หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
สวทช. ประกาศผลรางวัล YSC2023 การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25
4 มี.ค. 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานภูมิภาค ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 รอบชิงชนะเลิศ (The 25th Young Scientist Competition: YSC 2023) ระหว่างวันที่ 3 - 4 มีนาคม 2566 ชิงถ้วยพระราชทานฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโอกาสในการเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศกรรมศาสตร์ ระดับนานชาติ พร้อมเงินรางวัลและตั๋วเครื่องบินเดินทางและที่พักมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร มหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานภูมิภาค ร่วมมอบโล่รางวัลสำหรับทีมที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ทำงานกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน จัดประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและในปีนี้ มีจำนวนข้อเสนอโครงงานทั้งสิ้น 1,621 โครงงาน (นักเรียน 3,908 คน จาก 208 โรงเรียน) และผ่านการเฟ้นหาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในส่วนภูมิภาค จนได้ผลงานรางวัลชนะเลิศระดับภูมิภาคและผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ จำนวน 64 โครงงาน (นักเรียน 155 คน จาก 36 โรงเรียน) โดยโครงการฯดังกล่าว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนพัฒนาผลงานผ่านมหาวิทยาลัยเครือข่าย พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเยาวชนให้เข้าร่วมการประกวด Regeneron ISEF 2023  ซึ่งมีกำหนดจัดในเดือนพฤษภาคม 2566 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในระดับนานาชาติ โดยสอดคล้องกับภารกิจของ สวทช. ในการสนับสนุนเยาวชนเพื่อเข้าร่วมประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติ เริ่มต้นจากการบ่มเพาะพัฒนาเยาวชนให้มีโอกาสเรียนรู้และสนุกไปกับการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน รวมถึงพัฒนาทักษะและสมรรถนะของเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคตอย่างยั่งยืน เป็นการเสริมแกร่งทั้งด้านการศึกษาและคุณธรรมแก่เยาวชน อันจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งการได้รับโจทย์สำคัญคือ ผลงานของเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการในแต่ละภูมิภาค ควรจะแสดงถึงการแก้ไขโจทย์ปัญหาของพื้นที่ที่เป็นอัตลักษณ์ของภูมิภาค เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และแก้ไขปัญหาเกษตรกรรม สังคม สิ่งแวดล้อม อันจะนำมาซึ่งผลงานที่สร้างความความยั่งยืนให้กับประเทศ อยากให้แนวคิดดีๆ ของนักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาต่อยอด และส่งต่อไปถึงมือผู้ใช้จริง ไม่ควรจบอยู่แค่รางวัลหรือเกียรติบัตรที่ได้จากการแข่งขันในเวทีต่างๆ ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ร่วมงานกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน ดำเนินโครงการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์  ซึ่งจัดเป็นปีที่ 25 เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาให้มีโอกาสแสดงความสามารถและทักษะที่เป็นนวัตกรรม และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับประเทศ พร้อมทั้งคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ในระดับนานาชาติ Regeneron International Science and Engineering Fair หรือ Regeneron ISEF และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นานาชาติอื่น ๆ นอกจากกิจกรรมการประกวดแข่งขันแล้ว ในรอบการแข่งขันในระดับภูมิภาค โครงการฯ ได้มีการจัดอบรมเสริมทักษะให้กับนักเรียน และอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน พร้อมทั้งนำเยาวชนโครงการ YSC ร่วมสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและยกระดับการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศมีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านการวิจัย และนวัตกรรมในมิติต่าง ๆ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร ด้านการวิจัย และนวัตกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ซึ่งจะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต ซึ่ง วช. เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมสร้างโอกาสให้กับเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับโครงการประกวดโครงงาน ของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ วช .ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนในการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน การวิจัย และนวัตกรรม ในลักษณะของการให้ทุน แก่ สวทช. และดำเนินงานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมเด็ก และเยาวชน ผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับมหาวิทยาลัยในเครือข่ายตามความร่วมมือทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ มีนโยบายในการดำเนินงานกิจกรรมเพื่อสังคม ด้านการศึกษาและพัฒนาเยาวชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเยาวชนในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ทักษะการคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking) ทักษะการทำงานเป็นทีม (Collaboration) ทักษะการสื่อสาร (Communication) และทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การพัฒนาทักษะด้าน เทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงมีจิตอาสาสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดีควบคู่กันไป โดยได้รับความร่วมมือจาก สวทช. ซึ่งเป็นองค์กรภาคีที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีในประเทศ ที่ให้การสนับสนุนนักวิจัยพี่เลี้ยงและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา มาให้คำแนะนำเยาวชนในการทำโครงงานอย่างใกล้ชิด สำหรับการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ที่ทาง สวทช. จัดในครั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้การสนับสนุนเยาวชนเพื่อเดินทางเข้าร่วม ประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติ เริ่มต้นจากการบ่มเพาะพัฒนาเยาวชนให้มีโอกาสเรียนรู้และสนุกไปกับการทํากิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน รวมถึงพัฒนาทักษะ และสมรรถนะของเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคตอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อแสดงศักยภาพและความสามารถของเยาวชนไทยผ่านผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่มาตรฐานระดับโลกใน สำหรับด้านผู้เข้าประกวดการแข่งขันโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition YSC) ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แบ่งออกเป็น 9 สาขา 10 รางวัล โดยในปีนี้โครงงานรางวัลที่ 1 จำนวน 3 รางวัล จากสาขาเคมี และสาขาสหสาขา ซึ่งนอกจากจะได้รับรางวัลชนะเลิศ (Top Award) ซึ่งคัดเลือกผลงานที่โดดเด่นที่สุดจากโครงงานที่ได้รับรางวัลใน 9 สาขา จะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศ (Top Award) แล้วยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นานาชาติ Regeneron International Science and Engineering Fair 2023 (Regeneron ISEF 2023) ระหว่าง 13  - 19 พฤษภาคม 2566 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา  ได้แก่ รางวัลที่ 1 สาขาเคมี ได้แก่ โครงงานแนวคิดใหม่แห่งวงการชีวเคมีทางการแพทย์: การตรวจสอบ DNA ของมะเร็งบนผิวเม็ดเลือดแดงโดยใช้เลือดไก่เป็นแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาสู่นวัตกรรมใหม่ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่รวดเร็ว รางวัลที่ 1  สาขาสหสาขา ได้แก่ โครงงานการปรับปรุงแบบจำลองการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อทำนายการเสริมฤทธิ์ของยาคู่ผสมสำหรับรักษาโรคมะเร็งโดยอาศัยข้อมูลโครงสร้างโมเลกุลยาและพหุโอมิกส์ รางวัลที่ 1 ร่วมในสาขาสหสาขา ได้แก่ โครงงานแนวทางผสมผสานเพื่อการค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ และการใช้แบบจำลองปัญญาประดิษฐ์เชิงลึกในการทำนายต้นกำเนิดของมะเร็งจากข้อมูลการเติมหมู่เมทิลของสายดีเอ็นเอ และยังมีโครงงานที่ 1 สาขาอีก 3 รางวัล ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นานาชาติ Regeneron ISEF อีกด้วย ได้แก่ รางวัลที่ 1 สาขาคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โครงงานการพัฒนาวิธีการในการตรวจจับท่าภาษามือเพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบอุปกรณ์ รางวัลที่ 1 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ โครงงานนวัตกรรมอุปกรณ์การตรวจปริมาณแคลเซียมจากเศษเล็บโดยใช้หลักการวิเคราะห์เชิงสีและการดูดกลืนเชิงแสงเพื่อการประเมินภาวะสมดุลแคลเซียมและความเสี่ยงโรคกระดูก รางวัลที่ 1 สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงงานวัสดุดูดซับน้ำมันและสารอินทรีย์จากยางพาราผสมเซลลูโลสและซิลิกา พร้อมทั้งโครงงานรางวัลที่ 1 สาขาอีก 4 รางวัล ได้แก่ รางวัลที่ 1 สาขาคณิตศาสตร์ ได้แก่ โครงงานเทคนิคการตอบเชิงสุ่มสำหรับแบบสอบถามที่มีระดับและวิธีเลื่อนเชิงเส้นที่ดีที่สุด รางวัลที่ 1 สาขาชีววิทยา ได้แก่ โครงงานคุณสมบัติของสารสกัดจากใบบัวบกในการป้องกันการเสื่อมสภาพทางระบบประสาทที่เกิดจากสารโทลูอีนในสัตว์ทดลอง C. elegans รางวัลที่ 1 สาขาวัสดุศาสตร์  ได้แก่ โครงงานคาร์บอนรูพรุนตัวเก็บประจุยิ่งยวดจากเปลือกต้นกระถินณรงค์ รางวัลที่ 1 สาขาฟิสิกส์ พลังงานและดาราศาสตร์  ได้แก่ โครงงานการศึกษาพฤติกรรมของอนุภาคนาโนแม่เหล็กภายใต้กระแสวนในระบบหมุนเวียนเลือดโดยใช้โปรแกรมจำลองพลวัตเชิงโมเลกุล LAMMPS นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการจัดงาน YSC ยังได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ครูที่ปรึกษาผลงานโดดเด่น ซึ่งนอกจากจะมีผลงานเยาวชนภายใต้การดูแลผ่านเข้ารอบเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีผลงานในการสนับสนุนเยาวชน และมีการส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่เยาวชน และโรงเรียนในพื้นที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นายขุนทอง คล้ายทอง โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี  พร้อมทั้งได้มอบรางวัล โรงเรียนสถาบันการศึกษาหน้าใหม่ สำหรับที่ปรึกษาโครงงานซึ่งเป็นที่ปรึกษาในโรงเรียน ที่นำพาผลงานของโรงเรียนผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์เป็นครั้งแรก ได้แก่ นายภูวนัย ดอกไธสง ครูโรงเรียนจอมพระประชาสรรค์  นายเจตณรงค์ ทาคำวงศ์ ครูโรงเรียนวารินชำราบ นายอาจอง  ขาวเธียร ครูโรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา  ครูศิริ เอียดตรง  โรงเรียนตันหยงมัส  และนายศุภณัฐ พัฒนสารินทร์ ครูโรงเรียน พิริยาลัยจังหวัดแพร่  อีกด้วย  
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. รับโล่รางวัล “คุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน (ปี 2564-2565)
(3 มีนาคม 2566) ณ ห้องนิทรรศการ 5 ชั้น 1 อาคารหอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นตัวแทนหน่วยงาน เข้ารับโล่รางวัลองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธีเป็นผู้มอบโล่รางวัล ในงานพิธีมอบรางวัลชุมชน องค์กร อำเภอ จังหวัดคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พร้อมกันนี้ในงาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อเป็นแนวทางให้กับชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมคุณธรรมต่อไป รางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” มาจากการที่องค์กรได้รับการประเมินในระดับสูงสุดของเกณฑ์ สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการทำงานของหน่วยงานในด้านการส่งเสริมคุณธรรม ทั้งนี้ ในปี 2565 สวทช. ได้รับคัดเลือกจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เป็นตัวแทนองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่นของกระทรวงฯ โดยในปี 2564 นั้น สวทช. ได้รับคัดเลือกจากจังหวัดปทุมธานีให้เป็นตัวแทนจังหวัดเข้ารับรางวัลดังกล่าว ถือเป็นการได้รับรางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารและบุคลากรในองค์กร ในการตระหนักถึงความโปร่งใส และนำคุณธรรมมาเป็นพื้นฐานในการทำงาน
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
พร้อมจัดยิ่งใหญ่! งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (NAC2023)
สวทช. พร้อมจัดอย่างยิ่งใหญ่ งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (NSTDA Annual Conference) หรือ NAC2023 ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” พร้อมจัดแบบ onsite เต็มรูปแบบอย่างระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคมนี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี   โดยงาน NAC2023 จะมีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและเทคโนโลยีจาก สวทช. และจากหน่วยงานพันธมิตรมากกว่า 70 ผลงาน มีการจัดสัมมนาอีกกว่า 40 หัวข้อที่น่าสนใจ รวมทั้งมีกิจกรรม Open House และกิจกรรมเยาวชนอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมี NAC Market 2023 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชน รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ในราคาพิเศษ และมีกิจกรรม ‘R&D Pitching’ ที่ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนจะได้พบกับการนำเสนอผลงานวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจภาคอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ   สำหรับผู้ที่สนใจงาน NAC 2023 สามารถติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
การประกวดภาพทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2566 IMAGE OF SCIENCE “วิจิตร วิจัย”
อพวช. ขอเชิญชวนนักวิทย์ นักคิด นักวิจัยมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว ความประทับใจ ความงดงามที่เกิดขึ้นในงานทางด้านวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ให้สังคมได้รับรู้ ได้สัมผัสความวิจิตรของงานวิจัยไปด้วยกัน โดยการส่งภาพพร้อมคำบรรยายถึงความงามและความสำคัญของภาพนั้น ผู้สนใจเข้าร่วมส่งผลงานโปรดเตรียมข้อมูล 4 ส่วนหลัก คือ ภาพ ชื่อภาพ คำบรรยายประกอบภาพ และข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ เทคโนโลยี หรือเทคนิคที่ใช้สร้างภาพ ได้เวลาเผยความวิจิตรของงานวิจัยสู่สังคมอีกครั้ ขอเชิญชวนนักวิทย์ นักคิด นักวิจัย และบุคคลทั่วไป ส่งภาพจากการทำงานหรือการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ พร้อมคำบรรยาย เข้าประกวดในโครงการ Image of Science (วิจิตร วิจัย) ประจำปี 2566 ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2566 ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท พร้อมลุ้นรับของที่ระลึกจากโครงการฯ จำนวน 10 ชิ้น ประเภทการแข่งขัน: ผลงานยอดเยี่ยม และผลงานยอดนิยม ไม่จำกัดอุปกรณ์ เทคโนโลยี หรือเทคนิคในการผลิตภาพ ไม่มีการแบ่งรุ่น/อายุของผู้ส่งผลงาน ศึกษารายละเอียด ตัวอย่างเพิ่มเติม และส่งผลงานได้ที่ http://contest.nsm.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=113&Itemid=701
ข่าวหน่วยงานภายนอก
 
Final Call เปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ จำนวน 70 ทุน
Final Call เปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ จำนวน 70 ทุน ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 24 มีนาคม 2566 ตามที่โครงการ TAIST-Tokyo Tech โดยฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย (RPD) สวทช. ประชาสัมพันธ์การเปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกรับทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีกำหนดการ ปิดรับสมัครวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 นั้น โครงการฯ ขอแจ้งปรับเปลี่ยนกำหนดการปิดรับสมัครเร็วขึ้นเป็น วันที่ 24 มีนาคม 2566 ผู้ที่สนใจสมัครเพื่อคัดเลือกรับทุนศึกษาต่อ สามารถยื่นใบสมัครได้ที่นี้ https://www.nstda.or.th/r/sng2g ที่มาของโครงการ ตามที่สวทช. ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology : Tokyo Tech) ประเทศญี่ปุ่น เครือข่ายมหาวิทยาลัยไทย 5 สถาบัน ร่วมเปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง ภายใต้ “โครงการ TAIST-Tokyo Tech” ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน และในปีการศึกษา 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้เริ่มให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมแก่ สวทช. โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศ ซึ่งฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย (RPD) สวทช. เป็นผู้ดูแล รับผิดชอบและบริหารจัดการโครงการฯ โดยมีหลักสูตรที่รับสมัคร ดังนี้ หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง (Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program) หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Artificial Intelligence and Internet of Things: AIoT Program) หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE Program) โครงการจะให้การสนับสนุน ดังนี้ การสนับสนุนทุนการศึกษา ไม่เกิน 240,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนละ 8,000 บาท ค่าลงทะเบียนประชุมวิชาการหรือค่าตีพิมพ์วารสาร ไม่เกิน 15,000 บาท (เบิกจ่ายตามจริงจากมหาวิทยาลัยที่ลงทะเบียน) (หมายเหตุ ภายในระยะเวลา 2 ปี ต่อคน) โอกาสที่จะได้รับ: การทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัย สวทช. คณาจารย์จาก Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่นและมหาวิทยาลัยตามหลักสูตรที่เลือกเรียน โอกาสในการเข้าเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำ ภายในประเทศไทย โอกาสในการเข้าศึกษาแลกเปลี่ยน ระยะสั้น ณ Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น โอกาสในการรับทุนศึกษาต่อ ระดับปริญญาเอก ณ Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น รูปแบบการเรียนการสอน: เรียนเต็มเวลา วันจันทร์ – วันศุกร์ ในรูปแบบ online และ onsite ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. และมหาวิทยาลัยตามหลักสูตรที่เลือกเรียน สอนโดย คณาจารย์จากTokyo Tech และคณาจารย์ มหาวิทยาลัยของไทย ตามหลักสูตรที่เลือกเรีย จัดการสอนแบบ Module 1 ปี และทำวิจัยในหัวข้อที่เป็นงานวิจัยร่วมกันระหว่างสวทช.และมหาวิทยาลัย 1 ปี เงื่อนไขการชดใช้ทุนการศึกษา: ผู้ได้รับทุนที่สำเร็จการศึกษา ไม่มีข้อผูกมัดในการทำงานชดใช้ทุน ผู้ได้รับทุนที่ไม่สำเร็จการศึกษา ต้องชดใช้ทุนคืนเป็นเงินเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ได้รับ จากโครงการระหว่างที่ศึกษา   คุณสมบัติผู้สมัคร: จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือสาขาที่มีความรู้ที่สอดคล้องกับรายวิชาที่จะศึกษาต่อได้ (หรือกำลังศึกษาในเทอมสุดท้าย) ได้เกรดเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรไม่ต่ำกว่า 2.75 หรือ มีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนอย่างน้อย 2 ปี มีทักษะในการทำงานวิจัย มีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นในการศึกษาและทำวิจัย ให้สำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลาที่ได้รับทุน สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในระดับดีทั้ง ฟัง พูด อ่าน และเขียน (เกณฑ์ภาษาอังกฤษ https://www.nstda.or.th/taist_tokyo_tech/ ) นอกจากนี้โครงการ ยังเปิดพื้นที่ให้นักวิจัย ที่สนใจรับนักศึกษาในโครงการ (ตามหลักสูตรข้างต้น) ร่วมทำวิจัย โดยท่านสามารถแจ้งความประสงค์มายังโครงการได้ที่ EMAIL : taist@nstda.or.th หรือ โทร. 0 2564 7000 ต่อ 77229, 77230 (สุธิดา,ไพลิน) หมายเหตุ * กำหนดการอาจมีเปลี่ยนแปลง
ปฏิทินกิจกรรม
 
[NAC2023] แนะนำหัวข้อสัมมนาเด่นและน่าสนใจในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18
[NAC2023] แนะนำหัวข้อสัมมนาเด่นและน่าสนใจในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 วันที่ 28-31 มีนาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ภายในงานพบกับการสัมมนามากกว่า 40 หัวข้อครอบคลุมองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่หลากหลาย.... สามารถลงทะเบียนร่วมงานฟรี www.nstda.or.th/nac หัวข้อสัมมนาวันที่ 28 มีนาคม 2566 พลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (คลิก) BCG Naga Belt Road...หนทางแห่งความสำเร็จการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก (คลิก) Empowering sciences and technology for sustainable conservation programs (คลิก) ความสำเร็จโครงการ TIME & WiL ยกระดับขีดความสามารถ พัฒนาคนตอบโจทย์อุตสาหกรรม (คลิก) การสร้างการใช้งานเครือข่าย 5G (ที่ไม่ใช่เครือข่ายสาธารณะ) บนคลื่นความถี่ร่วม (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 29 มีนาคม 2566 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ด้วย Synthetic Biology Technology (คลิก) การวิจัยและพัฒนา (พลังงาน-อาหาร-ก่อสร้าง) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน (คลิก) การปลูกไม้ไผ่เศรษฐกิจ โดยบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (คลิก) Symposium on Materials Modeling and Artificial Intelligence for Materials Design(คลิก) การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารใหม่ด้วยเทคโนโลยีแพลตฟอร์มการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันและอาหารอนาคต (คลิก) การสร้างความเข้าใจข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติตามเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว (คลิก) Synergy towards sustainability from Thai and UK research collaborations (คลิก) องค์ความรู้พื้นฐานด้าน High throughput phenotyping และการใช้ประโยชน์จาก NSTDA-Plant Phenomics (คลิก) เทคโนโลยีการฟื้นฟูขั้นสูงเพื่อความงามและสุขภาพ (คลิก) บทบาทของจริยธรรมในการวิจัยและพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (คลิก) จากโคกอีโด่ยวัลเลย์ สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน(คลิก) นวัตกรรมสู่อนาคตการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ยั่งยืน (คลิก) พลิกวิกฤติโรคอหิวาต์แอฟริกาสุกรเป็นโอกาสด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม (คลิก) การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เพื่อความยั่งยืน (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 30 มีนาคม 2566 อุตสาหกรรม 4.0: การเตรียมความพร้อม หุ้นส่วนความร่วมมือ แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และสิทธิประโยชน์ (คลิก) เทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมระบบราง (คลิก) 3 หัวใจหลัก ของการส่งเสริมชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช เพื่อผลักดันการเกษตรยั่งยืน สู่โมเดลเศรษฐกิจ BCG: ผู้ผลิตชีวภัณฑ์ เกษตรกรผู้ปลูกพืช และตลาดเกษตรปลอดภัย/อินทรีย์ (คลิก) “ราชพฤกษ์อวกาศ” เมล็ดพันธุ์อวกาศสู่ต้นกล้าเพื่อการเรียนรู้ (คลิก) จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย (คลิก) ภูมิปัญญาผ้าทอไทยเพื่อคนรุ่นใหม่สู่การเป็นนักออกแบบดีไซน์เนอร์ (คลิก) การเพิ่มศักยภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล กรณีศึกษา หม้อไอน้ำสำหรับการผลิตไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาล และพืชทางเลือก (คลิก) บทบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" (คลิก) การส่งเสริมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยียานยนต์ขับขี่อัตโนมัติสำหรับเมืองต้นแบบในอนาคต (คลิก) Synergy towards research collaboration between NSTDA and University of Strathclyde, UK (Click) องค์ความรู้พื้นฐานด้าน High throughput phenotyping และการใช้ประโยชน์จาก NSTDA-Plant Phenomics (คลิก) ความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยีและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นขนาดเล็ก (คลิก) อนาคตเกษตรอินทรีย์ไทย "นวัตกรรม" ช่วยได้อย่างไร (คลิก) ขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนด้วย TRL (คลิก) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทยในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก (คลิก) ติดอาวุธอุตสาหกรรมไทย ด้วย การออกแบบตามหลักคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (คลิก) หัวข้อสัมมนาวันที่ 31 มีนาคม 2566 (ร่าง) การวิจัยพัฒนาด้านนาโนเทคโนโลยีในการสนับสนุน BCG (คลิก) การขับเคลื่อน BCG ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ: ผลิตภัณฑ์ไบโอรีไฟเนอรี จากแป้งมันสำปะหลัง (คลิก) เทคโนโลยีชุดบอดี้สูท “เรเชล – นวัตกรรมสำหรับสังคมอายุยืนที่ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ” เส้นทางสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลงเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ (คลิก) การปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยาไทยหลังโควิด (คลิก) พิธีมอบประกาศนียบัตร โครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (คลิก) Nano-enable sustainable materials for green-economy (Click)
ปฏิทินกิจกรรม
 
‘Magik Color’ แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ชูข้อดีของสีแบบไทยๆ
  ‘แป้งพิมพ์ผ้า’ เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญที่อุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลกใช้พิมพ์ลวดลายลงบนผืนผ้าเพื่อถ่ายทอดผลงานการออกแบบ แต่แป้งพิมพ์ส่วนใหญ่ที่มีการใช้งานในปัจจุบันเป็น ‘แป้งพิมพ์ที่มีสีเคมีเป็นส่วนผสม’ ซึ่งอาจมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานและก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา 'Magik Color แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ' เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการลดการใช้สารเคมี โดยผลิตภัณฑ์นี้นำจุดแข็งเรื่องความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทยมาใช้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ‘ให้มีสีสันสดใส หลากหลายเฉดสี’ ด้วย   [caption id="attachment_40752" align="aligncenter" width="450"] ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญในการวิจัยมาตลอดคือการพัฒนา ‘ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ที่ผ่านมาจึงมีการวิจัยสีสำหรับย้อมเส้นด้ายและผ้าจากวัตถุดิบธรรมชาติหลายชนิด หนึ่งในผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว คือ 'แป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ 6 เฉดสี' ที่ใช้พิมพ์ได้ทั้งเทคนิค Silk screen printing, Block printing และ Stencil printing พิมพ์ได้ทั้งผ้าเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ (ผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถใช้งานกับเทคนิค Rotary screen printing ได้)   [caption id="attachment_40753" align="aligncenter" width="650"] การพิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   [caption id="attachment_40754" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างลายผ้าที่พิมพ์ด้วยเทคนิค Silk screen printing[/caption]   “ผงสีที่ใช้เป็นส่วนประกอบของแป้งพิมพ์สีธรรมชาติสกัดมาจากวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ‘ครั่ง’ ที่ให้สีแดงและชมพู ‘ดอกดาวเรือง’ ให้สีเหลืองและน้ำตาลแดง ‘เปลือกต้นโกงกาง’ ให้สีน้ำตาลเหลือง และ ‘เปลือกผลชาน้ำมัน’ ให้สีเทาดำ ซึ่งวัตถุดิบ 2 อย่างหลังนี้มีจุดเด่นเรื่องการนำขยะจากอุตสาหกรรมอื่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลือกโกงกางเป็นขยะจากการผลิตถ่านหุงต้มที่คนจังหวัดสมุทรสงครามผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศและส่งออก ส่วนเปลือกผลชาน้ำมันเป็นขยะจากการผลิตน้ำมันประกอบอาหาร ทีมูลนิธิชัยพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกรภาคเหนือปลูกและแปรรูป โดยหลังจากนี้ทีมวิจัยจะพัฒนาเฉดสีอื่นๆ ออกมาเพิ่มเติมให้ครอบคลุมความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น”   [caption id="attachment_40755" align="aligncenter" width="650"] วัตถุดิบที่ใช้ในการสกัดเพื่อทำผงสี[/caption]   [caption id="attachment_40756" align="aligncenter" width="650"] ตัวอย่างเฉดสีที่พิมพ์ลงบนผ้า[/caption]   การสกัดผงสีจากวัตถุดิบธรรมชาติมาใช้ทำผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์ผ้านี้งานทำให้ในภาพรวมผลิตภัณฑ์สามารถช่วยลดสัดส่วนการใช้สารเคมีได้มากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เป็นสารเคมีก็ผ่านการทดสอบเพื่อรับรองความปลอดภัยแล้ว ดร.มณฑล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติ นอกจากผงสีแล้วยังมีวัตถุอื่นๆ เป็นส่วนประกอบหลัก อาทิ สารช่วยเพิ่มความหนืด สารเพิ่มประสิทธิภาพเรื่องการยึดติด สารปรับเฉดสี โดยทีมวิจัยได้นำเบสแป้งพิมพ์ที่ผสมวัตถุดิบตั้งต้นทั้งหมดแต่ยังไม่ได้ใส่ผงสีธรรมชาติไปตรวจสอบตามมาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย ผลการตรวจสอบพบว่าเบสแป้งพิมพ์ที่ทีมวิจัยใช้ปราศจาก ‘สารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)’ ซึ่งเป็นสารที่มักพบในผลิตภัณฑ์สิ่งทอ สารชนิดนี้เป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งยังเป็นสารก่อโรคมะเร็งด้วย “อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ต้องสร้างความเข้าใจแก่ผู้สนใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ คือ สีจากธรรมชาติไม่คงทนเท่าสีเคมี โดยสูตรที่พัฒนาขึ้นนี้ทีมวิจัยได้ทำการทดสอบแล้วว่าสามารถซักแบบถนอมเนื้อผ้าด้วยสารซักล้างที่มีความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เช่น น้ำยาซักผ้าเด็ก ได้มากกว่า 30 ครั้ง ในแต่ละรอบการซักสีจะค่อยๆ อ่อนลงทีละเล็กน้อย”   [caption id="attachment_40757" align="aligncenter" width="450"] การอ่อนลงของสีในแต่ละรอบการซัก[/caption]   ปัจจุบันผลงานแป้งพิมพ์สีธรรมชาติอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจ โดยทีมวิจัยได้เริ่มขยายผลสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) แล้ว ดร.มณฑล เล่าว่า ทีมวิจัยได้นำองค์ความรู้เรื่องการใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติไปถ่ายทอดให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแล้วหลายจังหวัด อาทิ สมุทรสงคราม น่าน ลำพูน เชียงใหม่ เพราะเป็นกลุ่มที่จำหน่ายผ้าทอจากเส้นใยธรรมชาติที่มักมีการ ‘นำวัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่นมาใช้ผลิตสีสำหรับย้อม’ ดังนั้นแล้วการนำเทคนิคการพิมพ์เข้าไปถ่ายทอดจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการสร้างสรรค์ลวดลายบนผืนผ้าหรือผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น แตกต่าง หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยการลงพื้นที่ไปถ่ายทอดองค์ความรู้ ทีมวิจัยได้ร่วมกับชุมชนต่างๆ ทดลองผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติจากวัตถุดิบท้องถิ่นเพื่อชูอัตลักษณ์ของชุมชนให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าด้วย     “สำหรับในกลุ่ม SMEs ทีมวิจัยได้นำผลิตภัณฑ์ไปเปิดตัวในงานนำเสนอเทคโนโลยีต่างๆ โดยมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนาดทดลองสีละ 80 และ 250 กรัม ให้ผู้ประกอบการได้นำไปทดลองใช้ ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าเป็นกลุ่ม SMEs แล้วทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผู้ประกอบการผลิตส่วนใหญ่มักเป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีลวดลายพิเศษแตกต่างกับผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ทำให้สินค้าที่จำหน่ายมีราคาสูงกว่าทั่วไปและมีตลาดเฉพาะแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยแป้งพิมพ์สีเคมี นอกจากนี้ทีมวิจัยและทีมประชาสัมพันธ์จากเอ็มเทค สวทช. ยังได้จัดกิจกรรมให้ผู้ที่สนใจทดลองใช้แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสร้างสรรค์ผลงานศิลปะลงบนผืนผ้าในงานมหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย”   [caption id="attachment_40761" align="aligncenter" width="650"] ผลิตภัณฑ์ Magik Color[/caption]   แป้งพิมพ์สีธรรมชาติเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ที่มุ่งเน้นส่งเสริมผู้ประกอบการให้หันมาลดการใช้สารเคมีและพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นขณะเดียวกันการพัฒนาสีจากธรรมชาติยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทย รวมถึงช่วยต่อยอดผ้าทอไทยให้มีสีสันสวยงามหลากหลายเป็นเอกลักษณ์ มีความทันสมัย และตอบโจทย์กระแสแฟชั่นโลกที่กำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอสู่ความยั่งยืน สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแป้งพิมพ์สีธรรมชาติในระดับอุตสาหกรรม หรือสนใจทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล งานประสานธุรกิจและอุตสาหกรรม ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค สวทช. โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรือ อีเมล chanitw@mtec.or.th ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ BCG Economy Model เพิ่มเติมได้ที่ www.bcg.in.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
วช. สวทช. สกสว. ยกทัพผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยเพื่อ SMEs จัด Innovative House Awards 2023 สร้างสินค้านวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจ
(1 มีนาคม 2566) ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ อาคารสยามสแควร์ วัน ชั้น 7 เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมพิธีเปิดงาน INNOVATIVE HOUSE WE MAKE IT CHANGE BY NRCT+NSTDA+TSRI ซึ่งเป็นกิจกรรมภายใต้ความร่วมมือของโครงการ “การสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง” ที่มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในด้านการสนับสนุนทุนวิจัยด้วยการสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสม ผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจและการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กได้เข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนำนวัตกรรมที่ได้ไปใช้ในการแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาผลิตภัณฑ์จนสามารถผลักดันสินค้าไปสู่เชิงพาณิชย์ ภายใต้แนวคิด  “วิจัยได้...ขายจริง”  ผ่านกลไกการทำงานของโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. และ ชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. โดยการจัดสรรทุนวิจัยจาก สกสว. ให้แก่ นักวิจัย คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง (กลาง) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. (ซ้าย)นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 วช. (ขวา) ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษา สกสว.  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มุ่งขับเคลื่อนการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปก่อให้เกิดประโยชน์ในภาคเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งโครงการนี้สามารถช่วยให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ได้นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้จริง ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้สามารถสร้างสินค้าที่แตกต่างและโดดเด่นตอบโจทย์ความต้องการได้มากยิ่งขึ้น ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ ส่งผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยต่อไป นางสุภาพร โชคเฉลิมวงศ์ ผู้อำนวยการกองบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรม 1 วช. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 หน่วยงานในการใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการสร้างและพัฒนาสินค้านวัตกรรมสำหรับ SMEs โดยมีกลไกการทำงานที่มีการบริหารจัดการโครงการวิจัยแบบบูรณาการคือใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการวิจัยและพัฒนาสูตรและกระบวนการผลิต ร่วมกับการจัดการธุรกิจและการตลาดที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ โดยใช้การตลาดเป็นตัวนำเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์และความต้องการของกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงการใช้แนวความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาสินค้าและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถบอกเล่าเรื่องราวและสร้างจุดขายของสินค้า นอกจากนี้ยังได้มีการเสริมกิจกรรมในการให้ความรู้ผู้ประกอบการ SMEs ในด้านต่างๆ ให้สามารถผลักดันสินค้านวัตกรรมออกสู่ตลาด โดยผลิตภัณฑ์ในโครงการนี้มีการนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้จริงในอุตสาหกรรมและจัดจำหน่ายได้จริงในเชิงพาณิชย์แล้วมากกว่าร้อยละ 50 ของผลิตภัณฑ์ทั้งของโครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีที่สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs ได้อย่างแท้จริง ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ ที่ปรึกษา สกสว.  เผยว่า โครงการนี้มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการสนับสนุนทุนวิจัยด้วยการสร้างองค์ความรู้ ที่เหมาะสมผ่านกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับการจัดการด้านธุรกิจและการใช้แนวความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และผลักดันสินค้าจากผลงานวิจัยไปสู่การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมและจำหน่ายจริงในเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นแนวนโยบายที่ สกสว. มุ่งหวังให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตร สินค้า และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ ภายในงานดังกล่าวมีกิจกรรม Talk Show “ACT LIKE JACK แนวคิดพลิกเกมเพิ่มมูลค่าธุรกิจ อยู่รอดและเติบโต”โดย คุณเพ็ชร ประภากิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโคโนมี่ โกลบอล จำกัด และ “Change SME ด้วยนวัตกรรม ทำให้เราก้าวกระโดด” โดย ดร.ชวลิต พากเพรียรถกลผล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย รวมถึงการเสวนาเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปกับนักวิจัยและผู้ประกอบการในหัวข้อ “รวมพลัง สร้างสรรค์งานวิจัย ให้ยอดขายเติบโต” โดย คุณรัชชานนท์ แก้วมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณยงชาติ ชมดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุธัมบดี จำกัด และ ผศ.ดร.นิอร โฉมศรี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ซึ่งทำให้เห็นการทำงานของนักวิจัยและผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้ใช้องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจ ที่สร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของสินค้าจนประสบผลสำเร็จ  พร้อมทั้งได้จัดแสดงผลงานนวัตกรรมทางด้านอาหาร เครื่องสำอางและเวชสำอาง ใน “โครงการการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากงานวิจัย 75โครงการ หรือจำนวน 80 ผลิตภัณฑ์ จาก 8 กลุ่มงานวิจัย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว อาหารพร้อมรับประทาน อาหารพร้อมปรุง ผลิตภัณฑ์ที่เป็นส่วนประกอบอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขนมหวาน และผลิตภัณฑ์สมุนไพรและเครื่องสำอาง โดยมีผู้ประกอบการและนักวิจัยมาร่วมออกบูธเพื่อทดสอบชิมและใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ยังได้มีการจัดโซนผลงานวิจัยพร้อมใช้สำหรับการซื้อสิทธิ์และองค์ความรู้อีกด้วย สำหรับพิธีประกาศรางวัล Innovative house awards 2023 มีจำนวนทั้งสิ้น 12 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลด้านผลิตภัณฑ์  มี 4 รางวัล ประกอบด้วยรางวัลผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ครีมเทียมผงไขมันต่ำจากข้าวหอมมะลิ  โดย  ศ.ดร.ศิริธร ศิริอมรพรรณ และคณะ หน่วยวิจัยนวัตกรรมอาหารไทย ภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและโภชนาศาสตร์ คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ห้างหุ้นส่วนจำกัดวิสาหกิจชุมชนกลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านเหม้า จังหวัดร้อยเอ็ด รางวัลผลิตภัณฑ์แนวคิดสร้างสรรค์ ได้แก่  ยาทาเล็บสมุนไพรสำหรับยับยั้งการดูดนิ้วและการกัดเล็บ  โดย ภญ.รศ.ดร.ชุติมา ลิ้มมัทวาภิรัติ์ และคณะ สาขาเภสัชกรรมอุตสาหการ คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยศิลปากร และ บริษัท เอช เอ พลัส จำกัด รางวัลผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ท็อปปิ้งมะม่วงน้ำดอกไม้  โดย ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และคณะ ศูนย์พัฒนานวัตกรรมและบริการทางวิศวกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ บริษัท โกลบอล พาร์ทเนอร์ อินเตอร์ฟู้ด จํากัด รางวัลผลิตภัณฑ์ Popular Vote ได้แก่  ผลิตภัณฑ์สปาร์คกลิ้งจากขิง ผศ.ดร.นิอร โฉมศรี นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ร่วมกับ บริษัท สุธัมบดี จำกัด รางวัลทีมวิจัยเด่น ได้แก่ ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Serum Booster) จากสารสกัดจากเหง้าสับปะรด โดย ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ และคณะ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รางวัลผู้ประกอบการเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ คุณสุรวิชญ์ ทิพยารมณ์ จากบริษัท โกลบอล พาร์ทเนอร์ อินเตอร์ฟู้ด จำกัด  และ คุณภฤชฎา ศรีเหนี่ยง  จากวิสาหกิจชุมชนวาเบลล์ล่าซ์ รางวัลออกแบบบรรจุภัณฑ์เด่น  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวออร์แกนิคสำหรับเด็กเล็ก โดย  ภญ.ภาคินี จิวัฒนไพบูลย์ และคณะ บริษัท ซองเดอร์ ไทยออร์กานิคฟูด จำกัด รางวัลผลงานวิจัยด้านการขยายกำลังการผลิตเด่น ได้แก่ ผลงานวิจัยการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง (Serum Booster) จากสารสกัดจากเหง้าสับปะรด โดย ดร.พิลาณี ไวถนอมสัตย์ และคณะ  สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ร่วมกับ บริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รางวัล All Star Product (ผลิตภัณฑ์)  ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำผึ้งมะนาวชนิดเข้มข้น โดย คุณสรัลภัค จิรโรจน์วัฒน บริษัท บี-สไมล์ ฟู้ด แอนด์ เบเวอร์เรจ จำกัด รางวัล All Star Researcher (นักวิจัย) ได้แก่ ผศ.ดร.อรรณพ ทัศนอุดม สาขาอุตสาหกรรมเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา พิษณุโลก รางวัล All Star Entrepreneur (ผู้ประกอบการ)  ได้แก่  คุณสุเทพ ไชยธานี (บริษัท เซาท์เทอร์น ซีฟูด โปรดักส์ จำกัด) ทั้งนี้ หากนักวิจัยและผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการนี้สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ชุดโครงการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Innovative house วช. โทรศัพท์ 034-106238 หรือเว็บไซต์ www.innovativehouse.org และเพจเฟซบุ๊ก Innovative house Shift & Go beyond Boundaries
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ผนึก สพฐ. จัดค่าย EEC Innovation Youth Camp ด้านการแพทย์และสุขภาพ สอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพื้นที่ EEC
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง ร่วมจัดกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp การแพทย์และสุขภาพ  สำหรับโรงเรียนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 13 -  15 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี  มีโรงเรียนเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 18 โรงเรียน นักเรียน 142 คน และ ครู 18 คน รวม 160 คน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับนักเรียน และครูผู้สอน ได้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยปูความรู้พื้นฐานให้มีความรู้ความเข้าใจด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEAM) และเตรียมกำลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ สวทช. นางสาวอังคณา จบศรี นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ  สพฐ. , นายอมร สุดแสวง ศึกษานิเทศก์สพม.ชลบุรี ระยอง นายกิจจา ตรีสาม และ นายรัชพล บูรณสรรพสิทธิ ศึกษานิเทศก์สพม.ฉะเชิงเทรา ถ่ายภาพร่วมกับคณะครูและนักเรียน   นางฤทัย จงสฤษดิ์  ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับ คณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนในเขตพื้นที่EEC          ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช  รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่ากิจกรรมในครั้งนี้ช่วยสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมสมรรถนะและการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ EEC ในเรื่องเทคโนโลยีการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ เทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งอนาคต ไวรัสวิทยาและการพัฒนาวัคซีน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ ไปสู่งานวิจัยที่ใช้ได้จริง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการวางพื้นฐานให้นักเรียนได้รู้ถึงความสนใจและความถนัดของตนเอง ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในหลายสาขาอาชีพด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ นับเป็นกระบวนการสำคัญในการต่อยอดศักยภาพของนักเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่อุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC  โดยมีครูผู้สอนซึ่งเป็น keyman สำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนในสถานศึกษา ที่จะได้รับความรู้ไปพร้อมกับนักเรียน เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่จะทำให้เกิดการจัดการเรียนการสอนที่ผลักดันการเติบโตของประเทศในหลากหลายมิติต่อไปในอนาคต จนสามารถพัฒนาทักษะที่จำเป็นจากการได้ลงมือปฏิบัติจริงและนำไปต่อยอดในกระบวนการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาของโรงเรียนในเขตพื้นที่ EEC ได้ต่อไป ในส่วนของกิจกรรม  ประกอบด้วยการบรรยายเรื่อง เทคโนโลยีทางการแพทย์แห่งโลกอนาคต  โดย แพทย์หญิงณัฐชญา สุคนธ์ จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นผู้แทนประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมผู้ได้รับรางวัลโนเบล ณ เมืองลินเดา สาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ ประจำปี 2566 มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจบนเส้นทางกว่าจะมาเป็นแพทย์ทางด้านจักษุวิทยา และการนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในยุคที่เกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น HealthCare Cybersecurity , Bioprinting Technology , Telemedicine เป็นต้น           กิจกรรมเทคโนโลยีหุ่นยนต์การแพทย์   โดย ดร. ปิติวุฒญ์ ธีรกิตติกุล และทีม จากสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่มุ่งเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับ การพัฒนาของเทคโนโลยีการแพทย์ทางไกลที่มีการนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ทดลองพัฒนาระบบ Flex sensor ที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาระบบหุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกล พร้อมนำ sensor ที่พัฒนามาควบคุมหุ่นยนต์ (นาโนบอท) ให้ทำภารกิจเข้าไปในร่างกายจำลองเพื่อขนคอเลสเตอรอล หรือ ก้อนไขมันที่มีอยู่มากเกินไปจนอาจก่อโรค ออกจากร่างกายของมนุษย์ให้ได้มากที่สุด   นอกจากนี้ครูและนักเรียน ยังได้ทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติการตลอดสามวัน อาทิ การวิจัยไวรัสวิทยาและการพัฒนาวัคซีน โดย ดร.ทิพย์รำไพ ธรรมมงกุฎ จากทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี (AVCT)  ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) กิจกรรม Science & Medicine นวัตกรรมทางการแพทย์ โดย ดร.ทวีศักดิ์ เชี่ยวชาญศิลป์ จากศูนย์ความเลิศทางด้านภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง  คณะแพทยศาสตร์  ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  กิจกรรมคณิตศาสตร์กับการแพทย์ โดย อาจารย์อรรถวุฒิ วงศ์ประดิษฐ์    จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการเรียนรู้การนำหลักการคณิตศาสตร์มาใช้อธิบายทางการแพทย์ ฝึกปฏิบัติการสร้างแบบจำลองจากโครงสร้างแรงดึง เชื่อมโยงสู่การนำคณิตศาสตร์ มาช่วยในการออกแบบสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ กิจกรรม Brain-Computer Interface (BCI) เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ โดย ดร.อาภา สุวรรณรัตน์  จากทีมวิจัยการประมวลสัญญาณประสาท (NSP) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นางสาวสุภารัตน์ กรมแสง ครูจากโรงเรียนแกลง “วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง กล่าวว่า เป็นการจัดกิจกรรมที่ดีมาก มีความประทับใจในหลายส่วน ทำให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กได้ดี ไม่ได้เจาะจงเฉพาะแพทย์อย่างเดียว แต่มีสายอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้เรียนรู้การสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ การจัดการค่ายลงตัวมาก วิทยากรแต่ละท่านมีความเชี่ยวชาญ มีความเหมาะสม ที่พักดีเหมาะสำหรับการเรียนรู้และทีมงานมืออาชีพสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว   ด้าน นายชิด วงค์ใหญ่  ครูจากโรงเรียนพนมสารคราม “พนมอดุลวิทยา” จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้กล่าวว่า เป็นการจัดกิจกรรมที่ดี เปิดโอกาสให้นักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม กระจายโอกาสให้นักเรียนพื้นที่ EEC ได้ทั่วถึง เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมและแสดงความสามารถด้านต่าง ๆ เช่น ฝึกทักษะการนำเสนอ ฝึกให้มีความกล้าแสดงออก ซึ่งเด็ก ๆ หลายคนได้ค้นพบเส้นทางของตัวเอง ได้ค้นพบความชอบผ่านกิจกรรมที่ได้ทดลองทำ นางสาวไอริณ อินทรทัต นักเรียนโรงเรียนชลราษฎรอำรุง จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หลายด้าน ตั้งแต่เรื่องหุ่นยนต์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีทางด้านชีวภาพ โดยปกติชอบการเขียนโปรแกรมอยู่แล้ว ซึ่งค่ายนี้ทำให้เห็นประโยชน์ของการเขียนโปรแกรมและการนำไปใช้งานจริงมากขึ้น มีโอกาสใกล้ชิดและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักวิจัยตัวจริง ทำให้เห็นแนวทางในการพัฒนาโครงงานต่อ ได้เจอเพื่อนใหม่ ที่มีมุมมองแตกต่างกัน ทำให้ได้เรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังได้ช่องทางการติดต่อกับเพื่อน ๆ และนักวิจัย ซึ่งมีประโยชน์ในการทำงานร่วมกันในอนาคต   นางสาวมณีรัตน์ ชินศรี นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โดยปกติไม่ชอบคณิตศาสตร์ แต่ค่ายนี้ทำให้เปลี่ยนความคิดมาก เพราะได้รู้จักคณิตศาสตร์ในมุมมองที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้สนใจคณิตศาสตร์มากขึ้น และได้รู้จักเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย ประทับใจมิตรภาพในค่าย พี่ ๆ ทีมงานเป็นกันเอง ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนต่างโรงเรียน เพื่อน ๆ มีความเป็นกันเอง วิทยากรพร้อมอธิบายทุกข้อสงสัย อาหารอร่อย ได้รับอาหารครบทุกหมู่ ที่พักดี มีความร่มรื่น มีสวนและสนามกีฬาให้ผ่อนคลาย   นายวินทกร คำภีระ นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ชลบุรี จังหวัดชลบุรี กล่าวว่า โดยปกติมีความสนใจเทคโนโลยีและชีววิทยาอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีการศึกษาเบื้องต้นมาในระดับหนึ่ง เมื่อมาเข้าค่ายทำให้ได้เรียนรู้มากขึ้นผ่านนักวิจัยตัวจริง ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์โดยตรงกับวิทยากร นอกจากนี้มีความประทับใจกับการได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ต่างโรงเรียน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกับเพื่อน ๆ
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. จัดงาน NAC2023 โชว์ขุมพลังวิจัย เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG จัดยิ่งใหญ่ 28-31 มี.ค.นี้ อุทยานวิทย์ฯ จ.ปทุมธานี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news-media/announcements/announcements-news-all/nstda-to-host-annual-conference-on-site-this-march.html (1 มีนาคม 2566) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. พร้อมด้วย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. นำทีมนักวิจัย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร โดยมี ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ร่วมเป็นเกียรติในงานแถลงข่าวการจัดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” (NSTDA: STI powerhouse to drive BCG economy for Thailand's sustainable development) โดยจัดออนไซต์เต็มรูปแบบที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคมนี้ [caption id="attachment_40803" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช.[/caption] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. แถลงว่า ปีนี้ สวทช. จัดงาน NAC2023 ขึ้นเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ต่อสาธารณชน เพื่อแสดงให้เห็นศักยภาพของนักวิจัยไทยที่พร้อมขับเคลื่อนประเทศด้วย วทน. ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และต่อยอดพัฒนาเทคโนโลยีให้ก้าวทันต่อสถานการณ์โลกอยู่เสมอ โดยในปี 2566 นี้ สถานการณ์โรคโควิด-19 คลี่คลายแล้ว ดังนั้นปีนี้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ถือเป็นการกลับมาจัดแบบออนไซต์เต็มรูปแบบอีกครั้ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้สัมผัสขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ สวทช. และพันธมิตร ร่วมกันจัดแสดงให้ชมตลอด 4 วันเต็ม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเพศทุกวัย ได้เข้าไปหาความรู้ อัปเดตเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมไปถึงการนำผลงานวิจัยของ สวทช. ไปต่อยอดในเชิงธุรกิจ “ที่สำคัญในพิธีเปิดงาน NAC2023 วันที่ 28 มีนาคม 2566 สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง NBT ตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกาเป็นต้นไป” ศาสตราจารย์ดร.ชูกิจ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามด้วยธีมการจัดงานปีนี้ คือ สวทช. ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน ดังนั้นในปีนี้ สวทช. และพันธมิตร มีตัวอย่างความสำเร็จจากการขับเคลื่อน BCG ในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในเชิงงานวิจัย อาทิ การพัฒนาอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการเพาะเลี้ยงและการผลิตสัตว์น้ำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเพิ่มมูลค่าและศักยภาพการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่นำแนวคิด BCG Economy Model ไปปรับใช้ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจาก “มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี” “สำหรับตัวอย่างผลงานเด่นที่ สวทช. ขับเคลื่อนนโยบาย BCG ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม และตอบโจทย์ BCG สาขาต่าง ๆ และนำผลงานวิจัยเด่น มาโชว์วันนี้ เช่น ด้านเกษตรและอาหาร เช่น นวัตกรรมสเปรย์เติมความ “สด” ให้พืช ตอบโจทย์ธุรกิจส่งออกพืชเมืองหนาว ด้านสุขภาพและการแพทย์ เช่น เทคโนโลยีชุด Exosuit ช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ ด้านพลังงาน วัสดุ และเคมีชีวภาพ เช่น เทคโนโลยีแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคม สีเขียว และ ด้านท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เช่น Sontana สนทนา (AI Chatbot) เหล่านี้ล้วนเป็นผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากการนำงานวิจัยไปขับเคลื่อนโมเดล BCG เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศแล้ว เรื่องของการขับเคลื่อนงานวิจัย NSTDA Core Business ตรงนี้ ก็จะเป็น 1 ในไฮไลต์ของงาน NAC2023 ด้วย โดย สวทช.เปิดกลยุทธ์ NSTDA Core Business นำพลังวิจัย รับใช้สังคมและได้คัดเลือกงานวิจัยที่เป็นความเชี่ยวชาญและตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมี 4 เรื่องหลัก คือ 1.Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง 2.Digital Healthcare Platform แพลตฟอร์มแก้ปัญหาการบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ 3. FoodSERP แพลตฟอร์มให้บริการผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์กลุ่มสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ (Functional ingredient) ในรูปแบบ One stop service และ 4.Thailand i4.0 Platform แพลตฟอร์มให้บริการ Digital Transformation สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบครบวงจร   [caption id="attachment_40805" align="aligncenter" width="2500"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ[/caption] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า การจัดงาน NAC2023 ในปีนี้จัดออนไซต์เต็มรูปแบบหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้มีโอกาสเต็มอิ่มกับเนื้อหาสาระที่ สวทช. เตรียมมานำเสนอ โดยเฉพาะหัวข้อการสัมมนาที่มีมากถึง 40 หัวข้อ ตัวอย่าง เช่น พลิกโฉมการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCGการปรับเปลี่ยนของอุตสาหกรรมยาไทยหลังโควิด นอกจากนี้ที่สำคัญคือนิทรรศการกว่า 70 ผลงาน ประกอบด้วยโซน 6 โซน ได้แก่ 1. เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ 2. NSTDA Core business 3. BCG Economy Model แบ่งเป็น 4 กลุ่มได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ และการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 4. วทน.ยกระดับคุณภาพชีวิต 5. ระบบบริการโดย สวทช. และ 6. เทคโนโลยีพร้อมถ่ายทอดสู่เชิงพาณิชย์ โดยในนิทรรศการแต่ละเรื่องจะมีนักวิจัยเจ้าของผลงานมานำเสนองานวิจัยเพื่อตอบทุกข้อคำถามของผู้เข้าร่วมงานที่สนใจช้อปปิ้งงานวิจัย หรือสนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ชมฟรีตลอดงานทั้ง 4 วัน ดร.วรรณพ กล่าวว่า อีกกิจกรรมที่น่าสนใจคือ Open House หรือการเปิดบ้านให้ผู้ประกอบการ และ นักลงทุนได้เยี่ยมชมจากการนําเสนอเทคโนโลยีจากความชำนาญของห้องปฏิบัติการชั้นนำ โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุน ที่มีความสนใจ ได้เข้าเยี่ยมชมเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการ สวทช. ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี ที่จะเป็นตัวช่วยให้การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปเพิ่มศักยภาพและกำไรให้กับธุรกิจ “หากท่านคือ นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุนที่มีความสนใจพัฒนาและลงทุนธุรกิจเทคโนโลยี ที่กำลังมองหาโอกาส แรงบันดาลใจ พันธมิตร และโซลูชั่นสำหรับธุรกิจของท่านขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรม Open house ซึ่งกิจกรรมนี้จะจัด เพียง 3 วันคือ 29-31 มีนาคมเท่านั้น ดังนั้นสำรวจตัวเองว่าท่านอยากจะพลิกโฉมธุรกิจของท่านไปในทางไหน กิจกรรมนี้จะเป็นตัวช่วยให้ท่านตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะมาให้ข้อมูลแบบจัดเต็มนอกจากนี้ สายชอปปิงห้ามพลาด NAC Market 2023 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชน จากเครือข่าย สวทช. รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ในราคาพิเศษสำหรับผู้มาร่วมงานนี้เท่านั้น ซึ่งตลาดนัดสินค้านวัตกรรมจัดเพียง 3 วัน คือ 29-31 มีนาคมเช่นกัน ดร.วรรณพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนกิจกรรม ‘R&D Pitching’ จะจัดใน 2 วันคือ วันที่ 29-30 มีนาคม ซึ่งจะได้พบกับการนำเสนองานวิจัยและแอดวานซ์เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Advanced Technology Platform) ที่พร้อมร่วมมือต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมกับภาคอุตสาหกรรมใน 4 กลุ่ม ครอบคลุม Food Technology, Advanced Biotechnology, Digital 4.0 Plus และ Cosmetic Technology อาทิ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพสร้าง value added ให้กับ waste ที่ได้จากกระบวนการผลิตต่าง ๆ และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การผลิตโรงงานเสมือน (Cell Factory) ที่ใช้จุลินทรีย์ในการผลิตสารชีวภาพมูลค่าสูง เพื่อการใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง เช่น อาหาร ยา เครื่องสำอาง พลังงาน เป็นต้น   การจัดงานครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมการนำเสนอจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการจับคู่ธุรกิจ (business matching) ในหัวข้อที่สนใจจะพัฒนาความร่วมมือ ดังนั้นนอกจากได้เติมความรู้แล้วยังได้สัมผัสงานวิจัยของจริง พร้อมกับแลกเปลี่ยนมุมมองกับนักวิจัยเจ้าของผลงานอย่างใกล้ชิดด้วย 28-31 มีนาคมนี้ NAC2023 ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18(18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดูไฮไลต์ที่น่าสนใจและลงทะเบียนร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ที่ www.nstda.or.th/nac หรือโทรศัพท์ 02564 8000  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
จบปัญหามะนาวแพง ! “มะนีมะนาว” นวัตกรรมน้ำมะนาวแช่แข็งเกรดพรีเมียมในราคาจับต้องได้
  “มะนาวราคาผันผวน” คือ ปัญหาที่เกษตรกร ผู้ประกอบการร้านอาหาร และผู้บริโภคต้องเผชิญกันเป็นประจำเกือบทุกปี เพราะประเทศไทยไม่ได้ปลูกมะนาวได้ดีทุกฤดูกาล ตรงข้ามกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีอยู่ตลอด ช่วงมะนาวติดดอกออกผลมากจนล้นตลาดราคาก็ตกต่ำ ช่วงนอกฤดูกาลก็ต้องพึ่งพาสารเคมีให้ออกผล จนต้นทุนการผลิตพุ่งสูงลิ่ว จะดีกว่าไหม ถ้ามีทางเลือกใหม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตได้ราคาดีในช่วงฤดูกาล และมีผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคุณภาพเยี่ยมให้ผู้บริโภคได้รับประทานแบบปลอดภัยในราคาที่จับต้องได้ตลอดทั้งปี   ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสดแช่แข็งแบรนด์ “มะนีมะนาว” ให้เก็บในช่องแช่แข็งได้นาน 2 ปี และเก็บในช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน โดยคงกลิ่นและรสชาติที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสด เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงน้ำมะนาวสำเร็จรูปคุณภาพสูงที่มีราคาใกล้เคียงกับการใช้มะนาวผลสดในช่วงราคาปกติ   [caption id="attachment_30755" align="aligncenter" width="750"] ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.อิศรา สระมาลา ทีมวิจัยกระบวนการระดับนาโนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร นาโนเทค สวทช. เล่าว่า เดิมทีบริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นผู้ผลิตน้ำมะนาวแช่แข็งเพื่อจำหน่ายแบบ B2B ให้แก่ร้านอาหารเชนใหญ่ที่มีห้องแช่แข็งเพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แต่บริษัทติดปัญหาว่าไม่สามารถขยายการจำหน่ายไปยังผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไป เพราะแม้ผลิตภัณฑ์จะมีกลิ่นและรสชาติดี แต่มีจุดอ่อนเรื่องอายุการใช้งานหลังนำออกจากห้องแช่แข็งสั้น ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ให้หมดภายใน 1-2 วัน ทางบริษัทจึงได้ร่วมมือกับทีมวิจัยในการคิดค้นกระบวนการยืดอายุผลิตภัณฑ์ “โดยทั่วไปน้ำมะนาวคั้นสดที่มีการจำหน่ายในตลาดจะผ่านกระบวนการการพาสเจอไรซ์หรือใช้ความร้อนในการหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้น้ำมะนาวเสียสภาพ เพื่อยืดอายุของผลิตภัณฑ์ให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่วิธีการนี้มีจุดอ่อนสำคัญคือทำให้น้ำมะนาวมีกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนกับน้ำมะนาวคั้นสด ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าไหร่นัก ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการยืดอายุน้ำมะนาวคั้นสด โดยใช้ความเย็นระดับเยือกแข็งในการปรับเปลี่ยนรูปร่างของเอนไซม์ในน้ำมะนาวไม่ให้สามารถทำงานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการยืดอายุด้วยวิธีนี้จัดเก็บที่อุณหภูมิ -18°C หรือช่องแช่แข็งได้นานถึง 2 ปี และจัดเก็บที่อุณหภูมิ 0-5°C หรือช่องแช่เย็นได้นาน 3 เดือน ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ยังคงจุดแข็งของแบรนด์มะนีมะนาวในเรื่องรสชาติและกลิ่นที่เทียบเคียงกับน้ำมะนาวคั้นสดเอาไว้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย”   [caption id="attachment_30756" align="aligncenter" width="750"] วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด[/caption]   วิริยา พรทวีวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด อธิบายเสริมข้อมูลว่า มะนาวที่นำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ เป็นมะนาวสายพันธุ์ตาฮิติ ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องรสชาติคงที่ น้ำเยอะ ไร้เมล็ด อีกทั้งต้นมะนาวยังแข็งแรงทนทานต่อโรค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีในการดูแล ซึ่งจุดแข็งเหล่านี้เป็นเรื่องดีต่อทั้งบริษัท เกษตรกร และผู้บริโภค อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเกษตรกรไม่ค่อยนิยมปลูกมะนาวพันธุ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะขาดกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการผลผลิตอย่างชัดเจน และยังต้องเผชิญกับความผันผวนของราคาตลาดในแต่ละปี “ทางบริษัทจึงได้ทำสัญญารับซื้อกับเกษตรกร โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อให้เกษตรกรเครือข่ายหลายร้อยครัวเรือนในภาคเหนือช่วยดำเนินการผลิตมะนาวสายพันธุ์นี้ตามมาตรฐานเกษตรปลอดภัยของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วจัดส่งให้แก่บริษัทเพื่อนำผลผลิตมะนาวคุณภาพดีมาใช้ผลิตสินค้ามาตรฐาน GMP และ HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการส่งออกระดับสากล”   [caption id="attachment_30753" align="aligncenter" width="750"] มะนาวพันธุ์ตาฮิติ[/caption]   วิริยาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันหลังจากร่วมทำวิจัยกับนาโนเทค สวทช. จนสามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ ‘มะนีมะนาว’ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว บริษัทจึงได้วางจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศในราคาที่จับต้องได้ และล่าสุดบริษัทได้ส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีมาตรฐานการนำเข้าสินค้าสูงมากสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวได้รับการยอมรับจากเชฟอาหารไทยในญี่ปุ่นทั้งด้านความคงที่ของรสชาติและความสะดวกในการใช้งาน หลังจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะขยายการทำตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีร้านอาหารไทยต่อไป “การยกระดับผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ไม่เพียงช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจให้เติบโต แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง ลดการใช้สารเคมี เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้บริโภคมีทางเลือกในการจับจ่ายน้ำมะนาวคุณภาพดีมาใช้ประกอบอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอนาคตผลิตภัณฑ์มะนีมะนาวอาจเป็นหนึ่งในสินค้าไทยที่สามารถตีตลาดอาหารโลกก็เป็นได้”   [caption id="attachment_30751" align="aligncenter" width="750"] มะนีมะนาว[/caption] สนใจซื้อ "มะนีมะนาว" ได้ที่ Makro / Foodland / CP fresh mart / Gourmet market / Home fresh mart / Tops Supermarket หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.maneemanao.com/wheretobuy
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. เปิดเวทีต่อยอดผลงาน โครงการ SUCCESS 2022 เชื่อมโยงการใช้ระบบนิเวศวิจัย ด้าน วทน.
(22 กุมภาพันธ์ 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) จัดกิจกรรม “NSTDA Connect: A Network of Success ต่อยอดรวยด้วยเทคโนโลยีและงานวิจัยกับ สวทช.” เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างงานบริการและงานวิจัยซึ่งเป็นหน่วยงานภายในของ สวทช. กับผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโครงการ SUCCESS 2022 ให้เกิดการต่อยอดความร่วมมือการเชื่อมโยงสตาร์ตอัปให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานและกลไกของ สวทช. หรือระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ได้เข้าถึงกลุ่มผู้ที่สนใจในการนำเทคโนโลยีในการเข้าไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจและได้นำไปใช้ประโยชน์ออกสู่เชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ แนะนำถึงเทคนิคและการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งในงานดังกล่าว ฯ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในโครงการ SUCCESS 2022 มากกว่า 50 คน นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า BIC เป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ตั้งแต่เริ่มต้นกิจการจนสามารถดำเนินกิจการของตนได้อย่างประสบความสำเร็จ ซึ่งดำเนินกิจกรรมแบบมีแนวทางที่หลากหลายตามความเหมาะสมทำให้ผู้ประกอบการสามารถมีแนวคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีโอกาสนำผลงานของตนออกสู่เชิงพานิชย์อย่างจริงจัง พร้อมกับการประสานแหล่งทุน รวมทั้งสามารถวางแผนธุรกิจที่นำไปดำเนินการได้จริงสามารถไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ซึ่งจะเกิดการพัฒนาธุรกิจอันก่อให้เกิดรายได้ นำไปสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจที่เข้มแข็งเป็นรากฐานที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป โครงการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี (SUCCESS) เป็นโครงการที่ช่วยสนับสนุนและช่วยเหลือในการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจเทคโนโลยี โดยจัดให้มีการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค ธุรกิจ กฎหมาย การตลาด การบริหารจัดการองค์กรและบุคลากรแบบ 1 ต่อ 1 ตลอดถึงการสนับสนุนการออกตลาด หรือหาพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศสำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อมโดยโครงการฯ เหมาะสำหรับผู้ประกอบกิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและผู้ประกอบการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชัดเจน อาทิ Modern Agriculture / Sustainable Food & Ingredients / Biodiversity / Medicine & Biopharmaceuticals / Medical Devices, Digital Health & Assistive Technology / Energy Innovation / Biochemicals & Biobased Materials / Digital Services & Smart Electronics และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ต้องการเตรียมตัวสร้างรากฐานให้องค์กรธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และต้องการพันธมิตรเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจต่อยอดความสำเร็จ และเรียนลัดจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจแล้ว ภายใต้แนวคิดหลัก คือ แข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืนแบ่งกันรวยช่วยกันโต และพร้อมกับการรับโอกาสดี ๆในชีวิต ดร.จิรัชญา ดวงบุรงค์ ผู้จัดการศูนย์สนับสนุนและให้บริการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย (TTRD) ได้แนะนำการประเมินศักยภาพในการประกอบธุรกิจบนพื้นฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Thailand Technology Rating System: TTRS) เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมทราบถึงขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของตนเอง เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในส่วนของสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือการเข้าถึงกลไกสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ จากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ นางสาวศกุนต์กานต์ ปาลกะวงศ์ นักวิเคราะห์ฝ่ายสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมภาคเอกชน (ITAP) กล่าวถึงโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation and Technology Assistance Program: ITAP) แนะนำกลไกเชื่อมโยงผู้ให้บริการเทคโนโลยี (Technology Service Providers) เข้ากับผู้ใช้เทคโนโลยี (Technology Users) ซึ่งจะมีบริการจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเข้าไปให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาของผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นางสาวสุพินยา อุปลกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี (BITT) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า นาโนเทค สวทช. มีภารกิจหลักในการทำวิจัยเเละพัฒนา เเละออกเเบบทางวิศวกรรมเพื่อให้เกิดการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมเเละสังคมอย่างปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล โดยได้นำเสนอผลงานวิจัยที่พร้อมถ่ายทอดทางเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการ ได้แก่ Nano Processing, Nano Devices & Systems, Nano Materials, Nano Characterization & Standardization ด้าน นายเกียรติรัตน์ ทองผาย ที่ปรึกษาอาวุโสศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. (BIC) ได้กล่าวถึงโครงการและเเหล่งทุนเพื่อสนับสนุนและต่อยอดให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับปี 2566 นี้ ได้แก่ โครงการBCG Startup, โครงการ SUCCESS2023 , โครงการ Innovation Product for Sustainable Economy เเละ โครงการ Food accelerate 2023 ซึ่งทั้ง 4 โครงการนี้ได้เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว นอกจากนี้ยังได้เปิดคลินิกให้คำเเนะนำผู้ประกอบการที่สนใจบริการต่าง ๆ ของ สวทช. เข้ารับคำปรึกษาเป็นรายบริษัท เพื่อเเนะนำกลไกสนับสนุนจากภาครัฐมาช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการเเละสตาร์ตอัป ให้สามารถดำเนินธุรกิจบนฐานเทคโนโลยีเเละนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตด้วยการสนับสนุนจาก สวทช. ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/NstdaBIC/ หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 71746 , 71745 , 81490 , 81492  
ข่าวประชาสัมพันธ์