ผลการค้นหา :

“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
For English-version news, please visit : Microspike Technology: Instant Production of Microneedle Fabrics with Customizable Features
“ไมโครสไปก์” นวัตกรรมแผ่นเข็มจิ๋วออกแบบได้ตามสั่ง เจาะตลาดสุขภาพและความงาม
เทคโนโลยี “ไมโครนีดเดิล” เป็นเข็มที่มีขนาดเล็กมากกว่า 10 ไมโครเมตร หรือเล็กกว่าเส้นผมเกือบ 10 เท่า สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างง่ายดาย โดยเข็มนี้ทำหน้าที่นำส่งสารสำคัญต่างๆ เข้าสู่ชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สร้างความเจ็บปวดหรือก่อให้เกิดร่องรอยถาวร สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้านอุตสาหกรรมความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคต โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับทั่วโลก ถือเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าจับตา สามารถพัฒนาไปได้ไกลและมีโอกาสทางการตลาดสูง
[caption id="attachment_35138" align="aligncenter" width="550"] ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ นาโนเทค สวทช. และ CTO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
ดร.ไพศาล ขันชัยทิศ หัวหน้าทีมวิจัยเข็มระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเข็มขนาดไมโครเมตรบนผืนผ้าอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า “เทคโนโลยีไมโครสไปก์” เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดของเทคโนโลยีการผลิตเข็มไมโครนีดเดิลที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเริ่มเป็นที่แพร่หลายในระดับโลกมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ดี ดร.ไพศาลเผยว่า เทคโนโลยีนี้ยังไม่ค่อยพบมากในบ้านเรา เนื่องจากปัญหาคอขวดเรื่องการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และยังมีตัวเลือกไม่มาก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เรียกว่า เทคโนโลยีไมโครสไปก์ ที่สามารถลดข้อจำกัดดังกล่าว ด้วยการออกแบบที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้งานและสมบัติของสารที่ต้องการให้ซึมสู่ชั้นผิวหนัง
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์ เป็นการออกแบบ พัฒนา ผลิตและประยุกต์โครงสร้างคล้ายเข็มขนาดเล็กเพื่อสร้างช่องทางนำส่งสารสำคัญผ่านผิวหนังชั้น โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดหรือเกิดร่องรอยถาวร จุดเด่นของเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นนี้คือ เราสามารถผลิตไมโครสไปก์บนผืนผ้าหรือวัสดุอื่นที่มีความยืดหยุ่นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และยังกำหนดลักษณะจำเพาะได้ตามต้องการ ทั้งรูปร่าง จำนวน และความหนาแน่นต่อพื้นที่ เพื่อให้ได้แผ่นแปะที่มีลักษณะเฉพาะตามความต้องการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการนำไปใช้งานด้านสุขภาพและความงาม หรือแม้แต่การใช้ควบคู่กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเดิมเพื่อเสริมประสิทธิภาพการนำส่งสารสำคัญได้อย่างแม่นยำ” ดร.ไพศาลกล่าว
การขึ้นรูปบนผ้าได้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีหลักที่ยังไม่เคยมีใครทำได้และช่วยปลดล็อคการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ เนื่องจากการผลิตเข็มแบบทั่วไปจำเป็นต้องใส่สารสำคัญเข้าไประหว่างการผลิตเข็ม ด้วยความแตกต่างของสารแต่ละประเภท ทำให้ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารที่หลากหลายได้ แต่การขึ้นรูปเข็มบนผืนผ้าทำให้เข็มขนาดไมครอนสามารถใช้ได้กับสารทุกประเภท และทำหน้าที่เสมือนรูขุมขนจำลองจำนวนมาก เป็นช่องทางให้สารซึมผ่านลงใต้ผิวหนัง ซึ่งเมื่อสารซึมหมด ช่องทางบนผิวหนังเหล่านั้นก็จะคืนสภาพแทบจะทันที
ทั้งนี้ ผลงานนวัตกรรม “กระบวนการผลิตเข็มขนาดไมครอนบนผืนผ้าแบบรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนฟีเจอร์” (Instant production of microneedle fabrics with customizable features) โดย ดร.ไพศาลและคณะ ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมในเวที SPECIAL EDITION 2022–INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ สมาพันธรัฐสวิส โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ซึ่งปัจจุบัน ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ต่อยอดผลิตเข็มขนาดไมครอนได้อย่างรวดเร็ว มีกำลังการผลิตสูงกว่าผู้ผลิตเข็มขนาดไมครอนเดิมที่มีอยู่ในตลาดโลกถึง 25 เท่า และผลิตแผงเข็มได้ขนาดใหญ่สุดที่ 2,000 ตารางเซนติเมตร ถือว่า ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้
“เทคโนโลยีไมโครสไปก์เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาและต่อยอดในเชิงพาณิชย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งมีระดับความพร้อมของเทคโนโลยีต้นแบบที่ประยุกต์ใช้ในหลายแอปพลิเคชัน และจากแนวโน้มในเรื่องการดูแลสุขภาพที่มีมากขึ้น ทำให้เราวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลเพื่อต่อยอดต่อไปได้ โดยในระยะแรก เรามองไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยความเป็นนวัตกรรมนี้จะปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สุขภาพ รวมถึงขยายไปสู่การใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ในอนาคต เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงนวัตกรรมเพื่อการดูแลสุขภาพได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญการดูแลสุขภาพเป็นลำดับต้นๆ” ดร.ไพศาลกล่าว
จากความสำเร็จของการวิจัยพัฒนาและความโดดเด่นของเทคโนโลยีไมโครสไปก์ จึงนำมาสู่การจัดตั้ง บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ซึ่งเป็น 1 ใน 9 บริษัทดีปเทคสตาร์ตอัป (Deep Tech Startup) ภายใต้โครงการ “NSTDA Startup” ของ สวทช. เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีไมโครสไปก์สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม
[caption id="attachment_35146" align="aligncenter" width="550"] นายต่อตระกูล พูลโสภา CEO บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด[/caption]
นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน เทคโนโลยีไมโครนีดเดิลในประเทศยังมีข้อจำกัดด้านการผลิตที่ไม่สามารถผลิตได้นายต่อตระกูล พูลโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด จำนวนมากพอที่จะรองรับความต้องการของตลาด ตลอดจนมีการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีเดียวกันนี้จากต่างประเทศซึ่งมีบริษัทผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในเชิงพาณิชย์อยู่จำนวนน้อยราย เราจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะดำเนินการผลิตสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไมโครนีดเดิลและผลักดันออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นที่จะเป็นผู้ผลิตไมโครนีดเดิลในกับผู้ประกอบการที่สนใจนวัตกรรมไมโครนีดเดิลในอุตสาหกรรมความงามและสุขภาพ และยังมีแผนที่จะขยายไปสู่การแพทย์ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่แม่นยำและรวดเร็วที่สุดในโลก
เทคโนโลยีไมโครสไปก์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามที่ต้องการเพิ่มมูลค่าหรือสร้างอัตลักษณ์ให้แก่สินค้า โดยบริษัทสไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ จำกัด ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำแนะนำและปรึกษาเกี่ยวกับความสามารถและขีดจำกัดของนวัตกรรม รวมไปถึงการผลิตไมโครสไปก์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค อาทิ แผ่นแปะขนาดเล็กแก้ปัญหาเฉพาะจุด (spot patches) แผ่นแปะสำหรับใต้ตา (under eye patches) และแผ่นแปะสำหรับใบหน้า (facial mask) หรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการสนใจ
“เราคาดหวังที่จะเป็นสื่อกลางในการผลักดันนวัตกรรมไทยที่มีโอกาสทางการตลาดสูง เป็นตัวเลือกใหม่ให้ผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจที่สนใจเทคโนโลยีและมองเห็นโอกาสการต่อยอดทางธุรกิจ นำไปประยุกต์ใช้งานเพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจด้านอุตสาหกรรมความงาม ลดการพึ่งพาหรือนำเข้าเทคโนโลยีเดิมจากต่างประเทศ และสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มตลาดอุตสาหกรรมด้านความงาม สุขภาพและการแพทย์อนาคตที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิกส์ กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. จัดพิธีมอบใบประกาศนียบัตร รูปแบบไฮบริด พร้อมร่วมแสดงความยินดีแก่ ผู้สำเร็จการศึกษาโครงการ TAIST-Tokyo Tech ประจำปี 2022
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : นำโดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. ประธานกล่าวเปิดพิธีสำเร็จการศึกษาในโหมดไฮบริดครั้งแรกของโครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.จุนอิจิ อิมูระ รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว กล่าวต้อนรับและขานชื่อผู้สำเร็จการศึกษา และนายทาเคชิ อูชิดะ เลขานุการเอกสถานทูตประเทศญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดีต่อผู้สำเร็จการศึกษา จำนวน 47 คน จาก 3 หลักสูตร ดังนี้ 1.หลักสูตรวิศวกรรมยานยนต์ (AE: Automotive Engineering) 12 คน 2.หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อระบบสมองกลฝังตัว (ICTES: Information and Communication Technology for Embedded Systems) 17 คน และหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (AIoT : Artificial Intelligence and Internet of Things program) 1 คน รวม 18 คน 3.หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (SERE: Sustainable Energy and Resources Engineering) 17 คน
ทั้งนี้มีผู้สำเร็จการศึกษา ระดับประกาศนียบัตรในหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งระบบราง จำนวน 23 คนโครงการ TAIST-Tokyo Tech ดำเนินการโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยไทย 5 สถาบัน ดังนี้ 1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 3) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ 5) มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้แทนแต่ละสถาบันได้เข้าร่วมและแสดงความยินดีแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “โครงการ TAIST-Tokyo Tech ดำเนินการในรูปแบบพันธมิตรมายาวนานกว่า 15 ปี และขณะนี้กำลังเข้าสู่ระยะที่ 4 โครงการไม่สามารถมาไกลถึงขนาดนี้ได้หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากคณาจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียวซึ่งได้อุทิศเวลา และความรู้ในการวางแผนรายวิชา การบรรยาย และการกำกับดูแลนักศึกษา ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับประเทศไทย ได้มีมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งดังที่กล่าวข้างต้นร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการวางแผนและดำเนินโครงการ TAIST-Tokyo Tech ในโอกาสนี้จึงขอขอบคุณคณาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ Tokyo Tech และมหาวิทยาลัยพันธมิตรของไทยที่ทุ่มเทและสนับสนุนโครงการนี้ อีกทั้ง ขอบคุณภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและอื่นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โครงการ TAIST-Tokyo Tech ประสบความสำเร็จในการผลิตผู้สำเร็จการศึกษามากกว่า 497 คน และส่วนใหญ่ได้งานในสถาบันชั้นนำในภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ประมาณ 90 คน ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยทั้งภายในและต่างประเทศ นอกจากนี้ขอขอบคุณไปยังนักวิจัยศูนย์ต่างๆ ในสังกัดสวทช.ดังนี้ MTEC, NECTEC, NANOTEC, BIOTEC และศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ คือ ENTEC ที่สละเวลาอันมีค่า ในการให้คำปรึกษาในการทำงานวิจัยของนักศึกษา
สำหรับผู้สำเร็จการศึกษา กว่าจะมาถึงวันนี้เราทราบดีว่าไม่ง่าย นักศึกษาต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากในการศึกษาในรูปแบบโมดูล การบ้าน การสอบ โครงการวิจัย และอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทั่วโลก ถึงกระนั้นนักศึกษาก็ยังคงมุ่งมั่นจนสำเร็จการศึกษาได้ ทุกคนจึงควรภาคภูมิใจในความสำเร็จนี้ ท้ายนี้ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ TAIST-Tokyo Tech ทั้ง 47 คน ขอให้บัณฑิตทุนทุกคนประสบความสำเร็จและมีความสุขในสิ่งที่ทำต่อจากนี้ไป และขอให้ทุกคนพบโอกาสในการใช้ความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมานี้ในการทำให้สังคมและโลกดีขึ้นต่อไป”
ซึ่งในช่วงท้ายของพิธีมอบใบประกาศฯ นายอิทธิชัย กาญจนกุล ตัวแทนนักศึกษารุ่นน้องจากหลักสูตร SERE ได้กล่าวคำอำลารุ่นพี่ที่สำเร็จการศึกษา โครงการ TAIST-Tokyo Tech ครั้งนี้ด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เจ๋ง!! คว้า 2 รางวัลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในงาน PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชัน : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย นางสาววารุณี ลีละธนาวิทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ด้านสารสนเทศ เข้ารับมอบโล่รางวัลดีเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ หน่วยงานที่มีการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สาขาความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น และ สาขาการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดีเด่น มอบโดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ภายในพิธีมอบโล่รางวัลและประกาศเกียรติคุณ PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.)
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวแสดงความยินดีต่อหน่วยงานที่ได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณ และได้กล่าวถึงความสำคัญของระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ว่าเป็นระบบสำคัญจากที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายสู่การเป็น Thailand 4.0 และเป็นประเทศทันสมัยที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกธุรกิจ ทำให้ภาครัฐและเอกชนต้องปรับตัวและใช้ Digital Transformation ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ที่จะทำให้ประชาชน รวมถึงนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ในประเทศสามารถเติบโตและเดินหน้าต่อไปได้
พลเอก ดร.ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า งานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานและกำกับดูแลให้หน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานอื่นๆ ยกระดับขีดความสามารถในการป้องกัน รับมือและรับความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์และให้สอดคล้องกับแนวทางพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ปี 2562 และเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยการคัดเลือกหน่วยงานที่มีการดำเนินงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ดีเด่นในระดับชาติ ประจำปี 2565 ด้วยวิธีการใช้แบบสอบถามข้อมูลการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ประกอบกับหลักฐานดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ในลักษณะเดียวกับการประเมินตัวชี้วัด The Global Cybersecurity Index (GCI) ซึ่งจัดขึ้นโดยวัดขีดความสามารถด้านไซเบอร์ของประเทศต่างๆ โดย The International Telecommunication Union (ITU) ซึ่งแบบสอบถามจะมีเกณฑ์การประเมินด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับประเทศและระดับภูมิภาค และด้านการพัฒนาศักยภาพความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งในปีนี้รางวัล PRIME MINISTER AWARDS Thailand Cybersecurity Excellence Award 2022 มีหน่วยงานที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 113 หน่วยงาน โดยมีหน่วยงานที่ได้รับโล่รางวัลทั้งสิ้น 21 หน่วยงาน
โดย สวทช. ได้รับรางวัล หน่วยงานที่มีการดำเนินการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สาขาความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่น และ สาขาการพัฒนาศักยภาพบุคลากรดีเด่น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการ และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการสร้างนโยบาย มาตรฐาน และความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ทั้งภายในและภายนอกองค์กรมาโดยตลอด
/////////////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

พาชม! บูทกิจกรรม สวทช. ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2565
พาไปชม! บูทกิจกรรม สวทช. ในงาน มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยในปีนี้ สวทช. นำผลงานวิจัยและนวัตกรรม ไปจัดเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย กิจกรรมแมวน้อยนักสำรวจ ที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ , กิจกรรมการปั้น Para Dough ดินน้ำมันทำจากยางพารา , และกิจกรรมการทำกับดักยุงด้วยวิธีการง่ายๆ ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมที่เด็กๆ จะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อมกับความรู้ใหม่ๆ และยังได้ของที่ระลึกกลับบ้านทุกคนด้วย
สำหรับงาน "มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2565" จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13-21 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00-19.00 น. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอล์ 9-10
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

งดแชร์ข้อมูล….”ข้าวสุกที่ผ่านการแช่ตู้เย็น ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าข้าวหุงสุกใหม่”
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ประเด็นนักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่าข้าวสุกที่ผ่านการแช่ตู้เย็น ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่าข้าวหุงสุกใหม่
สวทช. ขอชี้แจงว่าการวิจัยดังกล่าวเป็นการทดลองในหนู โดยพบว่าข้าวสุกแช่เย็นจะเกิดการเปลี่ยนโครงสร้างของแป้ง ทำให้แป้งทนต่อการย่อยในกระเพาะหนูเพิ่มขึ้นจริง แต่ยังไม่ได้มีการทดลองในมนุษย์อย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นต้องมีการควบคุมระดับอุณหภูมิ วิธีการเก็บรักษา และพันธุ์ข้าวที่นำมาทดลอง
ทั้งนี้ ข้อมูลเบื้องต้นจากนักโภชนาการระบุว่า แม้จะส่งผลในลักษณะเดียวกันในมนุษย์ ข้าวที่หุงสุกแล้วแช่เย็น จะทำให้ปริมาณ Resistant Starch เพิ่มขึ้นและเมื่อนำมาอุ่นจะทำให้ปริมาณ RS ลดลงไปได้บ้าง และปริมาณ RS จะยังขึ้นอยู่กับพันธ์ุข้าวด้วย โดยข้าวแข็ง (แอมิโลสสูง) จะมีปริมาณ RS มากกว่า มีแนวโน้มให้ประโยชน์เหมือนไฟเบอร์ ก็อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญมากพอต่อผู้มีปัญหาการควบคุมน้ำหนัก หรือควบคุมระดับน้ำตาล รวมไปถึงคอเลสเตอรอลในเลือด อีกทั้งยังต้องกินข้าวแบบแช่เย็นนั้น โดยห้ามนำมาอุ่นซ้ำก่อน จึงไม่สะดวกหรือไม่น่ารับประทาน
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือโปรดงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลที่ยังไม่แน่ชัด หรือไม่ได้ส่งผลดีอย่างชัดเจนอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก! ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้
สวทช. เปิดตัวนวัตกรรม “ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ” พัฒนาโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ตอบโจทย์เรื่องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ
ปัจจุบัน มูลนิธิโครงการหลวง ได้นำฟิล์มดังกล่าวไปใช้บรรจุผักสลัดพร้อมทาน วางจำหน่ายภายในงาน “โครงการหลวง 53” จัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ระหว่างวันที่ 4-14 สิงหาคม 2565 และพร้อมวางจำหน่ายในร้านค้าของมูลนิธิโครงการหลวงทั้ง 18 สาขาทั่วประเทศ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช.- หนุน สร้างองค์ความรู้ บน ‘นวนุรักษ์’ แพลตฟอร์ม ชูจุดเด่น ด้านความหลากหลายทางชีวภาพฯ ของ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ช่วยชุมชนสร้างอาชีพ-รายได้เสริมจากการท่องเที่ยว ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG
For English-version news, please visit : Navanurak platform supports the preservation of natural and cultural heritage in Satun Geopark
สวทช. นำ นวนุรักษ์ แพลตฟอร์ม หนุน ให้นักวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล ใช้เป็นเครื่องมือ จัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรม เพื่อให้ชาวบ้านทั้ง 4 อำเภอ (อ.เมือง อ.ควนโดน อ.ละงูและอ.ทุ่งหว้า) ในพื้นที่ ‘อุทยานธรณีโลกสตูล’ ศึกษา และใช้ประโยชน์จากความหลากหลาย ในรูปแบบเรื่องเล่าสื่อความหมาย และสื่อประชาสัมพันธ์ ช่วยชุมชนให้เกิดความเข้าใจในระบบนิเวศเขาหินปูน ระบบนิเวศสัตว์ในถ้ำ และระบบนิเวศสัตว์ชายฝั่งทะเลที่มีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนสามารถใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล
วันที่ 8-9 สิงหาคม 2565 ณ สำนักงานอทุยานธรณีโลกสตูล ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จังหวัดสตูล นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. นำคณะสื่อมวลชน พร้อมด้วยนายอเล็กซ์ เรนเดลล์ ดารานักแสดง ลงพื้นที่ในกิจกรรม สื่อมวลชนสัญจร (Press Tour) สตูลจีโอพาร์ค การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของ ระบบนิเวศชายฝั่งทะเล และสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
พร้อมด้วยคณะนักวิจัยและอาจารย์จาก ม.สงขลานครินทร์ ม.ราชภัฏสงขลา และวิทยาลัยชุมชนสตูล โดยมี นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีโลกสตูล นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งหว้า ให้การต้อนรับ
นายเอกรัฐ หลีเส็น กล่าวว่า ในปี 2565 จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการโปรโมตอุทยานธรณีโลกสตูล (Satun Global Geopark) มากขึ้น โดยก่อนหน้านี้จังหวัดสตูลได้รับการอนุมัติจากยูเนสโก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 ให้เป็นพื้นที่อุทยานธรณีโลก และจะต้องมีการตรวจประเมินซ้ำทุก 4 ปี (ครบวาระ 4 ปี เมื่อปี 2564) ซึ่งหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาจากยูเนสโก ได้มีการตรวจประเมินซ้ำเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาแล้ว จังหวัดสตูลให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์อุทยานธรณีโลกสตูล
เพื่อให้คนสตูล คนไทยและคนทั่วโลกได้รับทราบความสำคัญของเมืองที่พบฟอสซิลดึกดำบรรพ์ ในยุคพาเลโอโซอิก (Palaeozoic era) คือช่วง 545 – 245 ล้านปีก่อน เป็นมหายุคเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตทั้งในมหาสมุทรและบนบกถือเป็นจุดเด่นด้านธรณีวิทยา เนื่องจากจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดใต้สุดฝั่งอันดามัน มีความสวยงามทั้งเรื่องธรรมชาติท้องทะเล และป่าภูเขา ที่สำคัญยังมีเรื่องราวของสัตว์ดึกดำบรรพ์ และสัตว์ทะเลโบราณจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาที่บ่งชี้ว่าจังหวัดสตูลเป็นจังหวัดที่มีวิวัฒนาการมานานและเก่าแก่น่าค้นหาทั้งด้านความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในจังหวัดสตูล
นอกจากนั้นแล้วการมีองค์ความรู้และงานวิจัยจาก สวทช. นักวิจัยมหาวิทยาลัยและองค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ มาสนับสนุนในรูปแบบ การเก็บรวบรวมองค์ความรู้ไว้ในระบบดิจิทัล ที่เรียกว่า ‘นวนุรักษ์แพลตฟอร์ม’ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมหลักฐานด้านต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมายทั้งในอดีตปัจจุบันและอนาคต ของจังหวัดสตูลเก็บไว้ให้คนในชุมชนนำไปศึกษาใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ เกิดอาชีพและสร้างรายได้จากแหล่งท่องเที่ยวบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพในจังหวัดสตูลและความยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ ได้สนับสนุนงานวิจัยจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1. การนำข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำอุทยานธรณีโลกสตูลเข้าในแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ ซึ่งโครงการนี้เป็นการนำแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์” ของศูนย์เนคเทค สวทช. มาใช้ต่อยอดการบริหารจัดการข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล
โดยมีเป้าหมายพัฒนาระบบบริหารจัดการ ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ คลิปเสียง และเรื่องราวนำชม (story telling) ไม่น้อยกว่า 3,000 รายการ รวมถึงการฝึกอบรมให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการข้อมูลได้ด้วยตัวเอง การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
“นอกจากนั้นแล้วมีการอบรมถ่ายทอดความรู้ การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลนวนุรักษ์ ให้กับหน่วยงานในท้องถิ่นและชุมชนให้มีทักษะและเข้าถึงข้อมูลดิจิทัล รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สำหรับเผยแพร่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล เช่น Hologram 3 มิติ, ป้ายประชาสัมพันธ์พร้อม QR Code, คลิปวีดีโอสั้น, หนังสือความหลากหลายทางชีวภาพ และวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล”
สำหรับโครงการที่ 2. คือ การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของสิ่งมีชีวิตในถ้ำ ในอุทยานธรณีโลกสตูลเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์และจุลินทรีย์ในถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล
ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน (ตำบลทุ่งหว้า อำเภอทุ่งหว้า) ถ้ำอุไรทอง (ตำบลกำแพง อำเภอละงู) และถ้ำทะลุ (ตำบลเขาขาว อำเภอละงู) ตลอดจนการศึกษาด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยข้อมูล ภาพถ่าย ไฟล์วีดีโอ และคลิปเสียง ถูกรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ’ เพื่อใช้ในการประเมินซ้ำในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้านอุทยานธรณี พัฒนาไกด์ท้องถิ่น และการบริหารจัดการเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
นางกุลประภา กล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นแล้วโครงการที่ คือ 3. โครงการการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นของระบบนิเวศชายฝั่งทะเลในอุทยานธรณีโลกสตูล เพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน มุ่งเน้นการรวบรวมสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศทางทะเล วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล จังหวัดสตูล โดยเน้นศึกษาในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ หาดราไวย์ หาดแหลมสน บุโบย หาดบางศิลา ในทอน ท่าอ้อย สันหลังมังกร เกาะสะบัน เขาทะนาน หอสี่หลัง เกาะตะรุเตา เกาะลิดี และเกาะอาดัง ราวี หลีเป๊ะ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวฐานชีวภาพในพื้นที่อุทยานธรณีโลก โดยรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล “นวนุรักษ์”
“ในพื้นที่หอสี่หลัง ซึ่งเป็นนิเวศชายฝั่ง ทีมวิจัย ม.สงขลานครินทร์ ได้บัญชีรายการความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ หาดหิน หาดทราย หาดเลน แนวหญ้าทะเล แนวปะการังน้ำตื้น ป่าชายเลน 566 ชนิด พบพืชมีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable) 1 ชนิด คือ หญ้าใบพาย ในสัตว์พบ นกน็อทใหญ่ มีสถานภาพใกล้การสูญพันธุ์ (Endangered) และนกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้าตาล มีสถานภาพเกือบอยู่ในข่ายใกล้การสูญพันธุ์ (Vulnerable)
นอกจากนี้ยังได้รวบรวมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้อีก 517 รายการ โดยแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจตามแนวชายฝั่ง คือ บริเวณหอสี่หลัง สันหลังมังกร หาดแหลมสน บุโบย พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ เช่น หญ้าใบพาย, ปูก้ามดาบก้ามขาว, ปูทหารก้ามโค้ง, นกน็อทใหญ่, นกกะเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล เป็นต้น ส่วนบริเวณเกาะลิดี เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง ราวี พบสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ คือ หญ้าใบมะกรูด, ปลิงดำแข็ง, ดำวแดงหนำมใหญ่, แนวปะกำรังน้ำตื้น,เหยี่ยวแดง, ลิงแสม” นางกุลประภา กล่าว
ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า สำหรับจุดเด่นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ‘นวนุรักษ์’ คือ ผู้ใช้งานสามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน หรือชุมชน ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูล และเป็นเจ้าของข้อมูล เข้ามาเพิ่มหรือ update ข้อมูลได้ด้วยตนเอง สามารถใส่ชื่อวัตถุ รหัส ชื่อไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ ลักษณะการเก็บรักษา สถานที่ ข้อมูลกายภาพ ข้อมูลทางชีวภาพ บทบรรยายสำหรับนำชม ขนาด ลักษณะ ประวัติ สถานที่จัดเก็บได้ โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการเผยแพร่ข้อมูลหรือไม่ และ upload media ต่างๆ เช่น ภาพ เสียง วิดีโอ ภาพ 360 องศาได้ นอกจากนี้ระบบสามารถเลือกแสดงผลรายการวัตถุจัดแสดงในรูปแบบของ QR Code สามารถนำไปประยุกต์สำหรับใช้ทำสื่อเรียนรู้ต่างๆ รวมถึงจัดทำแบบสอบถามผ่านทาง QR Code เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถแสดงความคิดเห็น และวิเคราะห์ผลเชิงสถิติ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพื้นที่ เก็บข้อมูลได้ระยะยาว ทำให้หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลได้ ช่วยยกระดับและพัฒนาทักษะของชุมชนให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลดิจิทัลและการสื่อความหมายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพ แหล่งท่องเที่ยว ศาสนสถาน และวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่อุทยานธรณีโลกสตูล สามารถศึกษาได้ที่เว็บไซต์ https://www.navanurak.in.th/satungeopark
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018)
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2565 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.ลดาวัลย์ กระแสร์ชล รองผู้อำนวยการ สวทช. รับมอบใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) และใบรับรองระบบมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย (ISO 45001:2018) จากนายจงรักษ์ โรจน์พลาเสถียร ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.)
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้รับการรับรองระบบบริหาร ISO 9001 ครั้งแรกเมื่อปี 2538 และได้รับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในปี 2555 โดย สวทช. ในฐานะองค์กรวิจัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบบริหารคุณภาพ และระบบการจัดการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเสมอมา เพราะมาตรฐานเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นหน่วยงานที่มีกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานซึ่งจะส่งผลไปยังผลลัพธ์องค์กร พร้อมยืนยัน สวทช. จะยังเดินหน้าพัฒนาทั้ง 2 ระบบนี้ให้มีการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐานต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์

สิงห์ เบเวอเรช-สวทช. เปิดโรงงานโชว์ความสำเร็จโครงการ TIME ยกระดับขีดความสามารถ-พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม
ณ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด จ.นครปฐม : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) ร่วมกับ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด เปิดโรงงานเยี่ยมชมความสำเร็จภายใต้ “โครงการยกระดับภาคอุตสาหกรรมด้วยการบริหารจัดการนวัตกรรมองค์กรแบบทั่วถึง (Total Innovation Management Enterprises Program: TIME)” ที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถภาคเอกชน-พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม ให้มีความรู้ความเข้าใจและสามารถใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างนวัตกรรม และเติบโตบนฐานของการสร้างนวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตอบโจทย์ภาคการศึกษาที่ได้ทำงานใกล้ชิดและเข้าใจบริบทของการผลิตระดับอุตสาหกรรม นำไปสู่การผลิตบัณฑิตที่ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนจากการทำงาน 2 ปีในโรงงาน โดยมี นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว.,คุณปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด, คุณสุชิน อิงคะประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ เบเวอเรช จำกัด, ผศ.ดร.ศิรินันท์ กุลชาติ รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ผู้แทน บพค., ศ.ดร.พญ. พัชรีย์ เลิศฤทธิ์ ประธานที่ประชุมคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยของรัฐ (ทคบร.) และคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล,นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) เข้าร่วมงาน
ดร.ฐิตาภา สมิตินนท์ รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) กล่าวว่า โครงการ TIME เป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม โดยยกระดับความสามารถทางนวัตกรรมสำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนากระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยบริษัทและทีมที่ปรึกษาของโครงการ TIME จะวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการโดยมีทีมอาจารย์จากสถาบันการศึกษาให้คำปรึกษาในการวิจัยซึ่งกำกับดูแลโดยประธานหลักสูตรของสถาบันการศึกษานั้น ๆ และนักศึกษาปริญญาโทจะเข้าไปวิจัยและทำงานในสถานประกอบการตลอดระยะเวลา 2 ปี ซึ่งทำให้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับบุคลากรของบริษัท ขณะเดียวกันทีมที่ปรึกษาของโครงการ TIME จะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการเพื่อสร้างนวัตกรรม กระตุ้นให้เกิดการมองความต้องการของตลาด จุดที่จะต้องทำวิจัยพัฒนา และความร่วมมือกันของบุคลากรหลายๆ ฝ่ายในบริษัท ซึ่งมีข้อดีคือ ในระยะเวลา 2 ปี สิ่งที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการจากงานวิจัยจะสามารถนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ได้ทันที ต่างจากเดิมที่การทำวิจัยจะเริ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์หรือการพัฒนาด้านการตลาดในภายหลัง
ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ ที่ปรึกษา ฝ่ายยุทธศาสตร์และติดตามประเมินผล ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า กิจกรรมในโครงการ TIME เริ่มต้นจากการส่งผู้เชี่ยวชาญไปวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมของกระบวนการผลิต, ผลิตภัณฑ์ และการบริการ 2. มุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนที่มีทักษะสูง โดยโครงการฯ จะนำเสนอกิจกรรมภายใต้แผนการดำเนินงาน การเลือกหัวข้อองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับโครงการ นำไปสู่การออกแบบแผนงานของโครงการร่วมกัน 3 ฝ่าย คือผู้ประกอบการ, อาจารย์ที่ปรึกษาจากมหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาโครงการ TIME เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันตั้งแต่กระบวนการการคัดสรรนักศึกษา, การจัดอบรม และการกำกับกระบวนการทำโครงงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาจนสิ้นสุดหลักสูตร
คุณปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า จากนโยบายที่มุ่งสู่การเป็น Smart Factory มีการนำเอาเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในกระบวนการผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จึงต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถสอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยสิ่งที่บริษัทต้องการคือความรู้เชิงลึก ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับสถานประกอบการ ซึ่งแนวทางการดำเนินการของโครงการ TIME สอดคล้องกับความต้องการของบริษัท ในด้านการนำบุคลากรที่มีความรู้เชิงลึกทางทฤษฎีมาเชื่อมโยงกับพนักงานที่มีทักษะในการปฏิบัติงานจริง เพื่อสร้างนวัตกรและนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และเป็นไปในแนวทางเดียวกับแผนการพัฒนาพนักงานของบริษัทฯ อีกทั้งบริษัทฯต้องการให้โอกาสทางการศึกษา การประกอบอาชีพ รวมทั้งให้การสนับสนุนและพัฒนาทักษะแรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศและอุตสาหกรรม เพื่อให้มีบุคลากรที่มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาด สิ่งที่บริษัทได้รับจากการดำเนินโครงการคือการเรียนรู้กระบวนการในการพัฒนา เพื่อให้พนักงานสามารถต่อยอดองค์ความรู้ในการสร้างนวัตกรรมจนได้นวัตกรรมในกระบวนการผลิตใหม่ ๆ ให้กับองค์กร บุคลากรมีการพัฒนาและสามารถปฏิบัติงานร่วมกับเทคโนโลยีขั้นสูงได้ เกิดการวิจัยพัฒนากากอุตสาหกรรม โดยการเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มูลค่าสูงขึ้น และสามารถลดต้นทุนและเพิ่ม Productivity ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย
นางสาวซ่อนกลิ่น พลอยมี รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่าBOI ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนากำลังคน ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการลงทุน และพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งนวัตกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยในการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศที่ต้องการกำลังคนที่มีทักษะสูงและเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ BOI จึงส่งเสริมภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ TIME ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติมแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมและมีการฝึกอบรมพัฒนาทักษะบุคลากรในเทคโนโลยีสำคัญ หรือมีการวิจัยพัฒนาทั้งกระบวนการผลิต หรือผลิตภัณฑ์ในโครงการดังนี้ 1. สิทธิและประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives) ด้านการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งการดำเนินการเอง หรือการว่าจ้างผู้อื่นในประเทศ หรือการร่วมวิจัยและพัฒนากับองค์กรในประเทศหรือต่างประเทศ โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้เพิ่มเติมสูงสุด 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 300 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น และการจัดฝึกอบรมหรือฝึกการทำงานเพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้กับนักศึกษาที่อยู่ระหว่างการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้คิดเป็นร้อยละ 200 ของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น 2.สิทธิและประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กรณีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเป้าหมายมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หรือความร่วมมือเพื่อพัฒนาบุคลากรไทยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอื่นๆ ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน จะได้สิทธิและประโยชน์ยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติม โดยจะต้องยื่นแผนความร่วมมือในการรับนักเรียนหรือนักศึกษาเข้าฝึกอาชีพ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน หรือไม่น้อยกว่า 40 คน แล้วแต่จำนวนใดต่ำกว่า
ทั้งนี้ โครงการ TIME จึงถือเป็นโครงการหนึ่งที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อน
ประเทศไทย 4.0 หรือการสร้างให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจบนฐานของนวัตกรรม ทำให้ประเทศมีความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และยกระดับอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจโครงการ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ดร.บรรพต หอบรรลือกิจ
โทร. 081- 449-5365 อีเมล banpot.hor@ncr.nstda.or.th
//////////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์

ประกาศเปิดรับสมัครการฝึกอบรม หลักสูตรการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) โดย สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (Career for the Future Academy) จัดอบรมหลักสูตรหลักสูตรการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development) ระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2565 ถ่ายทอดสด ในระบบ Online ผ่านโปรแกรม Zoom
เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย
• แนวคิดการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบราง (Transit-Oriented Development)
• กรณีศึกษาการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบรางในต่างประเทศ
• กรณีศึกษาและทิศทางการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งระบบรางในประเทศไทย
ค่าลงทะเบียนต่อหลักสูตร : ท่านละ 4,900 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
*เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรของรัฐ ที่ไม่ใช่ธุรกิจ และไม่แสวงหากำไร จะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.career4future.com/tod
สอบถามรายละเอียด: 0 2644 8150 ต่อ 81894 และ 085 324 2684 (นพมล) E-mail: npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

เอ็มเทค สวทช. เปิดตัว ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ นำร่องใช้จริงบรรจุเมนูผักสลัดพร้อมทาน ผู้บริโภคได้ 2 ต่อ ‘กินผักสดดีต่อสุขภาพ-หนุนบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อโลก’
เอ็มเทค สวทช. โชว์ความเชี่ยวชาญการวิจัยด้านวัสดุศาสตร์ เปิดตัว ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ มีจุดเด่นที่ ฟิล์มบางใส ต้านทานการเกิดฝ้า ช่วยยืดอายุสินค้าผักสลัดให้คงสภาพสดใหม่ในชั้นวางจำหน่ายจากเดิม 3 วัน เป็น 5 วัน ด้านมูลนิธิโครงการหลวง นำร่องใช้ฟิล์มกับบรรจุภัณฑ์ ‘เมนูผักสลัดพร้อมทาน’ ในร้านค้าโครงการหลวง ถูกใจผู้บริโภคสายเฮลธ์ตี้ ได้ถึง 2 ต่อ ได้กินผักสดปลอดภัยดีต่อสุขภาพ และสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
(วันที่ 6 สิงหาคม 2565) ณ บริเวณโซน เซ็นทรัล คอร์ต (Central Court) ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรม ‘ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ’ เริ่มต้นด้วยกันเพื่อเราเพื่อโลก โดยมี พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง ศ.ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และนายเดชบดินทร์ เหรียญทรัพย์ดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าว ซึ่งภายในงานมีการเปิดตัว ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่นำไปบรรจุผักสลัดพร้อมทานของมูลนิธิโครงการหลวง วางจำหน่ายให้ประชาชนที่เข้ามาซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพระดับพรีเมียม สินค้าผลผลิตทางการเกษตร ที่ปลูกโดยชาวเขาบนพื้นที่สูงภายในงานโครงการหลวง 53 (Royal Project 53) ซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงและพันธมิตรจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-14 สิงหาคม 2565 นี้
พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิโครงการหลวง ได้กล่าวเปิดการแถลงข่าว โดยมีใจความว่า รูปแบบการพัฒนาทางเลือกพืชทดแทนฝิ่นของมูลนิธิโครงการหลวง ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่า เป็นรูปแบบการปฏิบัติที่ดีที่ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมในการสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชนบนพื้นที่สูง เกิดผลิตผลมากมายภายใต้การผลิตตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคชาวไทย และแบบอย่างโครงการหลวงโมเดลยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ปัจจุบันเกษตรกรบนพื้นที่สูงเลิกการปลูกฝิ่นหันมาประกอบอาชีพการเกษตร ด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ระบบมาตรฐานอาหารปลอดภัย จึงทำให้ผลผลิตโครงการหลวงเป็นผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค
ความร่วมมือที่มูลนิธิโครงการหลวง ได้รับจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) โดยงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในการประยุกต์ใช้นวัตกรรม "ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ" บนถาดสลัดของโครงการหลวง จึงเป็นการต่อยอดการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากประโยชน์ในการคงไว้ซึ่งคุณภาพของผลผลิต ยังเกิดประโยชน์ในมิติของสิ่งแวดล้อม ถือเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการต่อยอดนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาผลิตผลและผลิตภัณฑ์คุณภาพ สร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค และยังสนับสนุนนโยบายของประเทศอีกด้วย
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาของประเทศ โดยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประเทศในหลายมิติ โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Economy Green Model) เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังนำงานวิจัยและนวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน จึงเกิดเป็นความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ไปสู่ความสำเร็จในการวิจัยพัฒนา กระทั่งเป็นการเปิดตัวนวัตกรรมฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ในครั้งนี้
นวัตกรรม "ฟิล์มปิดหน้าถาดจากเม็ดพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ" เกิดจากความร่วมมือในการวิจัยพัฒนาระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) มูลนิธิโครงการหลวง บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยฟิล์มดังกล่าวสามารถขึ้นรูปในอุตสาหกรรมการผลิตจริง มีจุดเด่น ที่มีความบาง ใส มีสมบัติป้องกันการเกิดฝ้า ทำให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าชัดเจน สามารถปิดผนึกได้สนิทกับถาดที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชีวภาพ ทำให้มีความปลอดภัยจากการปนเปื้อน และที่สำคัญคือช่วยยืดอายุสินค้าผักสลัดให้คงสภาพสดใหม่ในชั้นวางจำหน่ายจากเดิม 3 วัน เป็น 5 วัน สามารถตอบโจทย์ของมูลนิธิโครงการหลวงในเรื่อง การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถย่อยสลายได้ทั้งระบบ ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวงได้ใช้งานต้นแบบดังกล่าวในการบรรจุผักสลัดพร้อมทานวางจำหน่ายจริงภายในงาน “โครงการหลวง 53” (Royal Project 53) และพร้อมสำหรับการวางจำหน่ายในร้านค้าของมูลนิธิโครงการหลวงทั้ง 18 สาขาทั่วประเทศ
ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นหนึ่งความสำเร็จของโครงการที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ เอกชน และมูลนิธิฯ ที่ได้ร่วมกันผลักดันการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) มาช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยนวัตกรรม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
ศาสตราจารย์ ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมีและวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า ผู้ให้ทุนวิจัยแก่โครงการ “ฟิล์มใสย่อยสลายได้สำหรับปิดหน้าถาดบรรจุภัณฑ์” ร่วมกับ บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) โดยการพัฒนาศักยภาพของพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้และการจัดการหรือใช้ประโยชน์จากขยะพลาสติกเป็นอีกหนึ่งโจทย์วิจัยสำคัญของ บพข. เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้งโลกให้ความสำคัญอย่างมาก รวมถึงประเทศไทยที่ต้องการผลักดันประเทศให้เข้าสู่สังคมสีเขียว (Green Society) ซึ่งผู้ใช้ประโยชน์อย่างมูลนิธิโครงการหลวงได้ให้ความสำคัญในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้โครงการวิจัยฯ ดังกล่าวจึงเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของการพัฒนาพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ และความสำเร็จของการผลักดันการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ช่วยกันใช้ความเชี่ยวชาญผลักดันการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง
นายเดชบดินทร์ เหรียญทรัพย์ดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทานตะวันอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ซึ่งสอดรับกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามเป้าหมาย SDG (Sustainable Development Goals) ‘ทานตะวันอุตสาหกรรม’ จึงยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกันต้องเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคิดค้นนวัตกรรมของบริษัทฯ ดำเนินภายใต้กลยุทธ์ THIP Circular ECO Way ตามหลัก “6Rs” คือ Re-New, Re-Duce, Re-Use, Re-Pair, Re-Cycle และ Re-Cover มาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งระบบ บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ และพันธมิตรทางธุรกิจมาโดยตลอด”
“การร่วมมือวิจัยนวัตกรรมฟิล์มปิดหน้าถาดย่อยสลายได้ในครั้งนี้ เป็นอีกขั้นของการคิดค้นวิจัยที่ตอบโจทย์แนวคิด Zero Waste การลดขยะให้เหลือศูนย์ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการใช้เทคโนโลยี นำมาสู่นวัตกรรมที่ช่วยยืดอายุของพืชผักให้นานขึ้น ลดของเสีย เชื่อมั่นว่าความสำเร็จของโครงการวิจัยนี้จะเพิ่มความสามารถในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ให้ดีขึ้น พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้จริง และส่งมอบนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้บริโภค และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกันเพิ่มมากขึ้น อันไปสู่เป้าหมายของการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตร่วมกัน”
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – PANUS ผนึกกำลัง ด้านวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมขนส่ง-ยานยนต์-แบตเตอรี่
วันที่ 4 สิงหาคม 2565 ณ ห้องโถงชั้นที่ 1 อาคาร สวทช. ถนนพระรามที่ 6 : ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. และดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช.
ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรมระหว่าง สวทช.และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด นำโดย นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด คุณเกริก กลมเกลียว ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม และดร.วิมล แสนอุ้ม ผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจนวัตกรรม บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด เข้าร่วมงานและเป็นสักขีพยานในการลงนาม
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีความพร้อมไปใช้งานในเชิงพาณิชย์และสาธารณะประโยชน์ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคสังคม จึงได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเฉพาะทาง (Focus Center) ซึ่งปัจจุบันมี 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ และศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่
นอกจากนี้ สวทช. ยังผลักดันการนำผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ ผ่านระบบบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งทำให้ผลงานวิจัยมีช่องทางนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตลาดใหญ่สุดในปัจจุบัน และทำงานร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ทำมาตรฐานอุตสาหกรรมนวัตกรรม กำหนดมาตรฐานสำหรับนวัตกรรม ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นทำให้นวัตกรรมได้รับการรับรองต่อไป
“ตัวอย่างในการทำงานเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนเพิ่มเติม 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การจัดตั้ง NSTDA Startup สวทช. ได้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อให้บุคลากร สวทช. สามารถไปถือหุ้นในบริษัท และให้บริษัทจ้าง สวทช. เข้าไปบริหารจัดการเรื่องเทคโนโลยี ด้วยกลไกนี้ทำให้บุคลากร สวทช. สามารถไปทำงานในบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นพนักงานของ สวทช. เป็นรูปแบบที่ตอบสนองแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการท้าทายว่า งานวิจัยสามารถทำเชิงพาณิชย์ได้ สร้างประโยชน์ได้
และ 2. การตั้ง NSTDA Holding สวทช. ได้ปรับรูปแบบการลงทุนให้เป็นแพลตฟอร์ม ใน NSTDA Holding สวทช. ได้ถือหุ้น 100% มีงบประมาณในการลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท มีกลไกการลงทุนแยกออกจาก สวทช. เป็นบริษัทจำกัดที่ใช้ในการลงทุน เอางานวิจัยของคนรุ่นใหม่ไปตั้งเป็นบริษัท สร้างแพลตฟอร์มในการลงทุนเพื่อที่จะเอางานวิจัยวิ่งผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ รวมทั้งมีเงินทุนจำนวนหนึ่งไปถือหุ้นในสตาร์ตอัปทั้งที่จัดตั้งเองและสตาร์ตอัปทั่วไป เป็นกลไกที่ขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี NSTDA Holding สวทช. จะไปค้นหาโครงการที่น่าลงทุนและลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสม จะไม่ใช้เงินจำนวนมาก แต่จะใช้ seed money ดึงให้หน่วยงานอื่นมาลงทุนร่วมต่อไป”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามสวทช. และ บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ได้มีความร่วมมือในหลายด้าน เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ Logistics และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน เป็นต้น การลงนามความร่วมมือระหว่าง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด และ สวทช. ในวันนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่จะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมในประเทศ ผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างนวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีที่มีจุดแข็งและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในธุรกิจอุตสาหกรรมในอนาคต
“ตลอด 30 ปี ผ่านมา สวทช. ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจากองค์กรวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สู่ภารกิจในการริเริ่มและผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญของประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ใช้จุดเด่นและความเข้มแข็งของทรัพยากรภายในประเทศ ผสานกับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภารกิจต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนสอดคล้องตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ”
นายพนัส วัฒนชัย ประธานกรรมการบริหาร พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีความร่วมมือกับทาง สวทช. ในหลายภาคส่วน ทั้งการร่วมใช้ทรัพยากรเกี่ยวกับ Finite Element กับ DECC มากกว่า 15 ปี ความร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี จัดการประกวดผลงานความคิดสร้างสรรค์เชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้าน Logistics ในโครงการ Panus Thailand LogTech Award ที่มีการร่วมจัดมาแล้วกว่า 5 ปี นอกจากนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย การพัฒนาแผ่นเกราะกันกระสุนสำหรับการใช้งานในหัวรถจักรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารในพื้นที่ภาคใต้ และอีกหลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่และกำลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“อย่างไรก็ดีกว่า 50 ปีนั้น บริษัทฯ เกิดการTransformation และพัฒนาธุรกิจในหลากหลายด้านเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยเริ่มจากธุรกิจให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ หรือที่รู้จักกันดีในการผลิตรถขนส่งเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็น รถหางพ่วง รถขนตู้คอนเทนเนอร์ รถดั้ม รถทางการเกษตรต่างๆ รวมถึงรถบรรทุกรถที่เรามีนวัตกรรมร่วมกับ Toyota ซึ่งปัจจุบันในตลาดรถขนส่งเชิงพาณิชย์นี้ เราครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 มากกว่า 25% ของตลาดมาอย่างยาวนาน ด้วยเราเล็งเห็นโอกาสในทั่วทุกมมุมโลก จึงไม่เพียงแต่จำหน่ายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเราส่งออกมากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัสฯ กล่าวต่อว่า อีกธุรกิจหลักของบริษัทที่สำคัญเลยก็คือ ธุรกิจการให้บริการภาคพื้นสนามบินที่เราดำเนินกิจการมากว่า 15 ปี ผลิตภัณฑ์หลักๆ คือรถดันเครื่องบินที่มีทั้งดีเซล และไฟฟ้า 100% นอกจากนี้ก็เป็นอุปกรณ์ในภาคพื้นสนามบินต่าง ๆ รวมไปถึงรถบัสชานต่ำ หากพูดถึงรถดันเครื่องบินไฟฟ้า ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์มาตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทด้วยฐานคิดและนวัตกรรมด้านยานยนต์ไฟฟ้าตรงนี้ เราจึงได้พัฒนาต่อยอดและสร้างธุรกิจอีกหนึ่งส่วนขึ้นมาเรียกว่า หน่วยธุรกิจนวัตกรรม ที่ดูแลธุรกิจใหม่ๆของบริษัททั้งในเรื่องอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ซึ่งปัจจุบันเราได้รับการรับรองมาตรฐานรถหุ้มเกราะกันกระสุนจากกระทรวงกลาโหมถึง 2 รุ่นด้วยกัน รวมไปถึงระบบบริหารจัดการฝูงรถ และไฮไลท์เลท์คือ ยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเชิงพาณิชย์ ในชื่อของ Panus Drive ที่เพิ่งเปิดตัวไปเป็นการสร้างชุดดัดแปลงรถสันดาปเป็นพลังงานไฟฟ้า มุ่งเน้นรถขนส่งเชิงพาณิชย์ ซึ่งตรงนี้เองเรามองว่าเป็นอนาคต ทั้งอนาคตของบริษัทและอนาคตของประเทศ และยังช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตไปพร้อมกันได้ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมใหม่จึงจำเป็นอย่างที่จะต้องพัฒนาคนและกระจายองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ รวมไปถึงอู่รายย่อย เครือข่ายพันธมิตร สถาบัน และองค์กรต่างๆ ทุกภาคส่วนที่สามารถรับ know how หรือชุด kit ไปประกอบและดัดแปลงเองได้
ดร.เอกรัตน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ สวทช. กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในธุรกิจอุตสาหกรรม ได้แก่ 1.ร่วมบริหารโครงการวิจัย พร้อมทั้งพัฒนาเครือข่ายการทำงานของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอุตสาหกรรม 2. สร้างนวัตกรรมรูปแบบใหม่ เช่น การพัฒนา Platform ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ 3. บูรณาการเชื่อมโยงการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ทั้งบุคลากรในสายวิจัยและวิชาการ โครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์เครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา 4. การสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ ในผลงานวิจัยและพัฒนาการสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีนวัตกรรม และ 5.พัฒนางานวิจัยเชิงประยุกต์ พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น โครงการรับจ้างวิจัย โครงการร่วมวิจัย การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการอนุญาตให้ใช้สิทธิ เพื่อสร้างธุรกิจที่มีความแตกต่างด้วยนวัตกรรม ให้คำปรึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรม แก้ไขปัญหาทางวิศวกรรม การบริการวิเคราะห์และทดสอบ รวมถึงจะร่วมกันพัฒนากลไกเชิงธุรกิจ ผ่านมาตรการส่งเสริมการเงิน ภาษี และบัญชีนวัตกรรมไทย ของสวทช.
“สวทช. ได้มีความร่วมมือกับทางบริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ในหลายด้าน โดยด้านการวิจัยและพัฒนานั้น ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง หรือ focus center ของ สวทช. ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ หรือ Rail and Modern Transports Research Center : RMT ได้ร่วมดำเนินการวิจัยและพัฒนากับทาง บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ในการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เหมาะกับการใช้งานภายใต้สภาพเงื่อนไขประเทศไทย เพื่อสร้างต้นแบบยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในรูปแบบรถฟีดเดอร์ ที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 15 คน ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า วิ่งได้ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชม. เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายขนส่งสาธารณะ หรือ First-and-Last Mile Connectivity โดยได้รับการทุนสนับสนุนการวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 2 ปี นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการพัฒนาเพิ่มความปลอดภัยของหัวรถจักรเพื่อป้องกันโจมตีจากกระสุนให้กับผู้ปฏิบัติงานและผู้โดยสารรถไฟในพื้นที่ภาคใต้ โดยจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้ระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี”
ด้าน ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. หรือ National Security and Dual-Use Technology Center: NSD กล่าวเสริมว่า ในส่วนของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศฯ ได้วางแผนงานวิจัยที่จะร่วมมือกับ บ. พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1.การพัฒนาชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลด้วยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต เพื่อกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซลของรถขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกรองไอเสียดีเซลที่ประกอบด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็กมากได้ สามารถฉีดล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย สำหรับติดตั้งในรถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ เพื่อลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ และ 2.การร่วมลงทุนวิจัยระหว่าง พนัส และ สวทช. ในโรงงานต้นแบบผลิตแบตเตอรี่ทางเลือก ในพื้นที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ในอำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
ข่าวประชาสัมพันธ์