัญต่อการจัดเก็บพืชถิ่นเดียว พืชที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และพืชที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยจัดเก็บส่วนขยายของพืช เมล็ดพันธุ์ (Seed) และเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) และมีการจัดเก็บตัวอย่างพรรณไม้แห้ง (Herbarium Specimen) เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงทางวิชาการ ธนาคารจุลินทรีย์จะให้ความสำคัญกับการเก็บสำรองจุลินทรีย์ที่ค้นพบในไทย ที่มีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์และเป็นแหล่งอ้างอิงที่ดีของประเทศ โดยจัดเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์ในรูปแบบและอุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นที่ยอมรับในวงการวิชาการ และมีแนวโน้มที่จะนำไปใช้เป็นมาตรฐานสากลในอนาคต ซึ่ง NBT มีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บตัวอย่างทรัพยากรชีวภาพในรูปแบบคงสภาพหรือคงความมีชีวิตที่อุณหภูมิเยือกแข็ง 2 ระดับ ระดับ -20 องศาเซลเซียส จัดเก็บเมล็ดพืชได้ 100,000 หลอดที่ขนาด 25 มิลลิลิตร และระดับ -80 องศาเซลเซียส จัดเก็บจุลินทรีย์และตัวอย่างชีววัสดุอื่นๆ ได้ 300,000 หลอดที่ขนาด 2.5 มิลลิลิตร และมีความสามารถในการจัดเก็บตัวอย่างเซลล์ในถังไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen) ขนาด 1,770 ลิตร”
ร่วมวิจัยและพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นอกจากการให้บริการการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวแล้ว อีกหนึ่งการทำงานที่ NBT ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือ การวิจัยและพัฒนาด้านข้อมูลทรัพยากรชีวภาพ เพื่อนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นบทบาทของธนาคารข้อมูลชีวภาพ (Data Bank) เป็นโครงสร้างที่มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีค่าของทรัพยากรชีวภาพของประเทศ
ดร.ศิษเฎศ อธิบายว่าในการจัดเก็บทรัพยากรชีวภาพแต่ละชนิด นักวิจัยของ NBT จะรวบรวมข้อมูลหลากหลายมิติของตัวอย่าง อาทิ สารสำคัญของทรัพยากรชนิดนั้นๆ รูปแบบและวิธีการจัดเก็บทรัพยากรที่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์และข้อมูลรหัสพันธุกรรรม เพื่อทำให้การจัดเก็บเป็นระบบและถูกต้อง NBT ได้พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการข้อมูลตัวอย่าง Specimen Management System หรือ SMS ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำกับให้การจัดเก็บเป็นระบบ สามารถตรวจสอบคุณภาพการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ตั้งเป้าหมายที่จะเปิดให้หน่วยงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันใช้งานเพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการทรัพยากร โดยฐานข้อมูลเหล่านี้จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงเพื่อประโยชน์ในการศึกษา วิจัย และต่อยอดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภาคการอนุรักษ์และการต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มของภาคอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร การแพทย์
ดร.ศิษเฎศ เสริมว่า ตัวอย่างงานวิจัยสำคัญที่ NBT มีส่วนร่วมในการพัฒนาฐานข้อมูลอ้างอิง คือ การร่วมมือกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ในการพัฒนาฐานข้อมูลสารออกฤทธิ์ที่สำคัญของสมุนไพรเพื่อใช้ในการผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอก และการดำเนินงานโครงการ Genomics Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ทางด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย ในการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงเพื่อการประมวลผลข้อมูลจีโนมมนุษย์ และการพัฒนาเครื่องมือชีวสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนกิจกรรมเวชพันธุศาสตร์ (Genomic Medicine) เพื่อช่วยเหลือแพทย์ในการพยากรณ์โรค (Prognosis) การวินิจฉัย (Diagnosis) และการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม (Treatment Selection) ให้แก่ผู้ป่วย
“NBT มีความตั้งใจที่จะสนับสนุนประเทศให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเจ้าของทรัพยากร นักวิจัย และองค์กรทั้งภายในและต่างประเทศ ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศที่เข้มแข็งในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรชีวภาพ โดยปัจจุบันนอกจากที่ NBT ได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐแล้ว NBT ยังได้ร่วมงานกับผู้ประกอบการรายใหญ่ของประเทศอีกหลายรายในการสนับสนุนการทำวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ เวชสำอาง และอาหารทางเลือก เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงก่อให้เกิดรายได้กลับเข้าสู่องค์กรสำหรับวิจัยและอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ ตามนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ” ดร.ศิษเฎศ กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ NBT พร้อมแล้วที่จะสนับสนุนการยกระดับการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ และยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT ได้ที่ www.nbt.or.th หรือติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล biobank@biobank.in.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ความสำเร็จในการขยายผลการผลิตต้นกล้าอินทผลัมในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสู่เกษตรกรไทย
อินทผลัม เป็นไม้ยืนต้นตระกูลเดียวกับปาล์ม ผลมีเนื้อสีเหลือง เนื้อฉ่ำน้ำ มีรสชาติหวานฉ่ำ มีเมล็ดแข็งทรงยาวรีอยู่ข้างในเนื้อ และเนื่องจากผลสุกมีราคาสูง ปัจจุบันจึงได้รับความนิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะพันธุ์บาฮี ที่เป็นพันธุ์รับประทานผลสดและเป็นพันธุ์การค้ายอดนิยม ให้ผลผลิตสูง สามารถปลูกได้ดีในประเทศไทย ผลผลิตเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้อินทผลัมขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาแรงที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยด้วยการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพ สอดคล้องแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG .ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน และสามารถพึ่งพาตนเองได้ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
ในการขยายพันธุ์ต้นอินทผลัม เนื่องจากอินทผลัมเป็นพืชแยกต้นเพศผู้และเพศเมีย เกษตรกรจะปลูกให้ได้ผลผลิตจะต้องปลูกต้นเพศเมียเท่านั้น แต่การเพาะเมล็ดอินทผลัมนั้นนอกจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์แล้วยังมีความเสี่ยงสูงที่จะได้ต้นเพศผู้มากกว่าต้นเพศเมีย และจะทราบก็ต่อเมื่อปลูกไปแล้ว 2-3 ปี จนกระทั่งพืชออกดอก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะสามารถส่งตรวจทดสอบเพศของต้นอินทผลัมได้แล้ว แต่ก็ไม่การันตีถึงคุณภาพของผลผลิตที่ได้รับ ทำให้เกษตรกรเกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรรายใหญ่จึงมักเลือกซื้อต้นกล้าอินทผลัมที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศมาปลูกทำให้มีการนำเข้าต้นพันธุ์เพาะเลี้ยงมาจากต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งจะมีลักษณะดีเหมือนแม่พันธุ์ทุกประการ ตลอดจนให้ผลผลิตที่สม่ำเสมออีกด้วย แต่มีราคาสูง ทำให้เกษตรกรต้องเจอกับต้นทุนที่สูงขึ้น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับบริษัท พี โซลูชัน จำกัด พัฒนาเทคนิคการขยายพันธุ์อินทผลัมพันธุ์บาฮีในเชิงการค้า โดยใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ทำให้สามารถขยายต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีในระดับห้องปฏิบัติการ และต่อยอดสู่ในระดับเชิงพาณิชย์ เพื่อแก้ปัญหาการขยายต้นกล้าพันธุ์ดีของพืชมูลค่าสูง และยังช่วยให้ผลิตจำนวนต้นกล้าพันธุ์ดีเพียงพอต่อความต้องการของภาคเกษตรกรผู้ผลิต โดยได้รับการสนับสนุนจากโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช.
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยที่มุ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างขีดความสามารถและความมั่นคงในการผลิตพืชเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ผ่านมา ไบโอเทค มีการนำเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายพันธุ์และการปรับปรุงพันธุ์พืชเศรษฐกิจที่มีอายุยาว เช่น ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว ซึ่งความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาใช้ในการการขยายพันธุ์อินทผลัมพันธุ์บาฮีในเชิงการค้าครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของงานวิจัยที่ไบโอเทค นำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืชเศรษฐกิจในประเทศไทย ที่ช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และกระจายโอกาสให้ทั่วถึง สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)
ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค ให้ข้อมูลว่า “อินทผลัมเป็นพืชตระกูลปาล์ม ซึ่งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชตระกูลปาล์มนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นพืชที่โตช้า ดังนั้นการพัฒนาเนื้อเยื่อในห้องปฏิบัติการจึงใช้ระยะเวลานานไปด้วย ทางทีมวิจัยก็ได้รับโจทย์นี้มาจากผู้ประกอบการและเกษตรกรที่สนใจการขยายพันธุ์อินทผลัมพันธุ์บาฮีด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จึงได้เริ่มทำวิจัยโดยคัดเลือกต้นอินทผลัมเพศเมียสายพันธุ์บาฮีที่มีลักษณะดีเพื่อใช้เป็นต้นแม่ แล้วนำเนื้อเยื่อเจริญส่วนยอดและใบอ่อนของต้นแม่มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเป็นเวลากว่า 1-2 ปี จนสามารถชักนำให้เกิดการพัฒนาเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่าแคลลัส และแคลลัสสามารถเจริญไปเป็นต้นอ่อนสมบูรณ์ได้”
“ที่ผ่านมาทำวิจัยในปาล์มน้ำมัน พบว่ากว่าจะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปาล์มน้ำมันให้เกิดเป็นต้นอ่อนในห้องปฏิบัติการได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี แต่ในอินทผลัมเราสามารถทำได้เร็วกว่าปาล์มน้ำมัน โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี เท่านั้น ก็เริ่มเห็นเป็นยอดอ่อนสีเขียวพัฒนาจากแคลลัสแล้ว ยอดอ่อนสีเขียวที่เห็นนี้ถือว่าสำเร็จไปแล้ว 80% และจากประสบการณ์ของทีมวิจัย เราเห็นแนวโน้มว่าจะพัฒนาไปเป็นต้นและพร้อมนำลงปลูกในดินได้ต่อไป ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการใช้ระบบไบโอรีแอคเตอร์เข้ามาช่วยเร่งกระบวนการในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของอินทผลัมบาฮี เพื่อเพิ่มจำนวนให้ได้เป็นจำนวนมาก”
คุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัท พี โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า “อินทผลัมเป็นพืชมูลค่าสูง ผลสดเป็นที่ต้องการสูงในตลาด มีราคาจำหน่ายกิโลกรัมละ 500-800 บาท ทั้งบริโภคในประเทศและส่งออก โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง ในขณะที่ต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงถึงต้นละ 1,500-2,000 บาท ส่วนใหญ่นำเข้าจากอิรัก อียิปต์ รวมถึงอังกฤษ จึงมีแต่เกษตรกรหรือผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้นที่ลงทุนปลูกได้
แต่หากเราสามารถผลิตต้นกล้าอินทผลัมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้เองในประเทศและทำให้มีราคาถูกกว่าของต่างประเทศ จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการได้มาก ส่วนเกษตรกรรายย่อยก็มีโอกาสปลูกได้มากขึ้นด้วย หรือปลูกเสริมจากการทำไร่ทำนาเพียงไม่กี่ต้น ก็จะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย จึงได้เข้ามาติดต่อกับทาง ไบโอเทค สวทช. ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และจัดทำเป็นโครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์บาฮีขึ้นมา และจากการทำงานร่วมกับทาง ไบโอเทค สวทช. มา ก็คาดว่าในอนาคตจะมีการจัดทำโครงการร่วมกันในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการสำหรับผลิตต้นกล้าอินทผลัมโดยเฉพาะ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนด้านห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อผลิตต้นกล้าอินทผลัมในเชิงพาณิชย์ต่อไปด้วย
สิ่งสำคัญสำหรับเกษตรกรผู้ผลิตอินทผลัม คือ การคัดเลือกสายพันธุ์ของอินทผาลัม เพื่อนำมาเป็นต้นแม่สำหรับการขยายพันธุ์ เนื่องจากอินทผลัมมีระยะเวลาในการเจริญเติบโต 2 - 3 ปีกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งหากไม่ได้มีการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีก็พบความเสี่ยงที่ต้นกล้านั้นจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน อาจจะเกิดการเน่าเสียหรือได้ผลผลิตไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ทำให้เกษตรกรเสียหายเนื่องจากนำเข้ามาในราคาแพง ซึ่งต้นแม่พันธุ์อินทผลัมบาฮีในโครงการนี้ได้รับความอนุเคราะห์จาก คุณรณชัย วงษ์ศรีทา เกษตรกร เจ้าของอินทผลัมสวนลุงขุน อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ประจำเดือนเมษายน 2565
ข่าว
สวทช. รับมอบโล่รางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จากกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
สวทช. จัดใหญ่ งาน NAC2022 ‘พลิกฟื้นเศรษฐกิจและสังคมไทย ด้วยงานวิจัย-นวัตกรรม BCG’บนแพลตฟอร์มออนไลน์
สวทช. จับมือ จุฬาฯ มจธ. ผนึกกำลังแลกเปลี่ยนทางวิชาการ เพื่อตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรม
ชาวไร่มันสำปะหลังเฮ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. คิดค้น ‘Strip test’ ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังอย่างรวดเร็ว รู้ผลใน 15 นาที
สวทช. ร่วมกับ ธนาคารยูโอบี และหน่วยงานพันธมิตร ดึง HUBBA เสริมแกร่งโครงการ Smart Business Transformation ปี 2565
สพฉ. ผนึก A-MED สวทช. และองค์กรพันธมิตร ใช้ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ขับเคลื่อนการแพทย์ฉุกเฉิน
สวทช. ร่วมกับ กรมการแพทย์ และ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลังขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมตอบโจทย์ BCG ด้านสุขภาพและการแพทย์
‘เอนก’ ขนทัพนักวิจัย สวทช. มหาวิทยาลัย จับมือภาคเอกชน ปูพรมพัฒนาณภาพชีวิต 5 จังหวัด พื้นที่ ‘ทุ่งกุลาร้องไห้’ ด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สวทช.จับมือ GPSC ดันงานวิจัย-นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน นำร่องน่าน-ระยอง ใช้สมาร์ทฟาร์มมิ่งหนุนเกษตรวิถีใหม่ตอบ BCG
รัฐบาลจีนประกาศมอบรางวัลแห่งมิตรภาพ "The 2021 Chinese Government Friendship Award" ให้กับ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช.
สวทช. - พันธมิตร เยี่ยมชมผลสำเร็จ ผลงานการพัฒนาศักยภาพครูและนักเรียนโรงเรียน ตชด. บ้านหม่องกั๊วะ
สวทช. โดย STKS และ มธ. โดย หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ การจัดการสารสนเทศและองค์ความรู้
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดการประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2565 (NAC2022)
สวทช. และ ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์
บทความ
ทุเรียนห่อถุง Magik Growth ลดสารเคมี สู่ต้นแบบ “ทุเรียนพรีเมียม” เพื่อส่งออก
Download เอกสารฉบับเต็ม (24.4MB)
จดหมายข่าว สวทช.
สวรส. ร่วมกับเอ็มเทค สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่
(2 พฤษภาคม 2565) อาคารสำนักงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.): จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ยังคงมีการระบาดและแพร่กระจายเชื้อในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยังคงพึ่งพาการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศซึ่งนอกจากต้องใช้งบประมาณสูง ยังพบปัญหาการใช้งานของเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ตอบโจทย์ของบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เล็งเห็นปัญหาดังกล่าวจึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศและมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
โดยมีจุดเด่นที่สามารถออกแบบให้เป็นระบบสร้างความดันลบและห้องแยกผู้ป่วย สามารถปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบความต้องการใช้งาน และขนาดพื้นที่ได้ โดยส่งมอบนวัตกรรม ไฮพีท (HI PETE) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์รับมือสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 โดยมี นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วยทีมวิจัยร่วมส่งมอบครั้งนี้
นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการสร้างความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาระบบสุขภาพ ตลอดจนผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากความรู้ที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนานโยบายสุขภาพบนพื้นฐานของความรู้เชิงประจักษ์ ตลอดจนผลักดันงานวิจัยระบบสุขภาพหลากหลายด้าน เพื่อมุ่งไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน โดย สวรส. ให้ความสำคัญกับการจัดสรรทุนวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และส่งผลต่อความยั่งยืนในระบบสุขภาพ รวมทั้งผลงานวิจัยยังสามารถตอบสนองต่อการแก้ปัญหาของประเทศได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความยั่งยืนของระบบการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อลดค่าใช้จ่าย การประเมินความคุ้มค่าและผลกระทบของงบประมาณ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันปัญหาโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สวรส. ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง
เพื่อให้เกิดการต่อยอดและขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาวิกฤติในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สวรส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศได้ ตลอดจนสนับสนุนการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดเพื่อแก้ปัญหากรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญและมีความเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งนวัตกรรม “HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย”
สามารถใช้ได้ที่บ้านหรือชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้ในศูนย์พักคอยหรือโรงพยาบาลสนาม และมีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยเต็นท์ความดันลบ HI PETE ได้ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่ง สวรส. มั่นใจว่านวัตกรรมงานวิจัยชิ้นนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในพื้นที่ระดับจังหวัดทั่วประเทศ และสามารถช่วยแก้ปัญหาของบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อีกด้วย
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า สำหรับผลงาน HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamber for Home Isolation) เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็นการต่อยอดองค์ความรู้มาจากการพัฒนาเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ ที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า “PETE (พีท)” มาเป็นเต็นท์สำหรับแยกผู้ป่วยแบบ Home Isolation และเรียกสั้นๆ ว่า “HI PETE (ไฮ พีท)”
โดยทีมวิจัยได้ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยสีเขียวที่จำเป็นต้องทำ Home Isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ โดยมีจุดเด่นคือทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ห้องในที่อยู่อาศัย ต้นทุนต่ำ มีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งใช้งานเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อชั่วคราว มีช่องหน้าต่างสำหรับสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ ที่ปฏิบัติงาน ลดระยะเวลา ลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร โดยปัจจุบัน HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
รุ่น COMPACT (คอมแพ็ค) เป็นรุ่นที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย ติดตั้งได้รวดเร็ว เหมาะกับที่บ้าน หรือ โรงพยาบาลสนาม
รุ่น BALLOON (บอลลูน) มีดีไซน์ที่คล้ายลูกโป่ง ที่สามารถติดตั้งได้รวดเร็วด้วยปั๊มลม เหมาะกับโรงพยาบาลสนาม หรือหอผู้ป่วย
รุ่น GRANDE (แกรนเด) เป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่ กว้างขวาง รองรับการติดตั้งเครื่องมือแพทย์ ตอบโจทย์การใช้งานในสถานพยาบาลที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยหนัก อาทิ แผนกฉุกเฉิน และหอผู้ป่วย
นวัตกรรม HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยทั้ง 3 รุ่น ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระบบไฟฟ้าเครื่องมือแพทย์ ผ่านมาตรฐานการทดสอบความเข้ากันได้ทันแม่เหล็กไฟฟ้า และผ่านมาตรฐานห้องสะอาด ISO 14644 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการส่งมอบ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่ ทั้งหมดในวันนี้นอกจากเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ของการ “ปกป้อง” บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยแล้ว จะเป็นการร่วมมือกันศึกษาและปรับปรุงพัฒนานวัตกรรมเต็นท์ความดันลบให้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพได้ต่อไป
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับบทบาทของบริษัทกับการสนับสนุนงานวิจัยไทยนั้น ในฐานะภาคเอกชนที่ช่วยสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบเข้าไปในเต็นท์เต็นท์ความดันลบ HI PETE (ไฮ พีท) โดยก่อนหน้านี้ทางบริษัทฯ ได้ร่วมกับทางสาธารณสุขจังหวัดระยองที่ต้องการเตียงสนาม ซึ่งสามารถรับน้ำหนักมาตรฐานได้ถึง 250 กิโลกรัม จึงได้ส่งมอบเตียงทั้งหมด 2,000 เตียงทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ปตท.
เพื่อให้ผู้ป่วยมีที่นอนในการแยกตัวเอง ในภาวะวิกฤติโควิด-19 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามตลอดการระบาดของโรคโควิด-19 ทางบริษัทและพันธมิตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชน บริจาคเตียงรวมทั้งหมด 7,000 เตียง รวมทั้งฟูก ผ้าปู หมอน ผ้าห่ม ซึ่งรู้สึกภูมิใจที่เป็นหนึ่งของภาคเอกชน ที่ได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและบุคคลากรทางการแพทย์ใช้อย่างต่อเนื่อง
“เตียงนี้สามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อได้ และเป็นอีกนวัตกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่ง สวทช. และอีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ช่วยกันผนึกกำลังช่วยเหลือประเทศไทยในภาวะวิกฤติโรคระบาด ลดการพึ่งการเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสำคัญที่สุดช่วยให้ประชาชนคนไทยได้รับการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและเท่าเทียม”
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นองค์กรวิจัยที่นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างเป็นนวัตกรรม ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ซึ่งในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา สวทช. ได้ส่งมอบนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยนวัตกรรมจากเทคโนโลยีของ สวทช. นี้พัฒนาขึ้นจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมแพทย์ที่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่สำคัญในการทำหน้าที่ดูแลรักษาชีวิตของผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก
“งานวิจัยจะสำเร็จไม่ได้ หากขาดผู้สนับสนุนและผู้นำไปใช้ประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นักวิจัย สวทช. ได้ใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสาขาต่างๆ มาคิดและพัฒนาเป็นนวัตกรรมขึ้นมากมาย ซึ่ง HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สวรส. และพร้อมส่งต่อให้กับโรงพยาบาลที่ต้องการนำไปใช้งานจริง ถือเป็นความสำเร็จและเป็นความมั่นคงทางการแพทย์ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG”
ทั้งนี้ หากสถานพยาบาลหรือองค์กรใดที่มีความประสงค์ต้องการนำ HI PETE ไปใช้จริง และมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้งานร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. สามารถแจ้งความจำนงมาได้ที่อีเมล PETE@mtec.or.th (ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และ พรพิพัฒน์ อยู่สา) หรือ โทร. 02-564-6500
ข่าวประชาสัมพันธ์
ทุเรียนห่อถุง Magik Growth ลดสารเคมี สู่ต้นแบบ ‘ทุเรียนพรีเมี่ยม’ เพื่อการส่งออก
ในเดือนพฤษภาคมภาคตะวันออกของไทยจะคึกคักเป็นพิเศษ ด้วยเป็นช่วงที่ฤดูกาลผลไม้ไทยกำลังถูกเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะทุเรียนจะออกสู่ตลาดมากกว่า 3.6 แสนตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของทุเรียนทั้งหมด แม้ว่าทุเรียนส่งออกปีนี้ยังคุมเข้มในมาตรการ Zero COVID ของจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยทว่าเพื่อรักษามาตรฐานของทุเรียนส่งออก สมาคมทุเรียนไทยฝากเตือนไปยังเกษตรกรให้ตรวจทุเรียนก่อนส่งโรงคัดบรรจุ (ล้ง) ตามมาตรฐานทั้ง GAP และ GMP+ เพื่อการส่งออกอย่างเคร่งครัด
มาตรฐานทุเรียนไทยยังเป็นที่ยอมรับของการส่งออก หากเกษตรกรดูแลเอาใจใส่ทุเรียนอย่างดีตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะลดการใช้สารเคมี เพราะนอกจากจะช่วยรักษามาตรฐานไว้ได้แล้ว ยังช่วยเพิ่มช่องทางการขายที่มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศได้ไม่ยาก
จุดเริ่มต้น ‘ทุเรียนห่อ’ ลดการใช้สารเคมี
ดังตัวอย่างของ คุณนวลนภา เจริญรวย หรือ ‘คุณจุ๋ม’ ชาวสวนทุเรียนมือใหม่ ต.วังหว้า อ.แกลง จ.ระยอง จากที่เริ่มปลูกทุเรียนเมื่อปี 2554 ด้วยความตั้งใจและมีประสบการณ์จนถึงปัจจุบันกว่า 10 ปี เขาได้เรียนรู้ว่า ทุเรียนเป็นพืชที่ต้องอาศัยความใส่ใจดูแลทุกขั้นตอน โดยเฉพาะระยะพัฒนาผลซึ่งต้องใช้ปัจจัยการผลิต ทั้งสารเคมีและยาฆ่าแมลงฉีดพ่นป้องกันไม่ให้ถูกหนอนเจาะผลทุเรียน หนอนรัง เพลี้ยแป้ง และราดำเข้าทำลาย ซึ่งจะทำให้ผลทุเรียนเล็กแคระแกร็นไม่เจริญเติบโตและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค
ความตั้งใจลดการใช้สารเคมีของ คุณจุ๋ม มาปิ๊งไอเดีย การใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร (ถุงสีฟ้าตาถี่) เพื่อเป็นแนวทางลดการฉีดพ่นยาฆ่าแมลง จากที่เขาเห็นคุณแม่ใช้ห่อผลขนุนที่ต้น จึงลองนำมาใช้ห่อผลทุเรียนระยะพัฒนาผล (อายุผล 65-70 วัน มีขนาดเท่าขวดน้ำอัดลม 1.5 ลิตร) ซึ่งถือเป็นระยะสำคัญที่ผลทุเรียนมีการสะสมแป้ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อผลสุก (อายุ 110-120 วัน)
แต่การใช้ถุงตาข่ายทางการเกษตร ช่วยบรรเทาแค่การเข้าทำหลายของหนอนเจาะผลทุเรียนเท่านั้น เพราะไม่สามารถป้องกันเพลี้ยแป้ง กับราดำได้ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวทุเรียนไม่สวยและส่งผลให้ราคาทุเรียนตก
จนกระทั่งทีมนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และอาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้นำถุงห่อทุเรียน Magik Growth มาให้ทดลองใช้แทนถุงตาข่ายทางการเกษตรตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
ผลลัพธ์คือคุณสมบัติของถุงห่อทุเรียน Magik Growth นอกจากช่วยป้องกันหนอนเจาะผลทุเรียน และเพลี้ยแป้ง ราดำ ตอบโจทย์การลดสารเคมีได้ดีมีประสิทธิภาพแล้ว เมื่อฤดูการผลิตปี 2564 ได้ผลทดสอบการใช้นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากห้องปฏิบัติการพบว่าคุณภาพของผลทุเรียนดีขึ้น ทั้งผิวผลทุเรียนสวย ผลได้น้ำหนักดีและมีปริมาณเนื้อทุเรียนเพิ่มขึ้นด้วย โดยฤดูกาลผลิตปีนี้ห่อทุเรียนทั้งสวนรวม 11 ไร่ พร้อมส่งออกสู่เชิงพาณิชย์แล้ว
ถุงห่อ Magik Growth ตอบโจทย์ทุเรียนพรีเมี่ยม
และเป็นที่น่ายินดีว่าฤดูกาลเก็บเกี่ยวทุเรียนจากสวนนวลนภา ปี 2565 จะเป็นปีแรกที่ ‘คุณจุ๋ม’ ขายทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากถุงห่อทุเรียน Magik Growth โดยจะทดลองส่งไปที่ประเทศจีนซึ่งมีการติดต่อขอจองซื้อแล้ว
แล้วถุงห่อทุเรียน Magik Growth คืออะไร ทำมาจากอะไร แล้วทำไมจึงทำให้ผลทุเรียนมีคุณภาพขึ้น ?
เรื่องนี้ ดร.ณัฐภพ สุวรรณเมฆ นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. บอกว่า ทีมวิจัยนำองค์ความรู้เรื่องวัสดุศาสตร์โดยพัฒนาสูตรผสมเม็ดพลาสติก (polymer compound) ร่วมกับเทคโนโลยีการขึ้นรูปนอนวูฟเวน เพื่อให้วัสดุนอนวูฟเวนมีสมบัติให้น้ำและอากาศผ่านเข้าออกได้โดยง่าย รวมถึงมีสมบัติการคัดเลือกช่วงแสงที่เหมาะสมกับเซลล์รับแสงที่ผิวผลไม้ โดยได้ผลิตเป็นนวัตกรรมวิจัยต้นแบบชื่อทางการค้าว่า Magik Growth หรือ นวัตกรรมถุงห่อผลไม้นอนวูฟเวน ช่วยให้ทุเรียนที่ถูกห่อด้วยถุงห่อ Magik Growth สามารถสร้างสารสำคัญในผลไม้ทั้งแป้ง น้ำตาล สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
โดยได้ทดลองทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับภาคสนามร่วมกับ ภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. ในพื้นที่สวนทุเรียน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน และมีการจัดเก็บข้อมูลผลวิจัยอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้การห่อทุเรียนด้วยถุงห่อทุเรียน Magik Growth มีข้อดีเรื่องน้ำหนักผลทุเรียนเพิ่มขึ้น โดยผลการทดสอบเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา น้ำหนักทุเรียนเพิ่มขึ้น 17.7 % จากจำนวนสวนทุเรียน 6 สวนในจังหวัดระยอง และน้ำหนักเพิ่มขึ้น 14.4% จากจำนวนสวนทุเรียน 4 สวนในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส
ผศ. ดร.ลำแพน ขวัญพูล อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการผลิตพืช คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวเสริมว่า ข้อมูลจากการทดสอบปี 2564 ทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีความหนาของเปลือกบางลง 30% ทำให้ได้น้ำหนักรวมผลทุเรียน เพิ่มขึ้น 10% มีความแน่นเนื้อมากขึ้น สีเนื้อเหลืองขึ้น อย่างไรก็ดีการห่อผลด้วยถุง Magik Growth ไม่มีผลต่อการแก่ของผลทุเรียนบนต้น โดยผลที่ห่อมีการสะสมน้ำหนักแห้งเพิ่มขึ้น และเมื่อนำมาเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องพบว่า ผลทุเรียนที่ห่อด้วยถุง Magik Growth มีการสุกช้ากว่าผลที่ไม่ได้ห่อประมาณ 2 วัน ซึ่งเป็นผลดีต่อการส่งออกที่ต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่ง
อรทัย เอื้อตระกูล อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชและปัจจัยการผลิต กล่าวว่า การห่อผลทุเรียน ถือเป็นการตอบโจทย์เรื่องการส่งออก โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัยพืชซึ่งต่างประเทศให้การยอมรับระดับหนึ่ง โดยการใช้ถุงห่อทุเรียนช่วยลดการใช้สารเคมีได้อย่างชัดเจน ดังนั้นควรส่งเสริมให้ทำต่อเนื่องเพื่อรักษามาตรฐานการส่งออก อย่างไรก็ตามขณะนี้ประเทศจีนและญี่ปุ่นติดต่อขอซื้อทุเรียนที่ใช้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากสวนของคุณนวลนภาแล้ว เนื่องจากเชื่อมั่นในมาตรฐานและการลดสารเคมีในกระบวนการผลิต
ถุงห่อใช้ซ้ำได้ ลดต้นทุน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การลดสารเคมีเป็นแนวทางที่ดีกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะกับสิ่งแวดล้อม แม้เกษตรกรชาวสวนอาจจะเหนื่อยกายกับการทะนุถนอมทุเรียน แต่ผลลัพธ์คือผลผลิตทุเรียนคุณภาพจากการต่อยอดใช้งานวิจัยของคนไทย โดยเกษตรกรไทย
กุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีต่างๆ นำมาขยายผลพื้นที่สาธิตเทคโนโลยีเพื่อการทดสอบประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค่าทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เช่น นวัตกรรมถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งสวทช.ได้ร่วมมือกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. ทำการทดสอบภาคสนามหลายฤดูกาลผลิตจนเป็นที่มั่นใจแก่เกษตรกร เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและประชาชนมีรายได้มากขึ้น สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่รัฐบาลที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ถุงห่อทุเรียน Magik Growth ยังสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ถึง 2 ฤดูกาลผลิต เป็นการช่วยเกษตรกรประหยัดต้นทุนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดใช้สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช ตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน’ ที่สามารถนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด รวมทั้งตอบโจทย์ ‘ระบบเศรษฐกิจสีเขียว’ ที่มีการมุ่งเน้นแก้ปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลก ทั้งนี้นวัตกรรมถุงห่อ Magik Growth เมื่อปี 2564 ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อผลิตและจำหน่ายในประเทศแล้ว เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
พีรพันธ์ จิวะพรทิพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด (มหาชน) ผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี Magik Growth กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้วทางบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ ได้เลือกนวัตกรรมของเอ็มเทค โดยถุงห่อทุเรียน Magik Growth ซึ่งมีการทดลองร่วมกับเกษตรกรชาวสวนทุเรียนในเครือข่ายของ เอ็มเทค สวทช. มานานเกือบ 4 ปี ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งเรื่องคุณภาพของถุงที่ใช้ได้นานใช้ซ้ำได้ถึง 2 ปี และประสิทธิภาพของถุงห่อยังช่วยให้ทุเรียนมีคุณภาพมากขึ้น ปัจจุบันได้มีการผลิตถุงห่อทุเรียน Magik Growth สำหรับจำหน่ายแก่ชาวสวนทุเรียนแล้ว ผู้สนใจสามารถหาซื้อถุงห่อทุเรียน Magik Growth จากบริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ฯ โดยในเร็วๆ นี้กำลังพัฒนาช่องทางจำหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร เป็นต้น
“เดิมทีบริษัทจะรับนวัตกรรมมาจากต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งถุง Magik Growth ถือเป็นนวัตกรรมไทยผลงานแรกที่บริษัทซื้อสิทธิ์มาผลิตเพื่อจำหน่าย เพราะบริษัทเชื่ออย่างหนึ่งว่าสินค้านวัตกรรม ต้องมีพาร์ทเนอร์ที่เห็นตรงกัน ซึ่งทางเอ็มเทค สวทช. สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้” พีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
นับเป็นการพัฒนาภาคการเกษตรตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG แก้ปัญหามลพิษในการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อโลก โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นกลไกลสำคัญที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเดิมจาก ‘ทำมากแต่ได้น้อย’ ไปสู่ ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ สร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้ง สู่ผลิตภัณฑ์ของดีชุมชน “ทุ่งกุลา”
นักวิจัย สวทช. สนับสนุนนวัตกรรมการผลิต #ถ่านคาร์บอนกัมมันต์ ทำจากวัสดุเหลือทิ้ง #ไม้ไก่ย่าง สู่ผลิตภัณฑ์ของดีชุมชน "ทุ่งกุลา
เมื่อเร็วๆ นี้ ในการลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ของศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ไปขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตชาวชุมชนในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งหนึ่งในผลงานนวัตกรรมของ สวทช. ที่ลงไปขับเคลื่อนกับชุมชนคือ เทคโนโลยีการผลิตถ่านคาร์บอนกัมมันต์ หรือ #ActivatedCarbon ที่ผลิตจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรหรืออาหาร เป็นผลงานของนักวิจัยนาโนเทค สวทช.
โดยนักวิจัยนาโนเทค สวทช. ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ แลกเปลี่ยนและถ่ายทอดองค์ความรู้ในการนำวัสดุเหลือทิ้งจากชุมชนมาแปรรูปผลิตเป็นถ่านคาร์บอนกัมมันต์ ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับกลิ่นได้ดี สามารถนำไปต่อยอดทำเป็นผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกของ จ.ศรีสะเกษ ได้ ทำให้ทีมนักวิจัยมีแนวคิดในการนำ "ไม้ไก่ย่าง" ที่เหลือทิ้งในชุมชนเป็นจำนวนมาก มาผลิตเป็นถ่านคาร์บอนกัมมันต์ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของ สวทช. ถือเป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพิ่มมูลค่าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ชุมชน ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG model.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ร่วมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมือง สร้างห้องเรียนธรรมชาติ เสริมสร้างนักวิทย์ฯ พลเมือง
30 เมษายน 2565 : นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้าร่วม “กิจกรรมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมือง (City Nature Challenge 2022)” กิจกรรมระดับโลกที่ในแต่ละพื้นที่เมืองทั่วโลกมากกว่า 400 เมือง ใน 40 ประเทศของ 6 ทวีป ร่วมจัดงานกันอย่างพร้อมเพรียง โดยประเทศไทยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2565
ซึ่งเป็นการรวมตัวกันขององค์กรและอาสาสมัครที่ทำงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวิทยาศาสตร์พลเมือง ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล, เมืองระยอง, เมืองขอนแก่น, เมืองเชียงใหม่ และเมืองหาดใหญ่ สำหรับในกรุงเทพมหานครจะจัดกิจกรรมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมืองขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2565 เวลา 15.00-21.00 น. ณ สวนเบญจกิติ
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาตินี้ เปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการสังเกต บันทึก และรายงานผลเรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน iNaturalist ที่พัฒนาขึ้นโดย California Academy of Sciences และ National Geographic Society
“แอปพลิเคชันของ iNaturalist เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างสรรค์สังคมออนไลน์ด้านการสำรวจธรรมชาติ ซึ่งเปิดใช้งานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลระดับโลก และแชร์ผลการสำรวจให้แก่คนอื่นๆ ได้ ทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเดินทางไกล เช่น ขึ้นเขาหรือเข้าป่า ตอบโจทย์ต่อสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 ที่ต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal เว้นระยะห่างจากสังคม ในด้านการศึกษาแพลตฟอร์มนี้ยังนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ให้แก่เยาวชน ขณะเดียวกันข้อมูลที่ได้ยังมีประโยชน์ต่อการวิจัยสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่กำลังติดตามการเปลี่ยนแปลงประชากร การกระจายพันธุ์ และปกป้องธรรมชาติได้ดีขึ้น
ด้วยประโยชน์ดังกล่าว สวทช. ได้ริเริ่มชักชวนองค์กรและกลุ่มบุคคลที่สนใจมาร่วมพัฒนาเครือข่ายผู้ใช้งาน iNaturalist ในประเทศไทย และได้นำเสนอเรื่องราวของเครือข่ายวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science Network) ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประจำปี 2564 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่สำคัญยังได้ร่วมกันจัดทำคู่มือการใช้งานแอปพลิเคชันเป็นภาษาไทย เพื่อให้คนไทย เข้าถึงการใช้งานได้ง่ายขึ้น ซึ่งผู้ที่สนใจคู่มือฉบับภาษาไทยนี้ สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรีที่เว็บไซต์ของมูลนิธิโลกสีเขียว https://greenworld.or.th/wp-content/uploads/2022/04/nbag.pdf
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ในกิจกรรม City Nature Challenge 2022 ในวันนี้ สวทช. ยังได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านพืชจากธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ ดร.คมสิทธิ์ วิศิษฐ์รัศมีวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธาน ชีวภูมิศาสตร์ และนิเวศวิทยาของเห็ดรา พร้อยด้วยคุณอนุตตรา ณ ถลาง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศป่าไม้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของป่า ร่วมกิจกรรมสำรวจในสวนเบญจกิติด้วย
ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งกว่ากิจกรรมนี้จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ และเยาวชน รวมถึงประชาชนที่สนใจได้มีโอกาสออกมาสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพ และร่วมกันเก็บข้อมูลทางชีวภาพของเมืองอย่างเป็นระบบ ในฐานะ ‘อาสาสมัครวิทยาศาสตร์พลเมือง’ เพื่อช่วยกันสร้างห้องเรียนธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่เพียงในห้องเรียน
“เชื่อว่ากิจกรรมนี้จะช่วยส่งเสริม เชื่อมโยงประชาคมเมืองให้เข้ากับระบบนิเวศในเขตเมืองของตัวเองมากขึ้น เห็นความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยซึ่งอยู่อันดับที่ 15 ของโลก เพราะประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ที่เรียกว่าเป็นจุดที่ดีที่สุดของการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตมีสิ่งมีชีวิต พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์เยอะมาก ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญ นำมาสู่การอนุรักษ์ ตามแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ที่มุ่งหวังพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน”
สำหรับองค์กรร่วมจัดกิจกรรม City Nature Challenge 2022 (CNC 2022) ได้แก่ Decathlon Thailand ดีแคทลอน ประเทศไทย, กลุ่มบริษัทดาว และโครงการ Dow Thailand Mangrove Alliance, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.), Nature Plearn Club, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), SOS EARTH, กลุ่มนก หนู งูเห่า, GYBN Thailand, โครงการป่าชายเลนเพื่ออนาคต และเถื่อน Channel
ข่าวประชาสัมพันธ์
สรุปสาระสำคัญ งานสัมมนา “ชีวิตในโลกยุคใหม่ และการอยู่ร่วมกับ AI อย่างรู้เท่าทัน”
ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมหาศาล และกำลังแทรกซึมเข้ามาอยู่ล้อมรอบตัวเราทุกคน และในอนาคต AI จะถือเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นเครื่องมือสำหรับการแข่งขันกันระหว่างประเทศในโลกยุคใหม่ ซึ่งอยู่ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึง สงครามจริง ๆ ที่มีการรบกันโดยเครื่องมือที่ใช้ AI ด้วย เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย การที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่จุดที่มีศักยภาพในการแข่งขันด้าน AI เท่าเทียมกับต่างประเทศนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือกันจากหลากหลายภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมตั้งแต่วันนี้ โดยสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ การเริ่มสร้างความตระหนักรู้ด้าน AI และจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ให้กับสังคมไทย เพื่อให้คนไทยรู้เท่าทัน AI และได้รับประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI โดยไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายส่งเสริมจริยธรรมการวิจัย (ORI) ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) จึงได้จัดงานสัมมนา “ชีวิตในโลกยุคใหม่ และการอยู่ร่วมกับ AI อย่างรู้เท่าทัน” ขึ้น เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ทราบถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ของไทยในปัจจุบัน และร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในอนาคต
เทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจ ที่มองเห็น “ข้อมูล” เป็นทรัพยากรมูลค่ามหาศาล
[caption id="attachment_32221" align="aligncenter" width="300"] คุณจรีพร จารุกรสกุล[/caption]
คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องใหญ่” เนื่องจากเทคโนโลยี AI เริ่มมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา ดังนั้น AI จึงไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป แต่ AI เป็นเรื่องใหญ่ที่สามารถนำมาใช้ในธุรกิจของเราได้ เราจึงจำเป็นต้องรู้จักกับ AI ก่อน เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้งานได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร ซึ่ง AI จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ต้องมีข้อมูลปริมาณมหาศาล, ผู้ประกอบการต้องแข็งแกร่ง, ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ต้องมีจำนวนมากเพียงพอ และสิ่งที่สำคัญคือต้องมีกฎระเบียบภาครัฐ
เป็นเรื่องน่ากังวล เมื่อข้อมูลของคนไทยตกไปอยู่ในมือของบริษัทต่างชาติ
“Data is the new oil” เมื่อข้อมูลเปรียบเสมือน “น้ำมัน” ซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่ามหาศาล บริษัทระดับโลกต่าง ๆ ที่มีการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล เช่น Google, Amazon และบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ของประเทศจีน จึงมีการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์กันอย่างมหาศาล ตัวอย่างเช่น ด้าน E-commerce มีการนำข้อมูลทั้งหมดไปใช้ในการวิเคราะห์ถึงปริมาณการสั่งซื้อ ข้อมูลการใช้เงิน นิสัยผู้บริโภค ฯลฯ ซึ่งหากข้อมูลของคนไทยตกไปอยู่ในมือของบริษัทต่างชาติ ก็จะทำให้บริษัทต่างชาติรู้ถึงความชอบของคนไทย สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ควรผลิตสินค้าใดออกมาแข่งขันกับบริษัทคนไทย และจะลดต้นทุนการผลิตสินค้าได้อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก
ดังนั้น นอกจากการเป็นเพียงผู้ใช้งานที่นำ AI มาใช้ประโยชน์ในธุรกิจต่าง ๆ แล้ว เมื่อมองในภาพใหญ่ระดับประเทศ เราควรคำนึงถึงแนวทางการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้าน AI ด้วย โดยการสร้างและเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นของตนเอง ไม่ปล่อยให้ข้อมูลของคนไทยตกไปอยู่ในมือของบริษัทต่างชาติ หรือประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐควรกำหนดแนวทาง/นโยบายด้านปัญญาประดิษฐ์ให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ เพื่อนำไปสู่การสร้างแพลตฟอร์มต่าง ๆ เป็นของประเทศไทยเอง และลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลคนไทยไปยังต่างชาติ
เทคโนโลยี AI คือ เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาครัฐ โดยมีการเชื่อมโยงของข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญ
[caption id="attachment_32222" align="aligncenter" width="300"] คุณประจักษ์ บุญยัง[/caption]
คุณประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้อธิบายถึงลักษณะของข้อมูลภาครัฐในภาพรวม ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีปริมาณมาก มีรูปแบบและที่มาของข้อมูลที่หลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รวมถึง ไม่ได้จัดให้อยู่ในรูปของดิจิทัลที่สามารถนำ AI หรือโปรแกรมต่าง ๆ มาใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่สามารถดึงข้อมูลมาใช้ประโยชน์ในเชิงวิเคราะห์ หรือเป็นประโยชน์ในการแข่งขันในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการภายในหน่วยงาน จึงมีการประกาศนโยบายภาครัฐที่เน้นความสำคัญในเรื่องการนำเทคโนโลยี AI และ Big data มาใช้ในการขับเคลื่อนหน่วยงานภาครัฐในมิติต่าง ๆ ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานได้
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้มีการปรับปรุงและพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงาน เพื่อให้สอดรับกับยุค AI และ Big Data อีกทั้ง ยังเป็นหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้นำ AI มาใช้ในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีภารกิจในการตรวจสอบบัญชี และรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐ 8,368 หน่วยงาน ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่สำคัญของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและตรวจสอบหน่วยงานต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ให้ได้ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการแก้ไขปัญหาการทุจริตในภาครัฐ และลดการใช้ทรัพยากรอีกด้วย จึงเกิดเป็นโครงการนำร่อง “การพัฒนาต้นแบบปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการตรวจสอบการดำเนินงาน (AI for Performance Audit)” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) โดยในปัจจุบันได้นำระบบดังกล่าวมาใช้งาน และใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มรูปแบบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินยังมีความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ในการนำฐานข้อมูลจากกรมบัญชีกลางมาจัดทำเป็นระบบ ACT Ai เพื่อใช้ในการตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit) โดยเป็นการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งเป็นงบประมาณสำคัญที่นำไปสู่การคอร์รัปชันได้
จริยธรรมใน AI และความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐเป็นเรื่องที่ต้องสนับสนุน
ในการนำ AI ไปใช้ในการทำงานและการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินนั้น หลักจริยธรรมถือเป็นสิ่งสำคัญ ตั้งแต่การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบให้ AI เรียนรู้ ก็จะต้องดำเนินการอย่างมีจริยธรรม เพื่อให้ AI เกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง และสามารถประมวลผล/ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องด้วย
นอกจากนี้ ข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ มักถูกจัดทำขึ้นมาด้วยวิสัยทัศน์และทิศทางการทำงานที่แตกต่างกันของแต่ละหน่วยงาน จึงทำให้เกิดปัญหาในการเชื่อมโยงข้อมูล รวมถึงยังเป็นปัญหาสำคัญอย่างมากกับการออกแบบระบบในการทำ AI for Performance audit ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในปัจจุบัน ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญและส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐ ทั้งนี้ แม้ในปัจจุบัน ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 ซึ่งช่วยทำให้หน่วยงานของรัฐสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้แล้ว แต่การส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลของภาครัฐในทางปฏิบัติ อาจต้องอาศัยหน่วยงานนำร่องต่าง ๆ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรมสรรพากร ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการนำพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ประเทศไทยมีความพร้อมด้านข้อมูล แต่ยังขาดการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์?
[caption id="attachment_32225" align="aligncenter" width="298"] ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย[/caption]
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กล่าวถึงสถานภาพด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศไทย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความพร้อมด้าน AI ของภาครัฐแล้ว ประเทศไทยมีความพร้อมด้านข้อมูลมากที่สุด เนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนมีการเตรียมข้อมูลที่เป็นดิจิทัลจำนวนมากเรียบร้อยแล้ว แต่ยังขาดการนำข้อมูลต่าง ๆ ไปพัฒนาและใช้ประโยชน์ จึงทำให้ประเทศไทยมีดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (Government AI Readiness Index) อยู่ในอันดับปานกลาง ทั้งนี้ เมื่อเราพิจารณาสถานภาพด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศไทยในด้านวิชาการจะพบว่า ประเทศไทยมีการตีพิมพ์บทความวิชาการด้าน AI เพิ่มมากขึ้นในลักษณะที่เป็น Exponential เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ ในขณะที่เมื่อพิจารณาด้านการลงทุน ประเทศไทยก็มีการลงทุนธุรกิจด้าน AI อย่างก้าวกระโดดในระหว่างปี 2016-2017 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้มีการชะลอการลงทุนในระหว่างปี 2018-2020 อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา เราเริ่มเห็นแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนธุรกิจด้าน AI ที่มีสูงมากขึ้น
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการพัฒนา AI สัญชาติไทย และมีการนำไปทดลองใช้งานกันอย่างต่อเนื่อง โดยฉพาะในส่วนต้นน้ำ ซึ่งเป็นการพัฒนา Core Technology หรือ Service Platform และการพัฒนาบุคลากร เช่น “AI for Thai” Service Platform ที่พัฒนาขึ้นโดยศูนย์ NECTEC โดยเป็น Core Technology ด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing) และ “CiRA Core” ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทที่ Spin-off มาจากบุคลากรของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยเป็นระบบ AI ที่เน้นเรื่อง Smart Industry ในขณะเดียวกัน ในส่วนกลางน้ำ ก็มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยี Digital Service และ Supporting Service ขึ้นมา เช่น การใช้โดรนในภาคการเกษตร, การวิเคราะห์ภาพในทางการแพทย์ และการปรับปรุงกระบวนการทำงานต่าง ๆ ขององค์กรให้เป็นอัตโนมัติและมีความชาญฉลาดมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Automation เป็นต้น
ทิศทางเทคโนโลยี AI ของประเทศไทยในอนาคต ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพชีวิต และการลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียม
ในปัจจุบันกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สวทช. ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำลังนำเสนอแผนแม่บทปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ.2564-2570) เข้าสู่คณะรัฐมนตรี โดยแผนแม่บทดังกล่าวจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพชีวิต และการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างเท่าเทียม รวมถึง การสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ได้แก่ การตั้งกฎระเบียบ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน การพัฒนาเทคโนโลยี และการนำเทคโนโลยีไปใช้งานในภาคธุรกิจ ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ร่วมกับภาคธุรกิจอย่างลึกซึ้ง โดยในระยะแรกจะให้ความสำคัญกับการนำ AI ไปใช้ในด้านสุขภาวะและการแพทย์ (Telehealth) ด้านอาหารและการเกษตร (Digital Farming) และด้านการบริการภาครัฐ (เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับประชากร) ทั้งนี้ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี AI ของประเทศไทยในอนาคต จะต้องอาศัยการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาบุคลากรด้าน AI การแบ่งปันคลังข้อมูล การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมถึง การมี Core Technology และ Service Platform เพื่อใช้สนับสนุนภาครัฐและภาคเอกชนให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะเทคโนโลยี AI เป็นเหรียญสองด้าน เราจึงต้องมี “AI Governance”
เทคโนโลยีทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีสองด้าน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า ในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้งานอย่างไร สำหรับเทคโนโลยีทางด้านดิจิทัล, Machine Learning, Internet of Things (IoT) หรือ AI ส่วนใหญ่ก็กำเนิดมาจากการทหารและการทำสงครามทั้งสิ้น โดยในช่วงสงครามจะเป็นช่วงที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้จริง นำออกมาทดลองในช่วงสงคราม ดังนั้น เทคโนโลยี AI จึงมีลักษณะเป็นเหรียญสองด้าน แต่สิ่งที่สำคัญคือ เราจะต้องหาวิธีควบคุม AI และทำให้เกิดการพัฒนาและใช้งาน AI อย่างมีจริยธรรม หรือเรียกว่ามี “AI Governance” ซึ่งในงานวิจัยปัจจุบัน ก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก
บทสรุปส่งท้าย
[caption id="attachment_32229" align="aligncenter" width="300"] ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล[/caption]
ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการ สวทช. และประธานคณะกรรมการจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ของ สวทช. ได้กล่าวโดยสรุปว่า ความสามารถและการพัฒนาด้าน AI ของประเทศไทยในปัจจุบัน ยังมีทั้งส่วนที่จะต้องทำให้เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่น เรื่องข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อนำส่งให้ภาคเอกชนได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และส่วนที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ คือ เรื่องการไหลของข้อมูลคนไทยไปยังบริษัทต่างชาติ ตัวอย่างเช่น การใช้แผนที่บน Google map ที่เปรียบเสมือนเป็นการป้อนข้อมูลของคนไทยให้กับบริษัท Google ซึ่งน่าเสียดายข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงควรสนับสนุนคนไทย ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนในการพัฒนาแพลตฟอร์มของคนไทย เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลของคนไทยไปอยู่ในมือของต่างชาติ นอกจากนี้ ประเทศไทยก็ควรมีการสนับสนุนภาคธุรกิจที่มีความเข้มแข็งด้าน AI ให้เป็นตัวแทนของประเทศ รวมถึง ยกระดับธุรกิจ SME ให้เข้าสู่ Digital Transformation ด้วย ในขณะเดียวกัน สวทช. ก็เป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นคนกลาง ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับภาคเอกชน โดยการถ่ายทอดและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไปใช้ประโยชน์ในภาคเอกชน เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทยต่อไปอีกด้วย
ข่าว
บทความ
Facebook Live: พิธีมอบ HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย พร้อมสาธิตการใช้งาน
กำหนดการ
พิธีมอบ HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย พร้อมสาธิตการใช้งาน
แก่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 เวลา 09.30 - 12.00 น.
ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม 113 อาคารสำนักงานกลาง
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
09.30 - 09.40 น.
พิธีกรกล่าวต้อนรับ
09.40 - 09.50 น.
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าว “ความเป็นมาของผลงาน HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบ”
09.50 - 10.00 น.
นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าว “บทบาทของ สวรส. กับการสนับสนุนนวัตกรรมไทยช่วยรับมือสถานการณ์โควิด-19”
10.00 - 10.10 น.
ดร. ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว “บทบาทของบริษัทกับการสนับสนุนงานวิจัยไทย”
10.10 - 10.30 น.
ทีมวิจัยเอ็มเทคนำเสนอผลงาน HI PETE และแนะนำเต็นท์รูปแบบต่างๆ (ประมาณ 10 นาที)
10.30 - 10.40 น.
ร่วมถ่ายภาพพิธีมอบ HI PETE - เต็นท์ความดันลบสำหรับ Home Isolation พร้อมชุดเตียงสนาม และ PETE (พีท) เปลปกป้อง – เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่
10.40 - 10.50 น.
คุณกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวขอบคุณ
ปฏิทินกิจกรรม
ติดอาวุธอุตสาหกรรมสุขภาพ-ความงามด้วยนวัตกรรม ทางรอดยุคโควิด-19
โควิด-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางสุขภาพตลอดจนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและทั่วโลก แต่ขณะเดียวกัน กระแสความนิยมเรื่องของสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก อุตสาหกรรมสุขภาพและความงามขยายตัวต่อเนื่องทั้งในและตางประเทศ ผู้ประกอบการไทยอย่าง “อาร์ แอนด์ ดี รีเสิร์ช อินโนเวชั่น แอนด์ ซัพพลาย” และ “นารา แฟคทอรี่” ขยับตัว จับมือนาโนเทค สวทช. ใช้นวัตกรรมยกระดับผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงาม รับมือการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและตลาดในช่วงวิกฤตโรคโควิด-19
ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย นักวิจัยอาวุโส ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และผู้อำนวยการโปรแกรมนวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญและสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากสารสกัดสมุนไพร เพื่อต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ มีมูลค่าสูง และสามารถถ่ายทอดสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
“สวทช. เองก็มีความพร้อมในการร่วมผลักดันงานวิจัยในกลุ่มนวัตกรรมด้านสุขภาพและความงาม โดยการนำสมุนไพรไทยมาประยุกต์ใช้กับนาโนเทคโนโลยีและบูรณาการศาสตร์ต่างๆ โดยมีโปรแกรมนวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่มีขอบเขตครอบคลุม 4 แผนงาน ได้แก่ แพลตฟอร์มการพัฒนาการผลิตวัตถุดิบที่มีคุณภาพ, แพลตฟอร์มการพัฒนานวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติและระบบนำส่งสารสำคัญ, แพลตฟอร์มการพัฒนาระบบทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของสารสกัดธรรมชาติและผลิตภัณฑ์สุขภาพ และส่วนสุดท้ายด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งจะตอบความต้องการของภาคเอกชน รวมถึงเทรนด์หรือแนวโน้มทางด้านสุขภาพและความงามอีกด้วย” ดร.อุรชากล่าว
มองอุตฯ สุขภาพและความงามในมุมที่เปลี่ยนไป
ข้อมูลจากคุณชยภัทร รัชตวิภาสนันท์ Senior Research Analyst – Beauty and Personal, บริษัท มินเทล (ประเทศไทย) จำกัด (Mintel) ที่พูดถึงเทรนด์หรือแนวโน้มทางด้านการดูแลสุขภาพและความสวยความงามใน 5 ปี (2022-2027) จากการวิเคราะห์ผู้บริโภคอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในสัดส่วนของตลาดโลกและตลาดท้องถิ่นของบริษัท Mintel ซึ่งมีนักวิเคราะห์และนักวิจัยที่มีประสบการณ์ในวงการอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านอาหารหรืออุตสาหกรรมความงาม มากกว่า 300 คน พบว่า ผู้บริโภคทั่วโลกมีการดูแลตัวเองในเรื่องของความสวยงามมากขึ้น ในช่วงของล็อคดาวน์ของการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเด็นความตื่นตัวด้านจริยธรรมของแบรนด์ว่าสิ่งที่ผู้บริโภคใช้อยู่เป็นไปได้จริงตามแบรนด์ได้กล่าวอ้างหรือไม่ ผู้บริโภคจึงมีการความสนใจและตรวจสอบกันมากขึ้นอีก อีกทั้งในด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่มีการระบาดของโควิด-19 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการชอปปิ้งมีการจับจ่ายใช้สอยโดยไม่ใช้เงินสด
ในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านจริยธรรมและความยั่งยืน จะเกิดความต้องการมากขึ้น ผู้บริโภคมองหาสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อีกทั้ง การแสดงออกของผู้บริโภคในเรื่องของความงาม ในโลกความเป็นจริงและโลกดิจิตอลจะเริ่มเหมือนกันมากขึ้น และความสวยงามจะไม่มีกฎเกณฑ์อีกต่อไป ไร้ขอบเขตและไร้พรมแดน และในอีก 5 ปีข้างหน้า เรื่องของดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทในวงการความงามมากขึ้น นอกจากจะอยู่ในโลกความเป็นจริงจะก้าวเข้าสู่พื้นที่ของ metaverse ที่เริ่มเป็นกระแสในช่วงปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความหลากหลายทั้งด้านวัฒนธรรมและความคิด ผู้บริโภคมีความเป็นตัวเองมากขึ้น มีความเชื่อถือในคุณค่าของตัวเองมากขึ้น และการนำวัฒนธรรมดั้งเดิมโบราณกลับมาใช้ใหม่หรือมาตรฐานทางด้านความงามที่เปลี่ยนไป เช่น รอยสักที่เดิมมักถูกมองเป็นบุคลิกของคนไม่ดีตามความเชื่อของคนสมัยก่อนปัจจุบันนี้กลับมองว่าเป็นศิลปะและกลับมาได้รับความนิยมในปัจจุบันมากขึ้น รวมถึงการนำตำรับทางวัฒนธรรมอายุรเวทมาใช้เพื่อความสวยความงาม ซึ่งในประเทศไทยมีการใช้ตำรับไทยหรือแพทย์แผนไทยมานาน สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ความงามได้ในอนาคต
นวัตกรรม: สร้างโอกาสใหม่ให้เอกชนไทย
"บริษัทมีความสนใจสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพและความงาม โดยประธานบริษัท คุณอาวุธ เจริญวัฒนานนท์ มีความสนใจด้านนวัตกรรมไมโครนีดเดิล บริษัทได้พยายามติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และพยายามทำเข็มไมโครนีดเดิลนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี จนทราบว่าทางนาโนเทคมีเทคโนโลยีนี้ จึงได้ติดต่อมาและพบกับทางทีม ดร.ไพศาล ที่มีความสนใจทำงานวิจัยด้านไมโครนีดเดิล อยู่แล้ว จึงได้มีการปรึกษาหารือจนทำให้มันเกิดขึ้นได้สำเร็จแล้วจึงขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี" คุณสุพร เจริญวัฒนานนท์ กรรมการ บริษัท นารา แฟคทอรี่ จำกัด เอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีตัวเข็มไมโครนีดเดิล กล่าว
เนื่องจากเพิ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีตัวเข็มไมโครนีดเดิล ซึ่งเป็นเข็มที่ขนาดเล็กสำหรับใช้ในบริเวณที่มีปัญหา เช่น ช่วงใต้ตา หรือร่องแก้ม เพื่อช่วยให้ผิวผลัดเซลล์ผิวใหม่ และเพิ่มความกระชับมากขึ้น สามารถใช้กับสารสำคัญเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพได้ คุณสุพรชี้ว่า ในช่วงโควิดก็ยังต้องประสานงานกับทางนักวิจัยผู้พัฒนาอยู่และมีอุปสรรคบ้าง แต่ในมุมการตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือตลาดสุขภาพยังคงไปได้ เนื่องจากกระแสการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ด้านความงาม อาจโดนผลกระทบบ้างเนื่องจากการล็อคดาวน์ คนต้องอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่และ Work from Home ทำให้ไม่จำเป็นที่ต้องใช้เครื่องสำอาง บริษัทต้องศึกษาว่าควรจะพัฒนาอย่างไร เพื่อช่วยให้ตลาดด้านความงามกลับมาฟื้นตัวหลังโควิดได้ ซึ่งประกอบกับการที่เพิ่งได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีไมโครนีดเดิล น่าจะเป็นอีกช่องในการหาตลาดและให้บริการทางด้านนี้ได้
เช่นเดียวกับ ดร.เดวิด มกรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่นวัตกรรมและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ แอนด์ ดี รีเสิร์ช อินโนเวชั่น แอนด์ ซัพพลาย จำกัด ที่มุ่งเน้นสารสำคัญจากทรัพยากรการเกษตรของไทย เมื่อเจอวิกฤตโควิด-19 เขาชี้ว่า บริษัทฯ ได้รับผลกระทบโดยแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics supply chain) ที่ต้องปรับแผนให้มีความรัดกุม เรื่องของบุคคลากร ซึ่งต้องดำเนินการป้องกันโรคระบาดภายในโรงงาน และแม้ว่ายอดขายของบริษัทจะลดลงในช่วงโควิด แต่ได้มีการบริหารพนักงานให้เข้าใจและไม่ให้ใครออกเลย สุดท้ายคือ ลูกค้า ที่แม้ว่าผู้บริโภคจะมีกำลังซื้ออยู่ แต่ต้องปรับวิธีการเข้าถึงเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น เนื่องจากลูกค้าอยู่ที่บ้านมากกว่าเดิม ต้องปรับปสู่ช่องทางออนไลน์ และลูกค้ามีเวลามากกว่าเดิมที่จะดูข้อมูลเชิงลึกของผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่มเครื่องสำอางหรืออาหารเสริม ดังนั้น หากภาคธุรกิจสามารถทำสินค้าที่มีคุณค่ามากกว่าเดิมและมีการนำเสนอข้อมูลที่ดี จะทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ดียิ่งขึ้น
"ย้อนกลับไปถึงปี 2019 เป็นช่วงที่บริษัทได้พัฒนาสารสำคัญได้สำเร็จ และมีโครงการร่วมระหว่าง สวทช. กับ TCELS ภายใต้โครงการ CIB ในการผลักดันผู้ประกอบการไทยที่มีสารสำคัญ ผ่านการคัดเลือกผลงานเป็นตัวแทนของประเทศไทย ไปเข้าร่วมงาน Cosmetic360 ที่ประเทศฝรั่งเศส จนได้รับการยอดเข้าสู่โครงการ CIB ปี 2020-2021 ในการนำสารสำคัญมาร่วมทดสอบกับทางนักวิจัยของนาโนเทค เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการบ่งชี้ว่าสารสำคัญนั้นมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยเพียงใด โดยได้นำมุมมองจากทางต่างประเทศมาใช้ในการพัฒนา ทั้งในเรื่องของงานวิจัยและการตลาด ซึ่งผลการทดสอบสาระสำคัญที่ได้ทางนาโนเทคทดสอบนั้น น่าประทับใจ และสามารถใช้ต่อยอดให้กับทางบริษัทได้ในอนาคต" เขากล่าว
การปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ ภาคเอกชนต่างขยับตัวอย่างรวดเร็ว ดร.เดวิดชี้ว่า ในยุค New Normal ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ส่วนสำคัญที่สุด คือ ลูกค้ามีพฤติกรรมในการดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการซื้อ ซึ่งจะเหมือนในช่วงแรกที่มีอินเทอร์เน็ตเข้ามาก็เริ่มมีการซื้อขายของออนไลน์ จึงต้องทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเข้าใจข้อมูลของเราได้มากขึ้น ผู้ประกอบการก็ต้องพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ และช่องทางการสื่อสารเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงยุคนี้เป็นยุคเทคโนโลยี บริษัทได้สร้างออฟฟิศเสมือน metaverse ให้ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เข้าไปซื้อสินค้าบริการในโลกเสมือนได้ คาดว่า จะสามารถมีการซื้อขายจริงในเร็ว ๆ นี้ โดยเราน่าจะเป็นบริษัทแรก ๆ ของประเทศทางด้านเครื่องสำอางที่มีออฟฟิศเสมือนจริง เพื่อเป็นศูนย์กลางทางด้านเกี่ยวกับเครื่องสำอางและเสริมอาหาร ซึ่งเป็นการปรับตัวตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา หน้าที่ของเราคือต้องเข้าใจและต้องก้าวล้ำไปพร้อมกับเจนใหม่ เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้
ในขณะที่คุณสุพรเผยว่า ผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีนวัตกรรม คือจุดแข็ง ด้วยตอนนี้ข้อมูลข่าวสารสามารถส่งไปได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง และผู้บริโภคก็มีความสามารถไม่แพ้กับผู้ผลิตอย่างเรา ผู้บริโภคทราบดีว่า อะไรดีหรือไม่ดี ดังนั้น หากมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์หรือมีนวัตกรรมที่ไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบได้ง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับสินค้าอื่น ๆ ที่มีในท้องตลาด จะช่วยให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการจะทำงานร่วมกัน นำไปสู่การต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกันได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค และการนำงานวิจัยและนวัตกรรมมาช่วยยกระดับ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคและตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของผู้บริโภคได้มากขึ้น
จับมือ สวทช. ก้าวข้ามวิกฤต
คุณสุพรเผยว่า การมีพันธมิตรเป็นหน่วยงานวิจัยระดับชาติ และนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญมีส่วนช่วยอย่างมาก ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิดก็ยังทำงานต่อเนื่องไม่มีหยุด ทั้งทางทีมนักวิจัยและทีมสนับสนุนในการประสานงานส่งข้อมูลหรือแม้กระทั่งตอนที่รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว ก็ยังมีการอธิบายกระบวนการขั้นตอนในรายละเอียด ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นและทำให้สามารถเซ็ทระบบได้ จากเดิมที่เราไม่ได้มีความรู้ทางด้านนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีในตัวนี้ ต้องขอขอบพระคุณทางนาโนเทคที่เล็งเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างราบรื่น
เช่นเดียวกับ ดร.เดวิดที่มองว่า ในมุมธุรกิจนั้น พันธมิตรด้านการวิจัยจะสามารถสร้างโอกาสในการต่อยอดในเชิงระดับสากลได้แน่นอน ทำให้การทำธุรกิจในระดับนานาชาติโตได้แบบรวดเร็ว จากการมี Eco System ด้านการวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมในด้านนี้แล้ว ทำให้สารสำคัญของเรามีแตกต่าง มีคุณภาพเทียบเท่ากับมาตรฐานในระดับสากล เพื่อให้ผู้ซื้อที่อยู่ในสหภาพยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาสามารถซื้อสินค้าของเราได้อย่างสะดวกใจ และในมุมด้านการวิจัย จะเห็นได้ว่า แนวโน้มของตลาดโลกในมุมของลูกค้าสามารถนำมาใช้เป็นโจทย์วิจัยได้ จากการปรับเปลี่ยนกระบวนการวิจัยหรือการทดสอบสารให้ตอบโจทย์พฤติกรรมและเทรนด์ของอุตสาหกรรม การมีงานวิจัยรองรับเป็นสิ่งสำคัญทำให้เราสามารถตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการและต่อยอดสร้างจุดขายในทางอุตสาหกรรมได้
" ที่ผ่านมา สวทช. ทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงร่วมมือกันต่อยอดให้ผลงานเผยแพร่ในวงกว้าง และการมีพันธมิตรเป็นภาคเอกชน ช่วยให้งานวิจัยดำเนินไปได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะทั้ง 2 บริษัทนี้ เป็นภาคเอกชนตัวอย่างที่มีการจับมือกับนักวิจัยอย่างเข้มแข็ง และเป็นตัวอย่างของความร่วมมือใน 2 รูปแบบ ทั้งการรับถ่ายทอดเทคโนโลยีของบริษัทนารา ซึ่งจะเป็นรูปแบบของภาครัฐมีเทคโนโลยีอยู่แล้ว และถ่ายทอดให้ภาคเอกชนใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ และในรูปแบบของคุณเดวิดที่เป็นการร่วมมือผ่านโครงการต่าง ๆ โดยภาคเอกชนมีผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว นำมาใช้กับเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการยืนยันว่าตัวผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ตามที่มีการเคลมจริง ๆ นอกจากนี้ ในปัจจุบันนี้ สวทช. ยังมีการทำงานเชิงรุกในการจับมือกับภาคเอกชนเพื่อขอทุนวิจัยระหว่างฝ่ายวิจัยกับภาคเอกชน เพื่อการต่อยอดนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ รวมถึง กลไกการสนับสนุนของ สวทช. ในการทำงานระหว่างนักวิจัยกับภาคเอกชนในรูปแบบอื่น ๆ ในการส่งเสริมการทำงานร่วมกัน" ดร.อุรชา ผู้อำนวยการโปรแกรมนวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพ สวทช. กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
NCTC สวทช. เปิดแล็บบริการตรวจวิเคราะห์พืช “กระท่อม”ต่อจาก “กัญชา-กัญชง”หนุนวิสาหกิจชุมชนปลูกให้ได้มาตรฐานปลอดภัยก่อนการแปรรูป
For English-version news, please visit : New testing services for kratom now available
ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) เปิดแล็บให้บริการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญและหาสารปนเปื้อนในพืช “กระท่อม” ต่อจาก “กัญชา-กัญชง” หนุนวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรเพาะปลูกให้ได้มาตรฐานและปลอดภัยก่อนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
ดร.ณฏฐพล วุฒิพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. เปิดเผยว่า ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช. (NCTC) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและส่งเสริมงานบริการวิเคราะห์ทดสอบ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตามมาตรฐานสากล ภายใต้ระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการ ISO/IEC17025 โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบสนับสนุนกลุ่มงานอุตสาหกรรมทั้งในและนอกประเทศอย่างครบวงจร โดยภายหลังที่พืชกัญชาและกัญชงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าสารสำคัญในพืชคือ Cannabidiol (CBD) และ Tetrahydrocannabinol (THC) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และสามารถนำไปแปรรูปเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร NCTC จึงพัฒนาขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการที่มีผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือทันสมัยอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์และทดสอบสารสำคัญจากพืชกัญชาและกัญชง ที่ได้รับการรับรอง ISO/IEC17025 ก่อนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ล่าสุด NCTC ได้ขยายขีดความสามารถในการวิเคราะห์ทดสอบพืช “กระท่อม” เนื่องจากเป็นพืชที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตกรกำลังนิยมปลูกต่อจาก “กัญชา-กัญชง” โดยปัจจุบัน NCTC เปิดบริการวิเคราะห์ทดสอบทั้งใบกระท่อมสดและใบกระท่อมแห้ง รวมถึงสารสกัดกระท่อม และผลิตภัณฑ์ที่มีกระท่อมเป็นส่วนผสม ตรวจวิเคราะห์ได้ทั้งในเชิงคุณภาพ เชิงปริมาณ รวมถึงตรวจสอบความปลอดภัย เช่น การตรวจหาปริมาณโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง ตัวทำละลายตกค้าง สารพิษจากเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน ปริมาณความชื้น สารเทอร์ปีนเชิงคุณภาพ รวมถึงการหาปริมาณสารออกฤทธิ์สำคัญ Mitragynine และ 7-Hydroxy mitragynine ในพืชกระท่อมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอีกด้วย
“ตั้งแต่ปี 2564 หรือในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา NCTC ได้สนับสนุนวิสาหกิจชุมชนที่เป็นกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งเริ่มหันมาให้ความสนใจในการเพาะปลูกพืชกัญชา กัญชง และกระท่อมให้ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์กลางการพัฒนาสมุนไพรเพลาเพลินเพื่อชุมชน จ.บุรีรัมย์ , วิสาหกิจชุมชนบ้านเบิร์ดเบิร์ดตามรอยเท้าพ่อ จ.ปทุมธานี เป็นต้น โดย NCTC ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูกกัญชา กัญชง และกระท่อมให้ได้คุณภาพ ไปจนถึงการบริการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญในผลผลิตพืช ซึ่งวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรเหล่านี้ถือเป็นต้นน้ำที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต ในขณะที่ NCTC ทำหน้าที่ตรวจวิเคราะห์คุณภาพของผลผลิตเพื่อให้ได้สารสำคัญที่เป็นมาตรฐานและปลอดภัย ก่อนที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไป”
ดร.ณฏฐพล กล่าวด้วยว่า การวิเคราะห์ทดสอบสารสำคัญในพืชทั้งกัญชา กัญชง และกระท่อม ถือเป็นส่วนสำคัญที่สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์และกำหนดราคาสินค้าได้ตามมาตรฐานที่กำหนดได้ สามารถนำข้อมูลไปใช้ในการกำหนดมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า ส่งเสริมและช่วยสร้างขีดความสามารถในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์โดยภาครัฐ นอกจากนี้ยังทำให้วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงบริการวิเคราะห์ทดสอบที่มีคุณภาพเทียบเท่าสากลได้ภายในประเทศ อีกทั้งยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายและลดข้อจำกัดจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ รวมถึงการส่งตัวอย่างเพื่อทำการวิเคราะห์ทดสอบหาปริมาณสารสำคัญในต่างประเทศ ส่งผลให้สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้เทียบเท่าหรือในระดับเดียวกับผลิตภัณฑ์สากล สามารถกำหนดราคาสินค้าในตลาดได้ และตรงกับความต้องการของประเทศในอนาคต
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด โทร. 0 2117 6850, 0 2117 6864, 06 5531 4514, 06 4989 6362 E-mail : nctc@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
งานสัมมนา “Professional Composite Product Creation by 3D Printing Technology”
มาร่วมพลิกโฉม เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ สู่การสร้างผลิตภัณฑ์คอมโพสิต
•เจาะลึกกรณีศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้กับงานด้านต่างๆ
•แนวทางในการนำไปปรับใช้กับงานอุตสาหกรรมสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ
•สัมผัสการสร้างชิ้นงานสามมิติจากวัสดุคอมโพสิต และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงกับผู้เชี่ยวชาญด้านการพิมพ์สามมิติ
ขอเชิญทุกท่านร่วมงานสัมมนา “Professional Composite Product Creation by 3D Printing Technology” พบกับ
- “พลิกโฉมชิ้นงานเดิม เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ด้วยเทคนิคกระบวนการคิดเชิงออกแบบ” โดย อาจารย์กิตติเศรษฐ์ เก่งการค้า ศูนย์นวัตกรรมด้านการออกแบบอุตสาหกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการออกแบบอุตสาหกรรมจาก Design Doctrine
- “สุดยอดเทคนิคการวิเคราะห์งานทางวิศวกรรม เปลี่ยนปลาเล็กให้เป็นปลาเร็ว ด้วย CAE Technology” โดย อาจารย์นิทัศน์ ปานอ่อน ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม สวทช. ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบวิศวกรรม
-"Trick and Trips แนะนำเทคโนโลยีสุดล้ำ พร้อมทั้งประโยชน์ ตัวอย่างการใช้งาน และ การใช้งานรวมทั้งพร้อมทั้งเทคนิคการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติจากวัสดุ Composite Markforged X7 โดย คุณอสิพล อนันตอัมพร ผู้เชี่ยวชาญการใช้เครื่อง Markforged X7 บริษัท พลวัตร จำกัด
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565
เวลา 13.00-16.00 น.
ห้อง 220-221
ณ งาน INTERMACH 2022 ศูนย์ประชุมไบเทค บางนา
รับจำนวนจำกัด ไม่มีค่าใช้จ่าย!!
ลงทะเบียนได้ที่ https://ers.ubmthailand.com/itm22?cid=Conference
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
E-mail : bcd@nstda.or.th
Line ID : maiys19,(incoming call) โทร. 085 289 2669 (คุณใหม่)
ปฏิทินกิจกรรม


