หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
“ศุภมาส” มอบนโยบาย กวทช. ชุดใหม่ ย้ำนโยบาย “อนุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ให้ อว. ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและของโลก
“ศุภมาส” มอบนโยบายคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.) ชุดใหม่ ย้ำนโยบาย “อนุทิน” รองนายกรัฐมนตรี ให้ อว. ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและของโลก เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้หลักการ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ขณะที่การลดความเหลื่อมล้ำ - กระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเป็นเรื่องเร่งด่วนต้องทำทันที วันที่ 27 พ.ย. 2566 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (กวทช.)  ได้มอบนโยบายให้กับ กวทช. ชุดใหม่ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแต่งตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา โดยในการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของ กวทช. ชุดใหม่ ซึ่งจัดเป็นการประชุมแบบพบหน้า  มีคณะกรรมการเข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน โดย กวทช. ประกอบด้วยกรรมการที่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญจากภาคเอกชนและภาครัฐทั้งสิ้น เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBX รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวง อว. อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นต้น ทั้งนี้ น.ส.ศุภมาส ได้เน้นย้ำนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ อว. ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและของโลก เน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ภายใต้หลักการ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ที่ตนได้มอบไว้ให้กับ อว. เพื่อให้คณะกรรมการ กวทช. นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตอบโจทย์ แก้ไขปัญหาของประเทศ และร่วมกันพัฒนาการดำเนินงานของ สวทช. ให้การดำเนินงานตอบโจทย์ สามารถนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้จริง ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง พร้อมกันนี้ ยังได้มอบหมายให้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมหารือกับภาคเอกชน หน่วยงานวิจัย มหาวิทยาลัย  และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับโจทย์ที่ประเทศต้องการและผสานกำลังร่วมกันแก้ไขปัญหาของประเทศ ด้าน ศ.ดร.ชูกิจ ขานรับนโยบายและน้อมรับข้อคิดเห็นจากคณะกรรมการ กวทช. เพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาการดำเนินงาน สวทช. ตามนโยบายของรัฐบาล รมว.อว. และคณะกรรมการ กวทช. โดยจะได้รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานให้คณะกรรมการทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
‘FoodSERP’ ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามไทย สร้างนวัตกรรม ‘ส่วนผสมฟังก์ชัน’ จากสมุนไพร-จุลินทรีย์ ผลักดันเวชสำอางไทยสู่สากลตอบโจทย์เทรนด์โลก
  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามในตลาดโลกมีมูลค่านับล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดมากกว่า 40% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอาง และน้ำหอมตามลำดับ ในขณะที่เทรนด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่มุ่งไปหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและมีนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง ‘การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง’ เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมชั้นนำที่ได้มาตรฐานสากลจาก ‘FoodSERP’ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันภายใต้ สวทช. โดยมุ่งใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน   ‘FoodSERP’ พร้อมให้บริการผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร   [caption id="attachment_49759" align="aligncenter" width="550"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.[/caption]   ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยด้านส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มานานเกือบ 10 ปี เพราะเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพร จุลินทรีย์ หรืออื่น ๆ แต่ที่ผ่านมางานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เนื่องจากขาดการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างนักวิจัยกับผู้ประกอบการ แต่ปัจจุบันสามารถทำได้แล้วโดยแพลตฟอร์ม FoodSERP “FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร โดยรวบรวมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค สำหรับผลิตส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredients) และสารออกฤทธิ์สำคัญ (active ingredients) รวมถึงโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง สำหรับผลิตเวชสำอางที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่การวิจัยพัฒนา วิเคราะห์ทดสอบ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาด ขยายขนาดการผลิต ไปจนถึงขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ “ความร่วมมือกับ TCOS ในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะช่วยปิดช่องว่างตรงกลาง ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามสมบูรณ์ขึ้นและขับเคลื่อนไปอย่างถูกทิศทาง เพื่อให้เกิดการพัฒนายกระดับสารสกัดที่ได้มาตรฐานจากสมุนไพรไทยหรือการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ จนถึงเกษตรกร”   ชูสารสกัด ‘บัวบก-กระชายดำ’ ดันสู่ตลาดเวชสำอาง [caption id="attachment_49758" align="aligncenter" width="550"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.[/caption]   ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนา functional ingredients จากวัตถุดิบสมุนไพรที่มีมากในประเทศสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรเป้าหมาย 4 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ บัวบก ขมิ้นชัน และไพล โดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ให้ความสำคัญและมุ่งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรโดยเฉพาะบัวบกและกระชายดำ “บัวบกเป็นพืชที่ปลูกเยอะมากในบ้านเรา ส่วนใหญ่นำมาบริโภคโดยตรง แต่ในต่างประเทศมีการใช้ประโยชน์สารสกัดจากบัวบกในผลิตภัณฑ์ความงามกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติชะลอวัย (anti-ageing) ค่อนข้างดี จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากบัวบก ส่วนกระชายดำเป็นที่รู้จักดีในด้านรับประทานเพื่อบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่ค่อยนำไปใช้ในด้านเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. จึงศึกษาและพัฒนาสารจากกระชายดำ โดยสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญได้สูงถึง 80-90% และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่าสารสกัดกระชายดำมีฤทธิ์ anti-ageing ดีเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ให้กระชายดำสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพื่อความงาม “เมื่อเรามีกระบวนการสกัดที่ดี ควบคุมคุณภาพได้ ทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดได้ว่าสารสกัดนั้นเหมาะที่จะนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม ด้านการดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของสารสกัดในประเทศได้ และเมื่อเรามี functional ingredients แล้วพัฒนาต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายร้อยเท่า”     หนุนใช้ ‘จุลินทรีย์’ เป็นโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์คุณภาพสูง   [caption id="attachment_49756" align="aligncenter" width="550"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช.[/caption]   ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช. ให้ข้อมูลว่า นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังมี functional ingredients และ active ingredients จำนวนมากที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์และใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม โดย active ingredients กลุ่มแรกที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์คือกลุ่มสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดแล็กติก (lactic acid) กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) กลุ่มที่สองเป็น active ingredients ที่มีมูลค่าสูง เช่น เรสเวอราทรอล (resveratrol) โคเอนไซม์คิว-10 (coenzyme Q-10) และอีกกลุ่มหนึ่งคือ natural colors เช่น สารสีน้ำเงินอินดิโกอิดีน (indigoidine) จากแบคทีเรีย และสารสีแดงจากข้าวหมักด้วยเชื้อรากลุ่มโมแนสคัส (Monascus) “การผลิตสารสำคัญจากจุลินทรีย์มีข้อดีคือเราสามารถขยายขนาดการผลิตได้ ควบคุมคุณภาพได้ ลดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารต่าง ๆ ที่มาจากแหล่งอื่นได้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการทิ้งของเสียออกไป แต่จะกำจัดและควบคุมในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของการใช้กระบวนการทางชีวภาพเข้ามาช่วยในการผลิต active ingredients สำหรับกลุ่มเวชสำอาง และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือสารพลอยได้หรือบายโพรดักต์ (by-product) ที่เกิดขึ้น เช่น ในกระบวนการผลิตโพรไบโอติกจะมีบายโพรดักต์เรียกว่า ‘โพสต์ไบโอติก’ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ และกระบวนการทางชีวภาพที่มีการย่อยกรดอะมิโนจะได้เพปไทด์ต่าง ๆ เป็นบายโพรดักต์ สามารถนำไปใช้ฟื้นฟูสภาพผิวได้เช่นกัน”     ดร.กอบกุล ย้ำว่า “อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิต functional ingredients หรือ active ingredients จากจุลินทรีย์ ต้องมีมาตรฐานและต้องขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ซึ่งถือเป็นความท้าทายของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ต้องเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ทั้งยังต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งความร่วมมือของ สวทช. กับ TCOS ครั้งนี้จะทำให้ FoodSERP มีข้อมูลต่าง ๆ มากเพียงพอในการออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตได้อย่างครบวงจร และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์และจำหน่ายออกสู่ตลาดได้”   ของดีต้องมี ‘เรื่องเล่า’ และคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’ ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)  กล่าวว่า จากการได้มีโอกาสไปดูงานด้านสุขภาพและความงามในประเทศต่าง ๆ พบว่าหลายแห่งไม่ได้มองไปที่ตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะมองไปที่เรื่องราวด้วย หากสิ่งนั้นมีเรื่องราวที่เล่าได้ยาวนาน มี story telling เขาจะสนใจนำมาศึกษาเพื่อค้นพบความลับที่อยู่ในนั้น และมักจะทำเป็นซีรีส์โดยค่อย ๆ ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาทีละตัวและจะใส่นวัตกรรมเพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์ตัวถัดไป ทำให้มีเรื่องราวเล่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดพืชสมุนไพรไทยได้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ “นอกจากนี้เรายังต้องมองเทรนด์ของโลกด้วยว่าโลกตอนนี้กำลังตื่นตัวกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับในปัจจุบันเรากำลังตื่นตัวในเรื่องของการทำให้โลกอยู่อย่างยั่งยืน ลดขยะ ลดการใช้พลาสติก ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตที่ลดความฟุ่มเฟือย ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า ‘solid cosmetic’ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยลง ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยเราจะต้องตื่นตัว ไม่ใช่เป็นเพียงแฟชั่น หากแต่ว่าเป็นความรับผิดชอบในระยะยาวที่เราต้องคำนึงถึงว่าแบรนด์ของเราจะสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันเรายังมีโอกาสในการรับจ้างผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ต่างประเทศ เราจึงต้องคำนึงถึงโจทย์ต่าง ๆ ที่แบรนด์เขาให้ความสนใจด้วย”   [caption id="attachment_49761" align="aligncenter" width="550"] ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)[/caption]            ด้าน ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญในการทำ story telling คือต้องเล่าในสิ่งที่คนอยากจะฟัง และหัวใจหลักในการทำธุรกิจก็คือต้องฟังผู้บริโภคให้มาก เอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง และเล่าเรื่องให้ตรงตามที่ใจเขาต้องการ โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นจุดแข็ง “การเปิดโอกาสให้แก่สตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ได้มาร่วมกันคิดเพิ่มขึ้น จะช่วยพัฒนาให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสารสกัดของไทยเติบโตได้เร็วขึ้นและก้าวกระโดด ซึ่งการที่ สวทช. และ TCOS ได้มีความร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัปรายใหม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองและเติบโตไปในอนาคตได้”   [caption id="attachment_49757" align="aligncenter" width="550"] ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]   ท้ายสุด กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ได้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าด้านเครื่องสำอางและความงามในระดับโลก แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลี หลายแบรนด์ใช้วัตถุดิบที่มีมากในประเทศไทยอย่างเช่น ซิกา (cica) จากบัวบก แต่ขณะเดียวกันปัญหาสำคัญในเรื่องวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ไปจัดแสดงในต่างประเทศได้จะต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งรองรับ “การที่ สวทช. กับ TCOS ได้ร่วมมือกันจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ อาจเป็นภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยจะเริ่มมีวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอางเป็นของตัวเอง และมีไทยพาวิลเลียนที่จัดแสดง active ingredients ของไทยทั้งหมดอยู่ในงานระดับโลก”   [caption id="attachment_49760" align="aligncenter" width="550"] กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์! เพื่อลงทะเบียนกลุ่มผู้ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สวทช. พัฒนา “ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์เพื่อลงทะเบียนในกลุ่มผู้ไม่มีเอกสารประจำตัวในประเทศไทย” หรือ Thai Red Cross Biometric Authentication System (TRCBAS) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่าง NECTEC สวทช. กับ สภากาชาดไทย ในการพัฒนาแพลตฟอร์มจดจำลายม่านตาและการจดจำใบหน้าในการยืนยันตัวบุคคล สำหรับกลุ่มคนต่างด้าวหรือผู้อพยพที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะการป้องกันและควบคุมโรค เช่น การฉีดวัคซีนโควิด-19 และวัคซีนป้องกันโรคอื่น ๆ
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
เปลี่ยนขยะขวดน้ำดื่มพลาสติก…สู่วัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูง
นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (NANOTEC) สวทช. พัฒนาเทคโนโลยีการสังเคราะห์ เปลี่ยนขวดน้ำดื่มพลาสติกสู่วัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ที่มีมูลค่าสูง เป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งขวดน้ำดื่มพลาสติกชนิด PET (Polyethylene Terephthalate) มาผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ให้เป็นวัสดุโครงข่ายโลหะอินทรีย์ (Metal−organic Frameworks : MOFs) ที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการในภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ เนื่องจาก MOFs มีคุณสมบัติที่สามารถดูดซับสารพิษหรือก๊าซต่าง ๆ ได้ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการใช้เทคโนโลยีระดับนาโนไปช่วยลดมลพิษที่อาจเกิดจากการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
โซลาร์เซลล์แห่งอนาคต! “น้ำหนักเบา – สีสันสวยงาม”
นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. พัฒนา “แผงโซลาร์เซลล์น้ำหนักเบา” เป็นแผงโซลาร์เซลล์ที่ถูกออกแบบโครงสร้างใหม่เพื่อให้มีน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรงทนทานมากขึ้น โดยแผงด้านหน้าใช้วัสดุ Polyethylene Terephalate (PET) ทดแทนกระจกเดิม ส่วนด้านหลังใช้วัสดุ Aluminum Composite ที่มีความแข็งแรงทนทาน สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการติดตั้งในรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์ เนื่องจากมีน้ำหนักเบากว่าแผงโซลาร์เซลล์ทั่วไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
 
สวทช. – กทม. ผนึกโชว์ต้นแบบนวัตกรรมลดฝุ่น PM2.5 สร้างสวนนันทนาการแบบกึ่งเปิดที่สวนจตุจักร
For English-version news, please visit : MagikFresh: Clean air recreational park prototype for a livable city (24 พฤศจิกายน 2566) ที่อุทยานสวนจตุจักร กรุงเทพฯ : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว "ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่" หรือ “MagikFresh” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ด้วยการออกแบบโครงสร้างกึ่งเปิดขนาดย่อมบนพื้นที่ 100 ตารางเมตร พร้อมติดตั้งเครื่องกรองฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ทำกิจกรรมนันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งภายในจะมีอากาศสะอาดและช่วยลดฝุ่น PM2.5 จากภายนอกได้ โดยความร่วมมือกับสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ที่ได้ให้การสนับสนุนพื้นที่บริเวณอุทยานสวนจตุจักร เพื่อติดตั้งและทดสอบการใช้งาน ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาระหว่างกรุงเทพมหานคร และ สวทช. ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ดำเนินโครงการภายใต้ แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาพื้นที่และเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ และได้รับการพิจารณาเป็นโครงการสำคัญปี 2566 (ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564) ภายใต้ชื่อโครงการนวัตกรรมสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ โดยมี ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นหัวหน้าโครงการ เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยสร้างสรรค์พื้นที่สวนสำหรับการทำกิจกรรมนันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดย สวทช. ได้คิดค้นรูปแบบโครงสร้างที่สามารถควบคุมการไหลเวียนของอากาศภายในพื้นที่กึ่งปิดกึ่งเปิดโดยฝุ่น PM2.5 จากภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้ ร่วมกับนวัตกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพการกรองฝุ่น PM2.5 เพื่อสร้างพื้นที่อากาศสะอาดให้หายใจได้เต็มปอดโดยไม่ต้องกังวลต่อมลพิษฝุ่น PM2.5 ซึ่งโครงสร้างได้ถูกออกแบบให้สามารถถอดประกอบเพื่อการขนย้ายไปติดตั้งใช้งานในสถานที่ต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. ที่ได้ให้ความสนับสนุนสถานที่สาธิตนวัตกรรมสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ณ สวนจตุจักร ระหว่างเดือน พฤศจิกายน 2566 - พฤษภาคม 2567 เป็นระยะเวลา 7 เดือน”  อย่างไรก็ตาม สวทช. ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาของฝุ่น PM2.5 มาโดยตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยงานวิจัยและพัฒนาของ สวทช. แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ด้านการรับมือที่ต้นตอของปัญหา มีการวิจัยพัฒนาเชื้อเพลิงการเผาไหม้ โดยการพัฒนาคุณภาพของสูตรน้ำมันเชื้อเพลิงไบโอดีเซล B10 และเพิ่มคุณภาพน้ำมันดีเซลด้วยกระบวนการ Hydrotreating ทั้งสองเชื้อเพลิงเป็นการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ 2. ด้านการตรวจวัดและระบบสารสนเทศ มีการวิจัยพัฒนาเซ็นเซอร์ตรวจวัดค่า PM 2.5 ด้วยเทคนิค Quartz Crystal Microbalance (QCM) ที่มีความแม่นยำสูง และการใช้ Supercomputer เพื่อคาดการณ์ระดับ PM2.5 ล่วงหน้า 3. ด้านการป้องกัน มีการวิจัยพัฒนาหน้ากากอนามัย nMask : Non-biological Mask ที่ได้ผ่านการทดสอบจากองค์กรมาตรฐานสากล (Nelson laboratory USA) ซึ่งสามารถกรองเชื้อไวรัส แบคทีเรีย จุลินทรีย์ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน รวมทั้ง PM2.5 และการวิจัยพัฒนาเครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศ หรือเรียกว่า IonFresh+ ซึ่งเป็นผลงานของทีมวิจัยเดียวกันกับที่พัฒนาสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่นี้ ซึ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีการกรองฝุ่น PM2.5 นี้ ยังสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศในระยะยาวและเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นายพรพรหม ณ.ส. วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ว่า ขอบคุณสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. และกรุงเทพมหานคร พร้อมสนับสนุนต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ซึ่งกรุงเทพมหานคร มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุนการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม โดยที่ผ่านมา กทม.มีความพยายามในการแก้ปัญหามลพิษ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 โดยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนรวมถึงการพยายามแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตอของแหล่งกำเนิดฝุ่นรวมถึงการบำบัดอากาศซึ่งเป็นปลายทาง อย่างไรก็ตามเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผลงานของ สวทช. ที่ทาง กทม.ได้ใช้อยู่ด้วยแล้วคือ Traffy Fondue ที่จะเป็นการช่วยแจ้งเตือน เฝ้าระวังปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ กทม. ซึ่งประชาชนสามารถมีส่วนร่วมถ่ายรูปและส่งทางไลน์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว ทั้งนี้ผลงานวิจัยต่าง ๆ ของสวทช. ทาง กรุงเทพมหานคร มีความยินดีที่จะสนับสนุนและใช้แก้ปัญหาเพื่อตอบโจทย์ด้านมลพิษของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาของฝุ่น PM2.5 ที่เป็นปัญหาของเมืองใหญ่ๆ ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อสังคม สุขภาพและคุณภาพชีวิตชาวเมือง ซึ่งการมีความร่วมมือกันครั้งนี้ถือเป็นการป้องกันและเป็นตัวช่วยบรรเทาปัญหาเพื่อให้ประชาขนมีทางเลือกในการเข้าถึงนวัตกรรมและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากหน่วยงานที่สนใจต้องการใช้สวนนันทนาการ สามารถติดต่อได้ที่กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG), ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. โทร. 0 2564 6900
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
เอ็มเทค สวทช. ผนึก สถาบันวิจัยเทคนิครถไฟญี่ปุ่น จัดงาน RTRI-NSTDA Railway Technology Forum สร้างความร่วมมือการวิจัยเทคโนโลยีระบบราง
For English-version news, please visit : RTRI-NSTDA Railway Technology Forum showcase railway technology in Thailand and Japan วันที่ 22 พฤศจิกายน 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สถาบันวิจัยเทคนิครถไฟญี่ปุ่น (Railway Technical Research Institute: RTRI) ร่วมจัดงาน RTRI-NSTDA Railway Technology Forum เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยด้านระบบรางของไทยและญี่ปุ่น และสร้างความร่วมมือในงานวิจัยระหว่าง 2 หน่วยงาน ดร.อศิรา เฟื่องฟูชาติ รองผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า สวทช. และ RTRI ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านเทคนิค (Memorandum of Understanding (MOU) on Technical Cooperation) กัน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เพื่อสร้างความร่วมมือในการวิจัยและการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีระบบราง โดยมีระยะเวลา 3 ปี นอกเหนือจากความร่วมมือด้านงานวิจัยแล้ว RTRI ยังสนับสนุนให้ สวทช. เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการมาตรฐานระบบรางระดับนานาชาติผ่านสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ของไทย ในคณะกรรมการ ISO/TC269 Railway Applications และ IEC -TC9 Electrical Equipment and System for Railways ซึ่งการจัดทำมาตรฐานระบบรางไทยให้อยู่ในระดับนานาชาตินี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางไทยต่อไป Dr. Toru Miyauchi, Associate Director (International Affairs),RTRI กล่าวว่า ที่ผ่านมา RTRI มีความยินดีที่ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับ สวทช.ในการจัดงาน ประชุมและแสดงนิทรรศการด้านอุตสาหกรรมระบบรางของไทย Thai Rail Industry Symposium and Exhibition (RISE) รวม 4 ครั้ง (ตั้งแต่ปี 2559-2562) ซึ่งภายหลังจากการลงนาม MOU เมื่อปี 2564 แล้ว RTRI และ สวทช.ได้มีการหารือและนำเสนอผลงานวิจัยในรูปแบบออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การทำวิจัยในหัวข้อ Rail wearing, Modelling and simulation in railway technology และ Rolling stock design เป็นต้น และ RTRI มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกันจัดงานประชุมแบบออนไซต์ เพื่อเป็นเวทีให้นักวิจัยทั้ง 2 หน่วยงานได้มานำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่จะร่วมกันพัฒนาระบบรางในอนาคต ทั้งนี้ การประชุมในครั้งนี้ได้นำเสนองานวิจัยฝ่ายละ 3 หัวข้อจากไทยและญี่ปุ่นโดยเน้นทางด้านงานระบบราง (Track work) การออกแบบตู้โดยสาร (Bogie design) และมาตรฐานระบบราง (Rail standard)
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
กรมการข้าว ร่วมกับ สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาและวิจัยด้านข้าว เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตและคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย
(23 พฤศจิกายน 2566) ณ ห้องประชุมรวงข้าว ชั้น 2 อาคารกรมการข้าว กรุงเทพฯ - กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาด้านข้าว โดยมี ดร.ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว และ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมลงนาม พร้อมด้วย ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และ นางสาวกุลศิริ กลั่นนุรักษ์ ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาข้าว เป็นสักขีพยาน เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว การผลิต การบริหารจัดการการผลิต การแปรรูปผลผลิตและของเหลือจากการผลิตข้าว ตลอดห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตข้าวของไทยให้มีความเข็มแข็ง สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาในทุกภาคส่วนของไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อไป ดร.ชิษณุชา บุดดาบุญ รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กรมการข้าวให้ความสำคัญกับการวิจัยและการพัฒนาข้าวมาโดยตลอด โดยเฉพาะการปรับปรุงพัฒนาพันธุ์ข้าวปลูก ให้มีผลผลิตต่อพื้นที่และคุณภาพสูงขึ้น การพัฒนาพันธุ์ การอนุรักษ์และคุ้มครองพันธุ์ การผลิตเมล็ดพันธุ์ การตรวจสอบ และรับรอง การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าว รวมทั้งการส่งเสริมวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับข้าว โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะส่งผลให้เกิดความร่วมมือในการวิจัย พัฒนาพันธุ์ข้าว การผลิต การบริหารจัดการการผลิต และการแปรรูปผลผลิตและของเหลือจากการเกษตร ตลอดห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม (Value chain) เพื่อยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้มีการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง มาตรฐานสูง มูลค่าสูง สร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเกิดความมั่นคงทางอาหารตามนโยบายการขับเคลื่อน BCG ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีเป้าหมายการดำเนินงานที่มุ่งเน้นในการสร้างขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ของประเทศ พร้อมเชื่อมโยงกับพันธมิตรทุกภาคส่วนในการขยายผลการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สอดคล้องตามนโยบายกระทรวง อว. ในเรื่อง “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ” โดย สวทช. มีความร่วมมือกับกรมการข้าวในการวิจัยและพัฒนาด้านข้าวมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมา สวทช. โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือไบโอเทค ได้ร่วมกับกรมการข้าว ในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีคุณสมบัติต้านทานสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ทนร้อน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม ทนเค็ม ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ต้านทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง และให้มีคุณภาพและผลผลิตสูง โดยได้รับการรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว และได้ขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตรจำนวนหลายสายพันธุ์ ซึ่งพร้อมเผยแพร่สู่เกษตรกร นำไปต่อยอดต่อไป รวมทั้ง ความร่วมมือในการพัฒนานักปรับปรุงพันธุ์ข้าวรุ่นใหม่ และอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือ ความร่วมมือส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการวิจัย การลดต้นทุนการผลิต และพัฒนาด้านข้าว ซึ่ง สวทช. โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ได้ร่วมกับกรมการข้าวในหลายเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาเครื่องตรวจเมล็ดข้าวโดยใช้เทคโนโลยีโฟโทนิกส์เพื่อจำแนกรายละเอียดของข้าว การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อสนับสนุนวิเคราะห์การแพร่ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การพัฒนาแอปพลิเคชันใบข้าวเอ็นเค เพื่อช่วยประเมินการขาดธาตุอาหารจากใบของต้นข้าว และพัฒนาต่อยอดเป็นไลท์บอทวินิจฉัยโรคข้าว เป็นต้น “เหล่านี้ล้วนเป็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานที่ผ่านมา และโอกาสที่ได้ร่วมมือกันในระยะต่อไป ทั้ง สวทช. และกรมการข้าว จะได้ร่วมกันใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในการจัดทำสาราณุกรมพันธุ์ข้าวไทยเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ การพัฒนาต่อยอดระบบบริหารจัดการการผลิตข้าว ระบบติดตามสุขภาพข้าวและคาดการณ์ผลผลิตข้าว และระบบการแนะนำพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่และฤดูกาล เพื่อให้มีความเสี่ยงจากการผลิตข้าวน้อยที่สุด และร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวรับมือปัญหาโลกรวนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยี Marker Assisted Selection (MAS) ต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อจะยกระดับข้าวไทยให้สามารถเติบโต เข้มแข็ง และช่วยยกระดับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวให้เกิดความยั่งยืนทางด้านรายได้ และความมั่นคงทางอาหารร่วมกันไปด้วย” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
สวทช. ร่วมจุฬาฯ พัฒนา ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (Zinc-ion Battery)’ จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร
For English-version news, please visit : Zinc-ion battery made from materials recovered from spent battery and biomass waste   กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะถ่านไฟฉายธรรมดา (zinc carbon battery) และประเภทแอลคาไล (alkaline battery) ซึ่งเป็นถ่านชนิดปฐมภูมิหรือไม่สามารถอัดประจุซ้ำเพื่อใช้งานใหม่ได้ มากถึง 5 ตันต่อเดือน แต่โดยทั่วไปแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีการรีไซเคิลส่วนประกอบของถ่านทั้ง 2 ชนิดมาใช้ประโยชน์แค่เฉพาะส่วนห่อหุ้มแบตเตอรี่ (packaging) ที่เป็นอะลูมิเนียมและสเตนเลสเท่านั้น การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรีไซเคิลวัสดุส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในแบตเตอรี่ เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างคุ้มค่าแก่การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดทั้งการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49743" align="aligncenter" width="700"] ถ่านไฟฉายที่ผ่านการใช้งานแล้ว[/caption] สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม เดินหน้าวิจัยและพัฒนากระบวนการรีไซเคิลธาตุสังกะสีและแมงกานีสซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของถ่านธรรมดาและถ่านแอลคาไล สำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (zinc-ion battery) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน โดยในกระบวนการผลิตยังได้พัฒนากระบวนการแปรรูปชีวมวล (biomass) ของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารให้เป็นถ่านกัมมันต์ (activated carbon) ประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแก่แบตเตอรี่ที่ผลิตอีกด้วย ทั้งนี้การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปัจจุบันการผลิต zinc-ion battery จากวัสดุเหลือทิ้งประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว    คืนชีพขยะแบตเตอรี่ ลดใช้ทรัพยากร ลดปล่อย CO2 ถ่านไฟฉายทั้งชนิดธรรมดาและแอลคาไลมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือสังกะสีและแมงกานีส โดยในถ่านธรรมดามีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 30 และ 40 ขณะที่ถ่านแอลคาไลมีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 15 และ 55  ตามลำดับ ดังนั้นหากนำสารประกอบเหล่านี้มารีไซเคิลได้ จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49740" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัย เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน เอ็นเทค สวทช. (อดีตทีมวิจัยภายใต้สังกัดศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.) ในฐานะทีมวิจัยหลัก กล่าวว่า การนำขยะถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลมารีไซเคิลเป็นแบตเตอรี่แบบอัดประจุซ้ำได้ ริเริ่มโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (อดีตผู้อำนวยการ NSD สวทช.) และ รศ. ดร.รจนา พรประเสริฐสุข คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิดข้างต้น เพื่อนำธาตุสังกะสีและแมงกานีสมาใช้ประโยชน์ในการผลิต zinc-ion battery ซึ่งเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง และมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างยิ่งในอนาคต “ในการรีไซเคิลสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการละลายน้ำ (hydrometallurgy process) ที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำในการทำละลายสารประกอบ ก่อนใช้กระบวนการตกตะกอนหรือการแยกสารด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าในการแยกเอาธาตุทั้ง 2 ออกจากสารประกอบอื่น ๆ โดยจากกระบวนการที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสามารถแยกสังกะสีและแมงกานีสออกมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้รวมแล้วมากกว่าร้อยละ 50 และอาจสูงถึงร้อยละ 70 ในกรณีถ่านแอลคาไล” นอกจากการพัฒนากระบวนการแยกธาตุสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิต zinc-ion battery แล้ว ทีมวิจัยยังได้ร่วมกันพัฒนา ‘กระบวนการรีไซเคิลชีวมวล’ ซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีอยู่มากในประเทศไทยมาใช้ประโยชน์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าแก่ zinc-ion battery ที่ผลิตอีกด้วย   [caption id="attachment_49736" align="aligncenter" width="700"] ชีวมวล (biomass)[/caption]   ดร.ชาคริต กล่าวว่า ชีวมวลมีจุดแข็งคือเป็นแหล่งคาร์บอนคุณภาพสูง ในการทำวิจัยทีมได้นำ กากกะลาปาล์ม กากไผ่ และกากกาแฟ  ที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 40 ‘มาเข้ากระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ’ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด โดยในขณะเผาจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ได้คาร์บอนหรือถ่านที่มีรูพรุนขนาดนาโนปริมาณมาก หรือมีปริมาณพื้นผิวสูงเหมาะแก่การใช้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งโดยทั่วไปมีการเรียกคาร์บอนที่ได้นี้ว่า ‘ถ่านกัมมันต์’   [caption id="attachment_49738" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ[/caption]   [caption id="attachment_49737" align="aligncenter" width="700"] ถ่านกัมมันต์ (activated carbon)[/caption]   “หลังจากได้ส่วนประกอบทั้ง 3 จากกระบวนการรีไซเคิลแล้ว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานมาออกแบบกระบวนการผลิต zinc-ion battery โดยนำสังกะสีมาใช้ในการผลิตขั้วลบ (cathode) และนำแมงกานีสมาแปรรูปเป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) ก่อนผสมเข้ากับถ่านกัมมันต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้า ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถผลิต zinc-ion battery ในระดับห้องปฏิบัติการได้แล้ว โดยแบตเตอรี่ที่ผลิตได้มีแรงดันที่ 1.2 V และมีความจุที่ 180-200 mAh/g ชาร์จซ้ำได้มากกว่า 1,000 รอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างวิจัยขยายผลยกระดับกระบวนการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม”     [caption id="attachment_49734" align="aligncenter" width="700"] ส่วนประกอบของแบตเตอรี่[/caption]   [caption id="attachment_49739" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า[/caption] Zinc-ion battery อุปกรณ์กักเก็บพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ ปัจจุบันหากพูดถึงแบตเตอรี่อัดประจุซ้ำได้ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เช่น สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการอัดประจุได้มากและมีน้ำหนักเบา แต่ขณะเดียวกันยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายชนิดไม่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ เนื่องด้วยจุดอ่อนด้านความปลอดภัย เพราะหากแบตเตอรี่ชนิดนี้บิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูง จะมีโอกาสติดไฟหรือระเบิด ดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดร.ชาคริต กล่าวว่า ด้วยธรรมชาติของวัสดุที่ใช้ในการผลิต zinc-ion battery มีน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ทำให้แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะแก่การใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานแบบตั้งอยู่กับที่ ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง หรือใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เพราะ zinc-ion battery ทนทานต่อทั้งความร้อนและความชื้น โดยหากเกิดการฉีดขาดหรือชำรุดจะไม่ระเบิดหรือติดไฟ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่เหมาะแก่การใช้งาน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อการใช้งานภายในบ้าน (battery for home energy storage system) ระบบสำรองไฟฟ้าแบบกริด (grid energy storage) ทั้งเพื่อการใช้งานในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง อาทิ แบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภารกิจทหาร การใช้เป็นแหล่งพลังงานในแท่นขุดเจาะน้ำมัน   [caption id="attachment_49742" align="aligncenter" width="700"] ระบบสำรองไฟฟ้า (energy storage)[/caption]   [caption id="attachment_49741" align="aligncenter" width="700"] แท่นขุดเจาะน้ำมัน[/caption]   “นอกจากนี้เทคโนโลยีการผลิต zinc-ion battery จะยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย เพราะหากเกิดเหตุวิกฤตที่ไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือวัสดุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้ (ไทยไม่มีแหล่งทรัพยากรธาตุลิเทียมเป็นของตัวเอง) คนไทยจะยังมีความพร้อมในการผลิต zinc-ion battery เพื่อใช้ทดแทนสูง ซึ่งวัตถุดิบในการผลิตที่ใช้ได้นอกจากวัสดุรีไซเคิลที่มีอยู่เยอะแล้ว ประเทศไทยยังมีความพร้อมด้านแหล่งทรัพยากรแร่ที่ใช้ในการผลิต โดยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่สังกะสี 260,248 เมตริกตัน และมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่แมงกานีสสูงถึง 18.2 ล้านเมตริกตัน ตามการรายงานของกองทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี ในปี 2565” การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร’ เป็นหนึ่งในการทำวิจัยเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีในด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และช่วยลดข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยคาดว่างานวิจัยจะแล้วเสร็จพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยนอกจากกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงนามความร่วมมือในการทำวิจัยแล้ว ยังมีบริษัทเอกชนชั้นนำของไทยอีกหลายแห่งที่ติดตามการทำงานวิจัยนี้ เพื่อวางแผนในการนำไปใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงานเช่นกัน สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ อีเมล chakrit.sri@entec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีร่วมกับ สวทช. เสริมทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ให้เยาวชนพิการทางการได้ยิน-บกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้วย KidBright AI Platform  
For English-version news, please visit : KidBright Workshop empowers children with disabilities to create AI innovations มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยสำนักงานประสานงานโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการให้แก่คณะครูและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหวในโรงเรียนนำร่องที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนพิการภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ จำนวน 10 โรงเรียน ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน โดยเนคเทค สวทช. สนับสนุนบอร์ด KidBright และสถานีวัดสภาพอากาศอุตุน้อย ผลงานวิจัยของเนคเทค ให้แก่ โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนโค้ดดิ้ง พร้อมทั้งร่วมกันจัดอบรมพัฒนาความรู้ด้านโค้ดดิ้งด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่ครูและนักเรียนพิการอย่างต่อเนื่อง โดยกิจกรรมปี 2561 – 2563  คณะครูและนักเรียนพิการได้เรียนรู้การใช้งานบอร์ด KidBright ขั้นพื้นฐานจนถึงการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright และกิจกรรมปี 2564-2565 มีการเรียนรู้เรื่องวิทยาการข้อมูล (Data Science) ผ่านสถานีวัดสภาพอากาศอุตุน้อยและเว็บแอปพลิเคชัน PLAYGROUND ด้วยบอร์ด KidBright ซึ่งที่ผ่านมาครูและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนพิการและนำไปประกวดในเวทีต่าง ๆ ร่วมกับนักเรียนทั่วไปจนได้รับรางวัลจากการประกวยดแข่งชัน เช่น เวที Show & Share : สิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ เวทีการประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์แนวใหม่ ระดับชาติ และเวทีศิลปหัตถกรรมนักเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)  เป็นต้น เพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ด้านโค้ดดิ้งให้แก่คณะครูและนักเรียนพิการในโครงการฯ มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ร่วมกับ สวทช. จัดอบรมหลักสูตรการอบรมเชิงฏิบัติการ เรื่อง “การพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วย KidBright AI Platform” ระหว่างวันที่ 18 – 21 พฤศจิกายน 2566 ให้แก่คณะครูและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ในโรงเรียนนำร่องที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนพิการภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 10 โรงเรียน ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และได้รับเกียรติจากอาจารย์วันทนีย์ พันธชาติ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ กล่าวต้อนรับและเปิดหลักสูตรการอบรม ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 และได้รับเกียรติจาก ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวแสดงความยินดีและปิดหลักสูตรการอบรม ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 นางสาววันทนีย์ พันธชาติ กรรมการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ กล่าวว่า มูลนิธิเทคโนโลยีสารเทศตามพระราชดำริฯ ร่วมกับ สวทช. ทำงานสนองพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งการส่งเสริมด้านการศึกษาให้แก่นักเรียนพิการ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนโค้ดดิ้งสำหรับนักเรียนพิการด้วยบอร์ด KidBright ให้แก่คณะครูและนักเรียนพิการในโรงเรียนนำร่องที่จัดการเรียนการสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและนักเรียนที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว ภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนพิการของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ 10 โรงเรียน จึงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาการคำนวณที่มีอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของ สพฐ. ให้แก่นักเรียนพิการ ซึ่งการเรียนโค้ดดิ้งจะช่วยพัฒนาศักยภาพของนักเรียนพิการให้มีการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้นักเรียนพิการเกิดการศึกษาค้นคว้า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระตุ้นให้นักเรียนเป็นนักประดิษฐ์ มีความสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการสร้างพื้นฐานความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับนักเรียน เพื่อมุ่งสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียมกับนักเรียนทั่วไป ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับในปี 2566 มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ ร่วมกับ สวทช. ได้จัดกิจกรรมพัฒนาต่อยอดความรู้เรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) โดยได้จัดอบรมความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ให้แก่ครูและนักเรียนพิการในโครงการฯ ไปเมื่อวันที่ 4-7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดความรู้ในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝัง สวทช. จึงจัดอบรมเชิงเรื่อง "การพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วย KIidBright AI Platform" ครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้ครูและนักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านเครื่องมือ KidBright AI Platform ร่วมกับบอร์ด KidBright สำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัว ให้มีคุณค่าและเกิดประโยชน์ในการต่อยอดไปสู่การใช้งานจริงเสริมให้นักเรียนเกิดทักษะการคิด การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม อันเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และเรียนรู้ผ่านกระบวนการทำโครงงาน นอกจากนี้ครูผู้สอนสามารถนำความรู้ด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ไปขยายผลการจัดการ เรียนการสอนโค้ดดิ้ง พร้อมทั้งจัดอบรมพัฒนาความรู้ให้แก่ครูและนักเรียนพิการตั้งแต่การใช้งานบอร์ด ตลอดจนการจัดการเรียนรู้เพื่อขยายผลความสามารถของ KidBright อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของนักเรียนในระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ร่วมกับการใช้จินตนาการของนักเรียนเพื่อสร้างสิ่งประดิษฐ์โดยใช้แนวคิดและตรรกะการแก้ปัญหาตามหลักวิทยาศาสตร์ ต่อไป สำหรับกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว นำทีมโดย ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด นักวิจัยอาวุโส พร้อมด้วยทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ซึ่ง ได้อบรมให้ความรู้และสอนการลงมือปฏิบัติเรื่องการพัฒนาโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วย KidBright AI Platform  ให้กับเหล่าเยาวชน นอกจากนี้การอบรมยังมีการให้ความรู้เรื่อง รู้จักกับ BCG Economy Model และแนวคิดในการออกแบบโครงงานสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับ BCG Economy Model  โดย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู สวทช. กิจกรรมการจัดทำโครงงานสิ่งประดิษฐ์สมองกลฝังตัวด้วยบอร์ด KidBright AI ภายใต้หัวข้อ “BCG Economy Model” โดยนายจิระศักดิ์ สุวรรณโณ ที่ปรึกษาโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา  มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริฯ และ นางสาวอลิสา สุวรรณรัตน์ นักวิชาการอาวุโส สวทช. ซึ่งแต่ละกิจกรรมตลอด 4 วัน นักเรียนพิการและครู มีส่วนร่วมในกิจกรรมเป็นอย่างดี สามารถทำกิจกรรมและนำเสนอโครงงานได้อย่างเข้าใจ ซึ่งจะช้วยสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมแก่ผู้เข้าอบรม และเป็นทักษะจำเป็นในโลกยุคศตวรรษที่ 21 แก่นักเรียนพิการให้สามารถรู้เท่าทันและพัฒนาตนศักยภาพของตนเองได้ทันกระแสโลกต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ขอเชิญผู้สนใจอบรมหลักสูตร 🎯Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย🎯
สวทช. ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ Smart Farming Smart Branding คิด สร้าง ขาย โดยคุณเฉลิมชัย นักวิชาการอาวุโส สวทช. และ คุณธีระวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาด และ CEO ไร่สายชล 101 . ท่านจะได้เรียนรู้ ความสำคัญ แนวคิดในการสร้างธุรกิจ และวิเคราะห์แบรนด์ เพื่อการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ กรอบแนวคิดวิเคราะห์การตลาด และการนำไปประยุกต์ใช้ และการออกแบบ-วางระบบน้ำในแปลงและประยุกต์ใช้กับระบบสมาร์ท . กิจกรรมอบรม(Onsite) ในวันที่ 30 พ.ย. 66 - 1 ธ.ค. 66 เวลา 08.30-16.00 น. ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จ.ปทุมธานี . ค่าลงทะเบียน : 1,500 บาท (รวมเอกสาร และอาหาร ซึ่งสามารถออกใบกำกับภาษีได้) ท่านจะได้รับใบประกาศเมื่อผ่านการอบรมทั้ง 2 วัน ดาวน์โหลดกำหนดการได้ที่ https://shorturl.asia/DIxeM สมัครเข้ารับการอบรมที่ https://shorturl.at/DGRU0 หรือสอบถามที่ คุณณัฐชยา โทร. 0971979009  
ปฏิทินกิจกรรม
 
“Food Talks 2023 #6 An Overview of Thailand’s Global Food Export Market: จับตาเทรนด์การส่งออก และโอกาสอาหารไทยในตลาดโลก”
สวทช. โดยเมืองนวัตกรรมอาหาร FoodInnopolis ขอเรียนเชิญผู้ประกอบการ นักวิจัยและผู้ที่สนใจด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหาร ฟังบรรยายในกิจกรรม “Food Talks 2023 #6 An Overview of Thailand's Global Food Export Market: จับตาเทรนด์การส่งออก และโอกาสอาหารไทยในตลาดโลก” โดย คุณวันวิสาข์ สุธีรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งออก จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่จะมาแลกเปลี่ยนความรู้ด้านภาพรวมการส่งออกอาหารไทย แนวโน้มตลาดและโอกาสในการส่งออก รวมไปถึงแนะนำข้อมูลส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการด้านการส่งออกจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญเข้าร่วมสัมมนาผ่าน (((Live))) ในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เวลา 10.00 น. - 11.30 น. ทาง Facebook : FoodInnopolis ลงทะเบียนได้ตามลิงก์ด้านล่าง (ไม่มีค่าใช้จ่าย) https://forms.gle/v7VRu2GRnSUR7YFE8 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: FoodInnopolis
ปฏิทินกิจกรรม