ผลการค้นหา :
ขอเชิญสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พลิกโฉมไผ่ไทยด้วยพลังชุมชนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม”
ขอเชิญสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “พลิกโฉมไผ่ไทยด้วยพลังชุมชนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม”
วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2566
ณ ห้อง S106 อาคารบรรยายรวม5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
สมัครออนไลน์ ได้ที่ https://forms.gle/aaE3JUGRDBvStAec7
Download รายละเอียด >> http://bitly.ws/JkfU
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้ประสานงาน : คุณขวัญธิดา ดงหลง (098 586 7831) หรือ คุณอุไรพรรณ ปรางอุดมทรัพย์ (081 647 6014)
kma@nstda.or.th
LINE : อบรมขยายพันธุ์ไผ่และการใช้ประโยชน์ หรือ https://line.me/R/ti/g/EDC8m7xE-3
เรียนรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยการขยายพันธุ์และแปรรูปไผ่แบบครบวงจร และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแสดงผลงาน รวมทั้งเกิดเครือข่ายความร่วมมือเพื่อการยกระดับความรู้ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหันมาลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา และช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมไม้ไผ่ของไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และนำไปสู่การปฏิบัติที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ปฏิทินกิจกรรม
วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า! นำร่องแล้วที่บางกรวย – บางพลัด
ENTEC สวทช. ร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ส่งมอบ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 50 คัน ให้แก่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ในพื้นที่ อำเภอบางกรวย นนทบุรี และ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย เพื่อเป็นโมเดลวินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า นำร่องใน 2 พื้นที่โดยมีการติดตามเก็บข้อมูลการใช้งานด้านต่าง ๆ ก่อนขยายผลไปในพื้นที่อื่นต่อไป มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สอดคล้องกับนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ อีกทั้งเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
PTEC สวทช. โชว์ขุมพลังระบบนิเวศวิจัย ด้านการวิเคราะห์-ทดสอบยานยนต์ไฟฟ้า EV ตามมาตรฐานสากล
วันที่ 26 มิถุนายน 2566 ณ อาคารแชมเบอร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ PTEC สวทช. พร้อมด้วยทีมวิศวกรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน เปิดบ้านให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์พิเศษ ประเด็น EV ปลอดภัย ต้องใส่ใจมาตรฐานการทดสอบสากล
ในกิจกรรม NSTDA Meets the Press พร้อมเข้าเยี่ยมชมมาตรฐานการวิเคราะห์ทดสอบด้านยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ห้องปฏิบัติการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าทั้งคันด้านการทดสอบ EMC /การทดสอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้า EV Charger เยี่ยมชมการทดสอบด้านความปลอดภัยและการขนส่งแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า และ เยี่ยมชมการทดสอบด้านประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า
ดร.ไกรสร กล่าวว่า ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สวทช. ให้บริการทดสอบ สอบเทียบสนับสนุนการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยยุค 4.0 ให้ได้การรับรองผลิตภัณฑ์ในระดับสากลโดยบุคลากรมืออาชีพ ซึ่งปัจจุบัน PTEC ให้บริการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธี่ยมสำหรับยานยนต์ปลั๊กอิน-ไฮบริด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตามมาตรฐานสากลเพื่อใช้งานในประเทศ ส่งออกไปตลาดต่างประเทศ และทดสอบตามความต้องการเฉพาะของค่ายยานยนต์ต่าง ๆ ทั้งเพื่อการทำ R&D ในบริษัทผู้ผลิตหรือพัฒนายานยนต์รุ่นใหม่ ๆ
จากนโนบายยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล ซึ่งมีการออกมาตรการส่งเสริมออกมาหลายส่วน จึงทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยในปี 2566 มียอดสะสมของยานยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด และไฮบริดมากกว่า 10,000 คัน ถือเป็นประเทศต้น ๆ ในอาเซียนที่มีอัตราการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามาก และเนื่องจากการเลือกซื้อและใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากผู้บริโภคจะให้ความสนใจในเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก การประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ผู้บริโภคควรคำนึงถึงด้านความปลอดภัยด้วย และไม่ใช่แค่ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นแต่ต้องรวมไปถึงหัวชาร์จไฟฟ้า ทั้งติดตั้งในบ้าน และในพื้นที่ให้บริการอื่น ๆ อีกด้วย โดยวิธีการที่จะใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ปลอดภัย ต้องดูที่ชิ้นส่วนและยานยนต์ไฟฟ้าว่าผ่านมาตรฐานการทดสอบสากลมาแล้วหรือไม่
โดย PTEC ได้ให้บริการทดสอบชิ้นส่วนสำคัญในยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท ตั้งแต่ แบตเตอรี่ลิเธียม ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ระบบไฟส่องสว่าง หัวชาร์จ ไปจนถึงการทดสอบ EMC สำหรับยานยนต์ทั้งคัน โดยใช้มาตรฐานสากลและมาตรฐาน มอก. เป็นหลัก นอกจากนี้ยังให้บริการทดสอบเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะแก่ค่ายยานยนต์ที่ตั้งโรงงานประกอบในประเทศและมีมาตรฐานชิ้นส่วนของตนเอง เพื่อให้สามารถส่งชิ้นส่วนไปจำหน่ายในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา สำหรับกลุ่มชิ้นส่วนที่ PTEC ให้บริการทดสอบ ได้แก่
แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าทางด้านความปลอดภัย และเพื่อการขนส่งตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ(UN)
ในด้านความปลอดภัยแบตเตอรี่ PTEC ให้บริการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธียมได้ทั้ง 3 ขนาดคือ แบตเตอรี่เซลล์ แบตเตอรี่โมดูล และแบตเตอรี่แพ็ค โดยใช้มาตรฐานสากลในการทดสอบ เช่น UN R136 สำหรับมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า และ UN R100 สำหรับยานยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดและยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งตามมาตรฐานนี้ต้องมีการทดสอบหลายหัวข้อ เช่น การป้องกันการลัดวงจรไฟฟ้า การทนต่ออุณหภูมิสูง การสั่น การตกกระแทก การบีบอัดจากการชน การเผาไฟ การจมน้ำ การอัดประจุฟ้าเกิน การคายประจุไฟฟ้าเกิน เป็นต้น
ในด้านประสิทธิภาพพลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ PTEC ให้บริการทดสอบด้านการชาร์จ/การดิสชาร์จแบตเตอรี่ ขณะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ความชื้น โดยในส่วนนี้ PTEC สามารถทำการทดสอบแบตเตอรี่ลิเธียมขนาด กำลังไฟฟ้า 1MW ได้เป็นแห่งแรกในอาเซียน
ในส่วนของการขนส่งแบตเตอรี่บนท้องถนน ขนส่งทางเรือ ทางเครื่องบิน แบตเตอรี่ต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UN 38.3 ก่อน เนื่องจากตามข้อกำหนดสากลแบตเตอรี่ถือเป็นวัตถุอันตรายควบคุม คล้ายกับการขนส่งน้ำมัน และแก๊สไวไฟ ดังนั้นหากมีอุบัติเหตุขณะขนส่ง อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนทั่วไปได้ สำหรับการทดสอบในการขนส่ง เช่น การทดสอบการตก การสั่น การลัดวงจร อุณหภูมิ ความกดอากาศ เป็นต้น
ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อการส่งออก
สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ที่ PTEC ให้บริการทดสอบ มีตั้งแต่ ไฟในห้องโดยสารยานยนต์ ไฟหน้า/ไฟท้าย วิทยุเอ็นเตอร์เทรนเม้นต์ ระบบนำร่อง ระบบ ECU ระบบเรดาห์ สายอากาศ โดยส่วนนี้ PTEC ใช้มาตรฐาน UN R10 มาตรฐาน ISO CISPR IEC ในการทดสอบ และมีเครื่องมือในการทดสอบขนาดใหญ่รองรับการทดสอบ EMC สำหรับยานยนต์ทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็น รถเก๋ง รถปิ๊กอัฟ รถ SUV รถตู้ รถบัส หัวลากรถบรรทุก ด้วย นอกจากนี้ยังมี Dynamo meter สำหรับใช้จำลองสภาวะการขับขี่บนถนนเรียบ ทางตรง ทางโค้ง การไต่ระดับความสูง การลงทางลาด จำลองการขับเคลื่อนได้ทั้งแบบ 2 wheels drive และ 4 wheels drive และการวัดเสียงจากการขับขี่ยานยนต์ทั้งภายในและภายนอกห้องโดยสารด้วย
สถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า หนุน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย
ในส่วนของสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า PTEC ให้บริการทดสอบหัวชาร์จแบบ AC normal charge ที่นิยมติดในบ้านและในห้างสรรพสินค้า และหัวชาร์จแบบ DC quick charge ที่ติดตั้งในปั๊มน้ำมัน โดย PTEC สามารถให้บริการทดสอบหัวชาร์จขนาด 150kW ได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีแผนขยายขีดความสามารถในการทดสอบขึ้นเป็น 250kW ในปี 2566 ด้วย โดยจะเป็นห้องทดสอบที่มีขีดความสามารถในการทดสอบด้านหัวชาร์จใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และยังสามารถรองรับการทดสอบยานยนต์ที่ป้อนไฟฟ้าแบตเตอรี่ในรถเข้าสู่สายส่งไฟฟ้า ที่เรียกว่า Vehicle to Grid (V2G) ได้ในปีหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรฐานการทดสอบต่าง ๆ ที่กล่าวมา ถูกใช้เป็นส่วนสำคัญในการคัดเลือกและควบคุมชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย เพื่อส่งถึงมือผู้บริโภค แต่การนำยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ ไปใช้งาน ผู้บริโภคควรมีความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่นี้ด้วย เพื่อทำให้ใช้งานได้อย่างถูกต้อง คุ้มค่าและเสียค่าซ่อมบำรุงต่ำ
ข้อควรรู้ของผู้บริโภค เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV
สำหรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าขั้นพื้นฐาน ผู้อำนวยการ PTEC สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
ข้อควรรู้ในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ในสถานการณ์ฝนตก-น้ำท่วมขังถนน
เนื่องจากการออกแบบและติดตั้งแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตทุกรายได้ทำการติดตั้งแบตเตอรี่อยู่ใต้ที่นั่งผู้ขับขี่เพื่อให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารกว้าง แต่ประเทศไทยในช่วงฤดูฝนมักมีน้ำขังบนถนนในระดับสูง บางครั้งสูงถึงครึ่งคันรถ ดังนั้นการขับผ่านน้ำบ่อยๆ การจอดยานยนต์ไฟฟ้าแช่น้ำเป็นเวลานาน หรือการใช้งานรถเป็นเวลานาน ๆ หลายปี ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบเรื่องน้ำ ความชื้น และการเสียหายภายใต้ท้องรถให้บ่อยขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำรั่วเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ นอกจากนี้การขับรถข้ามผ่านหลังเต่าที่สูง ๆ การจอดรถคร่อมฟุตบาทและมีการกระแทกใต้ท้องรถอาจทำให้เกิดความเสียหายขึ้นโดยไม่ได้สังเกตจึงควรระมัดระวังให้มาก
ข้อควรระวัง การติดตั้งชาร์จเจอร์ ใช้ในบ้านที่ไม่ควรมองข้าม
สำหรับผู้ที่ติดตั้งหัวชาร์จที่บ้าน ควรตรวจสอบขนาดสายไฟฟ้าที่เหมาะสมกับกระแสไฟฟ้าที่จะชาร์จรถ ไม่ควรใช้สายไฟฟ้าที่มีอายุการใช้งานนาน เช่น สายหุ้มเปราะหรือแตกหัก หากกระแสไฟฟ้าเสี่ยงไม่เพียงพอก็ไม่ควรพ่วงต่อสายไฟฟ้าในบ้านเข้าสู่หัวชาร์จโดยตรง ทั้งนี้แนะนำว่าก่อนการติดตั้งควรให้ผู้ที่มีความรู้เรื่องการติดตั้งหัวชาร์จ ช่วยทำการประเมินด้านความปลอดภัยทางไฟฟ้าเสียก่อน ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานออกข้อแนะนำในการติดตั้งมาให้แล้ว เช่น การไฟฟ้านครหลวง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เป็นต้น และควรแยกประเภทหัวชาร์จให้ถูกต้องด้วยว่าแบบใดเหมาะที่จะติดตั้งในบ้าน แบบใดติดตั้งนอกอาคาร เพราะหัวชาร์จแต่ละประเภทมีความสามารถในการต้านทานอุณหภูมิ น้ำฝน ฝุ่นแตกต่างกัน
นอกจากนี้ PTEC ยังได้รับการขึ้นทะเบียนจาก ASEAN SECTORAL MRA ON ELECTRICAL AND ELECTRONIC EQUIPMENT (ASEAN EE MRA) เมื่อเดือนกันยายน ปี 2561 ที่ผ่านมา ให้เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของภายใต้ข้อตกลงการค้าอาเซียน โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียนให้การยอมรับมากถึง 7 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และเวียดนาม และยังได้รับการยอมรับให้เป็นห้องปฏิบัติการการทดสอบ EMC สำหรับการนำสินค้าเข้าสู่ประเทศเวียดนาม จากหน่วยงาน QUACERT ซึ่งเป็นเสมือน สมอ.ของประเทศเวียดนาม อีกด้วย
สำหรับชิ้นส่วนยานยนต์ PTEC ได้ลงนามความร่วมมือกับ SGS ประเทศฟินแลนด์ เพื่อทำให้ชิ้นส่วนด้านยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ สามารถทดสอบ EMC ได้ในประเทศไทย เราสามารถเข้าตรวจโรงงานผลิตได้และ PTEC จะนำผลการทดสอบและการตรวจโรงงานเพื่อขอเครื่องหมาย E mark จากกรมขนส่งทางบกของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองยานยนต์สากล ทำให้อุตสาหกรรมของไทยสามารถส่งผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ไปจำหน่ายในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป 27 ประเทศได้อีกด้วย
ผู้สนใจสามารถติดต่อศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ PTEC-สวทช. ได้ที่ sales@ptec.or.th โทรศัพท์ 02 117 8600 ฝ่ายการตลาดต่อ 8611 – 8614
ข่าวประชาสัมพันธ์
พัฒนาสารสกัด “เห็ดหลินจือออร์แกนิก” สู่ผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” ซีรั่มบำรุงผิวหน้าชะลอวัย
Tech: สุดล้ำ! นักวิจัยร่วมกับเอกชนไทยพัฒนาวิธีสกัดสารสำคัญจากเห็ดหลินจือและระบบห่อหุ้มด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวและความปลอดภัย ต่อยอดสู่นวัตกรรมเวชสำอางชะลอวัย “ริเชอรอล” ที่อุดมด้วยสารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิก หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน NAC Market 2023 ตลาดนัดสินค้านวัตกรรมภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรือ NAC2023
BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ร่วมวิจัยและพัฒนาโดยบริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 09 3629 6626 อีเมล : laovasana@gmail.com เฟซบุ๊ก : Reishural - ริเชอรอล หรือไลน์ : @reishural2022
[caption id="attachment_44018" align="aligncenter" width="700"] วาสนา เชิดเกียรติกำจาย (หน้าสุด) วรกร เลาหเสรีกุล (กลาง) และ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด (หลังสุด)[/caption]
วาสนา เชิดเกียรติกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด เล่าว่า บริษัททำฟาร์มเพาะเห็ดหลินจือออร์แกนิกและแปรรูปเป็นชาเห็ดหลินจือจำหน่ายที่ตลาดสุขใจ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ จนกระทั่งคุณวรกร เลาหเสรีกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทอีกท่านหนึ่งได้รู้จักกับ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัย นาโนเทค สวทช. และทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวชสำอางและสารสกัดจากธรรมชาติ จึงเกิดเป็นความร่วมมือวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายการใช้ประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากอาหารสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามซึ่งมีมูลค่าสูงและมีตลาดกว้าง โดยเราได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) [ปัจจุบันโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE อยู่ภายใต้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)]
ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการสกัดสารสำคัญจากดอกเห็ดหลินจือ พร้อมทั้งพัฒนาระบบอนุภาคนิโอโซมเพื่อกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ทำให้มีความคงตัว กระจายตัวได้ดี และมีความปลอดภัยไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ที่สำคัญคืออนุภาคสามารถนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของอนุภาคในชื่อ ริชโอโซม (REISHOSOME) และพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของริชโอโซม โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและการระคายเคืองผิวตามมาตรฐาน The International Dermatitis Research Group ปัจจุบันได้ผลิตจำหน่ายภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” (REISHURAL)
จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าริเชอรอล คือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิกจากฟาร์มคิดดี อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไตรเทอร์พีนอยด์และพอลิแซ็กคาไรด์ สารสำคัญที่ช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน ผสานนาโนเทคโนโลยีในการกักเก็บสารสำคัญด้วยอนุภาค “ริชโอโซม” ซึ่งเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของริเชอรอล สามารถนำพาสารบำรุงซึมซาบสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลดปล่อยสารสำคัญได้ยาวนาน 8-24 ชั่วโมง มีผลช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน แลดูกระจ่างใส และเพิ่มความชุ่มชื่นเมื่อใช้ 2-4 สัปดาห์
ผลิตภัณฑ์ริเชอรอลยืนยันความสำเร็จด้วยรางวัลเหรียญทองจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติในงาน Seoul International Invention Fair 2022 (SIIF 2022) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี และรางวัลเหรียญเงินจากงานประกวดนวัตกรรมโลก SPECIAL EDITION 2022 – INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
“ริเชอรอล” แสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สามารถเข้าไปช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตรได้หลายเท่าตัว ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขยายตลาดให้ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจในสุขภาพและความงาม
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
จ.เชียงใหม่ บูรณาการทุกหน่วยงานใช้ Traffy Fondue แก้ปัญหาเมือง
แพลตฟอร์มบริหารจัดการเมือง Traffy Fondue พัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ได้ขยายผลไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด จ.เชียงใหม่ ได้บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานราชการทั่วทั้งจังหวัด นำ Traffy Fondue ไปใช้เป็นเครื่องมือรับแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านไลน์ @traffyfondue เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน
ทั้งนี้ปัจจุบันมี 11 จังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานในจังหวัดนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปใช้รับแจ้งปัญหาประชาชน ประกอบด้วย นครราชสีมา , อุบลราชธานี , ขอนแก่น , พะเยา , ลำพูน , ปราจีนบุรี , ภูเก็ต , เพชรบูรณ์ , สมุทรปราการ , สระบุรี , และ เชียงใหม่
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ENTEC สวทช. กฟผ. เอกชนไทย-จีน ร่วมจัดพิธีฉลองมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 50 คัน ให้กับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสาธารณะ ในเขตพื้นที่บางกรวย นนทบุรี และบางพลัด กรุงเทพมหานคร
For English-version news, please visit : Fifty e-motorcycles handed over to taxi riders to promote electrification of public transport
(23 มิถุนายน 2566) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ได้จัดพิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 50 คัน ให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ในพื้นที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก
ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวรายงานต่อประธานในพิธี ได้แก่ H.E. Georg Schmidt เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย Dr. Mustaq Memon ผู้ประสานงานรับภูมิภาคด้านเคมีภัณฑ์ ของเสียและคุณภาพอากาศ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) คุณประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คุณสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี และคุณเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร ที่ได้ร่วมให้เกียรติเป็นประธานในพิธีครั้งนี้
จากการสนับสนุนของ International Climate Initiative (IKI) โดยกระทรวงสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ ความปลอดภัยทางปรมาณู และการปกป้องผู้บริโภค แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Federal Ministry for the Environment, Nature Conservation, Nuclear Safety and Consumer Protections: BMUV) โครงการ “Integrating Electric 2&3 Wheelers into Existing Urban Transport Modes in Developing and Transitional Countries” แก่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment Programme: UNEP) เพื่อพัฒนาโปรแกรมใน 6 ประเทศ จาก 2 ภูมิภาค ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม เอธิโอเปีย เคนยา และยูกันดา เพื่อผนวกยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อเข้ากับขนส่งสาธารณะ โดยกรอบนโยบายที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเป็นแบบอย่างในการขยายผลไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
ภายใต้ Global Electric Mobility Program ของ UNEP บริษัท Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd. (หรือที่รู้จักในนาม TAILG) ได้เข้าร่วมเป็นภาคี โดยได้บริจาครถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในหลายประเทศ ได้แก่ เคนยา ยูกันดา ฟิลิปปินส์ และไทย เพื่อสร้างความตระหนักด้านการขนส่งไฟฟ้า และเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการร่างนโยบาย สำหรับประเทศไทย UNEP ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้โครงการ “Supporting Scaling-Up of Electric 2&3 Wheelers in Thailand” ซึ่งนับเป็นโครงการในเฟสที่สองแล้ว มีกิจกรรมหลักคือการโฟกัสกับการพัฒนานโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนถ่ายไปสู่ขนส่งไฟฟ้าด้วยยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อ ในไทย โดยการประเมินภาพขนส่งพื้นฐานของประเทศและภาพฉายในอนาคตที่จะมีการเข้ามาของยานยนต์ไฟฟ้า 2-3 ล้อในประเทศ ตลอดจนนำร่องการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศเพื่อมุ่งสู่เป้าคาร์บอนเป็นศูนย์ ภายในปี ค.ศ. 2050
ซึ่งในการดำเนินโครงการในเฟส 2 นี้ สวทช. ได้รับความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท The Stallions และบริษัท Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd. (TAILG) มีการลงนามร่วมกันในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 มีความก้าวหน้าในการดำเนินการที่ผ่านมาได้แก่ TAILG ได้ส่งมอบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ จากสายการผลิตที่ ประเทศสาธารณรัฐประชาชานจีน กฟผ. ได้ดำเนินการขยายสถานีให้บริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อให้รองรับจำนวนรถจักรยานยนต์ที่จะเพิ่มขึ้นในโครงการนี้ The Stallions ได้ดำเนินการประกอบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนแบตเตอรี่ ตลอดจนดำเนินการจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ENTEC ได้สนับสนุนการประชาสัมพันธ์ การติดต่อประสานงาน พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ติดตามการใช้พลังงานในตัวรถเพื่อเก็บข้อมูลทางเทคนิคประกอบการประเมินทางเศรษฐศาสตร์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับพี่วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างเป็นที่เรียบร้อยคิดเป็นจำนวน 60% ของเป้าหมายนทั้ง 50 คัน และคาดว่าจะส่งมอบแล้วเสร็จภายในเดือน กรกฎาคม 2566
ข่าวประชาสัมพันธ์
รายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์และมีสิทธิได้รับทุนภายใต้โครงการทุนสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงแห่งประเทศไทยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (TAIST-Tokyo Tech) ปีการศึกษา 2566
Announcement on the List of Applicants who Passed the 3rd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 3rd Round (English version) (Thai version)
Announcement on the List of Applicants who Passed the 2nd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 2nd Round For Artificial Intelligence and Internet of Thing: AIoT Program and Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE Program (English version) (Thai version)
Announcement on List of Applicants who Passed the 2nd Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023, 2nd Round For Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program (English version) (Thai version)
Announcement on List of Applicants who Passed the 1st Round Interview and were Eligible for a Grant of TAIST-Tokyo Tech Scholarship, Academic Year 2023 (English version) (Thai version)
ปฏิทินกิจกรรม
สวทช. ร่วมกับ บพข. Kick off โครงการ “ยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568”
(21 มิ.ย. 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ห้อง CO-113 : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ผู้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนิน “โครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568”
โดยมุ่งเป้าส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในธุรกิจสมุนไพร เพื่อยกระดับคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของสารสกัดจากสมุนไพรให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือ “สารสกัดมาตรฐาน (Standardized Extract)” ซึ่งจะมีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน จะสร้างโอกาสและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญภายใต้โครงการนี้
ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ปี 2566 สวทช. ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ภายใต้กำกับของสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ให้ดำเนินโครงการ “โครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568” โดย บพข. เป็น Key strategic partner สำคัญในการขับเคลื่อนการนำ วทน. เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านกลไกสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ กลไกการพัฒนาและส่งเสริมให้ประเทศเพิ่มธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise; IDEs) ขนาดใหญ่ พร้อมทั้งเอื้ออำนวยให้หน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้องผนึกกำลังทั้งด้านเทคนิคและการบริหารจัดการ ให้ครอบคลุมและเกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในการสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรม
สวทช. มีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรผลงานวิจัย ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ เช่น ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ, pilot plant, green house, plant factory รวมทั้งมีเครือข่ายพันธมิตร เพื่อรองรับการยกระดับอุตสาหกรรมสมุนไพร ไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง สวทช. ได้ทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมสมุนไพรมาอย่างต่อเนื่อง โดยทำหน้าที่เป็นคนกลาง (Intermediary Unit) เชื่อมโยงการทำงานวิจัยพัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างผู้ให้บริการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม (Innovation Business Development Service; IBDS) กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมสมุนไพร ซึ่งภายใต้โครงการนี้ สวทช.ร่วมกับ IBDs ทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ได้แก่ บริษัท Build A Box จำกัด (บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการนวัตกรรม) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (TBES) สวทช. เพื่อจัดทำแผนพัฒนานวัตกรรม ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับพื้นฐานของแต่ละบริษัท เพื่อนำไปใช้เป็นแผนที่นำทางในการยกระดับการสร้างนวัตกรรมของบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ทั้ง 6 บริษัท ไปสู่การเป็นองค์กรฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDE) ที่ยั่งยืน
โครงการนี้ฯ เป็นโครงการที่มีแผนการดำเนินงานระยะเวลา 3 ปี สนับสนุนการพัฒนาธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ สมุนไพรไทยที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ให้สามารถนำนวัตกรรมมาใช้ในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจสารสกัดของ SME ไทย สามารถพัฒนาคุณภาพของสารสกัดให้ได้รับมาตรฐานสารสกัด (Standardized Extract) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้มากขึ้น
จากข้อมูล บริษัทสำรวจข้อมูลทางการตลาดพบว่า การค้าปลีกผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกในปี 2564 มีมูลค่า 54.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมูลค่าการค้าปลีกผลิตภัณฑ์สมุนไพรสูงที่สุด เป็นอันดับ 1 มีมูลค่า 31.93 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ (8.64 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) และภูมิภาคยุโรปตะวันตก (8.62 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 45.64 พันล้านบาท และคาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร จะเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี และจะมีมูลค่าสูงถึง 59.5 พันล้านบาท ในปี 2569 มาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจและดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น
“สมุนไพรไทยเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่า สะท้อนความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ และภูมิปัญญาของคนไทย มีความโดดเด่นในการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น จึงเป็นอุตสาหกรรมฐานที่สำคัญของประเทศ ดังนั้น การให้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดแผนพัฒนาธุรกิจให้ชัดเจน รวมถึงงบประมาณในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้ง 6 ราย โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เกิดการปรับเปลี่ยนองค์กรธุรกิจไปสู่ธุรกิจฐานนวัตกรรม (IDE) จากผู้ผลิตวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์แปรรูปขั้นต้นไปสู่การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ให้สามารถขยายธุรกิจและตลาดได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน มีรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม การจัดงาน Kick off โครงการฯ ในวันนี้ นับเป็นการก้าวสำคัญในการแสดงความพร้อมของหน่วยงานพันธมิตรที่มุ่งมั่นร่วมมือผลักดันตามแผนงานของโครงการฯ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสารสกัดสมุนไพร และมีความยั่งยืนตามแนวทาง BCG Economy Model ต่อไป” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ทั้งนี้ภายในงานยังมีการบรรยายพิเศษจาก รศ.ดร.สิรี ชัยเสรี ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในหัวข้อเรื่อง บทบาทของ บพข. ในการขับเคลื่อนผู้ประกอบการด้วย วทน. นางจินทิรา ยิมเรวัติ วิวัฒน์รัตน์ ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่ม Innovation Driven Enterprise: IDE บรรยายเรื่อง แผนงาน IDE สนับสนุนผู้ประกอบการไทย สู่องค์กรฐานนวัตกรรม มุ่งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท ร่วมกับ ภญ.ดวงกมล ภักดีสัตยพงศ์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบ กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บรรยายเรื่อง อย. กับการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร : การพัฒนาและรับรองสารสกัดสมุนไพร และ ดร.สัญชัย เอกธวัชชัย ที่ปรึกษาอาวุโส สวทช. หัวหน้าโครงการ ฯ บรรยายถึงบทบาทของ สวทช. และแผนงานของโครงการยกระดับนวัตกรรมธุรกิจสารสกัดผลิตภัณฑ์ ธรรมชาติ/สมุนไพร (ไทย) สู่ตลาดต่างประเทศ ปี 2566-2568” พร้อมด้วยความคาดหวังโครงการ IDE ในการช่วยยกระดับขีดความสามารถธุรกิจสมุนไพรจากมุมมองผู้ประกอบการ โดย ภก.ศรัณย์ แจ้วจิรา นายกสมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร
ข่าวประชาสัมพันธ์
Facebook Live: “พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ”
กำหนดการ
“พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ”
ในพื้นที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตบางพลัด จังหวัดกรุงเทพมหานคร
ภายใต้โครงการความร่วมมือ
โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2566 เวลา 09:00 – 11:00 น. ณ ศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง
9:00 – 9:05
พิธีกร ดร.นุวงศ์ ชลคุป กล่าวต้อนรับ
9:05 – 9:15
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) / ผู้แทน สวทช. กล่าวรายงาน
9:15 – 9:45
กล่าวแสดงความยินดีกับโครงการ โดย
H.E. Georg Schmidt เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย (หรือผู้แทน)
Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (UN) ประจำประเทศไทย
Dr. Mushtaq Memon ผู้ประสานงานฝ่ายประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร สำนักงานเอเชีย แปซิฟิก โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP)
รองผู้ว่าการฯ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
คุณสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี
คุณเฉลิมพล โชตินุชิต รองปลัดกรุงเทพมหานคร
9:45 – 10:00
ถ่ายภาพหมู่
10:00 – 10:30
การเสวนาพิเศษ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและความสำคัญในการเดินทางสาธารณะ โดย
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ / ผู้แทน สวทช.
คุณสมศักย์ ปรางทอง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
Mr. Li Yao President of the Dongguan Tailing Electric Vehicle Co., Ltd.
คุณอารีรัตน์ ศรีประทาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะสตาเลียน จำกัด
ดำเนินการเสวนา โดย ดร.นุวงศ์ ชลคุป
10:35 – 10:50
พิธีมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ณ บริเวณวงเวียนน้ำพุ หน้าศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง
10:50 – 11:00
ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
ปฏิทินกิจกรรม
เปลี่ยน ‘ลิกนิน’ ของเสียอุตสาหกรรมกระดาษ สู่สารสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดปล่อยคาร์บอนใน ‘ผลิตภัณฑ์พลาสติก’
For English-version news, please visit : Lignin recovered from paper industry gets utilized in plastic manufacturing
‘ลิกนิน’ เป็นสารประกอบในวัตถุดิบชีวมวลที่อุตสาหกรรมกระดาษจำเป็นต้องกำจัดออก เพราะเป็นสารที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์กระดาษ ทั้งด้านสี ผิวสัมผัส และการทนทานต่อความชื้น ซึ่งสารปริมาณมหาศาลนี้มักมีจุดจบเพียงการเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดลู่ทางการใช้ประโยชน์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และพันธมิตร พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ‘สารลิกนิน’ ที่ได้จากกระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ (Organosolv process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมวิจัยและบริษัทร่วมกันพัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้การผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
โดยผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้จากการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยวิธีการนี้มีจุดเด่นสำคัญที่แตกต่างจากกระบวนการทั่วไปซึ่งใช้สารเคมี คือ การคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการดูดกลืนรังสียูวี การต้านทานสารอนุมูลอิสระ และความบริสุทธิ์ของสาร ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแนวทางเพื่อการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติกแล้ว
[caption id="attachment_44175" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช.[/caption]
ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการผลิตกระดาษชนิดที่ต้องควบคุมสี ผิวสัมผัส รวมถึงการทนทานต่อความชื้น เช่น กระดาษฟอกขาวสำหรับงานพิมพ์ โรงงานจะกำจัดสารลิกนินที่อยู่ในวัตถุดิบชีวมวล (ประมาณร้อยละ 20-30) ออกตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยกระบวนการทางเคมี หลังจากนั้นจะบำบัดลิกนินออกจากน้ำดำหรือน้ำเสียจากการผลิตกระดาษก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษ หรือบางโรงงานอาจแยกสารลิกนินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงกระบวนการผลิตต่อไป อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ค่อนข้างก่อให้เกิดมูลค่าต่ำ
“เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษจากวัตถุดิบชีวมวลด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อขึ้น ประโยชน์ด้านแรกคือเป็นกระบวนการผลิตที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านที่สองคือเป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารลิกนินจนเสียคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ ทำให้สารลิกนินที่เคยเป็นของเสียหรือสารมูลค่าต่ำกลายเป็นสารที่มีมูลค่าสูงขึ้น เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากการสกัดสารลิกนินออกมาแล้ว จะมีการปรับขนาดโมเลกุลให้เหมาะสม แยกสิ่งเจือปนออก เพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์พร้อมใช้งาน”
[caption id="attachment_44176" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]
[caption id="attachment_44177" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]
[caption id="attachment_44178" align="aligncenter" width="400"] สารลิกนิน (Lignin)[/caption]
สำหรับอุตสาหกรรมแรกที่ทีมวิจัยมุ่งนำผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้ไปใช้เจาะตลาด คือ ‘พลาสติก’ เพราะประเทศไทยมีผู้ผลิตในอุตสาหกรรมนี้มากหลักพันราย สารชนิดนี้ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความกรีนให้แก่ผลิตภัณฑ์ เหมาะแก่การเริ่มต้นขยายฐานลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง
ดร.ชญานนท์ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการนำสารลิกนินที่สกัดจากอุตสาหกรรมกระดาษมาใช้เสริมคุณสมบัติเด่นให้กับพลาสติกหลายประเภทที่นิยมใช้งานในประเทศอย่าง PE, PP, HDPE และ LLDPE ทั้งชนิดที่ใช้เม็ดพลาสติกจากปิโตรเลียมและชนิดที่ใช้ไบโอพลาสติกเป็นส่วนผสมแล้ว ตัวอย่างเด่นของการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้งานภายนอกอาคาร โดยนำคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีของลิกนินมาช่วยปกป้องเนื้อพลาสติกไม่ให้กรอบและแตกก่อนเวลาอันควร การใช้ลิกนินเป็นสารให้สีเอิร์ทโทนหรือสีเฉดน้ำตาลกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมทดแทนการใช้สีเคมีที่ผลิตจากออกไซด์ของโลหะ โดยปรับเฉดสีได้ตามต้องการ การเพิ่มคุณสมบัติยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการป้องกันการส่องผ่านของรังสียูวีให้แก่ผลิตภัณฑ์ฟิล์มห่อหุ้มอาหารเพื่อช่วยยืดอายุอาหารสดลดอัตราการเน่าเสีย ทำให้วางจำหน่ายได้ยาวนานขึ้น
[caption id="attachment_44173" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างเฉดสี[/caption]
“ทั้งนี้ล่าสุดทีมวิจัยได้พัฒนาการใช้ลิกนินเป็นสารประกอบเชิงหน้าที่ในพลาสติก PLA หรือพลาสติกที่ใช้ในการขึ้นรูปเส้นพลาสติก (PLA filament) เพื่อใช้ในงานพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์นี้ใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติทุกประเภท งานพิมพ์ที่ได้จะมีโทนสีน้ำตาลทอง โปร่งแสง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการประยุกต์ใช้ลิกนินเป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์พลาสติก สามารถนำแบบชิ้นงานมาทดลองขึ้นต้นแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิตินี้ ก่อนตัดสินใจลงทุนพัฒนาแม่พิมพ์สำหรับรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปได้”
[caption id="attachment_44174" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างงานพิมพ์สามมิติ[/caption]
ผลดีจากการพัฒนากระบวนการสกัดลิกนินเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง ลดต้นทุน และสร้างความโดดเด่นให้แก่สินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น การนำสารลิกนินซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมกระดาษไปใช้ประโยชน์ ยังช่วย ‘ลดการปลดปล่อยคาร์บอน’ สู่ชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี
ดร.ชญานนท์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การนำสารลิกนิกไปเผาทั้งเพื่อกำจัดขยะและผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากการเผามาใช้ประโยชน์ต่อ จะทำให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนจากลิกนินสู่ชั้นบรรยากาศ แต่หากนำสารลิกนินมาใช้ประโยชน์โดยคงสภาพของสารประกอบไว้ จะเป็นการกักเก็บคาร์บอนไว้ในสารดังเดิม ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุโลกร้อนได้เป็นอย่างดี โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ตัวเลขการกักเก็บคาร์บอนหักลบค่าการปลดปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาษีคาร์บอนและการเพิ่มจุดขายเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ด้วย
ผลงานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำวิจัยที่ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดการสารส่วนเกินในอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงการพัฒนาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ พลาสติก รวมถึงประเภทอื่น ๆ ได้เห็นถึงแนวทางบูรณาการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ในการร่วมกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งด้านกระบวนการสกัดสารลิกนินและการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติก ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่คุณตะวัน เต่าพาลี ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล tawan.tao@biotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวโครงการ RIAN พร้อม MOU ร่วม 5 หน่วยงาน ตั้งเป้าหนุนเกษตรกร 30,000 ราย มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ
For English-version news, please visit : NSTDA joins the launch event of Thailand RAIN project, entering an MOU to implement climate-smart agriculture
(21 มิ.ย. 66) ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ - องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล โดยกระทรวงการเกษตร รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เปิดโครงการเครือข่ายนวัตกรรมด้านการเกษตรประจำภูมิภาค (Regional Agriculture Innovation Network - RAIN) หรือโครงการเรน เพื่อสนับสนุนให้มีการใช้งานนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ (climate smart innovations - CSI)
เพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายการค้าขายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยผ่านการสร้างศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศ พร้อมลงนามความร่วมมือกับ 5 พันธมิตรไทยและต่างชาติ เดินหน้านวัตกรรมด้านเกษตร โดยไบโอเทค-สวทช. เป็น 1 ในพันธมิตรที่จะมีความร่วมมือด้าน “สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์”
โดยพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางเกว็นโดลิน คาร์ดโน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายวิลเลียม สปาร์คส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ดร.เจือจันทร์ ตั้งเติมทอง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคโครงการ RAIN ผู้บริหารจากทั้ง 5 หน่วยงานที่ร่วม MOU ซึ่งมี ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค ร่วมในพิธีเปิด
นายวิลเลียม สปาร์กส์ ผู้อำนวยการโครงการ RAIN ให้คำมั่นว่า ภายในปี พ.ศ. 2570 โครงการเรนจะทำการส่งเสริมให้เกษตรกรจำนวน 30,000 คน ได้มีการนำนวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศ 30 ชนิด ซึ่งจะส่งผลช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าได้ปริมาณ 76,000 ตัน ทั้งนี้ โครงการเรนจะมุ่งเน้นการทำงานกับพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ลำไย ทุเรียน มะพร้าว และมังคุด นอกจากนี้ โครงการเรน ยังสนับสนุนการริเริ่มศูนย์นวัตกรรมด้านภูมิอากาศนานาชาติสำหรับภาคการเกษตร แห่งแรกที่จะจัดตั้งขึ้นนอกประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ศูนย์นวัตกรรมฯ ดังกล่าว จะได้มีการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องการเกษตรและการป่าไม้เท่าทันภูมิอากาศ และยังมีส่วนช่วยในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศในระดับโลกด้วยเช่นกัน
ในงานเปิดตัวโครงการเรน มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่างองค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล และพันธมิตรที่มีความโดดเด่นทั้งไทยและต่างชาติจำนวนทั้งสิ้น 5 องค์กร ได้แก่
1) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเด็นความร่วมมือ: สนับสนุนการขยายผลนวัตกรรมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ มีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ลดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและเพิ่มโอกาสเชิงพาณิชย์
2) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ประเด็นความร่วมมือ: การส่งเสริมการใช้นวัตกรรมเท่าทันภูมิอากาศเพื่อเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย
3) บริษัท ซีพีเอส อะกริ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการใช้งานและการบูรณาการของข้อมูลด้านภูมิอากาศในเทคโนโลยีด้านการเกษตรสำหรับเกษตรกรผู้ผลิตข้าว มันสำปะหลัง และพืชสวน
4) บริษัท ฮาร์มเลส ฮาร์เวสต์ จำกัด ประเด็นความร่วมมือ: การขยายการนำแนวทางการเกษตรฟื้นฟูและเท่าทันภูมิอากาศสำหรับภาคการผลิตและการแปรรูปมะพร้าวที่ส่งผลดีต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม
5) ศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการวิจัยและบัณฑิตศึกษาด้านการเกษตร (SEARCA) ประเด็นความร่วมมือ: การเร่งให้การเกิดเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยผ่านนวัตกรรมด้านการเกษตรและการขยายผลเทคโนโลยีเท่าทันภูมิอากาศที่จะช่วยเพิ่มผลผลิต ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และขยายโอกาสทางการขาย
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยถึงประเด็นความร่วมมือครั้งนี้ว่า สวทช. โดยไบโอเทค ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ ดำเนินโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโดยเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลสำหรับประเทศลุ่มน้ำโขง มาตั้งแต่ปี 2547 เพื่อส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเครื่องหมายโมเลกุลในการคัดเลือกพันธุ์ (Marker Assisted Selection; MAS) มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวในปัจจุบันของประเทศในเขตลุ่มน้ำโขง โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยหน่วยปฏิบัติการค้นหาและใช้ประโยชน์ยีนข้าว (Rice Gene Discovery Unit) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยร่วมระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ ม.เกษตรศาสตร์ มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น กรมการข้าว ม.ขอนแก่น ม.อุบลราชธานี Department of Agricultural Research หรือ DAR จากเมียนมา National Agriculture and Forestry Research Institute หรือ NAFRI จาก สปป.ลาว โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ม.เกษตรศาสตร์ สวทช. และ Generation Challenge Program ในการจัดฝึกอบรมภาคปฏิบัติที่สถานที่วิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรและการทำงานวิจัยร่วมกัน ตลอดจนการให้ทุนการศึกษาทั้งระดับปริญญาโท และปริญญาเอก เพื่อให้นักศึกษาและนักวิจัยนำเอาความรู้และเทคโนโลยีกลับไปปรับปรุงพันธุ์ข้าวของประเทศตัวเองต่อไป
สวทช. ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนพัฒนางานวิจัยด้านมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เช่น เทคโนโลยีการผลิตต้นพันธุ์สะอาด เช่น ระบบการสร้างต้นพันธุ์มันสำปะหลังสายพันธุ์ไทยจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การพัฒนาแนวทางการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังจากต้นพันธุ์ปลอดโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี mini stem cutting และการพัฒนาต้นแบบชุดตรวจแบบรวดเร็วในรูปแบบ strip test สำหรับตรวจวินิจฉัยโรคใบด่างมันสำปะหลัง เป็นต้น งานวิจัยกลางน้ำ เช่น การวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิตของอุตสาหกรรมแป้งมันสาปะหลังไทย และงานวิจัยปลายน้ำ เช่น ต้นแบบผลิตภัณฑ์ช้อน ส้อม และมีดไบโอพลาสติก ต้นแบบวัสดุทดแทนไม้ธรรมชาติจากเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่มันสำปะหลัง และพัฒนากระบวนการผลิตฟลาวมันสำปะหลังระดับอุตสาหกรรมจากมันสำปะหลังชนิดขมที่มีปริมาณไซยาไนด์สูง พร้อมทั้งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตฟลาวมันสำปะหลังให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ได้แก่ บริษัท ชอไชยวัฒน์อุตสาหกรรม จำกัด ภายใต้แบรนด์ Sava) และ บริษัท อุบลซันฟลาวเวอร์ จำกัด (UBS) ภายใต้แบรนด์ Tasuko
นอกจากนี้ สวทช. โดยเนคเทค ยังมีทีมวิจัยด้านการเกษตรประมาณ 30 คนที่คอยวิจัยและพัฒนาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนเกษตรกรปัจจุบัน Smart Farm หลายแห่งได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี IoT ติดตั้งเซ็นเซอร์ และจัดทำระบบวัดค่าแสดงผล รวมไปถึงการสร้างระบบควบคุมผ่าน Smart Device เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการ และเฝ้าดูสถานการณ์รอบ ๆ แปลงเพาะปลูกได้ ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าว เช่น Agri-Map ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก: แพลตฟอร์มเป็นเสมือนมือขวาของเกษตรกร เพื่อช่วยบริหารจัดการเชิงรุกออนไลน์ ทั้งนี้ ได้รวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพพื้นดิน แหล่งน้ำ อากาศ และสามารถนำมาวิเคราะห์หาพืชที่นำมาทดแทนในแปลงของเกษตรกรได้ จัดทำฐานข้อมูลของการเกษตรโดยครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย ทำให้เกิดความเข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโต และปริมาณของผลผลิต ได้แก่ ปริมาณ สัดส่วน และช่วงเวลาของธาตุอาหารที่พืชต้องการ ของแต่ละสายพันธุ์ที่แตกต่างกันออกไป สภาพภูมิอากาศที่มีผลต่อศักยภาพการเติบโต ปริมาณน้ำตามความต้องการของต้นพืช ข้อจำกัดเหล่านี้สามารถใช้ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ใช้ในการวางแผน บริหารจัดการ เพื่อเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ ซึ่งสามารถใช้งานได้ผ่านทางแอปพลิเคชันมือถือและบนเว็บไซต์
องค์การวินร็อค อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นองค์การพัฒนาที่มีความโดดเด่นทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและระดับสากล ที่มุ่งเสนอทางออกสำหรับความท้าทายสำคัญของโลกในด้านสังคม เกษตรกรรม และสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบัน องค์การฯ มีการดำเนินงานกว่า 140 โครงการใน 46 ประเทศ ทั้งนี้ องค์การฯ มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2497 โดยงานภายในประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีการให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยแก๊ซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และภาคการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมไปถึงงานด้านการลดปัญหาการค้ามนุษย์
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ลุยพื้นที่ EECi จัดค่ายเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งเน้นกิจกรรมฝึกทักษะปฏิบัติการ นวัตกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ , ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิรเมธี (VISTEC) ร่วมกันจัดกิจกรรมค่ายเฉพาะทางสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมี สพฐ. อบจ.ระยอง เทศบาลนครแหลมฉบัง เมืองพัทยา โรงเรียนเอกชน จ.ชลบุรี สนง.ศึกษาธิการ จ.ระยอง และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ร่วมส่งน้อง ๆ ระดับชั้น ม. 1 - 3 จำนวน 200 คน จาก 14 โรงเรียน เข้าร่วมกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp : เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ WiMaRC เซนเซอร์เครือข่ายไร้สายและสร้างเซนเซอร์เตือน รดน้ำต้นไม้ด้วยตนเอง และฝึกปฏิบัติการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (FabLab) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อีอีซีไอ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง และ กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ ขยะอาหารกับภาวะโลกร้อน ณ สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) จ.ระยอง นอกจากนั้น ยังได้ เยี่ยมชม โรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) , ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน EECi และ โรงเรือนเทคโนโลยีขยะเพิ่มทรัพย์ (C-ROS) Cash Return from Zero Waste and Segregation of Trash ,VISTEC
ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สายงานเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก สวทช.นางสาวสุภาภรณ์ ศรอำพล ผอ.ฝ่ายอาวุโส ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร และ ทีมนักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ ถ่ายภาพร่วมกับคณะครูและนักเรียน
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเสริมประสบการณ์นอกห้องเรียนให้กับนักเรียน ได้เห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและนวัตกรรมต่อการขับเคลื่อนการพัฒนา ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STEAM Education) และเตรียมกำลังคนให้มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor : EEC ได้ต่อไป
ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับคณะครูและนักเรียน จากโรงเรียนในเขตพื้นที่ EEC
และเปิดกิจกรรมค่าย EEC Innovation Youth Camp
เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ WiMaRC เซนเซอร์เครือข่ายไร้สาย โดย คุณมนตรี แสนละมูล นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล
ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบและเครือข่ายอัจฉริยะ , NECTEC
“ไวมาก” เป็นนวัตกรรมพร้อมใช้ของเนคเทคที่รวมเทคโนโลยี IoT Cloud Platform ของ NETPIE และบอร์ดสมองกล เข้าด้วยกัน เป็นตัวช่วยในการมอนิเตอร์และควบคุมสภาวะที่มีผลต่อการทำเกษตรกรรม โดยจะทำการจัดเก็บ จัดการข้อมูล อย่างเป็นระบบเพื่อให้เกษตรกรจัดการแปลงเพาะปลูกได้อย่างถูกต้อง แม่นยำและเหมาะสม ไวมาก “WiMaRC” ย่อมาจาก Wireless sensor network for Management And Remote Control คือ ระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ ได้มีการนำไปใช้จริงในพื้นที่เกษตรสวนทุเรียนในจังหวัดระยอง
กิจกรรมสร้างเซนเซอร์เตือนรดน้ำต้นไม้ด้วยตนเองและเรียนรู้ประโยชน์ของพืชไมโครกรีน โดยคุณจิดากาญจน์ สีหาราช นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ
หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ และ คุณปริญญา ผ่องสุภา วิศวกร ฝ่ายบริหารบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร
ในส่วนของกิจกรรมสร้างเซนเซอร์เตือนรดน้ำต้นไม้ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกร ผ่านกิจกรรมจาก “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ให้มีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงาน โดยการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม และเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ “กระบวนการสร้างชิ้นงานจากเครื่องตัดเลเซอร์” ผ่านการสร้างชุดเซนเซอร์แจ้งเตือนรดน้ำต้นไม้ เรียนรู้การต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย และรู้จักพืชจิ๋วไมโครกรีนที่ให้วิตามินสูง ปลูกง่าย และดีต่อสุขภาพ โดยเริ่มจากทำความรู้จักกับเครื่องตัดเลเซอร์ ต่อมาเป็นการวาดรูปด้วยโปรแกรม Inkscape เพื่อเปลี่ยนไอเดียของตนเอง ให้กลายเป็นเส้นร่างหรือเส้นเวกเตอร์ แล้วจึงนำไปตัดด้วยเครื่องตัดเลเซอร์ จากนั้นนำไปประกอบเข้ากับเซนเซอร์และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กลายเป็นชุดเซนเซอร์แจ้งเตือน รดน้ำต้นไม้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
กิจกรรมสถานการณ์ขยะ..สู่วิกฤตขยะอาหาร วิทยากรโดย ดร.ธัญญพร วงศ์เนตร สำนักวิชาวิทยาศาสตร์
และวิศวกรรมชีวโมเลกุล สถาบันวิทยสิรเมธี ดร.ภานุ พิมพ์วิริยะกุล ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และดร.ชัชฎาภรณ์ พิณทอง ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
กิจกรรม รู้จักขยะอาหาร (Food waste) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มขยะอินทรีย์ ซึ่งมีปริมาณมากถึง 64% ของขยะมูลฝอยทั้งหมด โดยขยะอินทรีย์มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ (มีธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลัก ๆ คือคาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจน และออกซิเจน) ที่สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการทางธรรมชาติ หากไม่มีการจัดการที่ถูกต้องจะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นจากการเน่าเสีย และส่งผลต่อสภาพแวดล้อมมากกว่าขยะประเภทอื่นๆ โดยทางทีมนักวิจัยจาก VISTEC มีต้นแบบแนวทางการแก้ไขปัญหาและการจัดการขยะอาหารด้วยการนำมาแปรรูปเปลี่ยนเป็นพลังงาน (Recovery) โดยนำเศษอาหารเหลือทิ้งมาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์แบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic digestion) ในถังหมักระบบปิด และได้ผลผลิตเป็นแก๊สมีเทน ซึ่งเป็นแก๊สที่นำมาใช้เป็นพลังงงานในการหุงต้มแทนแก๊ส LPG ได้ และได้น้ำหมักที่เกิดจากการย่อยสลายอย่างสมบูรณ์นำมาเป็นสารบำรุงพืชชีวภาพในรูปแบบของเหลวได้ต่อไปด้วย
เด็กหญิงกชพร แก้วแปงจันทร์ ระดับชั้น ม.2 โรงเรียนกวงฮั้ว จ.ระยอง เล่าว่า กิจกรรมที่ชอบมากที่สุดคือการออกแบบลวดลายบนแผ่นอะคริลิก มีโอกาสได้ใช้เครื่องเลเซอร์คัตเตอร์ และได้ใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ในการออกแบบงานศิลปะควบคู่ไปด้วยกัน ได้รับความรู้และสนุกมาก ในอนาคตอยากมาเข้าร่วมกิจกรรมอีก และอยากทำกิจกรรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์หรือการควบคุมโดยใช้หุ่นยนต์
เด็กหญิงพิชญา พูลพิพัฒน์ ระดับชั้น ม.3 โรงเรียนกอัสสัมชัญ จ.ระยอง บอกถึงความประทับใจที่ได้มาทำกิจกรรมเป็นการเปิดโลกใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ได้มาที่
สถาบันวิทยสิริเมธี เห็นถึงความเจริญ ความพัฒนาของที่นี่ ประทับใจอย่างสอง คือตอนที่ได้ไปเดินชมตึก อาคารสถานที่ เป็นการเปิดโลกมาก ทำให้ทราบว่ามีสถานที่นี่อยู่ในจังหวัดตัวเองด้วย และความประทับใจในเรื่องกิจกรรม กิจกรรมดีทุกอย่าง ได้ความรู้ระยะเวลาเหมาะสมมาก วิทยากรนำเสนอและสอนได้ดีมาก
ข่าวประชาสัมพันธ์


