ผลการค้นหา :
สวทช. เปิดขุมพลังวิจัย ฟูดเซิร์ป (FoodSERP) “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอางไทย
For English-version news, please visit : FoodSERP ready to serve clients in food and cosmeceutical industry
(วันที่ 19 มิถุนายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำโดย ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service platform for food and functional Ingredients Group) พร้อมด้วยทีมวิจัย สวทช. เปิดบ้านให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน หรือ ฟูดเซิร์ป FoodSERP ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press พร้อมเข้าเยี่ยมชมแพลตฟอร์มบริการผลิตส่วนผสมฟังก์ชันอาหาร (Functional food Ingredients) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค แพลตฟอร์มบริการผลิตเวชสำอาง (Cosmeceuticals) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง และ รวมถึงบริการด้านวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ บนฐานความเข้มแข็งของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน อาหาร และเวชสำอางของประเทศ
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน (Service platform for food and functional Ingredients) สวทช. เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหาร คือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศเป็นเม็ดเงินมหาศาล ด้วยความได้เปรียบของไทยที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง ในขณะที่ทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลก มุ่งไปสู่อาหารใหม่ หรืออาหารฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญและโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันของไทย จึงได้ดำเนินการจัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP” เพื่อให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอาง รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาดและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในรูปแบบ One-Stop Service ในผลิตภัณฑ์ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.ส่วนผสมฟังก์ชัน 2.โปรตีนทางเลือก 3.อาหารเฉพาะกลุ่ม และ 4.สารสกัดเชิงหน้าที่ โดยผ่านการดำเนินงานเชิงบูรณาการของบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสหสาขา ความพร้อมของแพลตฟอร์มเทคโนโลยี เครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์
“FoodSERP พร้อมให้บริการการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมภายใต้มาตรฐานสากล ได้แก่
โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค เป็นสถานที่ผลิตอาหาร ที่ได้รับมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP รวมถึงการดำเนินงานภายใต้แนวทางการปฏิบัติที่ดีในการใช้จุลินทรีย์ในระดับอุตสาหกรรม หรือ Good Industrial Large Scale Practice (GILSP) ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม รวมถึงกระบวนการชีวภาพต่างๆ
โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการตั้งแต่การทดลองผลิตในสเกลขนาดเล็กเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บริการขยายขนาดการผลิต และการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรมด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP”
ดร.กอบกุล กล่าวต่อว่า นอกจากโรงงานต้นแบบแล้ว FoodSERP ยังมีบริการสำคัญที่จะช่วยยกระดับและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชันและเวชสำอาง ประกอบด้วย
บริการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ส่วนผสมฟังก์ชันอาหาร สารสกัดจากพืชและสมุนไพร และเวชสำอาง สำหรับใช้ทดสอบประสิทธิภาพ ทดสอบทางคลินิก หรือทดลองตลาด รวมถึงการเตรียมข้อมูลวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
บริการสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนทางเลือกและอาหารเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยีเอ็กซ์ทรูชัน และเทคโนโลยีการผลิตอาหารด้วยการพิมพ์ 3 มิติ
บริการทดสอบประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัยของส่วนผสมฟังก์ชันและผลิตภัณฑ์ ได้แก่
การทดสอบประสาทสัมผัสเชิงโมเลกุลด้านการรับรสและกลิ่น
การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม
การทดสอบการย่อยและการดูดซึมของตัวอย่างทดสอบ ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหาร
การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพต่างๆ เช่น ชะลอวัย ต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ ของส่วนผสม (ingredients) หรือผลิตภัณฑ์เวชสำอาง โดยใช้โมเดลผิวหนัง ทั้งในระดับเซลล์ (2D cells) เนื้อเยื่อผิวหนังสามมิติ (3D skin) และผิวหนังที่ได้จากอาสาสมัคร (ex vivo Skin)
การทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพด้วยแบบจำลองปลาม้าลาย (zebrafish)
การทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพด้วยแบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ
นอกจากนี้ยังมีบริการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อยืดอายุผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น อาหาร ผัก ผลไม้ และมีบริการการวิเคราะห์/ทดสอบสมบัติของบรรจุภัณฑ์พลาสติก
สำหรับ FoodSERP จัดตั้งขึ้นในปลายปี 2565 โดยเป็นหนึ่งใน core business ของ สวทช. มีพันธกิจหลักในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงความพร้อมด้านต่าง ๆ ไปสู่การใช้ประโยชน์จริงและส่งผลกระทบต่อประชาชนหมู่มากของประเทศ ผ่านการให้บริการการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหาร เวชสำอาง และส่วนผสมฟังก์ชัน ตามโจทย์ที่เป็นความต้องการเฉพาะ (Tailor made) ของลูกค้า ในรูปแบบ One-stop service โดยทีมบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากสาขา มีวิทยาการความรู้ (know-how) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พร้อมให้บริการ รวมถึงเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและมีมาตรฐานการผลิต ที่จะช่วยผู้ประกอบการในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม แก้ปัญหาต่าง ๆ ในห่วงโซ่การผลิต เพิ่มความพร้อมของเทคโนโลยี การวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพและความปลอดภัย ตลอดจนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สำหรับผลิตและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงในการดำเนินงานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน และสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients ) สมุนไพร และเวชสำอาง จากฐานทรัพยากรชีวภาพด้านการเกษตรและจุลินทรีย์ของประเทศ ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ข้อมูลเพิ่มเติม www.nstda.or.th/foodserp
ข่าวประชาสัมพันธ์
เสริมแกร่งพลังสิบ ด้วยเทคนิคการจัดค่ายวิทยาศาสตร์จาก สวทช.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สายงานพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในรูปแบบค่ายวิทยาศาสตร์ หัวข้อ การอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนสำหรับวิทยากรแกนนำ โรงเรียนแม่ข่ายโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบระดับมัธยมศึกษา สำหรับครูในโครงการ 10 โรงเรียน จำนวน 60 คน ระหว่างวันที่ 1 - 4 มิถุนายน 2566 ณ ห้องบรรยาย 2 บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
กิจกรรมออกแบบเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เชิงปฏิบัติการ หรือจัดค่ายวิทยาศาสตร์ที่ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ สร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจผ่านการลงมือปฏิบัติจริง สามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริงได้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ที่ส่งเสริมให้ครูนำความรู้ ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมไปพัฒนาและจัดค่ายวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนตนเองได้ต่อไป
โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวชลฤทัย ทวีแสง รองผู้อำนวยการสำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา สพฐ. กล่าวเปิดการอบรม
เริ่มการอบรมด้วยการบรรยาย โดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการฯ ในหัวข้อ โรงเรียนนักจัดค่าย : เทคนิคการออกแบบและพัฒนาค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาผู้เรียน
ต่อด้วย ตัวอย่างกิจกรรมบูรณาการค่าย สนุกคิดกับเกมคณิตศาสตร์ โดย อ.อรรถวุฒิ วงศ์ประดิษฐ์ ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งแนะนำแนวทางประยุกต์ใช้กิจกรรม เชื่อมโยงสู่การออกแบบเชิงวิศวกรรมในโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) โดย นายปริญญา ผ่องสุภา วิศวกร โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สวทช.
หลังจากนั้นเป็นตัวอย่างกิจกรรม “นักสืบวิทยาศาสตร์ ไขปริศนา...ผ่าคดี” เชื่อมโยงความรู้สู่การพัฒนากิจกรรมค่าย STEAM ในโรงเรียน นำเสนอแนวคิดในการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมค่าย โดย นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ชุดกิจกรรมประกอบด้วย
กิจกรรมเสริมทักษะนักสืบ ใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และตรรกะไขปริศนา โดย คุณกนกพรรณ เสลา
หลักฐานที่ 1 ตามหารอยนิ้วมือ เรียนรู้เรื่องลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือแฝง การพิมพ์ลายนิ้วมือ การเก็บลายนิ้วมือแฝง โดย คุณจิดากาญจน์ สีหาราช
หลักฐานที่ 2 ปริศนาผงสีขาว ใช้กระบวนการวิเคราะห์ทางเคมี เพื่อทำการตรวจสอบผงปริศนา โดย คุณกรกนก จงสูงเนิน
หลักฐานที่ 3 สารพันธุกรรมไขคดี เรียนรู้เกี่ยวกับลายพิมพ์ DNA (DNA Fingerprint) และฝึกแยกสารด้วยชุดสื่อการเรียนรู้จำลอง หลักการเคลื่อนที่ของสารบนเจลภายใต้สนามไฟฟ้า (Gel electrophoresis) โดย คุณสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล
ปิดท้ายวันแรกด้วย ตัวอย่างแนวทางการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ นันทนาการสร้างสรรค์ทักษะนวัตกรรม
วันที่ 2 เริ่มกิจกรรม ณ แหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ด้วยการบรรยายพิเศษ หัวข้อ การจัดกิจกรรมเสริมการศึกษาภายในพิพิธภัณฑ์ โดย ดร.สุภรา กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์
ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า และกิจกรรมฝึกปฏิบัติการทางธรรมชาติวิทยา : สตัฟฟ์กุ้ง โดย นักวิชาการ ศูนย์บริหารคลังตัวอย่างทางธรรมชาติวิทยาและสัตว์สตัฟฟ์ สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ
และกิจกรรมปฏิบัติการ Automata มหาสนุก เรียนรู้กลไกพื้นฐานของเฟือง ลูกเบี้ยว ส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ทำให้เคลื่อนไหว ผ่าน 4D: Deconstruction – Discovery – Design and Make - Display โดย นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ กองส่งเสริมการเรียนรู้ศูนย์พัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์
วันสุดท้ายของการอบรม เป็นการบรรยายและกิจกรรมการเรียนรู้ หัวข้อ ส่องทักษะ ดึงสมรรถนะ ผู้เรียนจากการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ โดย รศ.ดร.ชาตรี ฝ่ายคำตา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพื่อออกแบบแผนการจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ พร้อมการนำเสนอจากทั้ง 10 โรงเรียน
เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมอบรม
“จากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทำให้โรงเรียนได้แรงบันดาลใจ ในการกลับไปจัดค่ายวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนของตนเอง โดยได้เห็นตัวอย่างการประยุกต์ปรับใช้อุปกรณ์ ต่างๆ ในการทำกิจกรรม ให้เหมาะสมกับผู้เรียน และตัวอย่างการดึงนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์มาออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทโรงเรียนได้เป็นอย่างดี” จากคุณครู รร.ระยองวิทยา
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ณ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี
วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๔.๓๐ น
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ทรงติดตามโครงการตามพระราชดำริ ซึ่งกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ ๒๔ ดำเนินงานสนองพระราชดำริ ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน อำเภอน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเปิดสอนชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ มีนักเรียน ๔๔ คน และได้ทอดพระเนตรความก้าวหน้า “โครงการจัดการน้ำบริโภค โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเทพภูเงิน จังหวัดอุดรธานี” ภายใต้ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริ ฯ ดร. ทินสิริ ศิริโพธิ์ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริ ฯ ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยไบโอเทค สวทช. ดร.จามร เชวงกิจวณิช นักวิจัยนาโนเทค สวทช. และนางสาวธัญญ์ณัช บุษบงค์ สำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ สวทช. พร้อมทั้งผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายกว่า ๙ หน่วยงาน ได้แก่ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดีกรมป่าไม้ รองเลขาธิการสำนักงาน กปร. เกษตรจังหวัดอุดรธานี ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรบาดาลที่ ๑๐ อุดรธานี ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยที่ ๘ อุดรธานี อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และนักวิจัยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) เฝ้ารับเสด็จ ซึ่งเป็นการร่วมดำเนินงานแก้ไขปัญหาน้ำตามที่มีพระราชกระแส เมื่อปี ๒๕๖๑ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี
โดยที่ผ่านมา มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย ให้ความช่วยเหลือด้านน้ำให้แก่โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนบ้านเทพภูเงิน อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ – ปัจจุบัน สามารถแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำ น้ำบริโภคและอุปโภคของโรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนใกล้เคียง ตามพระราชดำริฯ ได้บรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้แล้ว กล่าวคือ มีน้ำอุปโภคบริโภคที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ และการไม่มีสารกำจัดวัชพืชปนเปื้อน ชุมชนบ้านเทพภูเงินสามารถทำการปลูกพืชสมุนไพรได้ และได้วางแผนดำเนิน “โครงการการจัดหาแหล่งน้ำ น้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน จ. อุดรธานี และ ชุมชนบ้านเทพภูเงิน จ.อุดรธานีระยะที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)” เพื่อให้เกิดความยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
๑ การตรวจสอบ การทำงานการบำรุงรักษาและการตรวจมาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อความปลอดภัยของระบบจัดการน้ำอุปโภคบริโภค โรงเรียน ตชด. บ้านเทพภูเงิน และชุมชนรอบโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอตามรอบเวลาที่สมควร
๒.ช่วยเหลือชาวบ้านชุมชนบ้านเทพภูเงิน ให้มีแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยการปรับปรุงเพิ่มเติมฝายรับน้ำเพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพน้ำไปถึงชุมชนเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพื้นฐาน สนับสนุนการทำเกษตรพื้นฐาน การปลูกพืชสมุนไพรและการช่วยเหลือด้านการตลาดเพื่อให้มีรายได้เพิ่มเติมจากการเกษตรพื้นฐาน และ สนับสนุนให้มีการเปลี่ยนการทำสวนยางให้เป็นป่ายาง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ยกระดับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ไทยสู่สากล
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดอาคาร "โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ" (NBF : National Biopharmaceutical Facility) ต้อนรับคณะนักวิจัยไทยและต่างชาติ รวมทั้งคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ภายในโรงงานต้นแบบ ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย สามารถต่อยอดงานวิจัยด้านยาชีววัตถุจาก Lab-scale สู่ Pilot-scale ในเชิงพาณิชย์ สำหรับรองรับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ของประเทศไทย
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน รับรางวัล Ajinomoto – FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประจำปี 2566
(15 มิถุนายน 2566) ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ: ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีกับ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.
ในโอกาสได้รับรางวัล Ajinomoto - FoSTAT Awards นักวิจัยดีเด่น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร ประเภท Outstanding Food Scientist Award ประจำปี 2566 จากผลงานเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิต functional ingredients สำหรับการประยุกต์ใช้ในอาหารและอาหารสัตว์ (Development of functional ingredient industry for food and feed application) โดยมี รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ประธานกรรมการมูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ เป็นผู้มอบรางวัล ภายในงาน Food Innovation Asia Conference 2023
ทั้งนี้รางวัลดังกล่าวมูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ร่วมกับ สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหารแห่งประเทศไทย จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้นักวิจัยดีเด่นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร ที่มีการพัฒนาผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมทั้งเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่อุทิศตนเป็นแบบอย่างที่ดี โดยพิจารณาจากผลงานวิจัยที่ส่งข้อเสนอโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ลุยพัฒนา-สร้างมาตรฐาน “แพ็กแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้” หนุนไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน
วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาขาดแคลนพลังงานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ คือแรงขับดันให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งเตรียมปักหมุดเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนตามเป้าหมายนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของรัฐบาล
[caption id="attachment_43978" align="aligncenter" width="700"] ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยนโยบาย 30@30 คือตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจในการพัฒนาเพื่อให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเติบโตถึง 100% โดยมียอดจดทะเบียนใหม่ประมาณ 7,300 คัน แต่ยังถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศกว่า 2 ล้านคันต่อปี เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงและยังไม่ตอบสนองความต้องการการใช้งานได้เต็มรูปแบบ
“ในประเทศไทยและอาเซียนมีการใช้งานมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก เฉพาะประเทศไทยมีผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์มากถึง 21 ล้านคัน และมีการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ และบริการส่งผู้โดยสาร ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็มีความหลากหลายเช่นกัน อีกทั้งพลังงานของแบตเตอรี่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระยะการขับขี่แต่ละรอบเวลาการบริการ โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน และยังมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ใช้ในการเติมพลังงาน โดยอาจใช้เวลาอย่างต่ำ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อผู้ใช้งาน จึงเกิดแนวคิดการสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ หรือ battery swapping โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน”
“อย่างไรก็ตาม การสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังจำกัดอยู่เพียงการสับเปลี่ยนภายในมอเตอร์ไซค์จากผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดกลางด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า เราจึงเริ่มทำโครงการวิจัยพัฒนารูปแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่สลับเปลี่ยนใช้งานได้เมื่อแบตเตอรี่หมดและอยู่ระหว่างการชาร์จ เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ให้ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลายรุ่น หลายผู้ผลิต รวมถึงสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ข้ามสถานีกันได้”
ทั้งนี้ โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับบริษัทเบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด, บริษัทจีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัทไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด, บริษัทกริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด และสวทช. โดยวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ปัจจุบันทีมวิจัยได้ต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานระดับสากลแล้ว 1 รุ่น ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ รวม 15 คัน และต้นแบบตู้สับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 3 รุ่น รวม 3 ตู้ สำหรับติดตั้งที่สถานีชาร์จ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณหน้าศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ปั๊มน้ำมันบางจาก เอกมัย-รามอินทรา คู่ขนาน 4 กรุงเทพมหานคร และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบการใช้งานภาคสนาม เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป
ดร.พิมพา บอกถึงข้อดีของการมีแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานว่าจะทำให้เราสามารถผลิตแพ็กแบตเตอรี่รูปแบบเดียวที่ใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นหลายผู้ผลิต รวมถึงใช้งานสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้หลากหลายผู้ให้บริการ เกิดการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ลดราคาการติดตั้งสถานีหลายรุ่นหลายแห่ง เพิ่มความสะดวกในการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้แก่ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และผู้ขับขี่ยังเข้าถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล่าสุดที่สถานีสับเปลี่ยนได้ และที่สำคัญคือช่วยให้ราคาต้นทุนของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและแพ็กแบตเตอรี่ลดลง
“เมื่อเรามีมาตรฐานทางเทคนิคกลางระหว่างแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตู้ประจุไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และตู้ประจุไฟฟ้าในแต่ละราย ดำเนินการระหว่างกันได้ผ่านมาตรฐานกลางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต การถือครองมอเตอร์ไซค์ แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า และจะส่งผลให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าแพร่หลายมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง แบตเตอรี่ที่สิ้นสุดการใช้งานจากมอเตอร์ไซค์อาจจะมีการนำไปใช้ต่อได้หรือจะถูกจัดการได้ง่ายขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ และที่สำคัญคือเราได้องค์ความรู้ที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศ เกิดการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน สามารถต่อยอดให้เกิดอุตสาหกรรมและบริการรูปแบบใหม่ตามมาอีกมากมาย”
ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงวิจัยพัฒนาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างคนสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ
เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
ไอแทป (ITAP) สวทช. ผนึก พันธมิตรภาครัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนศักยภาพ ‘การเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรง’ ของประเทศไทย
For English-version news, please visit : ITAP-NSTDA launches a project to promote cage-free egg farming
วันที่ 14 มิถุนายน 2566 ณ ห้องประชุม SD 601 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ร่วมกับ นักวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางอาหารศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) นักวิชาการจากสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. อาจารย์จากภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบริษัท คะตะลิสต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจเพื่อสังคม จัดสัมมนา แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อเสริมศักยภาพการเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรงในประเทศไทย โดยมีผู้ประกอบการฟาร์มไก่ไข่ทั่วทุกภูมิภาค และผู้สนใจเข้าร่วมฟังสัมมนาทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์กว่า 200 คน
นางสาวนันทิยา วิริยบัณฑร ผู้อำนวยการโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องปรับตัว โดยหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ธุรกิจผลิตอาหาร เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น คำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัย รู้แหล่งที่มาของวัตถุดิบ และผู้ผลิตควรมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ซึ่งสินค้าที่ได้รับความสนใจและถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางทั่วโลกในขณะนี้ คือ ไข่ไก่ที่มาจากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบไม่ขังกรง หรือ cage free egg เป็นสินค้าที่ตอบรับเทรนด์การบริโภคที่คำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ (animal welfare) มีความปลอดภัย และปราศจากการใช้ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) สอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ระบุว่า ในปี 2562 ตลาดไข่ไก่ cage free ของโลกมีมูลค่า 4.98 ล้านดอลลาร์ และจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.75 ต่อปี ในช่วงปี 2563-2568 มีแนวโน้มการเติบโตสวนทางกับไก่ไข่ที่เลี้ยงแบบกรงตับ (battery cage)
“การเลี้ยงในกรงตับนั้น มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และแออัด ทำให้แม่ไก่ไม่สามารถแสดงออกซึ่งพฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น คุ้ยเขี่ย บิน เกาะคอน ได้ ส่งผลให้แม่ไก่มีความเครียดสูง สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย นำไปสู่การให้ยาปฏิชีวนะแบบหว่าน
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการเกิดเชื้อดื้อยา รวมถึงนําไปสู่การเกิดโรคระบาดขนาดใหญ่ เช่น โรคหวัดนก เป็นต้น ดังนั้นจึงเป็นความท้าทายของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และ/หรือ องค์กรอิสระ ที่จะช่วยกันสนับสนุนและจูงใจให้ธุรกิจฟาร์มไก่ไข่ ปรับระบบการเลี้ยงไปสู่ระบบการเลี้ยงแบบไม่ขังกรง (cage free) นอกจากจะส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจไก่ไข่ จากการมีมาตรฐานรับรองที่ชัดเจน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์ไข่ cage free แล้ว ยังส่งผลดีต่อผู้บริโภคด้วย”
ผู้อำนวยการโปรแกรม ITAP กล่าวว่า สำหรับการจัดสัมมนาแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อเสริมศักยภาพการเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรงในประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นกิจกรรม ภายใต้ “โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับระบบการเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรง (cage free egg) ให้มีประสิทธิภาพและถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (animal welfare)” ซึ่งมีนักวิชาการภาครัฐและเอกชน ที่เชี่ยวชาญด้านระบบการจัดการฟาร์มและอาหารสำหรับการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ขังกรง ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
การวิจัยพัฒนาสารเสริมจากจุลินทรีย์สำหรับใช้ในอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน เป็นต้น มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในมิติด้านต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ประกอบการและฟาร์มไก่ไข่ มีความรู้ ความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนาการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ขังกรงของประเทศไทย ซึ่งภายหลังงานสัมมนานี้ ทีมวิชาการของ สวทช. และเครือข่ายความร่วมมือ จะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการเชิงลึก และให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ขนาดเล็กและขนาดกลาง อย่างน้อย 10 ราย
และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบหลักสูตรฝึกอบรมการสร้าง trainer ระบบการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ขังกรง เพื่อรองรับและให้คำปรึกษาผู้ประกอบการในอนาคต ให้การเลี้ยงไก่ไข่ไร้กรงของประเทศไทย มีรูปแบบที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานตามหลักของ animal welfare ในบริบทของประเทศไทย และสากลยอมรับ.
ข่าวประชาสัมพันธ์
นาโนเทค สวทช. รับมอบใบรับรอง ISO 13485 สำหรับชุดตรวจและตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ
8 มิถุนายน 2566 ณ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ - ผศ. ดร. ธนากร โอสถจันทร์ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นตัวแทนรับมอบใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพสำหรับเครื่องมือแพทย์ ISO 13485:2016 จากนายจงรักษ์ โรจน์พลาเสถียร ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (MASCI) โดยมี ดร. เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน, ดร. ณัฐปภัสร วิริยะชัยพร และดร. จีราพร ลีลาวัฒนชัย จากทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน พร้อมด้วย นางสุดา สินสุวรรณรักษ์ ผู้จัดการงานระบบคุณภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม นาโนเทค สวทช. เข้าร่วมรับมอบ
ใบรับรองระบบบริหารงานคุณภาพสำหรับเครื่องมือแพทย์ ISO 13485:2016 เป็นการรับรองใน 2 ส่วน คือ การออกแบบและพัฒนาชุดตรวจและน้ำยาสำหรับวินิจฉัยภายนอกร่างกาย ประกอบด้วย ชุดตรวจโปรตีนอัลบูมินเพื่อคัดกรองโรคไต (GO-sensor Albumin test), ชุดตรวจไกลเคทเตตอัลบูมินสำหรับคัดกรองและตรวจติดตามโรคเบาหวาน (SugarAL), ชุดตรวจเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (NANO Covid-19 Antigen Rapid Test), ชุดตรวจเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (NanoFlu Rapid Test) และการออกแบบและพัฒนาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพเพื่อทดสอบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อ (Biological Indicators: BI)
“ISO 13485 นี้ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันงานวิจัยทางด้านการแพทย์ของนาโนเทค และ สวทช. ที่จะเข้าสู่การวิจัยทางคลินิค (Clinical Trial) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ในการขึ้นทะเบียนในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO13485 จะทำให้ นาโนเทค สามารถผลิตชุดตรวจทางการแพทย์ที่มีการควบคุมมาตรฐานอย่างมีระบบ ทำให้เป็นที่ยอมรับของพันธมิตรที่เข้าร่วมในโครงการ เสริมสร้างระบบนิเวศน์อุตสาหกรรมของการผลิตชุดตรวจทางการแพทย์ภายในประเทศ และเอื้อให้ประชาชนจะได้สามารถเข้าถึงชุดตรวจที่มีคุณภาพที่ผลิตด้วยศักยภาพของนักวิจัยไทยในลำดับต่อไป” ผศ. ดร. ธนากร กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไบโอเทค/สวทช. จับมือ มจธ. นำคณะเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ชี้เป็นแล็บต่อยอดวิจัยระดับสูงเชิงพาณิชย์ หนุนอุตฯ ชีวเวชภัณฑ์ของประเทศ
(9 มิ.ย. 66) ที่ มจธ.บางขุนเทียน - ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เปิดอาคารโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (NBF) ให้คณะผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัยไทย-สหราชอาณาจักร ในโครงการความร่วมมือวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีววัตถุและวัคซีนด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ และคณะสื่อมวลชน เข้าเยี่ยมชมห้องแล็บเพื่อการวิจัยต่อยอดขั้นสูงจาก Lab-scale สู่ Pilot-scale สำหรับงานเชิงพาณิชย์ พร้อมมีส่วนช่วยพัฒนาศักยภาพบุคลากร องค์ความรู้ และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง รองรับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ของประเทศ
โดยมีผู้บริหาร มจธ. นำโดย ดร.กัญญวิมว์ กีรติกร รองอธิการบดีอาวุโสฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม รศ.ดร.โสฬส สุวรรณยืน รองอธิการบดี มจธ.บางขุนเทียน ร่วมด้วย รศ.ดร.ชวิน จันทรเสนาวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนาความเป็นสากล พร้อมด้วยทีมนักวิจัยไบโอเทค และ มจธ. ร่วมต้อนรับ และกล่าวแนะนำภาพรวมโรงงานและความร่วมมือ
ดร.วรินธร สงคสิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ ไบโอเทค สวทช. กล่าวถึงความสำคัญและความจำเป็นในการสร้างความร่วมมือสนับสนุนการจัดตั้งโรงงานต้นแบบเพื่อผลิตชีววัตถุและสารมูลค่าสูงของประเทศ ด้วยเล็งเห็นถึงคอขวดของการเชื่อมต่องานวิจัยด้านยาชีววัตถุ (Biopharmaceuticals) ซึ่งเป็นยาที่ผลิตโดยใช้กระบวนการเทคโนโลยีชีวภาพสู่การทดลองในมนุษย์และเชิงพาณิชย์ ดังนั้นศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. จึงร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จัดตั้ง “โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ (National Biopharmaceutical Facility, NBF)” ขึ้นในปี 2551 โดยตั้งอยู่ ณ มจธ.บางขุนเทียน
“ไบโอเทคมีการวิจัยและพัฒนาในโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือ NBF มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากระบวนการผลิตชีววัตถุและวัคซีนในระดับห้องปฏิบัติการ ได้หลายแพลตฟอร์มแล้ว เช่น แพลตฟอร์มของ monoclonal antibody ที่เป็นกลุ่มชีววัตถุที่ใช้เป็นยาต้านมะเร็ง, แพลตฟอร์ม plasmid DNA และแพลตฟอร์มกลุ่มโปรตีนเพื่อการรักษาโรค เช่น PCV2d ซึ่งเป็นวัคซีนความร่วมมือของไทยโดยไบโอเทค มจธ. และพันธมิตรสหราชอาณาจักรภายใต้ความร่วมมือโครงการ GCRF รวมถึงการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ BPCL ที่มีการให้บริการวิเคราะห์โปรตีนและสารพันธุกรรม นอกจากนี้ ไบโอเทคและพันธมิตรเอกชนยังได้มีความร่วมมือกับ NBF ในการผลิตวัคซีนสำหรับหมูในโรคอื่นที่เป็นการระบาดในประเทศไทย ได้แก่ PEDV และ PRRS โดยปัจจุบันมีการผลิตธนาคารเซลล์ที่ใช้เพาะเลี้ยงไวรัส ณ โรงงานต้นแบบนี้เรียบร้อยแล้ว” ดร.วรินธร สงคสิริ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ นักวิจัย โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ มจธ. กล่าวว่า โรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือ National Biopharmaceutical Facility (NBF) สร้างขึ้นเพื่อเป็นหน่วยเชื่อมต่องานของนักวิจัยกับการทดสอบยาชีววัตถุและวัคซีนในขั้น pre-clinic และ clinical phase I, II โดย NBF มีหน่วยงานที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนากระบวนการผลิตระดับเล็ก (มากกว่าหรือเท่ากับ 5 ลิตร) ระดับ pilot (5 - 30 ลิตร) สำหรับทั้งกระบวนการต้นน้ำ (การหมัก/เลี้ยงเซลล์) และปลายน้ำ (การทำให้สารบริสุทธิ์) ไปจนถึงการผลิตในโรงงานต้นแบบที่มีกำลังการผลิตสูงสุดคือ 2,000 ลิตร รวมถึง NBF ยังมีเครื่องมือและห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ชีววัตถุและวัคซีน ที่พร้อมรองรับการวิเคราะห์ตั้งแต่คุณลักษณะเบื้องต้น ไปจนถึงระดับที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูงและเครื่องมือที่ทันสมัย เช่น การวิเคราะห์ลำดับขั้นของสารพันธุกรรม และโปรตีน เป็นต้น
“สำหรับวัคซีนในโครงการไทย-สหราชอาณาจักร โครงการมีการพัฒนา candidate vaccine (วัคซีนที่อยู่ระหว่างการคัดเลือก) สำหรับหมู เป็นวัคซีน Porcine Circovirus type 2d (PCV2d) ซึ่งขณะนี้ได้ทดสอบวัคซีนต้นแบบในสัตว์เล็กคือ หนูและกระต่ายไปแล้ว พบว่า วัคซีนต้นแบบสามารถกระตุ้นให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกันที่จำเพาะกับไวรัส PCV2 ได้ และมีแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ที่ลดการติดเชื้อของไวรัสในระบบเซลล์ได้ อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดต้องไปทำการทดลองในสัตว์ที่จะใช้จริง คือ สุกร ซึ่งอาจจะทำในประเทศไทยไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ที่เหมาะสม และการหาหมูที่ไม่ได้ฉีด PCV2 มาก่อน ขณะเดียวกัน ทาง NBF และมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (UCL) ได้มีการทำงานร่วมกันด้านการพัฒนากระบวนการผลิตและขยายขนาดไปที่ 30 ลิตร ซึ่งกระบวนการผลิตดังกล่าว ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถผลิต candidate vaccine PCV2d ได้มากถึง 200,000 โดส ต่อขนาดการผลิต 30 ลิตร ดังนั้น ภาพรวมของโครงการนี้คือ อยู่ระหว่างทดลองในหมู และนำผลการศึกษาไปปรึกษากับทาง อย. เพื่อหาแนวทางร่วมกัน สำหรับโอกาสการขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับสัตว์ที่ผลิตภายในประเทศต่อไป” ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ กล่าว
ทั้งนี้ ในการเยี่ยมชมโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ ทำให้เห็นภาพความสำคัญของการวิจัยต่อยอดเพื่อรองรับอุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ของหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทย โดยคณะครั้งนี้ได้เข้าเยี่ยมชมหน่วยงาน 3 แห่ง ได้แก่ แห่งแรก ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมกระบวนการชีวภาพ (Bioprocess Research and Innovation Centre, BRIC) เพื่อเห็นภาพของการ Scale-up จาก Lab scale สู่ Pilot scale แห่งที่สองคือ ห้องปฏิบัติการ Biopharmaceutical Characterization Laboratory (BPCL) เพื่อเห็นภาพการวิเคราะห์คุณสมบัติลักษณะเฉพาะยาชีววัตถุ เช่น กลุ่มวัคซีน ยา anti-cancer เป็นต้น และแห่งที่สามคือ ส่วนการผลิตโดยใช้ระบบ single-use system ณ อาคารโรงงานต้นแบบผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ เพื่อเห็นภาพของการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำโดยมีกำลังการผลิตที่สูงสุด 2,000 ลิตร ที่ตั้งอยู่ในโรงงานด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ผนึก กรมโรงงานฯ สภาอุตฯ จัดสัมมนา End of Waste Thailand ติดอาวุธผู้ประกอบการ เปลี่ยนของเสียในอุตสาหกรรมเป็น ‘ทรัพยากร’
For English-version news, please visit : End of Waste Thailand Seminar presents opportunities for Thai industry to go green
(วันที่ 8 มิถุนายน 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) และโปรแกรม ITAP ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดสัมมนา End of Waste Thailand โอกาสและการผลักดันสู่ความสำเร็จ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมตามหลักการ End of Waste ซึ่งมีผู้ประกอบการกว่า 60 บริษัทเข้าร่วมงาน
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า การสัมมนา “End of Waste Thailand โอกาสและการผลักดันสู่ความสำเร็จ” ที่จัดขึ้นครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ความสำคัญ ในหลักการ End of waste และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยการนำงานวิจัยและพัฒนาที่หน่วยงานวิจัยมีองค์ความรู้ ประสบการณ์ หรือ ผลงานพร้อมใช้อยู่แล้วสู่การประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว เพื่อส่งเสริมผลักดันให้เกิดกฎระเบียบ หรือการปลดล็อคสู่การสิ้นสุดความเป็นของเสีย (waste) ให้ได้มากที่สุดและเป็นส่วนสำคัญให้เกิดการร่วมกันทำวิจัยเพิ่มมูลค่าให้กับกากของเสียอุตสาหกรรม เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้และขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ และสามารถผลักดัน End of Waste Thailand ให้เกิดขึ้นได้ในเร็ววัน
“สวทช. มีทิศทางการทำงานวิจัยเพื่อผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ตามนโยบายภาครัฐ มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แนวทาง Enhancing Waste Utilization with Industrial Symbiosis (IS) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนของเสีย (waste) จากอุตสาหกรรมหนึ่ง ไปสู่การเป็นวัตถุดิบ (materials) ให้อีกอุตสาหกรรมหนึ่ง เป็นแนวทางในการทำวิจัยของ สวทช. มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยนักวิจัยได้สั่งสมประสบการณ์การทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของ สวทช.”
ดร.จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า การขับเคลื่อน End of waste Thailand จะสำเร็จลุล่วงได้ ต้องอาศัยจากความร่วมมือจาก 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ หน่วยงานรัฐผู้กำหนด กฎระเบียบ กติกา โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม หน่วยงานภาคอุตสาหกรรม ผ่านทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานวิจัย โดย สวทช. ทั้งนี้ End of Waste Thailand เป็นแนวคิดที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะนำมาใช้กับการจัดการกากอุตสาหกรรมและพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
“ในระยะแรกกากอุตสาหกรรมที่กรมโรงงานฯจะผลักดันภายใต้แนวคิด End of Waste จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มชีววัตถุ (Bio materials) และกลุ่มแร่ธาตุพื้นฐาน (Basic mineral substances)
End of Waste สามารถช่วยลดปัญหาก๊าซเรือนกระจก ลดการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ลดค่าใช้จ่ายในการจัดการของเสีย ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากกากอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความปลอดภัยต่อการใช้งาน นำไปสู่การเป็น Green industry ตามนโยบาย MIND ของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ ใช้ “หัว” และ “ใจ” ปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชน”
ด้าน นายพร้อมพร อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะทำงานพัฒนาแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (The Circular Material Hub) สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายหนึ่งในการดำเนินงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คือ การเร่งนำผลงานวิจัยไทยมาประยุกต์ใช้กับการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของสภาอุตสาหกรรมฯ โดยได้นำแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียน สร้างโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ ควบคู่กับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มากำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาโมเดล Smart Agriculture Industry (SAI) โดยใช้ศักยภาพและความพร้อมของสมาชิกฯ เพื่อเป็นต้นแบบศูนย์ผลิตแหล่งโปรตีนจากพืชตามหลัก BCG แห่งแรกของประเทศ และมีแผนในการขยายไปยังจังหวัดต่าง ๆ
นอกจากนี้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานวิจัย สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะ สวทช. ทั้งความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ในการจัดทำฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมเพื่อรองรับมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) และล่าสุดได้หารือกับทีมผู้บริหารศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ถึงแนวทางความร่วมมือด้านการขับเคลื่อน Smart Agricultural Industry (SAI) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามนโยบาย One FTI ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ต้องการให้เกิดการทำงานเป็นทีมเดียวกันของภาครัฐ หน่วยวิจัย และอุตสาหกรรม
“สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีกลุ่มอุตสาหกรรมสมาชิกที่หลากหลายใน 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุม 75 จังหวัด มีทั้งอุตสาหกรรมผู้ก่อกำเนิดของเสีย(waste generator) อุตสาหกรรมรับขนส่งของเสีย(waste transporter) และอุตสาหกรรมรับบำบัด กำจัด ของเสีย(waste processor) ดังนั้น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจึงสามารถเข้ามามีบทบาท และร่วมมือที่จะผลักดัน End of waste ได้ในทุกขั้นตอน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้กฎระเบียบ End of waste เกิดขึ้นได้จริงในประเทศ”
ภายในงานสัมมนาครั้งนี้มีบริการให้คำปรึกษาเชิงเทคนิคแก่ผู้ประกอบการที่สนใจการวิจัยและพัฒนาเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้ง โดยทีมวิจัยผู้เชี่ยวชาญของ สวทช. รวมถึงคำปรึกษาด้านการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทำโครงการ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยโปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) รวมทั้งมีการนำเสนอนิทรรศการผลงานวิจัยด้านการเพิ่มมูลค่ากากของเสียโดย สวทช. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
################
ข่าวประชาสัมพันธ์
ไทย-UK โดย ไบโอเทค มจธ. และ ม.เคนท์ ม.คอลเลจลอนดอนแถลงผลความสำเร็จ 3 โครงการร่วมวิจัย ทุนร่วมกว่า 170 ล้านบาทมุ่งเดินหน้า 2 เรื่องใหญ่ (ชีวเวชภัณฑ์ และสาหร่ายเซลล์เดียว) ตอบโจทย์อุตสาหกรรม
For English-version news, please visit : Thai-UK research collaboration leads to successful development of biotechnological products for animal health
7 มิ.ย. 66 ที่ อว. - ประเทศไทย โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. และ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ร่วมกับ สหราชอาณาจักร (UK) โดย ม.เคนท์ (University of Kent) และ ม.ยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน (University College London: UCL) แถลงข่าวความร่วมมือวิจัยไทย-UK ในเรื่อง “การพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อสุขภาพสัตว์: จากการวิจัยสู่การประยุกต์ใช้” ใน 3 โครงการวิจัย ทุนร่วมกว่า 170 ล้านบาทจากรัฐบาล UK และไทย เพื่อดำเนินงานใน 2 เรื่องใหญ่ ได้แก่ ชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสำหรับสัตว์ และเทคโนโลยีสาหร่ายเซลล์เดียวเพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมชีวเวชภัณฑ์ และอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปศุสัตว์ ทั้งในระดับประเทศและอาเซียน พร้อมมีส่วนสำคัญช่วยยกระดับสุขภาพและสุขอนามัยสัตว์โดยรวมให้แก่ประเทศไทย เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ยกระดับสาธารณสุข และสร้างศักยภาพนักวิจัยไทย
โดยมี ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ รองปลัดกระทรวง อว. ร่วมด้วย Mr. David Thomas อุปทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. และ ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รองผู้อำนวยการไบโอเทค ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยในโครงการร่วมในงาน
ในภาพรวมของความร่วมมือระหว่างไทยและ UK ศาสตราจารย์โคลิน โรบินสัน (Prof. Dr. Colin Robinson) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยเคนต์ สหราชอาณาจักร ระบุว่า ประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เป็นผู้ผลิตอาหารที่สำคัญระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและปศุสัตว์ ปัจจุบันความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารจากอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีการจัดการด้านสุขภาพสัตว์ที่มีประสิทธิภาพรวมถึงมาตรการป้องกันเพื่อรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์และการจัดการโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมดังกล่าวในภูมิภาคอาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ จึงเล็งเห็นว่าความร่วมมือด้านวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อปิดช่องว่างทางเทคโนโลยีและสร้างขีดความสามารถของประเทศกำลังพัฒนาในด้านสุขภาพสัตว์ โดยเฉพาะการผลิตวัคซีนและยาชีววัตถุสำหรับสัตว์
เทคโนโลยีสาหร่ายเซลล์เดียวเพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง
โดยความร่วมมือในการวิจัยเรื่องแรก เป็นผลงานที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เชิงพาณิชย์แล้ว คือ เทคโนโลยีสาหร่ายเซลล์เดียวเพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้ง ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากจากการระบาดของเชื้อก่อโรคต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต ซึ่งสร้างความสูญเสียมากถึง 60% ของผลผลิตในประเทศ และยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยการติดเชื้อไวรัส แม้ว่าจะไม่ระบาดรุนแรงเหมือนช่วง 20 - 30 ปีที่แล้ว แต่ยังก่อให้เกิดความเสียหายยกบ่ออยู่อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยเฉพาะการระบาดของโรคตัวแดงดวงขาว (White Spot Syndrome Virus-WSSV) และโรคหัวเหลือง (Yellow Head Virus-YHV) ที่ยังมีการรายงานการระบาดอยู่อย่างต่อเนื่องในภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทย
ศ. โคลิน โรบินสัน กล่าวในเรื่องนี้ว่า Kent ร่วมกับ UCL และไบโอเทค ร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการใช้สาหร่ายเซลล์เดียว (microalgal-based platform) เพื่อการป้องกันโรคในอุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านโครงการร่วมวิจัย ได้แก่ โครงการ Establishment of RNAi-based algal technology for sustainable disease control in shrimp cultivation (ได้รับทุนจาก สกสว. และ The Royal Society สหราชอาณาจักร จำนวน 74,000 ปอนด์ หรือราว 3.18 ล้านบาท) และโครงการ Development of novel microalgal-based systems for shrimp disease control in South East Asia (ได้รับทุนจาก The Royal Society สหราชอาณาจักร จำนวน 219,404 ปอนด์ หรือราว 9.44 ล้านบาท)
ด้านนักวิจัยไทย ดร.วรรณวิมล ศักดิ์เสมอพรม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพปลาและกุ้งไบโอเทค เปิดเผยว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบที่ใช้เทคโนโลยีการแสดงออกของยีนแบบใหม่ในการผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ (double-stranded RNA; dsRNA) โดยใช้คลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวแบบไม่มียีนต้านยาปฏิชีวนะปนเปื้อนสำหรับใช้ผสมในอาหารเลี้ยงกุ้ง ซึ่งจากงานวิจัยที่ผ่านมาทีมวิจัยไบโอเทคได้ทำงานร่วมกับทีมจาก Kent และ UCL โดยสามารถผลิตอาร์เอ็นเอสายคู่ในคลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพยับยั้งไวรัสหัวเหลืองและไวรัสตัวแดงดวงขาว ผ่านการให้ผงสาหร่ายลูกผสมเป็นอาหารเสริมแก่ลูกกุ้ง โดยผลวิจัยล่าสุด พบว่า การให้อาหารผสมสาหร่ายเซลล์เดียวลูกผสมช่วยรักษาอัตราการรอดชีวิตของลูกกุ้งขาวจากการติดเชื้อไวรัสตัวแดงดวงขาวได้ถึง 70% โดยเทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในการป้องกันการเกิดโรคไวรัสและโรคที่เกิดจากเชื้อก่อโรคชนิดอื่นได้ทั้งในประเทศไทยและระดับภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ เครือข่ายความร่วมมือดังกล่าวยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงสาหร่ายอาหารเสริมที่ผลิตวัคซีนรีคอมบิแนนท์ เพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคให้กับทั้งกุ้งและปลา มีส่วนช่วยในการนำอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของประเทศไทยกลับเข้ามาสู่การเป็นผู้นำการผลิตสัตว์น้ำของโลกได้อีกครั้งหนึ่ง
ด้าน ศาสตราจารย์ซอล เพอร์ตัน (Prof. Saul Purton) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพสาหร่าย มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน และผู้อำนวยการ Algae-UK กล่าวว่า ในโครงการร่วมวิจัยนี้ได้ร่วมกับ ศ. โคลิน โรบินสัน พัฒนาเทคโนโลยีวิศวกรรมซึ่งสามารถทำให้คลอโรพลาสต์ของสาหร่ายเซลล์เดียวผลิตสารชีวโมเลกุล เช่น dsRNA และโปรตีนสำหรับผลิตวัคซีน โดยเทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำ ใช้งานง่าย และมีราคาต้นทุนต่ำ ทั้งสองกลุ่มทำงานร่วมกับนักวิจัยไบโอเทคในการพัฒนาวัคซีนสัตว์ต้นทุนต่ำโดยใช้แพลตฟอร์มสาหร่ายเซลล์เดียว เพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปสู่เชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญที่ผสมผสานกันระหว่างทีมจากสหราชอาณาจักรและทีมจากประเทศไทย การใช้สาหร่ายเซลล์เดียวต้านไวรัสในอาหารสัตว์น้ำเพื่อควบคุมโรคได้สร้างกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการเพาะเลี้ยงกุ้งเพื่อการผลิตอาหารที่ยั่งยืนในอนาคต
ชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสำหรับสัตว์
และอีกหนึ่งความร่วมมือวิจัยระหว่างประเทศคือ ชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสำหรับสัตว์ ซึ่งประกอบด้วย 2 โครงการวิจัย ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพในการผลิตชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสัตว์สำหรับสัตว์ในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ โครงการสร้างขีดความสามารถบุคลากรด้านการผลิตชีวเวชภัณฑ์และวัคซีน โดยข้อมูลปัจจุบัน พบว่า อุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรในประเทศไทยมีผู้ประกอบการเกือบ 150,000 ราย และยังมีผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก “วัคซีนสัตว์” จึงนับเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรคจากไวรัสที่รุนแรงในสัตว์ แต่วัคซีนสำหรับสุกรในประเทศไทยเกือบทั้งหมดพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศซึ่งราคาแพงและมีประสิทธิภาพน้อยกว่า เนื่องจากสายพันธุ์ของไวรัสในท้องถิ่นนั้นแตกต่างกัน ฉะนั้น เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์และชีวภัณฑ์ในประเทศไทยและประเทศในอาเซียน สถาบันชั้นนำในสหราชอาณาจักร ประกอบด้วย Kent, UCL, Imperial College, London School of Hygiene & Tropical Medicine และสถาบันชั้นนำในประเทศไทย คือ ไบโอเทค และ มจธ. จึงได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการร่วมวิจัยหัวข้อการพัฒนาศักยภาพในการผลิตชีวเวชภัณฑ์และวัคซีนสำหรับสัตว์ในประเทศไทยและประเทศในอาเซียน ที่ได้รับทุนวิจัยจำนวน 3.9 ล้านปอนด์ (160 ล้านบาท) จาก The Global Challenges Research Fund (GCRF) สหราชอาณาจักร เป็นระยะเวลา 4.5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2565)
ในผลงานนี้ ศ. โคลิน โรบินสัน กล่าวว่า โครงการวิจัยมุ่งพัฒนาแพลตฟอร์มการผลิตโปรตีนรีคอมบิแนนท์ในปริมาณและคุณภาพที่จำเป็นสำหรับการใช้ผลิตยาชีววัตถุที่คล้ายคลึง (biosimilar) สำหรับมนุษย์และวัคซีนและยาชีววัตถุ (vaccine and biotherapeutics) สำหรับสุกรที่มีราคาต้นทุนต่ำ สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง โดยขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ เช่น การพัฒนาเซลล์ที่ผลิตโปรตีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงปลายน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่าเวชภัณฑ์สามารถผ่านมาตรฐานสากลได้
สำหรับงานวิจัยที่เกี่ยวกับการปศุสัตว์ ดร.พีร์ จารุอำพรพรรณ หัวหน้าทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ไบโอเทค เปิดเผยว่า ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการผลิตต้นแบบของวัคซีนไวรัสเซอร์โคในสุกร ชนิดที่ 2 (PCV2d) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสก่อโรค และเป็นสาเหตุหลักของกลุ่มอาการทรุดโทรมหลังหย่านมในสุกร โดยใช้การหมักแบคทีเรียและกระบวนการทำบริสุทธิ์ขั้นตอนเดียว ขยายขนาดได้ถึง 30 ลิตร ให้ผลคงที่ทั้งในห้องปฏิบัติการที่สหราชอาณาจักรและไทย ผลการทดสอบเบื้องต้นในสุกร
พบว่า มีความปลอดภัยและอยู่ระหว่างประเมินประสิทธิภาพความคุ้มโรคในสัตว์ นอกจากนี้ยังได้เริ่มงานวิจัยเกี่ยวกับการผลิตอินเตอร์เฟอรอนสุกรจากการหมักยีสต์ลูกผสม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือการจัดการสุขภาพสัตว์ในฟาร์มในอนาคต เช่น เป็นสารเสริมภูมิคุ้มกัน หรือเป็นยาฉุกเฉินเพื่อจำกัดการระบาดของไวรัส โดยมีผลการผลิตในระดับห้องปฏิบัติการจากโครงการเป็นที่น่าพอใจ ได้รับทุนวิจัยต่อยอดเพื่อการผลิตในระดับใหญ่ขึ้นจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในปี 2565
ด้าน ผศ.ดร.ลลิลทิพย์ หอเจริญ นักวิจัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวเสริมว่า นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิตวัคซีนวัคซีนสำหรับสัตว์และชีวภัณฑ์ในประเทศไทยแล้ว โครงการยังได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรด้านพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมชีววัตถุในประเทศไทย จึงส่งเสริมการฝึกอบรมตลอดระยะเวลาโครงการ ผ่านการทำวิจัยร่วม ณ หน่วยงานเครือข่าย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นด้านกระบวนการผลิต
ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก the Royal Academy of Engineering, Newton Fund, สหราชอาณาจักร ภายใต้โครงการ Establishing a bioprocess workforce in Thailand to deliver affordable biological medicines through biomanufacturing education and industrial-research integration (200,000 ปอนด์ หรือราว 8.6 ล้านบาท) โดยมีความร่วมมือกับ UCL ซึ่งหลักสูตรอบรมนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมชีววัตถุ เป็นการอบรมแบบภาคปฏิบัติพร้อมกรณีศึกษาให้กับบุคลากรที่ทำงานด้านชีววัตถุจำนวน 270 คน จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานต่างประเทศ มากกว่า 15 แห่ง ในปี 2565
ข่าวประชาสัมพันธ์
Facebook Live…ขอเชิญร่วมรับฟังผลการศึกษาการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO5
ขอเชิญร่วมรับฟังผลการศึกษาการใช้น้ำมันไบโอดีเซลในรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO5
โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช.
วันที่ 9 มิถุนายน 2566 เวลา 13:30 เป็นต้นไป
ถ่ายทอดสดจากโรงแรมมณเฑียร ห้องประชุมมณเฑียรทิพย์ 4 กรุงเทพฯ
ติดตามรับชมได้ทาง NSTDA-สวทช.
กำหนดการ
งานสัมมนาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการศึกษา
การใช้น้ำมันไบโอดีเซลกับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐานไอเสีย EURO5
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 เวลา 11:30 – 16:00 น.
ณ โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ ห้องประชุมมณเฑียรทิพย์ 4 ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
**************************************
11:30 – 12:00
ลงทะเบียน
12:00 – 13:30
รับประทานอาหารกลางวัน
13:30 – 14:30
พิธีเปิดงานสัมมนาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลการศึกษาของโครงการฯ
- กล่าวรายงาน โดย ดร.ลิลี่ เอื้อวิไลจิตร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ
- กล่าวเปิดงานสัมมนาประชาสัมพันธ์ โดย คุณสุรีย์ จรูญศักดิ์ รองอธิบดี
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
- การเยี่ยมชมรถยนต์ทดสอบที่ผ่านการสาธิตการใช้งานในสภาพการจราจรจริงเป็นระยะทาง 90,000 กิโลเมตร
- การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
14:30 – 14:40
พักรับประทานอาหารว่าง
14:40 – 15:00
การบรรยายพิเศษเรื่อง “มาตรฐานไอเสีย EURO5 สำหรับยานยนต์ และผลกระทบต่อมลพิษทางอากาศ”
โดย คุณนุชจริยา อรัญศรี ผู้อำนวยการส่วนมลพิษจากยานพาหนะ และนักวิชาการ สิ่งแวดล้อมชำนาญการพิเศษ กรมควบคุมมลพิษ
15:00 – 15:30
การรายงานผลการศึกษา การใช้น้ำมันไบโอดีเซลกับรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กมาตรฐาน ไอเสีย EURO5
15:30 – 16:00
การตอบข้อซักถามและรวบรวมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ปฏิทินกิจกรรม


