ผลการค้นหา :

สวทช. นำ EECi ผนึก อบจ.ระยอง เสริมแกร่งชุมชนด้วยวิทย์และนวัตกรรม
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 ณ กลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) Headquarters วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi ระหว่าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง โดยมี ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการ EECi และนายสมศักดิ์ พะเนียงทอง รักษาการผู้อำนวยการสถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยจังหวัดระยอง ร่วมเป็นสักขีพยาน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้เป็นผู้พัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi โดยมีบทบาทในการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ผ่านกลไกของ EECi ร่วมกับพันธมิตรจากทั้งหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา ภาคประชาชน และภาคเอกชน ซึ่ง สวทช. ถือเป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งเครื่องมือ บุคลากร และบริการที่พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมการนำ วทน. ไปช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชน ภาคเกษตรกร และผู้ประกอบการ ตลอดประชาชนทุกภาคส่วนในพื้นที่ จ.ระยอง อาทิ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร EECi อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC), ศูนย์บริการวิเคราะห์ทดสอบ NCTC เป็นต้น นอกจากนี้ สวทช. ยังมีกลไกและบริการที่ช่วยยกระดับสร้างความเข้มแข็งให้กับ SMEs และ สตาร์ตอัป ได้แก่ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) ศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี และ FoodInnopolis เป็นต้น
“การพัฒนาพื้นที่ในมิติต่างๆ ทั้งด้านเด็กและเยาวชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ โดยนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนเครื่องมือต่างๆ ของ สวทช.เหล่านี้ มาใช้ในพื้นที่จะไม่สำเร็จและสร้างผลกระทบได้เลย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในท้องถิ่น ซึ่งเข้าใจความต้องการและปัญหาที่แท้จริง สามารถเข้าถึงชุมชนและทรัพยากรในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยปรับแปลงเทคโนโลยีให้เหมาะกับการพัฒนามากที่สุด ทั้งนี้ สวทช. ยินดีอย่างยิ่งที่หน่วยงานท้องถิ่น โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง มีเป้าหมายเดียวกันกับ สวทช. และได้มอบหมายให้สถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยจังหวัดระยอง (RILA) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ร่วมกับ EECi เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การพัฒนาพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในทุกมิติ” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง ในฐานะหน่วยงานที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ตระหนักและให้ความสำคัญการพัฒนาเขคพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นพื้นที่ที่จะสร้างการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศ ที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เน้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ และถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับประเทศไทย ประการที่สอง คนระยองจะต้องได้รับประโยชน์จากการลงทุนของนักลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งในด้านการมีงานทำที่ทันสมัย โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการใช้ชีวิตที่ทันสมัย และคนระยองที่มีอาชีพพื้นฐานของจังหวัดต้องได้รับรายได้มากขึ้นจากการที่มีคนมาอาศัยอยู่ในระยองและมีกำลังซื้อมาก ๆ
“อบจ.ระยอง มีกลไกในการพัฒนากำลังคนของจังหวัดระยองทั้งในด้านการศึกษา การสาธารณสุข การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมอาชีพเกษตร ประมง การท่องเที่ยว และพาณิชยกรรม จึงได้ให้ความร่วมมือในการประสานการกำหนดพื้นที่เป้าหมายของเขตอุตสาหกรรม และการวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนา และการใช้ชีวิตของผู้ประกอบการ นักลงทุน และกำลังแรงงานที่จะมาอยู่ในระยอง ขณะเดียวกันก็ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ในกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขี้นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งศึกษาความต้องการด้านกำลังคนที่จำเป็นในกลุ่มอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งจัดทำข้อบัญญัติ และการจัดตั้งงบประมาณ ตามผลการศึกษาความเป็นไปได้
ทั้งนี้สถาบันการเรียนรู้ของคนทุกช่วงวัยจังหวัดระยอง หรือสถาบัน RILA เป็นกลไกหนึ่งในการพัฒนากำลังคนของคนทุกช่วงวัยตั้งแต่ก่อนวัยเรียน วัยเรียน วัยแรงงาน และผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดจากการวิจัยที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อที่จะเป็นสถาบันในการจัดการความรู้เพื่อพัฒนากำลังคนของจังหวัดระยองให้สอดคล้องกับการพัฒนาของจังหวัด และขณะเดียวกันจะเป็นกลไกในการให้ความร่วมมือกับองค์กร หรือหน่วยงานที่เข้ามาจัดการองค์ความรู้ในการพัฒนาคนระยอง และจังหวัดระยอง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและความยั่งยืนในการพัฒนาคนระยอง และจังหวัดระยองต่อไป”
ด้าน ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. และผู้อำนวยการ EECi กล่าวเสริมว่า การ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินการร่วมกันใน 3 ด้าน ได้แก่ 1.ร่วมสนับสนุนข้อมูลและองค์ความรู้ ตลอดจนบุคลากรและทรัพยากรเพื่อให้ขับเคลื่อนการพัฒนา EECi อย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่ จ.ระยอง 2. ดำเนินกิจกรรมวิจัย พัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการนำผลงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ไปร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในจังหวัดระยอง และ 3. จัดหาและร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. เพื่อรองรับกิจกรรมงานวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมของทุกภาคส่วนในจังหวัดระยอง โดยมุ่งเน้นไปยัง 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กและเยาวชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ
ข่าวประชาสัมพันธ์

ระบบสำรองพลังงานแบบยาวนาน (Long Duration Storage)
การสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบโครงข่ายพลังงานหรือระบบกริด (grid energy storage system) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการกักเก็บพลังงานจากพลังงานทดแทน โดยเฉพาะจากลมและแสงแดดที่ผันผวน และจากความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีระบบสำรองไฟฟ้าที่มีสมรรถนะดีและต้นทุนเหมาะสม
ปกติแล้วเทคโนโลยีสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบกริดใช้แบตเตอรี่ “ลิเทียมไอออน” ซึ่งมีประสิทธิภาพดี แต่มีต้นทุนสูง แร่ลิเทียมมีราคาแพงและมีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ตัวแบตเตอรี่อาจระเบิดได้ สารเคมีที่ใช้เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปใช้สำรองไฟฟ้าได้นาน 4 ชั่วโมง แต่เนื่องจากความต้องการพลังงานมากขึ้น ควรสำรองให้ใช้งานได้อย่างน้อย 12 ชั่วโมง ซึ่งต้นทุนจะสูงขึ้นด้วย
ปัจจุบันมีแบตเตอรี่ทางเลือกหลายแบบมาใช้แทนแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เช่น เหล็ก สังกะสี โซเดียม รวมถึงแบตเตอรี่ไหลชนิดเหล็ก (iron flow battery) ที่ใช้เป็นระบบสำรองไฟฟ้าในระบบกริดของบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ช่วยสำรองไฟได้นาน 12–100 ชั่วโมง แบตเตอรี่ทางเลือกเหล่านี้มีจุดเด่นสำคัญคือ ต้นทุนที่ถูกกว่า เนื่องจากเป็นแร่ธาตุที่สามารถหาได้ง่าย อายุการใช้งานที่ยาวกว่า ไม่ระเบิด จึงปลอดภัยกว่า รีไซเคิลได้ และส่วนประกอบที่ใช้ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยมีแนวโน้มที่ต้องสำรองไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ตามสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ทางเลือกไว้ย่อมเป็นผลดีในหลายด้าน ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ หรือ NSD ของ สวทช. ได้นำร่องพัฒนาแบตเตอรี่ชนิด “สังกะสีไอออน” เพื่อเป็นทางเลือก โดยอยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อผลิตในระดับโรงงานต้นแบบที่ EECi ต่อไป นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยแบตเตอรี่ทางเลือกชนิดอื่น อาทิ แบตเตอรี่โซเดียมไอออน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีราคาถูกและหาได้ง่ายเช่นกัน
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

งานประชุมเมล็ดพันธุ์พืชแห่งเอเชีย ประจำปี 2022
ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอทเซ็นทรัลเวิร์ล :: 15 พฤศจิกายน 2565 งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียได้กลับมาจัดที่ประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไป 2 ปี และในปีนี้ได้กำหนดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14-18 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดยสมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA) ได้ร่วมกับ สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (THASTA) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมวิชาการเกษตร ในฐานะคณะกรรมการการจัดงานประจำประเทศไทย
คุณวิชัย เหล่าเจริญพรกุล ประธานคณะกรรมการ สมาคมเมล็ดพันธุ์พืชภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค และสมาชิกของสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย กล่าวว่า งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย เป็นเวทีในอุดมคติที่เปิดโอกาสให้เราได้รวมตัวพบปะหารือกันเกี่ยวกับเทรนด์ใหม่ๆ ความท้าทายและโอกาสต่างๆ ที่เรามีรวมถึงสิ่งที่ต้องกระทำเพื่อก้าวเดินต่อไปในภายหน้า เพื่อบรรลุพันธกิจและความมุ่งมั่นตั้งใจของเราที่มีต่อเกษตรกรและครอบครัวของพวกเราทุกคน งานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียในครั้งนี้ถือเป็นการจัดประชุมธุรกิจครั้งที่ 7 ในประเทศไทย นอกจากนี้ผ่านมางานประชุมเมล็ดพันธุ์แห่งเอเชีย หรือ ASC ในอดีตได้จัด ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศมาเลเซีย และในเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลียเมืองเซี่ยงไฮ้มาเก๊า เกาสง ประเทศจีน รัฐกัว กรุงนิวเดลลีบังกาลอร์และไฮเดอราบัด ประเทศอินเดีย เมืองชิบะและโกเบ ประเทศญี่ปุ่น กรุงจาการ์ตา และบาหลีประเทศอินโดนีเซีย กรุงโซลและอินชอน สาธารณรัฐเกาหลีและเมืองโฮจิมินท์ประเทศเวียดนาม
ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในฐานะประเทศผู้นำ ในด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์การแปรรูปเมล็ดพันธุ์และประเทศผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบายศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทย โดยการผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านเมล็ดพันธุ์เขตร้อนระดับโลก โดยมีแผนแม่บทยุทธศาสตร์พืชเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ข้าวโพดและผัก และแผนแม่บทยุทธศาสตร์พืชเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเพื่อความยั่งยืน ได้แก่ข้าว พืชไร่ พืชอาหารสัตว์และพืชบำรุงดิน และมี4 กลยุทธ์ในการขับเคลื่อน ดังนี้
การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีมุ่งเน้นงานวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงพันธุ์พืชด้วยเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่อย่างปลอดภัย พัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ต่างๆ เช่น การตรวจสอบพืช GMOs การจำแนกพันธุ์หรือศัตรูพืชเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ (Seed enhancement technology) เช่น การเคลือบเมล็ดหรือการพอกเมล็ดด้วยจุลินทรีย์ส่งเสริมการเจริญของพืชหรือธาตุอาหาร การวิจัยการทำ เกษตรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนและ ให้การรับรองระบบการทำการเกษตรไร้ก๊าซเรือนกระจก งานวิจัยเพื่อเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมที่มีลักษณะดีเป็นที่ต้องการของตลาดทั้ง conventional breeding และ modern breeding biotechnology พร้อมทั้งการสร้างฐานข้อมูลทรัพยากรพันธุกรรมพืชและพันธุ์พืชของประเทศไทยที่ทันสมัย นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเก็บรักษาพันธุกรรมพืชพื้นเมืองของชุมชนที่เกษตรกรสามารถดำ เนินการได้เองโดยได้รับการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อนำ มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชที่ดีและเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อความยั่งยืน
การปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบและมาตรการของภาครัฐ ด้วยการแก้ไข ปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ให้ทันสมัยมากขึ้น ปรับปรุงกฎระเบียบ ประกาศที่เกี่ยวข้องกับพืชดัดแปรพันธุกรรม และพืชที่ได้จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ภายใต้พรบ. กักพืช และเร่งรัดการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อกำกับดูแลสิ่งมีชีวิตที่ได้จากเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ตามร่าง พรบ. ความหลากหลายทางชีวภาพ และเตรียมพร้อมกฎหมายลำดับรองเพื่อกำกับดูแลให้ครอบคลุมในทุกกิจกรรมด้านเมล็ดพันธุ์
การส่งเสริมการผลิตและการตลาด กรมวิชาการเกษตรมีแผนในการให้การรับรองห้องปฏิบัติตรวจสอบสุขอนามัยเมล็ดพันธุ์ของภาคเอกชน (Seed Health Lab Accreditation) ให้สามารถตรวจรับรองการปลอดศัตรูพืชในเมล็ดพันธุ์ได้ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถออกใบรับรองสุขอนามัยพืชอิเล็กทรอนิกส์(e-Phyto) ได้โดยผ่านระบบบริการออนไลน์ระบบใหม่ของกรมวิชาการเกษตร (NEW DoA-NSW) เกี่ยวข้องกับการนำ เข้าส่งออก และนำผ่านของด่านตรวจพืช พร้อมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์เพื่อช่วยอำ นวยความ สะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและส่งเสริมอุตสาหกรรมการค้าธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของประเทศ นอกจากนี้ยังมีแผนการผลิตเมล็ดพันธุ์ร่วมกับชุมชนและผู้ประกอบการ เพื่อให้ได้ราคาเมล็ดพันธุ์ที่ยุติธรรมและเหมาะสมสำหรับเกษตรกรรายย่อย
การสร้างและพัฒนาบุคลากร กรมวิชาการเกษตรมีความร่วมมือระหว่างกับสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยและ ภาคเอกชนอื่น ๆ ในด้านการตรวจสอบคุณภาพและสุขอนามัยเมล็ดพันธุ์การตรวจสอบความบริสุทธิ์ทาง พันธุกรรม (Seed purity และ Seed free-GMs) เช่น โครงการทดสอบความชำ นาญ (PT) ระหว่าห้องปฏิบัติการของรัฐและเอกชน การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพันธุ์(นานาชาติ) เช่น สมาคมเมล็ดพันธุ์แห่งภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิค (APSA) และ สมาคมทดสอบเมล็ดพันธุ์นานาชาติ(ISTA) รวมถึงการฝึกอบรมระหว่างห้องปฏิบัติการของภาครัฐและภาคเอกชน
ด้าน ดร. ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) กล่าวถึงบทบาทของ สวทช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Seed Hub โดยการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เกิดการทำ งานร่วมกันที่เรียกว่า Seed cluster ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา สวทช. สนับสนุนการดำเนินงานใน 5 พันธกิจ ดังนี้
1.วิจัยและพัฒนา สร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่เมล็ดพันธุ์ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและชุดตรวจวินิจฉัยต่อเชื้อก่อโรคพืชในอุตสาหกรรมผลิตเมล็ดพันธุ์โดย BIOTEC เทคโนโลยีจีโนมในการวินิจฉัย ตรวจสอบ โรคและความบริสุทธิ์ของเมล็ดพันธุ์ลูกผสมสำ หรับการส่งออก เมล็ดพันธุ์และการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการคัดเลือกพันธุ์ซึ่งช่วยให้ภาคเอกชนส่งออกเมล็ดพันธุ์และพัฒนาพันธุ์ได้รวดเร็วขึ้น โดยศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC)
2.โครงสร้างพื้นฐาน เช่น หน่วยบริหารเชื้อพันธุกรรมพืชทั้งในระดับ working collection และ long-term security เช่น National Biobank of Thailand(NBT) โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ ม.ขอนแก่น ม.เทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และ ม.เกษตรศาสตร์
3.พัฒนาบุคลากร ได้แก่การสร้างนักปรับปรุงพันธุ์รุ่นใหม่ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์รุ่นใหม่
4.ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนและเกษตรกรรวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
5.สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและข้อมูลด้านตลาดเมล็ดพันธ์ุการทดสอบพันธุ์การทำ Business matching ของภาคเอกชน
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคเอกชนด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยมุ่งหวังให้อุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์เติบโต และมีความมั่นคงยั่งยืนทั้งระบบ
รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเพิ่มว่า ความร่วมมือระหว่างสมาคมฯ และกรมวิชาการเกษตร ในการพัฒนา Thailand Seed Hub สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ได้ส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ในการส่งเสริมและพัฒนาการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์พืช (Thailand Seed Hub) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสมาคมฯ ได้จัดงาน THAILAND INTERNATIONAL SEED TRADE ประจำปีขึ้นที่กรุงเทพฯ และได้เชิญผู้ประกอบการค้าเมล็ดพันธุ์รวมทั้งองค์กรพันธมิตรจากทั่วโลกมาประชุม เจรจาการค้าและการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางเมล็ดพันธุ์ในระดับสากล แล้วในฐานะสมาคมเมล็ดพันธ์พืชระดับภูมิภาค ทาง APSA มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเมล็ดพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มระดับภูมิภาคและระดับโลกที่หลากหลาย และแหล่งทรัพยากรระหว่างประเทศมีบทบาทสำคัญในการมองผ่านผลของกลยุทธ์นี้
และงานสำคัญอย่าง Asian Seed Congress ก็เป็นหนึ่งในเวทีหลักที่จะรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมารวมกันเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของภาคส่วนนี้และด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะคงตำแหน่งในฐานะ “เมืองหลวง”เมล็ดพันธุ์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป สร้างความมั่นใจว่าประเทศจะสามารถยืนหยัดในสถานะของตนในฐานะ ศูนย์กลางการจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชเมืองร้อนชั้นนำระดับโลกได้ ดร. ศรัณย์ กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

LANTA ติดอันดับที่ 70 ของโลก และเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนของการจัดลำดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสุดของโลก
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/nstda%E2%80%99s-supercomputer-ranks-70th-in-the-new-top500-list-of-the-world%E2%80%99s-most-powerful-supercomputers.html
ผลการจัดอันดับ TOP500 หรือการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ครั้งที่ 60 เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2565 ได้ประกาศว่าเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ถูกจัดให้เป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ประสิทธิภาพสูงสุดอันดับ 70 ของโลก หรือนับเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน ด้วยประสิทธิภาพในการคำนวณที่สูงถึง 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงข่าวการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ TOP500 ซึ่งเป็นการจัดอันดับเพื่อจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติของระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์จากทั่วโลก รวมทั้งยังถูกนำไปใช้ในการแสดงศักยภาพด้านการคำนวณอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ในการประกาศผลการจัดอันดับครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2565 นั้น ระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA ของประเทศไทย ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 70 ของโลก ซึ่งเป็นอันดับที่ 20 ของเอเชีย และเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดอันดับหนึ่งในอาเซียน ด้วยประสิทธิภาพในการคำนวณ 8.1 petaFLOPS หรือ 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทยที่มีระบบประมวลผลที่ติดอยู่ใน 100 อันดับแรกของการจัดอันดับ TOP500 เป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของการวิจัยและพัฒนาที่ต้องอาศัยการคำนวณขั้นสูงของประเทศไทยให้อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. เปิดเผยว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) ประจำปี 2564 โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อสนับสนุนนักวิจัยจากภาคการศึกษา หน่วยงานจากภาครัฐ และส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชนและอุตสาหกรรม และจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีการคำนวณของไทยให้โดดเด่นในระดับนานาชาติ
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ข้อมูลว่า LANTA เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่น Cray EX Supercomputer ผลิตโดยบริษัท Hewlett Packard Enterprise (HPE) ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล CPU AMD EPYC เจนเนอเรชั่น ที่ 3 (Milan) รวมทั้งสิ้น 31,744 cores และหน่วยประมวลผล GPU รุ่น NVIDIA A100 ที่เหมาะสมสำหรับการคำนวณด้าน AI ขั้นสูงและการจำลอง simulation ทางวิทยาศาสตร์จำนวน 704 หน่วย มีระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงรุ่น Cray ClusterStor E1000 ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า 10 เพตะไบต์ (petabytes) หรือ 10,000 ล้านล้านไบต์ โดยใช้การเชื่อมต่อด้วยเครือข่ายประสิทธิภาพสูง HPE Slingshot Interconnect ที่มีความเร็วในการส่งรับข้อมูล 200 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ซึ่งทำให้ LANTA มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงสุดในทางทฤษฎี (theoretical peak performance) อยู่ที่ 13.7 petaFLOPS และประสิทธิภาพการคำนวณสูงสุดที่วัดได้ (maximum LINPACK performance) อยู่ที่ 8.1 petaFLOPS หรือ 8.1 พันล้านล้านคำสั่งต่อวินาที (ดูข้อมูลได้ที่ https://top500.org/system/180125/)
นอกจากนี้ LANTA เป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยน้ำ (warm water cooling) เป็นที่แรกของประเทศไทย ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบายความร้อนสูงกว่าการระบายความร้อนด้วยอากาศ ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ในระยะยาว และเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเข้าสู่ยุคของ Green Computing เช่นเดียวกับศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำทั่วโลก
LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถใช้งานได้กับหัวข้อวิจัยที่สำคัญได้หลากหลายเพื่อสนับสนุนนักวิจัยในการสร้างนวัตกรรมให้กับภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม อาทิ การแพทย์แม่นยำ การวิจัยพัฒนายา การจำลองสภาพภูมิอากาศตามเวลาจริงโดยใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม การคำนวณออกแบบวัสดุใหม่ แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง การศึกษาการทำงานของชีวโมเลกุล และความหลากหลายทางระบบนิเวศวิทยาของไทย และในด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) อย่างรวดเร็วเพื่อประโยชน์การบริหารจัดการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการจราจร การบริหารการสาธารณสุข ประมวลข้อมูลการกระจายรายได้
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและศึกษารายละเอียดได้ที่ https://thaisc.io/ หรือสอบถามเพิ่มเติมทางอีเมลได้ที่ thaisc@nstda.or.th
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช.ประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุน 10 ผลงาน ด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมจากผู้ประกอบการหน้าใหม่
ณ อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) สวทช. จัดกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ภายใต้โครงการ “สร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรม (TechBiz Starter)” ปี 2565 และประกาศรางวัล TechBiz Starter Funds มอบทุนสนับสนุน จำนวนเงิน 20,000 บาท สำหรับผลงาน 10 อันดับที่ได้รับคะแนนสูงสุด
เพื่อสนับสนุนและต่อยอดกลุ่มผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นดำเนินธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สามารถสร้างรากฐาน ดำเนินธุรกิจอย่างมีทิศทาง และสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง
ดร.อดิศร เตือนตรานนท์ (รักษาการ) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. กล่าวว่า โครงการ TechBiz Starter ประจำปี 2565 ซึ่งปีนี้ได้ดำเนินโครงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่สาม โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ได้เน้นการสนับสนุน ส่งเสริม นักวิจัย และผู้ประกอบการใหม่ในระยะเริ่มต้น (Early Stage) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการดำเนินธุรกิจ โดยส่งเสริมโอกาสและช่องทางให้แก่กลุ่มผู้เริ่มต้น ในการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะการดำเนินธุรกิจ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด อีกทั้งกิจกรรมพบผู้เชี่ยวชาญราย Sectors โดยได้รับเกียรติจากองค์กรเอกชนในการแชร์มุมมองการทำธุรกิจ และการเข้าเยี่ยมชม/เชื่อมโยงจากศูนย์แห่งชาติภายใน สวทช. รวมถึงโอกาสที่ได้รับคำแนะนำจาก ที่ปรึกษามืออาชีพและมีประสบการณ์ตรงเฉพาะด้าน ตลอดจนโอกาสในการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุน เชื่อมโยงโอกาสทางการตลาดอย่างเหมาะสม เช่น การออกบูธนิทรรศการ การเข้าประกวดเทคโนโลยีในเวทีต่างๆอีกด้วย
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. กล่าวว่า ผลจากการดำเนิน “โครงการสร้างผู้ประกอบการใหม่ด้วยนวัตกรรมในสามปีที่ผ่านมานั้น มีนักวิจัยและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของประเทศที่มีแนวคิดนวัตกรรม และอยากจะทำให้ประสบความสำเร็จ สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 200 ราย โดยโครงการฯ ได้คัดเลือกผู้ที่มีแนวคิดทางธุรกิจ และความมุ่งมั่นที่ดี เข้าร่วมโครงการผ่านกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยีกว่า 120 ราย โดยผ่านการอบรมความรู้ด้านพื้นฐานธุรกิจเพื่อพัฒนาฐานความรู้สำคัญในการนำเทคโนโลยีออกสู่ตลาด และได้รับคำปรึกษาแนะนำจากที่ปรึกษาของศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถดำเนินธุรกิจ และเกิดรายได้รวมกว่า 350 ล้านบาท ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นที่น่าพอใจยิ่ง ทางโครงการฯ จึงมีความยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนธุรกิจของท่านให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ประกอบการที่มีความพร้อม ผ่านการเรียนรู้จนมีทักษะเชี่ยวชาญก็จะเข้าสู่ระยะเติบโต (Growth Stage) ทางศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. ยังมีกลไกสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อเข้ารับการบ่มเพาะต่อเนื่องในโครงการ SUCCESS เป็นอีกหนึ่งโครงการบ่มเพาะของศูนย์ฯ ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจของท่าน ในแง่ของการเรียนรู้และบ่มเพาะในกระบวนการต่างๆ สำหรับการทำธุรกิจ หาผู้ร่วมลงทุนต่อยอดนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ โดยจะมีที่ปรึกษา ที่ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด เพื่อให้คำแนะนำและศึกษาความเป็นไปของผลิตภัณฑ์ก่อนออกตลาด การคิดต้นทุนผลิตภัณฑ์ และบริหารการจัดการ พร้อมกันนี้ ยังมีการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและภาคธุรกิจต่างๆ อีกด้วย
โครงการเล็งเห็นความสำคัญนี้ จึงจัดให้มีกิจกรรม Pitching Business Model ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญ ที่จะสร้างโอกาส และประสบการณ์ทางธุรกิจให้กับทุกท่าน ได้นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุนตัวจริง นักธุรกิจผู้มีประสบการณ์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ อาทิเช่น บริษัท ซัสโก้ จำกัด, บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด, บริษัท พรอมท์นาว จำกัด, บริษัท จันวาณิชย์ จำกัด, ธนาคารกสิกรไทย และสมาคมทีบาน เพื่อสร้างโอกาสในการระดมเงินทุนก้อนแรก และหาโอกาสในการแสวงหาพันธมิตร ที่จะมาช่วยในส่วนที่ผู้ประกอบการอาจไม่ถนัด นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกทักษะ การขาย การสื่อสาร เตรียมข้อมูล และสร้างผลิตภัณฑ์ให้พร้อมขายต่อไป” นางศันสนีย์ กล่าว
สำหรับกิจกรรม “Pitching & Meet Investors” ครั้งนี้มีผู้ประกอบการทั้ง 25 รายที่ผ่านการคัดเลือก นำเสนอผลงานต่อคณะกรรมการที่เป็นนักลงทุนและนักธุรกิจผู้ที่มีประสบการณ์ในการเริ่มต้นและพัฒนาธุรกิจ และคณะกรรมการได้ทำการคัดเลือกผลงาน 10 อันดับที่ได้รับคะแนนสูงสุด เพื่อรับรางวัล TechBiz Starter Funds ทุนสนับสนุน จำนวนเงิน 20,000 บาท ทั้งนี้ ผลงานที่ได้รับรางวัล TechBiz Starter Funds 10 ทีม ได้แก่
1.Mush Composites - แผ่นวัสดุดูดซับเสียงจากวัสดุคอมโพสิตเส้นใยเห็ด
วัสดุดูดซับเสียง Mush Composites เป็นนวตกรรมด้านวัสดุ Biomaterial ที่เป็นวัสดุที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ในการใช้ธรรมชาติ สร้างสรรนวตกรรมเพื่อธรรมชาติ ในการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นทางเลือกที่จะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนในแนวทาง Bio Economy ด้วยคอนเซป“จากธรรมชาติ” Mush Composites ใช้เลียนแบบการเจริญเติบโตทางธรรมชาติของเห็ดโดยใช้ส่วนรากของเส้นใยเห็ดหรือที่เรียกว่า Mycelium ที่มีลักษณะผสานกันเป็นร่างแหเสมือนหนึ่งกาวธรรมชาติที่ผสานวัสดุร่วมกับวัสดุเศษเหลือทางการเกษตรเสมือนโรงงานธรรมชาติต้นทุนต่ำที่ใช้พลังงานน้อย
2.Toki Genius - นมพืชไร้น้ำตาลที่ผลิตจากถัวและธัญพืช 3 ชนิด
นมพืชไร้น้ำตาลที่ผลิตจากถัวและธัญพืช 3 ชนิด จากแหล่งปลูกเกษตรกรไทย มีส่วนผสมของ ถั่วขาว ตัวช่วยบล็อกแป้งขับออกเป็นอุจจาระ ถั่วอัลมอนด์อุดมไปด้วยวิตามิน แมกนีเซียม โพแทสเซียม และไขมันดี ข้าวโอ๊ตสารอาหารสำคัญและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้ง 3 มีไฟเบอร์และ โปรตีนสูง ให้พลังงาน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ดีต่อระบบเผาพลาญ ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างความจำและสติปัญญา ผลิตด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีการยืดอายุอาหารการฆ่าเชื้อด้วยระบบ Retort Sterilization ยืดอายุและถนอมได้นาน 6 เดือนถึง 1 ปี
3.REISHURAL - Essential Natural Facial Serum
งานวิจัยนี้นำเสนอกรรมวิธีในการสกัดสารสำคัญจากดอกเห็ดเห็ดหลินจือเพื่อให้สารสกัดที่มีสารออกฤทธิ์ทางเครื่องสำอางสูง สร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และพัฒนาระบบห่อหุ้มที่เพิ่มความคงตัวของสารสำคัญ ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการสกัดเพื่อสกัดดอกเห็ดหลินจือ สารสกัดเห็ดหลินจือ พบสารสำคัญหลักคือ Ganoderic acid A และ Ganoderic acid C2 การพัฒนาระบบกักเก็บสารสำคัญได้พัฒนาระบบอนุภาคนิโอโซม (Niosomes) กักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ มีขนาดอนุภาคช่วง 144.6 ถึง 308.3 นาโนเมตร และประสิทธิภาพการห่อหุ้ม (%) ร้อยละ 96.67 อนุภาคนี้มีความคงตัวและความปลอดภัยในการเพาะเลี้ยงเซลล์ไฟโบรบลาสต์ และมีความปลอดภัยเมื่อสัมผัสผิวหนังในมนุษย์
4.Pararaksa Latex Mattress - ที่นอนปรับสรีระ อัจฉริยะยางพาราไทย
ที่นอนยางพารา Pararaksa ปุ่มยางพาราซิงค์นาโนคาร์บอนแห่งแรกของไทย เหมาะสำหรับผู้ที่หลับยาก ปวดเมื่อย ออฟฟิศซินโดรม ตะคริว และเหน็บชาตามมือเท้าบ่อยๆ “ปุ่มยางพารา” ระบายอากาศ ช่วยลดความเมื่อยล้า เหมือนมีสปาส่วนตัว หลับสบายตลอดคืน ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ยืดหยุ่นสูง เป็นงาน Handmade จากเกษตรกรชาวสวนยาง ที่นอนยางพาราแบบปุ่ม มี 3 รุ่น
5.V Drink: เครื่องดื่มน้ำส้มสายชูหมักสมุนไพรไทย สไตล์คอมบูชะ
V Drink : เครื่องดื่มน้ำส้มสายชูหมักสมุนไพรไทย สไตล์คอมบูชะ คือ นวัตกรรมใหม่ของเครื่องดื่มสมุนไพรไทย ที่จะยกระดับเครื่องดื่มสมุนไพรไทยพื้นบ้าน สู่อาหารแห่งอนาคต (Future food) ในกลุ่ม Immunity Boosting และ Well-mental eating ด้วยการผสานศาสตร์เครื่องดื่มจาก 3 วัฒนธรรมเข้ามาอยู่ด้วยกันในขวดเดียว ได้แก่ ยุโรป เอเชียตะวันออก และไทย จนได้เป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติ เปรี้ยว หวาน หอมละมุน นุ่มลิ้น ปราศจากแคลอรี่และแอลกอฮอล์ มีโพรไบโอติกส์ จำนวน 25 Billion CFU/G และมีโพรไบโอติกส์มากถึง 10 ชนิด
6.White Tiger Peanut Milk - ขนมรสนมถั่วลายเสือ
ขนมรสนมถั่วลายเสือ (White Tiger Peanut Milk) ผลิตจากถั่วลายเสือ แม่ฮ่องสอน มาตฐาน GI ปลูกจากแหล่งโอโซนระดับโลก เนี่องจากมีพื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย เกษตรกรในชุมชนเป็นผู้ปลูกถั่วลายเสือ มีความสูงเหนือจากระดับน้ำทะเล โดยประมาณ 990 - 1,050 เมตร จึงทำให้ อร่อยมัน มีวิตามิน B1 B 2 โปรตีนสูง และ แคลเซียมสูง ต่างจาก ถั่วลิสงทั่วไป เราจึงพัฒนาแปรูป เป็นขนมจากนมถั่วลาย เพิ่มสารอาหารที่ตรงต่อเด็ก พร้อมงานวิจัยรองรับ จากศูนย์ FIN นวัตกรรมอาหารภาคเหนือ
7.WolfSnack - ขนมแผ่นแป้งกรอบสารอาหารสูงจากไข่ผำและสารลดการย่อยแป้ง
ปัจจุบันขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอด เป็นหนึ่งในขนมคบเคี้ยวสำเร็จรูปที่เด็กวัยรุ่นและคนวัยเริ่มทำงานนิยมและชื่นชอบทานในยามว่าง นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กวัยรุ่นและคนวัยเริ่มทำงานมีภาวะอ้วน และยังเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ เช่น การขาดสารอาหาร เป็นต้น ซึ่งหลายบริษัทได้มีความพยายามทำขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ เช่น ขนมมันฝรั่งแผ่นอบไขมันต่ำ (Low fat/0% saturated fat) มันเทศอบแห้ง ผักอบแห้ง และ อกไก่อบกรอบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพยังไม่เป็นที่นิยมเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับมันฝรั่งทอด และ ขนมขบเคี้ยวทั่วไปในตลาด เนื่องจากมันฝรั่งทอดมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่อร่อยและถูกปากผู้บริโภคมากกว่า
8.THE FOUNDER - แพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการสำรวจและวิเคราะห์ตลาด
แพลตฟอร์มออนไลน์ สำหรับการให้บริการด้าน Market Research, Market Validation โดยดำเนินการสำรวจตลาด, การจัดทำแบบสอบถาม และทดสอบสินค้าในตลาดจริง สำหรับนักธุรกิจ, นักวิจัย และสตาร์ทอัพโดยเน้นคุณภาพ ความเที่ยงตรง และความแม่นยำของข้อมูล และกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ในโลก ยุค 5.0
9.ZenoLase complex & AGE-Reversal Senolytic Bright Se
ทีมวิจัย ได้พัฒนาสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติในชี่อ “ZenoLase complex” ซึ่งมีประสิทธิภาพทำลายเซลล์แก่ได้ใกล้เคียงกับยามะเร็ง ปลอดภัยสูง (เป็น Food grade) รวมถึงมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ กระจ่างใส กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และไฮยาลูรอน ไม่ระคายเคือง และไม่ก่อการแพ้ผิวหนัง จากผลทดสอบเปรียบเทียบกับสารออกฤทธิ์ 8 ชนิดจากบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ พบว่า ZenoLase complex มีประสิทธิภาพทำลายเซลล์แก่และชะลอวัยดีที่สุด และได้นำ Zenolase Complex มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง “AGE-Reversal Senolytic Bright Serum” โดยเสริม Triplex biopeptides เข้าไป ซึ่งเป็นเปปไทด์บริสุทธิ์ 3 ชนิดที่ผ่านการทดสอบแล้วว่า ช่วยให้ผิวกระจ่างใส, ลดการเกิดสิว, รวมถึงลดการอักเสบ ระคายเคืองผิวหนัง สามารถทำงานร่วมกับ Zenolase complex โดยไม่หักล้างฤทธิ์ทำลายเซลล์แก่
10.GREEN Logistics - รถขนส่งรักษ์โลก (รถขนส่งไฟฟ้า 3 ล้อตู้บรรทุก)
รถขนส่งสินค้าไฟฟ้า3ล้อพร้อมตู้ทึบ ที่มีระบบSmart IOTสามารถติดตามและมอนิเตอร์สื่อสาร ควบคุม จากเซนเซอร์ต่างๆที่อยู่ในตัวรถได้แบบ Real Time เหมาะสมกับการขนส่งสินค้าที่ต้องได้รับการดูแลควมคุมเป็นพิเศษ เช่น การขนส่งผักผลไม้ ออร์แกนิคที่ต้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิ และยังสามารถควมคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมตามน้ำหนักบรรทุกได้ด้วย เนื่องจากบางกรณีการขนส่งในบางช่วงอาจไม่มีสินค้าบรรทุกอยู่ หรือบรรทุกน้อยเกินความจำเป็นที่จะปรับอุณหภูมิเกินความจำเป็น เพื่อประหยัดพลังงาน และที่สำคัญบนหลังคารถยังฝั่งแผงโซล่าเซลล์เพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับคอมเพรสเซอร์เมื่อรถต้องจอดพักแต่ยังมีสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผู้อำนวยการ สวทช. บรรยายพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาประเทศไทยด้วยงานวิจัย” ภายในงานประชุมวิชาการ CP Symposium 2022
ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางการพัฒนาประเทศไทยด้วยงานวิจัย ” ภายในงานประชุมวิชาการ CP Symposium 2022 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-11 พฤศจิกายน 2565 ในรูปแบบ Hybrid โดยกล่าวว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมทำให้โลกก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และยังได้ส่งผลให้เกิดโอกาสตามมาอีกมากมาย ทั้งการเชื่อมให้เกิดความร่วมมือได้ทั่วโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังคงมีอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
ทั้งนี้ ตัวเร่งสำคัญคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่กลายเป็นมาตรฐานใหม่ หรือที่เรียกว่า New Normal และยังส่งผลให้เกิดวิวัฒนาการใหม่ ๆ ทั้งจากตนเองและคนรอบข้างที่สามารถใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะการใช้แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้เก่งมากขึ้น รวมทั้งในภาคธุรกิจก็มีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในองค์กรด้วยเช่นกัน
ศ.ดร. ชูกิจ ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในอนาคตอันใกล้นี้เพื่อให้เข้ากับเทรนด์และภาพรวมของประเทศ จะต้องให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี ดังต่อไปนี้ 1) เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ที่สามารถเชื่อมคลื่นสมองให้เข้ากับเทคโนโลยีได้ 2) ระบบสำรองไฟฟ้าแบบยาวนาน โดยมีความคิดที่จะนำธาตุที่หาได้ง่ายมาปรับใช้ในระบบไฟฟ้าสำรอง เพื่อไม่เกิดเป็นมลพิษเมื่อเสื่อมสภาพ และ 3) ชีววิทยาสังเคราะห์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับวิศวกรรมศาสตร์ ทำให้ในอนาคตอันใกล้จะมีวิธีการรักษาโรคที่ต่างไปจากเดิม รวมไปถึงอาหารการกินที่สังเคราะห์ขึ้นมาเพื่อทดแทนเนื้อสัตว์จริง
นอกจากนี้ ยังมี 3 ความท้าทายที่ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญและผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ในประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและการลดลงของทรัพยากร ความท้าทายด้านเศรษฐกิจ ในประเด็นอิสรภาพทางการเงินและด้านคุณภาพชีวิต และความท้าทายด้านสังคม ในประเด็นความเหลื่อมล้ำและการโยกย้ายที่อยู่ของประชากรโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้องค์กรก้าวข้ามและเอาชนะความท้าทายเหล่านี้ไปได้ คือ ความยั่งยืน โดยได้มีการพูดถึง BCG Model ซึ่งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมทั้ง 3 มิติไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักและการดำเนินธุรกิจของเครือซีพี และด้วยความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีชีวภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตร และเพิ่มขีดจำกัดการแข่งขันได้ในระดับโลก โดยมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
“สวทช. และภาครัฐมุ่งหวังที่จะเห็นการนำเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เข้ามาใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง และสามารถผลักดันโครงการที่มีประสิทธิภาพให้ออกสู่ภาคประชาชนเพื่อสร้างความผาสุกอย่างยั่งยืน” ศ.ดร. ชูกิจ กล่าวในตอนท้าย
อ้างอิงจาก https://www.wearecp.com/cpg-09112022-5?fbclid=IwAR2HA5fIhZL9zj5mLPxD7a3mMPYBiP2Wz322jdPfwIURxTmrii907VlbT8M
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรโครงงานวิทยาศาสตร์ รูปแบบออนไลน์ ให้ครูผู้สอนระดับประถมศึกษา โรงเรียนเครือข่ายมูลนิธิชัยพัฒนา
วันที่ 21 ตุลาคม 2565 ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. จัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตามแนวทางโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย รูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom ให้แก่ครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จากโรงเรียนอนุบาลไผทวิทยา (มูลนิธิชัยพัฒนา) และโรงเรียนชัยพิทยพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อให้เข้าใจแนวทางการจัดการเรียนการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติตามแนวทางโครงการฯ เริ่มกิจกรรมโดย ดร.ปวริศา บุญรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลไผทวิทยา (มูลนิธิชัยพัฒนา) กล่าวเปิดกิจกรรม และกล่าวถึงความสำคัญในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. วิทยากรหลักอาวุโส โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย นำทีมวิทยากรหลักโครงการฯ ในเครือข่าย สวทช. บรรยายและนำคุณครูเรียนรู้แนวทางการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย โดยเน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และสมรรถนะสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็ก ๆ ตลอดจนแนวทางการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เกณฑ์การประเมิน และตัวอย่างโครงงานที่ได้รับรางวัลเพื่อเป็นแนวทางการเลือกหัวข้อโครงงานและแรงบันดาลใจในการทำโครงงาน
นางสาวกรกนก จงสูงเนิน นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. จุดประกายในการทำโครงงาน ด้วยกิจกรรมน้ำและเทคโนโลยี เรื่อง น้ำจืดและน้ำเค็ม เป็นการสร้างอุปกรณ์ ไฮโดรมิเตอร์ อย่างง่ายใช้ในการวัดความหนาแน่นของน้ำเกลือ เพื่อเปรียบเทียบความเค็ม
นางสาวสุปราณี สิทธิไพโรจน์สกุล นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. นำคุณครูเข้าสู่การเรียนรู้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยการใช้เครื่องมือ Spiral learning เพื่อช่วยให้เลือกหัวข้อและวางแผนการจัดการเรียนรู้ในเชิงลึกและทำโครงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นให้คุณครูฝึกวางแผนทำโครงงานโดยใช้เครื่องมือ Spiral Learning ร่วมกันผ่านโปรแกรม Padlet ก่อนจะให้คุณครูคิดแผนงานของตนเองและนำเสนอ โดยมีทีมวิทยากร สวทช. ร่วมให้คำแนะนำเพื่อให้คุณครูนำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้อง
ข่าวประชาสัมพันธ์

เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติและเชื่อมต่อ (Connected and Autonomous Vehicle Technologies)
เทคโนโลยียานยนต์อัตโนมัติและเชื่อมต่อ หรือ CAV (connected and autonomous vehicle technologies) เป็นยานยนต์สมัยใหม่ที่ใช้ระบบอัจฉริยะหลายแบบเข้าช่วยงาน ได้แก่ เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ (autonomous driving technology) ที่ใช้เซนเซอร์ประกอบกับระบบการคำนวณ เพื่อวางแผนและควบคุมให้ยานยนต์ตอบสนองกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้คนบังคับ
ถัดไปคือ เทคโนโลยีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ (driver assistance technology) ช่วยตรวจจับจุดอับสายตา ตรวจจับคนเดินถนน เตือนการออกนอกเลน เบรกฉุกเฉิน รู้จำป้ายจราจร เป็นต้น
กลุ่มสุดท้ายได้แก่ เทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อ (telematics) ที่ช่วยสื่อสารระหว่างรถเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ประกอบด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย การสื่อสารระยะสั้นแบบเฉพาะ และการสื่อสารระหว่างยานพาหนะกับสิ่งอื่น ๆ (vehicle-to-everything: V2X)
การพัฒนารถอัตโนมัติแบ่งออกได้เป็น 6 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 5 โดยที่ระดับ 0 นั้น คนขับที่เป็นมนุษย์ทำหน้าที่ในการควบคุมทั้งระบบ และลดการควบคุมลงเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงระดับ 5 ก็ใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมดในการขับรถ ภายใต้เงื่อนไขเทียบเท่ากับการขับรถโดยมนุษย์
ปัจจุบันเทคโนโลยี CAV มีบทบาทในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle: EV) มากขึ้น แนวโน้มที่เห็นได้ชัดคือ ผู้ผลิตแข่งขันในการพัฒนาเทคโนโลยี CAV เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมีความต้องการ อย่างในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากกว่า 22,000 คนต่อปี สูญเสียหลายแสนล้านบาท นอกจากเทคโนโลยี CAV จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว ยังก่อให้เกิดการจ้างงานและดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ด้านการวิจัยและพัฒนา CAV กำลังจะมีการสร้างสนามทดสอบยานยนต์ CAV ระดับ 3 ที่ EECi โดยจะมีรถยนต์ที่ สวทช.ร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนหลายแห่ง วิจัยและสร้าง EV ที่ใช้เทคโนโลยี CAV ขึ้น และยังมีบริษัทเอกชนรายใหญ่อีกหลายรายที่ลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่พลังงานสูงที่ EECi
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

ขอเชิญเข้าร่วมการอบรมหลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming ตอน “กัญชา (Cannabis)” รุ่นที่ 4 (Mastering Indoor Vertical Farming for Cannabis)
เปิดแล้วค่ะ!!! หลักสูตรการปลูกพืชสมุนไพรด้วยโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming ตอน “กัญชา (Cannabis)” รุ่นที่ 4
(Mastering Indoor Vertical Farming for Cannabis)
หลักสูตรที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้และเข้าใจการปลูกกัญชาในโรงปลูกพืชแนวตั้ง (Vertical Farming) ทั้งเทคนิคการปลูก และการเพิ่มคุณภาพผลผลิตของกัญชาจากผู้มีประสบการณ์จริง และการศึกษาดูงานการปลูกกัญชาในโรงปลูกพืชแนวตั้ง
.
อบรมระหว่างวันที่ 22 - 23 ธันวาคม 2565 เวลา 09.00 - 16.00 น. (รวมระยะเวลาอบรมจำนวน 2 วัน)
สถานที่จัดฝึกอบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
สถานที่ศึกษาดูงาน : บริษัท ไดสตาร์ เฟรช จำกัด
.
ค่าลงทะเบียนท่านละ 7,490 บาท (ราคานี้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว)
สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด เพียง 25 ท่าน เท่านั้นค่ะ
.
สนใจ!! สามารถสมัครเข้าร่วมอบรม โดยลงทะเบียนออนไลน์ ที่เว็บไซต์
https://www.career4future.com/cfa/customer/index.php
.
รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์หลักสูตรฯ
https://www.career4future.com/vfc
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
คุณเมธภัค (มิ้ม) โทร. 085-211-9709 และคุณสุรีย์ (โบว์) โทร. 097-297-2563
ปฏิทินกิจกรรม

หลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาโมเดลธุรกิจนวัตกรรม สำหรับผู้นำธุรกิจบริการ (Business Model Innovation: Strategy for Service Leadership: BMI)
ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาโมเดลธุรกิจนวัตกรรม สำหรับผู้นำธุรกิจบริการ (Business Model Innovation: Strategy for Service Leadership: BMI)
.
อบรมวันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2565
สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
.
“ปิดช่องว่างการบริการ ปรับปรุง พัฒนา และยกระดับให้เหนือคู่แข่ง ด้วยการลงมือทำโมเดลธุรกิจนวัตกรรมตั้งแต่วันนี้!!!”
.
ค่าลงทะเบียนท่านละ 6,420 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด เพียง 25 ท่าน เท่านั้นค่ะ
.
สนใจสมัครอบรม!!! ลงทะเบียนออนไลน์ที่
https://www.career4future.com/cfa/customer/index.php
.
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.career4future.com/bmi
.
สอบถามข้อมูลที่
โทรศัพท์ 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
อีเมล npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลหน่วยงานโดยใช้แพลตฟอร์ม CKAN Open-D (Developing Agency Data Catalog with CKAN Open-D Platform) รุ่นที่ 2
รับสมัครผู้เข้าอบรม!!! หลักสูตรการพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลหน่วยงานโดยใช้แพลตฟอร์ม CKAN Open-D (Developing Agency Data Catalog with CKAN Open-D Platform) รุ่นที่ 2
.
อบรมระหว่างวันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน 2565
สถานที่อบรม : โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพ
.
หลักสูตรที่จะช่วยพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลหน่วยงาน (Agency Data Catalog)ด้วยแพลตฟอร์มจัดการข้อมูล พร้อมใช้ ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้งานตามมาตรฐานและบริบทไทย
.
ค่าลงทะเบียนท่านละ 18,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สมัครด่วน!!! รับจำนวนจำกัด เพียง 25 ท่าน เท่านั้นค่ะ
.
สนใจสมัครอบรม!!! ลงทะเบียนออนไลน์ที่
https://www.career4future.com/cfa/customer/index.php
.
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://www.career4future.com/cod
.
สอบถามข้อมูลที่
โทรศัพท์ 0 2644 8150 ต่อ 81898 (คุณฉวีวรรณ)
อีเมล npd@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญสัมมนาวิชาการเรื่อง Getting to Net Zero: Case studies from the US and Australia (ลงทะเบียนฟรี)
🔜📣 เปิดลงทะเบียนร่วมงานฟรีแล้ววันนี้! สัมมนาวิชาการเรื่อง Getting to Net Zero: Case studies from the US and Australia
ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ขอเชิญท่านที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการเรื่อง Getting to Net Zero: Case studies from the US and Australia บรรยายโดย Dr. Andrew Pascale Senior Research Consultant for Princeton University, Net Zero Thailand Project มาร่วมรับฟังกรณีศึกษาจากโครงการวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการลดการปลดปล่อยคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรมและพลังงาน
.
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565
เวลา 9:30 - 10:30 น.
รูปแบบการสัมมนา: ถ่ายทอดสดระบบออนไลน์ผ่านโปรแกรม WebEx
.
สำหรับท่านที่สนใจ สามารถคลิกลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ที่ https://bit.ly/3FPHeH6
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Email: pasinee.pan@entec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม