ผลการค้นหา :
ขอเชิญร่วมฟังการบรรยายพิเศษ “Cis-lunar economy: the race to the moon and how it transforms the frontier”
สวทช. ขอเชิญร่วมฟังการบรรยายพิเศษ
หัวข้อ: “Cis-lunar economy: the race to the moon and how it transforms the frontier” 🌕
เรื่องราวที่น่าสนใจของ ispace Inc. บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามนำยานลงจอดบนดวงจันทร์ถึงสองครั้งจาก Hakuto-R Program พร้อมข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ เศรษฐกิจในเขตซิสลูนาร์ (Cis-Lunar Economy) — ขอบเขตอวกาศที่อยู่ระหว่างโลกกับดวงจันทร์ เพื่อกำหนดทิศทางและแนวทางสำหรับการมีส่วนร่วมของประเทศไทยในกิจการอวกาศสำหรับอนาคต
📅 วันอังคารที่ 14 ตุลาคม 2568 เวลา 11.00 – 12.00 น.
📍 สถานที่
ห้องประชุม CO-110 อาคารสำนักงานกลาง สวทช.
อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
🧾 กำหนดการ
เวลา
รายละเอียด
11.00 – 11.05 น.
กล่าวต้อนรับ
โดย ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช
รองผู้อำนวยการ สวทช.
11.05 – 11.10 น.
กล่าวแนะนำโครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ JAXA
โดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์
ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
11.10 – 11.50 น.
บรรยายพิเศษ: “Cis-lunar economy: the race to the moon and how it transforms the frontier”
โดย วัชราวุธ มาสวัสดิ์
Mission Operations Engineer / Business Development Specialist
บริษัท ispace Inc. ประเทศญี่ปุ่น
11.50 – 12.00 น.
ช่วงถาม-ตอบ
🔗 ลงทะเบียนฟรี!
https://forms.gle/nhmG71WevnQShYWY7
📧 ติดต่อสอบถาม
โครงการความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ JAXA
E-mail: spaceeducation@nstda.or.th
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม
“สุรศักดิ์” รมว.กระทรวง อว. ประกาศนโยบาย Quick Win ช่วยคนตกงาน เปิดโครงการ “โดรนคนละครึ่ง” เดินหน้าสู่เกษตรอัจฉริยะ ปั้น “มหาวิทยาลัยสีเขียว”
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 เวลา 09.00 น. ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมว.กระทรวง อว. ได้แถลงนโยบายการทำงานภายใต้นโยบายการยกระดับการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ให้ก้าวทันโลก การนำเทคโนโลยีมาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีผู้บริหารกระทรวง อว. นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต และ ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า ตนมีนโยบายเร่งด่วนหรือ นโยบาย Quick Win ที่เห็นผลได้จริงภายในระยะเวลา 4 เดือน ควบคู่กับการต่อยอดนโยบายเดิมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งอยู่แล้ว โดยนโยบายเร่งด่วนแรกคือ การบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกับภาวะการว่างงาน ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นปัญหาในวงกว้าง สถานการณ์ตลาดแรงงานเปลี่ยนไปจากการเข้ามาของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI ส่งผลให้กำลังแรงงานตั้งแต่ระดับสูง กลาง และล่างตกงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กระทรวง อว. จะเปิด Upskill-Reskill ให้กับประชาชน โดยให้มหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคทั่วประเทศจัด Upskill-Reskill ในสาขาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงาน เปิดโอกาสให้แรงงานที่มีประสบการณ์อยู่แล้วได้เข้ามาพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานยุคใหม่ และกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกครั้ง ที่สำคัญ กระทรวง อว. จะดึงหน่วยงานให้ทุนอย่าง Ted Fund, สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) อุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เป็นต้น มาสนับสนุนทั้งการบ่มเพาะและให้ทุนต่อยอดและสร้างธุรกิจ เพื่อที่แรงงานที่มีประสบการณ์จะได้ผันตัวไปเป็นผู้ประกอบการ SMEs หรือสตาร์ทอัพ อีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว
รมว.กระทรวง อว. กล่าวต่อว่า อีกนโยบายเร่งด่วน คือ การช่วยเหลือภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยกระทรวง อว. จะทำโครงการ “โดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง” เป็นการนำเอาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปรับใช้ประชาชน ไปรับใช้สังคม โครงการนี้จะช่วยให้เกษตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดการสัมผัสสารเคมี รวมทั้งเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ประหยัดเวลาและแรงงาน โดยมีรูปแบบของนโยบายเป็นการช่วยค่าบริการหรือค่าใช้จ่ายในการใช้บริการโดรนเพื่อการเกษตรคนละครึ่ง ถือเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาแก้จนอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ส่งเสริมเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเปลี่ยนเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยจะนำร่องในพื้นที่ภาคกลางเป็นอันดับแรกก่อนจะขยายไปในพื้นที่อื่น ขณะเดียวกัน เราจะดึงเครือข่ายผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพด้านโดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งเข้าร่วมโครงการกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคมาเป็นผู้ให้บริการเช่าโดรน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านให้บริการโดรนเพื่อการเกษตรรายย่อยอื่นๆ สามารถมาเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมได้อีกด้วย
นายสุรศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากสองนโยบายเร่งด่วนที่ถือเป็นนโยบาย Quick Win ที่ต้องทำให้สำเร็จแล้ว นโยบายด้านการอุดมศึกษา กระทรวง อว. จะสนับสนุนค่าสมัครสอบ TCAS เพื่อลดภาระให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง นโยบายนี้เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ตนก็จะดำเนินการต่อเนื่องและดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไปในการสอบ TCAS69 โดยจะสนับสนุนค่าสมัครสอบ TGAT ในอัตรา 140 บาทต่อคน และค่าสมัครสอบรอบ 3 (Admission) ในระบบ TCAS เพิ่มเติม โดยผู้สมัครสามารถเลือกสมัครได้สูงสุด 7 อันดับฟรี ในอัตรา 600 บาทต่อคน นอกจากนี้ยังจะสนับสนุนค่าสมัครสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ TPAT1-5 (TPAT 1 อัตรา 140 บาทต่อคน และ TPAT 2-5 อัตรา 140 บาทต่อคน) ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนและผู้ปกครองได้รับประโยชน์กว่า 733,750 คน รวมทั้ง สนับสนุนทุนให้กับนักศึกษาให้กับนักศึกษาพิการ เยาวชนในพื้นที่ห่างไกล และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุนเรียนดีแต่ยากจน และทุนพัฒนานักวิจัย เป็นต้น ขณะเดียวกัน จะเร่งขับเคลื่อน Credit Bank หรือระบบคลังหน่วยกิต ให้เป็นกลไกหลักในการสะสมและเทียบโอนหน่วยกิตจากประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยตั้งเป้าให้มีความพร้อมสมบูรณ์ภายในปี 2570 ที่ทุกสถาบันอุดมศึกษาจะเชื่อมต่อกันด้วยระบบคลังหน่วยกิต ทุกวิชาในสถาบันอุดมศึกษาและหลักสูตรระยะสั้นจากภาคเอกชนที่มีคุณภาพจะได้รับการรับรองในการจัดเก็บหน่วยกิต และจัดเก็บไว้ในคลังหน่วยกิตได้
“ที่สำคัญ อีกหนึ่งนโยบายที่ตนตั้งใจจะขับเคลื่อนให้สำเร็จ คือ โครงการ “มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green University) สู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050” โดยให้ความสำคัญกับ 1.การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด 2.การประกาศนโยบาย Net Zero ให้สอดคล้องกับนโยบายของ อว. และนโยบายของรัฐบาล และ 3.การเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรมสีเขียว เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ของประเทศ และยกระดับขีดความสามารถบุคลากรสู่การสร้างงานและเศรษฐกิจสีเขียวในอนาคต ทั้งนี้ จะขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)“ นายสุรศักดิ์ กล่าวและว่า
ขณะที่ นโยบายด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปัจจุบันปัญหาภัยพิบัติทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง โลกร้อน มลพิษ หรือ PM 2.5 เป็นปัญหาที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น กระทรวง อว. จะนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาใช้แก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติในหลายด้าน เช่น ระบบติดตามสถานการณ์น้ำและแอปพลิเคชัน Thai Water จากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ และการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อติดตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งช่วยในการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจแก้ไขปัญหา รวมถึงการสนับสนุนเครือข่ายมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ข้อมูลดาวเทียมในการติดตามและประเมินสถานการณ์ PM 2.5 ผ่านแอปพลิเคชัน "เช็คฝุ่น" โดยกระทรวง อว. ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สทนช., สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, กรมวิชาการเกษตร, กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งระบบทั้งหมดที่กระทรวง อว. จัดทำขึ้นนี้ นอกจากเป็นการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว ยังช่วยพยากรณ์และวิเคราะห์สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับทำการเกษตรให้แม่นยำขึ้นได้อีกด้วย
รมว.กระทรวง อว. กล่าวทิ้งท้ายว่า นอกจากนี้จะเร่งผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากยกระดับรายได้ประชาชนในพื้นที่ โดยการนำผลงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น เช่น การนำเทคโนโลยี/นวัตกรรมมาปรับปรุงในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และพัฒนา/ต่อยอดผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการ รวมถึงบรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน การใช้เทคโนโลยี Smart Farm ในภาคเกษตร การพัฒนาทักษะ (Upskill/ Reskill) ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ รวมถึงการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก สามารถพึ่งพาตนเองได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนต่อไป
“ผมมีเวลาไม่มาก คือ 4 เดือน ตั้งใจว่านโยบาย Quick Win จะต้องสำเร็จให้ได้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากภาวะว่างงาน และเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ทำให้ชีวิตของพี่น้องประชาชนดีขึ้น” นายสุรศักดิ์ กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ENTEC สวทช. – กกพ. จัดสัมมนาเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน สรุปผลโครงการ “Capability Building for Energy Transition (2025)”
วันที่ 2–3 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมเมอเวนพิค รีสอร์ต เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา: ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จัดสัมมนาวิชาการและสรุปผลการดำเนินโครงการ Capability Building for Energy Transition (2025) เสริมสร้างศักยภาพบุคลากร รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่อนาคต โดยได้รับเกียรติจาก คุณประสิทธิ์ สิริทิพย์รัศมี รองเลขาธิการสำนักงาน กกพ. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน
คุณประสิทธิ์ สิริทิพย์รัศมี รองเลขาธิการ กกพ. กล่าวว่า กิจกรรมอบรมภายใต้โครงการ Capability Building for Energy Transition (2025) เป็นโครงการที่มุ่งพัฒนาบุคลากร กกพ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีองค์ความรู้ด้านเทคนิค เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของภาคพลังงานในอนาคต ซึ่งมองว่า ENTEC สวทช. เป็นหน่วยงานพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี เนื่องจากมีองค์ความรู้เชิงลึกและติดตามนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่บทบาทของ กกพ. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลด้านกิจการพลังงานของประเทศ จำเป็นต้องอาศัยทั้งมิติทางวิศวกรรม กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และการเงิน การร่วมมือเช่นนี้จึงเป็นการเติมเต็มซึ่งกันและกัน ซึ่งหลักสูตรการอบรมได้พัฒนาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยปีแรกเป็นเพียงหลักสูตรสั้น ๆ เพื่อทดลอง
ก่อนปรับเป็นหลักสูตรเต็มรูปแบบ ในแต่ละปีจะมีการปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนโยบายพลังงาน เช่น ปีนี้ได้เพิ่มหัวข้อ Small Modular Reactor (SMR) หรือ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็ก เพื่อให้บุคลากร กกพ. สามารถติดตามและทำความเข้าใจเทคโนโลยีที่อาจถูกนำมาใช้จริงในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ
คุณประสิทธิ์ กล่าวต่อว่า กกพ. มีแนวคิดที่จะนำเรื่องข้อมูลพลังงานมาเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตร เพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบ Smart Grid หรือโครงข่ายอัจฉริยะ ที่ต้องอาศัยข้อมูลเป็นฐานในการบริหารจัดการ ซึ่งรูปแบบการอบรมไม่ได้มองว่าเป็นเพียงโครงการระยะสั้น แต่สอดคล้องกับแผนระยะ 5 ปีของสำนักงาน และจะเดินหน้าต่อเนื่อง เพราะนี่คือการบูรณาการร่วมกันให้เกิดผลลัพธ์มากกว่าเดิม ระหว่างการกำกับดูแลและองค์ความรู้เชิงเทคนิค การพัฒนาบุคลากรจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการกำกับกิจการพลังงานให้มีความเหมาะสม โปร่งใส และเป็นธรรม ตลอดจนสร้างโอกาสให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกที่กำลังมุ่งสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งความร่วมมือกับ ENTEC สวทช. ครั้งนี้ไม่เพียงพัฒนาคน แต่จะต่อยอดเป็นกลไกการกำกับดูแลที่ตอบโจทย์ประเทศ และเปิดทางให้ไทยก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาดอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC สวทช. กล่าวว่า โครงการ Capability Building for Energy Transition (2025) ได้ดำเนินงานต่อเนื่องมาหลายเดือน โดยเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ กกพ. โดยตรง เพื่อยกระดับองค์ความรู้ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานในระดับโลก มีทั้งการจัดอบรมเชิงวิชาการ การศึกษาดูงานในต่างประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้ด้านนโยบาย งานวิจัยและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการสรุปและปิดการอบรมอย่างสมบูรณ์ในปีนี้ และสำหรับในปี 2026 เรามองไปที่การวิจัยเชิงนโยบายและด้านกฎระเบียบ ที่จะช่วยเสริมบทบาทสำคัญของ กกพ. ในการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ โดยมั่นใจว่าจะสามารถสนับสนุนความรู้ทางเทคนิคให้ กกพ. ก้าวทันพัฒนาการของประชาคมโลก ซึ่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาหลายปี ต้องอาศัยทิศทางที่ชัดเจน เป้าหมายระยะยาว และการเตรียมความพร้อมทั้งด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐาน ความร่วมมือกับ กกพ. มีส่วนสำคัญในการอัปเดตองค์ความรู้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกแบบ Real-time ตัวอย่างเช่น เทรนด์ด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก ที่เริ่มเป็นประเด็นร้อนแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้าย ผลกระทบจากโครงการที่ประเทศจะได้รับอย่างชัดเจน คือความมั่นใจว่าการตัดสินใจของ กกพ. จะตั้งอยู่บนฐานความรู้ที่อัปเดต ทันสมัย และรอบด้าน ไม่ได้อ้างอิงจากข้อมูลที่ล้าหลัง ทำให้ประเทศไทยสามารถซื้อเทคโนโลยีด้วยความเข้าใจ และตัดสินใจได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสมที่สุด
ด้าน ดร.วิศาล ลีลาวิวัฒน์ นักวิจัย ENTEC สวทช. และหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า กิจกรรมการอบรมที่จัดขึ้น นอกจากเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพให้กับบุคลากรของ กกพ. โดยตรงแล้ว บุคลากรของ ENTEC เองก็ได้มีโอกาสเรียนรู้และสร้างเครือข่ายไปพร้อมกัน ถือเป็นประโยชน์ร่วมกันโดยเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ การอัปเดตข้อมูลเชิงนโยบาย รวมถึงทิศทางพลังงานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหัวข้อสัมมนาที่จัดขึ้นที่ผ่านมา ครอบคลุมหลากหลายเทรนด์ด้านพลังงาน อาทิ พลังงานไฮโดรเจน และเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขนาดเล็ก ซึ่งกำลังเป็นทิศทางสำคัญที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality โดยการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาดใหม่ ๆ จะช่วยเสริมทางเลือกนอกเหนือจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม
ดร.วิศาล กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ด้านพลังงานใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง การอบรมลักษณะนี้จึงเป็นการสร้างความพร้อมให้กับบุคลากร กกพ. ในการทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการพลังงานยุคใหม่ ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตอบโจทย์เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดย ENTEC สวทช. ตั้งเป้าขยายผลการอบรมไปสู่การสร้างเครือข่ายที่กว้างขึ้น ไม่เพียงเฉพาะ กกพ. แต่รวมถึงภาคเอกชน หน่วยงานรัฐ และผู้เกี่ยวข้องด้านพลังงาน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานในอนาคต สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการฯ ได้รับการตอบรับที่ดี มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้การวัดผลจะไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้เข้าร่วมเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่สำคัญคือการส่งต่อองค์ความรู้ใหม่ ๆ และการสร้างเครือข่ายที่ช่วยต่อยอดความร่วมมือด้านพลังงานในระยะยาว
กิจกรรมมุ่งเน้นสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด (Energy Transition) โดยมี ดร.นุวงศ์ ชลคุป ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพลังงานคาร์บอนต่ำ ENTEC สวทช. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในออกแบบหลักสูตรและผลักดันโครงการเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านพลังงานสะอาด พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ สร้างประสบการณ์ตรงแก่ผู้เข้าร่วม ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการและการศึกษาดูงานในสถานที่จริง ซึ่งช่วยให้บุคลากรของ กกพ. สามารถมองเห็นภาพรวมของเทคโนโลยีและทิศทางการกำกับดูแลด้านพลังงานอย่างรอบด้าน
ภายในกิจกรรมจัดให้มีการบรรยายครอบคลุมหัวข้อสำคัญ ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) และเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) นำเสนอโดย ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ENTEC สวทช., ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) และกลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) นำเสนอโดย คุณมัญชุตา กิ่งเนตร Head of Strategic Partnership บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด., บทบาทของเอนไซม์ไฮโดรจีเนสในการผลิตไฮโดรเจนด้วยกระบวนการชีวเร่งปฏิกิริยาที่ใช้แสง (Hydrogenase in photobiocatalytic hydrogen production) นำเสนอโดย Dr.Nuttavut Kosem จาก Kyushu University, Japan
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังได้มีโอกาสลงพื้นที่ศึกษาดูงานกังหันลมเขายายเที่ยง และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง ซึ่งถือเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญด้านพลังงานหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม ช่วยเปิดประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดในอนาคต
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
The Journey of i-CREATe: จากหนึ่งวิสัยทัศน์ สู่ระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อทุกคน
ทุกการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่...เริ่มต้นจาก 'วิสัยทัศน์' ที่มองเห็นอนาคตก่อนใครเสมอ
จากสายพระเนตรและพระราชปณิธานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล็งเห็นว่า พลังของเทคโนโลยีสามารถเป็นมากกว่าเครื่องมือสร้างความมั่งคั่ง แต่ต้องเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโอกาส และเป็นกุญแจปลดล็อกศักยภาพ พัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน โดยเฉพาะผู้พิการและผู้สูงวัย
นี่คือเรื่องราวการเดินทางของ i-CREATe จากพระราชดำริอันกว้างไกลซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น สู่การเป็นเวทีระดับนานาชาติอันแข็งแกร่งที่หล่อหลอมนักวิจัย นักประดิษฐ์ และผู้กำหนดนโยบายจากทั่วเอเชียให้มารวมตัวกัน เพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุและผู้พิการ เพื่อลดช่องว่างและสร้างความเท่าเทียมในสังคม
ขอเชิญชวนร่วมเป็นกำลังใจและติดตามไฮไลต์สำคัญ รวมถึงผลงานนวัตกรรมเด่นๆ ที่จะช่วยยกระดับชีวิตผู้สูงอายุและผู้พิการในงาน i-CREATe 2025 วันที่ 24 - 26 พฤศจิกายน นี้ ผ่านทุกช่องทางของ สวทช. มาร่วมกันสร้างสังคมที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ไปด้วยกัน
ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับ i-CREATe 2025 > https://www.icreateasia.com/
.
Every great change begins with a vision that foresees the future.
From the royal vision and determination of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn, who foresaw that the power of technology could be more than just a tool for wealth creation. It must be a bridge connecting people to opportunities and a key to unlocking potential and improving the quality of life for all, especially for persons with disabilities and the elderly.
This is the story of i-CREATe's journey: from its beginning as a far-sighted royal initiative to its evolution into a robust international platform. It convenes researchers, innovators, and policymakers from across Asia to create technologies aimed at enhancing the quality of life, particularly for the elderly and persons with disabilities, in order to reduce gaps and foster equality in society.
We invite you to show your support and follow the key highlights and outstanding innovations at i-CREATe 2025, from November 24-26, through all of NSTDA's channels. Let's join together in building a truly inclusive society.
For more details on i-CREATe 2025, visit > https://www.icreateasia.com/
ปฏิทินกิจกรรม
อว. นำทีมไทยร่วมเวทีวิทยาศาสตร์โลก STS Forum 2025 ร่วมขับเคลื่อน AI และการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่ออนาคตของมนุษยชาติ
วันที่ 5 ตุลาคม 2568 ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น - ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เข้าร่วมเปิดการประชุมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาสังคม ครั้งที่ 22 (Science and Technology in Society: STS Forum 2025) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วมการประชุม
การประชุม STS Forum 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ หลัก "การมองโลกในปี 2030 และในอนาคตต่อไป - อนาคตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมนุษยชาติ" โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ที่เสด็จฯ มาร่วมงานด้วย ซึ่งเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญสูงสุดที่ประเทศญี่ปุ่นและประชาคมโลกให้ต่อการสร้างสรรค์อนาคตผ่านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมไปด้วยกันอย่างยั่งยืน เพื่อ "ปูทางสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคตแห่งยุคเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์" ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ได้จัดให้มีการแบ่งปันวิสัยทัศน์ใน 12 การประชุม Plenary Sessions และ 22 การประชุมย่อย เน้นประเด็นสำคัญที่ AI เป็นแกนหลักของการพัฒนา เพื่อเชื่อมโยงองค์ความรู้และส่งเสริมการพัฒนาอย่างรวดเร็วในทางที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เช่น ผลกระทบของ AI ต่อสังคมและเศรษฐกิจ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม การเติบโตทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่ออนาคต เทคโนโลยีควอนตัม การลดช่องว่างดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานทางสังคมและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม วิทยาศาสตร์เพื่อสันติภาพและความมั่นคง เป็นต้น
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ได้ร่วมการแสดงปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิด นำเสนอแผนงานของประเทศไทยในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 ด้วยการขยายพลังงานหมุนเวียน การเกษตรอัจฉริยะ การประยุกต์ใช้ AI และความร่วมมือในระดับภูมิภาคในการเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ (zero carbon society) รวมถึงการเชื่อมโยงงานวิจัยกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาสังคมโลกอย่างเป็นประโยชน์สูงสุด
จากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้รับมอบหมายจาก นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Ministers’ Roundtable Meeting) ในหัวข้อ "วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งอนาคต" โดยที่ประชุมได้หารือร่วมกันในการร่วมออกแบบสังคมแห่งอนาคตเพื่อชีวิตของมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อที่อุบัติใหม่ และการเพิ่มขึ้นของโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ทำให้ภาระด้านการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น การพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อน การใช้ AI ตามหลักจริยธรรม ผลกระทบต่อการจ้างงาน และธรรมชาติของสังคม โดยญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในระดับสากล
พร้อมกันนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ร่วมการหารือทวิภาคีกับผู้บริหารของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และกลุ่มอุตสาหกรรม-รัฐบาลมาเลเซียเพื่อเทคโนโลยีขั้นสูง (Malaysian Industry-Government Group for High Technology) ประเทศมาเลเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขยายเครือข่ายความร่วมมือเพื่อรองรับความท้าทายของภูมิภาคและนโยบายของทั้งสองประเทศ เช่น เศรษฐกิจชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีพลังงานเพื่อความยั่งยืน และการส่งเสริมเทคโนโลยีขั้นสูงเชิงพาณิชย์ ร่วมสร้างผสานพลังร่วมกันในการยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของทั้งไทยและมาเลเซียในระดับภูมิภาคอาเซียน และเข้าร่วมการประชุมคู่ขนานในหัวข้อ "ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อภัยพิบัติ" จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยรุ่นใหม่ได้นำเสนอมุมมองและแนวทางนวัตกรรมในการเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติร่วมกับผู้กำหนดนโยบายที่มีประสบการณ์ และส่งเสริมศักยภาพให้มีบทบาทในการเป็นผู้นำและผู้ผลักดันแนวทางการแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลก
นอกจากนี้ ดร.อิทธิ์ทณัฏฐ์ อิทธิวิภาต นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ สวทช. เข้าร่วม Young Leaders Program 2025 ซึ่งจัดภายใต้การประชุม The 22nd Annual Meeting of the STS forum เวทีนี้เปิดโอกาสให้นักวิจัยรุ่นใหม่จากทั่วโลกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมอง และสร้างเครือข่ายกับผู้นำระดับโลก รวมถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากสาขาฟิสิกส์ เคมี สรีรวิทยาหรือการแพทย์ และสันติภาพ รวมทั้งสิ้น 12 ท่าน การประชุมมุ่งแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาโลก เช่น การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการวิจัย และความสำคัญของการส่งต่อองค์ความรู้สู่นักวิจัยรุ่นใหม่ เพื่อเสริมพลังการวิจัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 141 คน จากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาทั่วโลก
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมประชุม RIL 2025 ที่เกียวโต ชูความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ยุค AI
เกียวโต, ญี่ปุ่น – 4 ตุลาคม 2568 – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำสถาบันวิจัยระดับโลก “The 14th Global Summit of Research Institute Leaders (RIL 2025)” ณ นครเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับผู้นำจาก 16 ประเทศ เพื่อกำหนดทิศทางวิทยาศาสตร์โลกภายใต้แนวคิด “การร่วมมือเสริมสร้างความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ผู้อำนวยการ สวทช. เน้นย้ำว่า ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์อย่างก้าวกระโดด ความเชื่อมั่นของสาธารณชนกลับเผชิญความท้าทายจากปัญหาการนำเสนอผลงานเกินจริงและขาดความโปร่งใส สวทช. จึงมุ่งส่งเสริมจริยธรรมและความน่าเชื่อถือในการวิจัย พร้อมแบ่งปันความรู้เพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยเฉพาะในยุคที่ AI มีบทบาทในทุกมิติของชีวิต
ในการประชุม สวทช. ได้เสนอ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การกำหนดมาตรฐานสากล สำหรับการอ้างอิงและรับรองผลงานวิจัย
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถืออย่างเป็นอิสระ และการพัฒนานักวิจัยและนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โดยใช้ AI เสริมศักยภาพควบคู่กับการกำกับดูแลที่โปร่งใส
ที่ประชุมได้ย้ำถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ทางวิทยาศาสตร์และความไว้วางใจของประชาชน โดยเฉพาะในด้าน AI พร้อมสนับสนุนการแบ่งปันความรู้และสร้างกรอบการทำงานร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายระดับโลก และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านการอภิปรายที่เปิดกว้างและการมีส่วนร่วมของชุมชน
การประชุม RIL 2025 ซึ่งจัดโดยสถาบัน RIKEN และ National Institute of Advanced Industrial Science and Technology (AIST) ก่อนงาน STS Forum 1 วัน ตอกย้ำบทบาทของ สวทช. ในการขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ร่วมแก้ไขความท้าทายของมนุษยชาติอย่างมีจริยธรรมและโปร่งใส
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
อว. พร้อมดันไทยเป็น Hub อุตสาหกรรม EV เดินหน้าพัฒนาทักษะใหม่–สร้างคนคุณภาพสู่อนาคต
(2 ต.ค.68) ณ ห้องประชุม SD-601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาทักษะใหม่เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต” ภายใต้โครงการพัฒนาหลักสูตร Sandbox สำหรับสร้างความเชี่ยวชาญกำลังคนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมี ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดงาน ทั้งนี้ได้รับความสนใจจากภาครัฐ ตลอดจนผู้แทนจากสถาบันยานยนต์ไทย สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เข้าร่วม
ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า กระทรวง อว. มีนโยบายในการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญในระดับภูมิภาค รวมถึงมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำของโลกด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทายสูงและต้องอาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพ ทั้งในมิติความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ จึงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานเพื่อยกระดับศักยภาพของกำลังคนด้านยานยนต์ไฟฟ้า สร้างความพร้อมในการรองรับกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของการคมนาคมยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างกำลังคนคุณภาพ ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยสู่อนาคต
“กระทรวง อว. พร้อมที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบูรณาการทรัพยากรและศักยภาพของหน่วยงาน สถาบันการศึกษา และเครือข่ายวิจัยที่อยู่ภายใต้สังกัด เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบและยั่งยืน” ผู้ช่วยปลัดกระทรวง อว. กล่าว
ด้าน รศ.ร.อ.ดร.กนต์ธร ชำนิประศาสน์ หัวหน้าโครงการพัฒนาหลักสูตร Sandbox กล่าวว่า งานประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาทักษะใหม่เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต” เป็นเวทีแห่งการระดมข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่จะสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่น ทันสมัย และสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ
ภายในงานมีทั้งการบรรยายพิเศษ หัวข้อ “มุมมองด้านความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” การเสวนา “แนวทางการพัฒนาทักษะใหม่เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า” การศึกษาดูงานด้านโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพ (NQI) ณ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) และฝ่ายบริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFED) รวมถึงการระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางส่งเสริม New Skill สำหรับอุตสาหกรรม EV ปิดท้ายด้วยการสรุปผลและกิจกรรม Networking เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาอย่างรอบด้านและยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ผู้อำนวยการ สวทช. เข้าร่วมกล่าวสุนทรพจน์และอภิปรายในการประชุมใหญ่ TWAS ครั้งที่ 17
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญของ The World Academy of Sciences (TWAS) ครั้งที่ 17 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "Building a Sustainable Future: The role of science, technology and innovation for global development" ที่จัดขึ้น ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568
โดยการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ได้รับเกียรติขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมและในฐานะประธาน Alliance of International Science Organizations (ANSO) ร่วมกับผู้นำองค์กรวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก และ Luiz Inácio Lula da Silva ประธานาธิบดี สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ข้อความในสุนทรพจน์ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ เน้นย้ำถึงภารกิจของ ANSO ในการส่งเสริมความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีข้ามพรมแดน เพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกที่ซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ นอกจากนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ได้ร่วมเป็นคณะผู้อภิปราย ในหัวข้อ "Science in a complex geopolitical context" ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน โดยได้นำเสนอแนวคิด เครือข่ายความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์อย่าง ANSO ซึ่งถือเป็น "สะพาน" ที่เชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกให้ทำงานร่วมกันโดยมีเป้าหมายเพื่อมนุษยชาติเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามที่องค์การสหประชาชาติกำหนดขึ้น (UN SDGs) ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยยกตัวอย่างความร่วมมือทีมวิจัยจาก สวทช. ได้ร่วมมือกับนานาประเทศเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นร่วมกัน
ในการประชุมครั้งนี้ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์เพื่อส่วนรวมในเวทีระดับโลกต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘Pure Air Gypsum Board’ ยิปซัมบอร์ดจากวัตถุดิบสังเคราะห์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
แร่ยิปซัมเป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะการผลิตแผ่นฝ้าและผนัง ประเทศไทยมีการใช้แร่ยิปซัมจากธรรมชาติมากกว่า 2 ล้านตันต่อปี และยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเอเชียด้วย อย่างไรก็ตามกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้คาดการณ์ไว้ว่า แหล่งแร่ยิปซัมธรรมชาติในประเทศไทยมีแนวโน้มจะหมดลงในอีก 30 ปี หรือประมาณปี พ.ศ. 2600 ถือเป็นความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเร่งหาทางออกที่ยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พัฒนากระบวนการผลิต Pure Air Gypsum Board (เพียวแอร์ ยิปซัมบอร์ด) แผ่นยิปซัมสังเคราะห์ที่ผลิตจาก FGD gypsum (เอฟจีดี ยิปซัม) ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตไฟฟ้า โดย Pure Air Gypsum Board มีฟังก์ชันดูดซับสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds: VOCs) และช่วยลด PM2.5 ซึ่งเป็นมลพิษที่พบได้ในอาคารทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงานด้วย
Pure Air Gypsum Board ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_74750" align="aligncenter" width="750"] ดร.ศุภมาส ด่านวิทยากุล และดร.สมัญญา สงวนพรรค นักวิจัย เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศุภมาส ด่านวิทยากุล นักวิจัยทีมวิจัยอีโคและฟังก์ชันนอลเซรามิกส์ เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า FGD gypsum เป็นกากอุตสาหกรรมที่เกิดจากกระบวนการดักจับก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งโดยปกติจะมีการนำไปจำหน่ายเพื่อใช้งานต่อในสัดส่วนร้อยละ 20 ส่วนที่เหลือร้อยละ 80 จะมีการกำจัดด้วยวิธีฝังกลบ ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับ กฟผ. พัฒนากระบวนการผลิตยิปซัมไฟเบอร์บอร์ดจาก FGD gypsum เพื่อทดแทนการใช้แร่ยิปซัมจากธรรมชาติ โดยวิธีการที่พัฒนาขึ้น สามารถนำไปใช้ผลิตในโรงงานทั่วไปโดยไม่ต้องปรับแต่งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้นำอีกสองผลงานเทคโนโลยีเด่นมาใช้เพิ่มฟังก์ชันด้านการลดสารมลพิษเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วย
ดร.ศุภมาส อธิบายว่า เทคโนโลยีแรก คือ เทคโนโลยีการผลิตวัสดุดูดซับสารอินทรีย์ระเหยง่าย หรือ VOCs ซึ่งเป็นสารมลพิษใกล้ชิดกับตัวเรา VOCs พบได้ในองค์ประกอบของสีทาบ้าน ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หมึกเครื่องถ่ายเอกสารและเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ควันบุหรี่ หรือกระทั่งควันจากการทำอาหาร โดยหากได้รับสาร VOCs ในปริมาณมากอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายแบบเฉียบพลัน เช่น เวียนศีรษะ ระคายเคืองผิวหนัง ดวงตา และระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ นอกจากนี้หากมีการสะสมของสาร VOCs ในร่างกายต่อเนื่องยาวนานก็อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งด้วย
“ในกระบวนการผลิตยิปซัมบอร์ด ทีมวิจัยได้พัฒนาวัสดุดูดซับสาร VOCs มาใช้เป็นสารประกอบในเนื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อทำหน้าที่ตรึงสาร VOCs ด้วยพันธะเคมี ทำให้สาร VOCs ไม่สามารถหลุดออกจากผลิตภัณฑ์มาฟุ้งกระจายภายในอากาศได้อีก”
อีกเทคโนโลยีที่นำมาใช้ คือ เทคโนโลยีการผลิตสีพ่นเคลือบที่มีประสิทธิภาพในการลดฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง โดย PM2.5 ในอาคารมีแหล่งที่มาหลัก ๆ มาจากการทำอาหาร การสูบบุหรี่ การจุดธูป เทียน หรือกำยาน การก่อสร้างต่อเติมบ้าน นอกจากนี้ยังมีฝุ่น PM2.5 จากภายนอกอาคารที่เล็ดรอดเข้ามาทางหน้าต่าง หรือช่องระบายอากาศได้ด้วย โดยฝุ่นเหล่านี้มีที่มาหลักจากควันไอเสียรถยนต์ การเผาในที่โล่งแจ้ง รวมไปถึงควันจากโรงงานอุตสาหกรรม
ดร.ศุภมาส อธิบายต่อว่า ฝุ่น PM2.5 เป็นมลพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งแบบเฉียบพลัน เช่น ระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอาจก่อให้อาการภูมิแพ้และเลือดกำเดาไหลได้ โดยหากสะสมในร่างกายต่อเนื่องยาวนานก็อาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคในระบบทางเดินหายใจแบบเรื้อรัง โรคหัวใจ มะเร็งปอด รวมถึงโรคร้ายแรงอีกหลายชนิด
“เพื่อช่วยลดปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้นำเทคโนโลยีสีพ่นเคลือบพื้นผิวที่นอกจากจะให้สีสันสวยงาม ยังมีกลไกทำให้อนุภาคของฝุ่นขนาดเล็กที่ลอยเข้าใกล้สารเคลือบจับตัวกันเป็นก้อนน้ำหนักมากแล้วตกลงสู่พื้น ทำให้ฝุ่นไม่ฟุ้งกระจายในอากาศ และทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น มาใช้งานกับแผ่นยิปซัมบอร์ดสังเคราะห์ที่พัฒนาด้วย โดยเมื่อผสานรวมทั้ง 3 เทคโนโลยีข้างต้นเข้าด้วยกันจะได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อว่า Pure Air Gypsum Board”
พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทางเลือกแห่งอนาคตแล้ว
ดร.สมัญญา สงวนพรรค นักวิจัยทีมวิจัยอีโคและฟังก์ชันนอลเซรามิกส์ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่าการนำ FGD gypsum มาใช้เป็นวัตุดิบทดแทนจะช่วยเสริมความยั่งยืนเรื่องแหล่งที่มาของวัตถุดิบ และลดการถลุงแร่ธรรมชาติซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษทั้งทางน้ำ ดิน และอากาศ นอกจากนี้ยังเป็นการนำผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่ม สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy)
“การที่ทีมวิจัยบูรณาการทั้งเทคโนโลยีการผลิตยิปซัมไฟเบอร์บอร์ดจาก FGD gypsum, เทคโนโลยีการผลิตวัสดุดูดซับสาร VOCs และเทคโนโลยีการผลิตสีพ่นเคลือบเพื่อลด PM2.5 เข้าด้วยกัน ทำให้ Pure Air Gypsum Board เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นแตกต่างจากแผ่นยิปซัมบอร์ดทั่วไปในประเทศไทยซึ่งยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่มีทั้ง 3 คุณสมบัตินี้รวมอยู่ในผลิตภัณฑ์เดียว นอกจากนี้ยังมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 30 ปี ตอบโจทย์ทั้งเรื่องสุขภาพของผู้ใช้งานและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับแนวโน้มความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่ด้วย”
ปัจจุบันเอ็มเทค สวทช. และ กฟผ. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทั้ง 3 เทคโนโลยีแล้ว โดยทุกเทคโนโลยีผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิดผลิตได้ภายในประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสการครองส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ทางเลือกนี้
ดร.สมัญญา อธิบายว่า เทคโนโลยีการผลิตแผ่นยิปซัมบอร์ดเหมาะแก่ผู้ผลิตแผ่นยิปซัมที่มองหาวัตถุดิบทดแทนที่มีความยั่งยืนในการผลิต นอกจากนี้การนำ FGD gypsum มาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนแร่จากแหล่งแร่ธรรมชาติยังช่วยลดค่าการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) ได้ด้วย ส่วนเทคโนโลยีการผลิตวัสดุดูดซับ VOCs เหมาะแก่ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ และเทคโนโลยีสารเคลือบลด PM2.5 เหมาะแก่ผู้ผลิตสีและสารเคลือบ ทั้งสองเทคโนโลยีนี้นำไปประยุกต์ใช้กับการผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ได้หลากหลาย เช่น วัสดุก่อสร้างประเภทผนัง บล็อกช่องลม สีทาบ้าน สีทาเฟอร์นิเจอร์
จะเห็นได้ว่า Pure Air Gypsum Board ไม่ได้เป็นเพียงวัสดุก่อสร้างทั่วไป แต่ยังเป็นนวัตกรรมที่คำนึงถึงสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความยั่งยืนของอุตสาหกรรมยิปซัมบอร์ดไทย ผู้ประกอบการที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณระพีพันธ์ ระหงษ์ เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4789 หรืออีเมล rapeepr@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และอัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช.
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Adobe Stock
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ขอแสดงความยินดี “ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง และทีม” คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 กลุ่มอุตสาหกรรม การประกวดนวัตกรรมข้าวไทยปี 2568
1 ตุลาคม 2568 ณ ห้องนภาลัย แกรนด์ บอลรูม โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ - ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้รับเกียรติเข้ารับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 กลุ่มอุตสาหกรรม จากการประกวด "นวัตกรรมข้าวไทยปี 2568" พร้อมโล่เกียรติยศ ประกาศนียบัตร และเงินรางวัล 20,000 บาท การมอบรางวัลจัดขึ้นภายในงานวันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2568 จาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจัดโดยมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
โอกาสนี้ ผู้บริหาร สวทช. นำโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการไบโอเทค พร้อมด้วยทีมวิจัย และบุคลากร สวทช. ร่วมแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้แก่ ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง และทีม
ผลงานที่ได้รับรางวัลคือ “Green Rice Biome : สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากข้าวไทยและต้นข้าวอ่อนด้วยนวัตกรรมกระบวนการหมักแบบแม่นยำ” ภายใต้การพัฒนาของแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (FoodSERP) ของ สวทช. เป็นนวัตกรรมการเพิ่มมูลค่าของข้าวไทยด้วยเทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำ (precision fermentation) ซึ่งได้นำร่องพัฒนากระบวนการผลิตสารประกอบฟังก์ชันจากข้าวหอมมะลิอินทรีย์ ผ่านกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (bioproducts) โดยอาศัยหลักการแปรสภาพทางชีวภาพ (biotransformation) ด้วยจุลินทรีย์ เทคโนโลยีการหมักแบบแม่นยำนี้ ถือเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีสีเขียวที่มีศักยภาพสูงซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มมูลค่าของวัตถุดิบข้าวไทยเพื่อพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตส่วนประกอบฟังก์ชันสำหรับเครื่องสำอางในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
การประชุมวิชาการนานาชาติ ASPA ครั้งที่ 28 ประจำปี 2025
📢การประชุมวิชาการนานาชาติ ASPA ครั้งที่ 28 ประจำปี 2025
🗓วันที่: 3–6 พฤศจิกายน 2568
📍 สถานที่: โรงแรม Millennium Hilton Bangkok
🚨หัวข้อ: "The Role of Science and Technology Parks in Facilitating Corporates on the ESG Journey"
📌เชิญชวน:
👨💼 ผู้บริหารจากอุทยานวิทยาศาสตร์
🔬 ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ
🏛️ มหาวิทยาลัย / หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบนวัตกรรม ทั้งในและต่างประเทศ
🧑🏻💻บุคคลทั่วไปที่มีความสนใจ
🎯สิ่งที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้รับ:
✅ สิทธิ์เข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ ได้แก่ เวิร์กช็อป กิจกรรมการสร้างเครือข่าย งานเลี้ยงกาลาดินเนอร์ และงานเลี้ยงต้อนรับ
✅อาหารกลางวัน อาหารว่าง และเครื่องดื่ม ตลอดระยะเวลาการประชุม
✅สิทธิ์เข้าร่วมทริป Technical & Cultural Tours
✅ กระเป๋าเอกสาร และสื่อ/สิ่งพิมพ์/เอกสารประกอบการประชุม
📌อัตราค่าลงทะเบียน: รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) แล้ว
📬สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: aspa2025@nstda.or.th
📢28th ASPA Annual International Conference 2025
🗓Date: 3–6 November 2025
📍Venue: Millennium Hilton Bangkok
🚨Theme: "The Role of Science and Technology Parks in Facilitating Corporates on the ESG Journey"
📌Invitation to:
👨💼 Business Incubation Centers
🏛️ Universities / Innovation-related organizations, both domestic and international
🧑🏻💻 General public with an interest in the topic
🎯Benefits for Participants:
✅ Access to the conference sessions and special activities including workshops, networking events, gala dinner, and welcome reception
✅ Lunch, snacks, and beverages throughout the conference duration
✅ Participation in Technical & Cultural Tours
✅ Conference bag, printed materials, and other relevant documents
💰Registration Fee: Inclusive of 7% VAT
📬For more information, please contact: aspa2025@nstda.or.th
Register Now → www.aspa2025.com
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ชวนคนไทยใส่ใจสุขภาพ! ยกทัพนวัตกรรมสุดล้ำเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิมในงาน SX2025
26 กันยายน 2568 – สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตอกย้ำความเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนของสังคมไทย เข้าร่วมงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้แนวคิด "พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก"
ครั้งนี้ สวทช. ขอเชิญชวนทุกท่านมาสัมผัสเทคโนโลยีที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ในโซน "Better Me: ชีวิตดีมีสุข เริ่มได้ที่ตัวเรา" พบกับผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จับต้องได้ ซึ่งออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว
นำทีมโดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ที่ขนทัพนวัตกรรมมาเอาใจใส่คนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็น "Gunther" (กันเธอร์) อุปกรณ์อัจฉริยะพร้อมแอปพลิเคชันคู่ใจ ที่ช่วยตรวจจับและแจ้งเตือนการทรงตัวที่ผิดปกติ รวมถึงการพลัดตกหกล้ม, "Rachel" (เรเชล) ชุดบอดีสูทดีไซน์พิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ช่วยดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด, อุปกรณ์ตรวจจับการใช้เวลาในห้องน้ำนานผิดปกติ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน และอุปกรณ์ช่วยเตือนกินยาอัตโนมัติพร้อมสัญญาณเตือน หมดกังวลเรื่องลืมทานยา
ทางด้าน ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ก็ไม่น้อยหน้า ส่งสองนวัตกรรมเด็ดมาให้คนไทยได้สุขภาพดีกันถ้วนหน้า เริ่มจากแอปพลิเคชัน "ไทยสุข" (ThaiSook) เพื่อนคู่คิดที่จะทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและมีความสุขยิ่งขึ้น และไฮไลท์อย่าง "ส้อมวัดความเค็ม" ที่จะมาปฏิวัติการกินของคุณ ช่วยควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารแต่ละมื้อได้อย่างแม่นยำ
พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย "ไทยสุข" เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการภายในงาน รับฟรี! สมาร์ทวอทช์ (Smart Watch) 1 เรือนทันที (เงื่อนไขเป็นไปตามที่โครงการกำหนด)
อย่าพลาดโอกาสในการอัปเดตเทรนด์สุขภาพและนวัตกรรมเปลี่ยนโลก! แล้วมาพบกันได้ที่งาน Sustainability Expo 2025 ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ถึง 5 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ฮอลล์ 2 โซน Better Me
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


