หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
  ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคระบาดร้ายแรงประจำถิ่นประเทศไทย รวมถึงประเทศในแถบร้อนชื้น มียุงลายเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus: DENV) พบการระบาดตลอดทั้งปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝนและมีการระบาดหนักในทุก 2-5 ปี โดยในปี 2566 นี้เป็นปีที่ประเทศไทยส่อเค้าระบาดหนักอีกครั้ง ล่าสุดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยแล้วกว่า 45,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 41 ราย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุกสำหรับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังต่อยอดสู่แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อเป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออก รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคโควิด-19 ฝุ่น PM2.5 ดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด   “ทันระบาด” แพลตฟอร์มจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโรคไข้เลือดออกแบบเรียลไทม์สำหรับเจ้าหน้าที่ หากย้อนไปช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ประชาชนอาจยังคุ้นเคยกับการได้เห็นเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคเดินถือกระดาษแผ่นใหญ่ออกสำรวจลูกน้ำยุงลายภายในชุมชน วัด และโรงเรียน แต่ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้นด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว   [caption id="attachment_45354" align="aligncenter" width="750"] นายธนพล โยธานัก (ซ้าย) ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ (กลาง) นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ (ขวา)[/caption]   ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ หัวหน้าทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า ตั้งแต่ปี 2559 เนคเทค สวทช. ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกให้มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์มประกอบด้วย 4 แอปพลิเคชันหลัก คือ “ทันระบาดสำรวจ” ใช้รวบรวมข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และรายงานความชุกชุมของลูกน้ำยุงลายให้กับพื้นที่แบบเรียลไทม์ “ทันระบาดติดตาม” ใช้นำเสนอสถานการณ์โรคไข้เลือดออกและความชุกชมของลูกน้ำยุงลายในรูปแบบแผนที่ และตารางที่สามารถเลือกดูข้อมูลได้ตามมิติที่สนใจ “ทันระบาดรายงาน” เป็นเครื่องมือช่วยสรุปชุดข้อมูลสำคัญที่ใช้งานเป็นประจำออกมาในรูปแบบรายงานอย่างอัตโนมัติ และ “ทันระบาดวิเคราะห์” สำหรับสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลในมุมมองที่สนใจ     “นับตั้งแต่เปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน ทีมวิจัย เนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรคยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ ตัวอย่างฟังก์ชันที่พัฒนาเพิ่ม เช่น ‘ทันระบาดคุณภาพ’ เครื่องมือสำหรับจัดการคุณภาพของข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และ “ทันระบาด EOC” ระบบประเมินเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและประเทศได้ทราบถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อวางแผนจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข (Emergency Operation Center: EOC)”   [caption id="attachment_45359" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]   [caption id="attachment_45358" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]   [caption id="attachment_45357" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดวิเคราะห์[/caption]     “ทันระบาด” สู่ “รู้ทัน” แอปพลิเคชันเพื่อสร้างการตระหนักรู้แก่ประชาชน แม้เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจะมีหน้าที่โดยตรงด้านการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จะดีกว่าหรือไม่หากเราทุกคนจะมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังโรคระบาดเพื่อตัดวงจรโรค รวมถึงดูแลตัวเองและครอบครัวให้ปลอดภัยอยู่เสมอ นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ นักวิจัยทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า หลังจากพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดจนพร้อมให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศแล้ว ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรค ยังได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อนำข้อมูลจากทันระบาดมาสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชน โดยเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2564 ภายในแอปพลิเคชันจะมีการดึงข้อมูลสถานการณ์การระบาดของโรคมาแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบตามพิกัดที่ผู้ใช้งานอยู่ ณ​ ขณะนั้น เช่น ขณะนี้อยู่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกสูง ควรป้องกันตัวไม่ให้ยุงกัด และกำจัดยุงลายและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในพื้นที่ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังดูข้อมูลในรูปแบบแผนที่ตั้งแต่ระดับตำบลถึงระดับภาพรวมประเทศ เพื่อแจ้งเตือนคนรู้จักหรือวางแผนเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน อาทิ เสื้อแขนยาว ยากันยุง ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงได้     นอกจากการเฝ้าระวังไข้เลือดออกแล้ว แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ยังผ่านการออกแบบให้ดึงข้อมูลเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศ มาแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ทราบในแอปพลิเคชันเดียวเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานแก่ประชาชน นายธนพล โยธานัก วิศวกร ทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เล่าว่า ทีมวิจัยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมควบคุมโรค กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการให้บริการข้อมูลผ่านทาง API (Application Programming Interface) เพื่อให้แอปพลิเคชันรู้ทันสามารถดึงข้อมูลการระบาดของโรคโควิด-19 ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ค่าดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศตามพิกัดพื้นที่มานำเสนอให้ผู้ใช้งานทราบ พร้อมให้ข้อมูลคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้แอปพลิเคชันรู้ทันได้รับการสนับสนุนจาก คาโอ คอร์ปอเรชั่น (Kao Corporation) ในการขับเคลื่อนการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย     ก้าวต่อไปของการพัฒนา “ทันระบาด”​ และ “รู้ทัน”​ คือการพัฒนาให้แพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ดร.นัยนา เล่าถึงเป้าหมายในอนาคตว่า ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดให้สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ต่าง ๆ สำหรับแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่รวมถึงประชาชนรับทราบความเสี่ยงล่วงหน้าได้ และมีแผนพัฒนาให้รู้ทันมีฟังก์ชันระบบแจ้งเตือนความเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนทราบภาวะเสี่ยงได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องเปิดแอปพลิเคชัน ทั้งนี้ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั่วทั้งประเทศไทยต่อไป ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อใช้งานได้แล้วผ่านทั้ง Play Store และ App Store ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเพื่อการร่วมวิจัยได้ที่ นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2296 หรืออีเมล manot.rattananen@nectec.or.th เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ล็อกคุณค่าสารสกัดมะขามป้อมด้วยนวัตกรรมนาโนสู่เวชสำอางบำรุงผิว “HERBLOC”
  Tech: สุดปิ๊ง ! นักวิจัยไทยพัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมสู่นวัตกรรมซีรัมบำรุงผิวหน้าทรงประสิทธิภาพ “HERBLOC” ที่ใช้นาโนเทคโนโลยีช่วยกักเก็บสารสำคัญไว้ในอนุภาคนีโอโซม (niosomes) ช่วยเพิ่มความคงตัวของสารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงานการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women 2022 : GSW2022) BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ วิจัยและพัฒนาโดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. รับถ่ายทอดเทคโนโลยีไปผลิตและจำหน่ายโดย ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ติดต่อสอบถามได้ที่ อีเมล : k.marketingmania@gmail.com เฟซบุ๊ก : herbloc2021 หรือไลน์ : @herbloc   [caption id="attachment_45214" align="aligncenter" width="750"] ดร.สกาว ประทีปจินดา และ สักรินทร์ ดูอามัน ทีมนักวิจัยนาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.สกาว ประทีปจินดา นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า มะขามป้อมเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสในกระบวนการสร้างเม็ดสีของเซลล์ผิวหนัง ซึ่งได้รับการยอมรับในการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างกว้างขวาง แต่ปัญหาหลักของสารสกัดจากมะขามป้อมคือเรื่องของความคงตัว เมื่อเจอกับความชื้นหรือแสงแดดจะเสื่อมสภาพได้ง่าย ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาสารสกัดจากมะขามป้อมให้อยู่ในรูปของอนุภาคนีโอโซมด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น (Nanoencapsulation) เพื่อเพิ่มความคงตัวให้สารสกัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดให้ดียิ่งขึ้น เมื่อนำไปพัฒนาเป็นสูตรตำรับเวชสำอางและทดสอบในอาสาสมัครพบว่ามีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิว ทำให้ผิวแลดูขาว กระจ่างใสและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิว สักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าต่อว่า สารสกัดจากสมุนไพรมีข้อดีคือประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ แต่ยังมีจุดอ่อนในเรื่องการทำละลายและการคงตัว จึงต้องพัฒนาสารสกัดให้มีความพร้อมแก่การนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพดี มีความคงตัว ออกฤทธิ์ได้ตลอดการใช้งาน และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อย่างเช่นสารสกัดมะขามป้อม ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดสูง ทำให้พัฒนาสูตรได้ยาก แต่เมื่อเราพัฒนาสารสกัดให้อยู่ในอนุภาคนีโอโซมแล้วทำให้พัฒนาสูตรตำรับได้ง่ายและหลากหลายมากขึ้น โดยหนึ่งในสูตรตำรับที่พัฒนาขึ้นคือผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวหน้า Emblica Encapsulation Anti-Aging Facial Serum ปัจจุบันได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด มาร์เก็ตติ้ง เมเนีย ผลิตจำหน่ายภายใต้แบรนด์ HERBLOC   [caption id="attachment_45213" align="aligncenter" width="750"] ผลิตภัณฑ์ซีรัมบำรุงผิวจากสารสกัดมะขามป้อม HERBLOC[/caption]   จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้า HERBLOC คือ มีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะสารสกัดมะขามป้อมที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นสาเหตุผิวหมองคล้ำ ผลิตด้วยเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชั่น เพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บสารสำคัญและค่อยๆ ปลดปล่อยเข้าสู่เซลล์ผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวแลดูกระจ่างใส ชะลอการเกิดริ้วรอย และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว HERBLOC ผลิตโดยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน GMP และผลิตภัณฑ์ผ่านการจดแจ้งจาก อย. เรียบร้อยแล้ว นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยที่นำคุณค่าของสมุนไพรไทยมาเพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฐานชีวภาพ และตอบโจทย์การพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีของประเทศ   เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นาโนเทค สวทช. วิจัยเพิ่มประสิทธิภาพสารสกัดใบบัวบกด้วยระบบการนำส่ง ต่อยอดสู่เวชสำอางมาตรฐานสากล
For English-version news, please visit : Nanocarrier as a delivery system for bioactive compounds in Centella asiatica   บัวบก (Centella asiatica) เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย และนิยมใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ผลิตภัณฑ์หลายชนิดจากประเทศฝรั่งเศส ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นกำเนิดแบรนด์เวชสำอางชั้นนำของโลกก็มีการใช้ใบบัวบกเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเช่นกัน เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารออกฤทธิ์บำรุงรักษาที่สำคัญ คือ สารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) นำความเชี่ยวชาญและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานวิจัยพัฒนา ‘ประสิทธิภาพการนำส่ง’ และ ‘การคงตัว’ ของสารสกัดใบบัวบก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เวชสำอาง มุ่งยกระดับขีดความสามารถอุตสาหกรรมไทยให้ยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน   [caption id="attachment_45209" align="aligncenter" width="750"] ดร.อรพรรณ คิง (ซ้าย) และคุณสักรินทร์ ดูอามัน (ขวา)[/caption]   ดร.อรพรรณ คิง นักวิจัยทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพชีวิตและเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า ใบบัวบกเป็นพืชที่มีสารสำคัญหลัก 2 ชนิดที่น่าสนใจ คือ Asiaticoside และ Madecassoside เป็นสารออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ แต่สารสกัดสมุนไพรยังมีจุดอ่อนสำคัญที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์เวชสำอาง 2 ด้าน ด้านแรกคือเป็นสารกลุ่มละลายน้ำได้ดี จึงซึมผ่านชั้นผิวหนังได้น้อยกว่าสารกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถออกฤทธิ์ตรงเป้าหมายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่งคือเป็นสารที่มีความคงตัวต่ำ เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active ingredient) ในเครื่องสำอาง เนื้อของผลิตภัณฑ์อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพหากโดนแสงหรือความร้อน เช่น สีเปลี่ยนไปก่อนเวลาอันควร ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพ และเกิดความไม่สบายใจที่จะใช้สินค้าต่อ   [caption id="attachment_45507" align="aligncenter" width="450"] บัวบก (Centella asiatica)[/caption] “เพื่อยกระดับสารสกัดจากใบบัวบก ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน (Nanoencapsulation) ด้วยสารห่อหุ้มที่มีความจำเพาะในกลุ่ม Lipid-based nanocarrier ช่วยให้สารซึมผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และออกฤทธิ์ยังบริเวณเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อนำไปใช้เป็นสารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ ผู้ใช้งานจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้การห่อหุ้มสารสกัดในระดับอนุภาคนาโนยังช่วยให้สารมีความคงตัว ผลิตภัณฑ์จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีและจะยังคงมีปริมาณสารออกฤทธิ์ตามที่กำหนดจนถึงวันหมดอายุด้วย” ภายหลังการวิจัยและพัฒนากระบวนการยกระดับสารสกัดใบบัวบกจนได้มาตรฐานพร้อมนำไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. จะรับช่วงต่อนำสารสกัดที่ได้พัฒนาในรูปของ Lipid-based nanocarrier มาสร้างสรรค์เป็น ‘ตำรับเวชสำอางใหม่’ ที่ตอบโจทย์ความต้องการผู้ใช้งานทั้งในไทยและต่างประเทศ คุณสักรินทร์ ดูอามัน นักวิจัยทีมวิจัยโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง นาโนเทค สวทช. เล่าถึงกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ทีมวิจัยจะนำโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมาวิเคราะห์ร่วมกับคุณสมบัติของสารสำคัญ เพื่อพิจารณาว่าควรผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใด ก่อนผสานความเชี่ยวชาญด้านวิทย์และศิลป์ สร้างสรรค์ออกมาเป็นเวชสำอางที่โดดเด่นทั้งด้านคุณภาพและการเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความประทับใจในการใช้งาน     “ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นมี 4 ผลิตภัณฑ์ คือ Facial Serum, Facial Sleeping mask, Emulgel และ Hand cream ทุกผลิตภัณฑ์ล้วนโดดเด่นด้านการชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวหนังและลบเลือนริ้วรอยแห่งวัย โดยแต่ละตำรับจะใส่สารสำคัญอื่น ๆ เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพในการบำรุงด้วย เช่น สารตรึงความชุ่มชื้นและเคลือบผิวหนังเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำระหว่างวัน สารกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างอ่อนโยนด้วยกระบวนการตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในกลุ่มนี้แล้ว 2 บริษัท ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ผ่านช่องทางของสื่อสารของแบรนด์ Herb Miracle และ iNSIEME     นอกจากการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดและเวชสำอางเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมคือการให้บริการวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตเวชสำอางตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การยกระดับประสิทธิภาพสารสกัด การพัฒนาผลิตภัณฑ์​ ไปจนถึงการทดสอบประสิทธิภาพการออกฤทธิ์และความปลอดภัย ภายใต้ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ดร.อรพรรณ อธิบายว่า ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนายกระดับประสิทธิภาพการนำส่งและการคงตัวของสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน ด้วยเทคโนโลยีนาโนการห่อหุ้มหรือกักเก็บ (Nanoencapsulation) และพร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาตำรับเวชสำอางประสิทธิภาพสูงสูตรเฉพาะของแบรนด์ตามโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ นอกจากความพร้อมด้านการให้บริการวิจัยแล้ว นาโนเทค สวทช. ยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ คือ โรงงานต้นแบบสำหรับผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ภายใต้มาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP สำหรับให้บริการผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบและสินค้าด้วย “ที่นี่เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยที่พร้อมให้บริการเครื่อง High-pressure homogenizer หรือเครื่องลดขนาดอนุภาคของสารในระดับนาโนเพื่อการผลิตสินค้าในระดับอุตสาหกรรมแก่ภาคเอกชน นอกจากนี้นาโนเทคยังมีความเชี่ยวชาญด้านการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ด้วยการผ่านการทดลองทางคลินิก (Clinical test) และมีผู้เชี่ยวชาญด้านเงื่อนไขข้อบังคับ (Regulation) การผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ช่วยพิจารณาส่วนประกอบและกระบวนการผลิตในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของแต่ละประเทศด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนาจะมีคุณภาพสูง มีศักยภาพที่จะจำหน่ายได้จริงทั้งในไทยและประเทศเป้าหมาย คุณสักรินทร์ กล่าวเสริมทิ้งท้าย การพัฒนากระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งสารสกัดจากสมุนไพร รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเวชสำอาง เป็นหนึ่งในความเชี่ยวชาญที่นาโนเทค สวทช. ภูมิใจและพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการแก่ผู้ประกอบการไทย เพื่อหนุนเสริมการยกระดับเศรษฐกิจฐานชีวภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนตามโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตหรือร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากใบบัวบก ติดต่อได้ที่ ฝ่ายธุรกิจนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7100 ต่อ 6610, 6680 หรืออีเมล bitt-ind@nonotec.or.th สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ไทยเดินหน้า “เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน” มุ่งสนับสนุนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
  วันที่ 26 กรกฎาคม ของทุกปี คือ “วันสากลของการอนุรักษ์ป่าชายเลนโลก (International day for the conservation of the mangrove ecosystem)” หรือที่นิยมเรียกว่า “วันป่าชายเลนโลก” เป็นวันที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของป่าชายเลน ระบบนิเวศในแนวเชื่อมต่อระหว่างทะเลกับผืนแผ่นดิน พบได้ในแถบเขตร้อน (tropical) และกึ่งเขตร้อน (subtropical) ของโลก ป่าชายเลนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนและสัตว์ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร แหล่งทำมาหากิน แหล่งกักเก็บคาร์บอน และยังเป็นแนวกำแพงช่วยลดความรุนแรงของคลื่นลม ภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) นำความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดำเนินโครงการการศึกษาชีพลักษณ์และการเก็บอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนของไทยในสภาพปลอดเชื้อ โดยมุ่งหวังพัฒนาวิธีการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชป่าชายเลนแบบระยะยาว เพื่อเป็นคลังความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลนในประเทศ   [caption id="attachment_45227" align="aligncenter" width="450"] ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ นักวิจัยธนาคารพืช NBT ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ปัจจุบันมีการอนุรักษ์พันธุ์พืชป่าชายเลนด้วยการจัดทำศูนย์รวบรวมพันธุ์ทั้งแบบอนุรักษ์ในพื้นที่ (in situ) และแบบนอกพื้นที่ (ex situ) ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่ด้วยสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน ภัยแล้ง น้ำท่วม ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ยากแก่การวางแผนรับมือล่วงหน้า ต่างส่งผลโดยตรงต่อการกระจายพันธุ์ของพืชบางชนิด ทำให้การเก็บรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จในระยะยาว ดังนั้นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญพันธุ์ของพืชในธรรมชาติ ทีมวิจัย NBT จึงได้ศึกษาวิจัย “การเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมพืชชายเลนด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ” ภายใต้โครงการความร่วมมือดังกล่าว “การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการเพิ่มจำนวนต้นพืชแบบไม่อาศัยเพศในสภาพปลอดเชื้อ เหมาะแก่การผลิตต้นพันธุ์ปลอดโรคที่มีคุณลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ สามารถเพิ่มปริมาณได้รวดเร็วในพื้นที่ขนาดจำกัด อีกทั้งยังเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดเก็บเชื้อพันธุกรรมพืชที่มีเมล็ดแบบ Recalcitrant หรือเมล็ดชนิดที่ไม่สามารถลดความชื้นเพื่อการเก็บรักษาระยะยาวในสภาวะเยือกแข็ง (อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส) ได้ ซึ่งเมล็ดชนิดนี้พบมากในพืชพรรณที่เติบโตในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อน”   [caption id="attachment_45228" align="aligncenter" width="450"] การสำรวจป่าชายเลนเพื่อการทำวิจัย[/caption]   ถึงกระนั้นแม้จะเป็นที่ทราบกันดีในวงการวิจัยว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการอนุรักษ์พืชป่าชายเลนที่มีประสิทธิภาพ แต่จนถึงปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยด้านนี้ออกมาไม่มากนัก สาเหตุสำคัญมาจาก “ความยากในการเพาะเลี้ยง” ดร.ปัญญาวุฒิ อธิบายว่า ความยากของการวิจัยด้านนี้คือต้องค้นหาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เหมาะสมแบบจำเพาะ เนื่องจากพืชแต่ละชนิด (species) ต้องการอาหารและสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน อีกทั้งพืชป่าชายเลนบางชนิดยังมีอัตราการเจริญเติบโตช้า ทำให้การวิจัยแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลานานหลักปี ซึ่งหากไม่ประสบความสำเร็จจะต้องเริ่มต้นกระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรก   [caption id="attachment_45229" align="aligncenter" width="750"] ภาพการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]   [caption id="attachment_45232" align="aligncenter" width="750"] การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ[/caption]   “ตัวชี้วัดความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกคือการทำให้ชิ้นส่วนพืชปลอดเชื้อและเจริญเติบโตต่อบนอาหารสังเคราะห์ภายหลังการฟอกฆ่าเชื้อได้สำเร็จ ส่วนที่สองคือยอดใหม่ของพืชสามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ผ่านการสับเปลี่ยนอาหารแล้ว 2 ครั้ง (subculture) หลังจากผ่านทั้งสองขั้นตอนที่สำคัญเหล่านี้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่ากระบวนการเตรียมตัวอย่างพืชและสูตรอาหารมีความเหมาะสมต่อการเก็บรักษาเชื้อพันธุกรรมชนิดนั้น ๆ ในระยะยาว ทั้งนี้เป็นการอิงตามหลักกระบวนการวิจัย (protocol) ที่ NBT ใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรมากว่า 200 ชนิดพันธุ์” สำหรับการวิจัยเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลนในสภาพปลอดเชื้อในเฟสแรก สวทช. และ ทช. ได้ร่วมกันคัดเลือกพันธุ์พืชป่าชายเลนมาศึกษากระบวนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จำนวน 16 ชนิด คือ หงอนไก่ใบเล็ก พังกา-ถั่วขาว ใบพาย โปรงขาว ลำแพน หลุมพอทะเล โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ โปรงแดง ฝาดดอกแดง พังกาหัวสุมดอกแดง และลำแพนหิน ซึ่งเป็นพืชที่มีความเสี่ยงตามประกาศของ IUCN Red List ตั้งแต่มีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ในระดับต่ำ (least concern) จนถึงใกล้สูญพันธุ์ (endangered) ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าถึงสถานการณ์การวิจัยเพาะเลี้ยงพืชป่าชายเลนในเฟสนี้ว่า ผลจากการดำเนินงานทำให้ทีมพบปัญหาสำคัญในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชป่าชายเลนที่เก็บตัวอย่างจากธรรมชาติ คือ ตัวอย่างเหล่านี้มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์สูง โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Endophytic microbial หรือจุลินทรีย์ที่อาศัยในชิ้นส่วนพืช ซึ่งไม่สามารถทำให้ตายผ่านการฆ่าเชื้อที่พื้นผิวตามปกติ ทีมวิจัยจึงได้นำต้นกล้าที่จัดเก็บตัวอย่างจากป่ามาปลูกในโรงเรือนที่มีความชื้นน้อยกว่าธรรมชาติเพื่อลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ ก่อนฆ่าเชื้อด้วยรูปแบบและวิธีการที่ปรับให้เหมาะสม จนทำให้ต้นพันธุ์ปลอดเชื้อได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนการวิจัยสูตรอาหารเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชพันธุ์ต่าง ๆ ต่อไป   [caption id="attachment_45230" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชายเลน[/caption]   [caption id="attachment_45231" align="aligncenter" width="750"] ขวดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร[/caption]   ขณะเดียวกันกับการมุ่งมั่นเพาะเลี้ยงพืชชายเลนทั้ง 16 ชนิด ทีมยังได้วิจัยเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่พบบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ป่าชายเลน เพื่อประโยชน์ด้านการอนุรักษ์คู่ขนานกันไปด้วย ปัจจุบันประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงแล้ว 6 ชนิดพันธุ์ คือ ผักเบี้ยทะเล ผักหวานทะเล ขลู่ เทพี สำง้ำ และสำมะงา ดร.ปัญญาวุฒิ เล่าว่าภายในธนาคารพืช NBT มีการวิจัยเพื่อการอนุรักษ์พรรณพืชป่าชายเลนอีกหลายด้าน เช่น การศึกษาลักษณะเรณูหรือละอองเกสร (pollen) เพื่อการระบุชนิดพันธุ์ของพืช เพราะปริมาณและความหลากหลายของเรณูที่ตรวจพบบ่งชี้ถึงความสามารถด้านการกระจายพันธุ์ของพืชในบริเวณนั้นได้ อีกตัวอย่างคือการศึกษา DNA barcode หรือรหัสพันธุกรรมตำแหน่งสำคัญที่บ่งชี้ถึงชนิดพันธุ์พืช เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการระบุชนิดพันธุ์ ซึ่งการตรวจสอบชนิดพันธุ์พืชผ่านรูปแบบ DNA barcode เป็นวิธีการที่มีความแม่นยำสูง ตรวจสอบง่าย และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงนักอนุกรมวิธานในการวิเคราะห์ผล   [caption id="attachment_45236" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นหลุมพอทะเล[/caption]   [caption id="attachment_45235" align="aligncenter" width="750"] ละอองเกสรต้นฝาดดอกแดง[/caption]   [caption id="attachment_45234" align="aligncenter" width="750"] กระบวนการสกัด DNA เพื่อทำ DNA barcode[/caption]   “ทั้งนี้เป้าหมายการทำงานในระยะยาวของทีมวิจัยจากธนาคารพืช NBT คือ การสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์แก่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศผ่านการทำงานเป็นเครือข่าย เพื่อบูรณาการองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ รวมถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานในการทำวิจัย มุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ของประชากรโลก คือการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” ดร.ปัญญาวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย หากคุณสนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือร่วมทำวิจัยเพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพไทยทั้งด้านพืชและจุลินทรีย์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NBT และติดต่อได้ที่ www.nationalbiobank.in.th  เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา ฮือก้วยจากโปรตีนพืช เนื้อสัมผัสแน่นหนึบ ได้ประโยชน์เต็มคำ
  ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อหมูและเนื้อไก่มีวางจำหน่ายในตลาดค่อนข้างหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้รับประทาน แต่สำหรับ ‘ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช’ ที่หลายคนชื่นชอบกลับยังไม่มีให้เห็นมากนัก สาเหตุสำคัญมาจากความยากในการผลิตให้ได้เนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง การพัฒนา Plant-based seafood จึงยังเป็นโจทย์ที่ท้าท้าย น่าจับตา และมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา ‘Ve-Sea’ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ผลิตภัณฑ์ใหม่ในสายการผลิตเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช มุ่งตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและกลุ่มผู้แพ้อาหารทะเล   [caption id="attachment_44759" align="aligncenter" width="700"] ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.กมลวรรณ อิศราคาร นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค สวทช. เล่าถึงที่มาการผลิต ‘Ve-Sea’ ว่า หลังจากทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการผลิตเนื้อไก่จากโปรตีนพืช ‘Ve-Chick’ ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เอกชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารทะเลอย่างหมึกและกุ้งต่อ เพราะเป็นกลุ่มนวัตกรรมอาหารที่มีความต้องการสูง โดยจากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าในช่วงปี 2564-2565 ตลาด Plant-based seafood มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 14 และประมาณการณ์ว่าในช่วงปี 2565-2572 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.5 อย่างไรก็ตามด้วยความยากในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงของจริง ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีสัดส่วนในตลาดเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืชเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจค่อนข้างสูง “ผลจากการทุ่มเทแรงเป็นเวลากว่า 10 เดือน ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืช ทั้งปลา หมึก และกุ้ง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างอาหารที่อาศัยความรู้ทั้งทางด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหารซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของทีมวิจัย ประกอบกับการใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของวัตถุดิบแต่ละชนิดมาเลือกใช้และผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน ทำให้ทีมประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากโปรตีนพืชที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริงที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในนาม ‘Ve-Sea’ เรียบร้อยแล้ว 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ลูกชิ้นปลา เส้นปลา และฮือก้วย ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสใกล้เคียงของจริง อีกทั้งยังมีปริมาณโปรตีนเทียบเท่ากับผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่ใช้เนื้อปลาเป็นส่วนประกอบด้วย สำหรับผลิตภัณฑ์เนื้อหมึกจากโปรตีนพืชคาดว่าจะเปิดตัวและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีภายในปี 2567”     ปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ ใส่ก๋วยเตี๋ยว จะเมนูไหนก็ทำง่าย อร่อย และดีต่อสุขภาพ คือ จุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ที่ทีมวิจัยอยากให้ผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศได้ลิ้มลอง ดร.กมลวรรณ กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ทั้ง 3 ชนิดพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตแล้ว 2 สูตร สูตรแรกคือปราศจากกลูเตน (Gluten free) เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคในกลุ่มที่แพ้กลูเตนซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในสหภาพยุโรปและอเมริกา โดยสูตรนี้ใช้โปรตีนจากถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบร้อยละ 4-8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ ซึ่งเทียบเท่าหรือสูงกว่าผลิตภัณฑ์เลียนแบบเนื้อปลาทั่วไปในท้องตลาด อีกสูตรหนึ่งคือสูตรที่มีกลูเตนสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้ผลิตภัณฑ์ โดยมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัสมีความแน่นและเด้งมากกว่าอีกสูตร “นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 สูตรยังมีจุดเด่นคือปราศจากคอเลสเตอรอล ทำให้ Ve-Sea เหมาะแก่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน ส่วนทางด้านเนื้อสัมผัสของทั้ง 2 สูตร ทีมวิจัยได้ออกแบบให้เชฟสามารถนำ Ve-Sea ไปรังสรรค์เป็นเมนูอาหารต่าง ๆ ทดแทนผลิตภัณฑ์จากเนื้อปลาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะปิ้ง ย่าง ทอด นึ่ง ต้ม ผัด ยำ หรือใส่ก๋วยเตี๋ยว ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความสุขกับการลิ้มรสเมนูอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ที่ชื่นชอบดังเดิม แต่ดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดีเป้าหมายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ve-Sea ไม่ได้เพียงมุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญถึงโอกาสทางการตลาดของผู้ประกอบการที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วย จากจุดเด่นที่กล่าวถึงข้างต้นทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการวางแผนการทำธุรกิจได้สะดวกทั้งรูปแบบ B2B (Business-to-business) และ B2C (Business-to-consumer) และทั้งเพื่อกลุ่มเป้าหมายภายในและต่างประเทศ”     นอกจากการวิจัยเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้แก่เอกชนแล้ว อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของทีมวิจัยคือการมีส่วนในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ด้วยการให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหาร (Novel food) รวมถึงบริการทดสอบคุณภาพ ในนาม FoodSERP สวทช. ดร.กมลวรรณ เล่าถึงการให้บริการผ่าน ‘แพลตฟอร์ม FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)’ หรือ ‘แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบ One-stop service’ ว่า สวทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้นเพื่อให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายกำลังการผลิต รวมถึงการทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร โดยผสานความเชี่ยวชาญของนักวิจัยจากศูนย์แห่งชาติต่าง ๆ ภายใต้ สวทช. “ทีมวิจัยวัสดุศาสตร์อาหาร เอ็มเทค พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารทั้งในกลุ่มเนื้อสัตว์จากโปรตีนพืช อาหารปรับเนื้อสัมผัสสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการเฉพาะอย่างผู้สูงอายุและผู้มีภาวะกลืนลำบาก รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการจากผู้ประกอบการ ส่วนทางด้านบริการทดสอบ เอ็มเทคพร้อมให้บริการวิเคราะห์ทดสอบด้านเนื้อสัมผัสของอาหาร อาทิ ความแข็ง ความหนืด และได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ให้บริการทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหารด้วยเครื่องจำลองสภาวะการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก (ระบบ tiny-TIMagc) และสภาวะการทำงานของลำไส้ใหญ่ (ระบบ TIM-2) รวมถึงวิเคราะห์ทดสอบประสิทธิภาพของสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้นวัตกรรมอาหารที่นักวิจัยเอ็มเทคร่วมกับผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาขึ้น ไม่เพียงมีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่สมจริง แต่ยังเป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง” ดร.กมลวรรณ กล่าวทิ้งท้าย สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ve-Sea และ Ve-Chick ติดต่อได้ที่ คุณชนิต วานิกานุกูล (ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ) เบอร์โทร 0 2564 6500 ต่อ 4788 หรืออีเมล chanitw@mtec.or.th และผู้ที่สนใจใช้บริการแพลตฟอร์ม FoodSERP สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและติดต่อขอรับบริการได้ทางอีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Gunther Bath’ กันเธอหกล้มแล้วไม่มีคนช่วย นวัตกรรมตรวจจับการล้มเพื่อผู้สูงอายุและผู้ดูแล
For English-version news, please visit : Gunther Bath: Fall detection system in bathroom   เมื่อคนเราก้าวเข้าสู่ช่วงสูงวัย ร่างกายที่เคยทำงานได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่างโรยราไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคงประกอบกับสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผู้สูงอายุพลัดตก หกล้ม หรือหมดสติล้มพับไปกับพื้นได้ง่าย ซึ่งหากเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ก็อาจมีปัญหาด้านสุขภาพที่ร้ายแรงตามมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) พัฒนา Gunther Bath (กันเธอร์ บาธ) นวัตกรรมตรวจจับและแจ้งเตือนการพลัดตกหกล้มแบบติดตั้งผนังห้องน้ำ ชนิดไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพสำหรับการประมวลผล เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้สูงอายุและผู้อาศัยในครัวเรือน   [caption id="attachment_44562" align="aligncenter" width="500"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. อธิบายถึงอุปกรณ์ Gunther Bath ว่า ชุดอุปกรณ์และระบบการทำงานประกอบด้วย Well-mounted ambient sensor (Ultra-wideband) อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแบบติดตั้งผนัง เพื่อนำข้อมูลที่ตรวจจับได้มาประมวลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI), LANAH hub อุปกรณ์ศูนย์กลางสำหรับรับข้อมูลจากเซนเซอร์ และจัดส่งข้อมูลที่ต้องสื่อสารไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ, Well-living application แอปพลิเคชันสำหรับรับแจ้งเตือนการพบเหตุพลัดตกหกล้ม, Emergency button ปุ่มสำหรับกดยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน   [caption id="attachment_44574" align="aligncenter" width="250"] Gunther Bath[/caption]     หลักการทำงานของ Gunther Bath คือ การใช้เซนเซอร์ตรวจจับอิริยาบถของผู้ใช้งานห้องน้ำ หากตรวจพบการล้ม ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว หรือนอนหมดสติอยู่กับพื้น ระบบจะแจ้งเตือนให้ผู้ดูแลทราบภายในหลักวินาที ดร.ศราวุธ เล่าถึงกลไกการทำงานของอุปกรณ์ว่า เมื่อผู้สูงอายุหรือคนในบ้านเดินเข้าห้องน้ำ ระบบจะตรวจจับลักษณะการเคลื่อนไหว (Transition) และอิริยาบถ (Posture) ของผู้ใช้งานด้วย Ambient sensor แล้วส่งสัญญาณที่ตรวจจับได้ไปประมวลผลด้วย AI ซึ่งหาก AI พบท่าทางที่บ่งชี้ถึงการหกล้มหรือหมดสติ ระบบจะตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากเซนเซอร์ต่ออีก 5 วินาที เพื่อยืนยันว่าเกิดเหตุขึ้นจริง จะทำการส่งข้อมูลไปที่ LANAH hub ก่อนส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ (Cloud) เพื่อแจ้งเตือนไปที่ Well-living application ให้ผู้ดูแลได้ทราบถึงอุบัติเหตุภายในเวลาประมาณ 10-15 วินาที “หลังจากผู้ดูแลได้รับแจ้งเหตุแล้ว สามารถส่งข้อความเสียงผ่านแอปพลิเคชันให้ไปดังที่ลำโพงซึ่งติดตั้งไว้ในห้องน้ำเพื่อสื่อสารกับผู้ประสบเหตุ เช่น ขอให้ช่วยกดปุ่ม Emergency button เพื่อยืนยันการเกิดเหตุฉุกเฉิน, แจ้งว่าทราบการเกิดอุบัติเหตุแล้วกำลังเดินทางไปช่วยเหลือ, ให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเบื้องต้น”     Gunther Bath เป็นอุปกรณ์ที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสำหรับใช้ภายในห้องน้ำเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ การเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสถานที่และการควบคุมต้นทุนการผลิต ดร.ศราวุธ อธิบายว่า แม้ปัจจุบันจะมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีหลายแห่งวางจำหน่ายอุปกรณ์ตรวจจับการพลัดตกหกล้มแล้วหลากรูปแบบ ทั้งแบบสวมใส่ (Wearable sensor) แบบใช้กล้องตรวจจับภาพ (Vision sensor) และแบบตรวจจับการเคลื่อนไหวจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม (Ambient sensor) แต่โดยส่วนใหญ่อุปกรณ์เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดหลายประการที่ทำให้ไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เช่น ความไม่แม่นยำในการตรวจจับการเคลื่อนไหว ความไม่เป็นส่วนตัว ความไม่สะดวกสบาย ราคาที่ค่อนข้างสูง “เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้งานให้มากที่สุด ทีมวิจัยจึงออกแบบให้ Gunther Bath ตรวจจับการพลัดตกหกล้มด้วย Ambient sensor ที่ไม่มีการถ่ายและบันทึกภาพ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน โดยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลด้วยการออกแบบและฝึกฝนให้ AI เรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวและการแสดงอิริยาบถต่าง ๆ จนแยกแยะท่าทางการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในห้องน้ำกับการพลัดตกหกล้มได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้จำกัดความสามารถของอุปกรณ์ให้ทำงานตรวจจับความเคลื่อนไหวของผู้ใช้งานครั้งละ 1 คนเท่านั้น (ตามปกติของการใช้ห้องน้ำ) เพื่อให้ Gunther Bath มีความซับซ้อนของอุปกรณ์ไม่สูงมาก ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์มีราคาที่ไม่สูงเกินไป ช่วยให้คนไทยเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีได้ในวงกว้าง”   [caption id="attachment_44561" align="aligncenter" width="500"] ภาพตัวอย่างการติดตั้งอุปกรณ์ภายในห้องน้ำ[/caption]   Gunther Bath เป็นหนึ่งในนวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ ที่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อขานรับการเข้าสู่สังสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของประเทศไทย ซึ่งเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วในปีนี้ ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
พัฒนาสารสกัด “เห็ดหลินจือออร์แกนิก” สู่ผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” ซีรั่มบำรุงผิวหน้าชะลอวัย
  Tech: สุดล้ำ! นักวิจัยร่วมกับเอกชนไทยพัฒนาวิธีสกัดสารสำคัญจากเห็ดหลินจือและระบบห่อหุ้มด้วยนาโนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความคงตัวและความปลอดภัย ต่อยอดสู่นวัตกรรมเวชสำอางชะลอวัย “ริเชอรอล” ที่อุดมด้วยสารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิก หนึ่งในผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน NAC Market 2023 ตลาดนัดสินค้านวัตกรรมภายใต้การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. หรือ NAC2023 BIZ: #นวัตกรรมพร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ ร่วมวิจัยและพัฒนาโดยบริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์ : 09 3629 6626 อีเมล : laovasana@gmail.com เฟซบุ๊ก : Reishural - ริเชอรอล หรือไลน์ : @reishural2022   [caption id="attachment_44018" align="aligncenter" width="700"] วาสนา เชิดเกียรติกำจาย (หน้าสุด) วรกร เลาหเสรีกุล (กลาง) และ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด (หลังสุด)[/caption]   วาสนา เชิดเกียรติกำจาย กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟาร์มคิดดี จำกัด เล่าว่า บริษัททำฟาร์มเพาะเห็ดหลินจือออร์แกนิกและแปรรูปเป็นชาเห็ดหลินจือจำหน่ายที่ตลาดสุขใจ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ จนกระทั่งคุณวรกร เลาหเสรีกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทอีกท่านหนึ่งได้รู้จักกับ ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัย นาโนเทค สวทช. และทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญด้านเวชสำอางและสารสกัดจากธรรมชาติ จึงเกิดเป็นความร่วมมือวิจัยพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายการใช้ประโยชน์ของเห็ดหลินจือจากอาหารสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามซึ่งมีมูลค่าสูงและมีตลาดกว้าง โดยเราได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) [ปัจจุบันโปรแกรม INNOVATIVE HOUSE อยู่ภายใต้สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)] ดร.ธงชัย กูบโคกกรวด นักวิจัยนาโนเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการสกัดสารสำคัญจากดอกเห็ดหลินจือ พร้อมทั้งพัฒนาระบบอนุภาคนิโอโซมเพื่อกักเก็บสารสกัดเห็ดหลินจือ ทำให้มีความคงตัว กระจายตัวได้ดี และมีความปลอดภัยไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง ที่สำคัญคืออนุภาคสามารถนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของอนุภาคในชื่อ ริชโอโซม (REISHOSOME) และพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของริชโอโซม โดยผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและการระคายเคืองผิวตามมาตรฐาน The International Dermatitis Research Group ปัจจุบันได้ผลิตจำหน่ายภายใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ “ริเชอรอล” (REISHURAL)     จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ซีรั่มบำรุงผิวหน้าริเชอรอล คือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือออร์แกนิกจากฟาร์มคิดดี อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไตรเทอร์พีนอยด์และพอลิแซ็กคาไรด์ สารสำคัญที่ช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน ผสานนาโนเทคโนโลยีในการกักเก็บสารสำคัญด้วยอนุภาค “ริชโอโซม” ซึ่งเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของริเชอรอล สามารถนำพาสารบำรุงซึมซาบสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลดปล่อยสารสำคัญได้ยาวนาน 8-24 ชั่วโมง มีผลช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือน แลดูกระจ่างใส และเพิ่มความชุ่มชื่นเมื่อใช้ 2-4 สัปดาห์     ผลิตภัณฑ์ริเชอรอลยืนยันความสำเร็จด้วยรางวัลเหรียญทองจากเวทีการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมระดับนานาชาติในงาน Seoul International Invention Fair 2022 (SIIF 2022) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี และรางวัลเหรียญเงินจากงานประกวดนวัตกรรมโลก SPECIAL EDITION 2022 – INVENTION GENEVA EVALUATION DAYS ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส “ริเชอรอล” แสดงให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สามารถเข้าไปช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตรได้หลายเท่าตัว ช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ขยายตลาดให้ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันที่ใส่ใจในสุขภาพและความงาม     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เปลี่ยน ‘ลิกนิน’ ของเสียอุตสาหกรรมกระดาษ สู่สารสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดปล่อยคาร์บอนใน ‘ผลิตภัณฑ์พลาสติก’
For English-version news, please visit : Lignin recovered from paper industry gets utilized in plastic manufacturing   ‘ลิกนิน’ เป็นสารประกอบในวัตถุดิบชีวมวลที่อุตสาหกรรมกระดาษจำเป็นต้องกำจัดออก เพราะเป็นสารที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์กระดาษ ทั้งด้านสี ผิวสัมผัส และการทนทานต่อความชื้น ซึ่งสารปริมาณมหาศาลนี้มักมีจุดจบเพียงการเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดลู่ทางการใช้ประโยชน์ที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และพันธมิตร พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ‘สารลิกนิน’ ที่ได้จากกระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ (Organosolv process) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมวิจัยและบริษัทร่วมกันพัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้เพื่อให้การผลิตผลิตภัณฑ์กระดาษมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้จากการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยวิธีการนี้มีจุดเด่นสำคัญที่แตกต่างจากกระบวนการทั่วไปซึ่งใช้สารเคมี คือ การคงไว้ซึ่งคุณสมบัติการดูดกลืนรังสียูวี การต้านทานสารอนุมูลอิสระ และความบริสุทธิ์ของสาร ซึ่งเหมาะแก่การใช้เป็นสารให้ประโยชน์เชิงหน้าที่ในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ปัจจุบันการวิจัยอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาแนวทางเพื่อการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติกแล้ว   [caption id="attachment_44175" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชญานนท์ โชติรสสุคนธ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค สวทช. เล่าว่า โดยทั่วไปการผลิตกระดาษชนิดที่ต้องควบคุมสี ผิวสัมผัส รวมถึงการทนทานต่อความชื้น เช่น กระดาษฟอกขาวสำหรับงานพิมพ์ โรงงานจะกำจัดสารลิกนินที่อยู่ในวัตถุดิบชีวมวล (ประมาณร้อยละ 20-30)  ออกตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมเยื่อกระดาษด้วยกระบวนการทางเคมี หลังจากนั้นจะบำบัดลิกนินออกจากน้ำดำหรือน้ำเสียจากการผลิตกระดาษก่อนปล่อยสู่ธรรมชาติเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษ หรือบางโรงงานอาจแยกสารลิกนินมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงกระบวนการผลิตต่อไป อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ค่อนข้างก่อให้เกิดมูลค่าต่ำ     “เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างเต็มประสิทธิภาพ และได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่การลงทุน ทีมวิจัยจึงได้พัฒนากระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษจากวัตถุดิบชีวมวลด้วยเทคนิคออร์แกโนโซลฟ์ที่ให้ประโยชน์ 2 ต่อขึ้น ประโยชน์ด้านแรกคือเป็นกระบวนการผลิตที่มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านที่สองคือเป็นกระบวนการที่ไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารลิกนินจนเสียคุณสมบัติเด่นตามธรรมชาติ ทำให้สารลิกนินที่เคยเป็นของเสียหรือสารมูลค่าต่ำกลายเป็นสารที่มีมูลค่าสูงขึ้น เหมาะแก่การใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งภายหลังจากการสกัดสารลิกนินออกมาแล้ว จะมีการปรับขนาดโมเลกุลให้เหมาะสม แยกสิ่งเจือปนออก เพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์พร้อมใช้งาน”   [caption id="attachment_44176" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]   [caption id="attachment_44177" align="aligncenter" width="400"] กระบวนการเตรียมเยื่อกระดาษ[/caption]   [caption id="attachment_44178" align="aligncenter" width="400"] สารลิกนิน (Lignin)[/caption]   สำหรับอุตสาหกรรมแรกที่ทีมวิจัยมุ่งนำผลิตภัณฑ์สารสกัดลิกนินที่ได้ไปใช้เจาะตลาด คือ ‘พลาสติก’ เพราะประเทศไทยมีผู้ผลิตในอุตสาหกรรมนี้มากหลักพันราย สารชนิดนี้ตอบโจทย์ได้ทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความกรีนให้แก่ผลิตภัณฑ์ เหมาะแก่การเริ่มต้นขยายฐานลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง ดร.ชญานนท์ เล่าว่า ขณะนี้ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการนำสารลิกนินที่สกัดจากอุตสาหกรรมกระดาษมาใช้เสริมคุณสมบัติเด่นให้กับพลาสติกหลายประเภทที่นิยมใช้งานในประเทศอย่าง PE, PP, HDPE และ LLDPE ทั้งชนิดที่ใช้เม็ดพลาสติกจากปิโตรเลียมและชนิดที่ใช้ไบโอพลาสติกเป็นส่วนผสมแล้ว ตัวอย่างเด่นของการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้งานภายนอกอาคาร โดยนำคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีของลิกนินมาช่วยปกป้องเนื้อพลาสติกไม่ให้กรอบและแตกก่อนเวลาอันควร การใช้ลิกนินเป็นสารให้สีเอิร์ทโทนหรือสีเฉดน้ำตาลกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมทดแทนการใช้สีเคมีที่ผลิตจากออกไซด์ของโลหะ โดยปรับเฉดสีได้ตามต้องการ การเพิ่มคุณสมบัติยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน และการป้องกันการส่องผ่านของรังสียูวีให้แก่ผลิตภัณฑ์ฟิล์มห่อหุ้มอาหารเพื่อช่วยยืดอายุอาหารสดลดอัตราการเน่าเสีย ทำให้วางจำหน่ายได้ยาวนานขึ้น   [caption id="attachment_44173" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างเฉดสี[/caption]   “ทั้งนี้ล่าสุดทีมวิจัยได้พัฒนาการใช้ลิกนินเป็นสารประกอบเชิงหน้าที่ในพลาสติก PLA หรือพลาสติกที่ใช้ในการขึ้นรูปเส้นพลาสติก (PLA filament) เพื่อใช้ในงานพิมพ์สามมิติ (3D Printing) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์นี้ใช้งานได้กับเครื่องพิมพ์สามมิติทุกประเภท งานพิมพ์ที่ได้จะมีโทนสีน้ำตาลทอง โปร่งแสง แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไป สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจการประยุกต์ใช้ลิกนินเป็นสารเติมแต่งเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์พลาสติก สามารถนำแบบชิ้นงานมาทดลองขึ้นต้นแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์สามมิตินี้ ก่อนตัดสินใจลงทุนพัฒนาแม่พิมพ์สำหรับรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อกระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไปได้”   [caption id="attachment_44174" align="aligncenter" width="500"] ตัวอย่างงานพิมพ์สามมิติ[/caption]   ผลดีจากการพัฒนากระบวนการสกัดลิกนินเพื่อประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่เพียงเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง ลดต้นทุน และสร้างความโดดเด่นให้แก่สินค้าในรูปแบบต่าง ๆ เท่านั้น การนำสารลิกนินซึ่งเป็นของเสียจากอุตสาหกรรมกระดาษไปใช้ประโยชน์ ยังช่วย ‘ลดการปลดปล่อยคาร์บอน’ สู่ชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ดร.ชญานนท์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การนำสารลิกนิกไปเผาทั้งเพื่อกำจัดขยะและผลิตไฟฟ้าโดยไม่มีกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนจากการเผามาใช้ประโยชน์ต่อ จะทำให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนจากลิกนินสู่ชั้นบรรยากาศ แต่หากนำสารลิกนินมาใช้ประโยชน์โดยคงสภาพของสารประกอบไว้ จะเป็นการกักเก็บคาร์บอนไว้ในสารดังเดิม ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุโลกร้อนได้เป็นอย่างดี โดยผู้ประกอบการสามารถใช้ตัวเลขการกักเก็บคาร์บอนหักลบค่าการปลดปล่อยคาร์บอนของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Products: CFP) เพื่อประโยชน์ทั้งด้านการลดภาษีคาร์บอนและการเพิ่มจุดขายเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ด้วย ผลงานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการทำวิจัยที่ครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดการสารส่วนเกินในอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงการพัฒนาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งในภาคอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ พลาสติก รวมถึงประเภทอื่น ๆ ได้เห็นถึงแนวทางบูรณาการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระแห่งชาติ ในการร่วมกันสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งด้านกระบวนการสกัดสารลิกนินและการนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลาสติก ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่คุณตะวัน เต่าพาลี ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อีเมล tawan.tao@biotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ลุยพัฒนา-สร้างมาตรฐาน “แพ็กแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบสับเปลี่ยนได้” หนุนไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน
  วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและปัญหาขาดแคลนพลังงานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ คือแรงขับดันให้เกิดการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และเป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ ในขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งเตรียมปักหมุดเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วนวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “แพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เพื่อเร่งยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยและขับเคลื่อนไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนตามเป้าหมายนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของรัฐบาล   [caption id="attachment_43978" align="aligncenter" width="700"] ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงานสะอาด ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) หัวหน้าโครงการ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศด้วยนโยบาย 30@30 คือตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความสนใจในการพัฒนาเพื่อให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้สนใจใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2565 ตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเติบโตถึง 100% โดยมียอดจดทะเบียนใหม่ประมาณ 7,300 คัน แต่ยังถือเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนรถจักรยานยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในประเทศกว่า 2 ล้านคันต่อปี เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงและยังไม่ตอบสนองความต้องการการใช้งานได้เต็มรูปแบบ “ในประเทศไทยและอาเซียนมีการใช้งานมอเตอร์ไซค์เป็นจำนวนมาก เฉพาะประเทศไทยมีผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์มากถึง 21 ล้านคัน และมีการใช้งานที่หลากหลายทั้งบริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ และบริการส่งผู้โดยสาร ในขณะที่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าก็มีความหลากหลายเช่นกัน อีกทั้งพลังงานของแบตเตอรี่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระยะการขับขี่แต่ละรอบเวลาการบริการ โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน และยังมีข้อจำกัดด้านเวลาที่ใช้ในการเติมพลังงาน โดยอาจใช้เวลาอย่างต่ำ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ไม่สะดวกต่อผู้ใช้งาน จึงเกิดแนวคิดการสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ หรือ battery swapping โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งใกล้เคียงกับการเติมน้ำมัน” “อย่างไรก็ตาม การสับเปลี่ยนแพ็กแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังจำกัดอยู่เพียงการสับเปลี่ยนภายในมอเตอร์ไซค์จากผู้ประกอบการรายเดียวเท่านั้น เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดกลางด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า เราจึงเริ่มทำโครงการวิจัยพัฒนารูปแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนได้สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่สลับเปลี่ยนใช้งานได้เมื่อแบตเตอรี่หมดและอยู่ระหว่างการชาร์จ เพื่อสร้างมาตรฐานของแพ็กแบตเตอรี่และสถานีชาร์จ ให้ใช้ได้กับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหลายรุ่น หลายผู้ผลิต รวมถึงสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ข้ามสถานีกันได้” ทั้งนี้ โครงการวิจัยและพัฒนาแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ในประเทศไทย ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) โดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับบริษัทเบต้า เอ็นเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด, บริษัทจีพี มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัทไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด, บริษัทกริดวิซ (ประเทศไทย) จำกัด และสวทช. โดยวิจัยและพัฒนาร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีและมหาวิทยาลัยขอนแก่น     ปัจจุบันทีมวิจัยได้ต้นแบบแพ็กแบตเตอรี่แบบสับเปลี่ยนสำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่ผ่านมาตรฐานระดับสากลแล้ว 1 รุ่น ต้นแบบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น 2 ยี่ห้อ รวม 15 คัน และต้นแบบตู้สับเปลี่ยนแบตเตอรี่ 3 รุ่น รวม 3 ตู้ สำหรับติดตั้งที่สถานีชาร์จ 3 แห่ง ได้แก่ บริเวณหน้าศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี ปั๊มน้ำมันบางจาก เอกมัย-รามอินทรา คู่ขนาน 4 กรุงเทพมหานคร และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง จ.นนทบุรี โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทดสอบการใช้งานภาคสนาม เพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับจัดทำข้อเสนอแนะความเป็นไปได้ในการพัฒนาแพล็ตฟอร์มสำหรับประเทศไทยต่อไป     ดร.พิมพา บอกถึงข้อดีของการมีแพล็ตฟอร์มแพ็กแบตเตอรี่มาตรฐานว่าจะทำให้เราสามารถผลิตแพ็กแบตเตอรี่รูปแบบเดียวที่ใช้ได้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นหลายผู้ผลิต รวมถึงใช้งานสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้หลากหลายผู้ให้บริการ เกิดการร่วมใช้โครงสร้างพื้นฐานของสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ ลดราคาการติดตั้งสถานีหลายรุ่นหลายแห่ง เพิ่มความสะดวกในการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้แก่ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และผู้ขับขี่ยังเข้าถึงเทคโนโลยีแบตเตอรี่ล่าสุดที่สถานีสับเปลี่ยนได้ และที่สำคัญคือช่วยให้ราคาต้นทุนของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและแพ็กแบตเตอรี่ลดลง “เมื่อเรามีมาตรฐานทางเทคนิคกลางระหว่างแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ตู้ประจุไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะเป็นการส่งเสริมให้ผู้ให้บริการด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และตู้ประจุไฟฟ้าในแต่ละราย ดำเนินการระหว่างกันได้ผ่านมาตรฐานกลางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการผลิต การถือครองมอเตอร์ไซค์ แพ็กแบตเตอรี่และสถานีประจุไฟฟ้า และจะส่งผลให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าแพร่หลายมากขึ้น มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานในราคาที่ถูกลง แบตเตอรี่ที่สิ้นสุดการใช้งานจากมอเตอร์ไซค์อาจจะมีการนำไปใช้ต่อได้หรือจะถูกจัดการได้ง่ายขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ และที่สำคัญคือเราได้องค์ความรู้ที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของประเทศ เกิดการสร้างตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน สามารถต่อยอดให้เกิดอุตสาหกรรมและบริการรูปแบบใหม่ตามมาอีกมากมาย” ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงวิจัยพัฒนาเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างคนสร้างองค์ความรู้ที่จะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศ     เรียบเรียงโดย : วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์คโดย : ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘Ross (รอส) บอดีสูทพยุงหลัง’ ป้องกันการบาดเจ็บจากการยกผู้ป่วย ผู้สูงอายุ และสิ่งของน้ำหนักมาก (“Ross” Back-Support Exoskeleton for Injury Risk Reduction in Patient-handling and Heavy-lifting Tasks)
  ปัญหาการบาดเจ็บที่พบได้ส่วนใหญ่ในบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ต้องยกของที่มีน้ำหนักมากเป็นประจำ คือ ‘อาการปวดหลังส่วนล่าง’ ซึ่งหากปล่อยให้มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังอาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นกระทบต่อการดำเนินชีวิตหรือต้องยุติการทำงานที่ใช้แรงจากกล้ามเนื้อหลังได้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับพันธมิตร ออกแบบและพัฒนา ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บให้คนไทย Lower back pain (LBP) is a prevalent musculoskeletal disorder associated with manual handling tasks in healthcare personnel, caregivers, and manual labor workers. Chronic injury to the back can affect quality of life and reduce workers’ ability to effectively perform their jobs. Researchers at the National Metal and Materials Technology Center (MTEC), under the National Science and Technology Development Agency (NSTDA), along with technical partners, have designed and developed a motion-assist exosuit for back support named “Ross”. The main function of “Ross” is to prevent back injuries for those who are at risk in their workplace.   [caption id="attachment_43472" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. (ขวา) (Dr.-Ing. Sarawut Lerspalungsanti, director of the Engineering Design and Computation (EDC) research group, MTEC, NSTDA (right))[/caption]   ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า มีคนวัยทำงานจำนวนมากที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง บริเวณ L5 แล S1 หรือบริเวณหมอนรองกระดูกในระดับที่รักษาให้หายขาดได้ยาก เช่น บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ดูแลที่ต้องยกหรือพลิกตัวผู้ป่วยและผู้สูงอายุเป็นประจำ ผู้ทำงานด้านการขนส่งที่ต้องยกสินค้าที่มีน้ำหนักมากโดยไม่สามารถใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยได้ ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดจาก ‘การยกผิดท่าหรือการใช้งานร่างกายอย่างหนักเป็นประจำ’ ผลเสียที่ตามมาคือนอกจากคนวัยทำงานเหล่านั้นจะต้องเผชิญความเจ็บปวดในการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว อาจต้องย้ายตำแหน่งหรือเปลี่ยนอาชีพเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ร่างกายบาดเจ็บเพิ่มเติม หากเป็นลูกหลานที่ต้องดูแลผู้สูงอายุภายในบ้านก็อาจต้องว่าจ้างผู้ดูแลจากภายนอกมาให้การช่วยเหลือแทนด้วย According to Dr.-Ing. Sarawut Lerspalungsanti, director of the Engineering Design and Computation (EDC) research group, “Chronic injuries to the lower back, especially at the L5-S1 lumbosacral joint, is very common in the workforce and is difficult to cure. This type of injury is frequently found in nurses, caregivers, and those whose jobs often require lifting of heavy objects. The injuries can be caused by several ergonomic risk factors, e.g., high number of repetitions, poor posture, and heavy loads. The result is not only a decline in the individual’s quality-of-life due to chronic pain, but also reduced workplace productivity, which could further result in social and financial burdens.”   [caption id="attachment_43471" align="aligncenter" width="700"] ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support’[/caption]   จากปัญหาดังกล่าวทีมวิจัยได้พัฒนา ‘Ross (รอส) ชุดบอดีสูทพยุงหลัง (Motion-assist exosuit) รุ่น Back support’ เพื่อช่วยดูแลกล้ามเนื้อหลังของผู้ใช้งานผ่านการควบคุมร่างกายให้ออกแรงยกด้วยท่าทางที่เหมาะสม และช่วยทุ่นแรงกล้ามเนื้อจุดที่สำคัญ ดร.ศราวุธ อธิบายถึงกลไกการทำงานของ Ross ว่า เมื่อผู้ใช้งานสวมใส่ Ross และปรับชุดให้กระชับบริเวณกล้ามเนื้อ 4 จุด หน้าอก หลัง เอว และต้นขา ชุดจะช่วยควบคุมให้ผู้ใช้งานออกแรงยกด้วยท่าทางที่เหมาะสมหรือท่า ‘สควอต (Squat)’ เป็นการย่อเข่าลง ยืดหลังตรง เกร็งหน้าท้อง แล้วใช้แรงจากแขนและขาในการยกสิ่งของขึ้น ซึ่งชุดจะควบคุมไม่ให้ผู้ใช้งานยกสิ่งของด้วยท่าก้มโค้งแล้วใช้แรงจากหลังในการยก เพราะเป็นท่าที่เสี่ยงต่อการทำให้กล้ามเนื้อหลังบาดเจ็บ “เมื่อผู้ใช้งานยกของด้วยท่าสควอต ร่างกายจะพับชุดที่มีโครงสร้างภายในคล้ายสปริงตัว ‘V’ ซึ่งมีจุดหมุนอยู่บริเวณเอวและปลาย 2 ด้านอยู่บริเวณหน้าอกและต้นขาลง เกิดเป็นการสะสมพลังงานเพื่อผลักให้ร่างกายกลับสู่ท่ายืนตรง เป็นการทุ่นแรงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้แก่ผู้สวมใส่ ทั้งนี้ชุดผ่านการออกแบบให้สวมใส่ได้สะดวกรวดเร็ว ผู้ใช้งานจึงไม่จำเป็นต้องสวมชุดล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมปฏิบัติงาน หากเกิดเหตุจำเป็นต้องยกสิ่งที่มีน้ำหนักมากเมื่อไหร่ก็หยิบชุดมาสวมใส่อย่างถูกต้อง (กระชับกล้ามเนื้อส่วนที่สำคัญทุกส่วน) ได้ภายในหลักวินาที” To address this problem, the Well-living Design Team has designed “Ross” to lower the risk of back injury by adjusting the users’ lifting posture and reducing the compression load on the lumbosacral joint.   “Ross” can be adjusted the user’s body size at four different parts of the body: chest, back, waist, and upper legs, to ensure a comfortable fit and proper function of the exosuit. “Ross” assists the user in performing squat-lifting tasks in an ergonomically correct posture: with bent knees, straight back, and tensed core muscles, using the leg and arm muscles to lift. The exosuit effectively prevents users from bending their back while lifting, thereby utilizing their back muscles as primary task performers, an action that often leads to back injuries.   When users bend down to perform a squat-lift, their body pivots “Ross” around a pivot joint located at the waist. The two pivot arms are the parts of “Ross” extending from the waist to chest and waist to quadriceps. This action is akin to the compression of a spring, creating stored energy, which is later released during the extension of the body to lift the object. By this mechanism, “Ross” lowers the compression force on the L5-S1 joint and reduces risk of injury to the back muscles.   Importantly, “Ross” is designed for easy donning and doffing, allowing users to quickly utilize it when needed in a matter of seconds. With both function and affordability in mind, “Ross” is manufactured with domestic materials, reducing its cost and concern for material/parts supply continuity.     ชุด Ross ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงต้นทุนที่เหมาะสม เพื่อจำหน่ายใน ‘ราคาที่จับต้องได้’ ช่วยให้คนไทยเข้าถึงการใช้งานได้จริง ที่สำคัญชุด Ross ผลิตจากวัสดุภายในประเทศทั้งหมด จึงลดการนำเข้าและลดความเสี่ยงในการขาดแคลนวัสดุจากเหตุวิกฤตต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดร.ศราวุธ เล่าถึงความท้าทายในการพัฒนาผลงานว่า สิ่งที่ทีมให้ความสำคัญอย่างมากตลอดการทำวิจัยคือการควบคุมการผลิตให้เกิดความสมดุลระหว่างคุณภาพของชุดกับต้นทุนการผลิต เพราะปัจจุบันชุดที่จำหน่ายทั่วไปมีราคาค่อนข้างสูงในระดับที่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดเตรียมชุดเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บให้แก่บุคลากรของตนได้ และแน่นอนว่ายังมีราคาสูงเกินกว่าที่ลูกหลานในอีกหลายครอบครัวจะซื้อติดบ้านไว้เพื่อใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ ดังนั้น Ross จึงผ่านการออกแบบให้ชุดทำงานได้มีมีประสิทธิภาพสูง แข็งแรงทนทาน แต่ยังคงน้ำหนักของชุดไว้ที่ประมาณ 3-4 กิโลกรัม เพื่อลดต้นทุนในการผลิต ทำให้ราคาของผลิตภัณฑ์ต้นแบบถูกกว่าราคาของผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ 3-4 เท่า และคาดว่าเมื่อขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรมจะลดต้นทุนลงได้อีก ปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต Ross แก่ผู้ประกอบการแล้ว “สำหรับการวิจัยในเฟสต่อไป ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ในการวิจัยต่อเนื่องเรื่องการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาหนุนวิเคราะห์การเคลื่อนไหวร่างกายของผู้สวมใส่ เพื่อนำไปสู่การออกแบบชุดที่ดูแลร่างกายของผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น” ดร.ศราวุธ กล่าวทิ้งท้าย Dr. Lerspalungsanti stated that one of the product development challenges was preserving a balance between the quality and function of the product and the materials and production costs. Equivalent products on the market tend to be costly, deterring potential customers in Thailand, whether from the healthcare or manufacturing sectors, or individual caregivers looking to purchase for personal use. “Ross” has been proven to be mechanically robust and effective in reducing back injuries while weighing 3-4 kilograms. This design enables a three- to four-fold reduction in price, compared to similar foreign products. We expect the price to decrease even further with our forthcoming plans for commercial-scale production. Currently, “Ross” is in the process of technology transfer to a Thai manufacturer.   [caption id="attachment_53665" align="aligncenter" width="750"] Ross (รอส)[/caption]   Ross เป็นหนึ่งในนวัตกรรมเพื่อ ‘ผู้สูงอายุ’ และ ‘ผู้ดูแล’ ที่นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาขึ้นเพื่อขานรับการเข้าสู่สังสังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ของไทย ซึ่งเอ็มเทคพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งสามแล้วในปีนี้ ผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัยพัฒนาต่อยอด ติดต่อได้ที่ คุณสุนทรีย์ โฆษิตชัยยงค์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เอ็มเทค โทร 0 2564 6500 ต่อ 4783 หรือ e-mail soontaree.kos@mtec.or.th “Ross” is one of many innovations for the elderly and caregivers developed by the Well-living Design Team. Further information can be obtained on our innovations by contacting Ms. Soontaree Kositchaiyong, Business Development division at MTEC, Tel. (+66) 2564 6500 ext. 4783 or e-mail soontaree.kos@mtec.or.th.   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. (เวอร์ชันภาษาไทย) อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเอ็มเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจาก ‘เปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่’ ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งสู่ ‘ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองสามน้ำ’
  จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นเมืองที่มีลักษณะโดดเด่นทางภูมิศาสตร์ในฐานะ ‘เมืองสามน้ำ’ คือมีทั้งระบบนิเวศน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ในพื้นที่เดียวกัน กลายเป็นความสมบูรณ์ที่เอื้อต่อการทำประมงและการเกษตร ยิ่งเฉพาะ ‘มะพร้าว’ ถือว่าเป็นแหล่งปลูกขนาดใหญ่ และขึ้นชื่อว่ามีรสชาติหวานหอมเป็นอัตลักษณ์ หนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดสมุทรสงคราม ทว่าในช่วงภาวะผลผลิตราคาตกต่ำ เกษตรกรผู้ปลูกต้องประสบปัญหาภาวะขาดทุนอยู่ไม่น้อย วิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก ต.บางยี่รงค์ อ.บางคนที คือกลุ่มชาวบ้านที่มีอาชีพหลักดั้งเดิมคือการทำสวนมะพร้าว แต่ด้วยปัญหาความเดือดร้อนจากราคามะพร้าวผลที่ตกต่ำอย่างมาก ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาลุกขึ้นมารวมกลุ่มพัฒนาแปรรูปสู่ผลิตภัณฑ์ ‘น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น’ เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงปากท้อง บุปผา ไวยเจริญ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก จ.สมุทรสงคราม เล่าว่า เดิมทีชาวบ้านปลูกมะพร้าวผลแก่ขาย แต่ในช่วงนั้นราคาขายตกต่ำมาก จากขายลูกละ 15 บาท เหลือลูกละ 3 บาท เกษตรกรแทบอยู่ไม่ได้เลย เพราะแค่การเก็บมะพร้าว ต้องมีรายจ่ายทั้งค่าสอย ค่าวางมะพร้าว และค่านำมะพร้าวขึ้นรถเข็น รายได้จากการขายมะพร้าวแทบไม่พอจ่ายค่าจ้างด้วยซ้ำ จึงคิดกันว่าจะเพิ่มมูลค่ามะพร้าวได้อย่างไร กระทั่งมีโอกาสไปดูงานการแปรรูปมะพร้าว ก็เลยได้แนวคิดการทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ซึ่งตอนนั้นมีการรวมกลุ่มเล็ก ๆ ช่วยกันทำในโรงเรือน เป็นสินค้าแปรรูปชิ้นแรก และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทั้งนี้ในกระบวนการผลิตน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นจะมีเปลือกมะพร้าวเหลือทิ้งอยู่มาก แม้จะนำไปขายต่อให้เกษตรกรในพื้นที่นำไปใช้ปลูกต้นไม้ได้บ้าง แต่ก็ยังจำหน่ายได้ในราคาถูกและเหลือปริมาณมาก บุปผา จึงเกิดแนวคิดนำมาเป็นวัตถุดิบทำ ‘ผ้ามัดย้อมจากเปลือกมะพร้าว’ โดยอาศัยภูมิปัญญาดั้งเดิมผสานกับนวัตกรรมจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) “เราชอบผ้ามัดย้อมเป็นทุนเดิม เริ่มแรกลองใช้ความรู้ที่มี นำเปลือกมะพร้าวมาแช่น้ำ พอมีสีออกมา ก็ใช้ย้อมผ้า ปรากฏว่าผ้าติดสีไม่ค่อยดี สีไม่สม่ำเสมอ แถมพอซักแล้วสีซีดจางหรือไม่ก็หลุดหมดเลย ไม่ได้ผล ตอนนั้นจึงไปติดต่ออุตสาหกรรมจังหวัด ซึ่งทางหน่วยงานได้ช่วยประสานงานให้ทางสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) และนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เข้ามาช่วย ซึ่งทางทีมวิจัยลงพื้นที่มาสอนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเลย ให้ความรู้ตั้งแต่การเลือกผ้าว่าผ้าประเภทไหนติดสี การทำความสะอาดผ้าด้วยเทคโนโลยีเอนไซม์เอนอีซ ซึ่งช่วยทำความสะอาดและลอกแป้งออกจากผ้าในขั้นตอนเดียว แค่แช่ผ้าก็สะอาดหมดจดทำให้ติดสีได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังได้ความรู้เรื่องเทคนิคและกระบวนการสกัดสี วิธีย้อมสีจากเปลือกมะพร้าว ทีมวิจัยสอนตั้งแต่การชั่ง ตวง วัด การผลิตสี การตรวจเช็คความเข้มสีก่อนย้อม การออกแบบลายมัดย้อม การพิมพ์สกรีนสีธรรมชาติ ตลอดจนถึงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนเทคโนโลยี ซึ่งองค์ความรู้ทั้งหมดนี้ทำให้เราพัฒนาผ้ามัดย้อมสีเปลือกมะพร้าวที่มีคุณภาพและยังมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน”     ความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอกไม่ได้มีเพียงการยกระดับเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เปลือกมะพร้าวที่เป็นของเหลือทิ้งสู่สินค้าภูมิปัญญาที่แฝงด้วยนวัตกรรม แต่พวกเขายังนำองค์ความรู้มาขยายผลแก้ปัญหา ‘ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม’ ผลไม้ที่เป็น ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ Geographical Indications : GI’ ของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งกำลังประสบปัญหา ‘ผลผลิตน้อย’ บุปผา เล่าว่า ปัญหาใหญ่ของลิ้นจี่พันธุ์ค่อมคือผลผลิตออกน้อยมากว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้มีผลผลิตไม่ถึง 20% เพราะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เกษตรกรหลายคนตัดสินใจฟันต้นทิ้งและหันมาปลูกมะพร้าวน้ำหอมแทนเพราะไม่มีรายได้ น่าเสียดายว่าถ้าชาวบ้านตัดทิ้งหมด ต่อไปคนจะไม่รู้จักลิ้นจี่พันธุ์ค่อมของจังหวัดสมุทรสงคราม จึงปรึกษากับทาง สวทช. ทีมนักวิจัย จึงลองนำเอาใบลิ้นจี่มาผลิตสีดู ปรากฏว่าสีจากใบลิ้นจี่จะสว่างกว่าสีจากเปลือกมะพร้าว สีจากใบลิ้นจี่จะได้โทนส้ม น้ำตาลและเทา ส่วนสีจากเปลือกมะพร้าวจะได้สีโทนน้ำตาลเข้ม     “ทุกวันนี้ผ้ามัดย้อมสีเปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่เป็นสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนที่ช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้คนในพื้นที่อย่างมาก จากแทนที่ปีหนึ่งเก็บลิ้นจี่ได้ปีละ 1 ครั้ง ตอนนี้เก็บใบมาทำผ้ามัดย้อมขายได้ทั้งปี ที่สำคัญทั้งใบลิ้นจี่ และเปลือกมะพร้าวเป็นทุนที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ จึงนำมาสกัดสีได้โดยไม่ต้องซื้อจากที่อื่น ทำให้ลดต้นทุน และเพิ่มรายได้คนในพื้นที่ประมาณ 15% อีกทั้งการนำของเหลือทิ้งมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ยังเป็นการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด ดีต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน” ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรสวนนอก นำ ‘ผ้ามัดย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกมะพร้าวและใบลิ้นจี่’ มาต่อยอดตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า หมวก ผ้าพันคอ กระเป๋า ผ้าผืน ฯลฯ เพื่อให้ตอบโจทย์ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย มีการจำหน่ายทั้งที่ร้านของวิสาหกิจฯ และส่งขายให้แก่ห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ด้าน ‘การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวและการทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ’ ให้แก่นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ นับเป็นหนึ่งใน ‘ต้นแบบการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG’ ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มายกระดับวัตถุดิบในพื้นที่สู่ผลิตภัณฑ์สร้างอาชีพให้คนในชุมชนได้อย่างยั่งยืน     เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นวัตกรรมยกระดับ ‘การนำส่งสารสกัด CBD ในกัญชา’ สร้างจุดขายเวชสำอางและท่องเที่ยวไทย
  แม้ประเทศไทยจะอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2562 แต่ปัจจุบันตลาดกัญชายังคง ‘มีมูลค่าต่ำ’ เหตุจากยังไม่สามารถแปรรูปและใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘อนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารสกัด Cannabidiol (CBD) ในกัญชาและกัญชง (Cannabis sativa L.)’ เพื่อลดข้อจำกัดในการใช้สารสกัด ทั้งในด้านการนำส่งสารเข้าสู่ร่างกายและการไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นการพัฒนาสารสกัด CBD สู่สารสำคัญมูลค่าสูงสำหรับประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เชิงพาณิชย์   [caption id="attachment_43240" align="aligncenter" width="500"] ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.คทาวุธ​ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน นาโนเทค สวทช. อธิบายถึงการพัฒนาอนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารว่า ทีมวิจัยได้พัฒนากระบวนการห่อหุ้มอนุภาคของสารสกัด CBD ด้วยอนุภาคไขมันผ่านเทคโนโลยีนาโนเอนแคปซูเลชัน (Nanoencapsulation) เพื่อลดจุดอ่อนของสารสกัด CBD ใน 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือ ‘การนำส่งสาร’ ที่ยังมีประสิทธิผลต่ำ เนื่องจากสารสกัด CBD ละลายน้ำได้น้อย ซึมผ่านผิวหนังได้ไม่ดี จึงมักสะสมอยู่ที่หนังกำพร้าชั้นนอก การห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมันจะช่วยให้สาร CBD ซึมผ่านชั้นผิวหนังของมนุษย์ได้ดีขึ้น สามารถละลายหรือนำส่งสารออกฤทธิ์ไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านที่สอง คือ ‘ลดการเสื่อมสภาพของสาร’ การห่อหุ้มด้วยอนุภาคระดับนาโนจะช่วยลดการโดนแสง ค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงออกซิเจนในอากาศที่ทำให้คุณสมบัติแอนติออกซิแดนต์ (Antioxidant) ของสารเสื่อมสภาพ “การลดข้อจำกัดของสารสกัด CBD ทั้ง 2 ด้านนี้ได้สำเร็จ จะทำให้สารสกัด CBD ออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้สารสกัด CBD ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง และยังลดอัตราเสี่ยงให้แก่ผู้ใช้งานที่อาจต้องสัมผัสสารปริมาณมากจนเกิดการระคายเคือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์หากจำเป็นต้องใช้สารสกัด CBD ในปริมาณสูงเพื่อพัฒนายารักษาโรคในอนาคต”   [caption id="attachment_43241" align="aligncenter" width="550"] ตัวอย่างการนำสารสกัด CBD ในกัญชาไปใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ[/caption]   ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มนำสารสกัด CBD มาใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เวชสำอางบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมันเท่านั้น ‘เพราะสาร CBD ละลายได้ดีในน้ำมัน แต่จะแยกชั้นหรือตกตะกอนในน้ำ’ การวิจัยและพัฒนาอนุภาคนาโนสำหรับนำส่งสารสกัดนับเป็นโอกาสที่ช่วยให้คนไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD รูปแบบใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น ดร.คทาวุธ อธิบายว่า การห่อหุ้มด้วยอนุภาคไขมันจะช่วย ‘เพิ่มสมบัติการละลายน้ำ’ ให้แก่สารสกัด CBD ทำให้ผู้ประกอบการหรือนักพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถ ‘ใช้สาร CBD ในเวชสำอางประเภทซีรัมหรือน้ำตบ’ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา ซึมเข้าผิวได้รวดเร็ว ให้ความรู้สึกเบาสบายผิว เหมาะแก่การใช้เป็นประจำทุกวันมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักซึมเข้าผิวช้าได้ โดยสารสกัด CBD เป็นสารสำคัญที่มีจุดเด่นทั้งในด้านการเป็นสารแอนติออกซิแดนต์ประสิทธิภาพสูง ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์หรือการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น และยังช่วยลดการอักเสบ สมานแผล รวมถึงเพิ่มคอลลาเจนไฟเบอร์ (Collagen fiber) ให้แก่ผิวได้เป็นอย่างดี “อีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สารสกัด CBD มีแนวโน้มเติบได้สูง คือ กลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ (Health and wellness travel) เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้อย่างถูกกฎหมาย ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากที่มองหากิจกรรมการท่องเที่ยวประเภทสปาที่มีการนำสารสกัด CBD มาใช้เป็นสารสำคัญในผลิตภัณฑ์เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า ดังนั้นหากผู้ประกอบการมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสูตรเฉพาะซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีก็จะเป็นจุดแข็งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาใช้บริการในช่วงที่การท่องเที่ยวไทยกำลังกลับมาคึกคักได้”     The global cannabis report โดย Prohibition partners ผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ชั้นนำระดับโลกคาดว่าในปี 2567 ตลาดกัญชาด้านสุขภาพและการแพทย์จะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60 และมีแนวโน้มว่าภาพรวมตลาดกัญชาจะมีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐและยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผลงานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยผลักดันผู้ประกอบการไทยให้คว้าส่วนแบ่งการตลาดนี้มาครองได้สำเร็จ ผู้ประกอบการที่สนใจวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพและการแพทย์ หรือขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ติดต่อได้ที่ ดร.คทาวุธ นามดี นักวิจัยทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ อีเมล katawut@nanotec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock  
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น