ผลการค้นหา :

สวทช. จัดกิจกรรม “ตลาดนัดงานวิจัย สวทช. และเครือข่าย” 22-23 ธ.ค. นี้
ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : 22 ธันวาคม 2565 ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นประธานกล่าวเปิดกิจกรรม “ตลาดนัดงานวิจัย สวทช. และเครือข่าย” โดยกิจกรรมนี้เป็นการประชาสัมพันธ์และจำหน่ายสินค้านวัตกรรม-บริการจากผลงานวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจาก สวทช. และเครือข่าย ทำให้สินค้านวัตกรรมกลุ่มนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้แก่บริษัทมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสินค้านวัตกรรมเป็นกลุ่มสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภค เนื่องจากความสนใจและความเข้าใจต่อนวัตกรรมที่ถูกนำมาใช้ในการผลิตสินค้ารูปแบบใหม่ ๆ หรือมีคุณสมบัติหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการเดิมจึงให้ความสนใจในสินค้าประเภทนี้มากขึ้น ทำให้ตลาดของสินค้ากลุ่มนี้มีเปิดกว้างขึ้น
ภายในกิจกรรมดังกล่าวฯ มีการออกบูทร่วมจำหน่ายสินค้า พร้อมกับแนะนำผลิตภัณฑ์มากมายจากบริษัทเอกชนต่าง ๆ มากกว่า 30 ราย การจัดงานมีขึ้น 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 22-23 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณลาน The Core อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘ปิกนิก เทเบิล’ เฟอร์นิเจอร์ไม้สักสุดคูล คิด-ออกแบบ ตามแนวคิด Circular Economy
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/picnic-table-furniture-with-circular-design.html
หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy คือ แนวคิดที่ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการดูแลธรรมชาติและสังคมอย่างยั่งยืน ดังนั้นการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ถือเป็นแนวทางที่ช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักวิจัยได้นำความรู้ ทั้งศาสตร์เชิงกลด้านวิศวกรรมและศาสตร์การออกแบบดีไซน์มาร่วมกันสร้างสรรค์และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง ที่สำคัญคือนำกลับมาใช้ซ้ำได้ยาวนาน
ปิกนิก เทเบิล (Picnic Table) เฟอร์นิเจอร์ไม้สัก คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ประโยชน์จากวัสดุไม้สักอย่างคุ้มค่า ผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เทคนิคทางวิศวกรรมเข้ามาช่วยเพิ่มความมั่นคงแข็งแรงของเฟอร์นิเจอร์ โดยตัดขั้นตอนการใช้สารเคมีออกจากกระบวนการผลิต แถมยังส่งผลดีต่อการนำชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์กลับมาใช้งานได้ใหม่ เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
[caption id="attachment_39075" align="aligncenter" width="700"] ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล (ขวาสุด) และนายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ (คนที่ 2)[/caption]
ดร.นุจรินทร์ รามัญกุล ผู้เชี่ยวชาญวิจัยกลุ่มวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน ได้รับการสนับสนุนจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (Simulation) โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการพัฒนาแบบจำลองและออกแบบ เพื่อทดสอบความมั่นคงแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกทั้งเติมเต็มเรื่องข้อมูลของผลทดสอบที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมได้เห็นข้อมูลรอบด้านและสามารถคิดต่อได้ว่าจะเดินหน้าไปในทางไหน ที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมของตนเอง
นายจิรชัย ตั้งกิจงามวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท อุตสาหกรรมดีสวัสดิ์ จำกัด (DEESAWAT) กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการออกแบบตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ CE ทำให้บริษัทเริ่มกลับมาคิดการพัฒนาเฟอร์นิเจอร์ใหม่ โดยคำนึงถึงการออกแบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางการใช้งาน ไม่ใช่การออกแบบนำการผลิตตามรูปแบบเดิม เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นดีสวัสดิ์ ในฐานะผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้สัก ซึ่งเป็นทรัพยากรป่าไม้ที่สำคัญ ต้องคำนึงถึงการใช้ประโยชน์และรักษาคุณค่าของไม้สักไว้ให้ได้นานที่สุด และตอบสนองการใช้งานผู้บริโภคในปัจจุบัน
“ปิกนิก เทเบิล คือเฟอร์นิเจอร์ปิกนิกจากงานไม้สัก ที่มีการออกแบบตามหลักแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน จากเดิมที่เคยผลิตชิ้นงานเฟอร์นิเจอร์ โดยนำไม้สักมาแปรรูป ฝังเดือย ใส่กาวเกือบทุกชิ้นส่วน และต้องมีการไสเศษไม้ส่วนเกินออก เพื่อตกแต่งชิ้นส่วนให้เรียบสวยงาม ก่อนนำมาเข้าลิ่ม เข้าเดือย ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ถูกกำหนดให้ใช้งานแบบตายตัว และบางส่วนถูกตัดทิ้งเป็นของเสีย ใช้งานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ตอนนี้ดีสวัสดิ์ เปลี่ยนแนวคิดใหม่ มีการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางของผลิตภัณฑ์ เพื่อคงคุณค่าของเฟอร์นิเจอร์และวัสดุไม้สักให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด โดยทำในลักษณะของ Modular คือ การออกแบบชิ้นส่วนให้มีความใกล้เคียงกันที่สุด อาศัยการออกแบบเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากไม้สูงสุด ไม่ทำแบบเข้าลิ่ม เข้าเดือยแบบเดิม และเมื่อผู้ใช้ไม่คิดจะใช้เฟอร์นิเจอร์กลุ่มนี้แล้ว ไม้ทุกชิ้นส่วนที่เป็นส่วนประกอบของเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถถอดออกและคืนกลับเป็นวัสดุตั้งต้นเพื่อไม่ให้เกิดขยะในอนาคต นี่คือหลักคิดใหม่สำหรับการออกแบบนวัตกรรมกรรมตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเป็นมิตรต่อเราและโลกด้วย”
นายณัฐกร กีรติไพบูลย์ วิศวกรศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ฟอร์นิเจอร์ดั้งเดิมของดีสวัสดิ์มีการใช้การเข้าลิ่มกาวและสกรูในการยึดชิ้นส่วนต่างๆ ประกอบเข้าด้วยกัน ทีมวิจัยจึงใช้แนวคิดการออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนมาออกแบบชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์ให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกัน ขั้นตอนการประกอบจะใช้เพียงสกรูในการยึดติดชิ้นส่วนต่างๆ เท่านั้น เพื่อให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตลอดเวลา
“ทีมวิจัยเข้ามาช่วยพัฒนาการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้ใช้งานได้หลากหลาย สามารถถอดชิ้นส่วนกลับไปใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นได้ง่าย สำหรับนำไปประกอบเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ตามความต้องการ โดยคำนึงถึงความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ ทั้งนี้มีการทดสอบความแข็งแรงและการรองรับน้ำหนัก ซึ่งผลทดสอบพบว่ามีความแตกต่างกับเฟอร์นิเจอร์แบบเดิมเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้มีผลเกิดความเสียหายต่อวัสดุ และโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังมีการประยุกต์ใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ หรือ Simulation เพื่อจำลองการออกแบบและใช้งาน ลดการออกแบบที่เกินความจำเป็น หรือ Over Design ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดวัสดุ ลดทรัพยากร ลดต้นทุนและพลังงานในการผลิตได้อย่างมาก และยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่กลุ่มผู้ใช้งานด้วย
[caption id="attachment_39074" align="aligncenter" width="700"] ชิ้นส่วนสามารถถอดประกอบเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้[/caption]
ทั้งนี้ผลจากการปรับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์แบบเดิม มาเป็นผลิตภัณฑ์ ‘ปิกนิก เทเบิล’ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยทำให้ลดปริมาณไม้สักในการผลิตได้ 10% ลดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิต 12% ลดการสูญเสียเศษไม้ 30% และลดต้นทุนการผลิตโดยรวมได้ถึง 20% ที่สำคัญไม่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต จึงเป็นมิตรแก่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และยังสามารถนำวัสดุในผลิตภัณฑ์ไปหมุนเวียนใช้เป็นวัสดุตั้งต้นใหม่ได้ 100%”
นายธีรวุธ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองนวัตกรรมวัตถุดิบและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง (กพร.) อธิบายเสริมว่า จากการที่ กพร. ทำเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลมานาน ทำให้พิสูจน์ได้ว่า การคิดใหม่ การออกแบบใหม่ (Rethink/Redesign) เพื่อคำนึงถึงการนำผลิตภัณฑ์ที่สิ้นอายุการใช้งาน หรือของเสียที่เกิดขึ้นกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อช่วยให้เกิดรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และยังช่วยให้เกิดการนำวัสดุต่างๆ มาใช้ซ้ำได้ง่าย โดยเฉพาะในขั้นตอนของการนำมารีไซเคิล
“เนื่องจากบางผลิตภัณฑ์ไม่มีการใช้สารเคมีอันตรายในวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ตั้งแต่แรก จึงช่วยลดต้นทุนในกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรมตามหลักกระบวนการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่รัฐบาลขับเคลื่อนได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง 20 ปีที่ผ่านมามีการใช้สารเคมีอันตราย ต่อมาภายหลังมีระเบียบเรื่องการจำกัดการใช้สารอันตราย ทำให้ต้นทุนของการกระบวนการรีไซเคิลลดลง ขณะเดียวในกระบวนการออกแบบให้ชิ้นส่วนต่างๆ สามารถแยกชิ้นส่วนได้ง่ายขึ้น ทำให้การนำมาหมุนเวียนใช้ซ้ำมีความง่ายขึ้นตามไปด้วย”
อย่างไรก็ตาม การนำเอาหลักการเศรฐกิจหมุนเวียนมาช่วยในการออกแบบทำให้วัสดุอยู่ในระบบได้นานขึ้น และง่ายต่อกระบวนการดึงไปเป็นวัตถุดิบทดแทนให้กับภาคอุตสาหกรรม นับเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเป้าหมายทิศทางการพัฒนาประเทศเพื่อให้ไทยมีเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ รวมทั้งเป้าหมายของไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emission หรือ Net Zero Carbon) ภายในปี ค.ศ. 2065 ต่อไป
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. เปิดรับสมัครแล้ว PADTHAI Batch #10 “SPECIAL THEME : THAI INGREDIENTS & SEASONING”
เมืองนวัตกรรมอาหาร (FoodInnopolis) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย FI Accelerator ร่วมกับเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยายสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และเมืองนวัตกรรมอาหารส่วนขยายมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เปิดรับสมัครผู้ประกอบการนวัตกรรมอาหารที่ต้องการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของธุรกิจด้วยวัตถุดิบและเครื่องปรุงท้องถิ่นไทยเป็นส่วนประกอบ เพื่อสร้างโอกาสในการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้แนวคิด “FROM LOCAL to GLOBAL” เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ PADTHAI #10
หลักสูตรเข้มข้น 6 วัน จากผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารโดยตรง
>>ท่านจะได้รับ
∙ การอบรมเชิงปฏิบัติการจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงในแต่ละหัวข้อ กว่า 14 ท่าน!!
∙ โอกาสเข้าถึงแหล่งสนับสนุนทุน ตลาด และการนำเสนอแผนธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ
∙ การสนับสนุนทางธุรกิจและบริการ One-Stop Service จาก FoodInnopolis และเครือข่าย
∙ เข้าเป็นผู้ประกอบการในเครือข่ายของ FoodInnopolis และโอกาสในการเข้าโครงการอื่น ๆ ของ FI Accelerator
>>สมัครเลย หากท่านมีคุณสมบัติดังนี้
∙ ผู้ประกอบการหรือทายาทธุรกิจในแวดวงธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเทศท้องถิ่น หรือ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ใช้เครื่องเทศท้องถิ่นเป็นส่วนผสม ที่ต้องการพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
∙ บุคลากรของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมอาหารขององค์กร
∙ มีความมุ่งมั่น พร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจในแนวคิด Transform Food SMEs From Local to Global !!!
>>กำหนดการโครงการ
∙ เปิดรับสมัครเข้าร่วมโครงการออนไลน์ : วันนี้ - 28 ธันวาคม 2565
∙ สัมภาษณ์เพื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการและประกาศผล : 3 - 4 มกราคม 2566
∙ อบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเข้มข้น 6 วัน : 22 - 27 มกราคม 2566 ณ โรงแรมพาโค่ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา
>>ค่าลงทะเบียนฝึกอบรม*
∙ 1 ท่าน 15,000 บาท
∙ 2 ท่าน 20,000 บาท
∙ มากกว่า 2 ท่าน ติดต่อผู้ดูแลโครงการ
* รวมค่าที่พัก 1 ห้อง ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายตลอดการฝึกอบรม
** ไม่รวมค่าเดินทาง
หลักสูตรที่ Food SMEs ต้องเรียน !!
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการตามลิงค์ด้านล่าง
—> https://forms.gle/LRTEU2CxPhU3Jid89
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Page: Padthai by FoodInnopolis
หรือ 094-746-3822
ปฏิทินกิจกรรม

10 Technologies to Watch: ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology)
ย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2557 หนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตามองคือ “ชีววิทยาสังเคราะห์” ศาสตร์ใหม่ที่เป็นการผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับวิศวกรรมศาสตร์ โดยเน้นที่ไปการใช้ความรู้สร้างจุลินทรีย์ที่สามารถผลิตสารสำคัญซึ่งมีมูลค่าสูง คุ้มค่าแก่การลงทุน นำไปใช้ในกระบวนการผลิตระดับอุตสาหกรรม ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง และยังถือทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้อีกในอนาคต
นับจากวันนั้น ความก้าวหน้าในงานวิจัยด้านนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ลองจินตนาการว่า อีก 5 ปี มีผลิตภัณฑ์อย่างวัวหรือเนื้อปลาแซลมอนที่ “เพาะขึ้น” ในแล็บ โปรตีนจากไข่ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่ต้องมีแม่ไก่ น้ำนมที่ได้มาจากกระบวนการชีววิศวกรรมในห้องปฏิบัติการ ไม่ต้องง้อแม่วัวนม น้ำผึ้งที่ได้มาโดยไม่ต้องเลี้ยงผึ้ง ถึงตอนนั้น วีแกนก็จะมีเนื้อ นม ไข่ กินได้ โดยไม่ต้องเบียดเบียนสัตว์ตัวใดเลย
ส่วนอีก 10 ปี เราอาจจะมีเสื้อผ้าที่มีเซนเซอร์ตรวจวัดสารต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องใช้เข็มดูดเลือดออกไปตรวจให้เจ็บตัวอีกต่อไป หรืออาจมีอวัยวะสังเคราะห์ที่สร้างจากเซลล์ของคนไข้เอง หรือวิธีรักษาอวัยวะภายนอกและภายในแบบแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ใช้เซลล์และโมเลกุลต่าง ๆ ความรู้ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้นช่วยให้เราเข้าไปแก้ไขโมเลกุลพื้นฐานและกลไกด้านเมตาโบลิซึม ตลอดไปจนถึงระบบควบคุมพันธุกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน เทคโนโลยีนี้ทำให้ได้สารมูลค่าสูง หรือแม้แต่สารที่ไม่พบตามธรรมชาติออกมา ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ พลังงาน อาหาร ยา และเกษตร อาจช่วยแก้ปัญหาใหญ่ที่โลกเผชิญอยู่ได้ เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ต่าง ๆ รวมไปถึงการผลิตอาหารทดแทนวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทางการค้าที่มาจากความรู้ด้านนี้ที่วางขายแล้ว เช่น เบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อวัวที่มาจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ สารต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดบี-เซลล์ ยี่ห้อ คิมไรอาห์ (Kymriah) ของบริษัท Novartis
ในขณะที่ประเทศไทยก็มีศักยภาพในการทำวิจัยด้านนี้เช่นกัน ตอนนี้ ไบโอเทค สวทช. มีคลังทรัพยากรชีวภาพที่มีจุลินทรีย์มากเป็นลำดับต้นของโลก มีเทคโนโลยีที่พร้อมทำวิจัยต่อยอดด้าน SynBio และยังได้จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อต่อยอดการผลิตปริมาณมากในโรงงานต้นแบบที่ EECi
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

สวทช. ร่วมถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันที่ 20 ธันวาคม 2565 เวลา 08.00 น. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมผู้บริหารและพนักงาน สวทช. ร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ให้ทรงหายจากพระอาการประชวร และมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
พิธีดังกล่าวจัดขึ้นพร้อมกับกระทรวง อว. โดยมี ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธี และทำการถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์พร้อมกับหน่วยงานในสังกัด อว. ทั่วประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. – พันธมิตร ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ ให้สถาบันการศึกษา 21 แห่ง พร้อมปลูกทุกภูมิภาค สร้างเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/golden-shower-seedlings-from-space-travel-seed-mission-distributed-to-schools-and-universities-for-educational-and-research-purposes.html
(20 ธันวาคม 2565) ห้องประชุม SD-601 อาคารสราญวิทย์ สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (Japan Aerospace Exploration Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร ส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์ที่ปลูกโดยใช้เมล็ดที่ผ่านการท่องอวกาศนาน 7 เดือน ให้แก่โรงเรียน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐรวม 21 แห่งทั่วประเทศนำไปปลูก เพื่อต่อยอดสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการศึกษาเปรียบเทียบการเติบโตระหว่างต้นราชพฤกษ์อวกาศที่ปลูกด้วยเมล็ดจากอวกาศกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สวทช. ร่วมกับ JAXA และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด และ SPACETH.CO ร่วมกันดำเนินการโครงการ Asian Herb in Space (AHiS) โดยแบ่งกิจกรรมย่อยออกเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการทดลองปลูกโหระพาเปรียบเทียบระหว่างบนอวกาศกับบนพื้นโลก และโครงการราชพฤกษ์อวกาศ
“ในวันนี้ สวทช. ได้เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ รับ ‘ต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศ’ นำไปปลูกเปรียบเทียบกับต้นราชพฤกษ์ที่ปลูกด้วยเมล็ดปกติ เพื่อร่วมศึกษาวิจัยและติดตามการเจริญเติบโตของเมล็ดราชพฤกษ์อวกาศ สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศ สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน คัดเลือก ‘เมล็ดราชพฤกษ์’ เข้าร่วมโครงการ เนื่องจากราชพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่มีความหมายต่อคนไทย ในฐานะ ‘ดอกไม้ประจำชาติ’ อีกทั้งดอกราชพฤกษ์ยังมีสีเหลืองงดงาม เป็นสีประจำคณะวิทยาศาสตร์ในหลายมหาวิทยาลัย ทาง สวทช. ได้ส่งมอบเมล็ดพันธุ์ราชพฤกษ์ จำนวน 360 เมล็ด ให้แก่ JAXA เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 เพื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบร่วมกับเมล็ดพันธุ์พืชจากอีก 11 ประเทศ ก่อนส่งขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติ ในวันที่ 7 ธันวาคม 2563 โดยเมล็ดราชพฤกษ์ของไทยถูกเก็บรักษาไว้ในห้องทดลอง Kibo Module ของ JAXA เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน ก่อนจะส่งกลับถึงพื้นโลกในวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 อย่างไรก็ตามหวังว่าการส่งมอบต้นกล้าราชพฤกษ์อวกาศให้แก่สถาบันการศึกษาในเฟสแรกนี้ จะช่วยสร้างโอกาสให้เยาวชนและประชาชนไทยได้เรียนรู้และใกล้ชิดเทคโนโลยีอวกาศมากยิ่งขึ้น”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ฤทัยวรรณ โต๊ะทอง รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความร่วมมือการเพาะกล้าราชพฤกษ์อวกาศและการศึกษาวิจัยว่าทางคณะฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนความร่วมมือด้านกิจกรรมและการวิจัยระหว่างกลุ่มสาขาวิชาชีวนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพอัจฉริยะ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สวทช. และ JAXA ซึ่งนอกจากการส่งมอบตัวอย่างพืชจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เพื่อการวิจัยแล้ว ยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรม มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับหน่วยงานวิจัยระดับชาติ สามารถสร้างแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในการวิจัยขั้นแนวหน้าสำหรับอนาคตของมนุษยชาติ ทั้งนี้ โครงการ Asian Herb in Space (AHiS) ได้รับความอนุเคราะห์ให้ใช้โรงเรือนวิจัยของภาควิชาพฤกษศาสตร์ในพื้นที่ศาลายาสำหรับดำเนินโครงการราชพฤกษ์อวกาศ ทางคณะฯ มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าต้นราชพฤกษ์อวกาศที่แจกจ่ายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ได้ผ่านสภาพแวดล้อมที่รุนแรงในอวกาศมาแต่ยังสามารถเจริญเติบโตอย่างงดงามต่อไปได้ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความยั่งยืนของประเทศไทยและความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจด้านอวกาศของมวลมนุษยชาติ
สำหรับโครงการราชพฤกษ์อวกาศเฟสแรก มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับมอบต้นกล้าราชพฤกษ์จำนวน 21 แห่ง ประกอบด้วย ภาคกลาง โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, โรงเรียนทีปังกรวิทยาพัฒน์ (วัดน้อยใน) ในพระราชูปถัมภ์ฯ, โรงเรียนโยธินบูรณะ, St. Andrews International School Bangkok, โรงเรียนยอแซฟอยุธยา, โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์, โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย และภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ภาคเหนือ โรงเรียนอุตรดิตถ์, โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ พะเยา, และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภาคอีสาน โรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญาราชวิทยาลัย นครราชสีมา, โรงเรียนประทาย, โรงเรียนวัดห้วยจรเข้วิทยาคม, โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม, โรงเรียนม่วงสามสิบอัมพวันวิทยา, โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์, โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร, โรงเรียนบ้านม่วงพิทยาคม, และภาคใต้ โรงเรียนเทศบาล 2 (วัดกะพังสุรินทร์) จ.ตรัง
ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการราชพฤกษ์อวกาศในระยะต่อไป สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation และเฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education
ข่าวประชาสัมพันธ์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรความก้าวหน้าโครงการเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ หรือ โมบีสแกน ที่พระราชทานให้ศูนย์ตะวันฉาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น
เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น. วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๕ : สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยัง คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทอดพระเนตรความก้าวหน้าโครงการเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ หรือ โมบีสแกน (MobiiScan) ที่พระราชทานให้ศูนย์ตะวันฉาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.ดร.ทพญ.วรานุช ปิติพัฒน์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น รศ.นพ. อภิชาติ จิระวุฒิพงศ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รศ.ดร.ทพ.พูนศักดิ์ ภิเศก ผู้อำนวยการศูนย์ตะวันฉาย คณาจารย์ ข้าราชการ พนักงาน นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักวิจัยจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) สวทช. เฝ้ารับเสด็จ
จากนั้นสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จไปยังบริเวณจัดแสดงนิทรรศการทอดพระเนตรนิทรรศการ อาทิ ผลการดำเนินงานของศูนย์ตะวันฉาย ผลการใช้งานเครื่องโมบีสแกน ผลการพัฒนากระดูกเทียมสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นต้น
โดยศูนย์ตะวันฉาย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดศูนย์การดูแลผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๗ ณ อาคารคลินิกทันตกรรม 1 คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น การดำเนินงานอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างคณะแพทยศาสตร์และคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งศูนย์ตะวันฉายเป็นศูนย์กลางในการให้บริการตรวจประเมิน ดูแล รักษาผ่าตัด และฟื้นฟูสภาพ ผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่และพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภูมิภาคใกล้เคียง โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นสองคณะสำคัญที่ร่วมดูแลรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้โดยมีศูนย์ตะวันฉายเป็นศูนย์กลางในการประสานงานหลัก ทำงานร่วมกันกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ทั้งหมด ๑๔ สาขา และมีแนวทางที่ใช้ปฏิบัติร่วมกัน (Protocol) ในการดูแลรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ได้รับการรักษาครบถ้วนตามช่วงอายุ และเพื่อให้ได้รับการแก้ไขความพิการของใบหน้าและกะโหลกศีรษะ ให้มีรูปลักษณ์ใบหน้าที่ใกล้เคียงเป็นปกติและสมบูรณ์แบบมากที่สุดล
สำหรับการศึกษาอุบัติการณ์การเกิดภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ของประเทศไทยพบเฉลี่ย ๑.๖๒ ต่อ ๑,๐๐๐ ของทารกแรกเกิดมีชีพ โดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบว่า มีอุบัติการณ์สูง ๑.๙๓ รายต่อเด็กแรกเกิด ๑,๐๐๐ ราย ศูนย์ตะวันฉาย จึงเป็นศูนย์การดูแลผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ฯ ที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีหน้าที่หลักในการให้บริการตรวจรักษา ผ่าตัด ฟื้นฟู และป้องกันโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ฯ แก่ประชาชนทั่วไป ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลทันตกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้น จากฐานข้อมูล DMIS ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พบว่า โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ และโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาผ่าตัด ฝึกพูด และทันตกรรมจัดฟันมากที่สุดในประเทศ
ทั้งนี้ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่องในการดำเนินชีวิตต่างๆ ตามช่วงวัย ทั้งในด้านการดูแลรักษาเพื่อให้เกิดประสิทธิผลจนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ต้องอาศัยระยะเวลา ซึ่งบางรายต้องรักษาต่อเนื่องและยาวนานถึง ๒๐ ปี อีกทั้งครอบครัวและผู้ป่วยยังต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายทางตรง ได้แก่ ค่ารักษา ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารและผู้ดูแลคนป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายทางอ้อม ได้แก่ ค่าสูญเสียรายได้ ค่าสูญเสียโอกาสจากเวลาที่รักษา เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องอาศัยบุคลากรสหสาขาวิชาชีพ ได้แก่ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ทันตแพทย์ ประสาทศัลยแพทย์ โสต ศอ นาสิกแพทย์ จักษุแพทย์ รังสีแพทย์ กุมารแพทย์ วิสัญญีแพทย์ พยาบาลเชี่ยวชาญการให้นมเด็ก พยาบาลเชี่ยวชาญด้านการดูแลปากแหว่งเพดานโหว่ นักแก้ไขการพูดและนักสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น
ดังนั้น การดูแลรักษาด้านการแพทย์และด้านทันตกรรมแก่ผู้ป่วยภาวะดังกล่าวนั้นจำเป็นต้องอาศัยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทางการแพทย์สามมิติ ซึ่งเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติ ที่ติดตั้งอยู่ในโรงพยาบาลมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการใช้งาน ศูนย์ตะวันฉาย จึงได้ทำหนังสือถึงศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชวินิจฉัยจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการสนับสนุนเครื่อง MobiiScan ให้แก่ศูนย์ตะวันฉายจำนวน ๑ เครื่อง ซึ่งทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ ฯ ดำเนินการสนับสนุนเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติแบบเคลื่อนย้ายได้ (MobiiScan) และต่อมามูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหมโรงแรมเอราวัณ ได้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เพื่อสนับสนุนการสร้างเครื่อง MobiiScan และระบบแสดงผลภาพสามมิติผ่านคลาวด์ RadiiView (เรดีวิว) ให้แก่ศูนย์ตะวันฉายสำหรับใช้ในการตรวจประเมินรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่และความพิการแต่กำเนิดของศีรษะและใบหน้า ซึ่งได้ติดตั้งใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๖๕ มีผู้ได้รับการตรวจประเมินรักษาด้วยเครื่องดังกล่าวไปแล้วกว่า ๓๐ ราย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมคณะผู้บริหาร สวทช.ถวายแจกันดอกไม้และลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ข่าวประชาสัมพันธ์

ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : (16 ธันวาคม 2565) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมคณะผู้บริหาร พนักงาน สวทช. และประชาคม อวท. ร่วมกิจกรรมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 31 ปี วันก่อตั้ง ในวันที่ 29 ธันวาคม 2565 และในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2566 โดยมี พระเทพวชิรมุนี (ม.ล.คิวปิด ปิยโรจโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับพันธมิตรแถลงข่าวความสำเร็จโครงการยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/cassava-capacity-building-project-concludes-with-a-brighter-outlook.html
15 ธันวาคม 2565 - มันสำปะหลังถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่สำคัญของประเทศ โดยในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกผลผลิตมันสำปะหลังรายใหญ่ที่สุดของโลกมีส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 68% ทั้งนี้ หากรวมผลผลิตมันสำปะหลังในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ประกอบด้วย กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม จะพบว่ามีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 90%
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เปิดเผยว่ามันสำปะหลังเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ สิ่งทอ และอุตสาหกรรมพลังงาน ถือเป็นแหล่งรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 2 ล้านคนในภูมิภาคอาเซียน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 หน่วยงานราชการเช่น สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) กรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อีกทั้งองค์กรส่งเสริมอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ สมาคม และมูลนิธิต่างๆ เช่น สำนักงานความร่วมมือทางวิชาการของเยอรมัน (GTZ) สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมการผลิตแป้งมันสำปะหลัง สร้างองค์ความรู้ ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การใช้พลังงานและทรัพยากร ตลอดห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่การผลิตหัวมันสำปะหลัง ไปจนถึงการบำบัดน้ำเสียและของเสียที่เกิดขึ้นและนำกลับมาใช้ใหม่เป็นพลังงานทดแทน”
จากองค์ความรู้ที่สั่งสมมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ประกอบกับการตระหนักถึงความสำคัญของมันสำปะหลังต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ไบโอเทคจึงได้ริเริ่มโครงการ Capacity Building on Circular Economy, Resource and Energy Efficiency for Productivity and Sustainability of Cassava Chain to High Value Products: Cassava Root, Native Starch, and Biogas in Mekong Countries หรือ โครงการ CCC นำโดย ดร.วรินธร สงคศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวิศวกรรมชีวเคมีและชีววิทยาระบบ
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค เปิดเผยว่า “โครงการ CCC ได้รับทุนสนับสนุนโดยกระทรวงการต่างประเทศ สาธารณรัฐเกาหลี ผ่านกองทุนความร่วมมือแม่โขงและสาธารณรัฐเกาหลี (Mekong-Republic of Korea Cooperation Fund – MKCF) ซึ่งมีสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง
หรือ Mekong Institute (MI) เป็นผู้จัดการกองทุน จำนวนงบประมาณ 12,960,105 บาท (394,005 USD) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 กรกฎาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2565” โครงการ CCC มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ผ่านการจัดการฝึกอบรมให้แก่บุคลากรในประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยหลักสูตรอบรมครอบคลุมหัวข้อสำคัญเริ่มตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือ การบริหารจัดการเทคโนโลยีการปลูกมันสำปะหลังและการปรับปรุงพันธุ์เพื่อการเพิ่มผลผลิตและทำให้มันสำปะหลังมีคุณสมบัติเหมาะกับการแปรรูปหรือใช้งานในอุตสาหกรรมเฉพาะ ต่อด้วย “กลางน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง ลดการใช้พลังงานและทรัพยากรในกระบวนการผลิต จนถึง “ปลายน้ำ” คือ การใช้เทคโนโลยีในการนำของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิต ได้แก่ น้ำเสียและกากมันสำปะหลังมาผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและเทคโนโลยีมันสำปะหลัง (ASEAN Cassava Center) ในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านมันสำปะหลังของภูมิภาคและของโลกในอนาคต
ดร.วรินธร สงคศิริ หัวหน้าโครงการ CCC เปิดเผยว่า “จากการดำเนินโครงการ มีผู้เข้าร่วมการอบรมจาก CLMVT ทั้งหมดกว่า 102 คนจากทุกภาคส่วนของห่วงโซ่มูลค่าในอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีการจัดตั้งศูนย์ ASEAN Cassava Center ในประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังหน่วยงานพันธมิตรในภูมิภาค การจัดตั้งศูนย์มันสำปะหลังแห่งชาติ (National Cassava Center) แบบ virtual center ที่กำกับดูแลโดยหน่วยงานพันธมิตรในประเทศลุ่มน้ำโขง โดยศูนย์มันสำปะหลังแห่งชาติดังกล่าวมีแผนที่จะยกระดับเป็นศูนย์ฯที่เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานพันธมิตร (physical center) ในอนาคต”
ดร.วรินธร กล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้ยังมีโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการที่ต่อยอดมาจากโครงการ CCC
คือ “โครงการการวิเคราะห์ฐานข้อมูลค่ามาตรฐานกระบวนการผลิตและการใช้ทรัพยากรการผลิต และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทย” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสมาคมแป้งมันสำปะหลังแห่งประเทศไทย โดยมีโรงงานแป้งมันสำปะหลังมากกว่า 60% จากจำนวนโรงงานทั้งหมดในประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ และ “โครงการการพัฒนาโมเดลนำร่องในการสนับสนุนและขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ในการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบองค์รวมโดยผ่านกลไกมหาวิทยาลัย (CIGUS Model) อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง ระยะที่ 1” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)” โครงการทั้งสองจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค และยังมีส่วนช่วยในการขยายผลโครงการ CCC อีกด้วย
โครงการ CCC ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการยกระดับอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้ ถึงแม้โครงการจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2565 แต่ทีมวิจัยฝ่ายไทยยังคงทำงานใกล้ชิดกับพันธมิตรในโครงการจากประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ เช่นศูนย์ ASEAN Cassava Center ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางแบ่งปันข้อมูลเชิงวิชาการ และบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคและแก้ปัญหาที่พบในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในภูมิภาค และผ่านโครงการ Train-the-Trainer Program under Lancang – Mekong Cooperation to Enhance Production Capacity and People’s Livelihood by Improving the Value Chain for Cassava Cultivation and Application: Clean Cassava Chips, Native Starch, Modified Starch, Ethanol and Biogas Production ที่ได้รับสนับสนุนทุนจากกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Cooperation Special Fund) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เชี่ยวชาญของห่วงโซ่มันสำปะหลัง
ซึ่งประกอบด้วย เกษตรกรผู้ผลิตมันสำปะหลัง นักวิชาการ บุคลากรและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

‘SunGuard PV’ นวัตกรรมกันสาดโซลาร์ผลิตไฟฟ้า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2022/sunguard-pv-solar-awning.html
นับวันค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน โดยเฉพาะ ‘ไฟฟ้า’ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเริ่มหันมาพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ด้วยการติดตั้ง ‘แผงโซลาร์เซลล์’ ตามบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ด้วยข้อจำกัดของแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไปที่มีลักษณะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า น้ำหนักมาก และโค้งงอไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถติดตั้งในบางพื้นที่ อีกทั้งการติดตั้งยังจำเพาะกับหลังคาที่มีพื้นที่หลังคากว้าง เช่น หลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงปั้นหยา และหลังคาทรงโมเดิร์น ไม่เหมาะใช้งานกับบ้านที่มีลักษณะหลังคารูปทรงแบบโค้ง หากแต่ว่าปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลังคาแบบโค้งนิยมนำมาใช้ทำหลังคากันสาดเป็นส่วนใหญ่ และเริ่มได้รับความนิยมในการออกแบบทำร้านอาหาร ร้านกาแฟ เพื่อให้มีมุมสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและดูทันสมัย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) พัฒนานวัตกรรม ‘ซันการ์ดพีวี (SunGuard PV) หรือ กันสาดโซลาร์’ แผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ ที่มีน้ำหนักเบา โค้งงอได้ เหมาะสำหรับใช้เป็นกันสาดและติดตั้งได้ทันที
[caption id="attachment_38854" align="aligncenter" width="700"] ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล สิทธิพล นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ เอ็นเทค สวทช. เล่าถึงที่มางานวิจัยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เองในครัวเรือนมากขึ้น แต่ด้วยลักษณะของ Solar Roof ในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการติดตั้งกับหลังคาบางรูปแบบ ประกอบกับแผงมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยมากถึง 25-30 กิโลกรัมต่อแผง ขณะเดียวกันประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรทำให้ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ปริมาณมาก และมีอากาศร้อน บ้านเรือนส่วนใหญ่ต่างติดตั้งกันสาดแทบทุกหลังคาเรือน แต่ด้วยลักษณะแผงโซลาร์เซลล์ที่มีอยู่นำมาประยุกต์ใช้ได้ยาก หากไม่นับเรื่องความสวยงามที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านหรืออาคารก็ยังติดเรื่องน้ำหนักและปัญหาการติดตั้ง ทีมวิจัยเล็งเห็นว่าการพัฒนานวัตกรรมกันสาดโซลาร์เป็นโจทย์ที่น่าสนใจ ช่วยลดปัญหาข้อจำกัดการใช้งาน ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย และสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ภาคเอกชนด้วย
“ทีมวิจัยมุ่งพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์แบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และมีความทันสมัยเข้ากับงานออกแบบสถาปัตยกรรม ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่มีความท้าทายพอสมควร เนื่องจากไม่ได้เป็นการใช้เพียงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องศิลปะและมุมมองด้านความสวยงามเมื่อนำไปติดตั้งใช้งาน อีกทั้งยังคิดครอบคลุมถึงการจัดการหลังแผงปลดจากการใช้งานแล้ว ซึ่งทีมวิจัยสามารถพัฒนานวัตกรรมตามแนวคิดที่ตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จและยื่นจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว
“สำหรับกระบวนการพัฒนานวัตกรรม ทีมวิจัยได้ทำการศึกษาตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาใช้ในองค์ประกอบหลัก 3 ส่วนของแผงโซลาร์เซลล์ คือ กระจกด้านหน้า เซลล์แสงอาทิตย์ และแผ่นป้องกันที่อยู่ด้านหลังแผง (Back Sheet) ซึ่งทำจากวัสดุพอลิไวนิล ฟลูออไรด์ (Polyvinyl Fluoride: PVF หรือ ชื่อทางการค้า Tedlar) ในส่วนของกระจกทีมวิจัยเลือกใช้วัสดุพอลิเอทิลีน เทอเรปทาเลต (Polyethylene Terephthalate: PET) ที่นิยมใช้ทำขวดพลาสติก โดยใช้เกรดเพื่อผลิตแผงโซลาร์เซลล์โดยเฉพาะ เนื่องจาก PET มีลักษณะโปร่งแสงเทียบเท่ากระจกแต่มีน้ำหนักเบากว่า และสามารถปรับให้โค้งงอได้ ในขณะที่แผ่น PVF เลือกใช้วัสดุอะครีโลไนไตรล์-บิวทาไดอีน-สไตรีน เมทีเรียล (Acrylonitrile-Butadiene-Styrene Material: ABS) ทดแทน เพราะมีข้อดีคือน้ำหนักเบา มีความแข็งแรงและความเหนียว ช่วยเสริมแผงให้ทนแรงกระแทกและทนต่อสภาพอากาศ ที่สำคัญทีมวิจัยยังคำนึงถึงการผลิตแผงจึงได้คิดค้นเทคนิคการผลิตที่ไม่กระทบขั้นตอนการผลิตเดิมของแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป เพื่อให้ผู้ประกอบการนำเทคโนโลยีไปใช้ได้ตามไลน์การผลิตที่มี”
[caption id="attachment_38857" align="aligncenter" width="700"] กันสาดโซลาร์[/caption]
ว่าที่ร้อยตรี ดร.นพดล เล่าว่า จุดเด่นของนวัตกรรมกันสาดโซลาร์ คือมีน้ำหนักต่อพื้นที่เบากว่าแผงโครงสร้างทั่วไปมากกว่า 50% โค้งงอได้ และยังคงความทนทานต่อสภาพแวดล้อม รับแรงกระแทกได้ดี สามารถเพิ่มเติมสีสันให้เข้ากับสถาปัตยกรรมอาคาร บ้านเรือน หรือร้านค้าได้ ที่สำคัญคือติดตั้งง่าย โดยตัดหรือเจาะได้โดยตรง โดยไม่ทำให้แผงโซลาร์เซลล์เสียหาย ยึดติดกับโครงสร้างผนังหรือหลังคาได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อซื้ออุปกรณ์เสริมหรือต่อเติมโครงสร้างเฉพาะ ซึ่งด้วยคุณสมบัติเหล่านี้เอง ทำให้สามารถนำกันสาดโซลาร์ไปติดตั้งแทนกันสาดที่เป็นวัสดุพอลิคาร์บอเนตเดิมได้ทันที เพราะมีน้ำหนักใกล้เคียงกัน และไม่ต้องปรับโครงสร้างกันสาดที่มีอยู่เดิม และเมื่อตัวกันสาดโซลาร์หมดอายุการใช้งานก็เปลี่ยนและติดตั้งใหม่ได้โดยง่าย ในขณะที่กันสาดโซลาร์ที่ปลดจากการใช้งานแล้วยังนำกลับมารีไซเคิลได้ เนื่องจากวัสดุ PET และ ABS เป็นกลุ่มพอลิเมอร์ประเภทเดียวกันที่รีไซเคิลได้ เท่ากับว่าลดขั้นตอนการถอดชิ้นส่วนเพื่อนำกลับไปใช้ซ้ำได้ง่ายขึ้น
“ในด้านประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้า กันสาดโซลาร์มีประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าแผงโซลาร์เซลล์แบบทั่วไปอยู่ที่ 8.5% โดยประมาณ เนื่องจากความโค้งและมุมรับแสงที่เปลี่ยนไป อย่างไรก็ตามแผงกันสาดโซลาร์มีข้อดีในส่วนอุณหภูมิใต้แผงที่ต่ำกว่าแผงแบบทั่วไป 3-5 องศาเซลเซียส ทำให้พื้นที่ใต้กันสาดมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าการนำแผงแบบทั่วไปมาทำเป็นกันสาด”
‘กันสาดโซลาร์’ ได้รับการจดสิทธิบัตรและมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาต้นแบบให้ได้ตามมาตรฐาน International Electrotechnical Commission (IEC) ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ภายในปี 2566 ถือเป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของทีมวิจัยที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ ที่สนับสนุนการออกแบบ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมสะเต็มศึกษา “Happy Talented Podcast and Radio Drama Creators” รูปแบบออนไลน์ ใน ค่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น ครั้งที่ 14 ประจำปี 2565
ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมสะเต็มศึกษา “Happy Talented Podcast and Radio Drama Creators” รูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom ให้แก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอด จำนวนทั้งหมด 17 แห่งทั่วประเทศ เป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านเสียง การสร้างเสียงในละครวิทยุ และพอดแคสต์ แล้วทดลองสร้างสื่อนิทานเสียง เพื่อรณรงค์สร้างโลกสวยด้วยมือเรา โดยกิจกรรมแบ่งออกเป็น 2 รอบคือ รอบที่ 1 ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 จัดกิจกรรมเพื่อเตรียมการจัดค่ายสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น โดยอบรมให้กับครูผู้สอน จำนวน 56 คน และรอบที่ 2 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 จัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น จำนวน 99 คน รูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบ Zoom
เริ่มกิจกรรมโดย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับอาชีพ และเสริมทักษะด้านการแก้ไขปัญหา การสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม ความรู้วิทยาศาสตร์ ในการบรรยาย “สถานการณ์โลกปัจจุบันและแนวทางสร้างสรรค์โลกให้น่าอยู่” และวิทยากรรับเชิญ คุณช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท Cloud & Ground มาเล่าประสบการณ์การทำงานด้านพอดแคสต์ และเน้นย้ำหลักสำคัญของการสร้างสื่อทางเสียง ในหัวข้อ "หัวใจสำคัญของการสื่อสาร”
จากนั้น นางสาวจิดากาญจน์ สีหาราช และนางสาวกนกพรรณ เสลา นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ชวนนักเรียนร่วมกันระดมสมอง และมองหาปัญหาสิ่งแวดล้อมจากเรื่องใกล้ๆ ตัว เช่น ขยะในโรงเรียน ฝุ่นควันจากการเผาไหม้ในชุมชนที่เด็กอยู่ ปัญหาฝนตกไม่ตามฤดูกาลส่งผลกระทบต่อคนในชุมชน เป็นต้น เพื่อนำมาสร้างนิทานเสียงในกิจกรรม “สร้างเรื่องราว และสร้างเสียงเพื่อรณรงค์โลกให้น่าอยู่” ยกตัวอย่างสื่อนิทาน ที่ประยุกต์ใช้เสียงในการรณรงค์ แนะนำหลักการสร้างสื่อ และแนวทางในการจัดทำสคริปต์เพื่อสร้างเรื่องราวให้สมบูรณ์ โดยก่อนที่นักเรียนเริ่มสร้างสรรค์ผลงาน นางสาวสลิลรัตน์ ประสพฤกษ์ นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ชวนนักเรียนทดลองสร้างเสียง พร้อมยกตัวอย่างการใช้อุปกรณ์การสร้างเสียงหลากหลายรูปแบบ และให้นักเรียนทดลองสร้างเสียงต่างๆ จากอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ง่าย รอบตัว สร้างเสียงประกอบ เช่น เสียงฝนตกจากเมล็ดข้าวที่โรยลงแผ่นกระดาษ เสียงม้าวิ่งจากการเคาะโต๊ะ เสียงไก่ขันจากการกระตุกเชือกกับแก้วกระดาษ เสียงนกร้องจากเป่าหลอดดูด เป็นต้น ในกิจกรรม “สนุกกับเสียงและการสร้างเสียงในละครวิทยุและพอดแคสต์”
จากนั้นนักเรียนร่วมกันสร้างนิทานเสียง และได้นำเสนอผ่านกิจกรรม “นำเสนอผลงานและเล่นเกม เสียงนี้ได้มาอย่างไรนะ” โดยนายอภิรัตน์ ฐิติมั่น นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้ซักถาม และพูดคุยถึงที่มา และความหมายของสื่อที่ต้องการนำเสนอ รวมถึงวิธีการสร้างเสียงประกอบสื่อ และชวนนักเรียนร่วมกันทาย เสียงปริศนา ซึ่งเป็นเสียงที่นักเรียนควรรู้ และตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน เช่น เสียงสัญญาณเตือนไฟไหม้ ปิดท้ายกิจกรรมด้วยการแนะนำอาชีพและงาน เช่น นักเขียนบท นักจัดรายการ นักสร้างเสียงประกอบ เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์