ผลการค้นหา :

A-MED Home ward ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน นำร่องใช้ จ.ปราจีนบุรี
นักวิจัยศูนย์ A-MED สวทช. พัฒนาแพลตฟอร์มบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน A-MED Home ward เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทางการแพทย์ทางไกล สำหรับดูแลรักษาผู้ป่วยที่บ้านในรูปแบบของผู้ป่วยใน
โดยเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2566 สวทช. ร่วมกับ อบจ. ปราจีนบุรี และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานระบบบริการสุขภาพทางไกล” นำร่องในการนำแพลตฟอร์ม A-MED Home ward ไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนใน จ.ปราจีนบุรี
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สำรวจ “นก” ใน “พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล” พัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้-แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็น "วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก" (World Wetlands Day) เพื่อตระหนักถึงคุณค่าและร่วมกันอนุรักษ์ระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายของทรัพยากรมากที่สุด โดยพื้นที่ชุ่มน้ำมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร มีทรัพยากรมากมายให้มนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ ทั้งยังเป็นปราการสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำเข้าสู่แผ่นดินและช่วยบรรเทาภัยธรรมชาติต่าง ๆ ทว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งทั่วโลกถูกคุกคาม การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำจะช่วยให้เรามีองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้วางแผนบริหารจัดการและอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่น “พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล” จังหวัดสุราษฎร์ธานี
[caption id="attachment_40050" align="aligncenter" width="527"] อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี[/caption]
อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ สาขาวิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า บึงขุนทะเลเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่อยู่ใกล้ชิดชุมชนเมือง ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 1,000 ไร่ มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีทรัพยากรสัตว์ป่าเด่น เช่น นกน้ำ นกสวน โดยพื้นที่นี้พบเป็นทั้งแหล่งอาศัยของนกประจำถิ่นหลากชนิด และเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราวของนกอพยพในช่วงฤดูอพยพ
ต่อมาบริเวณรอบบึงพัฒนาเป็นสวนสาธารณะและพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย ทำให้พื้นที่บึงขุนทะเลบางส่วนถูกปรับเปลี่ยนและมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลต่อระบบนิเวศและแหล่งที่อยู่อาศัยของประชากรนก ทีมวิจัยจึงได้ริเริ่มจัดทำโครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้นิเวศวิทยาของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล เพื่อสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล และผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยทีมวิจัยทำงานร่วมกับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี กลุ่มประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลุ่มรักษ์บึงขุนทะเล มูลนิธินิเวศวิถี และศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาท่าเพชร สุราษฎร์ธานี
“จากการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล พบว่ามีชนิดพันธุ์นกทั้งหมด 142 ชนิด ทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ เป็นนกที่อยู่ในบัญชีแดงของ IUCN 3 ชนิด หนึ่งในนั้นอยู่ในสถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) คือ นกเงือกกรามช้างปากเรียบ (Rhyticeros subruficollis) ส่วนอีก 2 ชนิดมีสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) ได้แก่ นกกาบบัว (Mycteria leucocephala) และนกอ้ายงั่ว (Anhinga melanogaster) นอกจากนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลยังมีชนิดนกน้ำเด่น เช่น นกอีโก้ง นกอีแจว นกพริก นกอีล้ำ นกอัญชันคิ้วขาว นกกาน้ำเล็ก เป็ดแดง เป็ดคับแค นกเป็ดผีเล็ก นกกระสาแดง ฯลฯ ในการสำรวจพบนกอีโก้ง นกพริก และเป็ดแดง ในวัยอ่อน บ่งชี้ได้ว่าพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลมีความสำคัญในด้านการใช้เป็นแหล่งผสมพันธุ์ ทำรัง วางไข่ และเลี้ยงดูลูกอ่อน โดยองค์ความรู้ที่ได้นี้จะนำไปจัดทำหนังสือนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล และป้ายสื่อความหมายในแนวเส้นทางจักรยานของบึงขุนทะเลส่งมอบให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานีและเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่สำหรับเป็นท่องเที่ยวเชิงนิเวศของจังหวัด”
[caption id="attachment_40058" align="aligncenter" width="600"] นกเงือกกรามช้างปากเรียบ สถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ (VU) - ภาพโดย อภิชาติ มากมูล[/caption]
[caption id="attachment_40057" align="aligncenter" width="611"] นกกาบบัว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) - ภาพโดย อัศวิน โนนเมืองนอก[/caption]
[caption id="attachment_40063" align="aligncenter" width="463"] นกอ้ายงั่ว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) – ภาพโดย ปรีดามน คำวชิรพิทักษ์[/caption]
[caption id="attachment_40062" align="aligncenter" width="600"] นกอ้ายงั่ว สถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (NT) – ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้สำรวจเพื่อจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวชมนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล 3 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางหาดเลนบริเวณรอบเกาะกลางบึง (ตรงข้ามศาลพ่อตาขุนทะเล), เส้นทางสวนสาธารณะ และเส้นทางบริเวณแนวต้นไทร โดยร่วมกับผู้นำชุมชนกลุ่มประมงพื้นบ้านและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่จะจัดทำโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรูปแบบวันเดย์ทริป (one day trip) สำหรับผู้ที่สนใจ เพื่อส่งเสริมให้พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและระบบนิเวศที่สำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ ลดการบุกรุกทำลายหรือการทำกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่ดังกล่าว
[caption id="attachment_40068" align="aligncenter" width="600"] พื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกนานาพันธุ์ ในภาพประกอบด้วย นกยางเปีย นกตีนเทียน นกอีโก้ง นกเอี้ยงหงอน และนกกระแตแต้แว้ด และพบนกอีโก้งฟอร์มสีขาวในพื้นที่ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
“เมื่อเรามีองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ นิเวศวิทยา และชีววิทยาของนกในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล ทำให้เราสามารถวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เพื่อสงวนรักษาพื้นที่ผสมพันธุ์ ทำรัง วางไข่ตามธรรมชาติของนก หรือใช้เป็นแผนแม่บทหรือข้อบัญญัติของท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่า อนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำให้เป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และเกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน”
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก แหล่งเรียนรู้นิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล
[caption id="attachment_40066" align="aligncenter" width="600"] นกอีแจว ราชินีนกน้ำเมืองไทย พบได้ที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40054" align="aligncenter" width="600"] นกแซงแซวหางปลา พบได้ตลอดทั้งปีที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40073" align="aligncenter" width="600"] นกอัญชันคิ้วขาว นกประจำถิ่นในบึงขุนทะเล แต่พบได้ไม่บ่อยนัก - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40074" align="aligncenter" width="600"] นกกระแตหัวเทา นกอพยพที่พบได้ทุกปีช่วงฤดูอพยพในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40055" align="aligncenter" width="600"] นกกระจิบคอดำ ตัวเล็ก นิสัยปราดเปรียว พบได้บ่อยในบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40051" align="aligncenter" width="600"] กาฝากท้องสีส้ม นกน้อยในบึงขุนทะเล พบได้บ่อยในพื้นที่สวนผลไม้ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40065" align="aligncenter" width="600"] นกอีโก้ง ฉายาอัญมณีแห่งขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40061" align="aligncenter" width="600"] นกนางแอ่นแปซิฟิก - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40075" align="aligncenter" width="600"] นกคัคคูสีทองแดง นกประจำถิ่นและนกหายากในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40060" align="aligncenter" width="600"] นกตีนเทียน พบได้บ่อยในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเลช่วงฤดูอพยพ - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40064" align="aligncenter" width="600"] นกอินทรีทะเลท้องขาว นกนักล่าในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40069" align="aligncenter" width="600"] เหยี่ยวขาว นกนักล่าในพื้นที่บึงขุนทะเล - ภาพโดย รพีพัฒน์ อรรคพันธ์[/caption]
[caption id="attachment_40076" align="aligncenter" width="600"] เป็ดแดง นกน้ำอีกชนิดหนึ่งที่เป็นดาวเด่นแห่งพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพโดย กนกอร ทองใหญ่[/caption]
[caption id="attachment_40059" align="aligncenter" width="600"] นกเด้าดิน หนึ่งในนกอพยพที่มาอาศัยบึงขุนทะเลเป็นแหล่งพักพิงในช่วงฤดูอพยพของทุกปี - ภาพโดย ปรีดามน คำวชิรพิทักษ์[/caption]
[caption id="attachment_40052" align="aligncenter" width="600"] เยาวชนร่วมกิจกรรมสำรวจธรรมชาติ ณ แหล่งเรียนรู้นิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล - ภาพจากเฟซบุ๊ก สาขาวิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี[/caption]
[caption id="attachment_40067" align="aligncenter" width="1366"] บัญชีรายการชนิดพันธุ์นกที่พบได้บ่อย ในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงขุนทะเล จัดทำโดย อาจารย์กนกอร ทองใหญ่ และทีมวิจัย[/caption]
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

10 นักวิทยาศาสตร์ไทยรุ่นเยาว์ร่วมงานประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก (GYSS) 2023
เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางฤทัย จงสฤษดิ์ กรรมการและเลขานุการโครงการการคัดเลือกผู้แทนเข้าร่วมประชุม GYSS2023 ได้นำคณะนักวิทยาศาสตร์ไทยทั้ง 10 คนเข้าพบท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐสิงคโปร์ (นายชุตินทร คงศักดิ์) พร้อมด้วย ม.ล. ปิยวรรณ คงศักดิ์ ภริยา ในวันที่ 16 มกราคม 2566 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ และเข้าร่วมกิจกรรมงานประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก 2023 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบสิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์
นางฤทัย เปิดเผยว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชประสงค์ให้นักวิทยาศาสตร์ของไทยได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก หรือ Global Young Scientists Summit: GYSS ที่ประเทศสิงคโปร์จัดขึ้นทุกปี เพื่อเรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ และจากเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันจากทั่วโลก เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในอนาคต ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อคัดเลือกนิสิต นักศึกษา และนักวิจัยหลังปริญญาเอก ที่สนใจเข้าร่วมการประชุม เพื่อกลั่นกรองผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในเบื้องต้น จากนั้นจะทรงพระราชวินิจฉัยคัดเลือกผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมงาน GYSS ในแต่ละปี โดยการประชุมในปีนี้ (GYSS2023) มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก 21 คน และนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์จำนวนกว่า 800 คน จาก 38 ประเทศเข้าร่วมกิจกรรม ในจำนวนนี้ เป็นผู้แทนจากประเทศไทย จำนวน 10 คน และนอกจากนี้ยังมีอีก 11 คน ที่ได้รับการตอบรับให้เข้าร่วมชมแบบออนไลน์
ทั้งนี้ ผู้แทนนักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานโอกาสและประสบการณ์ล้ำค่าจากการเข้าร่วมงาน ตัวแทนทั้ง 10 คนได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-20 มกราคม 2566
นายปรมตถ์ บุณยะเวศ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย “ด้วยผมเป็นนิสิตปริญญาตรีรู้สึกดีใจมาก ๆ เลยครับที่ได้รับโอกาสล้ำค่าเช่นนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้เจอกับนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบล และนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหลายท่าน การได้พบปะและพูดคุยโดยตรงกับพวกเขาถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้ยาก ผมยังได้ทำความรู้จักกับเพื่อนและรุ่นพี่นักวิทยาศาสตร์จากหลากหลายสาขาทั่วโลกซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเช่นกันที่ได้พูดคุยและทำความรู้จักกับชาวต่างชาติมากขนาดนี้เพราะผมไม่เคยไปศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศมาก่อน”
นางสาววรรณิดา แซ่ตั้ง จาก Wageningen University and Research กล่าวว่า “งานนี้มีการรวมตัวของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกถึง 21 ท่าน ทำให้เห็นถึงแนวทางในการทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์เชิงลึกจนได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่เป็นมีความสำคัญต่อโลก รวมไปถึงการเสวนาด้านวิทยาศาสตร์ผ่านมุมมองต่าง ๆ เช่น ธุรกิจจากงานวิจัย การสื่อสารวิทยาศาสตร์ และการเมือง นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสพูดคุยกับวิทยากรอย่างเป็นกันเองในกิจกรรมแบ่งกลุ่มย่อย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานสายวิทยาศาสตร์ของพวกเราได้เป็นอย่างดี”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/GYSSTH และรับชมวิดิโอเนื้อหาการประชุมทั้งหมดได้ที่ https://www.youtube.com/@nrfmediasg)
นับตั้งแต่เริ่มการประชุม GYSS ครั้งแรกในปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ส่งนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ไปเข้าร่วมงานรวมจำนวนทั้งสิ้น 85 คน ซึ่งคนเหล่านี้ ปัจจุบันทำงานในสายงานที่เกี่ยวกับการสอนและงานวิจัย ประมาณ 52 คน (61%) และกำลังศึกษาในระดับปริญญาโท/ปริญญาเอก ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ / วิศวกรรมศาสตร์ ประมาณ 33 คน (39%) จึงถือได้ว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทยที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ อบจ.- สสจ.ปราจีนบุรี เปิด AMED Homeward ระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน นำร่อง 7 กลุ่มโรคใช้จริงแห่งแรกใน รพ.สต. ปราจีนบุรี
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/a-med-home-ward-to-support-home-based-healthcare-in-prachinburi.html
(26 มกราคม 2566) ณ ห้องประชุมเอนกสัมพันธ์ โรงเรียนปราจิณราษฎรอำรุง จ.ปราจีนบุรี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้งานระบบบริการสุขภาพทางไกล” เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสุขภาพทางไกลในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี ในพื้นที่นำร่อง ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) พื้นที่ อ.บ้านสร้าง อ.ศรีมโหสถ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี โดยมี นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี นายยุทธชัย แสวงสุทธิ์ ผู้อำนวยการรพ.สต.ลาดตะเคียน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.ปราจีนบุรี และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เข้าร่วมพิธี
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีสุขภาพทางไกล เพื่อประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการเดินทางมายังสถานบริการสุขภาพของผู้ป่วยแต่ยังคงดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้สามารถผลักดันเทคโนโลยีสุขภาพทางไกล ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณสุข และส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สวทช. พร้อมที่ให้การสนับสนุนบุคลากร และทรัพยากร เพื่อให้เกิดการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีสุขภาพทางไกลที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและการใช้งานอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยได้รับความไว้วางใจจากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมนี้ เข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการให้บริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พื้นที่ อ.บ้านสร้าง อ.ศรีมโหสถ อ.ศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัย ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน และพร้อมเป็นแบบอย่างของหน่วยงานภาครัฐที่เล็งเห็นความสำคัญทางด้านสุขภาพด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพทางไกลเข้ามาประยุกต์ใช้ประโยชน์
สำหรับระบบบริการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยในที่บ้าน (AMED Homeward) เป็นแพลตฟอร์มสำหรับให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน ที่ใช้บ้านเป็นหอผู้ป่วย โดยได้รับความร่วมมือจาก สำนักการแพทย์ดิจิทัลกรมการแพทย์ สำนักสนับสนุนระบบปฐมภูมิ (สสป.) และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อนำร่องการให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยในที่บ้าน ซึ่งออกแบบและพัฒนาต่อยอดจากต้นแบบงานวิจัย AMED Telehealth ของ สวทช. โดยเป็นการให้บริการแก่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเป็นการให้บริการแบบผู้ป่วยในที่ได้รับการวินิจฉัยโรคตามกลุ่มโรค หรือกลุ่มอาการ ตามข้อบ่งชี้แนวทางและมาตรฐานการดูแลผู้ป่วยในที่บ้านของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด ใน 7 กลุ่มโรคที่ไม่มีความซับซ้อน ได้แก่ 1.โรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 2.โรคความดันโลหิตสูง 3.โรคแผลกดทับและพื้นที่กดทับ 4.โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 5.โรคปอดอักเสบ 6 โรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ภายหลังได้รับการผ่าตัด และ 7.โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ สามารถวิดีโอแชทเพื่อติดตามอาการ ดูสถานะของผู้ป่วยทั้งหมด รวมถึงเภสัชกร และพยาบาล สามารถตรวจสอบและรับงานตามแพทย์สั่ง รวมถึงบันทึกหัตถการพร้อมแนบไฟล์ภาพผ่านหน้า Dashboard เพื่อลดข้อผิดพลาดในการทำงานร่วมกันระหว่างแพทย์และทีม อีกทั้งสามารถเบิกจ่ายกับ สปสช. ผ่านโปรแกรม e-Claim ซึ่งช่วยลดภาระงานให้เจ้าหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
นายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า บทบาทขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ในการส่งเสริมและยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนอย่างทั่วถึงนั้น ตามที่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรีได้รับการ ถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 94 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมาอยู่ภายใต้การ บริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี มีนโยบายในการ ส่งเสริมและยกระดับการให้บริการด้านสาธารณสุข ของสถานีอนามัย เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินีและโรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรีแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และเล็งเห็นความสำคัญในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม มาใช้ในการให้บริการประชาชน เพื่อเสริมศักยภาพให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ และร่วมมือกับภาคีเครือข่าย ทางด้านวิชาการเช่น สวทช. ในการใช้โปรแกรม A-MED ในการรักษา และติดตามดูแลผู้ป่วยแบบทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ ผู้ป่วยไม่ต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล และได้รับการดูแลต่อเนื่องจากเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารับการรักษาที่โรงพยาบาล ยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลได้ รวมถึง ได้รับความรวมมือจากโรงพยาบาลแม่ข่ายทั้ง 7 อำเภอที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี ยังได้จัดตั้งงบประมาณในการดำเนินการพัฒนาระบบการบันทึกข้อมูลสุขภาพ คือ ระบบ PCC ON CLOUD โดยร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ในการพัฒนาระบบให้กับ รพ.สต.ในเขตพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อให้บริการพี่น้องประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี ด้วยคุณภาพการบริการและมีมาตรฐาน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ยกระดับการบริการด้านสาธารณสุข เพื่อชาวปราจีนบุรี มีสุขภาพที่ดี
นายยุทธชัย แสวงสุทธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สต.ลาดตะเคียน รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการกองสาธารณสุข อบจ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ถ่ายโอนสถานีอนามัยและโรงพยาบาลส่วนตำบล หรือ รพ.สต. ให้เข้าอยู่ในการบริหารขององค์การบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรีได้รับการโอน รพ.สต.จำนวน 94 แห่ง หรือ รพ.สต. ทั้งหมดเข้าอยู่ในการบริหารของอบจ. ปราจีนบุรี จึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และเป็นก้าวสำคัญของการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ ทำให้หน่วยงานในท้องถิ่นสามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชนได้ตรงจุดและเป็นจุดร่วมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพประชาชน อบจ.จึงมีหน้าที่ในการบริหาร รพ.สต. ให้สามารถบริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงแสวงหาเครื่องมือและเทคโนโลยีที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และลดภาระงานให้เจ้าหน้าที่ รพ.สต. และด้วยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ทำให้รู้จักแพลตฟอร์มการให้บริการสุขภาพทางไกล หรือ AMED Telehealth ที่พัฒนาโดย สวทช.
ทั้งนี้หน่วยงานที่สนใจเกี่ยวกับระบบการให้บริการสุขภาพทางไกล สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทีมวิจัยนวัตกรรมและข้อมูลเพื่อสุขภาพ (HII) ศูนย์วิจัยเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (A-MED) สวทช. ได้ที่ e-mail: a-med-hii@nstda.or.th หรือ โทร.02 564 6900 ต่อ 2513
+++++++++++++++++++++
ข่าวประชาสัมพันธ์

“BCG-NAGA Belt Road” ชู “แหนแดง” ตัวช่วยลดต้นทุน – ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก – ยกระดับการผลิตข้าวเหนียวลุ่มน้ำโขง
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/bcg-naga-belt-road-project-promotes-the-use-of-azolla-in-glutinous-rice-cultivation.html
“ข้าวเหนียว” ถือเป็นสินทรัพย์ทางชีวภาพของและทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวกลับมีรายได้ต่ำ เนื่องจากการสูญเสียผลผลิตจากเหตุปัจจัยหลายด้านและความไม่แน่นอนของตลาด การส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวให้ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมอย่างเช่นการใช้ “แหนแดง” จึงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเกษตรกรลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการผลิตข้าว ยกระดับการผลิต และเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามแนวทางการพัฒนาด้วยโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี
[caption id="attachment_39616" align="aligncenter" width="700"] ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา[/caption]
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และผู้ประสานงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road กล่าวว่า โครงการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวด้วยเกษตรสมัยใหม่บนเส้นทางสายวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง หรือ BCG-NAGA Belt Road เป็นโครงการที่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน มีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง เชียงราย อุดรธานี และนครพนม โดยได้เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน ตลอดจนบูรณาการองค์ความรู้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแบบครบวงจร
“หนึ่งในปัญหาสำคัญของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวคือปัญหาปุ๋ยมีราคาแพง ดังนั้นเราจึงต้องหาวัสดุที่จะใช้ทดแทนปุ๋ยหรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการให้ผลผลิตได้ ซึ่งแหนแดงมีคุณสมบัติดังกล่าว คือเป็นพืชที่ให้ไนโตรเจนสูง จึงใช้แหนแดงเป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเป็นแหล่งไนโตรเจนในนาข้าวทดแทนการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนได้ นอกจากนี้แหนแดงยังช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในนาข้าวได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นแหล่งโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุอาหารต่างๆ สามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ได้”
[caption id="attachment_39619" align="aligncenter" width="700"] แหนแดง (Azolla)[/caption]
ทั้งนี้ แหนแดง (Azolla) เป็นเฟิร์นน้ำชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตลอยอยู่บนผิวน้ำในเขตร้อนและเขตอบอุ่น ดำรงชีวิตแบบพึ่งพาอาศัยกันกับสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินกลุ่มไซยาโนแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในโพรงใบของแหนแดง ซึ่งสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินนี้เองที่ทำหน้าที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ทำให้แหนแดงมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าพืชทั่วไปที่มีไนโตรเจนอยู่เพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ จึงมีการนำแหนแดงมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสดเพื่อเป็นแหล่งไนโตรเจนเช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่ว
[caption id="attachment_39617" align="aligncenter" width="700"] ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาและคณะทำงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road[/caption]
ดร.สุรพล ใจวงศ์ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาและคณะทำงานโครงการ BCG-NAGA Belt Road ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แหนแดงช่วยสะท้อนคลื่นความร้อนออกจากผิวน้ำ ทำให้ลดการดูดซับความร้อนไว้ในน้ำได้ และจากการศึกษาเปรียบเทียบพบว่าอุณหภูมิของน้ำในแปลงนาข้าวที่มีแหนแดงต่ำกว่าอุณหภูมิของน้ำในแปลงนาที่ไม่มีแหนแดงถึง 3 องศาเซลเซียส แหนแดงจึงช่วยลดความเครียดของต้นข้าวจากสภาพอากาศที่ร้อนได้ อีกทั้งแหนแดงยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวได้เช่นกัน
ปัจจุบันมีเกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่องของโครงการ BCG-NAGA Belt Road เลี้ยงแหนแดงในนาข้าวแล้วมากกว่า 24,000 ไร่ ผลิตแหนแดงสดได้มากกว่า 24 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 845 ล้านบาท (คิดจากราคาจำหน่ายแหนแดงสดในท้องตลาดเท่ากับ 35 บาท/กิโลกรัม) และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 400 ตันคาร์บอน คิดเป็นราคาคาร์บอนเครดิตประมาณ 4 แสนบาท (คิดจากราคาคาร์บอนเครดิตเท่ากับ 948.5 บาท/ตันคาร์บอน)
“จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการใช้แหนแดงในนาข้าวช่วยลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังให้ผลผลิตในปริมาณคงเดิมหรือมากกว่า ช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนค่าปุ๋ยลงได้ ทั้งยังตอบโจทย์การทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์อีกด้วย ที่สำคัญเกษตรกรยังจำหน่ายแหนแดงสดเพื่อเพิ่มรายได้ได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นแหนแดงจึงเป็นกลไกชีวภาพที่เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกร ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก และช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

นักบินอวกาศญี่ปุ่นทดลอง 2 ไอเดียเยาวชนไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/thai-students-participate-in-space-experiment-asian-try-zero-g-2022.html
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) นำเยาวชนไทยบินลัดฟ้าเข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2022 เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศญี่ปุ่นนำแนวคิดการทดลองจำนวน 2 เรื่อง ของเยาวชนไทยที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
[caption id="attachment_39874" align="aligncenter" width="700"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ร่วมกับแจ็กซา จัดโครงการ “Asian Try Zero-G 2022” เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเข้าร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้แจ็กซาได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 5 ประเทศ จำนวน 6 เรื่อง ขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ในห้องทดลองคิโบะ โมดูล (Kibo Module) ของแจ็กซา โดย นายโคอิจิ วะกาตะ นักบินอวกาศญี่ปุ่น ซึ่งในจำนวนการทดลองที่ได้รับคัดเลือกเป็นการทดลองของเยาวชนไทยถึง 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการทดลองเรื่อง การศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ในครั้งนี้เยาวชนไทยทั้ง 2 คน ได้เดินทางไปร่วมติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองจากสถานีอวกาศนานาชาติแบบเรียลไทม์ ณ ห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัทดิจิทัลบลาสต์ (DigitalBlast) อีกทั้งยังได้เยี่ยมชมเมืองวิทยาศาสตร์ Tsukuba Science City ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่เยาวชนไทยได้สัมผัสการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันการได้มีโอกาสสื่อสารพูดคุยกับนักบินอวกาศโดยตรง ยังช่วยสานฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยสนใจพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีอวกาศในอนาคต”
[caption id="attachment_39606" align="aligncenter" width="600"] นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม)[/caption]
นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) เล่าว่า การทดลองที่เสนอไปต้องการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าน้ำถูกแรงจากภายนอกกระทำ ซึ่งการทดลองแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยการทดลองที่ 1 ต้องการศึกษาว่าเมื่อเกิดการชน (collision) ระหว่างลูกบอลกับก้อนน้ำทรงกลมแล้ว ก้อนน้ำจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งลูกบอลมี 3 แบบ ได้แก่ ลูกบอลเหล็กกล้า ลูกบอลไม้ และลูกบอลไม้ที่เคลือบกันน้ำ ส่วนการทดลองที่ 2 คือการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมที่สัมผัสกับแรงเฉือนจาก “ลูกข่างกระดก” ซึ่งลูกข่างมีความน่าสนใจตรงที่พลิกกลับด้านเมื่อหมุนได้
[caption id="attachment_39603" align="aligncenter" width="700"] เครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“เมื่อนักบินอวกาศเริ่มทดลองการทดลองที่ 1 เรื่องการชนกันระหว่างลูกบอลกับก้อนน้ำทรงกลม พบปัญหาว่าก้อนน้ำทรงกลมไม่เกาะกับห่วงลวดโลหะเพื่อจะปล่อยให้ชนกับลูกบอลอย่างที่คิดไว้ จึงปรับวิธีการทดลองเป็นการปาลูกบอลอย่างเบาๆ เข้าใส่ก้อนน้ำที่ลอยในอากาศแทน ผลการทดลองพบว่า ลูกบอลเหล็กกล้าและไม้เมื่อชนกับก้อนน้ำทรงกลม ลูกบอลจะเข้าไปอยู่ที่ผิวของก้อนน้ำทั้งคู่ แต่จะต่างกันตรงความลึกของลูกบอลที่จมเข้าไปในก้อนน้ำ ทั้งนี้เกิดจากขนาดแรงยึดติด (adhesive force) ระหว่างน้ำกับวัสดุที่มาชนแตกต่างกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อการศึกษาการชนแบบไม่ยืดหยุ่นของวัตถุต่างสถานะกัน และการศึกษาเปรียบเทียบผลของชนิดวัสดุต่อพฤติกรรมการรวมตัวกับน้ำ ส่วนการทดลองที่ 2 คือการศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมที่สัมผัสกับแรงเฉือนจากลูกข่างกระดกนั้น น่าเสียดายที่เวลาไม่พอจึงไม่ได้ทำการทดลอง อย่างไรก็ดีการได้มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้นับเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่หาได้ยากมาก อีกทั้งยังได้มีโอกาสเข้าชมห้องทำงานของ JAXA ที่รู้สึกว่าเท่มาก นอกจากนี้ยังได้เข้าชมอาคารจัดแสดงหุ่นยนต์และเครื่องมือต่าง ๆ ที่อยู่บนคิโบะ โมดูล ที่สำคัญคือการได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ต่างชาติที่มาจากหลากหลายสาขาวิชา เช่น ฟิสิกส์ วิศวกรรม และยังมีความสนใจทางด้านอวกาศเช่นเดียวกัน ทำให้เราได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงผลักดันในการศึกษาด้านเทคโนโลยีอวกาศมากขึ้น”
[caption id="attachment_39607" align="aligncenter" width="700"] นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย)[/caption]
ด้าน นางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี (ปาย) เล่าว่า หัวข้อการทดลองที่ส่งให้นักบินอวกาศ คือการศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เป็นการทดลองที่เกิดจากความสนใจเกี่ยวกับการขนส่งของเหลวผ่านท่อในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดยตั้งสมมติฐานว่าเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ เช่น ในระดับความสูงของสถานีอวกาศนานาชาติ จะส่งผลให้ของเหลวที่อยู่ในท่อสามารถขึ้นไปในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับระดับความสูงของของเหลวที่ทำการทดลองบนพื้นโลก นอกจากนี้ยังมีการทดลองเปรียบเทียบขนาดรัศมีของท่อที่แตกต่างกันด้วยว่าจะส่งผลให้ระดับความสูงของของเหลวขึ้นไปตามท่อได้แตกต่างกันหรือไม่
[caption id="attachment_39602" align="aligncenter" width="700"] เครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“ผลการทดลองพบว่าในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของเหลวไม่เคลื่อนที่ตามแรงดึงของผิวภาชนะ แม้ใช้รัศมีของท่อที่ลดขนาดลงมา ซึ่งแตกต่างจากการทดลองบนพื้นโลกที่มีการเคลื่อนที่ของของเหลวขึ้นไปตามแรงดึงของภาชนะ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากพฤติกรรมของของเหลวที่แตกต่างจากบนโลก อาจกล่าวได้ว่าพื้นผิวภาชนะที่ใช้ในการทำให้เกิดแรงดึงควรเข้ากับของเหลว เช่น น้ำ ได้ดี เพื่อให้พื้นผิวภาชนะมีความสามารถมากพอในการดึงของเหลว ดังนั้นการจัดทำอุปกรณ์ที่อาศัยหลักการแรงดึงของผิวภาชนะควรต้องพิจารณาชนิดของวัสดุด้วย การได้มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ได้รับประสบการณ์ที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต เนื่องจากได้มีโอกาสอยู่ท่ามกลางผู้คนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ยังเป็นความประทับใจที่การทดลองของเด็กคนหนึ่งได้ขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งทั้งนักบินอวกาศและทีมงานต่างก็จริงจังในการหาคำตอบของการทดลองเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นความสงสัยเล็ก ๆ ของเด็กเท่านั้น”
สามารถติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง และวัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรกมล พลสงคราม ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense) ชุดตรวจไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในแหล่งน้ำ นวัตกรรมนาโนเทคตอบโจทย์อุตสาหกรรมชุดตรวจ ทดแทนชุดตรวจนำเข้า ในราคาที่ถูกกว่า
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/mn-sense-manganese-ion-detection-test.html
แม้ไอออนแมงกานีส (Mn2+) เป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อร่างกายเมื่อได้รับในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไต และอาจทำให้เกิดโรคทางสมองในเด็กเล็ก รวมถึงส่งผลต่อสีและรสชาติของน้ำ นักวิจัยนาโนเทคจับมือเนคเทค สวทช. พัฒนา “แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense)”ชุดตรวจไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในแหล่งน้ำอย่างง่าย และรวดเร็ว สามารถตรวจได้แม้ความเข้มข้นต่ำ ทดสอบการภาคสนามพบประสิทธิภาพเทียบเคียงของนำเข้าในราคาถูกกว่า 3 เท่า สามารถบอกผลการวัดได้ทั้งการดูสีด้วยตาเปล่าและใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสี ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในระดับภาคสนาม ผลักดันนวัตกรรมไทยทำใช้เองในประเทศ ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG
ดร.กันตพัฒน์ จันทร์แสนภักดิ์ หัวหน้าทีมพัฒนาสูตรน้ำยาตรวจวัดไอออนแมงกานีสจากทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ผลงานวิจัยเรื่อง แมงกานีสเซ็นส์: ชุดตรวจแมงกานีสและเครื่องอ่านดูโออาย เป็นการทำงานร่วมกันของนาโนเทคและศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)โดยนาโนเทคได้พัฒนาน้ำยาตรวจวัดสูตรเฉพาะที่สามารถตรวจวัดไอออนแมงกานีสได้อย่างแม่นยำและจำเพาะ ในขณะที่เนคเทคช่วยพัฒนาเครื่องอ่านสีอัจฉริยะดูโออาย (DuoEye Reader) ที่สามารถระบุตำแหน่ง ส่ง วิเคราะห์ ประมวลผล และแสดงผลข้อมูลแบบออนไลน์ได้ซึ่งผลงานนี้ได้รับรางวัลเหรียญเงิน จากการประกวดในเวทีระดับนานาชาติ The International Trade Fair – Ideas, Inventions and New Products” (iENA2022) ณ เมืองนูเรมเบิร์ก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี”
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ“โครงการวิจัยขนาดใหญ่ด้านการประเมินความปลอดภัยเคมีในน้ำประปา” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ให้ความอนุเคราะห์สถานที่ในการทดสอบประสิทธิภาพในระดับภาคสนาม ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการตรวจติดตามปริมาณแมงกานีส ซึ่งจะส่วนช่วยยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการและควบคุมคุณภาพการผลิตน้ำประปาของประเทศได้ โดยปริมาณของไอออนแมงกานีสตามมาตรฐานคุณภาพน้ำประปา การประปาส่วนภูมิภาค ต้องมีไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
“ปัจจุบันหน่วยงานรัฐบาล เช่น กปภ. มีการใช้งานชุดตรวจไอออนแมงกานีสเพื่อควบคุมคุณภาพน้ำประปาบริการประชาชน ทำให้ต้องมีการใช้งานชุดตรวจจำนวนมาก กปภ. เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงต้องการมีส่วนร่วมในการผลักดันให้ชุดตรวจไอออนแมงกานีสที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้น ถูกนำมาใช้งานภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้า โดยจับมือกับนาโนเทค-เนคเทค สวทช. ร่วมสนับสนุนการพัฒนาต่อยอดผลงาน แมงกานีสเซ็นส์ (Mn Sense): ชุดตรวจแมงกานีสและเครื่องอ่านดูโออาย” ดร.กันตพัฒน์กล่าว
ชุดตรวจไอออนแมงกานีส หรือแมงกานีสเซ็นต์ อาศัยหลักการพัฒนาเซ็นเซอร์ระดับโมเลกุล ให้มีความเหมาะสมและจำเพาะเจาะจงในการจับกับไอออนแมงกานีสในน้ำ โดยเมื่อโมเลกุลดังกล่าวจับกับไอออนแมงกานีส จะเกิดการเปลี่ยนสีจากสารละลายใสไม่มีสี เป็นสารละลายสีส้มน้ำตาล ซึ่งแปรผันตรงกับปริมาณของไอออนแมงกานีสปนเปื้อนในน้ำ อย่างไรก็ตาม การสังเกตสีที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยตาเปล่าอาจทำได้ยาก ในแง่ของความแม่นยำและบอกผลเป็นตัวเลข จึงต้องใช้ร่วมกับเครื่องอ่านสีขนาดพกพา (DuoEye reader) ซึ่งพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยเนคเทค ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เหมาะกับการพกพา และสามารถส่งข้อมูลการตรวจวัดเข้าระบบจัดเก็บข้อมูล (Cloud) ผ่านสัญญาณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wi-Fi) สามารถนำไปใช้ในระดับภาคสนามได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน ชุดตรวจแมงกานีสเซ็นต์ถูกนำไปทดสอบประสิทธิภาพในระดับภาคสนาม ณ สถานีผลิตน้ำศรีราชา (หนองค้อ) การประปาส่วนภูมิภาค สาขาศรีราชา จังหวัดชลบุรี รวมถึง สถานีผลิตน้ำการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหาดใหญ่ (ชั้นพิเศษ) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และยังมีแผนที่จะนำไปทดสอบระดับภาคสนาม ณ สถานีผลิตน้ำ สาขาอื่น ของการประปาส่วนภูมิภาคต่อไป
“แมงกานีสเซ็นต์มีจุดเด่นที่เหมาะสำหรับการใช้งานแบบภาคสนาม ด้วยใช้งานง่ายภายใน 4 ขั้นตอน และตรวจวัดอย่างรวดเร็วภายใน 1 นาที รวมถึงสามารถตรวจวัดได้ทั้งในเชิงกึ่งคุณภาพ (Semi-qualitative analysis) ผ่านการสังเกตการเปลี่ยนสีของสารละลายหรืออ่านความเข้มข้นผ่านแถบสีมาตรฐาน และตรวจวัดในเชิงปริมาณ (Quantitative analysis) ผ่านเครื่องอ่านสีดูโออายที่สำคัญ ยังมีต้นทุนที่ถูกกว่าของนำเข้าถึง 3 เท่า” ดร.กันตพัฒน์กล่าว
จุดเด่นทั้งเรื่องประสิทธิภาพและต้นทุนนวัตกรรมของแมงกานีสเซ็นต์ สร้างโอกาสในการนำไปใช้ประโยชน์ทดแทนของนำเข้าจากต่างประเทศได้ โดยนอกเหนือจากกปภ. ซึ่งเป็นผู้ใช้งานแล้ว ผู้ผลิตน้ำอุโภคบริโภคในระดับอื่น ๆ เช่น ชุมชน หมู่บ้าน หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ยังสามารถนำไปใช้ได้รวมถึงตอบโจทย์ทางด้านสุขภาพและการแพทย์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่จะลดการนำเข้า และให้ความสำคัญกับนโยบายป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพด้านการแพทย์ (Preventive Medicine) อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. จับมือ EA เล็งจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry เสริมแกร่งระบบนิเวศวิจัยด้านพลังงาน
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-energy-absolute-to-establish-r-d-center-for-bcg-industry.html
(วันที่ 23 มกราคม 2566) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy model
โดยมีศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ณ โถงชั้น 1 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (อาคารโยธี)
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้ที่เป็นสักขีพยานในวันนี้ เพราะความร่วมมือของภาคเอกชนและ สวทช. ทำมาได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญถือเป็นการเปลี่ยนโมเดลของการทำวิจัยในประเทศไทยไปแบบก้าวกระโดด แม้ว่าที่ผ่านมาระบบวิจัยเราทำด้าน Supply ไปสู่ Demand ซึ่งส่วนใหญ่เราทำวิจัยระดับความพร้อมเทคโนโลยี (Technology Readiness Level : TRL) ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปถึงการพัฒนาขั้นสุดท้ายของการสาธิตในสภาวะการทำงานเท่านั้น แต่ในระดับเทคโนโลยีส่งมอบผ่านการทดสอบสาธิตในสภาพการใช้งานจริงไปสู่อุตสาหกรรมนั้น ยังมีไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น EA ถือเป็นตัวอย่างในการร่วมวิจัย ที่เกิดจาก Demand ของบริษัทเอกชน และต้องการเข้ามาร่วมวิจัยสู่การใช้งานจริงในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นการคิดเชิงกลยุทธ์ มากกว่าการทำวิชาการด้านเดียว และที่ดีใจเป็นพิเศษ คือ เกิดความร่วมมือของภาคเอกชนและภาครัฐอย่าง สวทช. ในการขับเคลื่อนภายใต้นโยบาย BCG Economy Model ซึ่งเป็นวาระประเทศและวาระของ APEC ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพที่ผ่านมาด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวง อว. เป็นกระทรวงที่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและเทคโนโลยี ดังนั้นต้องนำส่วนที่ก้าวหน้าที่สุดด้านธุรกิจ มาเป็นภาคีในการทำงานร่วมกับองค์ความรู้ที่ กระทรวง อว.มีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมแบบอุตสาหกรรมเป็นศูนย์กลาง (Industrial Centric) ให้กับบุคลากรทางด้านวิจัย และบุคลากรด้านอุตสาหกรรม สร้างนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและเกิดเป็น National Product Champion ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากฐานเทคโนโลยีแนวหน้าของอุตสาหกรรม ให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและทำให้ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์ที่มาจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเสริมจุดแข็งให้ภาคอุตสาหกรรม ผลักดันให้ประเทศไทยขึ้นเป็นแนวหน้าในอาเซียนต่อไป
“การดำเนินงานวิจัยและพัฒนานั้น จะเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อผลผลิตจากห้องปฏิบัติการมีการนำไปใช้แล้วเกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อภาคเอกชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งการทำงานของ สวทช. เป็นการคิดค้นเทคโนโลยีนวัตกรรม เพื่อแก้ข้อจำกัด และเสริมจุดแข็งให้กับภาคเอกชนให้เกิดความแตกต่างและความได้เปรียบในการแข่งขันด้านธุรกิจ ตลอดจนช่วยให้อุตสาหกรรมก้าวผ่านข้อจำกัดได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ถือได้ว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน และเป็นผู้เตรียมพร้อมด้านเทคโนโลยีพลังงานเพื่อรองรับบริบทของพลังงานที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดก็คือการเปลี่ยนรูปแบบพลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า (Electrification) ที่มาจากพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทางบริษัทฯ ยังได้เตรียมพร้อมโดยมีการตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เพื่อพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับใช้งานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าทางบริษัทฯ มีระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ครบวงจร ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เป็นแหล่งพลังงาน รวมถึงสถานีชาร์จประจุ ทำให้เกิด Economy of scale ขึ้น สามารถเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมให้มีความแตกต่าง เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยนั้นมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดี และมีแรงงานที่มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน โดยเฉพาะการคมนาคมและขนส่ง โดยถือได้ว่าประเทศไทยมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ผลิตและส่งออกยานยนต์ไปตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ แต่ด้วยในปัจจุบันอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงต้องมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษควบคู่กันไป
ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศไทยยังรักษาความแข็งแรงในระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ดีต่อไป จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศไทย ให้มีผลผลิตจากการวิจัยและพัฒนาเป็น Nation’s Product Champion โดยไม่ใช่เพียงแค่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในด้านแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิจัยและพัฒนาด้าน Biochemical และผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพต่อไป
“ความร่วมมือกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเกิดขึ้นไปนับจากนี้ จะทำให้นักวิจัย สวทช. ได้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มีดำเนินการวิจัยแก้ปัญหา และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับภาคอุตสาหกรรมได้เป็นเอกภาพมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนและเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูลเชิงวิชาการและเชิงอุตสาหกรรมระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่ Nation’s Product Champion ที่ออกสู่ตลาดได้และช่วยยกระดับการวิจัยพัฒนาแบบมุ่งเน้นผลลัพธ์ต่ออุตสาหกรรมไทยต่อไป”
นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า EA รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาเพื่อนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมเพื่อ Bio-Circular-Green Economy model กับ สวทช. ทั้งนี้ EA มุ่งดำเนินธุรกิจ “Green Product” โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาด้านพลังงานสะอาด ที่จะช่วยสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศบนพื้นฐานความยั่งยืนให้เดินหน้าอย่างสมดุล ตามนโยบายภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ดังนั้นถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของ EA และ สวทช. ในการเตรียมความพร้อมจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา BCG Industry มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงอุตสาหกรรมในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG Model ได้แก่ 1. แบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า รถ-ราง-เรือ และโครงสร้างพื้นฐาน 2. ผลิตภัณฑ์ด้าน Biochemicals และ 3. ผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์และสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการร่วมกันวิจัยพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมด้านพลังงานอย่างครบวงจร
ข่าวประชาสัมพันธ์

แผ่นรองซับจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังย่อยสลายได้ นวัตกรรมดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง
Tech: สุดเจ๋ง! กับนวัตกรรมฝีมือคนไทย “แผ่นรองซับผู้ป่วยติดเตียงจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลัง” ช่วยซึมซับของเหลวได้ดี ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง แถมย่อยสลายได้ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยติดเตียง ผลงานนวัตกรรมร่วมจัดแสดงในงาน APEC BCG Economy Thailand 2022: Tech to Biz (Thailand Tech Show 2022) ซึ่งจัดโดย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 40 หน่วยงาน
BIZ: #นวัตกรรมพร้อมต่อยอดธุรกิจ พัฒนาโดย 3 BECOME 1 กลุ่มผู้ประกอบการที่มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย บริษัทต้อม คาซาวา จำกัด บริษัทฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด และ PETSMILE ซึ่งผ่านการเข้าร่วมโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs in Thailand โครงการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ผู้ประกอบการไทย ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ยังไม่มีจำหน่ายเชิงพาณิชย์ แต่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจใช้นวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใช้ได้จริงที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม ติดต่อสอบถามได้ที่ โทรศัพท์มือถือ : 08-1762-8242 อีเมล์ : tom_casava@hotmail.com และเฟซบุ๊ก : TOM CASAVA
[caption id="attachment_39552" align="aligncenter" width="700"] พลอยฉัตรชนก วิริยาทรพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ต้อม คาซาวา จำกัด[/caption]
พลอยฉัตรชนก วิริยาทรพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ต้อม คาซาวา จำกัด เล่าว่า ประเทศไทยปลูกข้าวและมันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก ทำให้มีเศษวัสดุอย่างฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังเหลือทิ้งในปริมาณมาก จึงคิดหาวิธีเพิ่มมูลค่าให้เศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้ เพื่อลดการเผาทำลายซึ่งก่อให้เกิดมลพิษและเป็นสาเหตุของฝุ่น PM2.5 สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียงมีความต้องการใช้แผ่นรองซับเป็นจำนวนมาก กลุ่ม 3 BECOME 1 จึงได้ทดลองนำฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลังมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์แผ่นรองซับสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่ย่อยสลายได้ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาขยะจากแผ่นรองซับทั่วไปในท้องตลาดที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ ทั้งนี้ทีมวิจัยได้ร่วมกับสภากาชาดไทยนำไปทดลองใช้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงพบว่าได้ผลตอบรับดีมาก
จุดเด่นของแผ่นรองซับจากฟางข้าวและเหง้ามันสำปะหลัง คือทำจากเยื่อฟางข้าวบริสุทธิ์ซึ่งเป็นนวัตกรรมของบริษัทฟางไทย แฟคทอรี่ จำกัด และถ่านชาร์โคล (activated charcoal) คุณภาพสูงจากเหง้ามันสำปะหลังที่ผลิตด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดที่คิดค้นพัฒนาโดยบริษัทต้อม คาซาวา จำกัด แผ่นรองซับที่ผลิตได้มีคุณสมบัติอุ้มน้ำและซึมซับของเหลวได้ดี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง สามารถดูดซับกลิ่น สารพิษ รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอับชื้นและลดการเกิดแผลกดทับได้ดี ช่วยให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และที่สำคัญคือผลิตภัณฑ์สามารถย่อยสลายได้ทั้งหมดจึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่สามารถช่วยสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างตรงจุด ขณะเดียวกันทำให้คนไทยมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในปัจจุบันทั้งด้านสาธารณสุขและด้านสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนในสังคม
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ

UCD ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยคอลเลจดับลิน (University College Dublin : UCD) สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2566
(ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 2 สาขาวิชาคือ (1) College of Engineering and Architecture และ (2) College of Science โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ –14 เมษายน 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/ucd/
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244
(คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและการออกแบบแห่งสิงคโปร์ (Singapore University of Technology and Design : SUTD) สาธารณรัฐสิงคโปร์
ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาเอก ปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 3 ทุน ใน 4 สาขาวิชาคือ
(1) Engineering Product Development (EPD) (2) Engineering Systems and Design (ESD) (3) Information Systems Technology and Design (ISTD) และ (4) Science, Mathematics and Technology (SMT) โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 17 กุมภาพันธ์ 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/sutd/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

XJTU ร่วมกับ สวทช. เปิดรับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi’an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำปีการศึกษา 2566 (ค.ศ. 2023) *** โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน ***
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยซีอานเจียวทง (Xi'an Jiaotong University : XJTU) สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ได้ทูลเกล้าฯ ถวายทุนการศึกษาแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ระดับปริญญาโท ปีการศึกษา 2566
(ค.ศ. 2023) หลักสูตรภาษาอังกฤษ จำนวน 2 ทุน ใน 9 สาขาวิชาคือ (1) Mechanical Engineering (2) Power Engineering and Engineering Thermophysics (3) Electronic Science and Technology (4) Information and Communication Engineering (5) Control Science and Engineering (6) Computer Science and Technology (7) Materials Science and Engineering (8) Electrical Engineering และ (9) Management Science and Engineering โดยไม่มีภาระผูกพันการชดใช้ทุน เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 27 มกราคม 2566 ศึกษาข้อมูลและวิธีสมัครได้ที่ https://www.princess-it.org/th/scholarship/xjtu/ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โทรศัพท์ 089 452 4244 (คุณเยาวลักษณ์) email : yaowalak@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม