ผลการค้นหา :
อร่อยสมจริง! ‘กินใจ (GIN Zhai)’ เนื้อไก่จากโปรตีนพืช
ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชคือหนึ่งในนวัตกรรมอาหารที่มาแรงในช่วงปีนี้ และคาดว่ามูลค่าตลาดโลกจะเติบโตถึง 3 แสนล้านบาทภายในปี 2568 เพราะนอกจากจะเป็นโปรตีนทางเลือกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพและการรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำยังทำให้นักวิจัยสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีความสมจริงทั้งเนื้อสัมผัสและรสชาติในราคาที่ย่อมเยาได้อีกด้วย
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับบริษัทเอกชนผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “เนื้อไก่จากโปรตีนพืช (Plant-based Chick)” ที่พร้อมวางจำหน่ายให้ประชาชนได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว
[caption id="attachment_36851" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกุล ผู้อำนวยการ เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เอ็มเทคให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการนำความเชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์มาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการพัฒนานวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเคี้ยว กลืน และย่อยง่ายสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช ซึ่งล่าสุดเอ็มเทคได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช หรือ ‘Ve-Chick’ ให้แก่ผู้ประกอบการแล้ว 3 ราย รายแรกคือ โรงงานรับจ้างผลิต (OEM) อาหารทางเลือก รายที่สองคือ บริษัทกรีน สพูนส์ จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปด้านอาหารเพื่อสุขภาพที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในปีหน้า และล่าสุดรายที่สามคือ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ที่พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘GIN Zhai (กินใจ)’ ให้ผู้บริโภคได้ทดลองรับประทานโปรตีนจากพืชแล้วในวันนี้
จุดแข็งสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืชหรือ ‘Ve-Chick’ เป็นที่หมายตาของผู้ประกอบการตั้งแต่การเปิดตัวเทคโนโลยีในช่วงต้นปี 2564 คือ ‘เทคนิคการจัดเรียงโครงสร้างให้ได้ลักษณะเส้นใยคล้ายกับเนื้อจริง’
[caption id="attachment_36852" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. อธิบายว่า ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงสร้างอาหารมาผสานเข้ากับความรู้ด้านคุณสมบัติของโปรตีนจากถั่วเหลือง เพื่อออกแบบ ‘การจัดเรียงโครงสร้างของอาหารให้ออกมามีลักษณะเป็นเส้นใย’ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสัมผัสและรสคล้ายเนื้อไก่จริง โดยผลิตภัณฑ์หลัก 2 ชนิดที่ทีมพัฒนา คือ ผลิตภัณฑ์ Precook เนื้อไก่ขึ้นรูปที่ผ่านการปรุงรสเป็นเมนูอาหารแช่แข็งต่างๆ และผลิตภัณฑ์ Premix ที่ผู้บริโภคสามารถนำผงวัตถุดิบมาตีผสมกับน้ำและน้ำมันเพื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อไก่ได้ตามปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน อีกทั้งผลิตภัณฑ์รูปแบบนี้ยังมีจุดแข็งคือผง Premix (ผลิตภัณฑ์ก่อนผสม) เก็บรักษาได้นานเป็นปีโดยไม่ต้องแช่แข็ง ทำให้ผู้ผลิตอาหาร อาทิ ร้านอาหาร หรือผู้ให้บริการแคเทอริง สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน พื้นที่จัดเก็บ และการทิ้งอาหารที่มากเกินความต้องการได้เป็นอย่างดี
“ผลิตภัณฑ์ Ve-Chick เป็นโปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ไม่มีคอเลสเตอรอล และปราศจากกลูเตน (เฉพาะผลิตภัณฑ์ Premix) ที่สำคัญวัตถุดิบตั้งต้นส่วนใหญ่มีการผลิตภายในประเทศ ทำให้การผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้มีราคาย่อมเยา” ดร.กมลวรรณ กล่าวเสริม
[caption id="attachment_36850" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูไก่ย่าง[/caption]
[caption id="attachment_36848" align="aligncenter" width="700"] Ve-Chick เมนูแกงกะหรี่ไก่ทอด[/caption]
วันนี้เนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ โดยนักวิจัยเอ็มเทคจะอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด ผู้ผลิตแบรนด์ GIN Zhai (กินใจ) ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อนำเอาความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่างๆ ให้นักชิมได้ลิ้มลอง
[caption id="attachment_36853" align="aligncenter" width="700"] ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด[/caption]
ธนินท์รัฐ เมธีวัชรรัตน์ กรรมการ บริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เล่าว่า บริษัทมีประสบการณ์ด้านการผลิตและจำหน่ายอาหารเจมากว่า 20 ปี จึงมีความมั่นใจในด้านการรังสรรค์เมนูอาหารต่างๆ ให้ถูกใจผู้บริโภค เมื่อเอ็มเทคเปิดตัว ‘Ve-Chick’ บริษัทจึงไม่รอช้าคว้าโอกาสในการขยายตลาดอาหารเจทันที
“ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของอาหารเจอาจไม่ได้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพนัก เพราะภาพที่ใครหลายคนนึกถึงมักเป็นผัดผักน้ำมันเยิ้ม หรือผัดหมี่ที่มีแป้งเป็นส่วนประกอบปริมาณมาก แต่ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช เหมาะกับผู้รักการลิ้มรสอาหารอร่อยและให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ เป็นอาหารทางเลือกเมนูใหม่ให้ผู้คนหันมาเปิดใจรับประทานอาหารเจมากยิ่งขึ้น ในวันนี้บริษัทพร้อมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืช คือ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)’ ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่จากโปรตีนพืชที่ขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อรูปแบบต่างๆ เช่น น่องไก่ ชิ้นเนื้อไก่ พร้อมให้ผู้บริโภคนำไปปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ ‘กินใจ แพลนต์เจ พรีมิกซ์ (GIN Zhai Plant J – PreMix)’ ผลิตภัณฑ์รูปแบบผงสำหรับนำไปขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้บริโภคปรุงแต่งรสชาติ เติมสารอาหาร และขึ้นรูปเป็นชิ้นเนื้อได้ตามต้องการ ช่วยเพิ่มสีสันในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ GIN Zhai Plant J เพื่อลิ้มลองรสชาติความอร่อยได้แล้วผ่าน 7-11 Delivery App ราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาทเท่านั้น”
[caption id="attachment_36849" align="aligncenter" width="700"] กินใจ แพลนต์เจ พรีคุก (GIN Zhai Plant J - PreCook)[/caption]
นอกจาก 2 ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้เปิดตัวแฟรนไชส์ ‘GIN Zhai’ คีออสจำหน่ายอาหารจาก GIN Zhai Plant J และ GIN Zhai จากพืชในรูปแบบพร้อมรับประทาน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถเปิดคีออสจำนวน 100 สาขา ภายใน 1 ปีหลังจากนี้ และตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมียอดขายผลิตภัณฑ์กินใจ แพลนต์เจ ทั้ง PreMix และ PreCook 200 ล้านบาท ภายในปี 2567
[caption id="attachment_36855" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูน่องไก่ทอดเจ จิ้มแจ่ว ข้าวเหนียว[/caption]
[caption id="attachment_36854" align="aligncenter" width="500"] GIN Zhai เมนูเต้าหู้ทอด[/caption]
ธนินท์รัฐ เสริมว่า เป้าหมายของบริษัทไม่เพียงต้องการให้คนไทยมีสุขภาพดีจากการบริโภคอาหารที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยด้วย บริษัทจึงลงพื้นที่สำรวจการเพาะปลูกในประเทศ คัดเลือกเกษตรกรที่เพาะปลูกได้มาตรฐาน สามารถควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี เพื่อทำสัญญารับซื้อในราคาที่เหมาะสมโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้เกษตรกรผู้ผลิตวัตถุดิบให้แก่บริษัทวางใจได้ว่าจะไม่ต้องทิ้งผลผลิต และไม่ต้องสู้รบกับราคาจำหน่ายที่ตกต่ำในแต่ละปี
“อยากให้ผู้บริโภคได้ลองพิสูจน์ว่าอาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพแบรนด์ ‘GIN Zhai’ อร่อยสมจริงตามคำโฆษณาหรือไม่ครับ” คำทิ้งท้ายของธนินท์รัฐ
ปัจจุบันบริษัทบี ไอ จี เนเชอรัล กรีน จำกัด เปิดรับผู้ลงทุนแฟรนไซส์ร้าน Gin Zhai ทั้งผู้ที่มีทำเลที่ตั้งร้านอยู่แล้ว หรือต้องการให้บริษัทเสนอทำเลให้ รวมถึงรับจัดอาหารแบรนด์ GIN Zhai สำหรับงานเลี้ยงด้วย ติดต่อได้ที่ Facebook: Gin Zhai-กินใจ, Line: @ginzhai หรือโทรศัพท์ 09 4885 9228 และสำหรับผู้ที่ต้องการขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘Ve-Chick’ หรือขอรับบริการการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพติดต่อสอบถามได้ที่เอ็มเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ E-mail: chanitw@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น
สำรวจอุทยานธรณีโลกสตูล สร้างองค์ความรู้สู่ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’
จังหวัดสตูลขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามทั้งธรรมชาติ ท้องทะเล ป่า ภูเขา ถ้ำ และยังพบซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ รวมถึงสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ขณะเดียวกันพื้นที่แห่งนี้ยังมีต้นทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่มีอัตลักษณ์อันโดดเด่น ในปี 2561 ยูเนสโกอนุมัติให้อุทยานธรณีสตูลเป็นพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลก’ แห่งแรกของประเทศไทย และเป็นแห่งที่ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ได้นำ ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ มาใช้เป็นเครื่องมือจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ทั้งความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม เพื่อบันทึกเรื่องราวมรดกอันล้ำค่าและส่งต่อให้ชุมชนนำไปใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
สำรวจ ‘ถ้ำ’ แหล่งซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาล
แหล่งท่องเที่ยวด้านธรณีวิทยาที่สำคัญของอุทยานธรณีโลกสตูลต้องยกให้ระบบนิเวศ ‘ถ้ำ’ เพราะนอกจากจะมีถ้ำที่สวยงามตระการตามากมายแล้ว ยังเป็นแหล่งค้นพบฟอสซิลในมหายุคพาลีโอโซอิกที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังเช่น ถ้ำทะลุ ถ้ำขนาดเล็กที่เกิดจากการละลายของหินปูนในยุคออร์โดวิเชียน หรือเมื่อราว 490-445 ล้านปีมาแล้ว
[caption id="attachment_35873" align="aligncenter" width="700"] ภายในถ้ำทะลุ[/caption]
[caption id="attachment_35861" align="aligncenter" width="700"] นอติลอยด์[/caption]
“บนผนังถ้ำด้านนี้ที่เราเห็นคือซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลชื่อว่า นอติลอยด์ บรรพบุรุษของหมึก เมื่อ 450 ล้านปีก่อน” บังธิ หรือ นายธานี ใจสมุทร ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ กล่าวถึงร่องรอยซากดึกดำบรรพ์จากบรรพกาลที่เป็นจุดไฮไลต์สำคัญของถ้ำทะลุแก่ผู้ร่วมเดินทาง และเล่าว่า ในถ้ำทะลุเราสามารถเห็นฟอสซิลนอติลอยด์ที่มีความคมชัดและสมบูรณ์ที่สุดแล้วในจังหวัดสตูล หากมองไปด้านบนจะเห็นฟอสซิลแกสโตรพอด ต้นกระกูลหอยฝาเดียวที่เกิดขึ้นบนโลก
“ความพิเศษของถ้ำทะลุแห่งนี้คือเมื่อเดินทะลุเข้าไปด้านในจะพบหลุมยุบป่าดึกดำบรรพ์ เกิดจากปรากฏการณ์แผ่นดินเลื่อนและยุบตัวลงคล้ายปล่องภูเขาไฟ ภายในมีพันธุ์ไม้เด่นคือต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ และยังมีพรรณไม้แปลกตานานาชนิดที่หาชมได้ยาก ทั้งเห็ดถ้วยแชมเปญ ต้นกระดาด และต้นลูกชก”
[caption id="attachment_35867" align="aligncenter" width="700"] เห็ดถ้วยแชมเปญ[/caption]
[caption id="attachment_35866" align="aligncenter" width="700"] ต้นท้ายเภายักษ์ขนาด 15 คนโอบ[/caption]
[caption id="attachment_35851" align="aligncenter" width="700"] นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]
แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ในถ้ำทะลุไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นายเรืองฤทธิ์ พรหมดำ นักวิทยาศาสตร์ประจำพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษาสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนทุนวิจัยในการสำรวจถ้ำหินปูนต่างๆ ในพื้นที่ของอุทยานธรณีโลกสตูล รวมถึงถ้ำทะลุ ซึ่งเราพบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลังจำนวนมาก สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่น่าสนใจ เช่น แมงมุมขายาว กิ้งกือมังกร หอยทากจิ๋ว ที่สำคัญยังเจอมดถ้ำซึ่งมีหนวดยาว ขายาว และอยู่ระหว่างการจำแนกลักษณะสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่
[caption id="attachment_35854" align="aligncenter" width="700"] ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์[/caption]
“สำหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังที่พบมากในถ้ำทะลุ คือ ค้างคาวหน้ายักษ์ทศกัณฐ์ ซึ่งพบเป็นโคโลนีขนาดใหญ่มากประมาณ 500 ตัว โดยค้างคาวใช้ถ้ำเป็นที่อยู่อาศัยเนื่องจากมีอุณหภูมิที่เหมาะสมและทำให้ไม่สูญเสียพลังงาน ขณะเดียวกันยังช่วยทำหน้าที่ควบคุมแมลงให้มีความสมดุล นอกจากนี้ยังมีตุ๊กกายหมอบุญส่ง เป็นญาติกับตุ๊กแก แต่มีความแตกต่างคือนิ้วตุ๊กกายจะเรียวยาว ไม่แบน และไม่มีพังผืดเชื่อมต่อระหว่างนิ้ว”
ล่องเรือล่าช้างดึกดำบรรพ์ที่ ‘ถ้ำเลสเตโกดอน’
เดินทะลุถ้ำบกมาแล้ว มาลองเปลี่ยนบรรยากาศล่องเรือไคแย็กชม ถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำธารลอดในเทือกเขาหินปูนคล้ายอุโมงค์ใต้ภูเขา ภายในถ้ำมีลักษณะคดเคี้ยวและมีระยะทางจากปากถ้ำถึงทางออกยาว 4 กิโลเมตร ถือเป็นถ้ำที่เชื่อมกับทะเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย ความโดดเด่นของถ้ำแห่งนี้คือการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นชิ้นส่วนฟันกรามของช้างสกุลสเตโกดอน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถ้ำเลสเตโกดอน
[caption id="attachment_35862" align="aligncenter" width="700"] หินย้อยที่ยังมีชีวิตภายในถ้ำ[/caption]
นายสัมฤทธิ์ ทิพย์มณี ไกด์ท้องถิ่นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เล่าว่า ภายในถ้ำนอกจากจะได้ตื่นตาตื่นใจกับหินงอกหินย้อยหลากรูปแบบแล้ว ยังมีฟอสซิลของสัตว์ทะเลมหายุคพาลีโอโซอิกอีกหลายชนิด อาทิ นอติลอยด์ แอมโมไนต์ ซึ่งหากพายเรือเข้าไปในถ้ำในช่วงน้ำใสจะได้เห็นกุ้งก้ามกรามขนาด 3-4 ตัว/กิโลกรัม ตามผนังถ้ำจะมีจิ้งโกร่ง และบนเพดานตามแนวที่มีน้ำจืดซึมไหลผ่านจะมีปูเขาหินปูนทุ่งหว้า ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดใหม่ของโลกที่พบเฉพาะบริเวณนี้ ที่บริเวณทางออกของถ้ำนักท่องเที่ยวจะได้พบกับค้าวคาวหน้ายักษ์กุมภกรรณ และได้สัมผัสกับภาพสุดประทับใจที่ธรรมชาติสรรค์สร้างไว้คือ ‘หัวใจที่ปลายอุโมงค์’
[caption id="attachment_35860" align="aligncenter" width="700"] ปูเขาหินปูนทุ่งหว้า[/caption]
ชมนิเวศชายฝั่ง ‘หอสี่หลัง’ มหัศจรรย์ ‘กองทัพปู’
หลังจากนั่งเรือลอดอุโมงค์ใต้ภูเขา ชมร่องรอยแห่งโลกธรณีกาลแล้ว เรายังสามารถนั่งเรือชมวิวป่าชายเลนไปอีกเพียง 30 นาที เพื่อพบกับ ‘หอสี่หลัง’ เนินทรายอันกว้างใหญ่กลางทะเลอันดามันที่ปรากฏเมื่อยามน้ำทะเลลดลง และเมื่อก้าวเท้าเดินบนชายหาดไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็ได้พบกองทัพปูที่มารอต้อนรับอยู่ทั่วพื้นทราย
[caption id="attachment_35859" align="aligncenter" width="700"] ปูทหารก้ามโค้ง[/caption]
[caption id="attachment_35855" align="aligncenter" width="700"] ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์[/caption]
“ที่เราเห็นคือปูทหารก้ามโค้ง มักออกมาหากินช่วงน้ำลงและมีพฤติกรรมเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเป็นฝูงขนาดใหญ่คล้ายกับการเคลื่อนพลของกองทัพ ทำให้ได้รับสมญานามว่าปูทหาร” ผศ. ดร.กริ่งผกา วังกุลางกูร อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อธิบายถึงความอัศจรรย์ของกองทัพปูที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าและเล่าว่า “ผลการสำรวจสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น และป่าชายเลน เราพบความหลากหลายมากถึง 566 ชนิด แบ่งเป็นสาหร่ายทะเล 25 ชนิด พืชมีท่อลำเลียง เช่น หญ้าทะเล และพืชบก 11 ชนิด สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น หอย กุ้ง ปู ไส้เดือนทะเล 301 ชนิด และสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา นก โลมา พะยูน 229 ชนิด”
[caption id="attachment_35868" align="aligncenter" width="700"] หญ้าใบพาย Halophila beccarii[/caption]
“ที่สำคัญเราพบว่าสิ่งมีชีวิตหลายชนิดอยู่ในสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น หญ้าใบพาย Halophila beccarii หญ้าทะเลขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย ด้วยความที่มีขนาดเล็กมากจึงถูกทับถมด้วยตะกอนได้ง่าย กิจกรรมใดๆ ที่เป็นการรบกวนตะกอน เช่น การทำประมง อวนลาก อวนรุน การก่อสร้างริมชายฝั่ง ล้วนส่งผลเสียต่อหญ้าใบพาย ซึ่งหญ้าใบพายมีความสำคัญช่วยสะสมตะกอน ทำให้พื้นทรายแน่นขึ้น รวมทั้งยังเป็นอาหารของสัตว์ทะเลหลายชนิด เช่น พะยูน เต่าทะเล นอกจากนี้ยังมีสัตว์ในข่ายใกล้สูญพันธุ์หลายชนิด เช่น นกหัวโตมลายู นกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล องค์ความรู้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการสนับสนุนของ สวทช.”
ชิมโกปี๊นาข่า สร้างสรรค์ผ้าบาติกสีธรรมชาติ
[caption id="attachment_35863" align="aligncenter" width="700"] โกปี๊นาข่า[/caption]
เสน่ห์แดนใต้ไม่ได้เลื่องชื่อแค่ธรรมชาติที่งดงาม แต่วิถีชีวิตและภูมิปัญญาของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ดังเช่น ‘โกปี๊นาข่า’ กาแฟโบราณผ่านการคั่วมือพร้อมปรุงรสให้มีความขมปนหวาน ซึ่งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ ผลิตจากเมล็ดกาแฟพื้นถิ่นสตูลพันธุ์โรบัสตา ที่เพาะปลูกในพื้นที่หินปูนในช่วงยุคออร์โดวิเชียนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ จึงช่วยขับรสชาติโกปี๊นาข่าให้กลมกล่อมไม่เหมือนใคร
[caption id="attachment_35857" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการคั่วกาแฟโบราณ[/caption]
[caption id="attachment_35856" align="aligncenter" width="700"] การชงกาแฟแบบดริฟ[/caption]
นางรุจินก สำเร ประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านนาข่าเหนือ เล่าว่า แต่เดิมวิถีชีวิตของคนในพื้นที่จะชอบดื่มกาแฟที่เรียกว่าโกปี๊ ซึ่งอำเภอละงู จังหวัดสตูล เป็นพื้นที่ปลูกกาแฟ แต่พอมีกาแฟสำเร็จรูปเข้ามา ทำให้กาแฟโบราณเริ่มสูญหาย ทางวิทยาลัยชุมชนสตูลเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาได้เข้ามาส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจฯ หันมารื้อฟื้นการทำกาแฟโกปี๊ รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการนำทุกส่วนของกาแฟมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG
“เรานำเมล็ดกาแฟมาพัฒนาผลิตภัณฑ์โกปี๊ กาแฟสด และทอฟฟี่กาแฟ เปลือกเชอร์รีกาแฟและใบกาแฟนำมาทำสีสำหรับการทำผ้ามัดย้อม ส่วนกากกาแฟนำไปใช้ทำปุ๋ยและสบู่สครับกาแฟ โดยออกแบบก้อนสบู่ให้คล้ายกับซากดึกดำบรรพ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ เพื่อสะท้อนเรื่องราวของความเป็นอุทยานธรณีโลก”
[caption id="attachment_35858" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการทำผ้าบาติก[/caption]
ชิมแล้วก็ต้องชอปผ้าบาติกที่วิสาหกิจชุมชนปันหยาบาติก หนึ่งในวัฒนธรรมการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการปิดเทียนบริเวณที่ไม่ต้องการให้ย้อมติดสี ที่คนสตูลสืบทอดเทคนิคนี้กันมาจนถึงปัจจุบัน และมีการต่อยอดโดยนำเอาภาพซากดึกดำบรรพ์ที่พบในพื้นที่มาสร้างสรรค์เป็นลวดลาย ด้านสีย้อมก็มีการต่อยอดโดยนำเอาดินแทร์รารอสซา ดินจากซากหินปูนผุพังยุคออร์โดวิเชียนมาใช้ย้อมให้เกิดสีน้ำตาลอมส้มสวยงาม เกิดเป็นผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ท้องถิ่น และยังมีการนำเทคนิคมัดย้อมและการย้อมสีธรรมชาติจากไม้ป่าชายเลนอย่างหูกวาง โกงกาง และตะบูน เข้ามาเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้วย
[caption id="attachment_35865" align="aligncenter" width="700"] ผ้าบาติกย้อมสีด้วยดินแทร์รารอสซา[/caption]
บันทึกมรดกล้ำค่า ผ่าน ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’
องค์ความรู้ทั้งในด้านความหลากหลายชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เก็บรวบรวมไว้ในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ระบบบริหารจัดการคลังข้อมูลที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. สำหรับจัดเก็บข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมและพร้อมส่งต่อสู่ชุมชนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งเรียนรู้ การพัฒนาไกด์ท้องถิ่น การประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
[caption id="attachment_35852" align="aligncenter" width="700"] ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า จุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานหรือชุมชนที่ต้องการจัดเก็บข้อมูลและเป็นเจ้าของข้อมูล โดยเข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อ สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และยังอัปโหลดสื่อต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศา ชุมชนสามารถนำไปใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลในท้องถิ่น ใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้บริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง
ผลจากการศึกษาวิจัยและบันทึกองค์ความรู้ไว้อย่างเป็นรูปธรรมในนวนุรักษ์แพลตฟอร์ม ได้เอื้ออำนวยให้ชาวบ้านในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูลนำไปใช้บอกเล่าถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในฐานะไกด์ท้องถิ่นได้อย่างภาคภูมิใจ ขณะเดียวกันยังสามารถนำความรู้ต่างๆ มาต่อยอดสร้างรายได้ในหลายมิติ นำมาสู่การตระหนักรู้ถึงคุณค่าของทรัพยากรแห่งธรณีกาล และก่อให้เกิดการอนุรักษ์เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
นายสมชาย นกเกษม หรือ บังบอย ไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นอาสาสมัครชุมชนรักษ์บ้านหาญ เล่าว่า เมื่อก่อนด้วยความไม่รู้ ยอมรับเลยว่าไม่กล้าพูด แต่เมื่อได้รับองค์ความรู้จากนักวิชาการทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งได้เข้ามาจัดอบรมความรู้ให้กับชาวบ้านด้วย ทำให้เกิดความมั่นใจ กล้าที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมาของถ้ำทะลุ หลุมยุบดึกดำบรรพ์พื้นที่ขนาด 2-3 ไร่ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ทำให้ถ้ำขนาดใหญ่ในอดีตยุบตัวลง จนก่อเกิดเป็นระบบนิเวศพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ที่ชุมชนรักษ์บ้านหาญต่างภาคภูมิใจ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานธรณีโลกที่ช่วยสร้างรายได้เสริมให้แก่ชุมชน และทำให้ชุมชนเห็นคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแห่งนี้มากขึ้นด้วย
สำหรับประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark
แผ่นพับ Satun Global Geopark : อุทยานธรณีโลกสตูล คลิกเพื่อดาวน์โหลดแผ่นพับ
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น
Ai9 ผู้พัฒนา ‘แพลตฟอร์ม AI’ ถอดเสียง-วิเคราะห์ข้อความ ครบจบในขั้นตอนเดียว
For English-version news, please visit : AI9: NSTDA startup in Thai speech and language understanding
หนึ่งในความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่เข้ามาช่วยลดภาระให้แก่มนุษย์ได้อย่างมากในปัจจุบัน คือ งานถอดเสียงพูดเป็นข้อความและการวิเคราะห์ข้อความอัตโนมัติ และยิ่งหากงานนั้นเป็นการทำงานกับข้อมูลที่มีลักษณะซ้ำๆ และมีปริมาณมาก เช่น การตรวจสอบไฟล์บันทึกเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลสัมภาษณ์ลูกค้าหรือพนักงาน ยกหน้าที่นี้ให้เป็นของ AI ได้เลย
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดตัวบริษัท Ai9 จำกัด บริษัทสตาร์ตอัปผู้ให้บริการเทคโนโลยี AI ด้านการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech to text: STT) และเทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing: NLP) หนึ่งในบริษัท NSTDA Startup ที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ของ สวทช. โดยมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรงในงานด้านนี้กว่า 15 ปี เป็น CEO ของบริษัท และมีผู้ร่วมก่อตั้งหลัก คือ บริษัทเทอราบิท จำกัด และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
[caption id="attachment_35839" align="aligncenter" width="750"] ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด (กลาง)[/caption]
ดร.ชูชาติ หฤไชยะศักดิ์ CEO บริษัท Ai9 จำกัด เล่าว่า ปัจจุบัน Ai9 มีแพลตฟอร์มที่พร้อมให้บริการ 4 ระบบ ได้แก่ ‘MANNA’ แพลตฟอร์มบริการถอดเสียงสำหรับระบบคอลเซนเตอร์ (Call Center) เพื่อให้บริการตรวจสอบไฟล์บันทึกเสียงสนทนาพร้อมการวิเคราะห์ข้อความ ‘VATAYA’ แพลตฟอร์มบริการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความ (Speech-to-Text) และแปลงข้อความเป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) ‘CUICUI’ แพลตฟอร์มสร้างแชทบอท (Chatbot) และวอยซ์บอท (Voicebot) สำหรับสนทนาโต้ตอบอัตโนมัติ ‘TASANA’ แพลตฟอร์มบริการสร้างคำบรรยายภาษาไทย (Subtitle) สำหรับวิดีโอคลิปแบบอัตโนมัติเพื่อการใช้งานบน YouTube และ Facebook โดยทุกแพลตฟอร์มบริษัทพร้อมให้บริการทั้งแบบสำเร็จรูป แบบปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ
ล่าสุด Ai9 เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีแก่ภาครัฐและภาคเอกชนแล้ว ตัวอย่างผลงานเด่น 3 ระบบ ได้แก่ ระบบถอดเสียงการประชุมสำหรับรัฐสภา ระบบถอดเสียงและวิเคราะห์การสนทนาผ่านคอลเซนเตอร์สำหรับธุรกิจประกัน และระบบวิเคราะห์ความคิดเห็นของพนักงานในองค์กร
ดร.ชูชาติ เล่าว่า งานใหญ่ที่กำลังดำเนินงานอยู่กับภาครัฐคือการพัฒนาระบบถอดเสียงการประชุมของรัฐสภา ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานของเจ้าพนักงานชวเลขที่ทำหน้าที่จดบันทึกการประชุมในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ระบบถอดเสียงการประชุมมีประสิทธิภาพในการทำงานรวดเร็ว และทำงานได้ถูกต้องมากกว่าร้อยละ 90
“ส่วนระบบถอดเสียงและวิเคราะห์การสนทนาผ่านคอลเซนเตอร์สำหรับธุรกิจประกัน ที่ Ai9 พัฒนาขึ้น เป็นระบบตรวจสอบไฟล์เสียงที่บันทึกการสนทนาระหว่างพนักงานขายกับลูกค้า โดยสามารถตรวจสอบความถูกต้องของการขายประกัน เช่น การแจ้งเลขที่ใบอนุญาต การแจ้งข้อมูลกรมธรรม์ให้ครบถ้วน ช่วยตรวจทานการทำงานให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างสุดท้ายคือระบบวิเคราะห์ความพึงพอใจพนักงานในองค์กร ที่เจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคลจะต้องประเมินเชิงคุณภาพเป็นประจำ สิ่งที่เราพัฒนาให้กับลูกค้าเป็นเทคโนโลยีวิเคราะห์ความคิดเห็นของพนักงาน โดยสามารถวิเคราะห์ทิศทางความพึงพอใจว่าเป็นไปในทางบวกหรือลบได้หลากหลายหัวข้อ อาทิ การบริหารงาน และระบบสวัสดิการ ทำให้องค์กรสามารถนำผลการวิเคราะห์ไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กรได้อย่างทันท่วงที และช่วยลดภาระงานให้กับเจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำมากกว่าร้อยละ 90 แล้ว ทั้งนี้เทคโนโลยี AI จะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อผ่านการใช้งานจริงเต็มรูปแบบ”
นอกจากอุตสาหกรรมการบริการแล้ว บริษัท Ai9 ยังเริ่มเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับอุตสาหกรรมการผลิตควบคู่กันไป ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้เห็นเทคโนโลยีประเภทสั่งการด้วยเสียงจาก Ai9 เพื่ออำนวยความสะดวกในสายการผลิตและโกดังสินค้าของโรงงานอุตสาหกรรม และสามารถโต้ตอบกับหุ่นยนต์ที่เดินเสิร์ฟอาหารในภัตตาคารชั้นนำแทนการโต้ตอบกับพนักงานเสิร์ฟ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีเหล่านี้กำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในอนาคต
ดร.ชูชาติ เสริมว่า Global Voice Assistant Market มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างมาก ปัจจุบันมีมูลค่าทางตลาดสูงกว่า 1.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในช่วงสิบปีข้างหน้าจะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 30 หากวันนี้บริษัทของคุณไม่อยากตกเทรนด์ เริ่มต้นใช้ AI Solution ได้ง่าย ๆ เพียงติดต่อบริษัท Ai9 รายละเอียดเพิ่มเติม www.ai9.co.th
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ และเนคเทค สวทช.
ข่าว
บทความ
ผลงาน
ผลงานวิจัยเด่น
‘WATER FiT’ simple กล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก ตอบโจทย์ ‘เกษตรแบบ Unplug’
For English-version news, please visit : WATER FiT Simple: A battery-powered, Bluetooth-enabled irrigation controller
‘น้ำ’ ถือเป็นปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตรที่มีความสำคัญมาก ซึ่งการให้น้ำอย่างเหมาะสมไม่เพียงทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ยังส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพผลผลิตที่ดีอีกด้วย ทั้งยังช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตจากการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น ปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้พัฒนาเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ผู้ให้บริการระบบงานเกษตรอัจฉริยะ (Agriculture System Integrator: ASI) เพื่อทำหน้าที่ส่งต่อเทคโนโลยีให้เกษตรกรใช้บริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตของตนเองได้ไม่เว้นแม้บนดอยสูง
คุณนที มูลแก้ว เจ้าของ แอดสะเมิง ออร์แกนิกฟาร์ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ เล่าว่า กลุ่มสะเมิงออร์แกนิก เป็นกลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ที่ทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ดอยสูง จุดมุ่งหมายแรกคือสร้างงานให้คนพื้นถิ่น มีอาชีพดูแลตัวเองได้ ไม่ทิ้งถิ่นฐาน และมีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการผลิตพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ที่มีคุณภาพสร้างความมั่นคงทางอาหารให้คนในชุมชน สู่เป้าหมายการสร้างอาหารปลอดภัยกระจายให้ผู้คนในพื้นที่อื่นๆ กลุ่มฯ จึงพยายามขับเคลื่อนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่อำเภอสะเมิงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบข้อจำกัดมากมาย เช่น การบริหารทรัพยากรน้ำที่มีอย่างจำกัด การเดินทางเข้าไปบริหารจัดการในพื้นที่แปลงปลูก การขนส่งผลผลิตซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่บนดอยสูงมีสภาพเป็นพื้นที่ในหุบเขาหรือพื้นที่ตามเชิงเขาที่มีความลาดชัน อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลจากชุมชน รวมถึงกระแสไฟฟ้า/สัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เข้าไม่ถึงพื้นที่แปลงปลูก
คุณนที เล่าอีกว่า “เราได้เข้าไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ สวทช.ภาคเหนือ ด้วยโจทย์ที่ต้องการบริหารจัดการน้ำในแปลงปลูก แต่มีข้อจำกัดสำคัญพื้นที่ห่างไกลชุมชน ไม่มีกระแสไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าหน้าที่ สวทช. ภาคเหนือ ริเริ่มจัดฝึกอบรมและให้คำแนะนำการใช้เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water fit Simple ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน และส่งผู้เชี่ยวชาญอิสระมาช่วยประเมินพื้นที่แปลงปลูกพบว่ามีความเหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยี WATER FiT จึงตัดสินใจนำร่องติดตั้งใช้งาน WATER FiT ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์”
ด้าน คุณกิตติศักดิ์ นามบุญ หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น กล่าวว่า ตอนนี้เราได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากผลงานวิจัย WATER FiT เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กล่องควบคุมการให้น้ำรุ่นพื้นฐาน (WATER FiT Simple) หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระให้ฝ่าย สวทช. ภาคเหนือ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว (EST) หน่วยวิจัยระบบอัตโนมัติและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) จากการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ สวทช. มากว่า 2 ปี พบว่าเทคโนโลยีนี้ มีคุณสมบัติและจุดเด่นมากมาย เหมาะกับเกษตรกรยิ่งในพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นดอยสูงหรือพื้นที่เกษตรที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลชุมชน ไม่มีไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ติดตั้งและใช้งานง่าย ผมจึงอยากจะผลิตและส่งต่องานวิจัยนี้ให้เกษตรกรที่อยากจะเริ่มต้นปรับตัว เข้ากับยุคเกษตร 4.0 ได้ใช้ประโยชน์เพื่อบริหารจัดการน้ำในการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางเข้าไปดูแลให้น้ำพื้นที่ปลูกอีกด้วย”
เทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก Water Fit Simple มีระบบใช้ควบคุมการให้น้ำแปลงปลูกแบบอัตโนมัติ ตั้งค่าเปิดปิดวาล์วน้ำหรือปั๊มน้ำตามเวลา โดยผู้ใช้งานตั้งค่าผ่านโทรศัพท์สมาร์ตโฟน คุณสมบัติและจุดเด่นของเทคโนโลยี
ไม่ใช้ไฟฟ้า ใช้เพียงถ่าน 9 โวลต์ 1 ก้อน เป็นแหล่งพลังงาน (โดยถ่านสามารถใช้งานได้สูงสุด 1 ปี)
ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ต กำหนดและปรับตั้งค่าได้ง่ายบนแอพพลิเคชันของโทรศัพท์สมาร์ตโฟน (ระบบแอนดรอยด์) ผ่านสัญญาณบลูทูท
ต่อควบคุมวาล์วน้ำได้สูงสุด 4 ตัว หรือควบคุมปั๊มน้ำ 1 เครื่องร่วมกับวาล์วน้ำได้สูงสุด 3 ตัว ทำงานอิสระจากกัน
กำหนดรูปแบบการให้น้ำได้ทั้งแบบให้น้ำทุกวัน วันเว้นวัน หรือบางวัน
กำหนดจำนวนครั้งและระยะเวลาให้น้ำได้หลายช่วงในแต่ละวัน เช่น ให้น้ำ 3 ครั้ง เวลา 8.00 น. ให้น้ำ 10 นาที เวลา 13.00 น. ให้น้ำ 8 นาที และเวลา 15.30 น. ให้น้ำ 5 นาที
รองรับเซนเซอร์วัดความชื้นดิน เซนเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน เซนเซอร์วัดอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์
คุณกิตติศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “สำหรับในส่วนของการติดตั้งยังทำได้ง่าย เพียงนำกล่อง WATER FiT Simple ไป ติดตั้งที่หน้าแปลงปลูกและเดินสายจากโซลินอยด์วาล์วไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดอุปกรณ์ จากนั้นทำการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน “Irrigation Valve” ด้วยบลูธูท เพียงเท่านี้ผู้ใช้ก็สามารถบริหารจัดการการให้น้ำและแปลงปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสั่งการบนแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนได้ทันที”
สำหรับประสิทธิภาพการใช้งาน คุณนที เล่าว่า หลังจากนำเทคโนโลยี WATER FiT Simple มาใช้ในแปลงปลูกพืชผักสมุนไพรอินทรีย์ พบว่าพืชเจริญเติบโตไดี เก็บเกี่ยวผลลผลิตได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น คุณภาพดีขึ้นทั้งในเรื่องของกลิ่นสมุนไพรและการแตกใบสวยงาม ต่างจากเดิมที่แม้จะขับรถเข้าดูแลให้น้ำแปลงปลูกทุกวัน ก็ยังพบความเสียหาย ทั้งพืชตาย เหี่ยวเฉา ใบเหลือง ฯลฯ ทั้งนี้อาจจะเกิดช่วงเวลาการให้น้ำไม่เป็นเวลาหรือไม่สม่ำเสมอ บางทีติดธุระเข้าสวนไม่เป็นเวลาบ้าง รวมถึงให้น้ำในปริมาณที่ไม่เหมาะสมบางครั้งเผลอให้น้ำน้อยไปบ้างหรือมากเกินไปบ้าง ซึ่งผมดูแลสวนคนเดียวอาจะมีความผิดพลาดที่เกิดจาก Human Error ได้ นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมบริหารจัดการการให้น้ำอย่างเหมาะสม ยังช่วยผมประหยัดเงินค่าน้ำมันในการเดินทางเข้าสวน มีเวลาเหลือไปหาตลาดเพื่อจัดจำหน่ายผลผลิตของกลุ่มฯ ได้เพิ่มอีกด้วย”
ปีที่ผ่านมา ทีม สวทช. ภาคเหนือ และผู้เชี่ยวชาญได้เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลในเรื่องของต้นทุนการผลิตเปรียบเทียบก่อนและหลังใช้เทคโนโลยี พบว่าเดิมเกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันในการขับรถเดินทางขึ้นไปรดน้ำแปลงพืชผักสมุนไพรทุกวันสูงถึง 12,960 บาท/ปี แต่หลังจากติดตั้ง WATER FiT Simple ก็เดินทางขึ้นไปดูแปลงเฉลี่ยอาทิตย์ละครั้ง คิดเป็นค่าน้ำมัน 1,728 บาท/ปี ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางถึง 11,232 บาท/ปี นอกจากนี้ยังมีเวลาเหลือ ทำให้สามารถไปหาลูกค้าและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 5,000 บาท/เดือน หรือ 60,000 บาท/ปี นับเป็นเทคโนโลยีดีๆ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ในพื้นที่ห่างไกลและไฟฟ้าเข้าไม่ถึง แต่ยังช่วยให้เกษตรกรใช้ทรัพยากรคุ้มค่า เพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้เป็นอย่างดี”
สำหรับผู้สนใจเทคโนโลยีกล่องควบคุมการให้น้ำสำหรับการเพาะปลูก WATER FiT Simple สามารถขอรับคำปรึกษาและติดต่อสอบถามได้ที่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เค สมาร์ท ไลฟ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ซึ่งได้รับอนุญาตใช้สิทธิจากในผลงานวิจัยอย่างเป็นทางการ โทรศัพท์ 08 8252 6799 อีเมล KSmartLife2022@gmail.com
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“หอมสยาม” ข้าวหอมพื้นนุ่มพันธุ์ใหม่ ตอบโจทย์เกษตรกรไทย ถูกใจผู้บริโภค
For English-version news, please visit : Hom Siam: A new fragrant rice variety
ต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ต้านทานโรค เก็บเกี่ยวง่าย คือลักษณะเด่นของ “ข้าวหอมสยาม” ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาพันธุ์โดยทีมนักวิจัยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ร่วมกับศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และหน่วยงานพันธมิตร เพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ยทนแล้ง ต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ช่วยลดการใช้สารเคมี ที่สำคัญเมื่อหุงสุกแล้วข้าวสวยมีความหอม นุ่ม อร่อยเทียบเคียงข้าวหอมมะลิ ตอบโจทย์ทั้งเกษตรกร โรงสี และผู้บริโภค ช่วยยกระดับการผลิตและการส่งออกข้าวไทยในอนาคต
พัฒนาพันธุ์ 10 ปี ได้ข้าวหอม นุ่ม สู้โรคภัย ให้ผลผลิตสูง
ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค ผู้พัฒนาพันธุ์ข้าวหอมสยาม เปิดเผยว่าทีมวิจัยใช้เวลากว่า 10 ปีในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมให้มีความทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้ ให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพการหุงต้มดีเหมือนข้าวขาวดอกมะลิ 105 โดยใช้วิธีการปรับปรุงพันธุ์แบบผสมกลับร่วมกับการใช้เทคโนโลยีเครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ซึ่งเป็นข้าวเจ้าหอมนุ่มที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง จนกระทั่งได้พันธุ์ข้าวหอมสยามในที่สุด
[caption id="attachment_35196" align="aligncenter" width="650"] ดร.โจนาลิซา แอล เซี่ยงหลิว นักวิจัยไบโอเทค[/caption]
“ข้าวหอมสยามมีคุณลักษณะเด่น 3 ประการ หนึ่ง เราพัฒนาให้ความสูงของต้นข้าวมีลักษณะเตี้ยลง ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ปกติมีความสูงที่ประมาณ 150 เซนติเมตร มีปัญหาหักล้มง่าย สร้างความเสียหายต่อผลผลิต แต่เราทำให้ข้าวหอมสยามมีความสูงลดลงเหลือ 120 เซนติเมตร และมีลำต้นแข็งแรง เพื่อให้ทนทานต่อการหักล้ม สอง ความต้านทานต่อโรคไหม้ ซึ่งปกติแล้วข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 อ่อนแอต่อโรคไหม้ แต่เราพัฒนาข้าวหอมสยามให้ต้านทานต่อโรคไหม้ และสาม เราทำให้ข้าวหอมสยามมีผลผลิตสูง สูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105ประมาณ 2 เท่า ซึ่งปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากการแตกกอดีของข้าวหอมสยามเมื่อเทียบกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 แล้วก็มีจำนวนเมล็ดต่อรวงมากกว่าด้วย นอกจากนี้ข้าวหอมสยามยังมีระบบรากลึก สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย จึงเหมาะสมสำหรับพื้นที่ปลูกข้าวอาศัยน้ำฝนซึ่งมักประสบปัญหาน้ำแล้ง”
[caption id="attachment_35189" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ต้นเตี้ย ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ต้านทานโรคใบไหม้ และให้ผลผลิตสูง[/caption]
พันธุ์ข้าวดี เกษตรกรยอมรับ โรงสีรับซื้อ
ในปี 2563 ทีมวิจัยได้ทำงานร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรของบริษัทบางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด นำพันธุ์ข้าวหอมสยามไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ และ จ.ศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ (ความชื้น 14%) สูงกว่าข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ประมาณ 2.1 เท่าที่ปลูกในแปลงเดียวกัน ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมทดสอบพันธุ์ จำนวน 31 คน
[caption id="attachment_35195" align="aligncenter" width="650"] ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม[/caption]
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา ผู้เชี่ยวชาญการปรับปรุงพันธุ์และทดสอบพันธุ์ข้าวในแปลงนาโดยเกษตรกรมีส่วนร่วม กล่าวว่า พันธุ์ข้าวหอมสยาม ได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดีเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 และพันธุ์ กข15 เป็นการลดการใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรค
[caption id="attachment_35190" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยามในแปลงปลูกของเกษตรกร[/caption]
[caption id="attachment_35191" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
“พอเราได้พันธุ์แล้ว เรายังไม่เรียกว่าสำเร็จ ความสำเร็จต้องอยู่ที่การยอมรับของผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว เกษตรกร และเข้าไปอยู่ในพื้นที่นั้นได้อย่างดีจริง ซึ่งข้าวหอมสยามก็ได้พิสูจน์แล้ว โดยผ่านกระบวนการทดสอบในเชิงวิจัยมา 2 ปีก่อนหน้า และก็เข้าสู่กระบวนการทดสอบในแปลงเกษตรกรทั้งหมด 31 แปลง 12 จังหวัด ทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การปรับปรุงพันธุ์จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเกษตรกรยอมรับ และเมื่อเกษตรกรยอมรับแล้วนั้นก็ต้องส่งต่อให้กับผู้ประกอบการ โรงสี และกระบวนการทางการตลาด เพราะฉะนั้นพันธุ์ข้าวที่ดีต้องให้ประโยชน์ต่อชาวนาได้ แล้วต้องส่งต่อให้กับภาคอุตสาหกรรม ส่งต่อให้กับประเทศได้”
“หอมสยาม” ความหวังของชาวนาและประเทศไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “ข้าวไทย” มีชื่อเสียงและคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งมีรางวัลการันตีหลายปีต่อเนื่องว่าเป็นข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกจากการประกวดข้าวโลก (World’s Best Rice Award) แต่สถานการณ์การผลิตและส่งออกข้าวไทยกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะปัญหาภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทำให้ข้าวไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง
[caption id="attachment_35194" align="aligncenter" width="650"] ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร[/caption]
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร และหัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค กล่าวว่า ในสถานการณ์วิกฤตของข้าวไทย การพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมนุ่ม ผลผลิตสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทีมวิจัยได้พัฒนาข้าวสายพันธุ์ใหม่ “หอมสยาม” ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าหอมพื้นนุ่ม ผลผลิตสูง ไวต่อช่วงแสง ต้นเตี้ยทนการหักล้ม ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ลำต้นแข็ง ทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่ใช้เครื่องจักรมากขึ้น
[caption id="attachment_35192" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม[/caption]
[caption id="attachment_35193" align="aligncenter" width="650"] ข้าวหอมสยาม ข้าวเจ้านาปีพันธุ์ใหม่ที่มีคุณภาพการหุงต้มใกล้เคียงกับข้าวขาวดอกมะลิ 105[/caption]
“เราต้องการให้มีข้าวที่ตอบโจทย์ประเทศ คือข้าวที่มีคุณภาพดี ผลผลิตสูง เพื่อแข่งขันได้ เรารู้จักข้าวขาวดอกมะลิ เรายอมรับว่านี่คือข้าวคุณภาพดีที่หนึ่ง เราก็อยากได้ข้าวที่เหมือนขาวดอกมะลิ แต่ว่าไม่ล้มได้มั้ย ผลผลิตสูงได้มั้ย ใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวได้มั้ย ต้านทานโรคไหม้ได้มั้ย นั่นคือเป้าหมายที่เราพัฒนาข้าวหอมสยาม เพื่อแก้ประเด็นปัญหาของพันธุ์ข้าวดีที่เรามีอยู่ ในเรื่องของคุณภาพ เรามีพันธุ์ข้าวคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ลดปัญหาความเสียหายจากโรค การหักล้ม และเหมาะสำหรับการทำเกษตรสมัยใหม่”
ปัจจุบันทาง ไบโอเทค สวทช. ได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนพันธุ์พืช ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 กับกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว โดยข้าวพันธุ์หอมสยามนี้ จะเป็นข้าวหอมไทยคุณภาพอีกพันธุ์หนึ่งที่สามารถส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการข้าวหอมคุณภาพดีในราคาที่ไม่สูงเกินไป สามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งยังช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกร สร้างเศรษฐกิจชุมชมเข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
For English-version news, please visit : Microspike Technology: Instant Production of Microneedle Fabrics with Customizable Features
“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
เทคโนโลยี “ไมโครนีดเดิล” เป็นเข็มที่มีขนาดเล็กมากกว่า 10 ไมโครเมตร หรือเล็กกว่าเส้นผมเกือบ 10 เท่า สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างง่ายดาย โดยเข็มนี้ทำหน้าที่นำส่งสารสำคัญต่างๆ เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สร้างความเจ็บปวดหรือก่อให้เกิดร่องรอยถาวร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้านอุตสาหกรรมความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคต โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าจับตา สามารถพัฒนาไปได้ไกลและมีโอกาสทางการตลาดสูง
[caption id="attachment_35138" align="aligncenter" width="550"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ นาโนเทค สวทช. และ CTO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเข็มขนาดไมโครเมตรบนผืนผ้าอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า “เทคโนโลยีไมโครสไปก์” เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดของเทคโนโลยีการผลิตเข็มไมโครนีดเดิลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่แพร่หลายในระดับโลกมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดี ดร.ไพศาลเผยว่า เทคโนโลยีนี้ยังไม่ค่อยพบมากในบ้านเรา เนื่องจากปัญหาคอขวดเรื่องการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และยังมีตัวเลือกไม่มาก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เรียกว่า เทคโนโลยีไมโครสไปก์ ที่สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าว ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานและสมบัติของสารที่ต้องการให้ซึมสู่ชั้นผิวหนัง
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์ เป็นการออกแบบ พัฒนา ผลิตและประยุกต์โครงสร้างคล้ายเข็มขนาดเล็กเพื่อสร้างช่องทางนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนังชั้น โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือเกิดร่องรอยถาวร จุดเด่นของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้คือ เราสามารถผลิตไมโครสไปก์บนผืนผ้าหรือวัสดุอื่นที่มีความยืดหยุ่นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และยังกำหนดลักษณะจำเพาะได้ตามต้องการ ทั้งรูปร่าง จำนวน และความหนาแน่นต่อพื้นที่ เพื่อให้ได้แผ่นแปะที่มีลักษณะเฉพาะตามความต้องการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการนำไปใช้งานด้านสุขภาพและความงาม หรือแม้แต่การใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเดิมเพื่อเสริมประสิทธิภาพการนำส่งสารสำคัญได้อย่างแม่นยำ” ดร.ไพศาลกล่าว
การขึ้นรูปบนผ้าได้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีหลักที่ยังไม่เคยมีใครทำได้และช่วยปลดล็อคการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ เนื่องจากการผลิตเข็มแบบทั่วไปจำเป็นต้องใส่สารสำคัญเข้าไประหว่างการผลิตเข็ม ด้วยความแตกต่างของสารแต่ละประเภท ทำให้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารที่หลากหลายได้ แต่การขึ้นรูปเข็มบนผืนผ้าทำให้เข็มขนาดไมครอนสามารถใช้ได้กับสารทุกประเภท และทำหน้าที่เสมือนรูขุมขนจำลองจำนวนมาก เป็นช่องทางให้สารซึมผ่านลงใต้ผิวหนัง ซึ่งเมื่อสารซึมหมด ช่องทางบนผิวหนังเหล่านั้นก็จะคืนสภาพแทบจะทันที
ทั้งนี้ ผลงานนวัตกรรม “กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนบนผืนผ้าแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์” (Instant production of microneedle fabrics with customizable features) โดย ดร.ไพศาลและคณะ ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวที SPECIAL EDITION 2022–INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ สมาพันธรัฐสวิส โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ซึ่งปัจจุบัน ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ต่อยอดผลิตเข็มขนาดไมครอนได้อย่างรวดเร็ว มีกำลังการผลิตสูงกว่าผู้ผลิตเข็มขนาดไมครอนเดิมที่มีอยู่ในตลาดโลกถึง 25 เท่า และผลิตแผงเข็มได้ขนาดใหญ่สุดที่ 2,000 ตารางเซนติเมตร ถือว่า ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาและต่อยอดในเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งมีระดับความพร้อมของเทคโนโลยีต้นแบบที่ประยุกต์ใช้ในหลายแอปพลิเคชัน และจากแนวโน้มในเรื่องการดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น ทำให้เราวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเพื่อต่อยอดต่อไปได้ โดยในระยะแรก เรามองไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยความเป็นนวัตกรรมนี้จะปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สุขภาพ รวมถึงขยายไปสู่การใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในอนาคต เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพเป็นลำดับต้นๆ” ดร.ไพศาลกล่าว
จากความสำเร็จของการวิจัยพัฒนาและความโดดเด่นของเทคโนโลยีไมโครสไปก์ จึงนำมาสู่การจัดตั้ง บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 9 บริษัทดีปเทคสตาร์ตอัป (Deep Tech Startup) ภายใต้โครงการ “NSTDA Startup” ของ สวทช. เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไมโครสไปก์สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_35146" align="aligncenter" width="550"] นายต่อตระกูล พูลโสภา CEO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลในประเทศยังมีข้อจำกัดด้านการผลิตที่ไม่สามารถผลิตได้นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด จำนวนมากพอที่จะรองรับความต้องการของตลาด ตลอดจนมีการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีเดียวกันนี้จากต่างประเทศซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในเชิงพาณิชย์อยู่จำนวนน้อยราย เราจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะดำเนินการผลิตสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลและผลักดันออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในกับผู้ประกอบการที่สนใจนวัตกรรมไมโครนีดเดิลในอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพ และยังมีแผนที่จะขยายไปสู่การแพทย์ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำและรวดเร็วที่สุดในโลก
เทคโนโลยีไมโครสไปก์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามที่ต้องการเพิ่มมูลค่าหรือสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้า โดยบริษัทสไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับความสามารถและขีดจำกัดของนวัตกรรม รวมไปถึงการผลิตไมโครสไปก์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค อาทิ แผ่นแปะขนาดเล็กแก้ปัญหาเฉพาะจุด (spot patches) แผ่นแปะสำหรับใต้ตา (under eye patches) และแผ่นแปะสำหรับใบหน้า (facial mask) หรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการสนใจ
“เราคาดหวังที่จะเป็นสื่อกลางในการผลักดันนวัตกรรมไทยที่มีโอกาสทางการตลาดสูง เป็นตัวเลือกใหม่ให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่สนใจเทคโนโลยีและมองเห็นโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ นำไปประยุกต์ใช้งานเพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจด้านอุตสาหกรรมความงาม ลดการพึ่งพาหรือนำเข้าเทคโนโลยีเดิมจากต่างประเทศ และสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตลาดอุตสาหกรรมด้านความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคตที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
Brainifit เกมออกกำลังกายสมอง ช่วยผู้สูงวัยห่างไกลอัลไซเมอร์
สภาวะสมองเสื่อม หรือ ความจำถดถอย เป็นภาวะที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ต้องเผชิญ ล่าสุดสมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นถึง 10% ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานหรือออกกำลังกายอย่างเพียงพอ มีโอกาสเกิดภาวะโรคสมองเสื่อม 9 ใน 10 คน การออกกำลังกายสมองนับเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงาน เพื่อชะลอความเสื่อมของสมองได้
“Brainifit (เบรนนิฟิต)” คือผลิตภัณฑ์ออกกำลังกายสมอง ที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมองผ่านคลื่นสมองโดยตรง เพื่อชะลอภาวะความจำเสื่อมให้แก่ผู้สูงวัย นวัตกรรมด้านการแพทย์ที่วิจัยและพัฒนาโดย ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการการประมวลสัญญาณประสาท (NSP) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเตรียมต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่เชิงพาณิชย์ ในนามบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด หนึ่งในบริษัท NSTDA Startup ที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ของ สวทช.
[caption id="attachment_34708" align="aligncenter" width="500"] ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ ผู้บริหารบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด[/caption]
ดร.สุวิชา จิรายุเจริญศักดิ์ ผู้บริหารบริษัทเบรนนิฟิต จำกัด กล่าวว่า Brainifit คือ ผลิตภัณฑ์ออกกำลังกายสมอง ที่ช่วยเสริมศักยภาพสมองทางด้านการรู้คิดและความทรงจำ ผ่านการเล่มเกมที่ควบคุมด้วยคลื่นสมอง อาศัยหลักการ Neurofeedback Training ที่ใช้การประมวลผลสัญญาณคลื่นสมองและแสดงผลผ่านตัวการ์ตูนในเกม ทำให้ผู้เล่นทราบสภาวะคลื่นสมองของตนเอง และพยายามรักษาให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมตลอดการเล่นเกมให้ได้ เหมาะสำหรับนำไปใช้ชะลออาการโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย หรือการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็กสมาธิสั้น
“Brainifit สามารถติดตั้งใช้งานได้กับอุปกรณ์ Smart Device ต่างๆ รวมถึงคอมพิวเตอร์ ส่วนขั้นตอนการใช้งานไม่ยุ่งยาก ผู้เล่นเพียงสวมใส่อุปกรณ์สวมหัวอัจฉริยะซึ่งมีขั้วไฟฟ้าสำหรับวัดคลื่นสมอง จากนั้นเปิดแอปพลิเคชัน เลือกเกมที่ต้องการเล่น เช่น เกมวิ่งแข่ง หากผู้เล่นมีสมาธิจดจ่อ ตัวการ์ตูนในเกมจะวิ่งเร็ว แต่หากผู้เล่นไม่มีสมาธิ ตัวการ์ตูนจะวิ่งช้าลง ทำให้ผู้เล่นได้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นสมองว่าเมื่อใดที่ตัวการ์ตูนวิ่งช้าลง หรือเคลื่อนไหวได้ไม่ดี แสดงว่าเขาไม่มีสมาธิจดจ่อ ต้องพยายามกลับมามีสมาธิกับเกมให้มากขึ้น ซึ่งนั่นคือการฝึกให้สมองมีสมาธิจดจ่อ หรืออยู่ในภาวะที่เหมาะสมต่อการเสริมสร้างศักยภาพสมอง”
จุดเด่นของ Brainifit ไม่เพียงได้ฝึกออกกำลังกายสมองโดยตรงและวัดผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งต่างจากวิธีการบริหารสมองรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่สามารถแสดงผลได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โปรแกรมเกมของ Brainifit ยังได้รับการออกแบบให้เล่นแข่งขันกับเพื่อนๆ ผ่านทางออนไลน์ ช่วยเพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้งาน
“เราไม่ได้ออกแบบให้ผู้ใช้งานนั่งเพ่งเล่นเกมอยู่คนเดียวเฉยๆ แต่เราออกแบบเกมให้บังคับได้ เล่นกับเพื่อนๆ ผ่านออนไลน์ได้ เมื่อผู้เล่นเข้าแอปพลิเคชันจะเห็นว่ามีใครออนไลน์อยู่บ้าง และสามารถชักชวนให้มาแข่งขันกัน เช่น เกมซูโม่ เกมวิ่งแข่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสนุก มีเพื่อน และอยากฝึกออกกำลังกายสมองมากขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายสมอง ต้องทำต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 เดือน อาจจะทำทุกวัน หรือวันเว้นวัน ดังนั้นการที่มีแรงจูงใจให้อยากฝึกฝนเป็นประจำ จะทำให้เสริมสร้างศักยภาพสมองได้ดี ที่สำคัญเรายังใช้เทคโนโลยี AI ในการประมวลผลและค่อยๆ ปรับค่าความยากของเกมเป็นลำดับ เพื่อให้ไม่รู้สึกเบื่อ และดึงศักยภาพในการปรับเปลี่ยนคลื่นสมองให้มากขึ้น ทำให้มีระดับสมาธิจดจ่อดีขึ้น”
ทั้งนี้ บริษัทเบรนนิฟิต จำกัด ได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการวิจัยทางคลินิก (Clinical Trials) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผลิตภัณฑ์ Brainifit กับผู้สูงอายุที่ศูนย์ฝึกสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
“เราทดสอบกับผู้สูงอายุ จำนวน 115 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุปกติและกลุ่มผู้สูงอายุที่เริ่มมีการรู้คิดบกพร่องระยะแรก ซึ่งพบว่าผู้สูงอายุทั้ง 2 กลุ่ม มีความสามารถของสมองในด้าน Executive Function หรือความสามารถในด้านการจดจำ การควบคุมความคิด อารมณ์ พฤติกรรม ดีขึ้นอย่างชัดเจน”
ประสิทธิผลของ Brainifit ไม่เพียงพิสูจน์ได้จากผลการทดสอบใช้งานจริง แต่ยังยืนยันด้วยการคว้ารางวัลเหรียญทองจากการประกวดสิ่งประดิษฐ์ในงาน “The International Exhibition of Inventions of Geneva” และงาน “Seoul International Innovation Fair”
[caption id="attachment_34706" align="aligncenter" width="500"] The International Exhibition of Inventions of Geneva[/caption]
[caption id="attachment_34707" align="aligncenter" width="500"] Seoul International Innovation Fair[/caption]
ดร.สุวิชา กล่าวว่า ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ Brainifit เปิดให้บริการทดสอบนำร่องที่ศูนย์ฝึกสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ ที่บ้านบางแค กรุงเทพมหานคร ศพส.ภูเก็ต ศพส.บ้านบางละมุง จ.ชลบุรี ศพส.บุรีรัมย์ ศพส.วาสนะเวศน์ จ.พระนครศรีอยุธยา และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุธรรมปกรณ์ จ.เชียงใหม่ ส่วนการวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์คาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้ โดยเตรียมเปิดตัวในรูปแบบ Product Home Use ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อออนไลน์ไปใช้งานที่บ้านได้เลย ทั้งนี้จะมีระบบการบริการ การติดตามประเมินผลก่อน-หลังการใช้งานของแต่ละบุคคลด้วย เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าศักยภาพของสมองด้านใดที่ปรับตัวดีขึ้นบ้าง
Brainifit หนึ่งในนวัตกรรมการวิจัยที่ได้รับการต่อยอดสู่โมเดลธุรกิจ ที่จะช่วยขยายผลต่อยอดเทคโนโลยีด้านการแพทย์สมัยใหม่ไปสู่การใช้งานจริง เพิ่มโอกาสให้ผู้สูงวัยและเยาวชนไทยที่ต้องเผชิญกับภาวะสมาธิสั้นได้เข้าถึงเทคโนโลยีการฟื้นฟูศักยภาพสมองทั้งในด้านการรู้คิดและความทรงจำ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีด้านการฝึกสมองผู้ป่วยจากต่างประเทศ และสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งหวังพัฒนาประชาชนให้มีสุขภาพที่ดีทุกช่วงวัย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ยกระดับสินค้าภูมิปัญญา ‘กระดาษสาทนน้ำ’
ใครที่คิดว่า “กระดาษสา” มีไว้เพียงทำสมุดโน้ต หรือกระดาษห่อของขวัญ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว เมื่อบริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด โรงงานกระดาษบ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ หันมาใช้นวัตกรรมผสานภูมิปัญญาพัฒนา “กระดาษสาทนน้ำ” ยกระดับเพิ่มมูลค่าการใช้งานเทียบเท่าถุงพลาสติก ภายใต้การสนับสนุนของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ โปรแกรม ITAP (Innovation and technology assistance program) หน่วยงานในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เพิ่มมูลค่ากระดาษสาล้านนา ภูมิปัญญาบ้านต้นเปา
นายธนากร สุภาษา กรรมการผู้จัดการบริษัทซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระดาษจากใยธรรมชาติแบรนด์ “ปาป้า เปเปอร์ คราฟท์ (Papa Paper Craft) ” เล่าว่า ด้วยพื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ และเป็นทายาทรุ่นที่สอง ที่สืบทอดธุรกิจกระดาษสาจากครอบครัวในหมู่บ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ แหล่งผลิตกระดาษสาครบวงจรแห่งเดียวในประเทศไทย ดังนั้นเมื่อใครที่อยากทำกระดาษสา หรือเส้นใยเกี่ยวกับกระดาษมักจะนึกถึงชุมชนหมู่บ้านต้นเป้าเป็นอันดับแรกเสมอ
[caption id="attachment_34573" align="aligncenter" width="650"] นายธนากร สุภาษา กรรมการผู้จัดการบริษัทซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด[/caption]
ทว่าแม้ปัจจุบันวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จะเป็นตัวแปรผลักดันให้คนทั่วโลกลดการใช้พลาสติก และหันกลับมาใช้สินค้าจากธรรมชาติมากขึ้น แต่ด้วยจุดอ่อนของกระดาษสาที่ขาดง่ายเมื่อโดนน้ำ ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคมากนัก แนวคิดการพัฒนา ‘กระดาษสาทนน้ำ’ จึงอาจเป็นหนทางปรับจุดอ่อนเป็นข้อได้เปรียบ เพื่อให้แข่งขันกับตลาดทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น
“เราอยากเพิ่มมูลค่ากระดาษสาให้มีสมบัติกันน้ำได้ แต่ด้วยเราไม่มีองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงไปปรึกษาทาง สวทช. ภาคเหนือ และได้รับคำแนะนำให้เข้าร่วมโปรแกรม ITAP ซึ่งเขามีบริการให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี ตลอดจนจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งก็ได้แนะนำให้พบกับ ดร.มาโนช นาคสาทา คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่จะเข้าให้คำปรึกษาการพัฒนากระดาษสาทนน้ำ”
กำจัดจุดอ่อนกระดาษสา เพิ่มคุณสมบัติทนน้ำ
ที่ผ่านมาการผลิตกระดาษสาของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงใช้กระบวนการแบบดั้งเดิมซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของกระดาษสา แต่หากสามารถพัฒนาให้กระดาษสารมีสมบัติพิเศษ เช่น การทนน้ำ จะทำให้ประยุกต์การใช้กระดาษสาได้กว้างขึ้น
ดร.มาโนช นาคสาทา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เทคโนโลยีกระดาษสากันน้ำ เป็นนวัตกรรมที่พัฒนาด้วยทุนวิจัยของ สวทช. เครือข่ายภาคเหนือ เมื่อผู้ประกอบการในพื้นที่ทำธุรกิจกระดาษสามีความต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นกระดาษสากันน้ำ จึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและเข้าโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยี กับทางโปรแกรม ITAP สวทช.
“โดยธรรมชาติเส้นใยกระดาษชอบน้ำมาก ประกอบกับช่องว่างขนาดเล็กในกระดาษมีจำนวนมาก ทำให้กระดาษอุ้มน้ำเหมือนกับฟองน้ำ ดังนั้นเมื่อมีการหยดน้ำหยดลงบนกระดาษ น้ำจึงแพ่รกระจายไปบนผิวกระดาษเป็นวงกว้างพร้อมทั้งซึมผ่านเข้าไปในเนื้อกระดาษได้อย่างรวดเร็ว การทำให้กระดาษสามารถกันน้ำได้ เช่น การลดช่องว่างในตัวกระดาษ โดยการเติมแป้งพร้อมกับมีกระบวนการอัดให้เส้นใยของกระดาษอยู่ชิดกันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้กระดาษหนาและแข็ง
อีกกระบวนการหนึ่งคือการเติมสารที่ไม่ชอบน้ำลงไป สารพวกนี้จะทำให้มุมสัมผัสของหยดน้ำโตมากทำให้น้ำไม่สามารถเปียกเส้นใย และไม่สามารถซึมผ่านกระดาษได้ ซึ่งในการวิจัยพัฒนา เราใช้วิธีเติมสารไม่ชอบน้ำ ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลการทดลองพบว่าช่วยให้กระดาษสากันน้ำได้ดี หยดน้ำสามารถกลิ้งไปมาบนกระดาษได้เหมือนที่กลิ้งบนใบบัว ที่สำคัญกระบวนการผลิตไม่ซับซ้อน ผู้ประกอบการยังสามารถทำได้ด้วยวิธีการเดิม ไม่ต้องใช้เครื่องมือราคาแพง”
ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ BCG แต้มต่อทำธุรกิจ
ปัจจุบัน บริษัท ซิมพลิ เด็คคอร์ จำกัด รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตกระดาษสาทนน้ำ โดยการนำสารไม่ชอบน้ำ ซึ่งเป็นสารสกัดธรรมชาติ เข้ามาใช้ในกระบวนการปั่นเยื่อก่อนนำขึ้นไปขึ้นรูปเป็นกระดาษสา และมีการนำมาใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์
นายธนากร เล่าว่า กระดาษสาทนน้ำที่ผลิตได้มีการนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จาน กล่องเครื่องสำอาง และถุงกระดาษ เน้นการออกแบบรูปทรงและการตัดเย็บให้ดูทันสมัย ความพิเศษของผลิตภัณฑ์กระดาษสาทนน้ำ คือ เมื่อเทน้ำลงไป น้ำจะขังอยู่ในผลิตภัณฑ์จนกว่าจะเทน้ำออก การดูดซับน้ำจะมีเฉพาะผิวกระดาษชั้นนอก และกระดาษจะค่อยๆ คายน้ำออกมาจนแห้งในเวลาไม่นาน เช่น ถุงกระดาษสาทนน้ำ เราไม่ได้ทดสอบแค่เทน้ำใส่ถุงเพียง 5-10 วินาทีเท่านั้น แต่เทน้ำทิ้งไว้ในถุงเป็นวัน ซึ่งก็ไม่พบการรั่วซึม ขณะที่ถุงกระดาษสาทั่วไป เมื่อเทน้ำลงไปกระดาษจะดูดซึมน้ำ เปื่อยและฉีกขาดทันที ที่สำคัญถุงกระดาษสาทนน้ำยังนำมาใช้ซ้ำได้มากกว่า 1 ปี เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้วสามารถย่อยสลายได้เองในธรรมชาติ
[caption id="attachment_34564" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการทนน้ำกับถุงกระดาษทั่วไป (กระดาษสาทนน้ำถุงซ้าย)[/caption]
ผลิตภัณฑ์กระดาษสาทนน้ำเริ่มวางจำหน่ายออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก papapaperfactory ซึ่งได้รับการตอบรับจากอยู่ค้าอย่างดี ทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่เริ่มมีการสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยข้อได้เปรียบการเป็นสินค้ารักษ์โลก และยังตอบโจทย์การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
“ผมมีความเชื่อว่าตลาดจะตอบรับเรา เพราะกระดาษสาทนน้ำเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์แนวคิดทั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) และโมเดลเศรษฐกิจของ BCG ที่ภาครัฐกำลังให้การสนับสนุน เพราะต้องการลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single use) โดยกระบวนการผลิตกระดาษสาทนน้ำของเรา ไม่เพียงใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ตอบโจทย์เศรษฐกิจชีวภาพแล้ว ในกระบวนการผลิตกระดาษสายังเน้นใช้สีธรรมชาติ ทำให้นำน้ำกลับมาใช้หมุนเวียนในกระบวนการผลิตได้เกือบ 100% แทบไม่มีการปล่อยออกเสียสู่สิ่งแวดล้อม เป็น zero waste ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ถือเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจที่เท่าทันตอบโจทย์กระแสโลก และด้วยกระบวนการทำธุรกิจแบบนี้ เชื่อว่าจะทำให้ชุมชนและบริษัทอยู่ได้ รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างยั่งยืน”
นวัตกรรมกระดาษสาทนน้ำนับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมรักษ์โลกที่เกิดจากการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาช่วยยกระดับภูมิปัญญาแห่งบ้านต้นเปา จังหวัดเชียงใหม่ ให้ยังคงสืบสานจากรุ่นสู่รุ่น และยังสร้างโอกาสทางธุรกิจ สร้างรายได้ให้ชุมชนและผู้ประกอบการ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุล
[caption id="attachment_34574" align="aligncenter" width="700"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
[caption id="attachment_34575" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
[caption id="attachment_34576" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์กระเป๋ากันน้ำ[/caption]
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ยกระดับสตรีตฟูดไทย ด้วยนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก
For English-version news, please visit : Street food vendors in Chinatown get upgraded with new food mobiles
มนต์เสน่ห์ของรสชาติและความหลากหลายของอาหารไทย ผลักดันให้ “อาหารริมทาง” หรือ “สตรีตฟูด” มีชื่อเสียงไปทั่วโลก สำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลกถึง 2 ปีซ้อน ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาลิ้มลอง ยิ่งเฉพาะ “เยาวราช” แหล่งสตรีตฟูดอันเลื่องชื่อที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่ขาดสาย ถนนสายมังกรที่ไม่เคยหลับใหล สร้างรายได้ให้แก่ประเทศจำนวนมาก
เพื่อยกระดับ “สตรีตฟูดไทย” ให้ได้มาตรฐาน สร้างการเติบโตทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม “รถเข็นรักษ์โลก” นำเทคโนโลยีมาต่อยอดรถเข็นให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทั้งในด้านความสะอาด ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด
[caption id="attachment_34345" align="aligncenter" width="700"] นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช.[/caption]
นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช. กล่าวว่า เรานำความรู้ทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบเข้ามาช่วยพัฒนารถเข็นรักษ์โลก เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพ ความสะอาด และปลอดภัยของอาหารสตรีตฟูดเต็มรูปแบบ ปัจจุบันได้พัฒนารถเข็นออกมาแล้วถึง 3 รุ่น โดยรถเข็นรุ่นแรกเป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมันและซิงก์น้ำ รถเข็นรุ่นที่ 2 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ และเพิ่มเติมเรื่องระบบดูดควัน สำหรับรถเข็นรุ่นที่ 3 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ ระบบดูดควันและบำบัดควัน รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมหัวเตาแก๊ส 2 หัวด้วย
ปัจจุบัน สวทช. ธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด ร่วมกับเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ส่งมอบรถเข็นรักษ์โลกให้แก่ผู้ค้าบริเวณถนนเยาวราช ถนนข้าวหลาม ถนนราชวงศ์ และบริเวณโดยรอบเขตสัมพันธวงศ์ จำนวน 106 คัน (ธนาคารออมสิน จำนวน 77 คัน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด จำนวน 29 คัน) เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจความสะอาด ได้มาตรฐาน และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ตอบโจทย์สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 เพื่อให้เยาวราชยังคงเป็นสวรรค์ของนักชิมที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก
นายอัมพร กล่าวว่า รถเข็นรักษ์โลกที่ส่งมอบให้แก่ผู้ค้าเยาวราช เราได้พัฒนาตกแต่งเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีการตกแต่งลวดลายป้ายร้านค้าแบบจีน เพื่อให้ยังคงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่เยาวราช รวมทั้งยังมีป้ายไฟในตำแหน่งของชื่อร้าน สำหรับสร้างสีสันความโดดเด่นยามค่ำคืน ซึ่งการที่ผู้ค้าย่านเยาวราชได้นำร่องหันมาใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก นับเป็นการปฏิวัติสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และยังตอบโจทย์ยุค New Normal ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยด้วย
“วัสดุของรถเข็นรักษ์โลกทำจากสเตนเลส 304 เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมแบคทีเรียและไวรัส ตัวรถออกแบบเป็นสัดส่วนมีระยะห่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีการออกแบบการใช้เท้าเหยียบเพื่อเปิดก็อกน้ำลดการสัมผัส ที่สำคัญยังมีเคาน์เตอร์บาร์ด้านหน้ารถเป็นจุดสั่งและรับอาหาร ทุกฟังก์ชันคำนึงถึงหลัก Social distancing เสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความสะอาดและปลอดภัย ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารในช่วงวิกฤติโควิด-19 อย่างมาก
อย่างไรก็ดีรถเข็นรักษ์โลกไม่เพียงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อลูกค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานอย่างเหมาะสมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ประกอบการด้วย
น.ส.พรรณภัทร พิมพ์การ เจ้าของร้านเพ้งโภชนา ณ บริเวณตรอกโรงหมู ถนนข้าวหลาม ย่านเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ผู้ใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก กล่าวว่า เดิมขายของบนรถเข็นแบบเดิมๆ มานาน และเมื่อเห็นว่ามีโครงการรถเข็นรักษ์โลก ก็สนใจซื้อโดยใช้เป็นร้านขายมาได้แล้ว 2 ปี ข้อดีกับเราซึ่งทำอาหารอยู่หน้าเตาตลอดคือ ช่วยดูดความร้อน ดูดควัน ดูดกลิ่นได้ดี ซึ่งดีกว่าระบบดูดกลิ่นแบบเดิมของเราที่ดูดแยกข้างนอก ข้อดีกับลูกค้า คือ เขาชมว่ารถสะอาดเรียบร้อยสะอาดกว่ารถคันเก่าเยอะเลย เมื่อเราทำป้ายใหม่ทำรถใหม่ก็ทำให้ลูกค้าเยอะขึ้นด้วยถือว่าดีกับอาชีพเราและผู้บริโภค
ในแต่ละปีสตรีตฟูดสร้างมูลค่าการตลาดสูงกว่า 200,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับอาหารริมทางให้ถูกสุขอนามัย ได้มาตรฐาน ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุค New Normal แต่ยังเพิ่มโอกาสด้านการตลาด เพิ่มเสน่ห์อาหารริมทางของไทยให้ยังคงสร้างรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 8000
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไอแทป สวทช. สนับสนุนนวัตกรรม ‘DRAG KOOLER’ แผ่นเช็ดตัวสมุนไพร ตัวช่วยลดไข้เด็ก
อาการไข้ในเด็กเล็ก นับเป็นปัญหากลุ้มใจของพ่อแม่ โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี หากมีไข้สูงถึง 39-40°C
อาจทำให้เกิดการชักได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ลดไข้ของเด็กเพื่อป้องกันการเกิดภาวะชัก พ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้วิธีการเช็ดตัวเด็ก ใช้เจลลดไข้ รวมถึงใช้ยาลดไข้ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่ไม่เหมาะในเด็กเล็ก เพราะการได้รับสารเคมีบ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก อาจทำให้เกิดผลเสียต่ออวัยะต่างๆได้ การใช้เจลลดไข้แปะที่หน้าผาก ช่วยได้ แต่ครอบคลุมพื้นที่ผิวได้เฉพาะจุด ส่วนการเช็ดตัวเด็ก เป็นวิธีการที่ได้ผลช้า แต่ก็มีความปลอดภัยสูง และต้องเตรียมอุปกรณ์เยอะ เปียกเลอะเทอะทั้งห้อง อีกทั้งไม่สะดวกในระหว่างการเดินทาง
นายดำเกิง ทองซ้อนกลีบ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กองหนุน จำกัด กล่าวว่า ตนเองได้เห็นช่องว่างทางการตลาด และความต้องการของผู้เป็นพ่อแม่ ซึ่งประสบกับตัวเองด้วย จึงเกิดแนวคิดที่จะพัฒนาแผ่นเช็ดตัวช่วยระบายความร้อนสำหรับลดไข้ในเด็กเล็ก หนึ่งแผ่นสามารถเช็ดตัวเด็กได้ทั่วร่างกาย สะดวกต่อการใช้ แม้ในขณะเดินทาง ก็สามารถใช้ได้ สะอาดและปลอดภัย สิ่งสำคัญคือ มีส่วนผสมของสมุนไพรที่ช่วยลดความร้อน ขยายรูขุมขนได้ และเนื่องจากสารที่ใช้เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติทั้งหมด จึงมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีโอกาสแพ้ได้ง่าย การได้ร่วมโครงการกับโปรแกรม ITAP สวทช. และทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้ ‘DRAGKOOLER’ สินค้าของบริษัท ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี ทำให้บริษัท กองหนุน จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก สามารถเข้าถึงงานวิจัยและพัฒนาสินค้านวัตกรรม โดยมีผลการวิจัยทดสอบ ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในประสิทธิภาพให้ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และเพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในเด็กเพื่อให้มั่นใจในเรื่องของการระคายเคือง จึงได้ส่งทดสอบการระคายเคือง
ที่สถาบัน Dermscan Asia และได้ผลการผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวเด็กอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ “DRAGKOOLER” ได้รับรางวัล Gold Medal ในสาขา Health/Medicine/Fitness จากงาน The 15th International Invention and Innovation Show INTARG® 2022 เมือง Katowice ประเทศโปแลนด์ เป็นงานนวัตกรรมระดับโลก มีผลงานนวัตกรรมเข้าร่วมประกวดกว่า 200 ผลงานจากทั่วโลก
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้พัฒนา ‘DRAGKOOLER’ ผ้าเปียกสมุนไพร เช็ดตัวลดไข้ กล่าวว่า หัวใจของโจทย์วิจัยเรื่องนี้ คือ การคัดเลือกสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ขยายรูขุมขน เพื่อช่วยระบายความร้อน จึงเลือกใช้สารสกัดจากมะนาว (มีงานวิจัยที่แสดงว่า มะนาวสามารถลดอุณหภูมิได้ดีกว่าน้ำสะอาดถึง 2 เท่า) ไพล (ช่วยลดการอักเสบ) ใบย่านาง (มีฤทธิ์ขยายรูขุมขน) และ peppermint oil (ช่วยให้หายใจสะดวก และบรรเทาอาการคัดจมูก) ซึ่งผลการประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 37.6°C พบว่าแผ่นเช็ดตัวผสมสมุนไพร สามารถลดอุณหภูมิของร่างกายได้ดีกว่าผ้าชุบน้ำทั่วไป ลดอุณหภูมิได้ถึง 1.2°C (ผ้าชุบน้ำ ลดอุณหภูมิ ได้เพียง 0.7°C) หลังจากอาสาสมัครใช้แผ่นเช็ดตัวผสมสมุนไพรได้ 30 นาที อุณหภูมิร่างกายจะใกล้เคียงอุณหภูมิปกติ
“ความท้าทายในการพัฒนาสินค้าใหม่ ไม่ใช่เพียงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ต้องสร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจด้วย ‘การวิจัย’ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม และการมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงจะทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ใช่ และมั่นใจถึงความปลอดภัยของสินค้านั้นได้” ดร.พรอนงค์ กล่าวทิ้งท้าย
ดร.นันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวเสริมว่า ITAP เป็นกลไกอันหนึ่งของภาครัฐที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ยังมีข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเลือกผู้เชี่ยวชาญที่ตรงกับโจทย์ความต้องการของตนเอง ITAP จะช่วยเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับผู้เชี่ยวชาญ ให้เกิดการนำเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมมาใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจ ผลงานการสนับสนุนบริษัทให้สามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่‘แผ่นเช็ดตัวสมุนไพร’ เป็นหนึ่งตัวอย่างของการทำงานวิจัยร่วมกัน ระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับ บริษัท กองหนุน จำกัด ผลงานนี้ นอกจากจะการันตีด้วยรางวัล Gold Medal ยังตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัวที่มีบุตรเล็ก ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความสนใจจากลูกค้าสูงอย่างมาก หากผู้ประกอบการรายใดต้องการวิจัยและพัฒนา สามารถติดต่อ ITAP เบอร์โทร 02 564-7000 ต่อ ITAP.
ภาพเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “DRAGKOOLER” ในงาน Thailand Baby & Kids Best Buy ครั้งที่ 41
//////////////////////////////////////////////////////////////////
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สตาร์ตอัป ReLIFE พัฒนากระจกตาชีวภาพ ความหวังเปลี่ยนกระจกตาไม่ต้องรอรับบริจาค
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 (ท้ายบทความ)
ปัจจุบันมีผู้พิการทางสายตาทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน กำลังเผชิญกับความยากลำบาก อันเนื่องมาจากการสูญเสียการมองเห็นด้วยอาการบาดเจ็บของกระจกตา หนทางเดียวในการรักษาคือการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา โดยอาศัยกระจกตาบริจาคจากผู้เสียชีวิต ทว่าผู้โชคดีที่จะได้รับโอกาสในการกลับมามองเห็นมีเพียง 15% เท่านั้น
เพื่อคืนแสงสว่างจากความมืดมิดให้แก่ผู้พิการทางสายตาจากโรคกระจกตา ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.) หนึ่งใน NSTDA Startup ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พัฒนา “กระจกตาชีวภาพจากจากสเต็มเซลล์ (Stem Cell)” เพื่อใช้ทดแทนกระจกตาบริจาค และลดความเสี่ยงจากการใช้กระจกตาจากผู้อื่นหรือวัสดุเทียม
กระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์
จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพจากสเต็มเซลล์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ยุคที่นักวิจัยเริ่มพัฒนาอวัยวะเทียมกันอย่างแพร่หลาย แต่มีนักวิจัยน้อยคนที่จะสนใจวิจัยและพัฒนากระจกตาเทียม เพราะเชื่อว่าเป็นอวัยวะที่รอรับบริจาคได้
[caption id="attachment_34126" align="aligncenter" width="550"] ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ นักวิจัยทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ไบโอเทค สวทช. และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด (ReLIFe Co., Ltd.)[/caption]
ดร.ข้าว ต้นสมบูรณ์ อธิบายว่า ตั้งแต่เริ่มต้นทำวิจัยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ‘กระจกตาเทียม’ ยังคงเป็นที่ต้องการของหลายประเทศทั่วโลก เพราะในหลักการแล้ว แม้กระจกตาจะเป็นอวัยวะที่สามารถรับบริจาคได้ มีผลข้างเคียงต่ำ แต่ในทางปฏิบัติ การรับบริจาคเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการแพทย์ไม่พร้อม เนื่องจากกระจกตามีอายุสั้น หากมีการจัดเก็บจากผู้เสียชีวิตล่าช้าหรือจัดเก็บด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสมจะทำให้กระจกตาเสื่อมสภาพทันที และด้วยสาเหตุนี้แม้ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศจะไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนกระจกตา แต่ก็ไม่สามารถบริจาคไปช่วยเหลือประเทศที่มีความต้องการได้
[caption id="attachment_34122" align="aligncenter" width="650"] กระจกตา[/caption]
การพัฒนา “กระจกตาชีวภาพ” ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของทีมวิจัย ที่ไม่เพียงเป็นความหวังสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ผู้เฝ้ารอรับบริจาคกระจกตา แต่ยังเป็นโอกาสในการบุกเบิกสร้างสรรค์นวัตกรรมกระจกตาชีวภาพรายแรกของโลก
ดร.ข้าว อธิบายว่า ตามธรรมชาติกระจกตาของมนุษย์จะมีลักษณะเป็นเจลลีที่เหนียว แข็งแรง ทนทาน เนื่องจากต้องรับแรงดึงจากการกระพริบหรือกรอกตาตลอดเวลา ความแข็งแรงนี้มาจากโครงสร้างภายในที่มีลักษณะเป็นเส้นใยสานกันแน่นเป็นตาข่าย 300-500 ชั้น ในการออกแบบกระบวนการผลิตกระจกตาชีวภาพ ทีมวิจัยจึงพยายามเลียนแบบลักษณะและโครงสร้างภายในกระจกตาเพื่อให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด
[caption id="attachment_34123" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
[caption id="attachment_34124" align="aligncenter" width="650"] Fiber-reinforced hydrogel[/caption]
“ทีมวิจัยได้พัฒนากระจกตาให้มีลักษณะเป็นเจลลีเสริมแรงเส้นใย ‘Fiber-reinforced hydrogel’ ผ่านกระบวนการปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าแรงสูง (Electrospinning) เพื่อนำเจลลี่ที่มีลักษณะเหมือนกับกระจกตาของมนุษย์มาใช้เป็นโครงเลี้ยงสเต็มเซลล์ สำหรับนำไปผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาให้แก่คนไข้ หลังจากทั้งโครงเลี้ยงเซลล์และ สเต็มเซลล์ เข้าไปยึดติดบนดวงตาของคนไข้แล้ว Stem cell จะค่อยๆ กินโครงเลี้ยงเซลล์เป็นอาหารจนหมด และเติบโตขึ้นมาใหม่เป็นเซลล์กระจกตาตามธรรมชาติที่ลักษณะเหมือนกับโครงเลี้ยงเซลล์ทุกประการ ทำให้มีความปลอดภัยไม่เกิดการต่อต้านจากร่างกาย”
การเปลี่ยนกระจกตาโดยใช้กระจกตาชีวภาพทำให้ผู้ป่วยได้ใช้กระจกตาที่ใสเหมือนกระจกตาของเด็กแรกเกิด แตกต่างจากกระจกตาที่รับบริจาคซึ่งมีความขุ่นมัวตามอายุการใช้งานของผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ทีมวิจัยยังออกแบบการผลิตให้ผลิตได้ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและแบบจำเพาะกับลักษณะลูกตาของคนไข้ได้ เหตุผลเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่แม้แต่คนไข้ในประเทศที่มีกระจกตาบริจาคเพียงพอก็ยังไม่อาจปฏิเสธความสนใจในการใช้งานผลิตภัณฑ์นี้ได้
ดร.ข้าว เสริมว่า การวิจัยและพัฒนากระจกตาชีวภาพนี้นอกจากจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทีมวิจัยและผู้บริหารของไบโอเทค สวทช. แล้ว ยังได้รับการสนับสนุนด้านการเก็บเซลล์กระจกตา การทดสอบในสัตว์ รวมถึงการทดสอบในมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากอาจารย์และบุคลากรคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ปัจจุบันการทดสอบอยู่ในขั้นตอนทดสอบในสัตว์ทดลองโดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการทดลองในสัตว์ทดลองครั้งนี้จะประสบความสำเร็จด้วยดี และสามารถทดสอบในมนุษย์ได้ภายในปีหน้า
Spin off สู่ Start-up บริษัท ReLIFE
จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็น CEO จากวิศวกรทางการแพทย์คนหนึ่งที่ฝันอยากสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้คนไข้ได้ใช้ประโยชน์จริง เพื่อทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาก้าวข้ามทุกอุปสรรคจนประสบความสำเร็จขึ้นแท่นสู่การเป็นสตาร์ตอัป ในฐานะ CEO ของบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ในปัจจุบัน
ดร.ข้าว เล่าว่า เมื่อตัดสินใจ Spin off ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการ และ ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. ต่างให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี ท่านทั้งสองเป็นผู้นัดหมายการนำเสนองานต่อนักลงทุนให้ ซึ่งผลตอบรับก็เป็นที่น่ายินดียิ่ง เพราะ ‘ผลงานการวิจัย’ และ ‘ตัวตนของทีมวิจัย’ มีศักยภาพและแรงดึงดูดมากพอที่คุณรักชัย เร่งสมบูรณ์ ผู้ก่อตั้งและผู้นำทีมวิศวกรรมบริษัทฟรุตต้า ไบโอเมด จำกัด จะร่วมลงทุนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน โดยบริษัทรีไลฟ์ จำกัด ได้รับทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท สำหรับใช้สร้างโรงงานผลิตกระจกตาเทียมชีวภาพ
“สิ่งที่ทำให้คุณรักชัยเชื่อว่าเรามีศักยภาพมากพอ คือ เราทำให้เขาเห็นว่าผลงานนี้มีโอกาสทางธุรกิจมากขนาดไหน เป็นผลงานที่เป็น Blue ocean อย่างแท้จริง อีกสิ่งที่เราได้นำเสนอควบคู่กันไปแบบทางอ้อม คือ ตัวตนของเรา เราแสดงให้เขาเห็นถึงทัศนคติ ความมุ่งมั่นตั้งใจ ทักษะความสามารถในการบริหารงาน การทำธุรกิจ และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ก้าวต่อไปของบริษัทหลังจากการทดลองในมนุษย์ซึ่งคาดว่าจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้หากประสบความสำเร็จ ก็จะมีการระดมทุนครั้งต่อไปทันที”
ปัจจุบันบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เดินหน้าทำการวิจัย พัฒนา และทดสอบ แบบเต็มกำลังแล้ว “ผลงานนี้จะเปลี่ยนโลก มอบชีวิตใหม่ให้แก่คนหลักสิบล้านคน จากที่คนไข้ไทยเคยต้องรอ 3 ปี 5 ปี ผมสัญญาว่าจะทำให้ต้องรอไม่เกิน 1 เดือน จากที่คุณใช้ชีวิตยากลำบาก คุณจะต้องกลับมามองเห็นได้และใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม และผมสัญญาว่าผมจะทำให้คนไทยได้ใช้กระจกตาเทียมชีวภาพในราคาที่ถูกที่สุดครับ” ดร.ข้าว นักวิจัยไบโอเทค และ CEO บริษัทรีไลฟ์ จำกัด ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
ผลงานกระจกตาชีวภาพจากบริษัทรีไลฟ์ จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของผลงานจาก 9 บริษัทสตาร์ตอัปที่เปิดตัวในงานแถลงข่าว “สวทช. ขยายงานวิจัยสู่โมเดลธุรกิจใหม่ 9 ดีปเทคสตาร์ตอัป” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา ติดตามผลงานจากบริษัทอื่นๆ ได้ที่ https://www.nstda.or.th/home/news_post/pr-nstda-startup-2022/
อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 : ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาอยู่ในขั้นตอนการทดสอบในสัตว์ทดลอง
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ภัทรา สัปปินันทน์, ไบโอเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
อนุรักษ์ ‘พันธุ์ฟักทองไข่เน่า’ พืชอัตลักษณ์เมืองน่าน
“ไข่เน่า คือ ชื่อฟักทองพันธุ์ท้องถิ่นที่คนน่านปลูกกันรุ่นต่อรุ่นนานกว่า 3 ช่วงอายุคน ชื่อ ‘ไข่เน่า’ มีที่มาจาก ‘สีเขียวขี้ม้าแลคล้ายไข่เน่า’ ของเนื้อฟักทอง แม้สีไม่สวยแต่อร่อยกินได้ไม่มีเบื่อ เพราะเนื้อทั้งเหนียว หนึบ และหวานมันกำลังดี” ...คำบอกเล่าของ ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ที่กล่าวถึงลักษณะเด่นของฟักทองพันธุ์พื้นเมืองน่านที่ได้รับการอนุรักษ์ไม่ให้สูญหาย และกำลังจะเป็นผลผลิตสำคัญที่สร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แก่ชุมชน ในงานเสวนา “ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า ความยั่งยืนทางพันธุกรรมของชุมชน” ภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC 2022)
[caption id="attachment_33967" align="aligncenter" width="600"] ฑิฆัมพร กองสอน ประธานวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน[/caption]
ฑิฆัมพร กองสอน เล่าย้อนว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน มีแผนฟื้นฟูป่าน่านที่ขึ้นชื่อว่าเขาหัวโล้นให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำที่ปลอดภัยให้คนในประเทศ รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรจากเคมีสู่อินทรีย์ โดยมีโจทย์สำคัญว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ชาวบ้านจะต้องสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงปากท้อง สามารถชำระหนี้ธนาคาร และหากเป็นไปได้ควรมีรายได้ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี เพื่อให้ทำเกษตรอินทรีย์ต่อไปได้อย่างยั่งยืน
โจทย์ใหญ่อันแสนท้าทายได้ผลักดันให้พวกเขาเริ่มหันมาทำเกษตรอินทรีย์ และยกระดับการทำงานไปสู่ระดับจังหวัด จนเกิดเป็น “เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์น่าน” ในปี 2559 ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจำนวน 39 วิสาหกิจ จาก 27 ตำบล ใน 12 อำเภอของจังหวัดน่าน โดยตั้งธงร่วมกันปลูก “ฟักทองอินทรีย์” ให้เป็นพืชเศรษฐกิจอัตลักษณ์จังหวัดน่าน ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด, องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล-ประเทศไทย (WWF ประเทศไทย) และหน่วยงานพันธมิตร
ฑิฆัมพร เล่าว่า พืชเศรษฐกิจของจังหวัดน่านที่ตอบโจทย์การสร้างรายได้มากที่สุดคือ ‘ฟักทอง’ เพราะคนน่านมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการปลูกฟักทองพันธุ์การค้าเป็นทุนเดิม โดยสายพันธุ์ที่เหมาะต่อการนำมายกระดับมากที่สุดคือ ‘พันธุ์ไข่เน่า’ เพราะเป็นพันธุ์ท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และคนน่านนิยมรับประทาน รวมถึงผู้ประกอบการอย่างบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ก็ยอมรับในเรื่องรสชาติ พร้อมรับจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต และยังพร้อมช่วยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยเพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองไข่เน่าด้วย
เตรียมความพร้อมให้ ‘ไข่เน่า’
แม้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าจะขึ้นชื่อเรื่องรสชาติว่าไม่สองเป็นรองพันธุ์ไหน ทำให้มีชัยเรื่องการตลาด แต่ปัญหาสำคัญคือฟักทองไข่เน่าพันธุ์แท้เริ่มสูญหายและกลายพันธุ์มากขึ้น การปลูกให้ได้ผลผลิตที่มีลักษณะและรสชาติที่คงที่จึงเริ่มทำได้ยาก ไม่ต่างจาก ‘การเสี่ยงดวง’ ดังนั้นสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. จึงได้เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อยกระดับการผลิตฟักทองพันธุ์ไข่เน่าให้มีคุณภาพดี ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ
[caption id="attachment_33968" align="aligncenter" width="600"] ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการ สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช.[/caption]
ณัฐวุฒิ ดำริห์ นักวิชาการจาก สท. ของ สวทช. เล่าว่า ฟักทองเป็นพืชผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติ การปลูกให้ได้ผลผลิตคงที่ เกษตรกรต้องมีความรู้ความเข้าใจในการควบคุมการผลิตตั้งแต่เมล็ดพันธุ์ โดย สท. ได้รับการประสานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด ให้เข้ามาช่วยเหลือในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ทีมจึงได้ร่วมกับสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ทำวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดองค์ความรู้การใช้เทคโนโลยีการคัดเลือกและเก็บเมล็ดพันธุ์ การปลูก บริหารจัดการแปลง และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการแก่เกษตรกรในจังหวัด
[caption id="attachment_33959" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
[caption id="attachment_33966" align="aligncenter" width="600"] ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า[/caption]
ผลผลิตที่ดีต้องเริ่มต้นมาจากสายพันธุ์ที่ดี รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ได้ร่วมกับตัวแทนเกษตรกรจากวิสาหกิจชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องรวมกว่า 50 คน คัดเลือกสายพันธุ์ฟักทองไข่เน่า โดยนำฟักทองพันธุ์ไข่เน่าที่มีลักษณะแตกต่างกันจำนวน 19 ผล มาผ่าดูลักษณะเนื้อ นึ่ง และชิม พร้อมลงคะแนนคัดเลือกฟักทองที่มีลักษณะและรสชาติตรงตามพันธุ์ที่สุดเพื่อใช้เป็นแม่พันธุ์สำหรับพัฒนาสายพันธุ์ต่อไป
[caption id="attachment_33969" align="aligncenter" width="450"] รศ. ดร.จานุลักษณ์ ขนบดี อาจารย์จากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[/caption]
รศ. ดร.จานุลักษณ์ เล่าว่า ปัจจุบันฟักทองพันธุ์ไข่เน่ามีความกลายพันธุ์สูง จึงต้องมีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะพันธุ์ที่แน่ชัดก่อนนำมาวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ แล้วดำเนินการถ่ายทอดกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้อาสาสมัครของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยถ่ายทอดตั้งแต่วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ไปจนถึงการบริหารจัดการแปลงเพื่อให้มีผลผลิตตลอดทั้งปี ร่นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวจาก 150 วัน เหลือ 85-90 วัน ปลูกได้ 3 ฤดูกาลต่อปี ให้ผลผลิตมากว่าพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกอยู่เดิมร้อยละ 20-40 ปัจจุบันมีการทดลองปลูกและเก็บเกี่ยวไปแล้วมากกว่า 4 รอบ
“การทำวิจัยลักษณะของฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่เพียงสำคัญต่อการผลิตเมล็ดพันธุ์ทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อการจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น เพื่อสงวนสิทธิ์การปรับปรุงพันธุ์ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัย ผลิตและจำหน่าย รวมถึงการส่งออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งจะส่งผลให้เกิดสิทธิ์ขาดในการยกระดับกระบวนการพัฒนาผลผลิตและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เป็นสมบัติของคนในจังหวัดน่านเท่านั้นด้วย ผลของสิทธิ์ขาดนี้จะนำไปสู่การสร้างรายได้และการอนุรักษ์สายพันธุ์ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนขอยื่นจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นแล้ว และจะมีการยื่นจดทะเบียนคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) ต่อไปในอนาคต” รศ. ดร.จานุลักษณ์ เสริม
‘ไข่เน่า’ ลงเขาเข้าห้างแล้ว
ทุกวันนี้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าไม่ได้เป็นของดีที่หารับประทานได้เฉพาะในเมืองน่าน เพราะปัจจุบันมีการขนส่งฟักทองพันธุ์ไข่เน่าคุณภาพกว่า 2.5 ตันต่อไร่ จากเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนฯ มาจำหน่ายในตลาดและห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศแล้ว นอกจากนี้เกษตรกรยังได้นำงานวิจัยมาแปรรูปผลผลิตฟักทองที่ไม่ผ่านเกณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์อย่างครบวบงจร
ฑิฆัมพร เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่านเริ่มจัดส่งผลฟักทองสดไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่างท็อปซูเปอร์มาร์เก็ตและตลาดจริงใจแล้ว โดยผลผลิตที่ไม่ตรงตามมาตรฐานการจำหน่ายผลสด เช่น มีรูปทรงที่ไม่สวยงามหรือมีขนาดไม่ตรงตามกำหนดจะนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้กระบวนการแปรรูปจากสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และได้รับการสนับสนุนงบประมาณการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดตั้งโรงงานแปรรูปที่ได้มาตรฐานจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด
“เนื้อฟักทองจะนำไปแปรรูปเป็นฟักทองผง ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ และต่อยอดเป็นอาหารสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย นอกจากนี้ยังมีข้าวเกรียบฟักทอง แยมฟักทอง เส้นขนมจีนฟักทอง และน้ำมันเมล็ดฟักทอง ส่วนเศษที่เหลือจากการแปรรูปเกษตรกรจะนำไปหมักด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์เป็นฟักทองหมักสำหรับผสมในอาหารไก่ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าอาหารบำรุง และช่วยให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงออกไข่ครบทุกตัว”
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าบางผลิตภัณฑ์ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และจะนำเข้าจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่อไป ผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์แปรรูปจากฟักทองพันธุ์ไข่เน่าสามารถติดตามได้ที่ Facebook ‘มะน้ำแก้ว by แม่ฑิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปฟักทองอินทรีย์’
“ผลจากการร่วมศึกษา วิจัย และพัฒนา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำอย่างเข้มแข็ง เริ่มส่งผลให้เกษตรกรในเครือข่ายมีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว และยังส่งผลให้พื้นที่ป่าต้นน้ำของจังหวัดน่านได้รับการเยียวยาฟื้นคืนสู่พื้นที่สีเขียวอีกครั้งด้วย” ฑิฆัมพร กล่าวทิ้งท้ายอย่างภูมิใจในฐานะผู้นำการยกระดับการทำเกษตรอินทรีย์และผู้แทนเกษตรกรเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่าน
จากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งของทุกภาคส่วนนำมาซึ่งการอนุรักษ์และสร้างมูลเพิ่มให้ฟักทองพันธุ์ไข่เน่าแบบครบวงจรอย่างยั่งยืน ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญของการนำโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้พัฒนาการทำเกษตรตั้งแต่ฐานรากให้เข้มแข็ง เป็น Impact Value Chain ที่เป็นต้นแบบการยกระดับการทำเกษตรแก่ชุมชนในภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยได้
เรียบเรียงโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย : ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


