หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เสวนาเนื่องในวันป่าชายเลนโลก : ป่าชายเลนกับการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG 
🌱.... มาร่วมกัน ให้ความสำคัญ เนื่องในวันป่าชายเลนโลก 🌱 ในเสวนานี้ ... 💚Bi🌏D Talk Episode#6 🌱 ป่าชายเลนกับการขับเคลื่อนการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG 🌏 และรับมือกับสภาวะโลกร้อน 🗓 วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 🕑 เวลา 09.30 - 12.00 น. 💡 พบกับหัวข้อที่น่าสนใจ 🔻 ความสำเร็จในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนในประเทศไทย 🔻 การกักเก็บคาร์บอน 🔻 ชุมชนกับการมีส่วนร่วม 🔻 ระบบนิเวศการวิจัยป่าชายเลน 🔻 การพัฒนาเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่สงวนมณฑลระนอง .......และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับวิทยากร 🔈 เสวนาออนไลน์ฟรี❗️ผ่านโปรแกรม Webex Event 📌 สนใจ.....สามารถเข้าร่วมได้ทาง 👉🏻 Meeting number : 2518 701 7699 Password : biodtalk06 https://meeting-nstda.webex.com/meeting-nstda/j.php?MTID=m1acb60db19c9e4daf9f450676f4a10fb
ปฏิทินกิจกรรม
 
ขอเชิญผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม”Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market”
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สวทช. โดย ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ขอเชิญผู้ประกอบการในกลุ่มผลิตภัณฑ์สารสกัดสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม"Seminar on Thai Herbal & Natural Products to Global Market" ภายใต้“โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการด้านสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อการขยายตลาดสู่สากล ประจำปีงบประมาณ 2565” ในวันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 เวลา09.00 – 12.00น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น3 อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค พบกับการบรรยายให้ความรู้ ในหัวข้อ ดังนี้ 1.Direction Trend of Thai Herbal & Natural Product in the Global Market 2.เทคโนโลยี update ในสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 3.รับฟังเสวนาหัวข้อ โอกาสและความท้าทายการส่งออกสารสกัดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ   สนใจลงทะเบียนได้ฟรีที่ https://forms.gle/UaBxgZ2sNhKTL5YJ7 ผู้ลงทะเบียนจะได้รับรายละเอียดการเข้าร่วมกิจกรรมผ่านทางอีเมลภายในวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 สอบถามเพิ่มเติม โทร 02-5647000 ต่อ 71743, 71745, 71746 เเละ 81492 Email: herbalac@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมจากความร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด แห่งแรกในประเทศไทย
For English-version news, please visit : BIOTEC-NSTDA develops date palm micropropagation technology จ.สุพรรณบุรี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ร่วมกับ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด เปิดตัวห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัม จากความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานแห่งแรกในประเทศไทยลดการนำเข้าต้นอินทผลัมจาการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากต่างประเทศ ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกอินทผลัมลดต้นทุนการผลิต ตั้งเป้าผลิตต้นกล้าอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อประมาณ 5,000 - 10,000 ต้นต่อปี คาดว่าสามารถผลิตและจำหน่ายกล้าอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได้ภายในเดือน ตุลาคม 2565 ปัจจุบัน ธุรกิจการปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดในประเทศไทยมีการขยายตัวในวงกว้างมากขึ้นกว่าในอดีต เนื่องจากเป็นไม้ผลที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและมีมูลค่าสูงในตลาด แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของการคัดเลือกสายพันธุ์อินทผลัมเพื่อผลิตต้นพันธุ์ที่มีคุณภาพและเหมาะสมต่อการปลูกในประเทศไทย อินทผลัมเป็นพืชที่แยกเป็นต้นตัวเมียและต้นตัวผู้ คุณภาพของผลผลิตส่วนใหญ่จึงมาจากทางต้นแม่มากกว่าต้นพ่อ การพัฒนาต้นแม่พันธุ์ดีด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะการันตีถึงความสม่ำเสมอของคุณภาพและปริมาณของผลิตผลอินทผลัมที่จะออกสู่ตลาด ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา รักษาการรองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า การปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์นั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะปลูกด้วยต้นอินทผลัมจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยการนำเข้าจากต่างประเทศเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในราคาที่ห้องปฏิบัติการในต่างประเทศเป็นผู้กำหนดส่งผลให้เกษตรกรไทยบางส่วนยังจับต้องไม่ได้มากนัก จึงเป็นที่มาของการร่วมมือระหว่าง ไบโอเทค สวทช. และ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด ในการวิจัยและพัฒนาโครงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยทุกระดับสามารถใช้ประโยชน์ของนวัตกรรมด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดนี้ ในการช่วยลดต้นทุนการซื้อต้นแม่พันธุ์ดีจากต่างประเทศ และช่วยในการผลิตต้นกล้าอินทผลัมพันธุ์ดีจากการเพาะเมล็ดในประเทศ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG economy model) นอกจากนี้ยังเป็นการการันตีในคุณภาพของต้นแม่ที่มีความสม่ำเสมอทางพันธุกรรม อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดองค์ความรู้แนวทางการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขั้นสูงได้ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดให้แก่ ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัน เป็นก้าวแรกในการขยายผลความสำเร็จของโครงการฯ ซึ่งคุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ ประธานบริษัท พี โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า “ความสำเร็จของการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. นี้ จะสามารถใช้เป็นฐานการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมพันธุ์ดีในประเทศได้แทนการที่จะสั่งซื้อจากต่างประเทศ อีกทั้ง ผู้ประกอบการทุกภาคส่วน สวนเอกชน หากมีการพัฒนาต้นพันธุ์เพาะเมล็ดลักษณะดี ก็สามารถมาหารือในการลงทุนขยายต้นพันธุ์ของตนเองได้” ในการนี้เพื่อการส่งเสริมให้มีการปลูกอินทผลัมพันธุ์ทานสดมีการขยายตัวในวงกว้างขึ้นมากกว่าเดิม แม้ว่าทางโครงการจะเริ่มต้นจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์บาฮีซึ่งเป็นพันธุ์การค้ามาตรฐาน ราคาไม่สูงมากนั้น แต่นวัตกรรมนี้ยังสามารถต่อยอดเพื่อการผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมพันธุ์ดีอื่นๆ ที่มีมูลค่าทางการตลาด เช่น เบรม โคไนซี่ บาฮีแดง ฯลฯ ได้อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจการปลูกอินทผลัมเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยและสามารถส่งออกได้ในอนาคต นอกจากนั้น ความก้าวหน้าการพัฒนานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมนี้ ยังส่งผลกระทบต่อวงการการพัฒนาอินผลัมพันธุ์ทานสดในประเทศไทยอีกด้วย ด้าน ดร.ยี่โถ  ทัพภะทัต นักวิจัยไบโอเทค หัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมพันธุ์ทานสดในเชิงพาณิชย์ กล่าวเกี่ยวกับการพัฒนาพันธุ์อินทผลัมว่า “อินทผลัมเป็นพืชต่างประเทศ การปรับปรุงพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพในประเทศไทยมีความจำเป็น เนื่องจากอินทผลัมมีความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงทั้งในด้านระดับความหวาน ความหอม สีผล ความกรอบ อายุการเก็บเกี่ยว และความสดหลังเก็บเกี่ยว ฯลฯ หากมีการพัฒนาสายพันธุ์ที่ดีสำหรับประเทศไทยได้ ก็สามารถนำเอานวัตกรรมการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่พัฒนาขึ้นไปใช้ประโยชน์ในการขยายต้นพันธุ์เพื่อปลูกในเชิงพาณิชย์ได้ จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการอินทผลัมไทยได้อย่างยั่งยืน” จากเหตุดังกล่าว ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด จึงจัดการเฟ้นหาอินทผลัมพันธุ์เพาะเมล็ดที่กลายดีในประเทศไทย หรือที่เกิดจากการพัฒนาพันธุ์โดยฝีมือคนไทย ซึ่งลักษณะของอินทผลัมพันธุ์กลายดีนั้น ควรที่จะมีลักษณะที่ให้หน่อได้ คุณภาพของผลผลิตเป็นที่ต้องการและนิยมของตลาด ต้นแม่ให้ผลผลิต ที่สม่ำเสมอทั้งคุณภาพและปริมาณ มีความต้านทานต่อโรคและเจริญได้ดีในสภาพอากาศของไทย เพื่อนำเอาอินทผลัมเพาะเมล็ดพันธุ์ดีที่ได้รับเลือกมาขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อเป็นการรักษาลักษณะพันธุ์นั้นไว้ เพื่อสร้างผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมไทย นอกจากนี้ ไบโอเทค สวทช. มีแผนที่จะพัฒนาและผลักดันการใช้ระบบไบโอรีแอคเตอร์ในการผลิตต้นอ่อนอินทผลัมพันธุ์ดีในเชิงพานิชย์ เพื่อสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจการปลูกอินทผลัมในประเทศไทยอีกด้วย สำหรับการผลิตกล้าอินทผลัมพันธุ์บาฮีจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของทางห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถผลิตได้ 5,000 - 10,000 ต้นต่อปี ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณประพัฒน์ วนาพิทักษ์ บริษัท พี โซลูชั่น จำกัด เบอร์โทรศัพท์ 081-3751969 หรือ 081-8759340
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นาสท์ด้า โฮลดิ้ง สวทช. ผนึก บ.โมรีน่า รุกตลาดวิจัย ‘ไบโอเบส’ เสริมแกร่งอุตสาหกรรมการเกษตร
For English-version news, please visit : NASTDA Holding invests in biotech firm Morena Solutions 13 กรกฎาคม 2565 ที่นิคมอุตสาหกรรมจรัสเกียรติ ต.บางตะไนย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี: ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นายเฉลิมพล ตู้จินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด (NASTDA Holding Co., Ltd.) ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ดร.นตพร จันทร์วราสุทธิ์ รองผู้อำนวยการ ไบโอเทค นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (Thailand Science Park) ผู้บริหารนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ สวทช. ร่วมแสดงความยินดีกับ นสพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ ในงานเปิดตัวบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทด้านการผลิตและการคงประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ราเพื่อใช้เป็นชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชและโรคพืช ซึ่งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ช่วยนำส่งสารสำคัญไปยังเป้าหมายได้ตรงจุดโดยไม่สูญเสียสารสำคัญก่อนการนำส่ง จาก ไบโอเทค สวทช. ร่วมลงทุนโดยบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า กลไกการร่วมลงทุนก็เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย โดยบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่คณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด ตามนโยบายการสร้างกลไกสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาผู้ประกอบการและการเข้าถึงแหล่งเงิน ตลอดจนการพัฒนาระบบและกลไกภาครัฐและสภาพแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยการจัดทำแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นในการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้นวัตกรรม โดยกิจการเป้าหมาย (Targeted Company) ของบริษัทฯ จะเน้นการลงทุนในกิจการ Deep Tech ที่รับถ่ายทอดองค์ความรู้จากงานวิจัยและพัฒนาจาก สวทช. และหน่วยงานภายนอกทั้งในและต่างประเทศ ที่สำคัญต้องเป็นกิจการที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อย่างไรก็ดีการร่วมทุนของ นาสท์ด้า โฮลดิ้ง และ บริษัท โมรีน่าฯ ถือว่าตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมายด้านการเกษตร ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชาชนคนไทย ที่ต้องได้รับการดูแลตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาล ด้วยการนำเอาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปต่อยอดยกระดับทำให้ภาคเกษตร ผลิตสินค้ามูลค่าสูงและสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรไทย นายเฉลิมพล ตู้จินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า นาสท์ด้า โฮลดิ้ง มีนโยบายการร่วมลงทุนในกิจการเทคโนโลยีที่อยู่ในระยะเริ่มต้นธุรกิจ (Early stage) และมีเป้าหมายร่วมทุนในสาขาเป้าหมาย เกษตรและอาหาร สุขภาพและการแพทย์ พลังงานและวัสดุก้าวหน้า โดยมีบทบาทในการผลักดันให้มุ่งเน้นการนำผลงานวิจัยออกสู่ตลาด ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างธุรกิจที่จะเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสมัยใหม่ ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงมากกว่าการมุ่งสร้างผลตอบแทนจากราคาขายหุ้นของการลงทุน โดยมั่นใจว่าการผลักดันผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปสู่การใช้ประโยชน์ในครั้งนี้จะสร้างรายได้ใหม่จากอุตสาหกรรมการเกษตรให้แก่ประเทศ สร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองและส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการด้านการเกษตรในภูมิภาคเอเชียและมุ่งหวังว่าบริษัท โมริน่าฯ จะประสบความสำเร็จในธุรกิจสามารถเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีด้านการเกษตรและเติบโตอย่างยั่งยืน “เราร่วมลงทุนในบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด ด้วยเห็นถึงศักยภาพด้าน Biobased และ เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยนำผลงานวิจัยด้านปัจจัยการผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาด ซึ่งการลงทุนในแพลตฟอร์มนี้จะช่วยปิดช่องว่างของการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ ดังนั้นการตัดสินใจในการร่วมลงทุนจะเน้นการตัดสินใจในศักยภาพและความสามารถที่ สวทช. จะมีส่วนร่วมในการผลักดันการเติบโตของบริษัทเป็นหลัก มากกว่าเน้นผลตอบแทนในระยะสั้น ในขณะเดียวกันบริษัทนาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด ถือว่าเป็น VC ภาครัฐที่จะช่วยแบ่งเบาความเสี่ยงของภาคเอกชนผู้ร่วมลงทุนและถือหุ้นระยะยาวได้” ด้าน นสพ.ดร.กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ด้วยยอดขายกว่า 500 ล้านบาท ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ทั้งนี้ด้วยบริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ จำกัด เป็นบริษัทที่ได้รับการร่วมลงทุนจากภาครัฐคือ บริษัท นาสท์ด้า โฮลดิ้ง จำกัด จาก สวทช. และภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทยิบอินซอยและแย๊คส์ จำกัด และบริษัทจันวาณิชย์ จำกัด และการที่บริษัท โมรีน่าฯ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตและการคงประสิทธิภาพของชีวภัณฑ์ราเพื่อใช้เป็นชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืชและโรคพืช จาก ไบโอเทค สวทช. แล้วนั้น บริษัทโมรีน่าฯ ยังได้ผสมผสานในด้านไบโอเทคโนโลยีเข้าไปในกระบวนการผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมหลักที่ชื่อว่า NZT (Nano Zero waste Transportor) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยนำส่งสารสำคัญไปยังเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและไม่สูญเสียสารสำคัญไปก่อนการนำส่งสารสำคัญ “เทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้ บริษัท โมรีน่า โซลูชั่นส์ เป็นผู้นำส่งสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ในการออกผลิตภัณฑ์นั้น บริษัทฯ จะใช้ NZT ในการนำส่งสารอาหารให้กับพืชในกลุ่มกัญชง กัญชา เพื่อทำให้พืชดังกล่าวได้ผลผลิตสูงสุด และบริษัทฯ จะทำงานวิจัยครบวงจรที่เกี่ยวกับกัญชง กัญชา เพื่อนำประโยชน์จากทุกส่วนของพืชดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด รวมถึงงานวิจัยเกี่ยวกับการเพิ่มสารสำคัญ CBD, THC ที่มีในพืชทั้งสองชนิดว่าสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง เพื่อที่จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ NZT นำส่งสารดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท โมรีน่า กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
Facebook Live!!! กลับมาอีกครั้งกับ “R&D Sharing 2022: ถอดรหัสงานวิจัย ไขกุญแจสู่ BCG” ตอน “การอนุรักษ์พันธุ์ไม้ไทย ด้วยเทคโนโลยีจีโนม”
Facebook Live!!! กลับมาอีกครั้งกับ “R&D Sharing 2022: ถอดรหัสงานวิจัย ไขกุญแจสู่ BCG” เวทีแห่งการพบปะพูดคุยกับเหล่านักวิจัย สวทช. เจาะเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานวิจัย และการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในแง่มุมต่างๆ ที่คุณไม่เคยรู้ . พบกับเรื่องราวของการอนุรักษ์พันธุ์ไม้ไทย ด้วยเทคโนโลยีจีโนม โดย ดร. วิรัลดา ภูตะคาม หัวหน้าทีมวิจัย ศูนย์โอมิกส์แห่งชาติ (NOC) สวทช. วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565 เวลา 10.00 น. - 10.40 น. ทาง Facebook "NSTDA - สวทช."
ปฏิทินกิจกรรม
 
เปิดตัวเยาวชนคนเก่ง! คว้าทุน JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4
สวทช. ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดงานแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน หรือโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 โดยมีเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับทุนรวมทั้งสิ้น 14 คน   ภายในงานครั้งนี้ยังมีกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนที่ได้รับทุน รวมทั้งได้พบปะกับรุ่นพี่ JSTP Brothers นอกจากนี้เยาวชนที่ได้รับทุนได้มาเล่าเปิดใจถึงความมุ่งมั่นในการเข้าร่วมโครงการ JSTP ในปีนี้ด้วย   สำหรับโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 มีเยาวชนผ่านการคัดเลือกจำนวน 9 คน จะได้รับทุนการศึกษาระยะยาว ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ได้เข้าร่วมโครงการ จนถึงปริญญาเอก รวมถึงมีโอกาสได้ฝึกวิจัยหลังปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
ยกระดับสตรีตฟูดไทย ด้วยนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก
For English-version news, please visit : Street food vendors in Chinatown get upgraded with new food mobiles   มนต์เสน่ห์ของรสชาติและความหลากหลายของอาหารไทย ผลักดันให้ “อาหารริมทาง” หรือ “สตรีตฟูด” มีชื่อเสียงไปทั่วโลก สำนักข่าว CNN เคยยกให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลกถึง 2 ปีซ้อน ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากเดินทางมาลิ้มลอง ยิ่งเฉพาะ “เยาวราช” แหล่งสตรีตฟูดอันเลื่องชื่อที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนไม่ขาดสาย ถนนสายมังกรที่ไม่เคยหลับใหล สร้างรายได้ให้แก่ประเทศจำนวนมาก เพื่อยกระดับ “สตรีตฟูดไทย” ให้ได้มาตรฐาน สร้างการเติบโตทางการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนานวัตกรรม “รถเข็นรักษ์โลก” นำเทคโนโลยีมาต่อยอดรถเข็นให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ทั้งในด้านความสะอาด ความปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด   [caption id="attachment_34345" align="aligncenter" width="700"] นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช.[/caption]   นายอัมพร โพธิ์ใย ผู้อำนวยการศูนย์ DECC สวทช. กล่าวว่า เรานำความรู้ทางด้านวิศวกรรมและการออกแบบเข้ามาช่วยพัฒนารถเข็นรักษ์โลก เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพ ความสะอาด และปลอดภัยของอาหารสตรีตฟูดเต็มรูปแบบ ปัจจุบันได้พัฒนารถเข็นออกมาแล้วถึง 3 รุ่น โดยรถเข็นรุ่นแรกเป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมันและซิงก์น้ำ รถเข็นรุ่นที่ 2 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ และเพิ่มเติมเรื่องระบบดูดควัน สำหรับรถเข็นรุ่นที่ 3 เป็นรถเข็นน้ำหนักเบาพร้อมระบบน้ำดี มีถังดักไขมัน ซิงก์น้ำ ระบบดูดควันและบำบัดควัน รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมหัวเตาแก๊ส 2 หัวด้วย ปัจจุบัน สวทช. ธนาคารออมสิน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด ร่วมกับเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ส่งมอบรถเข็นรักษ์โลกให้แก่ผู้ค้าบริเวณถนนเยาวราช ถนนข้าวหลาม ถนนราชวงศ์ และบริเวณโดยรอบเขตสัมพันธวงศ์ จำนวน 106 คัน (ธนาคารออมสิน จำนวน 77 คัน และบริษัทไทยน้ำทิพย์ จำกัด จำนวน 29 คัน) เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจความสะอาด ได้มาตรฐาน และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ตอบโจทย์สถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 เพื่อให้เยาวราชยังคงเป็นสวรรค์ของนักชิมที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก นายอัมพร กล่าวว่า รถเข็นรักษ์โลกที่ส่งมอบให้แก่ผู้ค้าเยาวราช เราได้พัฒนาตกแต่งเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีการตกแต่งลวดลายป้ายร้านค้าแบบจีน เพื่อให้ยังคงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่เยาวราช รวมทั้งยังมีป้ายไฟในตำแหน่งของชื่อร้าน สำหรับสร้างสีสันความโดดเด่นยามค่ำคืน ซึ่งการที่ผู้ค้าย่านเยาวราชได้นำร่องหันมาใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก นับเป็นการปฏิวัติสตรีตฟูดไทยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และยังตอบโจทย์ยุค New Normal ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยด้วย     “วัสดุของรถเข็นรักษ์โลกทำจากสเตนเลส 304 เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมแบคทีเรียและไวรัส ตัวรถออกแบบเป็นสัดส่วนมีระยะห่างระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีการออกแบบการใช้เท้าเหยียบเพื่อเปิดก็อกน้ำลดการสัมผัส ที่สำคัญยังมีเคาน์เตอร์บาร์ด้านหน้ารถเป็นจุดสั่งและรับอาหาร ทุกฟังก์ชันคำนึงถึงหลัก Social distancing เสริมสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความสะอาดและปลอดภัย ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาหารในช่วงวิกฤติโควิด-19 อย่างมาก อย่างไรก็ดีรถเข็นรักษ์โลกไม่เพียงช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อลูกค้าและการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานอย่างเหมาะสมยังเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้ประกอบการด้วย     น.ส.พรรณภัทร พิมพ์การ เจ้าของร้านเพ้งโภชนา ณ บริเวณตรอกโรงหมู ถนนข้าวหลาม ย่านเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ผู้ใช้นวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก กล่าวว่า เดิมขายของบนรถเข็นแบบเดิมๆ มานาน และเมื่อเห็นว่ามีโครงการรถเข็นรักษ์โลก ก็สนใจซื้อโดยใช้เป็นร้านขายมาได้แล้ว 2 ปี ข้อดีกับเราซึ่งทำอาหารอยู่หน้าเตาตลอดคือ ช่วยดูดความร้อน ดูดควัน ดูดกลิ่นได้ดี ซึ่งดีกว่าระบบดูดกลิ่นแบบเดิมของเราที่ดูดแยกข้างนอก ข้อดีกับลูกค้า คือ เขาชมว่ารถสะอาดเรียบร้อยสะอาดกว่ารถคันเก่าเยอะเลย เมื่อเราทำป้ายใหม่ทำรถใหม่ก็ทำให้ลูกค้าเยอะขึ้นด้วยถือว่าดีกับอาชีพเราและผู้บริโภค     ในแต่ละปีสตรีตฟูดสร้างมูลค่าการตลาดสูงกว่า 200,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับอาหารริมทางให้ถูกสุขอนามัย ได้มาตรฐาน ไม่เพียงตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุค New Normal แต่ยังเพิ่มโอกาสด้านการตลาด เพิ่มเสน่ห์อาหารริมทางของไทยให้ยังคงสร้างรายได้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่สนใจนวัตกรรมรถเข็นรักษ์โลก สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการปรึกษาการออกแบบและวิศวกรรม (DECC) สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 8000  
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. – ธ.ไทยพาณิชย์ จัดพิธีมอบทุนโครงการ JSTP ระยะยาว รุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 เดินหน้าหนุนเยาวชนพัฒนาอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(11 กรกฏาคม 2565) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่มีศักยภาพสูง ร่วมกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดพิธีแสดงความยินดีและปฐมนิเทศนักเรียนทุนโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project : JSTP) ระยะยาวรุ่นที่ 24 และ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 โดยมี ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. และ คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนหน่วยงานกล่าวแสดงความยินดีและมอบทุนให้แก่นักเรียนและนักศึกษาที่ได้รับคัดเลือก โดยในปีนี้มีผู้มีคุณสมบัติผ่านและได้รับทุนจำนวน 14 คน ประกอบด้วย ทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 9 คน และ JSTP-SCB จำนวน 5 คน ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า JSTP เป็นหนึ่งในโครงการด้านการพัฒนากำลังคนของ สวทช. มีเป้าหมายในการเฟ้นหาและคัดเลือกเด็กและเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรี เข้ามารับการส่งเสริมและพัฒนาในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะสมกับความถนัดของแต่ละคน โดยจัดหานักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำ เพื่อให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้แสดงศักยภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อพัฒนาเป็นนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจัยที่มีคุณภาพและมีจริยธรรม โดยโครงการ JSTP ระยะยาวรุ่นที่ 24 เยาวชนได้มุ่งมั่นดำเนินโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลของนักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายต่างๆของโครงการฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผู้มีแววอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเข้ารับการส่งเสริมในระยะยาว จำนวน 9 คน เป็นเยาวชนที่มาจากกลุ่มมัธยมศึกษาตอนต้น 3 คน คัดเลือกโดยมหาวิทยาลัยเครือข่าย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ส่วนกลุ่มมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกโดย สวทช. โดยความร่วมมือจากกรรมการสาขาต่างๆ คัดเลือกเยาวชนจำนวน 6 คน ซึ่งเยาวชนทั้ง 9 คนจะได้รับทุนสนับสนุนการศึกษาและการทำวิจัย รวมทั้งการส่งเสริมด้วยกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ จนถึงระดับปริญญาเอก เพื่อก้าวสู่อาชีพนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังมีเยาวชนในโครงการการสนับสนุนนักเรียนที่มีศักยภาพสูงเพื่อรับการบ่มเพาะผ่านกิจกรรมของโครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่อาชีพวิจัย ภายใต้การสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ โครงการ JSTP-SCB รุ่นที่ 4 จำนวน 5 คน ซึ่งคัดเลือกจากเยาวชนในโครงการ JSTP-SCB ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเข้าสู่การรับทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนการวิจัยในระดับปริญญาตรี รวมทั้งเชื่อมโยงและส่งต่อการรับทุนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ด้าน คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาเยาวชนและส่งเสริมการศึกษาเป็นหนึ่งในนโยบายทางด้านกิจกรรมเพื่อสังคมที่สำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ ด้วยตระหนักว่าเยาวชนคือรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต ซี่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้แก่เยาวชนในทุกระดับการศึกษา ให้มีความพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล มีความรู้ ควบคู่การมีคุณธรรม ซึ่ง JSTP-SCB เป็นหนึ่งในโครงการที่ธนาคารฯ ให้ความสำคัญ จึงได้ให้การสนับสนุน สวทช. ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรและมีเจตนารมณ์ร่วมกันดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เยาวชนที่มีศักยภาพสูงได้รับการบ่มเพาะความรู้ ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะเยาวชนในศตวรรษที่ 21 รวมถึงเสริมสร้างคุณลักษณะที่ดีของเยาวชน ให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ และนำความรู้มาสร้างสรรค์ผลงาน นวัตกรรม ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยแบ่งการสนับสนุนเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1.การจัดกระบวนการบ่มเพาะศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา (Enrichment Program) แบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 25 คนต่อปี และระดับมัธยมศึกษาปลาย จำนวน 25 คนต่อปี และ 2. การให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี สำหรับเยาวชนที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Scholarship Program) จำนวน 5 ทุนต่อปี โดยรายชื่อผู้ที่ได้รับทุน JSTP ระยะยาว จำนวน 9 คนได้แก่ นายวีรวิชญ์ โฮริโนอุชิ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางสาวปิยธิดา รักษามั่น ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นางสาวกชพร จุลศักดิ์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นางสาวนภัสสร หลิดชิววงศ์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย นายฐิติพงศ์ หลานเดช ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี นายสรวิช เตือนตรานนท์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเซนต์คาเบรียล นายเนติธร ขาวมะลิ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช นายปัณณวิชญ์ ตัณฑวิเชียร ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกำเนิดวิทย์ และนายธนกร สาคุณ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ในส่วนของโครงการ JSTP-SCB จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกันตพงศ์ วงศ์พานิชย์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นายโชติอนันต์ทรัพย์ โสภาเคน ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี นายวุฒิภัทร อินทร์ทองคำ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยมหิดล นายธนวัต ปาลกะวงศ์ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนางสาวณภัค สุทธะพินทุ ระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทั้งนี้ โครงการ JSTP นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่มอบโอกาสทางด้านการศึกษา รวมถึงโอกาสในการเข้าถึง เรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพความเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยให้กับเยาวชนที่มีความสนใจจะประกอบอาชีพสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเยาวชนเหล่านี้ จะเป็นกำลังสำคัญที่จะสร้างชื่อเสียง พร้อมทั้งพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน /////////////////////////////////////
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. – กฟผ. เปิดแล็บขยายการทดสอบ EV Charger กำลังสูง รองรับยานยนต์ไฟฟ้า
สวทช. จับมือ กฟผ. ร่วมกันผลักดัน EV Ecosystem แบบครบวงจรในประเทศไทย เปิดแล็บขยายการทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) กำลังสูง 150 กิโลวัตต์ ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รองรับผู้ประกอบการหัวชาร์จไฟฟ้าในไทย   ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ pr_egat@egat.co.th และ sales@ptec.or.th
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
15 ก.ค. นี้ พบกับ แล็บทดสอบ EV Charger กำลังสูง 150 kW โดย กฟผ.-สวทช. รองรับธุรกิจหัวชาร์จไฟฟ้า หนุน EV Ecosystem แบบครบวงจรในไทย
For English-version news, please visit : EV Charger Testing Lab to open for business กฟผ. ร่วมมือ สวทช. ผลักดัน EV Ecosystem แบบครบวงจรในประเทศไทย  อัพเกรดแล็บทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) กำลังสูง 150 kW ของศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับผู้ประกอบการหัวชาร์จไฟฟ้าในไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในระบบขนส่งสาธารณะ สู้ราคาน้ำมัน พร้อมเปิดให้บริการทดสอบ 15 กรกฎาคม นี้ วันนี้ (7 กรกฎาคม 2565)  นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ Project Management Office การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นายสาธิต ครองสัตย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ กฟผ. นางเกศวรงค์ หงส์ลดารมภ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านกิจการพิเศษ และ ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวศูนย์ทดสอบอุปกรณ์อัดประจุรถยนต์ไฟฟ้ากำลังสูงตามมาตรฐาน IEC 61851 ณ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี นายวฤต รัตนชื่น เปิดเผยว่า การร่วมมือครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการผลักดัน EV Ecosystem ในประเทศไทย โดยทั้งสองหน่วยงานภาครัฐที่มีเป้าหมายเดียวกันได้ร่วมมือขับเคลื่อนอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทย ในการสร้างบรรทัดฐานด้านความปลอดภัยของระบบชาร์จสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าโดยสารสาธารณะ ทั้งบนถนนและแม่น้ำให้ได้ระดับมาตรฐานสากล  สถานีชาร์จจัดเป็นองค์ประกอบหลักของ EV Ecosystem นอกจากต้องมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม ปลอดภัย ครอบคลุมพื้นที่การเดินทางแล้ว สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ “มาตรฐาน” ของสถานีชาร์จที่ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ  ทั้งยานยนต์ไฟฟ้าทั่วไป และยานยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง “กฟผ. จึงได้ร่วมมือกับ สวทช. สร้างความมั่นใจ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการผลิตหัวชาร์จไฟฟ้าในประเทศ โดยการพัฒนาแล็บทดสอบหัวชาร์จไฟฟ้า ที่มีมาตรฐานสากลรองรับ ณ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จากเดิมที่สามารถทดสอบได้เพียง 60 กิโลวัตต์ ขยายการทดสอบเพิ่มเป็น 150 กิโลวัตต์ เพื่อให้ผู้สนใจผลิตหัวชาร์จไฟฟ้าสามารถนำมาทดสอบเพื่อให้ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาองค์ความรู้การทดสอบเครื่องอัดประจุไฟฟ้าในประเทศไทยด้วย โดยจะเปิดให้บริการทดสอบ 15 กรกฎาคม 2565 นี้ ศูนย์ทดสอบแห่งนี้จะมีประโยชน์ในวงกว้างต่อประเทศชาติ และเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเครื่องอัดประจุไฟฟ้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป” นายวฤต ย้ำในตอนท้าย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ กล่าวเสริมว่า จากนโยบายภาครัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานในการผลิตยานยนต์แบบเดิมและยานยนต์ไฟฟ้าของโลกนั้น  หลายหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลัง ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งการผลิตแบตเตอรี่ การประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และการนำยานยนต์ไฟฟ้าไปใช้ขนส่งในระบบสาธารณะ  PTEC เห็นถึงวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ กฟผ. ในการสร้างระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem)  จึงได้ร่วมมือกันพัฒนาแล็บทดสอบดังกล่าวขึ้น โดยเน้นไปที่การทดสอบหัวชาร์จไฟฟ้าแบบกระแสตรงขนาดใหญ่ 150 กิโลวัตต์ สำหรับการใช้งานของรถโดยสารสาธารณะไฟฟ้า หัวรถลากไฟฟ้า และเรือเฟอร์รี มุ่งหวังลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการในการส่งหัวชาร์จไปรับรองมาตรฐานที่ต่างประเทศ ลดต้นทุนในการผลิต ลดระยะเวลาในการพัฒนา ส่งผลให้ราคาของหัวชาร์จไฟฟ้าไม่สูงมาก สามารถแข่งขันในตลาดได้ นอกจากนี้ สวทช. โดย PTEC ยังให้บริการทดสอบชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานสากลอีกหลายชนิด ทั้งเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียม โมดูลแบตเตอรี่ของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แบตเตอรี่แพ็กของยานยนต์ไฟฟ้า การทดสอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเบอร์ 5  การทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงการทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EV) สำหรับยานยนต์ทั้งคัน PTEC และ กฟผ. พร้อมสนับสนุน EV Ecosystem ของประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนต่อไป โดยสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมทางเมลที่ pr_egat@egat.co.th และ sales@ptec.or.th -------------------------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
นักเรียนพิการโชว์ผลงานโค้ดดิ้ง! สร้างสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวจากบอร์ด KidBright
สวทช. ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และ สพฐ. จัดกิจกรรม KidBright for All : โครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright ของนักเรียนพิการ มีครูและนักเรียนพิการจาก 26 โรงเรียนทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรมการประกวดโครงงานสิ่งประดิษฐ์จากการนำบอร์ด KidBright ของเนคเทค สวทช. ไปต่อยอดการเรียนรู้เรื่องการโค้ดดิ้งเพื่อประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ตามความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เกิดเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์หลายโครงงาน.
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 8 ฉบับที่ 3 ประจำเดือนมิถุนายน 2565
ข่าว สวรส. ร่วมกับ เอ็มเทค สวทช. ส่งมอบนวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่ ไบโอเทค สวทช. แถลงความสำเร็จการขยายผลการผลิตต้นกล้าอินทผลัมในเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อสู่เกษตรกรไทย เอ็นเทค สวทช. กฟผ. เอกชนไทย-จีน ผนึกกำลังเดินหน้าโครงการนำร่องวิน มอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า 50 คัน ภายใต้บันทึกข้อตกลงการส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ และการเริ่มโครงการความร่วมมือด้านงานวิจัย เยาวชนไทยจากโครงการ YSC สุดปัง! กวาด 7 รางวัลโครงงานวิทย์ฯ บนเวทีโลก 5 รางวัล Grand Awards และ 2 รางวัลพิเศษ ‘ISEF2022’ สหรัฐอเมริกา กระทรวง อว. ปลื้ม นักวิทย์ฯ-ทีมเยาวชนไทย กวาด 10 รางวัลเวทีโลก โครงงานวิทย์ฯ ‘ISEF2022’ จากสหรัฐอเมริกา “กร ทัพพะรังสี” เยี่ยมชมแล็บ NCTC สวทช. ถกแผนผลักดัน 57 วิสาหกิจชุมชนปลูกพืช “กระท่อม” ให้ได้คุณภาพ เพิ่มรายได้เกษตรกร สวทช.-อุบลไบโอเอทานอล เดินหน้า “อุบลโมเดลพลัสนวัตกรรม” ยกระดับมันสำปะหลังอินทรีย์ สวทช. ร่วมกับ อพวช. สรุปผลการสำรวจของ “กิจกรรมปฏิบัติการสำรวจธรรมชาติในเมือง (City Nature Challenge 2022)” สวทช. เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ชุดความรู้เพื่ออาชีพแห่งอนาคต’ ครบ จบ คุ้ม ราคาเดียว ครั้งแรกในไทย! สวทช. - เครือข่ายรถโดยสารไฟฟ้าไทย เปิดตัวและส่งมอบ ‘4ต้นแบบ EV BUS’ เตรียมต่อยอดสู่ระดับอุตสาหกรรมการผลิตและออกแบบการบริการในอนาคต บทความ “9 ดีปเทคสตาร์ทอัป” ก้าวใหม่ สวทช. ดันวิจัยจากแล็บสู่ธุรกิจ  Download เอกสารฉบับเต็ม (13.7MB)
จดหมายข่าว สวทช.