ผลการค้นหา :
เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ “Lancang – Mekong Young Leaders and Entrepreneurship Acceleration Camp” ให้แก่นักวิจัย ผู้ประกอบการ เเละผู้ที่สนใจทั่วไป
ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ร่วมกับ Beijing International Exchange Association (China) เเละ InnoLab Asia (Vietnam) ขอเชิญนักวิจัย ผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ เเละบุคคลทั่วไปเข้าร่วมโครงการ "Lancang-Mekong Young Leaders and Entrepreneurship Acceleration Camp” เพื่อส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือด้านการวิจัยเเละพัฒนา เกิดการเเลกเปลี่ยนองค์ความรู้เเละประสบการณ์ในการทำธุรกิจเทคโนโลยีของประเทศสมาชิกล้านช้าง-เเม่โขง ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย (CLMVT) เเละสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านกิจกรรมต่างๆ จำนวน 3 กิจกรรม
Activity1: Lancang-Mekong Youth Entrepreneurship Acceleration Camp (e-Learning Course)
Module 1 Chinese Culture & Society
Module 2 Policy
Module 3 IP Issues
Module 4 Finance
Module 5 Tax
Module 6 Develop a Business in China
กำหนดการฝึกอบรม: พฤษภาคม - กรกฎาคม 2566
Activity 2: Lancang-Mekong Young Technopreneur Forum (Innovation Pitching)
* โอกาสในการนำเสนอสินค้าเเละบริการแก่ผู้ประกอบเเละนักลงทุน
* นำเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษ
กำหนดการนำเสนอผลงาน: สิงหาคม 2566
Activity 3: Lancang-Mekong Young Leaders China Tour (Business Trip to Beijing)
* โอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้ประกอบการเเละสตาร์ทอัพ ณ กรุงปักกิ่ง
* ผู้ประกอบการที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการฯ จะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางสูงสุดจำนวน 50,000 บาท
กำหนดการเดินทาง: พฤษภาคม 2567 (ระยะเวลาเดินทาง 3-5 วัน)
** หากคุณมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้... This program is open to participants that fulfils the following criteria **
Public, private, tech entrepreneurs, startups and non-government organizations representatives from Cambodia, Lao PRD., Myanmar, Vietnam, Thailand and China
Nominated participants are preferably 1) Innovation driven 2) Work on science and technology
Start-ups must have a minimum viable product (MVP); ideally, this product is new or brings existing technologies to the market in new ways; and
Start-up representatives should ideally be C-level personnel and fluent in English.
ลงทะเบียนได้ตั้งเเต่วันนี้ - 30 เมษายน 2566
REGISTER : http://gatetocn.bjexchange.cn/user/index
ข่าวประชาสัมพันธ์
‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว
แม้กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุจะอ่อนแรงไปตามวัย แต่หัวใจของผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ได้อ่อนแรงไปตามกัน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร พัฒนา ‘Rachel (เรเชล)’ นวัตกรรมบอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ที่ช่วยเติมเต็มให้ผู้สูงวัยในกลุ่ม ‘พฤฒพลัง (Active aging)’ ซึ่งยังมีใจและมีไฟได้สนุกกับการใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง
[caption id="attachment_41742" align="aligncenter" width="700"] ‘Rachel’ บอดีสูทเสริมแรงกล้ามเนื้อ ช่วยผู้สูงวัยเคลื่อนไหวคล่องตัว[/caption]
ดร.วรวริศ กอปรสิริพัฒน์ นักวิจัยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงการศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อใช้ในการออกแบบผลงานนวัตกรรมแบบมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Human-centric design) ว่า ผู้สูงอายุโดยทั่วไปรวมถึงผู้สูงอายุแบบพฤฒพลังส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญภาวะ ‘มวลกล้ามเนื้อลดลงตามอายุขัย’ ทำให้การทรงตัวและเคลื่อนไหวร่างกายอาจไม่มั่นคงเท่าสมัยวัยหนุ่มสาว จึงเสี่ยงต่อการหกล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ทั้งจากการลุกยืน เดิน ขึ้นลงบันได และยกของ เป็นเหตุให้ผู้สูงอายุหลายคนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต ปฏิเสธการทำกิจกรรมต่าง ๆ จนสุขภาพร่างกายและจิตใจอ่อนแอลง ดังนั้นแล้วเพื่อให้ประชากรสูงวัยในประเทศไทยได้มีทางเลือกในการยกระดับคุณภาพชีวิตมากยิ่งขึ้น ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรม ‘Rachel – Motion assist bodysuit’ ชุดบอดีสูทสำหรับเสริมแรงกล้ามเนื้อ เพื่อเสริมความมั่นใจในทุกการเคลื่อนไหวให้แก่ผู้สูงอายุ
‘Rachel’ ผ่านการออกแบบให้เป็นชุดเสริมแรงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยมีกล้ามเนื้อจำลอง 2 ชนิดทำงานสอดประสานกัน เพื่อเสริมแรงและพยุงกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุ ช่วยให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้สำเร็จอย่างปลอดภัย
ดร.วรวริศ อธิบายถึงกลไกการเสริมแรงให้กับกล้ามเนื้อของผู้สูงอายุว่า เมื่อผู้สูงอายุสวมใส่บอดีสูท ระบบเซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่กับชุดจะตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แล้วส่งข้อมูลให้ AI ทำหน้าที่วิเคราะห์ท่าทางและการปรับเปลี่ยนอิริยาบถของผู้สวมใส่ จากนั้น AI จะสั่งการให้กล้ามเนื้อจำลองออกแรงกดไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของผู้สูงอายุที่ต้องการความช่วยเหลือ ทั้งในด้านกระตุ้นการทำงานและการช่วยเสริมแรงให้แก่กล้ามเนื้อของผู้สูงอายุในระดับที่เหมาะสม โดยการเสริมแรงระบบ AI จะสั่งการให้ปั๊มเติมลมเข้าสู่ ‘กล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติก (Pneumatic artificial muscles)’ ที่อยู่บริเวณต้นขาและหลังช่วงกลางถึงช่วงล่าง เพื่อให้ท่อลมพองตัวขึ้นและความยาวของท่อหดสั้นลง ซึ่งกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะทำงานร่วมกับ ‘กล้ามเนื้อยางยืด’ ที่อยู่บริเวณสะโพก บั้นท้าย และสะบักของผู้สวมใส่ โดยการหดตัวของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกจะดึงให้กล้ามเนื้อยางยืดยืดออก ซึ่งทำให้เกิดแรงดึงกลับที่ช่วยเสริมแรงให้ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น เช่น ในท่าลุกขึ้นยืน นอกจากนี้การพองตัวขึ้นของกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกยังทำให้เกิดแรงกดลงอ่อน ๆ ที่บริเวณกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและบริเวณหลัง เป็นการช่วยพยุงกล้ามเนื้อและอาจกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานดีขึ้นได้
[caption id="attachment_41732" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]
[caption id="attachment_41733" align="aligncenter" width="450"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา และทดสอบใช้งานโดยผู้สูงอายุ[/caption]
สิ่งหนึ่งที่ทีมวิจัยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนางานนี้ คือ ‘Rachel’ ต้องทำหน้าที่ ‘เสริมแรงกล้ามเนื้อ’ เพื่อช่วยให้ผู้สูงวัยเคลื่อนไหวได้คล่องตัวขึ้น แต่ ‘ไม่ทำหน้าที่ออกแรงแทนกล้ามเนื้อที่ยังทำงานได้ดี’ เพื่อคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อผู้สูงอายุให้นานที่สุด
ดร.วรวริศ อธิบายว่า การเสริมแรงของ ‘Rachel’ ในปัจจุบันควบคุมโดย AI ซึ่งผ่านการออกแบบให้มีการเสริมแรงอย่างเหมาะสม และผลการทดสอบใช้งานจริงโดยกลุ่มผู้สูงอายุ หลังจากนี้ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาต่อยอดให้ AI สามารถคำนวณการเสริมแรงให้สอดรับกับความต้องการรายบุคคล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อให้แก่ผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น นอกจากการเสริมแรงกล้ามเนื้อซึ่งเป็นปัจจัยหลักแล้ว อีกโจทย์ท้าท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘ความสะดวกสบาย’ ในการสวมใส่ ทีมวิจัยจึงเน้นการออกแบบชุดให้มี ‘น้ำหนักเบา สวมใส่ได้สบาย’ ช่วยให้ผู้สูงอายุสวมใส่ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้นาน และอยากหยิบมาสวมใส่ในทุกวัน
“Rachel ผ่านการออกแบบให้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภท Exoskeleton ที่มีลักษณะเป็นชุดโครงสร้างแข็ง ซึ่งทำให้ผู้สวมใส่ส่วนใหญ่รู้สึกอึดอัด ทำกิจกรรมได้ไม่คล่องตัว และปฏิเสธที่จะสวมใส่เป็นประจำ การออกแบบ Rachel จึงไม่มีการใช้โครงสร้างแข็งที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่เทอะทะเป็นส่วนประกอบ รวมถึงเลือกใช้วัสดุที่ระบายความร้อนได้ดี น้ำหนักเบา สวมใส่และถอดได้สะดวก โดยผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ทดแทนชุดชั้นในหรือใส่ทับชุดชั้นในได้เลย ในส่วนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องถอดออกจากชุดเพื่อนำไปชาร์จไฟก็ถอดและติดตั้งได้ง่าย ผู้สูงอายุสามารถทำได้ด้วยตัวเอง สำหรับชุด Rachel ที่ทีมวิจัยเตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่ายจริงจะออกแบบเพิ่มเติมให้ครอบคลุมสรีระทั้งเพศหญิงและชาย มีหลากหลายขนาด รองรับรูปร่างส่วนใหญ่ของประชากรสูงวัยไทย รวมถึงรองรับความสะดวกสบายในการเข้าห้องน้ำด้วย” ดร.วรวริศ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันผลงาน ‘Rachel’ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งต่อนวัตกรรมดี ๆ ที่จะช่วยส่งเสริมให้ผู้สูงวัยได้เคลื่อนไหวทำกิจกรรมอย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการหกล้มบาดเจ็บแล้ว ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เปิดตัว! 2 นวัตกรรม Exosuits ชุดใส่เสริมแรง ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุ
สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ภายใต้การสนับสนุนจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) , สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) , หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดตัวนวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท 2 รุ่น ประกอบด้วย “Rachel" รุ่น ออลเดย์ (All-day) ชุดบอดี้สูทที่มีเทคโนโลยีและวัสดุกล้ามเนื้อจำลอง ช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ และ "Ross" รุ่น แบ็คซัพพอร์ท (Back support) ชุดที่มีเทคโนโลยีเสริมแรงการก้มยก
โดยชุดทั้ง 2 รุ่นเป็นนวัตกรรมที่ถูกออกแบบและพัฒนาให้มีคุณสมบัติสวมใส่ง่ายและใช้งานได้อย่างสะดวกตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาต้นแบบและได้รับการสนับสนุนจากแหล่งทุนภาครัฐ เพื่อเร่งพัฒนาต่อยอดให้นำไปสู่การใช้งานจริงในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. จัดสัมมนาเรื่อง จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย
(30 มี.ค. 2566) ณ ห้องประชุม SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ฝ่ายบริหารวิจัยเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ สายงานบริหารการวิจัย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนาเรื่อง “จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย”
นำเสนอสถานภาพและผลกระทบที่สำคัญของการถอดลำดับพันธุกรรมคนไทย 50,000 รายภายใต้โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ตลอดจนผลกระทบทางด้านสาธารณสุขและโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านจีโนมิกส์จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมบรรยายตลอดทั้งวัน
งานสัมมนาในครั้งนี้ สวทช. ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ นพ.สรนิต ศิลธรรม อดีตปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และที่ปรึกษาโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยให้เกียรติกล่าวเปิดงาน ร่วมด้วยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ กรุณามาให้ข้อมูลรายงานของ WHO Science Council โดยมี ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รักษาการในตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมรับฟังการบรรยายและให้เกียรติมอบของที่ระลึก
งานสัมมนาเริ่มต้นการบรรยายในหัวข้อการใช้ประโยชน์จากข้อมูลจีโนมการต่อยอดเชิงพาณิชย์และธุรกิจจีโนมิกส์ในประเทศไทย โดย ดร.นุสรา สัตย์เพริศพราย จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จากนั้น ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา ผอ.NBT นำเสนอความก้าวหน้าโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลข้อมูลจีโนมรวมถึงการพัฒนาระบบนิเวศสารสนเทศเพื่อการประมวลผลของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย ตามด้วย ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล บรรยายถึงการใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์สำหรับการวินิจฉัยและการรักษามะเร็งตามแนวทางการแพทย์แม่นยำ และการจัดตั้งศูนย์แปลผลข้อมูลพันธุกรรมสำหรับการแพทย์แม่นยำจากการขับเคลื่อนภายใต้แผนปฏิบัติการการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG Model สาขายาและวัคซีน และปิดท้ายหัวข้อการบรรยายช่วงเช้าด้วย การแพทย์จีโนมิกส์ในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดย อ.นพ.จักรกฤษณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา จากคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี
การบรรยายในช่วงบ่าย สวทช. ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านพันธุศาสตร์เชิงมานุษยวิทยาและการศึกษาดีเอ็นเอโบราณ รศ.ดร.วิภู กุตะนันท์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.นเรศวร และ รศ.ดร.จตุพล คำปวนสาย คณะวิทยาศาสตร์ ม.เชียงใหม่ มาร่วมบรรยายภายใต้ธีมการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการมนุษย์: รางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์ประจำปี 2565 จากนั้น ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ กรุณามาบรรยายถึงความก้าวหน้างานวิจัยด้านจีโนมิกส์ในกลุ่มโรคติดเชื้อและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนมิกส์ในด้านดังกล่าว
ปิดท้ายงานสัมมนาด้วยการอัปเดตความก้าวหน้าแพลตฟอร์มทางด้านจีโนมิกส์ภายใต้หัวข้อ Update State of the Art Genomic Platforms โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงจีโนมิกส์ของประเทศไทย นำโดย นพ.วีรยุทธ ประพันธ์พจน์ จากบริษัทศูนย์พันธุศาสตร์การแพทย์จำกัด อ.ดร.ธิดาทิพย์ วงศ์สุรวัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และคุณเฉลิมพล ศรีจอมทอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
สัมมนาในครั้งนี้มีผู้สนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานกว่า 331 ท่าน ประกอบด้วย ภาคเอกชน 138 คน หน่วยงานภาครัฐ 108 คน สถานศึกษา 82 คน และบุคคลทั่วไป 3 คน
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. มอบประกาศนียบัตรผู้สอบผ่านโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (ITPE)
31 มีนาคม 2566 ห้องออดิทอเรียม อาคาร CC ชั้น 3 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต(CFA)ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีมอบประกาศนียบัตรผู้สอบผ่านโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที (ITPE) “มอบโล่ประกาศเกียรติคุณโครงการเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาและยกระดับมาตรฐานวิชาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภาคผลิตและบริการ โดย ดร. ศิริชัย กิตติวราพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต สวทช. เป็นประธานในการมอบมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ
ดร. ศิริชัย กิตติวราพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต กล่าวว่า โครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที ซึ่งดำเนินการโดยสถาบันพัฒนาบุคลาการแห่งอนาคต สวทช. เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 จนถึงปัจจุบัน ได้ผลเป็นที่น่ายินดี โครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอทีถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างผู้เชี่ยวชาญไอทีเฉพาะด้านของประเทศให้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้วิทยาการ การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม ตลอดจนเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามปัจจุบันการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ ทำให้องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการองค์กรในหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านการบริหาร การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรได้ใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่เครื่องมือที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ การพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร โดยเฉพาะบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
ดังนั้นเพื่อผลักดันให้ศักยภาพของบุคลากรในสาขาวิชาชีพไอทีของประเทศเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เป็นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันในสังคม โดยเฉพาะด้านการศึกษาและฝีมือแรงงาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวัดมาตรฐานทักษะความรู้ด้านไอที โดยบุคลากรที่สอบผ่านในโครงการมาตรฐานวิชาชีพไอทีจะมีโอกาสเข้าสู่สังคมสารสนเทศและประกอบวิชาชีพได้โดยไม่จำกัดคุณวุฒิการศึกษาพื้นฐาน นอกจากนี้หน่วยงานต่าง ๆ ยังสามารถใช้มาตรฐานการสอบนี้เป็นเกณฑ์ในการวัดความรู้ความสามารถในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน หรือปรับตำแหน่งงานภายในองค์กร อีกทั้งยังเป็นเครื่องประกันความสามารถในการทำงานอีกด้วย
ทั้งนี้มีผู้สอบผ่านที่ได้คะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก นอกจากจะได้รับประกาศนียบัตรระดับประเทศและระดับกลุ่มประเทศสมาชิก ITPEC แล้วยังมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาไปศึกษาดูงานประเทศญี่ปุ่น จำนวนปีละ 2 ทุน จากรอบละ 1 ทุนด้วย โดย สวทช. ในฐานะที่เป็นองค์กรหลักในการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมสู่ Thailand 4.0 และสร้างความสามารถของประเทศอย่างยั่งยืน บริษัทและองค์กรต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ในเทคโนโลยีและพัฒนายกระดับความรู้ความสามารถของบุคลากรให้สามารถทำงานกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”
นายนพดร ปัญญาจงถาวร รองผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต (CFA) กล่าวว่า สวทช. โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต เล็งเห็นความสำคัญของการผลักดันให้เกิดมาตรฐานวิชาชีพไอที จึงได้ดำเนินการจัดโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที หรือ Information Technology Professional Examination (ITPE) โดยการสนับสนุนจาก IPA (Information Technology Promotion Agency) ภายใต้การกำกับดูแลของ METI (กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม) ของประเทศญี่ปุ่น ในการผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนได้ร่วมมือกันระหว่างกลุ่มภาคี 7 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม พม่า มองโกเลีย บังคลาเทศ และไทยเพื่อยกระดับบุคลากรด้านไอทีให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยกำหนดให้มีการจัดสอบพร้อมกันทั้งภูมิภาคอาเซียน ปีละ 2 ครั้ง คือ เดือนเมษายนและตุลาคม ของทุกปี
โครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลและตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการในการคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่จะทำให้ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้สถาบันการศึกษามีแนวทางในการปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
ทั้งนี้นับตั้งแต่ ปี 2549 ถึง ปัจจุบัน โครงการฯ ได้ร่วมกับสถาบันการศึกษา และ หน่วยงานภายเอกชน จัดมีศูนย์สอบและสนามสอบทั่วประเทศ กว่า 50 หน่วยงาน เพื่อสนับสนุนกระตุ้นให้เกิดการวัดผลสัมฤทธิ์ และประเมินความพร้อมสำหรับผู้สนใจทำงานด้านไอที และเพื่อเป็นเกียรติให้กับสถาบันการศึกษาจึงจัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับสถาบันการศึกษา จำนวน 19 หน่วยงาน ได้แก่ 1. ม.สงขลานครินทร์ และ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต 2.สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ 3.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 4.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร 5.ม.เอเชียอาคเนย์ 6.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 7. ม.พะเยา 8.มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 9.ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ 10.ม.ศรีปทุม 11.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 12.ม.ขอนแก่น 13.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 14.ม.สยาม 15.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก 16.ม.วลัยลักษณ์ 17.มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และ 18.มหาวิทยาลัยธนบุรี โดยในปี 2565 มีจำนวนผู้ สอบผ่านจำนวน 230 คน แบ่งออกเป็น ระดับ 1: IP มีผู้สอบผ่าน 227 คน ระดับ 2: FE มีผู้ สอบผ่าน 3 คน
ทั้งนี้ปัจจุบันสถาบันพัฒนาบุคลากรแห่งอนาคต ดำเนินการจัดโครงการสอบมาตรฐานวิชาชีพไอที แบ่งได้ 3 ระดับ
ระดับ 1: Information Technology Passport Examination
ระดับ 2: Fundamental Information Technology Engineer Examination หรือ FE
ระดับ 3: Applied Information Technology Engineers Examination หรือ AP
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม E-mail: itpe@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดตัวนวัตกรรม ชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) “เรเชล (Rachel)” และ “รอส (Ross)” นวัตกรรมชุดบอดี้สูทสำหรับสังคมอายุยืน ตัวช่วยผู้สูงอายุและผู้ดูแล
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/exosuits-unveiled-to-support-thailand%E2%80%99s-aging-society.html
สวรส. บพข. สศอ. จับมือ เอ็มเทค สวทช. เปิดตัวนวัตกรรม ชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) “เรเชล (Rachel)” และ “รอส (Ross)” นวัตกรรมชุดบอดี้สูทสำหรับสังคมอายุยืน ตัวช่วยผู้สูงอายุและผู้ดูแล เพื่อการเคลื่อนไหวอย่างอิสระ-ลดเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และคุณภาพชีวิตที่ดี
(วันที่ 31 มีนาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดสัมมนาเปิดตัวนวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) ภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรม
“นวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits)” นวัตกรรมเพื่อสังคมอายุยืน ซึ่งได้วิจัยและพัฒนามาเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ (พฤฒพลัง : Active aging) โดยใช้นวัตกรรมในการดูแลตัวเอง รวมทั้งช่วยผู้ดูแลในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยงานผู้ให้ทุนในการพัฒนานวัตกรรมให้พร้อมต่อการใช้งาน และเกิดการต่อยอดขยายผลในระดับประเทศต่อไป โดยชุดเอ็กโซสูท (Exosuits) ที่พัฒนาสามารถแบ่งตามกลุ่มผู้ใช้ได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
1. “เรเชล (Rachel)” ชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุ โดยออกแบบ วิจัยและพัฒนามาเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ เพื่อใช้สวมใส่ตลอดวัน ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยมีการเสริมแรงด้วยกล้ามเนื้อจำลอง เพื่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวช่วยผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นยืน เดินขึ้นบันได ทำงานบ้าน เป็นต้น
2. “รอส (Ross)” ชุดพยุงหลัง ที่ได้รับการออกแบบวิจัยและพัฒนา สำหรับบุคลากรทางการพยาบาล ได้แก่ พยาบาล เวรเปล หรือบุคคลทั่วไปที่ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดสำหรับสวมใส่ที่มีกลไกเสริมแรง หรือที่เรียกว่า “ทอร์กเจเนอเรเตอร์ (Torque generator)” ทำหน้าที่ช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลังที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระหว่างการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ เช่น การยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การพลิกตัวผู้ป่วย การประคองผู้ป่วย และก้มยกของที่มีน้ำหนักมาก โดยสามารถสวมใส่หรือถอดชุดได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว พร้อมใช้งานได้ทันที สามารถป้องกันการบาดเจ็บของบุคลากรทางการพยาบาล รวมถึงผู้ดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว
ชุดเอ็กโซสูท (Exosuit) เรเชล (Rachel)
สำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้
ชุดเอ็กโซสูท (Exosuit) รอส (Ross)
สำหรับผู้ดูแล
[caption id="attachment_41828" align="aligncenter" width="1920"] นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น[/caption]
นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สวรส. ให้การสนับสนุนทุนวิจัยกับ เอ็มเทค สวทช. ในปีงบประมาณ 2565 เพื่อดำเนินโครงการวิจัยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของชุดสวมใส่พร้อมระบบติดตามและแอปพลิเคชัน เพื่อพยุงกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการวิจัยพัฒนาและขยายผลการใช้งานต้นแบบชุดพยุงกล้ามเนื้อและอุปกรณ์วัดเตือนการบาดเจ็บแบบสวมใส่ หรือเรียกว่า ชุดเรเชล (Rachel) รุ่นออลเดย์ (All-day) โดยพัฒนาต่อยอดจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้าน Exoskeleton ที่มีอยู่เดิม ได้แก่ เทคโนโลยีชุดสวมใส่เพื่อพยุงกล้ามเนื้อ (Motion-assist Exo-apparel Technology) และเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดแบบสวมใส่เพื่อบ่งชี้ท่าทางและป้องกันการบาดเจ็บ (Injury-preventive Wearable Technology) ซึ่งเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมดังกล่าว แม้จะมีประสิทธิภาพในการช่วยในการเคลื่อนไหวได้ดี แต่ส่วนของกล้ามเนื้อจำลองยังต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก ได้แก่ ปั๊มลมไฟฟ้า ทำให้ชุดมีน้ำหนักมาก ดังนั้นงานวิจัยจึงมีการพัฒนานวัตกรรมกล้ามเนื้อจำลองด้วยการตัดเย็บและเลือกวัสดุผ้าที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงคุณสมบัติในการทำงานโดยชุดมีขนาดเหมาะสม น้ำหนักเบา ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งนี้ชุดดังกล่าวได้รับการออกแบบให้สามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน ช่วยป้องกันการบาดเจ็บระหว่างการเคลื่อนไหวในกิจวัตรประจำวัน และลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ส่งผลให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น เป็นเวลานานขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะสั้น เช่น การป้องกันการหกล้ม และระยะยาว เช่น การปรับท่าทางในการทำกิจกรรมให้ถูกต้องตามหลักของการจัดวางท่าทางที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพ เพื่อลดอัตราการเสื่อมของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ตลอดจนลดการพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเสริมพลังแห่งการมีสุขภาวะที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้กับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี
นายแพทย์นพพร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมงานวิจัยของ สวรส. ตั้งอยู่บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง สวรส. จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยดังกล่าว เพื่อให้เครือข่ายวิจัยพัฒนาอุปกรณ์คุณภาพที่สามารถผลิตใช้เองในประเทศ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากต่างประเทศ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าว สวรส. วางแผนจะพัฒนาไปสู่การขยายผลในระบบสุขภาพ โดยคาดว่าจะพัฒนาเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยสิทธิ์บัตรทอง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
[caption id="attachment_41829" align="aligncenter" width="1920"] รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์[/caption]
รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย สุวรรณสิชณน์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารงานวิจัย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า บพข. สนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนา โครงการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับวิเคราะห์ทำนายการเคลื่อนไหวในชุดพยุงหลังและเสริมแรงแบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับภารกิจทางการแพทย์ ปีงบประมาณ 2566 และ 2567 ให้แก่ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ในการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีชุดพยุงหลัง “รอส (Ross)” สำหรับบุคลากรทางการพยาบาล ที่ต้องใช้งานกล้ามเนื้อหลังอย่างหนัก ระหว่างการดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงไปยังรถเข็น หรือจากการขึ้น-ลงรถ การพลิกตัวผู้ป่วยติดเตียง โดยคณะวิจัยได้พัฒนาชุด “รอส (Ross)” นี้ ให้มีระบบติดตามและแจ้งเตือนท่าทางในการเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในภารกิจที่ท่าทางของร่างกายมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ซึ่งได้พัฒนาจากปัญญาประดิษฐ์หรือโครงข่ายประสาทเทียมในการทำนายสถานะการเคลื่อนไหวของผู้สวมใส่ ทำหน้าที่ช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลังที่มีผลต่อความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังสามารถสวมใส่หรือถอดชุดได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เหมาะสำหรับภารกิจเร่งด่วน โดยจากการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโครงการนี้ บพข. เชื่อมั่นว่าจะส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนจากเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่พัฒนาขึ้นเอง หรือมีการต่อยอดขึ้นภายในประเทศ
[caption id="attachment_41830" align="aligncenter" width="1920"] ดร.กฤษดา ประภากร[/caption]
ดร.กฤษดา ประภากร รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวถึงที่มาของการพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ว่า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่เป็น “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” แล้วในปี 2565 ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ( สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขของผู้สูงวัย จึงได้ริเริ่มจัดตั้งโปรแกรม NSTDA Frontier Research Exoskeleton ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “เอ็กโซสเกเลตัน (Exoskeleton)” เพื่อวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุประเภทสวมใส่ เพื่อตอบสนองการทำกิจกรรมต่างๆ การช่วยเหลือพึ่งพาตนเอง ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาพให้มีความแข็งแรงยาวนานขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกว่า “เอ็กโซ-แอพพาเรล (Exoapparel)” หรือ “เอ็กโซ-สูท (Exosuit)” เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ป้องกันการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ รวมถึงการป้องกันการพลัดตกหกล้ม มุ่งเน้นออกแบบให้เหมาะกับสรีระและบริบทการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ นอกจากนี้มีการคำนึงถึงกระบวนการผลิตที่ไม่ใช้ต้นทุนสูง เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้
เริ่มต้น เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล และ สถาบันพัฒนาแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรมและการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในการออกแบบชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ ที่มีชื่อว่า เรเชล (Rachel) รุ่นแอ็คทีฟ (Active) ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ได้แก่ เทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่ เทคโนโลยีกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกส์ เทคโนโลยีการจำลองการทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก และมีแนวคิดการออกแบบชุด โดยมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง โดยชุดเรเชล รุ่นแอ็คทีฟ นี้ เสริมแรงให้กล้ามเนื้อที่ใช้ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ท่าลุกขึ้นยืน ท่าเดินขึ้นบันได ท่ายกของ โดยมีน้ำหนักเบา สามารถสวมใส่เสื้อผ้าทับได้ และผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพของชุดดังกล่าว คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ได้ดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการให้คำปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technologies Consulting Services lab) ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปีงบประมาณ 2565 จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
หลังจากนั้น ในปีงบประมาณ 2565 เอ็มเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. และ สกสว. เพื่อต่อยอดชุดบอดี้สูทสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ จากชุดเรเชล (Rachel) รุ่นแอ็คทีฟ (Active) เป็นรุ่นออลเดย์ (All-day) โดยได้ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมของคณะวิจัย ในการพัฒนากล้ามเนื้อจำลองที่ใช้วัสดุผ้าและเทคนิคการตัดเย็บให้มีการยืดหยุ่นและมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ทำให้ตัวชุดรุ่นนี้ มีน้ำหนักเบา ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี สามารถใส่ได้ทั้งวัน แต่ยังคงช่วยเสริมในการเคลื่อนไหว และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่มาต่อยอดเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ด้วย ทำให้เรเชล (Rachel) รุ่น ออลเดย์ (All-day) นี้ มีกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้เป็นผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ทั่วประเทศ ที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน ให้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดการพึ่งพิงผู้อื่น และเป็นกำลังสำคัญของประเทศไทยได้ต่อไป
นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2566 ถึง 2567 เอ็มเทค สวทช. ยังได้รับทุนสนับสนุนจาก บพข. ในการต่อยอดชุดพยุงหลัง “รอส (Ross) รุ่น แบ็คซัพพอร์ต (Back support)” ที่มีฟังก์ชันการเสริมแรงแบบกึ่งอัตโนมัติสำหรับภารกิจทางการแพทย์ด้วย โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สำหรับวิเคราะห์ทำนายการเคลื่อนไหว สามารถช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนหลัง ที่มีผลต่อความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระหว่างการเคลื่อนไหว ในการปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ ได้แก่ การยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การพลิกตัวผู้ป่วย การประคองผู้ป่วย และก้มยกของ มีระบบติดตามและแจ้งเตือนท่าทางในการเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผู้สวมใส่ โดยเฉพาะในภารกิจที่ท่าทางของร่างกายมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อีกทั้งยังคำนึงถึงด้านการใช้งาน โดยใช้วัสดุที่มีโครงสร้างการที่โปร่ง ใส่สบาย เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย และด้านการผลิต มีการใช้วัสดุในประเทศเป็นหลัก และมีกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ต้นทุนไม่สูง เพื่อกำหนดราคาจำหน่ายให้คนไทยสามารถเข้าถึงได้ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของบุคลากรทางการพยาบาล เช่น พยาบาล หรือเวรเปล รวมถึงบุคคลที่ต้องดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
การวิจัยและพัฒนาชุดนวัตกรรมในครั้งนี้ ทาง สวรส. สกสว. บพข. และ สศอ. ตลอดจนหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ เห็นถึงความสำคัญของการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในระยะยาว จึงให้การสนับสนุนคณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. จนสามารถพัฒนานวัตกรรมให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย พร้อมรับมือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ชวน ‘คนดัง’ สายกรีน เปิดมุมมองส่งเสริมแนวคิด Circular economy เพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่
วันที่ 30 มีนาคม 2566 ที่ห้องบรรยาย 2 อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.ศรันย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานเปิดงาน สัมมนาการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ "Promoting the concept of circular economy for sustainable living of the new generation." โดยมี ดร.ปิยวิทย์ คุ้มพงษ์ ผู้จัดการงานวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนชนบท ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. ทีมนักวิชาการ สวทช. และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานในห้องถึง 100 คน รวมทั้งผู้ลงทะเบียนในช่องทางออนไลน์กว่า 300 คน
โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิจารย์ สิมาฉายา (ผอ.สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่ร่วมบรรยายภาพรวม ในหัวข้อ “ทำไม ประเทศเราถึงต้องเริ่มทำธุรกิจที่ยั่งยืน” สำหรับงานสัมมนาวิชาการครั้งนี้ เพื่อหาแนวทางการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยการแชร์ประสบการณ์จากผู้ปฏิบัติจริงในด้านธุรกิจสีเขียว ได้แก่ คุณเชอรี่ เข็มอัปสร นักแสดงสาวสวยมากความสามารถ กับธุรกิจรักษ์โลก แบรนด์ "สิริไท"
คุณณภัทร พงษ์แพทย์ ผู้แทนมูลนิธิเอสโอเอส (SOS Thailand) แชร์ประสบการณ์ ในหัวข้อ “ขยะอาหาร (Food waste) อาหารส่วนเกิน (Food surplus) คนรุ่นใหม่เข้าใจหรือยัง” และคุณชณัฐ วุฒิวิกัยการ เจ้าของช่อง ‘KongGreenGreen’ อินฟลูเอนเซอร์สายกรีน ในหัวข้อ “โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเราใช้ชีวิตแบบ Zero Waste”ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และดำเนินรายการ โดย ดร.ธิติยา บุญประเทือง ผู้ช่วยนักวิจัยอาวุโส สวทช.
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาและส่งเสริมองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ใหเขาใจการนำแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และร่วมขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อวีถีชีวิตที่ยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ได้รับการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย ‘TMVS’ จากทีเส็บ
วันที่ 29 มีนาคม 2566 ณ อาคารอาเซียน รัชดา กรุงเทพฯ : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เข้ารับมอบตราสัญลักษณ์การรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย (Thailand MICE Venue Standard: TMVS) จาก ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ (TCEB) ในงาน MICE Standard Day 2023 เพื่อส่งเสริมมาตรฐานสถานที่จัดงานของไทยและอาเซียน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รองรับตลาดธุรกิจไมซ์ในอนาคต ทั้งนี้ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ สวทช. ได้เข้าร่วมการประเมินและผ่านการรับรองมาตรฐาน TMVS ประเภทห้องประชุม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมาจนครบทุกห้องตามเกณฑ์ และมีการประเมินเพื่อต่ออายุทุก ๆ 3 ปี จนถึงปัจจุบัน โดยตราสัญลักษณ์ดังกล่าวใช้ยืนยันว่าสถานที่จัดงานต่าง ๆ ในสถานที่ราชการและเอกชน ศูนย์ประชุม อาคารแสดงสินค้า โรงแรม รีสอร์ท มีความเหมาะสมตามมาตรฐานการจัดงานในระดับสากล เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพของผู้ประกอบธุรกิจไมซ์ในไทยให้กับกลุ่มนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการจัดประชุม สัมมนาและจัดกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วยห้องประชุม 11 ห้องย่อย ห้องประชุมใหญ่ออดิทอเรียม แบบเธียเตอร์ 376 ที่นั่ง ห้องประชุมบอร์ดรูม 60 ที่นั่ง และพื้นที่จัดนิทรรศการกว่า 2,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ร่วมงานได้มากกว่า 3,000 คน รวมทั้งให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการในการจัดงาน อีกทั้งมีบริการที่จอดรถภายในอาคารมากกว่า 300 คัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้จัดงานและผู้ร่วมงานอีกด้วย
ผู้สนใจสามารถติดต่อศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย โทรศัพท์ 02 564 7170 ต่อ 6011, 6012, 6013 e-mail : sms@nstda.or.th หรือเว็บไซต์ http://www.nstda.or.th/tcc Facebook : http://www.facebook.com/TSPConventionCenter
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดสัมมนาเรื่อง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทย ในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก
(30 มี.ค. 2566) ณ อาคารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดงานสัมมนาพิเศษเรื่อง “ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำ และโอกาสของประเทศไทยในการเป็นผู้นำการส่งออกเมล็ดพันธุ์พืชระดับโลก” เป็นการนำเสนอความพร้อมทางด้านข้อมูล QTL ที่สำคัญและเครื่องหมายโมเลกุลที่สามารถนำไปใช้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการคัดเลือกในพืชสำคัญของประเทศ เช่น ข้าว ข้าวโพด มะเขือเทศ พืชสมุนไพร (กัญชา กัญชง บัวบก) พืชผัก (แตง มะระ) และไม้ผล (มะพร้าว)
สวทช. ได้ให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate change) อันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน (Global warming) ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อนชื้นที่พื้นที่การเกษตรยังอาศัยน้ำฝนและความเหมาะสมของสภาพภูมิอากาศในการเพาะปลูก เช่น ในประเทศไทย ปรากฏการณ์โลกร้อนทำให้การเกษตรของไทยมีความเสี่ยงทางด้านการผลิตเป็นอย่างมาก นำไปสู่ประสิทธิภาพของการผลิตที่ลดลงหรือล้มเหลวในการผลิต
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวเปิดงาน ภายในงานสัมมนาฯ ยังได้รับเกียรติจากวิทยากร นำโดย ศ.เกียรติคุณดร.มรกต ตันติเจริญ ที่ปรึกษาอาวุโสอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้บรรยายพิเศษเรื่อง “BCG กับ อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทย” ดร.บุญญานาถ นาถวงษ์ นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย บรรยายเรื่อง “อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยและโอกาสของประเทศไทยที่จะเป็นผู้นำการส่งออก” ดร.ศิริลักษณ์ จิตรอักษร ผู้อำนวยการกองวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร บรรยายเรื่อง “การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยไปสู่ผู้ผลิตระดับโลก” และ ศ.ดร.กมล เลิศรัตน์ นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยขอนแก่น บรรยายเรื่อง “เทคโนโลยีด้านการเกษตรระดับโลกและความพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเกษตรสู่การเกษตรแบบแม่นยำ”
ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการในตำแหน่ง รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า เทคโนโลยีด้านโอมิกส์ที่นำไปสู่การปรับปรุงพันธุ์แบบแม่นยำเป็นแนวทาง ในการแก้ไขที่สำคัญการพัฒนาพันธุ์พืชให้สามารถปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ทันเวลา และพันธุ์พืชที่ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องอาศัยองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านโอมิกส์ ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับจีโนมนำมาใช้ในการเพิ่มศักยภาพในการปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่โดยสามารถระบุยีน หรือ QTL ที่มีความสัมพันธ์กับลักษณะการปรับตัวได้ดีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ทนร้อน ทนหนาว ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ต้านทานต่อโรคแมลง เป็นต้น
และพัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้ ติดตามการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดเลือกที่แม่นยำและรวดเร็ว ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ต่างๆ เทคโนโลยีด้านการใช้โมเลกุลเครื่องหมายในการปรับปรุงพันธุ์และการแก้ไขพันธุกรรม นำไปสู่การพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ที่มีลักษณะตามความต้องการอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้นักปรับปรุงพันธุ์สามารถพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ได้ในระยะเวลาที่สั้นลง ให้ผลผลิตสูงในพื้นที่จำกัด และปรับตัวได้ดีในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เมล็ดพันธุ์เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เป็นสินค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมาก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG สาขาเกษตร ซึ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถด้านปัจจัยการผลิต ซึ่งเมล็ดพันธุ์ก็เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญ เมล็ดพันธุ์สร้างผลกระทบ ทั้งในระดับเกษตรกรที่เน้นการทำเกษตรแบบประณีต ใช้พื้นที่ผลิตน้อยแต่ได้รายได้สูง อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ไทยมีศักยภาพสูง โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค (SEED HUB) เพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นในระดับหมื่นล้านบาท
สวทช.เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Seed Hub โดยการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เกิดการทำงานร่วมกัน ที่เรียกว่า Seed cluster ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา สวทช. สนับสนุนทั้งในเรื่องหน่วยบริหารจัดการเชื้อพันธุกรรม (Plant Germplasm Bank) ที่เป็นการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมระยะยาว สนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่เมล็ดพันธุ์ ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและชุดตรวจวินิจฉัยต่อเชื้อก่อโรคพืชในอุตสาหกรรมผลิตเมล็ดพันธุ์ เทคโนโลยีจีโนมในการวินิจฉัยตรวจสอบโรคและความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมสำหรับการส่งออกเมล็ดพันธุ์ และการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการคัดเลือกพันธุ์ ซึ่งช่วยให้ภาคเอกชนส่งออกเมล็ดพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น ดร.ธีรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
หลังจากนั้นช่วงบ่ายมี เสวนาพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “เทคโนโลยีด้าน Omics กับความพร้อมของประเทศไทยในการผลักดันอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์และการเกษตรมูลค่าสูง” ผู้ดำเนินการเสวนา ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดาและ ดร.วศิน ผลชีวิน นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) ผู้ร่วมเสวนา ดร.สิทธิโชค ตั้งภัสสรเรือง ผู้อำนวยการศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ดร.ปิยรัตน์ ธรรมกิจวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร ดร.ศิริพัฒน์ เรืองพยัคฆ์ นักวิจัยศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว สำนักงานวิทยาเขตกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร รศ.ดร.ศิวเรศ อารีกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว สำนักงานวิทยาเขตกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดร.สามารถ วันชะนะ นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) ดร.วินิตชาญ รื่นใจชน นักวิจัย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ (ไบโอเทค) และ ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ (ไบโอเทค)
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดสัมมนาวิชาการและส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้สถาบันการศึกษา 20 แห่ง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเยาวชนไทย
30 มีนาคม 2566 ห้องประชุม CC 308 อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดสัมมนาวิชาการภายใต้งานการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 หรือ NAC2023 ในหัวข้อ “ราชพฤกษ์อวกาศ” เมล็ดพันธุ์อวกาศสู่ต้นกล้าเพื่อการเรียนรู้” พร้อมส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยใช้เมล็ดที่ผ่านการท่องอวกาศนาน 7 เดือน ให้แก่สถาบันการศึกษา จำนวน 20 แห่งทั่วประเทศนำไปปลูก
เพื่อต่อยอดสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาเปรียบเทียบการเติบโตระหว่างต้นราชพฤกษ์อวกาศที่ปลูกด้วยเมล็ดจากอวกาศกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ โดยมีดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายทาเคฮิโระ นากามูระ ผู้อำนวยการองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ ร่วมส่งมอบต้นราชพฤกษ์อวกาศ
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับ JAXA และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด และ SPACETH.CO ร่วมกันดำเนินการโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) โดยแบ่งกิจกรรมย่อยออกเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทดลองปลูกโหระพาเปรียบเทียบระหว่างบนอวกาศกับบนพื้นโลก และโครงการราชพฤกษ์อวกาศ
“ในวันนี้ สวทช. ได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รับ ‘ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ’ เฟสแรก รอบที่สอง โดยมีสถาบันการศึกษาที่ได้รับมอบต้นกล้าราชพฤกษ์จำนวน 20 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง โรงเรียนวัดบางแขม, โรงเรียนกว่างเจ้า, โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์, โรงเรียนเทพศิรินทร์พุแค สระบุรี, โรงเรียนร่มเกล้า กาญจนบุรี (ในโครงการพระราชดำริ) , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์, โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา ภาคเหนือ โรงเรียนวชิรปราการวิทยาคม, มหาวิทยาลัยพะเยา , โรงเรียนพรานกระต่ายพิทยาคม, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ภาคอีสาน โรงเรียนสุรนารีวิทยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, โรงเรียนกัลยาณวัตร, โรงเรียนบ้านดินดำเหล่าเสนไต้, โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยบูรพา และโรงเรียนกบินทร์วิทยา
ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการราชพฤกษ์อวกาศในระยะต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ต้อนรับผู้ประกอบการ-เครือข่ายเกษตรกร จ.ปทุมธานี เยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตพืช
30 มีนาคม 2566 ห้องโถง Tower D อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มเกษตรกรจังหวัดปทุมธานี เพื่อเข้าเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตพืช (Plant factory) ของ สวทช. และมี ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ ทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืช ไบโอเทค พาคณะเข้าเยี่ยมชม โดยวัตถุประสงค์ของการเยี่ยมชมครั้งนี้เพื่อศึกษาเทคโนโลยีและหาแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิจัย นักธุรกิจและเครือข่ายเกษตรกรปทุมธานี รวมทั้งนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปถ่ายทอดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและกลุ่มผู้สนใจต่อไป
อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สวทช. โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี และ NSTDA Shop ได้นำผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรของ สวทช. ไปเผยแพร่แก่กลุ่มเกษตรกร ณ ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาการเกษตรตลาดโรงเกลือท้ายเกาะ อำเภอสามโคก จ.ปทุมธานี มาแล้ว 2 ผลงาน ได้แก่ ถุงปลูก Magik Growth ต้นอ่อนกระชายดำ-ขมิ้นชัน โดยมีนายสุเทพ กุลศรี เจ้าของทฤษฎีปลูกผักลงถุง ซึ่งได้เริ่มทดสอบการใช้ถุงปลูกในแล้ว ถือเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและนักธุรกิจและเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสร้างการทำงานร่วมกันโดยอาศัยเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในต่อยอดธุรกิจและพัฒนาเครือข่ายเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถนำความรู้ด้านนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค สวทช. จับมือกรมประมง ในการคัดกรอง ทดสอบและพัฒนาวิธีการผลิตเชื้อจุลินทรีย์สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จริง
(29 มีนาคม 2566) ที่ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแถลงความสำเร็จในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยจุลินทรีย์ดังกล่าวสามารถยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อก่อโรคทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์น้ำลงได้ โดยมีความพร้อมในการถ่ายทอดวิธีการผลิตหัวเชื้อสำหรับแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรเพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. เปิดเผยว่า สวทช. และกรมประมง มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “การวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมทางด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ” ถึง 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2563 โดยหนึ่งในความร่วมมือที่ สวทช. ให้ความสำคัญก็คือ การพัฒนาการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดย สวทช. ได้ให้การสนับสนุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 1 (ปม. 1 ย่อมาจาก ประมง 1)ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนคัดเลือกหาเชื้อจุลินทรีย์สายพันธุ์ใหม่ ๆ มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมในการนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์สูตรใหม่ ที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติด้านต่าง ๆ ที่ได้มาตรฐานตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การทดสอบคุณสมบัติเชิงหน้าที่เช่นความสามารถในการย่อยสารอาหาร ความสามารถในการช่วยกำจัดขยะไนโตรเจนหรือลดของเสีย การช่วยปรับเปลี่ยนหรือรักษาสมดุลของประชากรจุลินทรีย์ทั้งในตัวกุ้งและในบ่อ การทดสอบคุณสมบัติด้านความปลอดภัย เช่น การสร้างสารพิษและความเป็นพิษต่อเซลล์สัตว์ การมียีนที่ทำให้เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะและความสามารถในการถ่ายทอดยีนดื้อยาไปสู่สิ่งแวดล้อม การทดสอบคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องการผลิตและการนำไปใช้ ได้แก่ วิธีการผลิต การเจริญเติบโต การสร้างสปอร์ การทนต่อสภาพแวดล้อมของเชื้อ ซึ่งการทดสอบทำทั้งในระดับห้องปฏิบัติการและระดับฟาร์ม โดยข้อมูลทางวิชาการที่ได้เหล่านี้จะทำให้เกษตรกรเลือกใช้เชื้อได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการผลิตกุ้งดีขึ้น ส่งผลต่อการเพิ่มอัตรารอด และช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรผู้เลี้ยงกุ้งได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้ยังสามารถนำไปสนับสนุนการขึ้นทะเบียนจุลินทรีย์สำหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ได้มาตรฐานอีกด้วย
“จากจุลินทรีย์ที่ได้นำมาทดสอบภายใต้ความร่วมมือนี้ พบว่าเชื้อ Bacillus subtilis สายพันธุ์ BSN1 ที่แยกจากถั่วหมักนัตโตะหรือถั่วเน่าญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง (เป็นสายพันธุ์ที่แยกโดยนักวิจัยที่หน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้งซึ่งเป็นหน่วยวิจัยร่วมระหว่างไบโอเทค สวทช. กับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล) มีคุณสมบัติยับยั้งการสร้างไบโอฟิล์มของเชื้อ Vibrio harveyi และ V. parahaemolyticus ซึ่งเป็นสาเหตุสาเหตุของโรคกุ้งเรืองแสงและโรคตับวายแบบเฉียบพลันซึ่งเป็นโรคสำคัญในกลุ่มอาการโรคกุ้งตายด่วน เมื่อนำ BSN1 ไปผสมอาหารให้กุ้งกินพบว่าสามารถช่วยลดอัตราการตายของกุ้งจากการติดเชื้อทั้งสองนี้ได้อีกด้วย ดังนั้น BSN1 จึงมีความเหมาะสมในการนำไปปรับปรุงเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ต่อไป ทั้งนี้ สวทช. ได้ลงนามในสัญญาอนุญาตให้ใช้วัสดุชีวภาพ กับกรมประมงเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้กรมประมงสามารถนำเชื้อ Bacillus subtilis สายพันธุ์ BSN1 ไปใช้ในเชิงสาธารณะประโยชน์ต่อไป” ผู้อำนวยการ ไบโอเทค สวทช. กล่าว
ด้าน นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมง และ สวทช. ได้มีความร่วมมือทางวิชาการกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อปี 2563 ได้ลงนามความร่วมมือกับ สวทช. เพื่อร่วมกันดำเนินงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนร่วมกันกำหนดทิศทางงานวิจัยและพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศทั้งระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และทำให้สัตว์น้ำไทย มีเอกลักษณ์เป็นที่หนึ่งของโลก ตลอดจนสนับสนุนให้มีการนำผลงานวิจัยต่าง ๆ ไปใช้ประโยชน์ ซึ่งจากการดำเนินงานร่วมกันของกรมประมง และ สวทช. จนกระทั่งพบจุลินทรีย์สายพันธุ์ BSN1 ที่มีศักยภาพ สามารถนำไปต่อยอดผลิตเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 2 จึงนำจุลินทรีย์สายพันธุ์ดังกล่าว มาปรับปรุงเป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม. 2 และขยายผลการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวไปยังหน่วยงานของกรมประมงในพื้นที่ จำนวน 24 แห่ง เพื่อผลิตและแจกจ่ายให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมไปถึงถ่ายทอดเทคโนโลยี การผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์ไปยังสหกรณ์ ชมรมและกลุ่มเกษตรกร จำนวน 18 แห่ง เพื่อผลิตและแจกจ่ายให้กับสมาชิก ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์อย่างกว้างขวาง ซึ่งช่วยลดการใช้สารเคมีในการเลี้ยงกุ้งทะเล บรรเทาความเสียหายจากการเกิดโรคในกุ้งทะเล และมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมกุ้งทะเลของไทย ให้พลิกฟื้นกลับมาได้
///////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


