ผลการค้นหา :
นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการดำเนินงานเมืองนวัตกรรม EECi ผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ระดับประเทศ เร่งดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
(9 สิงหาคม 2566) ณ สำนักงานใหญ่ EECi วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง: พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะติดตามความคืบหน้าโครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) หนึ่งในโครงการสำคัญบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ EEC เพื่อสร้างพื้นที่นวัตกรรมใหม่ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม ช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงชุมชนในพื้นที่ เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิม รวมถึงสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ นำไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับ
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า EECi เป็นโครงการสำคัญที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวง อว. เป็นผู้รับผิดชอบ นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2560 เป็นต้นมา ซึ่งกระทรวง อว. ได้ผลักดันโครงการนี้อย่างเต็มที่มาโดยตลอด โดยมอบหมายให้ สวทช. เป็นกำลังหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการนี้ ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภายในและภายนอกกระทรวง อว.
EECi นับว่าเป็น โครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อยู่บนฐานนวัตกรรม ทำให้เกิดการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
EECi ถือเป็นข้อต่อที่สำคัญในห่วงโซ่การพัฒนานวัตกรรม (Innovation Value Chain) เป็นจุดที่ประเทศไทยต้องเสริมความเข้มแข็งให้มากขึ้น ในเรื่องของการนำงานวิจัยที่สำเร็จจากห้องปฏิบัติการและห้องทดลอง มาพัฒนาต่อยอดและขยายขนาดไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
ด้วยเหตุนี้ EECi จึงถูกออกแบบให้มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ (Innovation Ecosystem) เหมาะแก่การทำวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมอย่างเข้มข้น ประกอบไปด้วยห้องปฏิบัติการวิจัยของทั้งภาครัฐและเอกชน โรงงานต้นแบบ โรงงานสาธิต สนามทดลองและทดสอบเทคโนโลยีที่จะส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบชั้นนำ และการปรับแต่งและปรับใช้เทคโนโลยีที่รับมากจากต่างประเทศ (Technology Localization) เพื่อให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานสากลควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
โดย EECi จะมีบทบาทเป็นศูนย์กลางของการพัฒนานวัตกรรมของอาเซียน (ASEAN Innovation Hub) ดำเนินการผ่าน 4 เมืองนวัตกรรมมุ่งเน้นของ EECi อันได้แก่
1) FOOD INNOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านอาหาร
2) ARIPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ
3) BIOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านชีววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ
4) SPACE INNOPOLIS: เมืองนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ
“ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเกิดขึ้นบนพื้นที่กว่า 3,500 ไร่แห่งนี้ ภายใต้ชื่อ EECi ที่ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มบริษัท ปตท. นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทุกภาคส่วนจะช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วย อาคารกลุ่มสำนักงานใหญ่ มีศูนย์นวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน (SMC) และโรงเรือนอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้แล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการแล้วในปี 2565 สำหรับในปี 2566-2567 มีส่วนที่เริ่มดำเนินการ คือ โรงงานแบตเตอรี่ทางเลือก โรงงานฟีโนมิกส์ และสนามทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งในอนาคต ในปี 2568 จะมีโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) โรงงานผลิตพืช (Plant Factory) และการก่อสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนเครื่องที่ 2 ของประเทศขนาด 3 GeV จะเริ่มดำเนินการ ในปี 2569-2573
ทั้งนี้ในส่วนของ EECi นั้น หากมองในภาพรวมว่าประเทศไทย มีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมีอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น 2 ฝั่ง โดยฝั่งนักวิทยาศาสตร์นักวิจัยไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก และมีผลงานตีพิมพ์จำนวนมากในด้านเทคโนโลยีชั้นนำ ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยารวมไปถึงเทคโนโลยี AI แต่ภาคธุรกิจจะเป็นอีกฝั่งในด้านอุตสาหกรรม ดังนั้นโจทย์ที่ยากที่สุด คือการทำอย่างไรจะนำงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่การขยายผล ให้เกิดประโยชน์สู่ประชาชนเป็นล้านคน ซึ่ง EECi ถูกวางแผนเพื่อตอบโจทย์นี้ และให้สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการใช้พื้นที่ EEC เป็นพลังสำคัญที่จะเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการจะใช้พลังของ EEC เคลื่อนระบบเศรษฐกิจ จำเป็นต้องใช้อีกพลังความรู้ความสามารถของการนักวิจัยเก่ง ๆ ของประเทศ ให้มาร่วมในภาคอุตสาหกรรมให้ได้จึงเกิดเป็น EECi ขึ้น
ในโครงการนี้รัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ใน EECi เพื่อช่วยเหลือให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้เครื่องมือที่มีราคาสูงได้โดยไม่ต้องลงทุนด้วยตัวเอง โดยตัวอย่างของการใช้ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวย้ำว่า ด้วยบุคลกรและผลงานวิจัยพัฒนาของ สวทช. ที่ได้สั่งสมมากว่า 30 ปี มีทีมวิจัยที่เชี่ยวชาญทุกด้าน โดยได้นำทีมนักวิจัยมาดำเนินการอยู่ในพื้นที่ EECi เป็นเวลาเกือบ 2 ปี คู่ขนานการทำงานไปกับทีมวิจัยของ สวทช.ที่ส่วนกลาง จะตอบโจทย์ได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ EECi และเครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในส่วนกลางตามความเชี่ยวชาญของ 5 ศูนย์แห่งชาติใน สวทช. จะเป็นโซ่ข้อกลางในการขยายขนาดและยกระดับงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่ภาคเอกชน และจะตอบโจทย์ได้ว่าเมื่อมีความรู้ใหม่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อนำไปสู่การใช้งานจริงได้ ณ ขณะนี้ สวทช. ได้ปรับแผนยุทธศาสตร์ของ สวทช. ให้สอดรับกับที่นายกรัฐมนตรีวางแผนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเน้นการเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้งานให้เกิดประโยชน์จริงกับประชาชนจำนวนมาก
ด้าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในโอกาสมาตรวจความก้าวของโครงการ EECi ว่า “ดีใจที่ EECi เดินหน้ามาถึงขนาดนี้ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยซึ่งรัฐบาลได้ลงทุนไว้ในช่วง 5 ปีแรก และในปี 2566-2570 ต้องฝากรัฐบาลใหม่สนับสนุนเดินหน้าโครงการนี้ เพื่อจะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าสู่ Thailand 4.0 ให้ได้ นี่คืออนาคตของประเทศไทย และขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานร่วมกันอย่างเข้มแข็งและประสบผลสำเร็จ”
สำหรับสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation (EECi) Headquarters ณ วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง แห่งนี้ เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิดหน้าดินก่อสร้างพร้อมคณะรัฐมนตรี
และเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเปิดกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อย่างเป็นการเปิดอย่างเป็นทางการและให้บริการมาถึงปัจจุบัน โดยคาดหวังว่าจะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยขึ้นแท่น “ศูนย์กลางนวัตกรรมชั้นนำ” แห่งใหม่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมสมบูรณ์ ยกระดับงานวิจัยและการพัฒนานวัตกรรมระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
จ.ลำปาง ใช้ Traffy Fondue จัดการปัญหาเมือง
แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาเมือง Traffy Fondue ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิจัย สวทช. ยังมีการขยายผลนำไปใช้งานในหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด จ.ลำปาง ได้บูรณาการทุกหน่วยงานและทุกส่วนราชการในจังหวัด นำ Traffy Fondue มาใช้เป็นเครื่องมือรับแจ้งปัญหาหรือข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านไลน์ @traffyfondue เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของเจ้าหน้าที่
ทั้งนี้ ปัจจุบันมี 12 จังหวัดบูรณาการทุกหน่วยงานในจังหวัดนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue ไปใช้รับแจ้งปัญหาประชาชน ประกอบด้วย นครราชสีมา , อุบลราชธานี , ขอนแก่น , พะเยา , ลำพูน , ปราจีนบุรี , ภูเก็ต , เพชรบูรณ์ , สมุทรปราการ , สระบุรี , เชียงใหม่ และ ลำปาง
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
วช.-สวทช. เปิดตัว 6 นักวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565-2566 รับทุนส่งเสริมผลงานตอบโจทย์และขับเคลื่อนประเทศด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
For English-version news, please visit : NSTDA and NRCT introduce awardees of the 2022-2023 High-Potential Research Team Grants
(8 สิงหาคม 2566) ณ ห้อง Lotus Suite 7 ชั้น 22 บางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมจัด “งานเปิดตัวนักวิจัยศักยภาพสูงและแถลงงานวิจัย ประจำปี 2565-2566” โดยมี นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ และ ศาสตราจารย์ กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว 6 นักวิจัยศักยภาพสูง และแถลงความก้าวหน้าผลงานและประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัย ประจำปี 2565-2566 พร้อมด้วยคณะกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ผู้บริหาร วช. ผู้บริหาร สวทช. ผู้บริหารต้นสังกัดนักวิจัย ผู้ทรงคุณวุฒิ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงาน
นายสมปรารถนา สุขทวี รองผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า วช. ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรและสถาบันความรู้ ซึ่งเป็นพันธกิจและกลไกสำคัญประการหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดยในปี 2565 วช. ร่วมกับ สวทช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้จัดตั้งโครงการ “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” โดยมีวัตถุประสงค์ 1) ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยไทย เพื่อให้เกิดกลุ่มวิจัยที่เข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม และมีโครงสร้างการพัฒนานักวิจัยอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับนักศึกษา นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง จนถึงนักวิจัยอาวุโส 2) สร้างและบูรณาการองค์ความรู้ เพื่อสร้างผลกระทบ และความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยสอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของประเทศ 3) สร้างโอกาสการวิจัยและการใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ เช่น ด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน ด้านนโยบาย และ 4) สร้างเครือข่ายการวิจัยระดับชาติ และระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันผลผลิตงานวิจัย รวมถึงการสื่อสารข้อค้นพบทางวิชาการให้กับสังคมและชุมชน และการตอบสนองต่อปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ โดยนักวิจัยศักยภาพสูงเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ หรือ นักวิจัยที่มีศักยภาพเทียบเคียงได้กับนักวิจัยระดับศาสตราจารย์ หรือนักวิจัยความสามารถสูงมีผลงานโดดเด่น วช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักวิจัยและคณะ จะได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ เชื่อมโยงกับการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานการวิจัย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศ นำไปสู่การสร้างความเป็นเลิศทางการวิจัยและพัฒนาของประเทศอย่างก้าวกระโดดต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ เป็นดั่ง “ขุมพลังหลักด้านการวิจัย” ที่ผลักดัน ส่งเสริมการพัฒนาและความแข็งแกร่งระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม โดยอาศัยความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พันธกิจที่สำคัญของ สวทช. มุ่งเสริมสร้างการวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์ และถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ สร้างผลกระทบต่อประชาชนและสังคมหมู่มาก รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนากำลังคน และการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง วช. และ สวทช. จัดตั้งโครงการ “ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง” สวทช. ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการโครงการ โดยอาศัยกระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยและกลไกบริหารโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่ สวทช. มีอยู่ และการส่งเสริมการทำงานของกลุ่มนักวิจัย ให้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ สวทช. เป็นผู้รับผิดชอบดูแล เช่น ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ ธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพ หรือในด้านธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะช่วยเสริมการทำงานของกลุ่มนักวิจัยที่ได้รับทุนให้บรรลุเป้าหมายตามที่มุ่งหวัง รวมถึงการส่งเสริม ผลักดัน ผลงานวิจัยให้ไปใช้ประโยชน์มากขึ้นในอนาคต หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงภายใต้ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงาน จะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ และสร้างความเข้มแข็งให้กับสังคมและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวางในอนาคต
ศาสตราจารย์ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมนักวิจัยและทีมวิจัยที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงที่มีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานวิจัย นอกจากสร้างชื่อเสียงให้นักวิจัยแล้ว ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับหน่วยงานต้นสังกัด โดยทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ปี 2565 ให้การสนับสนุนสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์ สาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ได้แก่ ศ.พิเศษ ดร.เดวิด จอห์น รูฟโฟโล และสาขาเกษตรศาสตร์ ได้แก่ ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ สำหรับปี 2566 ให้การสนับสนุนสาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และสุขภาพ ได้แก่ ศ. นพ.วิศิษฎ์ ทองบุญเกิด สาขาเกษตรศาสตร์ ได้แก่ รศ. ดร.ครศร ศรีกุลนาถ และสาขาสังคมศาสตร์ ได้แก่ ศ. ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ทั้งนี้ การสนับสนุนจากทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง จะช่วยสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณค่า ที่เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งพัฒนาศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ทีมวิจัย จากรุ่นเล็กเป็นรุ่นกลาง จากรุ่นกลางเป็นรุ่นใหญ่ และรุ่นใหญ่อยู่แล้วอย่างทั้ง 6 ท่าน ที่จะนำความรู้ทางวิชาการ เชื่อมโยงไปสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือผลักดันไปสู่นโยบายที่มีประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศต่อไป
ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง และประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กองทุนส่งเสริม ววน. กล่าวแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับนักวิจัยทั้ง 6 ท่าน และทีมวิจัย ที่ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูงครับ ทุกท่านล้วนเป็นนักวิจัยระดับแนวหน้าของประเทศ มีผลงานวิจัยโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง เป็นกลไกระดับสูง เป็นทุนวิจัยที่อยู่ในส่วนปลายยอดพีระมิดของนักวิจัยในประเทศไทย ต่อเนื่องจากการพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ รุ่นกลาง รุ่นอาวุโส จะช่วยผลักดันการสร้างทีมวิจัยที่เข้มแข็งในการพัฒนางานวิจัยอย่างต่อเนื่อง การดำเนินงานแบบกลุ่มวิจัยจะมีโอกาสที่จะสร้างผลงานวิจัยแบบทวีคูณ มีผลกระทบสูง ต่อยอดและยกระดับผลงานวิจัยได้ดีกว่าการทำงานแบบเดี่ยว และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยแต่ละคนได้เร็วขึ้น การดำเนินการในลักษณะแบบกลุ่มวิจัยนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น 1) ผู้นำกลุ่มต้องมีกรอบความคิดการเป็นผู้นำ และทีมวิจัยมีการทำงานอย่างเท่าเทียม 2) ตั้งเป้าหมายและพัฒนางานวิจัยที่ตอบโจทย์และเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศในด้านต่าง ๆ 3) มีการบริหารจัดการของกลุ่มวิจัยที่ดี สามารถดำเนินการและส่งมอบผลงานได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และ 4) หน่วยงานต้นสังกัดต้องมีความเข้มแข็ง อำนวยความสะดวกให้แก่นักวิจัย ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานด้านต่าง ๆ ขอให้นักวิจัยนำโอกาสที่ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยนี้ไปพัฒนาความเป็นเลิศในงานวิจัย ดำเนินการวิจัยสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย สร้างกลุ่มวิจัยที่เข็มแข็ง สามารถแข่งขันไปขอรับทุนวิจัยระดับสูงจากแหล่งทุนอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือการเป็นที่พึ่งพา เป็นคลังสมองของประเทศและระดับนานาชาติ
ภายในงานยังมีการแถลงงานวิจัยของนักวิจัยศักยภาพสูงและแถลงงานวิจัย ประจำปี 2565-2566 โดยหัวหน้าโครงการ และแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโครงการวิจัยดังกล่าว
ผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2565 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
1.ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.โกวิท พัฒนาปัญญาสัตย์ สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “การปรับแต่งเอ็กโซโซมเพื่อการนำส่งยาจำเพาะแม่นยำสำหรับรักษาโรคทางระบบประสาท หัวใจ และหลอดเลือด” โดยมุ่งเน้นการศึกษาบทบาทของเอกซ์ตร้าเซลลูลาร์เวสซิเคิล หรือถุงนอกเซลล์ (EVs) เพื่อการรักษาในโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคสมองขาดเลือด และโรคอัลไซเมอร์
2.ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เดวิด จอห์น รูฟโฟโล สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกัมมันตรังสีในอวกาศ” โดยการสร้างเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ในพลาสมาและความปั่นป่วนแม่เหล็กในอวกาศ ซึ่งเป็นสิ่งกำกับการขนส่งของกัมมันตรังสีในอวกาศ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งที่จะเตือนภัยผลกระทบทางสภาพอวกาศ
3.ดร.กัลยาณ์ ศรีธัญญลักษณา-แดงติ๊บ สังกัด ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. โครงการ “การประยุกต์ใช้องค์ความรู้ของกลไกการอยู่ร่วมกันของกุ้งและไวรัสเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคระบาดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกุ้ง” โดยมีเป้าหมายที่จะค้นหาและคัดเลือกชิ้นส่วนสารพันธุกรรมของไวรัสที่แทรกอยู่ในจีโนมของกุ้ง (EVEs) และ viral copy DNA (vcDNA) ของกุ้ง และศึกษากลไกที่ใช้ในการต้านเชื้อไวรัส เพื่อการประยุกต์ใช้ในการควบคุมโรคระบาดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกุ้ง
ผู้ได้รับทุนส่งเสริมกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2566 จำนวน 3 ท่าน ได้แก่
1.ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ สังกัด สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โครงการ “นวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งพื้นฐานของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย” เพื่อสร้างแนวทางในการสร้างชุมชนในระดับตำบลและระดับจังหวัดให้มีความเข้มแข็ง เป็นการพัฒนา “พื้นที่ส่วนกลาง” ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีบทบาทในการกำหนดความเป็นไปของชุมชนหรือพื้นที่ เพื่อเป็นรากฐานของประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทยที่จะสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับสังคมไทยต่อไปภายหน้า
2.ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิศิษฎ์ ทองบุญเกิด สังกัด มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการ “การค้นหาระบุชนิดและลักษณะเฉพาะของโปรตีนในปัสสาวะที่มีฤทธิ์ยับยั้งหรือกระตุ้นการเกิดนิ่วไตชนิดแคลเซี่ยมอ๊อกซาเลทแบบครอบคลุม” โดยจะระบุชนิดและคุณลักษณะของโปรตีนในปัสสาวะที่เป็นตัวยับยั้งหรือกระตุ้นการเกิดก้อนนิ่วในไตจากปัสสาวะของคนปกติและปัสสาวะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วไตชนิดแคลเซี่ยมอ๊อกซาเลท (CaOx) ใช้เทคนิคโปรตีโอมิกส์ร่วมกับเทคโนโลยีชีวภาพอื่นๆ เพื่อการวินิจฉัย การพยากรณ์โรค และการป้องกันโรคนิ่วไตต่อไปในอนาคต
3.รองศาสตราจารย์ ดร.ครศร ศรีกุลนาถ สังกัด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการ “การเพิ่มขีดความสามารถการปรับปรุงพันธุ์กลุ่มปลาดุก (ปลาดุกอุย ปลาดุกยักษ์ และลูกผสมบิ๊กอุย) เพื่อยกระดับผลผลิตและนวัตกรรมอุตสาหกรรมสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน” โดยศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรม และการปรับตัวของปลาดุกอุยภายใต้การคัดเลือกโดยธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีจีโนมิกส์ร่วมกับการวิเคราะห์ความเหมาะสมของพื้นที่ทางนิเวศในแหล่งธรรมชาติ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงและผลิตภัณฑ์ปลาดุกให้มีคุณภาพสูง
ผลงานที่จะเกิดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของนักวิจัยศักยภาพสูงทั้ง 6 ท่าน มุ่งเน้นผลสำเร็จ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติด้านวิชาการ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและชุมชน และด้านนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและแก้ปัญหาเร่งด่วนสำคัญของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนากำลังคนและสถาบันด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมให้เป็นฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและอย่างยั่งยืน โดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม.
ข่าวประชาสัมพันธ์
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
ด้านที่ 1 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredient) เช่น โพรไบโอติก พรีไบโอติก โพสต์ไบโอติก ต้นเชื้อสำหรับหมักอาหารและเครื่องดื่ม เอนไซม์สำหรับเป็นส่วนประกอบในอาหารหรือเวชสำอาง เพื่อให้มีคุณสมบัติเชิงหน้าที่ในการส่งเสริมสุขภาพ
FoodSERP พร้อมให้บริการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ่าน 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่อยู่ในประกาศของ อย. และการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ที่มีศักยภาพ โดยทีมวิจัยพร้อมให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่คัดสรรวัตถุดิบที่เหมาะสม พัฒนากระบวนการผลิต การทดสอบ จนได้เป็นผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่สามารถขยายผลในระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกสำหรับคนและสัตว์ น้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ไทย ผลิตภัณฑ์เอนไซม์แบบพรีมิกซ์ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ทางเลือก
ด้านที่ 2 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative proteins) หรือโปรตีนที่ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์ แต่ผลิตได้จากสิ่งมีชีวิตอื่นหรือกรรมวิธีอื่น เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากจุลินทรีย์ โปรตีนหรือเนื้อจากการเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ซึ่งเป็นเทรนด์ของอาหารยุคใหม่ที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
FoodSERP มีความพร้อมทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์และวิทยาศาสตร์การอาหาร และอุปกรณ์การผลิตที่ทันสมัย เพื่อให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ที่จะทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้นั้นไม่เพียงอร่อยและมีเนื้อสัมผัสที่ดี แต่ยังดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วย ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ไข่เหลวจากโปรตีนพืช มัยคอโปรตีน
ด้านที่ 3 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเฉพาะกลุ่ม (Food for specific group) เช่น อาหารสำหรับผู้สูงอายุ อาหารสำหรับผู้ป่วย อาหารสำหรับผู้มีภาวะกลืนลำบาก และอาหารเฉพาะบุคคล
FoodSERP มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงเนื้อสัมผัสของอาหาร ความนุ่ม และความหนืด (Food texture & characterization) พร้อมให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนาที่อ้างอิงตามมาตรฐานสากล แบบครบวงจร ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เนื้อหมูนุ่มที่ผ่านการปรับเนื้อสัมผัสให้บดเคี้ยวง่าย เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อาหารให้ทางสายยางสำหรับผู้ป่วยติดเตียง
ด้านที่ 4 คือ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดฟังก์ชัน (Functional extracts) สำหรับใช้เป็นส่วนผสมฟังก์ชันในผลิตภัณฑ์อาหารและเวชสำอาง เช่น สารสกัดจากพืช สมุนไพร จุลินทรีย์ ผลผลิตพลอยได้จากอุตสาหกรรม (By-product) เช่น โปรตีนไฮโดรไลเสต สารให้กลิ่นและรส สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาแบบครบวงจรด้วยความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากระบวนการสกัด การเพิ่มประสิทธิภาพการนำส่งและความคงตัวของสารสารสกัดในระดับอนุภาคนาโน รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอัตลักษณ์แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงและมีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เช่น เวชสำอางที่มีสารสกัดอนุภาคนาโน วัตถุดิบปรุงแต่ง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร ที่พร้อมช่วยปลดล็อกศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่ และการยกระดับอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
FoodSERP: One-stop service ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลก ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ อุตสาหกรรมอาหารจึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ปัจจุบันทิศทางของอุตสาหกรรมอาหารโลกกำลังมุ่งสู่ “อาหารแห่งอนาคต (Future food)” ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงโอกาสของอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้ง “แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน” หรือ “FoodSERP (ฟูดเซิร์ป)” ขึ้น เพื่อให้บริการผลิตและวิเคราะห์ทดสอบอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต แบบ One-stop Service โดยทีมผู้เชี่ยวชาญสหสาขา ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านการวิจัยและพัฒนา และการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล
FoodSERP เป็น 1 ใน 4 Core business ของ สวทช. ทำหน้าที่ให้บริการวิจัยและพัฒนาอาหารส่วนผสมฟังก์ชัน และเวชสำอางแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การพัฒนาผลิตภัณฑ์รวมถึงวิธีการผลิตที่เหมาะสมในระดับห้องปฏิบัติการ การให้บริการวิเคราะห์ทดสอบผลิตภัณฑ์ทั้งด้านประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การให้บริการขยายขนาดการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์
FoodSERP พร้อมให้บริการใน 4 ด้านหลัก คือ
1) วิจัยและพัฒนากระบวนการผลิตและสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์
2) วิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือขยายกำลังการผลิต
3) บริการวิเคราะห์ทดสอบและขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับ อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4) บริการอบรมและให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพตามความต้องการเฉพาะของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เป็นเทรนด์อุตสาหกรรม 4 กลุ่ม ได้แก่ ส่วนผสมฟังก์ชัน โปรตีนทางเลือก อาหารเฉพาะกลุ่ม และสารสกัดฟังก์ชัน โดยให้บริการแบบบูรณาการความเชี่ยวชาญ และใช้เครื่องมือมาตรฐานสากลในการวิจัยและพัฒนาแบบ One-stop service เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตที่พัฒนา จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล พร้อมผลิตและจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ
FoodSERP พร้อมให้บริการโรงงานต้นแบบมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดสอบการผลิตผลิตภัณฑ์ก่อนขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม โดยโรงงานต้นแบบที่พร้อมให้บริการมี 2 ประเภท คือ
1) โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (Food-grade manufacturer) สถานที่ผลิตอาหารสำหรับขยายขนาดการผลิตจากจุลินทรีย์และการแปรสภาพทางชีวภาพของผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตามมาตรฐานสากล Codex GHPs, HACCP และ GILSP ในสภาพควบคุมระดับ LS1 ซึ่งรองรับการผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งจากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม
2) โรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง ให้บริการพัฒนาและผลิตอนุภาคนาโนของสารสกัด และเวชสำอาง ด้วยมาตรฐาน ASEAN Cosmetic GMP
นอกจากโรงงานต้นแบบทั้ง 2 ประเภทที่พร้อมรองรับการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว FoodSERP ยังพร้อมให้บริการด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหาร เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ต้นแบบก่อนขยายการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ตัวอย่างเครื่องมือแรก คือ เครื่องเอกซ์ทรูเดอร์แบบสกรูคู่ (Twin-screw extruder) สำหรับแปรรูปและขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีโครงสร้างและรูปร่างต่าง ๆ กัน สามารถใช้ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากโปรตีนพืช ทั้งในรูปแบบความชื้นต่ำและความชื้นสูง รวมถึงอาหารประเภทขบเคี้ยว เป็นต้น อีกตัวอย่าง คือ เครื่องพิมพ์อาหารสามมิติ (3D food printer) ที่เป็นเครื่องมือขึ้นรูปอาหารแบบสามมิติ ที่สามารถขึ้นรูปผลิตภัณฑ์อาหารให้มีส่วนประกอบ รูปร่าง และเนื้อสัมผัสของอาหาร ให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ
FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบผลิตภัณฑ์อาหารหลากหลายด้าน เพื่อให้ผู้ประกอบการมั่นใจว่าอาหารที่ผลิตตรงตามโจทย์ความต้องการ ตัวอย่างการให้บริการ เช่น
- Molecular sensomics: การทดสอบด้านกลิ่นและรสชาติของผลิตภัณฑ์
- Food texture and characterization: การทดสอบเนื้อสัมผัสอาหาร และความหนืดของเครื่องดื่ม
- Peptidome and proteome: การวิเคราะห์ชนิดและโพรไฟล์ของเพปไทด์และโปรตีนในตัวอย่างทดสอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง
- Dynamically simulated gut model: การทดสอบการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร ด้วยแบบจำลองระบบทางเดินอาหารของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่
ทางด้านเวชสำอาง FoodSERP พร้อมให้บริการทดสอบการออกฤทธิ์ของส่วนผสมฟังก์ชัน (Functional ingredients) และผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ทั้งด้วยเซลล์ผิวหนังมนุษย์ (2D human skin test) เนื้อเยื่อผิวหนังมนุษย์ (3D human skin tissues) ชิ้นส่วนผิวหนังมนุษย์ที่ได้รับบริจาคจากอาสาสมัคร (Ex vivo human skin) และการทดสอบด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัย โดยใช้แบบจำลองลำไส้แบบ 3 มิติ (Intestinal tissue model) และแบบจำลองปลาม้าลาย (Zebrafish model) ตัวอย่างการทดสอบ เช่น การออกฤทธิ์ลดการอักเสบ การต้านอนุมูลอิสระ การชะลอการเสื่อมสภาพของผิวหนัง การเพิ่มความกระจ่างใส การศึกษาพิษเฉียบพลัน และการดูดซึมด้วยแบบจำลองเนื้อเยื่อลำไส้สามมิติ (In vitro)
FoodSERP พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน หนุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทย นำไปสู่การสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมอาหารใหม่และการยกระดับของอุตสาหกรรมชีวภาพ เพื่อการยืนหยัดบนเวทีโลกอย่างยั่งยืน
FoodSERP พร้อมให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่สนใจรับบริการดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.nstda.or.th/FoodSERP และ Facebook: FoodSERP ติดต่อสอบถามได้ที่อีเมล foodSERP_by_NSTDA@nstda.or.th
รายละเอียดเพิ่มเติม: FoodSERP พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตอบโจทย์ 4 เทรนด์อุตสาหกรรมอาหารและเวชสำอาง
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และวีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. – กสทช. ร่วมมือสร้างนวัตกรรม และสร้างโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับทุกคน
สวทช. ร่วมกับ กสทช. ลงนามความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อมร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม ที่ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. รับโล่ประกาศเกียรติคุณแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2565
4 สิงหาคม 2566 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์: ดร.สุธี เจริญผู้ชนะชัย รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รับโล่ประกาศเกียรติคุณแบบอาคารอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2565 หรือ BEC Awards มอบโดย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้โครงการพัฒนาและสนับสนุนบังคับใช้กฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์มาตรฐานอาคารพลังงาน (BEC) เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้ตระหนักถึงการอนุรักษ์พลังงานในภาคอาคาร ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง
สำหรับอาคารที่ สวทช. ได้รับรางวัล BEC Awards ได้แก่ อาคารศูนย์บริการงานวิศวกรรมและงานวิเคราะห์ทดสอบ (NFET) อาคาร 1 และ อาคาร 2 ตั้งอยู่ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ข่าวประชาสัมพันธ์
กสทช. จับมือ สวทช. ร่วมสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ออกแบบสำหรับทุกคน และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก
For English-version news, please visit : NSTDA and NBTC collaborate to foster inclusive broadcasting and telecommunication innovation
วันที่ 3 สิงหาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่ออกแบบสำหรับทุกคน (Inclusive Design) และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology)
พร้อมทั้งแถลงข่าวร่วมจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) โดยมี ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน และผู้บริหารคณะนักวิจัยทั้งสองหน่วยงานร่วมแถลงข่าว ณ หอประชุมสายลม 5021 (หอประชุม ชั้น 2) สำนักงาน กสทช.
การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กสทช. และ สวทช. ครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งกลุ่มคนทั่วไป และเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคการศึกษาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ออกแบบสำหรับทุกคน (Inclusive Design) ในยุคดิจิทัล (Digital World) และการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) โดยเป็นการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ การมีส่วนร่วม และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนากำลังคนสู่ยุคดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการสร้างโอกาสทางสังคม (Social Mobility) ให้กับกลุ่มคนที่ยังต้องการเติมเต็มศักยภาพ โดยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตัวเองและเพิ่มความสามารถในการดำเนินชีวิต และสร้างความเข้าถึงที่เท่าเทียมกัน (Equal Access) ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์เทคโนโลยีและสารสนเทศให้กับทุกคนในสังคม
ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมการเรียนรู้ฯ ในวันนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่นำไปสู่การสร้างโอกาสทางสังคม และการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีให้สำนักงาน กสทช. กับ สวทช. ได้เพิ่มพูนขีดความสามารถในการดำเนินงานร่วมกัน ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค สำนักงาน กสทช. พร้อมทำงาน และขยายความร่วมมือ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับทุกคน ร่วมกับ สวทช. เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสังคมของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และก้าวทันการพัฒนาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวทช. ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงาน กสทช. ในการจัดให้มีศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS) เพื่อให้คนพิการทางการได้ยินและคนพิการทางการพูดสามารถสื่อสารกับคนทั่วไปผ่านโทรคมนาคมพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังได้ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาระบบบริการคำบรรยายแทนเสียง (Closed Caption) นวัตกรรมที่ช่วยให้คนพิการหรือผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านการได้ยิน สามารถเข้าถึงเนื้อหาของข่าว งานประชุมวิชาการ และการเรียนการสอนได้ เพื่อช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นเสียงพูดได้ด้วยการอ่านข้อความที่ได้จากการถอดความแทนการฟังเสียง จากความร่วมมือด้วยดีตลอดมาจึงเป็นที่มาของความร่วมมือในวันนี้
สำหรับกิจกรรมในปี 2566 นี้ จะเป็นการร่วมจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมพื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 หรือ International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology: i-CREATe 2023 ระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี โดยมีผู้เข้าร่วมงาน 300 คน จาก 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล รูปแบบของงานมีทั้งการแสดงปาฐกถา การอบรมเชิงปฏิบัติการ การนำเสนอบทความวิชาการ การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ การเยี่ยมชมหน่วยงานด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานประชุมในทุกปี และในปีนี้จะทรงเสด็จเปิดงานประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 ในวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
นายต่อพงศ์ เสลานนท์ กรรมการ กสทช. ด้านการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน กล่าวว่า ภายในงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง วิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (i-CREATe 2023) สำนักงาน กสทช. ได้ร่วมจัดนิทรรศการเพื่อเผยแพร่ภารกิจด้านการสร้างความตระหนักและเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ การพัฒนานวัตกรรมและการจัดให้มีบริการที่ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ผ่านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงมีการบรรยายและเสวนาในหัวข้อ Digital Inclusion : Digital ID และ Who Benefits from Digital Assistive Technology? และในปีพ.ศ. 2567 ประเทศไทยก็จะมีงานประชุม TDAC: Thailand Digital Accessibility Content ที่จะเป็นงานประชุมที่ให้ความสำคัญกับผู้พิการเช่นกัน
นอกจากนี้ ภายในงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว ยังมีการสัมมนาในหัวข้อแนวคิดการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านกิจการโทรคมนาคม โดยได้รับเกียรติจาก อ.มณเฑียร บุญตัน และการเสวนาในหัวข้อ Easy Read & Plain Language การเข้าถึงข้อมูลที่อ่านเข้าใจง่าย และภาษาที่เข้าใจได้สำหรับทุกคน โดยวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญและเกี่ยวข้องกับหน่วยงานเพื่อผู้พิการ
ข่าวประชาสัมพันธ์
i-CREATe 2023 โชว์นวัตกรรม “ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ (Marker)” เตรียมประยุกต์ใช้ทางการแพทย์
ปัจจุบันเทคโนโลยีตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือ Motion Capture ไม่ได้เพียงนำมาใช้สร้างความมหัศจรรย์ให้แก่ตัวละครเสมือนในภาพยนตร์แฟนตาซี แอนิเมชัน หรือซูเปอร์ฮีโรต่าง ๆ เช่น Avatar หรือ The Lord of the Rings เท่านั้น ล่าสุดนักวิจัยไทยนำแนวคิดเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสู่ “ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ (Marker)” สร้างภาพจำลองการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบสามมิติโดยไม่ต้องไม่ต้องสวมใส่อุปกรณ์เพื่อการตรวจจับ หรือมาร์กเกอร์ตามร่างกาย ช่วยลดความยุ่งยาก ลดเวลาการใช้งานและประมวลผล ขณะนี้อยู่ระหว่างการจดสิทธิบัตร และเตรียมนำไปประยุกต์ใช้งานทางการแพทย์ในอนาคต
[caption id="attachment_45464" align="aligncenter" width="450"] ดร.ประยุกต์ เจตสิกทัต[/caption]
ดร.ประยุกต์ เจตสิกทัต นักวิจัยหลังปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University: NTU) สาธารณรัฐสิงคโปร์ อดีตนักเรียนทุน มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้พระราชทานทุนการศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง เมื่อปี พ.ศ. 2557 ทำให้มีโอกาสได้ศึกษาและเริ่มทำงานวิจัยในศูนย์วิจัยวิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics Research Center) ภายใต้การดูแลของรองศาสตราจารย์อั๋ง เหวย์เทค (Ang Wei Tech) โดยเน้นศึกษาวิจัยด้านการจับการเคลื่อนไหวของมนุษย์ด้วยอุปกรณ์วัดรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการออกแบบกระบวนการคำนวณด้วยการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์ (Machine Learning) ซึ่งหลังศึกษาจบระดับปริญญาเอก ยังทำงานวิจัยต่อเนื่องที่ Rehabilitation Research Institute of Singapore (RRIS) โดยนำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญมาพัฒนาเทคโนโลยีระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ สำหรับใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์
[caption id="attachment_45467" align="aligncenter" width="750"] การถ่ายทำโดยใช้เทคโนโลยี Motion Capture ทั่วไป[/caption]
“Motion Capture คือเทคโนโลยีการตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่ผ่านมาอาจเห็นการใช้งานบ่อยครั้งในเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยนักแสดงจะต้องสวมใส่ชุดเข้ารูป (Body Suit) และสวมใส่อุปกรณ์เพื่อการตรวจจับ หรือมาร์กเกอร์ตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวและนำไปใช้สร้างภาพสามมิติ ข้อจำกัดของเทคนิคนี้ คือ การติดจุดมาร์กเกอร์ทั่วร่างกายต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความยากของตำแหน่งข้อต่อและกระดูกของแต่ละบุคคล ขณะที่การประมวลผลใช้เวลานาน เนื่องจากภาพวิดีโอที่ได้ต้องนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อระบุตำแหน่งจุดมาร์กเกอร์แต่ละจุดว่าเป็นส่วนใดของร่างกาย เช่น ศีรษะ ไหล่ ข้อศอก แขน ขา จากนั้นจึงจะใช้ประมวลผลสร้างภาพสามมิติ ดังนั้นภาพวิดีโอเพียง 1 นาที อาจต้องใช้เวลาประมวลผลเป็นภาพสามมิตินานถึง 1 ชั่วโมง จึงเป็นเรื่องยากมากในการนำมาใช้ในทางการแพทย์”
ดร.ประยุกต์ กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ จุดเด่นคือผู้ใช้งานไม่ต้องติดมาร์กเกอร์เพื่อระบุตำแหน่งตามร่างกาย แต่อาศัยการออกแบบกระบวนการคำนวณเพื่อฝึกฝนให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ วิเคราะห์ภาพ และระบุตำแหน่งได้ว่าแต่ละจุดเป็นอวัยวะส่วนใดของร่างกาย จากนั้นระบบจะนำภาพไปใช้ประมวลผลบันทึกเป็นข้อมูล 3 มิติ ซึ่งช่วยลดเวลาและความยุ่งยากในการใช้งาน โดยขณะนี้ทีมวิจัยสามารถสร้างต้นแบบระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ได้สำเร็จ ส่วนกระบวนการทำงานของระบบเริ่มจากการติดตั้งกล้องวิดีโอ ประมาณ 4-8 ตัว ในมุมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพการเคลื่อนไหวของมนุษย์ให้ครอบคลุมทุกมุมมอง เมื่อกล้องวิดีโอแต่ละตัวบันทึกภาพการเคลื่อนไหวจะส่งข้อมูลไปที่คอมพิวเตอร์หลัก จากนั้นระบบจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดส่งไปยังส่วนของ Machine Learning Inference เพื่อวิเคราะห์และระบุตำแหน่ง 2 มิติ ของมาร์กเกอร์แบบเสมือน และเมื่อได้ภาพ 2 มิติ ที่ระบุตำแหน่งถูกต้องจากหลาย ๆ มุมมอง ระบบจะนำไปสร้างเป็นตำแหน่ง 3 มิติ เพื่อบันทึกการเคลื่อนไหว
“สำหรับการประยุกต์ใช้งาน ขณะนี้มีทีมวิจัยในศูนย์ RRIS มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ได้นำระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ไปใช้ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงการแพทย์ โดยมีแผนนำไปใช้งานเบื้องต้นใน 3 ด้าน คือ ด้านออร์โธพีดิกส์ เช่น การตรวจวิเคราะห์ผู้ที่มีภาวะความเสี่ยงโรคข้อเข่าเสื่อม เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้านการตรวจประเมินสุขภาพ เช่น การตรวจจับความผิดปกติจากท่าทางการเดินในผู้สูงวัยเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกาย และด้านการการฟื้นฟูสมรรถภาพ ใช้สำหรับการวางแผนการออกกำลังกายหรือการทำกายภาพแก่ผู้ป่วย รวมทั้งใช้ติดตามประเมินผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำ ทดแทนการใช้อุปกรณ์โกนิโอมิเตอร์หรือไม้บรรทัดวัดองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ ในรูปแบบเดิม อย่างไรก็ดีปัจจุบันเทคโนโลยีอยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตร และอยู่ในช่วงของการระดมทุนจัดตั้งบริษัท (Spin Off) เพื่อผลักดันเทคโนโลยีสู่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์”
ระบบจับการเคลื่อนไหวมนุษย์แบบไร้มาร์กเกอร์ นับเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตาอย่างมากในการนำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในการด้านการเฝ้าระวัง ตรวจวินิจฉัย และการวางแผนการรักษา เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้มีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ซึ่งเทคโนโลยีนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่จะนำมาจัดแสดงในการประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่องวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ครั้งที่ 16 (The 16th International Convention on Rehabilitation Engineering and Assistive Technology : i-CREATe 2023) จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 8-11 สิงหาคม 2566
ทั้งนี้ภายในงานยังมีการแสดงปาฐกถาพิเศษ การนำเสนอผลงานวิชาการ และนิทรรศการระดับนานาชาติเกี่ยวกับเทคโนโลยีขั้นสูงด้านวิศวกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่น่าสนใจอีกมากมาย รวมทั้งยังมีการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (Global Student Innovation Challenge: gSIC 2023) เพื่อส่งเสริมนิสิตนักศึกษาให้มีความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดงาน i-CREATe 2023 ได้ที่ www.icreateasia.com
การประชุมวิชาการนานาชาติ i-CREATe 2023 คือเวทีสำคัญในการนำเสนอผลงานวิชาการและนิทรรศการระดับนานาชาติด้านวิศวกรรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งเป็นเวทีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการและผู้สูงอายุระหว่างผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับผู้ทรงคุณวุฒิในระดับสากล ซึ่งเกิดจากกลุ่มความร่วมมือด้านวิศวกรรมฟื้นฟูสมรรถภาพและเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งเอเชีย ภายใต้ชื่อว่า CREATe Asia โดยเป็นการรวมกลุ่มระหว่าง 13 องค์กร จาก 10 เขตเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
5 นักวิจัยไบโอเทค-สวทช. สร้างมูลค่า 5 พืชสมุนไพรเศรษฐกิจ เชื่อมโยงพันธมิตรสู่เกษตรสมัยใหม่ ผ่านเขตนวัตกรรม EECi
For English-version news, please visit : NSTDA unveils herbal plant research, promising to make significant economic impact
ที่ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi Headquarters) จ.ระยอง - นักวิจัยด้านพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำงานวิจัยการพัฒนาการผลิตพืชสมุนไพร 5 ชนิด (บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา) เชื่อมโยงสู่ผู้ประกอบการสมุนไพรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ ภายใต้งานสัมมนา “การเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่” จัดโดยเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เมื่อเร็ว ๆ นี้ (19 ก.ค. 66)
โดยมี ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi และ นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วย ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงานอุตสาหกรรมและชุมชน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi ตลอดจนผู้ประกอบการ นักวิจัยไบโอเทค และผู้แทนกลไกสนับสนุนภาคเอกชนของ สวทช. เข้าร่วมในงาน
ดร.วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. สายงาน EECi กล่าวว่า สวทช. โดย EECi ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงานสัมมนาการเชื่อมโยงและสร้างพันธมิตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างนักวิจัยด้านพืชและผู้ประกอบการ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ตลาดสมุนไพรไทย พร้อมกันนี้ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า ในการสร้างให้เกิดความยั่งยืนของผู้ประกอบการ สวทช. ได้มีกลไกสนับสนุนภาคเอกชนในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีนวัตกรรมไทย / AGRITEC (สท.) หรือโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น EECi / อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย / ซอฟต์แวร์พาร์ค / Food Innopolis เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นบริการสนับสนุนผู้ประกอบการในการร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทยด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ผ่านเขตนวัตกรรม EECi ต่อไป
ด้าน ดร.ประพัฒน์ พันปี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรม EECi สวทช. ระบุว่า ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สวทช. โดยนักวิจัยไบโอเทคได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพร 5 ชนิดพืช ได้แก่ บัวบก ขมิ้นชัน กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร และกะเพรา ซึ่งล้วนเป็นพืชสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ให้มีเสถียรภาพทางการผลิต คุณภาพการผลิต นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food security) รวมถึงส่งเสริมให้เกิดเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ที่มีการนำเทคโนโลยีผสมผสานการเกษตรยุคดิจิทัล มาใช้กับการเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตได้เท่าทวีคูณ
โดยพืชชนิดแรกคือ บัวบก โดย ดร.กนกวรรณ รมยานนท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาต้นแบบการผลิตบัวบกในระบบปลูกแนวตั้ง ที่เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่สูงขึ้น บัวบกสายพันธุ์ดี ได้แก่ ไบโอบก-143 และ ไบโอบก-296 ทั้งสองสายพันธุ์ ที่คัดเลือกมาจากการรวบรวมสายพันธุ์บัวบกกว่า 200 สายพันธุ์ ซึ่งให้ผลผลิตและปริมาณสารสำคัญสูง
พืชชนิดที่สอง ขมิ้นชัน โดย ดร.รุจิรา ทิศารัมย์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช มีการศึกษากระบวนการผลิตต้นพันธุ์ การคัดเลือกสายพันธุ์ และระบบการปลูกในโรงเรือนและแปลงปลูก พืชชนิดที่สาม กระชายดำ โดย ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีสารออกฤทธิ์ทางยาสูง กรรมวิธีการผลิต และระบบการปลูกที่ลดการเกิดโรคในแปลงปลูก
พืชชนิดที่สี่ ฟ้าทะลายโจร โดย ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาสายพันธุ์ที่มีศักยภาพ ระบบการผลิตที่ให้สารสำคัญสูง และต้นแบบระบบการผลิตแบบปิด แบบเปิด และกึ่งปิด และพืชชนิดที่ห้า กะเพรา โดย ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร มีการศึกษาข้อมูลสายพันธุ์ที่มีมากถึง 90 สายพันธุ์ และกระบวนการปลูกในโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ทั้งในด้านข้อมูลตอบสนองต่อปัจจัยสภาพแวดล้อมและต้นแบบการผลิตที่เหมาะสม ซึ่งงานสัมมนาครั้งนี้นอกจากสร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของงานวิจัยพืชสมุนไพรแล้ว ยังได้ฉายภาพและนำเยี่ยมชมโครงสร้างพื้นฐานวิจัยขยายผล ณ โรงเรือนปลูกพืชอัจฉริยะ (Smart Greenhouse) และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมืองนวัตกรรมชีวภาพ หรือ BIOPOLIS ที่ตั้งอยู่ใน EECi เพื่อรองรับอุตสาหกรรมชีวภาพไทยที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอันใกล้ด้วย
หนึ่งในนักวิจัยพืช ‘กระชายดำ’ ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังจะได้พันธุ์กระชายดำดีเด่นที่มีสารออกฤทธิ์สูง และสามารถนำไปปรับใช้เฉพาะทางได้ เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยา นอกจากนี้ได้พัฒนาระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การสร้างต้นพันธุ์ปลอดโรคที่จะนำไปให้เกษตรกร เพื่อลดต้นทุน แรงงาน และระยะเวลาการปลูก รวมถึงยังได้ความรู้ไปใช้กับการผลิตต้นพันธุ์ได้ทั้งปี ซึ่งแตกต่างจากเหง้าที่ผลิตไม่ได้ทั้งปี ซึ่งในการศึกษาที่ EECi จะมีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขนาดใหญ่ มีระบบ Bioreactor (เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในอาหารเหลว) ที่จะขยายต้นพันธุ์ในระดับเชิงพาณิชย์ และใช้กับพืชอื่น ๆ ได้ เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ พืชหายากที่ต้องการอนุรักษ์ เป็นต้น ซึ่งทีมวิจัยพร้อมจะทำงานเชื่อมโยงร่วมกับผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางน้ำและปลายน้ำ
และอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่มีความท้าทายในการแก้ปัญหา Pain Point มาอย่างยาวนานคือ กะเพรา ดร.พนิตา ชุติมานุกูล นักวิจัยจากทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลกำหนดให้ ‘กะเพรา’ เป็นพืชสมุนไพรชนิดใหม่ในวงการของสมุนไพร แต่จุดอ่อนทางธุรกิจคือ การส่งออก ที่ถูกห้ามส่งออกมาตั้งแต่ปี 2554 เพราะกะเพรามีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากและยังพบแมลงติดมากับพืชที่ส่งออกสูง สร้างความสูญเสียมูลค่ามหาศาล ฉะนั้น เพื่อการแก้ไขจึงได้พัฒนาการปลูกให้เป็นเกรดพรีเมียม ทดลองปลูกและศึกษาใน Plant factory เพราะไม่มีการใช้ยาปราบศัตรูพืชใด ๆ โดยทีมวิจัยได้ศึกษาตั้งแต่การรวบรวมสายพันธุ์ซึ่งมีมากถึง 90 สายพันธุ์ และยังไม่มีการศึกษาถึงสรรพคุณในแต่ละสายพันธุ์มาก่อน เช่น สายพันธุ์ที่ต้านอักเสบ ต้านจุลชีพ ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ หรือสรรพคุณในด้านกลิ่น ที่ช่วยขับลม ลดคอเลสเตอรอล เป็นต้น รวมถึงศึกษาสภาวะ (condition) การปลูกที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารสำคัญของกะเพราได้มากที่สุด ซึ่งในการเชื่อมโยงกับ EECi ทางทีมวิจัยมีแผนในอนาคตอันใกล้ว่า จะนำส่วนที่คัดสายพันธุ์ที่ดีและสำเร็จมาแล้วใน condition ต่าง ๆ ทั้งการปลูกใน Plant Factory ใน Greenhouse และแปลงทดลองของเกษตรกร เช่น พันธุ์ A ที่หอมมากและหอมทั้ง 3 ที่ที่ปลูกซึ่งให้ผลคงที่ ทีมจะนำพันธุ์เหล่านั้นมาปลูกทดสอบและขยายการผลิตในโรงเรือนที่ EECi เพื่อตอบโจทย์กับภาคเอกชนต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสมุนไพรและที่เกี่ยวข้องที่สนใจการพัฒนาสมุนไพรด้วยงานวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ โทร. 0 2564 6700 ต่อ 3305 (จิราวรรณ)
ข่าวประชาสัมพันธ์
ก.ล.ต. – สวทช. หนุนผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SMEส่งเสริมกลไกการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
2 สิงหาคม 2566 ที่ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซนทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดสัมมนา “การเผยแพร่บทศึกษาระบบนิเวศ และนโยบายที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME” โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำทีมโดย ศ. วิทวัส รุ่งเรืองผล และ รศ. ดร.พีระ เจริญพร นำเสนอผลการศึกษาซึ่งได้ระบุถึงปัญหาและอุปสรรคในการระดมทุนของผู้ประกอบการในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” รวมทั้งข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับต่อยอดในการกำหนดนโยบายหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการระดมทุน พร้อมกันนี้ได้จัดสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “แนวทางและความร่วมมือในการส่งเสริมผู้ประกอบการ BCG New S-curve และ SME ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน”
โดยมี ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางสาวประภารัตน์ ตังควัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิทรอน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้แทนจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVE Exchange) และนายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ของภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผ่านการทำงานโดยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของนักวิจัยศูนย์แห่งชาติ 5 ศูนย์แห่งชาติ ที่สามารถนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสานต่อให้เป็นเทคโนโลยีเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ สำหรับ BCG สวทช. เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ BCG ของประเทศ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อกำหนดนโยบาย BCG ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับ ESG และ SDGs แนวทางการขับเคลื่อนให้การให้เติบโตของโลกอย่างสมดุล
“การจะเข้าสู่ SDGs หรือ ESG แต่ละประเทศบริบทไม่เหมือนกัน ประเทศไทยถือว่ามีจุดเด่นด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรอยู่แล้ว ดังนั้นการเติบโตด้าน Bioeconomy มีได้สูง ขณะเดียวกันเรื่อง Circular economy และ Green economy เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อลดการใช้ทรัพยากร และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดจะเป็นไปได้ด้วยฐานของเทคโนโลยี เพราะจะเปลี่ยนแปลงจากอุตสาหกรรมปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ต้องใช้เทคโนโลยีเสมอ
“BCG หรือ Bio-Circular-Green เป็นคำใหญ่ แต่คีย์เวิร์ดคือ Economy ดังนั้น BCG economy เรากำลังจะบอกว่าอนาคตเศรษฐกิจประเทศไทยต้องเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตขึ้น วิสัยทัศน์ 4 ด้าน 1.ต้องสร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากต้องโตอย่างเข้มแข็ง 3.เทคโนโลยีใหม่ต้องถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และ 4.ต้องยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน สร้างนวัตกรรมพรีเมียม และให้ของเสียเป็นศูนย์
ทั้งนี้ด้วยตัวอุตสาหกรรม BCG นั้น จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่เกิดขึ้น คือ Circular-Green economy ซึ่งหลายอุตสาหกรรมกำลังปรับแปลงอุตสาหกรรมของตนเองให้รักษ์โลกมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ดีขึ้นช่วยสร้างเศรษฐกิจด้วยตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม สวทช. มีผลงานที่ออกมาก็จดเป็น IP Licensing เพื่ออนุญาตใช้สิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของผลงานวิจัยพร้อมถ่ายทอดมากกว่า 300 IP ต่อปี มีการร่วมกับบริษัทเพื่อวิจัย และการจ้าง สวทช. วิจัยมากกว่า 400 โครงการต่อปี แต่ละปีจะมี IP Market Place ในงาน Thailand Tech Show รวมมากกว่า 1,300 ผลงาน จาก 45 พันธมิตรทั่วประเทศ ทั้งหน่วยวิจัยภาครัฐ สถาบันการศึกษาและภาคเอกชน รวมทั้งโครงการ ITAP ที่ช่วยเป็นกลไกการสนับสนุน SMEs ออกกันคนละครึ่ง
นอกจากนี้ สวทช. ยังมีเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น ยกเว้นภาษี 200% สำหรับการลงทุนวิจัยการพัฒนาและนวัตกรรม ซึ่ง สวทช. ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองโครงการวิจัยให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีกับกรมสรรพกร และการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายในการวิจัย เป็นจำนวน 2 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง รวมทั้งรับรองธุรกิจเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนธุรกิจเทคโนโลยีใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งใช้เทคโนโลยีเป็นฐานในกระบวนการผลิตและให้บริการ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ ได้แก่ ผู้ประกอบการรายใหม่ ที่เป็นกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงหรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี กิจการร่วมลงทุน ที่ลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง หรือแนวหน้าและอยู่ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ยกเว้นภาษีสำหรับผลตอบแทนจากการลงทุน 10 ปี และ นักลงทุน ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ที่ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท
นายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. เล็งเห็นความสำคัญของธุรกิจในกลุ่ม “BCG New S-curve และ SME” ตามแผนยุทธศาสตร์สำนักงาน ก.ล.ต. (ปี 2566 – 2568) ที่มุ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายตามแนวนโยบายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลไกของตลาดทุนซึ่งจะช่วยให้การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และสอดคล้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 4 ด้านการกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลเพื่อลดอุปสรรคการเข้าถึงตลาดทุนของกลุ่มธุรกิจเป้าหมาย โดยที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงเกณฑ์การระดมทุนสำหรับ SME และ Startup ผ่านช่องทางที่สะดวก มีทางเลือกที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการเงินทุน เช่น ระบบคราวด์ฟันดิง (Crowdfunding) การเสนอขายในวงจำกัด (PP-SME) และการเสนอขายบุคคลทั่วไปแบบ PO-SME ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจและมีมูลการระดมทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนหลักเกณฑ์รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนตามเกณฑ์มูลค่าหุ้นสามัญตามราคาตลาด (เกณฑ์ Market Capitalization) เพื่อส่งเสริมให้บริษัทไทยที่ประกอบธุรกิจในกลุ่ม BCG รวมถึงบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศไทย
ทั้งนี้ภายในงานมีการออกบูธของ ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อให้ข้อมูล ตอบข้อซักถามและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการระดมทุนแก่ผู้ที่สนใจ
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
แอปฯ “รู้ทัน” ชวนคนไทยรู้เท่าทัน “โรคไข้เลือดออก”
ไข้เลือดออก (Dengue fever) เป็นโรคระบาดร้ายแรงประจำถิ่นประเทศไทย รวมถึงประเทศในแถบร้อนชื้น มียุงลายเป็นพาหะของเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus: DENV) พบการระบาดตลอดทั้งปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูฝนและมีการระบาดหนักในทุก 2-5 ปี โดยในปี 2566 นี้เป็นปีที่ประเทศไทยส่อเค้าระบาดหนักอีกครั้ง ล่าสุดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2566 พบผู้ป่วยแล้วกว่า 45,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 41 ราย
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค วิจัยและพัฒนาแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการเฝ้าระวังและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกแบบเชิงรุกสำหรับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังต่อยอดสู่แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อเป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออก รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพอื่น ๆ เช่น โรคโควิด-19 ฝุ่น PM2.5 ดัชนีความร้อนที่นำไปสู่โรคลมแดด
“ทันระบาด” แพลตฟอร์มจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโรคไข้เลือดออกแบบเรียลไทม์สำหรับเจ้าหน้าที่
หากย้อนไปช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ประชาชนอาจยังคุ้นเคยกับการได้เห็นเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคเดินถือกระดาษแผ่นใหญ่ออกสำรวจลูกน้ำยุงลายภายในชุมชน วัด และโรงเรียน แต่ทุกวันนี้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้นด้วยสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว
[caption id="attachment_45354" align="aligncenter" width="750"] นายธนพล โยธานัก (ซ้าย) ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ (กลาง) นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ (ขวา)[/caption]
ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ หัวหน้าทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า ตั้งแต่ปี 2559 เนคเทค สวทช. ได้ร่วมกับกรมควบคุมโรค เปิดตัวแพลตฟอร์ม “ทันระบาด” เพื่อสนับสนุนการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคไข้เลือดออกให้มีประสิทธิภาพและเท่าทันสถานการณ์มากยิ่งขึ้น โดยแพลตฟอร์มประกอบด้วย 4 แอปพลิเคชันหลัก คือ “ทันระบาดสำรวจ” ใช้รวบรวมข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และรายงานความชุกชุมของลูกน้ำยุงลายให้กับพื้นที่แบบเรียลไทม์ “ทันระบาดติดตาม” ใช้นำเสนอสถานการณ์โรคไข้เลือดออกและความชุกชมของลูกน้ำยุงลายในรูปแบบแผนที่ และตารางที่สามารถเลือกดูข้อมูลได้ตามมิติที่สนใจ “ทันระบาดรายงาน” เป็นเครื่องมือช่วยสรุปชุดข้อมูลสำคัญที่ใช้งานเป็นประจำออกมาในรูปแบบรายงานอย่างอัตโนมัติ และ “ทันระบาดวิเคราะห์” สำหรับสนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลในมุมมองที่สนใจ
“นับตั้งแต่เปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน ทีมวิจัย เนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรคยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่ ตัวอย่างฟังก์ชันที่พัฒนาเพิ่ม เช่น ‘ทันระบาดคุณภาพ’ เครื่องมือสำหรับจัดการคุณภาพของข้อมูลการสำรวจลูกน้ำยุงลาย และ “ทันระบาด EOC” ระบบประเมินเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทั้งในระดับท้องถิ่นและประเทศได้ทราบถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อวางแผนจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข (Emergency Operation Center: EOC)”
[caption id="attachment_45359" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]
[caption id="attachment_45358" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดติดตาม[/caption]
[caption id="attachment_45357" align="aligncenter" width="750"] ทันระบาดวิเคราะห์[/caption]
“ทันระบาด” สู่ “รู้ทัน” แอปพลิเคชันเพื่อสร้างการตระหนักรู้แก่ประชาชน
แม้เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจะมีหน้าที่โดยตรงด้านการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน แต่จะดีกว่าหรือไม่หากเราทุกคนจะมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังโรคระบาดเพื่อตัดวงจรโรค รวมถึงดูแลตัวเองและครอบครัวให้ปลอดภัยอยู่เสมอ
นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ นักวิจัยทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เนคเทค สวทช. เล่าว่า หลังจากพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดจนพร้อมให้บริการแก่เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศแล้ว ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. และกรมควบคุมโรค ยังได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อนำข้อมูลจากทันระบาดมาสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชน โดยเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2564 ภายในแอปพลิเคชันจะมีการดึงข้อมูลสถานการณ์การระบาดของโรคมาแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบตามพิกัดที่ผู้ใช้งานอยู่ ณ ขณะนั้น เช่น ขณะนี้อยู่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกสูง ควรป้องกันตัวไม่ให้ยุงกัด และกำจัดยุงลายและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในพื้นที่ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังดูข้อมูลในรูปแบบแผนที่ตั้งแต่ระดับตำบลถึงระดับภาพรวมประเทศ เพื่อแจ้งเตือนคนรู้จักหรือวางแผนเตรียมอุปกรณ์ป้องกัน อาทิ เสื้อแขนยาว ยากันยุง ก่อนเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงได้
นอกจากการเฝ้าระวังไข้เลือดออกแล้ว แอปพลิเคชัน “รู้ทัน” ยังผ่านการออกแบบให้ดึงข้อมูลเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศ มาแจ้งเตือนให้ประชาชนได้ทราบในแอปพลิเคชันเดียวเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานแก่ประชาชน
นายธนพล โยธานัก วิศวกร ทีมวิจัยการจำลองและระบบขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เล่าว่า ทีมวิจัยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อาทิ กรมควบคุมโรค กรมอุตุนิยมวิทยา กรมควบคุมมลพิษ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการให้บริการข้อมูลผ่านทาง API (Application Programming Interface) เพื่อให้แอปพลิเคชันรู้ทันสามารถดึงข้อมูลการระบาดของโรคโควิด-19 ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ค่าดัชนีความร้อน รวมถึงสภาพอากาศตามพิกัดพื้นที่มานำเสนอให้ผู้ใช้งานทราบ พร้อมให้ข้อมูลคำแนะนำในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมได้ ทั้งนี้แอปพลิเคชันรู้ทันได้รับการสนับสนุนจาก คาโอ คอร์ปอเรชั่น (Kao Corporation) ในการขับเคลื่อนการให้บริการแก่ประชาชนเพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลาย
ก้าวต่อไปของการพัฒนา “ทันระบาด” และ “รู้ทัน” คือการพัฒนาให้แพลตฟอร์มอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนได้มากยิ่งขึ้น
ดร.นัยนา เล่าถึงเป้าหมายในอนาคตว่า ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มทันระบาดให้สามารถวิเคราะห์ชุดข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มการระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่ต่าง ๆ สำหรับแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่รวมถึงประชาชนรับทราบความเสี่ยงล่วงหน้าได้ และมีแผนพัฒนาให้รู้ทันมีฟังก์ชันระบบแจ้งเตือนความเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนทราบภาวะเสี่ยงได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องเปิดแอปพลิเคชัน ทั้งนี้ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนแพลตฟอร์มนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั่วทั้งประเทศไทยต่อไป
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “รู้ทัน” เพื่อใช้งานได้แล้วผ่านทั้ง Play Store และ App Store ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเพื่อการร่วมวิจัยได้ที่ นายมาโนชญ์ รัตนเนนย์ เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2296 หรืออีเมล manot.rattananen@nectec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


