หน้าแรก ค้นหา
ผลการค้นหา :
เนคเทค สวทช. ร่วม EECi พัฒนา ‘I2-Starter Kit’ ชุดอุปกรณ์เรียนรู้ระบบ IIoT มุ่งสนับสนุนเยาวชนไทยเข้าถึงอุปกรณ์พัฒนาทักษะอุตสาหกรรม 4.0 อย่างทั่วถึง
  แม้อุตสาหกรรมทั่วโลกจะตื่นตัวกับการก้าวกระโดดสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 หรือยุคที่มนุษย์สื่อสารกับเครื่องจักรภายในโรงงานที่เป็นอุปกรณ์ Industrial Internet of Things (IIoT) ได้จากทุกที่ทุกเวลา ทั้งเพื่อติดตามการทำงานของสายการผลิต สั่งการทำงาน หรือดึงฐานข้อมูลต่าง ๆ จาก PLC (Programable Logic Control) มาใช้ปรับแผนการทำงานแบบเรียลไทม์ อาทิ การประเมินศักยภาพสายการผลิต การวางแผนการผลิต การวางแผนซ่อมแซมอุปกรณ์ แต่จนถึงปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยส่วนใหญ่กลับยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และกระบวนการผลิตเพื่อก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้ สาเหตุสำคัญมาจากการขาดแคลนแรงงานทักษะสูงที่มีความรู้ความเข้าใจด้าน ‘การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IIoT อย่างลึกซึ้ง’ ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนด้านอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เพื่อการใช้งานเทคโนโลยีประเภทนี้ยังมีค่าใช้จ่ายมาก ผู้ประกอบการในระดับ SMEs ส่วนใหญ่ลงทุนไม่ไหวแม้จะมีความต้องการใช้งานสูงก็ตาม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนา ‘I2-Starter Kit (ไอสแควร์ - สตาร์ตเตอร์ คิต)’ หรือ ‘ชุดอุปกรณ์การเรียนการสอน IIoT แบบพกพา’ ที่รวม PLC ของเครื่องจักรหลายแบรนด์ไว้ในชุดอุปกรณ์ขนาดประมาณกระดาษ A4 แผ่นเดียว สามารถลดค่าอุปกรณ์เรียนรู้จากหลักแสนเหลือเพียงหลักหมื่นบาท ช่วยให้สถาบันการศึกษามีกำลังจัดซื้ออุปกรณ์ให้ผู้เรียนใช้งานได้อย่างทั่วถึง   [caption id="attachment_50940" align="aligncenter" width="700"] ปิยวัฒน์ จอมสถาน ผู้ช่วยวิจัย เนคเทค สวทช.[/caption]   ปิยวัฒน์ จอมสถาน ผู้ช่วยวิจัย กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG) เนคเทค สวทช. ผู้พัฒนาชุดอบรม I2-Starter Kit อธิบายว่า จากประสบการณ์การเป็น System Engineer/IoT Engineer ให้บริษัทชั้นนำ และเป็นวิทยากรด้านการพัฒนาทักษะ IIoT แบบเข้มข้นให้แก่บริษัทเอกชน ครู นักเรียน และนักศึกษา ทำให้เห็นช่องโหว่ที่สำคัญว่าประเทศไทยยังขาดแคลนผู้บูรณาการระบบ หรือ System Integrator (SI) และผู้ดำเนินงานด้านวิศวกรรมระบบ (System Engineering) ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ IIoT อย่างลึกซึ้ง จึงไม่สามารถประยุกต์ใช้อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยลดการลงทุนด้านการปรับปรุงระบบโรงงานให้แก่ผู้ประกอบการได้ “สาเหตุสำคัญมาจากค่าอุปกรณ์การเรียนรู้ด้านการพัฒนาระบบ IIoT มีราคาค่อนข้างสูง และต้องอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้มาก ทีมวิจัยจึงได้ร่วมกันพัฒนา I2-Starter Kit ขึ้น สำหรับใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนด้านระบบ IIoT ในราคาย่อมเยา เพื่อให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา รวมถึงผู้ดำเนินงานด้าน SI และโรงงานอุตสาหกรรม ได้ใช้เรียนรู้ถึงกลไกการทำงานและการประยุกต์ใช้อุปกรณ์และซอฟต์แวร์อย่างลึกซึ้ง นำไปสู่การปรับใช้ในโรงงานต่าง ๆ ได้จริง โดยได้รับทุนสนับสนุนด้านการพัฒนาชุดอุปกรณ์และการจัดการเรียนการสอนจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi)”   [caption id="attachment_50939" align="aligncenter" width="706"] : I2-Starter Kit[/caption]   I2-Starter Kit เรียนรู้ IIoT แบบครบจบในบอร์ดเดียว I2-Starter Kit เป็นชุดอุปกรณ์การเรียนการสอน IIoT แบบพกพา ที่ประกอบด้วยหัวใจหลักของเครื่องจักร 2 ส่วน คือ PLC หรือระบบประมวลผลที่เปรียบเสมือนสมองของเครื่องจักร และ HMI (Human Machine Interface) หน้าจอสำหรับแสดงผลและกดสั่งการทำงานเครื่องจักร นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อใช้ประกอบการเรียนรู้ คือ Switch และ Volume สำหรับนำเข้าข้อมูล, LED และ Buzzer สำหรับแสดงผลการทำงานต่าง ๆ และส่วนสุดท้ายคือพอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมภายนอก เช่น มอเตอร์ ชุดอุปกรณ์นี้ใช้งานได้กับ IoT Gateway ทุกแบรนด์ (เลือกใช้ได้ตามความสะดวกในการจัดหา หรือจะพัฒนาอุปกรณ์เพื่อใช้งานเองก็ได้เช่นกัน) I2-Starter Kit เหมาะสำหรับใช้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT เชิงลึก เน้นทำความเข้าใจการทำงานของทั้งระบบ เพื่อให้ผู้เรียนนำไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำกัดแบรนด์ของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานจริง     ปิยวัฒน์ อธิบายว่า ทีมวิจัยได้ออกแบบหลักสูตรสำหรับใช้งานร่วมกับชุดอุปกรณ์นี้ไว้ 6 โมดูลหลัก ครอบคลุมการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT อย่างลึกซึ้ง โมดูลแรกคือการเรียนรู้ภาพรวมของระบบ IIoT โมดูลที่สองคือการเรียนรู้วิธีการดึงข้อมูลจาก PLC ผ่าน IoT Gateway และการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบพร้อมใช้งาน โมดูลที่สามคือวิธีการพัฒนาระบบสั่งการทำงาน PLC จากทางไกล โมดูลที่สี่คือการเรียนรู้วิธีการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้วางแผนการทำงานของสายการผลิต (Production Planning) โมดูลที่ห้าคือการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของสายการผลิต (Overall Equipment Effectiveness: OEE) และโมดูลสุดท้ายคือการนำข้อมูลที่ได้จาก PLC มาใช้วางแผนการซ่อมบำรุงเพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องจักร (Preventive Maintenance) และใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับให้ AI หรือ ML (Machine Learning) เรียนรู้ เพื่อทำนายความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของเครื่องจักรนั้น ๆ (Predictive Maintenance) แบบจำเพาะ สำหรับวางแผนการซ่อมบำรุงรักษาล่วงหน้า “หนึ่งในจุดเด่นของชุดอุปกรณ์ I2-Starter Kit ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาระบบ IIoT คือ ซอฟต์แวร์ของ PLC ที่ติดตั้งอยู่บนชุดอุปกรณ์นี้ไม่ได้เป็นซอฟต์แวร์สำหรับประมวลผลเครื่องจักรแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น แต่ภายใน PLC มีข้อมูลจำลอง (Simulation Model) ของเครื่องจักรจากทุกแบรนด์ที่มีการใช้งานมากในประเทศไทยบรรจุไว้ เพื่อช่วยทลายกรอบการเรียนรู้ด้านระบบ IIoT เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้เรียนมักได้ศึกษาผ่านชุดอุปกรณ์ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งที่สถาบันจัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น ซึ่งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เหล่านี้มักเป็นชุดสำเร็จรูปที่พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้เมื่อผู้เรียนต้องทำงานกับอุปกรณ์แบรนด์อื่น ๆ อาจไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ รวมถึงไม่สามารถเลือกนำอุปกรณ์จากต่างแบรนด์มาปรับใช้งานร่วมกันเพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการพัฒนาระบบ IIoT ให้แก่โรงงานด้วย”   เตรียมใช้ I2-Starter Kit ยกระดับการเรียนรู้เยาวชนไทยทั่วประเทศ นับตั้งแต่ปี 2564 สวทช. ได้ใช้ชุด I2-Starter Kit ทดลองจัดการเรียนการสอนด้านระบบ IIoT ให้แก่อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษารวมแล้วมากกว่า 700 คน โดยมีนักศึกษามากกว่าร้อยละ 70 ได้ทำงานต่อในสายงานนี้ภายหลังจบการศึกษา และมีบางส่วนเลือกศึกษาต่อเฉพาะทางด้านนี้ด้วย ปิยวัฒน์ อธิบายว่า สวทช. และ EECi ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนากำลังคน จึงได้จัดฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบ IIoT ให้แก่อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา โดยบรรจุไว้เป็นหลักสูตรนำร่องของสถาบันการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในภาคตะวันออก และทดลองใช้สอนในหลายมหาวิทยาลัย อาทิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เป็นเวลาต่อเนื่องมากว่า 3 ปีแล้ว และเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่การใช้งานจริง ทีมงานผู้จัดอบรมจึงได้สร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยรับนักศึกษาที่ผ่านการอบรมเข้าฝึกงานในโรงงาน เพื่อประโยชน์ 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียน นักศึกษาที่ไปฝึกงานตามโรงงานต่าง ๆ จะได้ฝึกประยุกต์ใช้งานระบบ IIoT จากโจทย์จริง เพื่อสั่งสมประสบการณ์และเพิ่มพูนทักษะ ส่วนด้านที่สองคือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทย ผู้ประกอบการจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี IIoT มากยิ่งขึ้น และเห็นถึงลู่ทางในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยไม่ต้องลงทุนสูง รวมทั้งยังเห็นถึงประโยชน์ของการก้าวกระโดดสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านตามลำดับจาก 2.0 (ใช้คนทำงานร่วมกับเครื่องจักร) ไป 3.0 (ใช้ระบบออโตเมติกในการทำงาน) แต่ก้าวกระโดดจาก 2.0 ไป 4.0 ได้เลย ซึ่งข้อดีสำคัญที่จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากติดตั้งและมีการใช้งานระบบ IIoT อย่างเต็มระบบ คือ ‘การมีสายการผลิตที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและการลดทอนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง’   [caption id="attachment_50944" align="aligncenter" width="700"] นำ I2-Starter Kit ไปใช้จัดการเรียนการสอนให้อาจารย์และนักศึกษา[/caption]   [caption id="attachment_50945" align="aligncenter" width="700"] นำ I2-Starter Kit ไปใช้จัดการเรียนการสอนให้อาจารย์และนักศึกษา[/caption]   “ล่าสุดช่วงปลายปี 2566 สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจลในการดำเนินโครงการต่อกล้าอาชีวะ เพื่อพัฒนาทักษะด้าน IIoT ให้แก่นักเรียนและนักศึกษาจากทั่วประเทศไทยเป็นเวลา 3 ปี โดยจะเริ่มดำเนินงานในปี 2567 นี้ นอกจากนี้ สวทช. ยังมีแผนประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาในการนำหลักสูตรการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอน และผลักดันให้มีการออกใบรับรองความรู้ความสามารถเพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการสมัครงานและการเพิ่มฐานเงินเดือนด้วย” ปิยวัฒน์กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบันชุดอุปกรณ์ I2-Starter Kit ผ่านการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 1619 อีเมล tlo-ipb@nstda.or.th หรือทางเว็บไซต์  www.nstda.or.th/r/FTCFI อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา ที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับระบบ IIoT แบบเชิงลึกติดตามการจัดฝึกอบรมได้ฟรีผ่าน YouTube channel ช่อง ‘Taekoyzkingz' ส่วนด้าน SI รวมถึง System Engineering ติดตามหลักสูตรเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 โดย SMC academy ได้ทาง www.nectec.or.th/smc/services-training/ ตัวอย่างหลักสูตรเด่น เช่น Automation & Robotics, IoT & Edge Computing, AI & Data Technology, Lean Management & Smart Manufacturing, OT/IT Security   [caption id="attachment_50942" align="aligncenter" width="703"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy[/caption]   [caption id="attachment_50946" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy[/caption]   [caption id="attachment_50943" align="aligncenter" width="700"] ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่ SI และ System Engineer โดย SMC Academy)[/caption]   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
นาโนเทค สวทช. พัฒนา ‘ชุดตรวจโรคไตรู้ผลได้ใน 5 นาที’ มุ่งเพิ่มโอกาสคนไทยรอดพ้นจากโรคไตเรื้อรัง
เวอร์ชันภาษาไทย อัปเดตข้อมูล ณ​ วันที่ 12 มีนาคม 2568 For English-version news, please visit : NANOTEC-NSTDA introduces affordable kidney disease screening tests     องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เผย 1 ใน 10 ของประชากรทั่วโลกมีอาการไตทำงานผิดปกติ และมีผู้ป่วยประมาณ 1 ล้านคนที่เสียชีวิตจากอาการไตวายเรื้อรังเนื่องจากไม่ได้เข้ารับการรักษา ขณะที่ในประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนประชากรเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึงร้อยละ 17-22 ในปี 2552 (ข้อมูลจาก Thai SEEK) และเพิ่มสูงถึงร้อยละ 26 ในบางพื้นที่ (ข้อมูลจาก CKDNET ในปี 2565) ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักทราบว่าตนเป็นโรคไตเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 หรือระยะที่มีอาการป่วยปรากฏให้เห็นแล้ว ทำให้ไม่สามารถบำบัดด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฟอกไตที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงปีละ 200,000 บาทต่อคนต่อปี     ด้วยอัตราการป่วยที่มีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานทั้งด้านการวิจัย การแพทย์ และสาธารณสุขไทย จึงได้ร่วมกันหาแนวทางพัฒนาวิธีการตรวจคัดกรองโรคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองอย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้อย่างทันท่วงที ล่าสุด สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรพัฒนานวัตกรรมคัดกรองโรคไต ได้แก่ AL-Strip (อัล-สตริป) ชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพ สำหรับประชาชนทั่วไป สามารถตรวจได้ง่ายด้วยตนเอง ทราบผลความเสี่ยงได้ภายใน 5 นาที และ GO-Sensor Albumin Test (โก-เซนเซอร์ อัลบูมิน เทสต์) ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ทราบผลตรวจได้ภายใน 10-30 นาที   2 เทคโนโลยีเพิ่มโอกาสคัดกรองโรค สาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตได้ตั้งแต่ระยะต้นเกิดจาก ‘ค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ค่อนข้างสูง’ ซึ่งมีตั้งแต่หลักร้อยถึงพันบาท ขึ้นอยู่กับความละเอียดในการตรวจ นอกจากนี้หน่วยงานด้านสาธารณสุขที่ให้บริการตรวจยังมีไม่เพียงพอ เพราะต้องเป็นสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือสถานพยาบาลที่พร้อมส่งต่อให้บริษัทเอกชนด้านเทคนิคการแพทย์ดำเนินการตรวจในห้องปฏิบัติการให้เท่านั้น ดังนั้นการมี ‘ชุดตรวจที่เข้าถึงง่าย’ จึงเป็นหนทางที่จะช่วยลดช่องโหว่ดังกล่าว และนั่นเป็นที่มาให้ทีมวิจัยจากนาโนเทค สวทช. เข้าร่วมภารกิจอันท้าทายนี้   [caption id="attachment_49395" align="aligncenter" width="450"] ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.เดือนเพ็ญ จาปรุง ผู้อำนวยการขับเคลื่อนแผนงานนวัตกรรมชุดตรวจรวดเร็ว และ Strategic Focus ชุดตรวจสุขภาวะ นาโนเทค สวทช. เล่าว่า ปัจจุบันทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัสดุระดับนาโนและการประยุกต์ใช้เป็นเซนเซอร์ทางด้านการแพทย์ มาพัฒนาชุดตรวจโรคไตสำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี ประกอบด้วย ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ โดยเทคโนโลยีแรก ‘AL-Strip’ ซึ่งผู้พัฒนาหลักคือ ดร.สาธิตา ตปนียกร เป็นชุดตรวจโรคไตเชิงคุณภาพที่ประชาชนทั่วไปใช้ตรวจคัดกรองโรคได้ด้วยตัวเอง ทราบผลการตรวจได้ภายใน 5 นาที ที่สำคัญชุดตรวจมีราคาจับต้องได้   [caption id="attachment_66675" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption] [caption id="attachment_66677" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ AL-Strip[/caption]   “AL-Strip ใช้งานง่าย เพียงผู้ตรวจหยดปัสสาวะที่เก็บใหม่ลงบนแถบตรวจ แล้วอ่านผลจากแถบสีที่ปรากฏ (คล้ายกับการใช้ชุดตรวจ ATK ในการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19) ก็จะทราบผลการคัดกรองได้ทันที โดยหากผู้ตรวจมีปริมาณอัลบูมินซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นสารประกอบหลักของเลือดเจือปนอยู่ในปัสสาวะเกิน 20 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ชุดตรวจจะขึ้นแถบสี 1 ขีด หมายถึง ‘มีความเสี่ยงเป็นโรคไตสูง’ ผู้ตรวจควรเข้ารับการตรวจโดยละเอียดที่สถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยความผิดปกติของร่างกาย และเข้ารับการรักษาตามระยะของความผิดปกติ หากผู้ป่วยตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสหันกลับมาดูแลตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเพื่อชะลอความเสื่อมของไต ซึ่งอาจทำให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้”     AL-Strip ไม่เพียง ‘ตรวจง่าย’ แต่ยังมีจุดแข็งเรื่อง ‘ราคาที่จับต้องได้’ ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. จึงมุ่งเป้าให้ชุดตรวจนี้เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญด้านการคัดกรองโรคไตแบบเชิงรุกเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย ดร.เดือนเพ็ญ เล่าต่อถึงเทคโนโลยีที่สอง GO-Sensor Albumin Test ว่า เป็น ‘ชุดตรวจโรคไตเชิงปริมาณ เพื่อการวิเคราะห์ผลทางการแพทย์’ โดยทีมวิจัยได้พัฒนาใน 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องตรวจปริมาณอัลบูมินที่เจือปนอยู่ในปัสสาวะ ที่ใช้เวลาในการประมวลผลเพียง 10-30 นาที ขึ้นอยู่กับความละเอียดของข้อมูลที่ต้องการ (ตรวจได้ครั้งละ 1 ตัวอย่าง) ภายหลังจากเครื่องประมวลผลเสร็จ ระบบจะส่งข้อมูลเข้าสู่แดชบอร์ด (dashboard) ที่ดูได้ผ่านทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟน เพื่อให้แพทย์นำผลการตรวจไปใช้งานต่อได้สะดวก ส่วนที่สองคือน้ำยาตรวจที่มีความจำเพาะกับอัลบูมินของมนุษย์ มีความไว (sensitive) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจทั่วไปประมาณ 100 เท่า ช่วยลดปริมาณน้ำยาที่ใช้ในการตรวจได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญทั้งเครื่องอ่านผลและน้ำยาตรวจผ่านการพัฒนาให้มีราคาที่สถานพยาบาลขนาดเล็กสามารถสั่งซื้อเพื่อใช้งานได้ นอกจากนี้อุปกรณ์ยังผ่านการออกแบบให้เหมาะแก่การใช้ตรวจทั้งในสถานพยาบาลและการออกตรวจนอกสถานที่ เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานด้วย   [caption id="attachment_66678" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบชุดตรวจ GO-Sensor Albumin Test[/caption]   “GO-Sensor Albumin Test จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทุกสถานพยาบาลเข้าถึงอุปกรณ์การตรวจเชิงปริมาณเพื่อการดูแลรักษาคนไข้ในพื้นที่ โดยไม่ต้องส่งตัวคนไข้หรือส่งปัสสาวะ (ภายใต้การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมและนำเข้ากระบวนการตรวจภายใน 24 ชั่วโมง) ไปตรวจยังสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมสูง”       เตรียมผลักดันสู่ภาครัฐ มุ่งประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง ทั้ง AL-Strip และ GO-Sensor Albumin Test มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในระดับ TRL7-9 หรือพร้อมแก่การผลิตเพื่อการใช้งานจริงแล้ว โดยตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน นาโนเทค สวทช. ได้ผลิตอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ ‘โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (CKDNET)’ มาโดยตลอด โดยโครงการนี้มีผู้ดำเนินงานหลัก คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 7 ทั้งนี้นาโนเทค สวทช.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนในการผลิตอุปกรณ์จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)  ปัจจุบัน AL-Strip ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทยแล้ว 3 เจ้า คือ บริษัทอินโนซุส จำกัด, บริษัทเมดไบโอซิน จำกัด และบริษัทไฮไลฟ์ เฮลท์ จำกัด     ดร.เดือนเพ็ญ เล่าว่า 2 ปีที่ผ่านมา นาโนเทค สวทช. ได้สนับสนุนอุปกรณ์ ‘AL-Strip’ และ ‘GO-Sensor Albumin Test’ สำหรับให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ตรวจคัดกรองโรคไตแก่ประชาชนในจังหวัดขอนแก่นมาโดยตลอด มีผู้เข้ารับการตรวจแล้วมากกว่า 1,000 คน ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีอัตราการเป็นโรคไตสูงได้ทราบถึงความเสี่ยงในการเป็นโรคหรือความผิดปกติของร่างกายตนเองตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที สร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวม 7.87 ล้านบาท “ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในระดับประเทศ ปัจจุบันนาโนเทค สวทช. กำลังสรรหาบริษัทเอกชนที่สนใจเข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการผลิตและจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ รวมถึงมีนโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการนำผลงานทั้ง 2 เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทย โดยปัจจุบัน ทีมวิจัยได้ช่วยผลักดันให้ 1 ใน 2 ผลงานนี้เข้าสู่บัญชีนวัตกรรมไทยสำเร็จแล้ว ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกลไกส่งเสริมให้สถานพยาบาลจัดซื้อนวัตกรรมทางการแพทย์ที่คนไทยผลิตไปใช้ประโยชน์ อีกทั้งอาจเป็นช่องทางให้ภาครัฐสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคด้วยตัวเองอย่างเท่าเทียม ผ่านการติดต่อรับชุดอุปกรณ์ที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ ดังที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำลังขับเคลื่อนงานด้วย” อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงความพร้อมทางด้านการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ในประเทศไทย จะเห็นว่าปัจจุบันนอกจากนาโนเทค สวทช. ที่มีห้องปฏิบัติการที่สามารถผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์มาตรฐาน ISO13485 เป็นของตนเองแล้ว ยังมีโรงงานอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ได้มาตรฐาน ISO13485 ที่พร้อมรับจ้างผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทนี้เช่นกัน ดังนั้นหากผู้ประกอบการพร้อม ภาครัฐพร้อม การเดินหน้าผลิตอุปกรณ์เพื่อให้คนไทยทั่วประเทศเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคไตเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที ดร.เดือนเพ็ญ กล่าวเสริมทิ้งท้ายว่า ในการพัฒนาชุดตรวจทางการแพทย์ ทีมวิจัยไม่ได้ให้ความสำคัญแต่เฉพาะเพียงเรื่องโรคไตเท่านั้น แต่ยังมองถึงภาพรวมของการสร้างระบบนิเวศในการวิจัยและพัฒนาชุดตรวจโรคที่คนไทยรวมถึงคนทั่วโลกมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะโรคในกลุ่ม NCDs ด้วย ตัวอย่างโรคที่มีการพัฒนาชุดตรวจแล้ว เช่น โรคเบาหวาน ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง และเป็นการสร้างความมั่นคงด้านการแพทย์และสาธารณสุขไทย ซึ่งจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของการขับเคลื่อนไทยสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ (medical hub) ของเอเชียได้อย่างมั่นคง สำหรับผู้ที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมทำวิจัย ติดต่อสอบถามได้ที่ นาโนเทค สวทช. ทางอีเมล pr@nanotec.or.th   ผู้สนับสนุนหลักในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงขับเคลื่อนสู่การใช้ประโยชน์จริง   - คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบทางคลินิก - สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้คำปรึกษาด้านการขอมาตรฐานในการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ - สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 7 ให้การสนับสนุนผ่านการร่วมลงนาม MOU กับ สวทช. และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ในการผลักดันให้เกิดการใช้ชุดตรวจในพื้นที่ต้นแบบ - โครงการป้องกันและชะลอโรคไตเรื้อรังในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้การสนับสนุนด้านการทดสอบภาคสนามและการนำไปใช้ประโยชน์ - สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและนำชุดตรวจไปใช้ประโยชน์ - สถาบันพระบรมราชชนก โดยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ให้การสนับสนุนด้านการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการปิงปองจราจร 7 สี ซึ่งดำเนินงานด้านการคัดกรองและติดตามผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรค NCDs   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ คลิปสั้นโดย ภัทรา สัปปินันทน์, สาลินีย์ ทับพิลา ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช., อัครวุฒิ ตู้วชิรกุล ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช. และปฏิวัติ อ่อนพุทธา ฝ่ายจัดการความรู้และสร้างความตระหนัก สวทช. ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ผลการดำเนินงาน สวทช. ปีงบประมาณ 2566
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้เข็มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัยใช้จริงในทุกภาคส่วน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในปี 2566 สวทช. ระดมบุคลากรจากหลายส่วนงานมาร่วมขับเคลื่อนและผลักดันยุทธศาสตร์ NSTDA Core Business โดยเพิ่มบทบาททำงานเชิงรุก เพื่อต่อยอดสมรรถนะหลักขององค์กรสู่การใช้ประโยชน์จริงผ่านเครือข่ายพันธมิตร สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศนับล้านคน และนำมาสู่การสร้างรายได้ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม  สวทช. ผลิตผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน นำไปใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 46,698 ล้านบาท  เกิดการลงทุนทางด้าน วทน. มูลค่า 15,196 ล้านบาท สวทช. ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยให้บริการวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ และให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีมากกว่า 83,742 รายการ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม สวทช. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมนำไปสู่การใช้งานจริงเชิงพาณิชย์ สวทช. พัฒนาศักยภาพเกษตรกรและชุมชนให้เข้มแข็ง โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศ 14,200 คน เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี สำหรับการพัฒนาและสร้างเสริมบุคลากรวิจัยให้แก่ประเทศ สวทช. สนับสนุนบัณฑิตและนักวิจัยอาชีพ ผ่านการให้ทุน รวม 713 คน และส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ และค่ายวิทยาศาสตร์ โดยมีเยาวชนและครูเข้าร่วม 10,264 คน ในปี 2566 สวทช. ผลิตผลงานวิจัยเด่น อาทิ ชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร ประกอบด้วย ชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงศัตรูพืชชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืช และ ชีวภัณฑ์ควบคุมวัชพืช รวมทั้งจัดทำคู่มือการจัดการศัตรูด้วยชีวภัณฑ์แบบครบวงจรสำหรับทุเรียนและถั่วฝักยาว โดยถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกรในหลายพื้นที่ ช่วยลดการนำเข้าและลดการใช้สารเคมี ลดปัญหาสารเคมีตกค้าง ยกระดับการผลิต และเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่ภาคการเกษตรของประเทศ “Rachel” ชุดบอดี้สูทช่วยในการเคลื่อนไหวสำหรับผู้สูงอายุ ใช้สวมใส่ตลอดวัน ช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากกิจวัตรประจำวัน ปัจจุบันได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และเตรียมขยายผลการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการแปลงเพาะปลูก ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างน้อย 20% ปัจจุบันมีศูนย์ต้นแบบการถ่ายทอดเทคโนโลยีสมาร์ตฟาร์มมากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และประกาศเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด เพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ ชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพรและน้ำ สำหรับวิเคราะห์สารปนเปื้อนในรูปแบบต่างๆ มีความไวและความจำเพาะสูง ใช้งานง่าย ต้นทุนต่ำ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม “EnPAT” น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากปาล์มน้ำมันไทย ช่วยยกระดับการแปรรูปน้ำมันปาล์มสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง นอกจากนี้ สวทช. ยังมีส่วนร่วมขับเคลื่อนแผนปัญญาประดิษฐ์ระดับประเทศ โดยทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ประเทศไทยเลื่อนอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 จากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญา ประดิษฐ์ของรัฐบาล อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญร่วมขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ระดับประเทศและจังหวัดนำร่อง มีจำนวนผู้ที่ได้รับการพัฒนาทักษะ BCG สะสม ปี 2564 - 2565 รวมกันกว่า 6 แสนคน และมีสัดส่วนของเศรษฐกิจ BCG สูงขึ้นในจังหวัดนำร่อง เช่น จันทบุรีและราชบุรี ทั้งหมดนี้คือภาพรวมผลการดำเนินงานของ สวทช. ในปี 2566 ที่มุ่งพัฒนาและขับเคลื่อนงานวิจัยสู่การใช้จริงในทุกภาคส่วน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกมิติ อย่างยั่งยืน
ผลการดำเนินงาน
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ แชตบอตวินิจฉัยโรค ใช้งานง่าย รู้ผลทันที
For English-version news, please visit : Strawberry Disease Bot: Chatbot for strawberry disease identification   ‘สตรอว์เบอร์รี’ เป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจของไทยที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรภาคเหนือมหาศาล ทั้งด้านการจำหน่ายผลสดและสินค้าแปรรูป รวมไปถึงการสร้างรายได้ผ่านการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมพื้นที่สวนและเลือกเก็บผลสตรอว์เบอร์รีสดกลับไปรับประทาน อย่างไรก็ตามหนึ่งในความเสี่ยงสูงที่เกษตรกรต้องเผชิญในการทำธุรกิจเป็นประจำทุกปี คือ การที่ต้นสตรอว์เบอร์รีติดโรค ซึ่งบางโรคมีความร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียผลผลิตยกแปลง หากไม่ได้รับการดูแลตั้งแต่เริ่มต้น     กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมูลนิธิโครงการหลวง พัฒนา ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี (strawberry disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านภาพถ่าย เพื่อให้คำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมและทันท่วงที   [caption id="attachment_50501" align="aligncenter" width="700"] นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช.[/caption]   นายวศิน สินธุภิญโญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) เนคเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการพัฒนาบอทโรคสตรอว์เบอร์รี มาจากการร่วมกับทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์พัฒนา ‘บอทโรคข้าว (rice disease bot)’ แชตบอตสำหรับให้บริการวินิจฉัยโรคข้าวผ่านภาพถ่ายจนประสบความสำเร็จ ซึ่งภายหลังจากทางมูลนิธิโครงการหลวงที่ทำหน้าที่ดูแลให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในภาคเหนือด้านการเพาะปลูกพืชเมืองหนาวได้ทราบถึงข่าวผลงานวิจัยนี้ จึงติดต่อมาที่เนคเทค สวทช. เพื่อดำเนินงานความร่วมมือวิจัยและพัฒนาแชตบอตวินิจฉัยโรคพืชเมืองหนาว เพื่อให้เกษตรในภาคเหนือได้เข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการเกษตร “ภายหลังจากร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมทั้งด้านการเป็นพืชเศรษฐกิจ และการมีฐานข้อมูลเพียงพอต่อการเริ่มต้นพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ทีมวิจัยและมูลนิธิโครงการหลวงจึงตัดสินใจเลือกสตรอว์เบอร์รีซึ่งเป็นพืชที่ค่อนข้างมีความพร้อมสูงมาพัฒนาระบบวินิจฉัยโรคแบบอัตโนมัติเป็นชนิดแรก โดยปัจจุบันได้มีการพัฒนาจนพร้อมให้เกษตรกรเข้าร่วมทดลองใช้ เพื่อช่วยกันยกระดับประสิทธิภาพในการวิเคราะห์โรคแล้ว”   [caption id="attachment_50494" align="aligncenter" width="700"] ทีมวิจัยจากเนคเทค สวทช. นายสัณหรัฐฐ์ สวัสดิยากร (ซ้าย) นางสาวกรรณทิพย์ กิรติรัตนพฤกษ์ (ขวา)[/caption] บอทโรคสตรอว์เบอร์รีผ่านการออกแบบให้เกษตรกรใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) เพียงถ่ายภาพรอยโรคที่เกิดขึ้นบนต้นสตรอว์เบอร์รีแล้วส่งภาพเข้าสู่หน้าแชต ระบบจะดึงภาพไปยังคลาวด์ และส่งให้ AI วิเคราะห์โรคด้วยเทคนิคเรียนรู้เชิงลึก (deep learning) เมื่อได้ผลแล้วระบบจะส่งผลการวิเคราะห์พร้อมคำแนะนำในการควบคุมโรคอย่างเหมาะสมกลับมาให้เกษตรกรทราบภายใน 3-5 วินาที   [caption id="attachment_50502" align="aligncenter" width="450"] ภาพตัวอย่างการใช้งานแชตบอต[/caption]   นายวศินเล่าถึงเทคโนโลยีว่า แชตบอตสามารถวินิจฉัยโรคเด่นที่พบในการเพาะปลูกสตรอว์เบอร์รีในประเทศไทยได้แล้ว 5 โรค ประกอบด้วย โรคแอนแทร็กซ์โนส (วินิจฉัยรอยโรคได้ทั้งที่เกิดบนไหล ใบ และผล) โรคใบไหม้ โรคราสีเทา โรคราแป้ง และโรคใบจุดสีน้ำตาล โดยปัจจุบันระบบมีความแม่นยำในการวิเคราะห์ผลอยู่ที่ร้อยละ 60-70 ทั้งนี้จะมีความแม่นยำเพิ่มขึ้นตามปริมาณฐานข้อมูลที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งจะมาจากการที่เกษตรกรช่วยกันทดสอบใช้งานระบบ “อย่างไรก็ตามแม้ตอนนี้ความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคจะยังไม่สูงมากนัก แต่เกษตรกรสามารถใช้งานแชตบอตได้แล้ว เพราะภายในกลุ่มจะมีเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิโครงการหลวงช่วยตรวจสอบความถูกต้องให้อีกครั้งหนึ่งด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิโครงการหลวงได้ให้คำแนะนำการใช้งานไว้ว่า ‘หากเริ่มพบความผิดปกติของโรคภายในพื้นที่เพาะปลูกควรรีบถ่ายภาพและส่งข้อมูลให้ระบบช่วยวินิจฉัยโรคทันที เพื่อรับมือกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดการใช้สารเคมีควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพด้วย’ สำหรับในมุมของการพัฒนาระบบ ทีมวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเกษตรกรจัดส่งภาพรอยโรคเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ทีมงานได้นำไปใช้พัฒนาระบบให้ทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’ เหมาะที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือเกษตรกรด้านการเพาะปลูกต่อไปในระยะยาว” นายวศินกล่าวทิ้งท้าย   [caption id="attachment_50603" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการสำรวจรอยโรคที่ปรากฏบนต้นสตรอว์เบอร์รีเพื่อใช้ทำฐานข้อมูลให้ AI เรียนรู้[/caption]   [caption id="attachment_50604" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]   [caption id="attachment_50605" align="aligncenter" width="700"] บรรยากาศการถ่ายทอดองค์ความรู้ ชวนเกษตรกรมาใช้งาน ‘บอทโรคสตรอว์เบอร์รี’[/caption]   บอทโรคสตรอว์เบอร์รีเป็นหนึ่งในตัวอย่างการยกระดับการทำการเกษตรของประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สนับสนุนให้เกิดการทำเกษตรแบบสมัยใหม่เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงาน สอดคล้องกับการเติบโตตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งให้คนไทย ‘ทำน้อยแต่ได้มาก’ ปัจจุบันบอทโรคสตรอว์เบอร์รีเปิดให้ใช้งานแล้ว ผู้ที่สนใจใช้บริการเข้าร่วมกลุ่มแชตบอตได้ผ่านการสแกน QR Code นี้   [caption id="attachment_50497" align="aligncenter" width="230"] สแกนเพื่อเข้าร่วมกลุ่มแชตบอต[/caption]     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชวนคนกรุงสูดอากาศสะอาด ที่ ‘MagikFresh’ ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ ณ สวนจตุจักร
  PM2.5 เป็นปัญหาฝุ่นละอองที่คนไทยต้องเผชิญแทบทุกปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วง ‘อากาศปิด’ สภาวะอากาศแห้งและนิ่ง ทำให้ฝุ่นละอองแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศได้นาน ส่งผลให้ PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและมีค่าเกินมาตรฐาน อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ผู้คนในหลายพื้นที่ไม่สามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมนันทนาการ ได้ตามปกติ   [caption id="attachment_50260" align="aligncenter" width="750"] MagikFresh[/caption]   สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พัฒนา 'ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่’ หรือ ‘MagikFresh (เมจิกเฟรช)’ สำหรับให้บริการแก่ผู้ใช้บริการสวนจตุจักร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566 - พฤษภาคม 2567 เป็นเวลา 7 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์ในการพักผ่อน ออกกำลังกาย และจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ มุ่งลดผลกระทบการเจ็บป่วยจากการสูดฝุ่น PM2.5 ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ปัจจุบัน MagikFresh ตั้งอยู่ภายในสวนจตุจักร ฝั่งติดถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้กับประตูทางเข้าออกสวนที่ตรงกับ MRT สถานีสวนจตุจักร      ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า MagikFresh เป็นอาคารลักษณะกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาด 100 ตารางเมตร มีประตูทางเข้าหนึ่งทาง ประตูทางออกหนึ่งทาง โครงสร้างอาคารมีลักษณะเป็นแผ่นพลาสติกใสมองทะลุเห็นบรรยากาศสวนภายนอกได้ บริเวณภายในอาคารมีนิทรรศการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับ PM2.5 และ MagikFresh ติดตั้งอยู่บนผนังทั้ง 4 ด้าน อีกทั้งยังมีสวนหย่อมให้ประชาชนได้เข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนด้านนอกอาคารเป็นพื้นที่ติดตั้งเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้ดึงอากาศจากภายนอกให้เข้ามาไหลเวียนเข้ามาภายในอาคาร ส่วนองค์ประกอบสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือหลังคาที่มีลักษณะเป็นช่องระบายอากาศสำหรับปล่อยให้อากาศจากภายในอาคารไหลออกสู่ภายนอก “MagikFresh สร้างการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในอาคาร โดยดูดอากาศจากภายนอกเข้าสู่เครื่องกรองอากาศที่ติดตั้งไว้ทั้ง 4 ทิศรอบอาคารด้านนอก เพื่อกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กออกจากอากาศด้วยระบบไฟฟ้าสถิต ก่อนปล่อยอากาศสะอาดเข้าสู่ภายในอาคารผ่านช่องปล่อยอากาศด้านใน จากนั้นอากาศจะเคลื่อนตัวขึ้นไปที่ช่องระบายอากาศบริเวณหลังคา ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกสบายตัว และเป็นการป้องกันฝุ่นจากภายนอกไม่ให้ลอยเข้ามาทางช่องเปิดด้วย” MagikFresh สร้างอากาศสะอาดที่มีค่า PM2.5 ต่ำกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ระดับที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพ) ได้มากถึง 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศภายในอาคารได้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบต่อชั่วโมง     [caption id="attachment_50259" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   [caption id="attachment_50258" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศภายใน MagikFresh[/caption]   ดร.พรอนงค์ อธิบายเสริมถึงจุดเด่นสำคัญ 5 ประการของเทคโนโลยี MagikFresh ว่าประการแรก คือการออกแบบระบบกรองอากาศด้วยเทคนิคไฟฟ้าสถิต ที่มีการปลดปล่อยก๊าซโอโซนเฉลี่ย 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 10 ppb หรือต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 10 เท่า ประการที่สอง คือ MagikFresh ปรับการทำงานของเครื่องให้สอดคล้องกับค่าฝุ่นละออง ณ​ ขณะนั้นได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ประการที่สาม คือ ชุดกรองอากาศผ่านการออกแบบให้ถอดล้างหรือทำความสะอาดได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ​ และไม่ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศบ่อยครั้งเหมือนเครื่องกรองอากาศทั่วไป จึงช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดการสร้างขยะได้เป็นอย่างดี ประการที่สี่ คือ MagikFresh ผ่านการออกแบบให้ถอดประกอบรวมถึงปรับขนาดของพื้นที่อาคารได้ตามต้องการ นำไปติดตั้งเพื่อใช้งานยังสถานที่อื่น ๆ ได้สะดวก และประการสุดท้ายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ MagikFresh เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศที่พัฒนาโดยคนไทยและผลิตได้ภายในประเทศ ช่วยลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขไทยด้วย นอกจาก MagikFresh ที่เป็นนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศสำหรับใช้งานในพื้นที่อาคารกึ่งปิดกึ่งเปิดขนาดใหญ่แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนานวัตกรรมอีกหลายชิ้นเพื่อสนับสนุนการรับมือปัญหาด้านฝุ่น PM2.5 ดร.พรอนงค์ เล่าว่า ตัวอย่างเทคโนโลยีเด่นที่ทีมวิจัยพัฒนาเพื่อสนับสนุนการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 เช่น ‘ชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล’ สำหรับใช้งานกับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะ รวมถึงรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหา PM2.5 จากการทดสอบประสิทธิภาพกับรถกระบะเครื่องยนต์ดีเซลพบว่า ชุดกรองสามารถลดค่าไอเสียที่สูงถึงร้อยละ 99 ให้เหลือเพียงร้อยละ 27 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานใหม่ที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดไว้ที่ร้อยละ 30 ที่สำคัญชุดกรองยังผ่านการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบโครงสร้างให้ใช้งานได้ยาวนาน ทำความสะอาดง่าย เพื่อช่วยลดต้นทุนด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้ประกอบการด้านระบบขนส่งให้ได้มากที่สุด   [caption id="attachment_50261" align="aligncenter" width="700"] ดร.พรอนงค์ พงษ์ไพบูลย์ นำเสนอผลงานชุดกรองไอเสียจากเครื่องยนต์ดีเซล[/caption]   นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี ‘IonFresh+ (ไอออนเฟรชพลัส)’ เครื่องกรองฝุ่นละอองและกำจัดเชื้อโรคในอากาศสำหรับใช้ภายในห้องขนาดใหญ่ 100-250 ตารางเมตร อาทิ ห้องประชุม ห้องจัดแสดงผลงาน ซึ่งเครื่องกรองฯ ทำงานโดยใช้เทคโนโลยี 2 ด้านหลัก คือ ใช้ระบบไฟฟ้าสถิตในการกรองฝุ่นละออง และใช้แสง UVC ในการกำจัดเชื้อก่อโรค จุดเด่นที่สำคัญของเครื่องนี้คือปลดปล่อยโอโซนต่ำ ปรับการทำงานได้แบบอัตโนมัติตามค่า PM2.5 ณ ขณะนั้น ล้างทำความสะอาดชุดกรองได้ง่าย และตัวเครื่องยังผ่านการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ทำให้เคลื่อนย้ายไปใช้งานตามห้องต่าง ๆ ได้สะดวก”   [caption id="attachment_50257" align="aligncenter" width="700"] IonFresh+[/caption]   ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างผลงานวิจัยที่ สวทช. พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ในประเทศไทย รวมถึงช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบาง อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีอื่น ๆ ติดตามข้อมูลได้ที่ www.nstda.or.th ส่วนผู้สนใจใช้พื้นที่ MagikFresh จัดกิจกรรมนันทนาการ หรือ นำ MagikFresh ไปติดตั้งในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศที่กล่าวมาทั้ง 3 ผลงาน ติดต่อได้ที่ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS) เนคเทค สวทช. โทร 0 2564 6900   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วมพันธมิตร พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียม (Digital inclusion)’
  การปรับเปลี่ยนจากยุคแอนะล็อกเป็นดิจิทัลอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการติดต่อสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูล การเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการทำธุรกรรมทางการเงิน อย่างไรก็ตามสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) รายงานว่า ‘ยังมีกลุ่มคนเปราะบางมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรไทย ที่ต้องเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (digital divide) เนื่องด้วยข้อจำกัดทางกายภาพและการเรียนรู้ ที่ทำให้ต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อให้เข้าถึงสื่อและระบบบริการได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งนั่นส่งผลให้คนกลุ่มนี้ขาดโอกาสในการเข้าถึงข่าวสารที่มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต และเกิดความเหลื่อมล้ำในการนำความรู้มาพัฒนาศักยภาพของตนเพื่อการดำรงชีพในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (digital economy) ดังปัจจุบัน’ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ (DHCB) และกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ (A-MED) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนให้ ‘คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงบริการดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม (digital inclusion)’ โดยแบ่งการพัฒนางานออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ การเข้าถึงการสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ และการเข้าถึงระบบบริการดิจิทัล     ที่ผ่านมา สวทช. ได้ดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยีผ่าน ‘แพลตฟอร์มสนับสนุนการเข้าถึงสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (Accessibility Information and Communication Platform: AI-C (ไอ-ซี))’ จนประสบความสำเร็จแล้ว 2 เทคโนโลยี คือ ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารและระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงสำหรับคนพิการทางการได้ยิน และมีแผนพัฒนาต่ออีก 2 งาน คือ ระบบบริการสื่ออ่านง่ายสำหรับคนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ และระบบตรวจสอบการเข้าถึงสื่อดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียมสำหรับคนพิการทางการมองเห็นและการได้ยินรวมไปถึงผู้สูงอายุ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ตามเป้าหมายที่ 3 คือ การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (good health and well-being) และเป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่เท่าเทียม (quality education)   ‘TTRS’ ระบบบริการถ่ายทอดการสื่อสารสำหรับคนพิการทางการได้ยิน หนึ่งในปัญหาหลักของคนพิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวก คือ ไม่สามารถเข้าถึงการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลได้สะดวกเหมือนคนหูดี ทั้งด้วยเหตุผลของการไม่สามารถสื่อสารด้วยเสียง และการไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากภาษาหลักของคนหูหนวกคือ ‘ภาษามือ’ ซึ่งมีไวยากรณ์คนละแบบกับภาษาไทย ดังนั้นคนหูหนวกจึงมีภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง เช่นเดียวกับคนหูดีที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ประกอบกับคนหูหนวกส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาไม่เกินระดับชั้นประถมศึกษาจึงส่งผลให้มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่จำกัด และไม่เข้าใจคำศัพท์และข้อความที่ซับซ้อนได้     ทั้งนี้จากจำนวนคนหูหนวกในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 400,000 คน มีประมาณร้อยละ 70 สามารถสื่อสารด้วยภาษามือได้อย่างคล่องแคล่ว และมีเพียงร้อยละ 3 ของคนหูหนวกที่ใช้ภาษามือได้คล่องแคล่ว สามารถสื่อสารด้วยภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วด้วย   [caption id="attachment_50209" align="aligncenter" width="500"] ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช.[/caption]   ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงและสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. เล่าว่า สวทช. ได้ร่วมกับ กสทช. และมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ พัฒนา ‘ศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (Thai Telecommunication Relay Service: TTRS)’ สำหรับให้บริการล่ามแปลภาษาจาก ‘ภาษามือหรือข้อความที่ใช้ไวยากรณ์ภาษามือ’  เป็น ‘เสียงภาษาไทย’ และแปลจาก ‘เสียงภาษาไทย’ เป็น ‘ภาษามือหรือข้อความที่ใช้ไวยากรณ์ภาษามือ’ เพื่อให้บริการด้านการสื่อสารระหว่างคนหูหนวกกับคนหูดีผ่านระบบออนไลน์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปีแล้ว โดยที่ผ่านมามีผู้ใช้งานระบบแล้วมากกว่า 2.5 ล้านครั้ง ปัจจุบันมีการใช้บริการเฉลี่ย 1,200 ครั้งต่อวัน     “TTRS พัฒนาระบบให้คนหูหนวกเข้าถึงบริการได้มากถึง 4 รูปแบบหลัก คือ video call, video message, chat และ SMS โดยสาเหตุที่พัฒนาให้มีความหลากหลายมากกว่าระบบบริการของประเทศอื่น ๆ (โดยส่วนใหญ่) มาจากการออกแบบระบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบโทรคมนาคมของประเทศไทย เพราะบางพื้นที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงได้ ส่งผลให้การสื่อสารแบบเรียลไทม์อาจมีความติดขัดหรือก่อให้เกิดการสื่อสารที่ผิดพลาด นอกจากนี้ TTRS ยังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คนหูหนวกเข้าถึงบริการล่ามได้ตลอดเวลาอีกด้วย เพราะมีคนหูหนวกจำนวนมากทำงานหรือใช้ชีวิตในเวลากลางคืน หรืออาจต้องเผชิญเหตุการณ์เร่งด่วนที่ทำให้ต้องใช้ล่ามนอกเวลาทำการทั่วไป เช่น การสื่อสารอาการเจ็บป่วยให้หมอทราบ การแจ้งขอความช่วยเหลือจากเหตุด่วนเหตุร้ายต่าง ๆ”      การเพิ่มโอกาสทางการสื่อสารจะช่วยให้คนหูหนวกรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสังคมมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงาน เพิ่มโอกาสในการรักษาความเจ็บป่วย และช่วยให้พวกเขาสื่อสารความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่นึกคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและเท่าเทียม   ระบบบริการคำบรรยายแทนเสียง (CC) แบบเรียลไทม์ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนหูหนวกจำนวนมากขาดโอกาสทางการเรียนรู้ในระดับสูงและพลาดโอกาสการรับทราบข่าวสารอย่างเท่าทันสถานการณ์ มาจากการที่คนหูหนวกไม่สามารถเข้าถึง ‘การบรรยาย’ หรือ ‘การถ่ายทอดสด’ ที่ไม่มีระบบบริการล่ามภาษามือหรือคำบรรยายแทนเสียงให้บริการได้ ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สวทช. ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงประเภทเปิดและปิดได้ (Closed Captioning: CC) แบบเรียลไทม์ สำหรับขึ้นในรายการโทรทัศน์ การประชุมที่มีความสำคัญ​ของประเทศ และการจัดการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย มาเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว กลไกการทำงานของระบบแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ การใช้คนถอดคำ การใช้ระบบอัตโนมัติถอดคำ และแบบผสม ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ เพราะในกรณีที่มีผู้พูดมากกว่า 1 คน มีการพูดมากกว่า 1 ภาษา และในกรณีที่เสียงพูดไม่ชัดเจนหรือมีเสียงอื่น ๆ นอกจากเสียงพูดรบกวน ระบบอัตโนมัติจะมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ทั้งนี้จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าระบบที่ สวทช. พัฒนาขึ้นสามารถจัดทำคำบรรยายได้ตรงตามมาตรฐานที่ กสทช. กำหนด คือ ขึ้นคำบรรยายได้ภายใน 5 วินาทีหลังจากผู้พูดพูดจบประโยค และมีความแม่นยำ (accuracy) มากกว่าร้อยละ 90     “ปัจจุบัน สวทช. พร้อมให้บริการระบบบริการคำบรรยายแทนเสียงแบบเรียลไทม์แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ร่วมกับ กสทช. ทดสอบการให้บริการ CC แบบเรียลไทม์แก่ช่องทีวีดิจิทัลทุกสถานีส่งสัญญาณ (MUX) ในช่วงการรายงานสดสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่รายงานสดทุกวันเป็นเวลากว่า 2 เดือน และให้บริการ CC แบบเรียลไทม์แก่สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแก่คนหูหนวกแล้ว 5 สถาบัน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล (จ.นครปฐม) วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ และโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดอุดรธานี โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนการให้บริการแก่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มากขึ้นในอนาคต เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงอย่างเท่าเทียม” ทั้งนี้ในปี 2567 ทาง กสทช. มีแผนเพิ่มมาตรการบังคับการมีระบบบริการดิจิทัลอย่างเท่าเทียมแก่คนหูหนวก โดยกำหนดให้ช่องทีวีดิจิทัลของภาครัฐจะต้องให้บริการ CC เพิ่มขึ้นจาก 2 ชั่วโมงเป็น 3 ชั่วโมง ส่วนช่องทีวีดิจิทัลของเอกชนจะต้องเพิ่มจาก 1 ชั่วโมง เป็น 2 ชั่วโมง ดังนั้นการมีเทคโนโลยีภายในประเทศสำหรับรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ให้บริการระบบทีวีดิจิทัลปรับเปลี่ยนการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น     ระบบบริการสื่ออ่านง่าย (Easy read) ผู้ที่บกพร่องทางการรับรู้ อาทิ บุคคลออทิสติก บุคคลที่บกพร่องทางปัญญา บุคคลที่บกพร่องทางการเรียนรู้ กลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้แตกฉาน เป็นคนอีกกลุ่มใหญ่ที่ต้องเผชิญความยากลำบากจากการรับรู้ไม่เท่ากับคนทั่วไป ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถทำความเข้าใจข้อมูลที่มีความซับซ้อนสูงหรือมีศัพท์เฉพาะ แต่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตได้ เช่น เอกสารทางด้านกฎหมาย เอกสารด้านสิทธิพลเมือง เอกสารด้านสุขภาพและสาธารณสุข ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า ปัจจุบัน สวทช. มีแผนพัฒนา ‘ระบบบริการสื่ออ่านง่าย (digital platform for easy to understand communication (easy read) services)’ เพื่อให้บริการคลังคำและคลังภาพสำหรับผลิตสื่ออ่านง่าย สำหรับใช้พัฒนาเครื่องมือแนะนำการแปลงเนื้อหาเอกสารที่เข้าใจยากให้มีข้อความและการนำเสนอที่เข้าใจง่ายขึ้น ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการแปลงเอกสารประกอบการเรียนรู้และเอกสารที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีพ สนับสนุนให้ทุกคนเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างเท่าเทียม โดยคาดว่าการพัฒนานี้จะนำไปสู่การสร้างระบบแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติได้ในอนาคตด้วย “ทีมวิจัยมีแผนพัฒนาคลังคำและคลังภาพ รวมถึงเครื่องมือแนะนำการแปลงเนื้อหาให้พร้อมใช้งานในระดับเบื้องต้นภายในปี 2567 และตั้งเป้าพัฒนาสู่ระบบแปลงข้อมูลแบบอัตโนมัติในช่วงอีก 2-3 ปีข้างหน้า ณ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือในการวิจัยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”     เทคโนโลยีตรวจสอบบริการดิจิทัล นอกจากการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนให้คนพิการและผู้สูงอายุการเข้าถึงการสื่อสารและข้อมูลสารสนเทศได้อย่างเท่าเทียมแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘เทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบการเข้าถึงสื่อและบริการว่าเอื้อให้เกิดการเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมจริงหรือไม่’ ดร.ณัฐนันท์ เล่าว่า อีกหนึ่งภารกิจที่ สวทช. มีแผนเริ่มดำเนินการในช่วงปี 2567 คือ การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบการให้บริการสื่อหรือบริการดิจิทัล โดยแบ่งการตรวจสอบออกเป็น 3 ส่วน คือ โมไบล์แอปพลิเคชัน เว็บแอปพลิเคชัน และการออกอากาศรายการโทรทัศน์ “โดยในส่วนของโมไบล์แอปพลิเคชันจะพัฒนาเป็น ‘ชุดคู่มือสำหรับตรวจสอบการเข้าถึงการใช้งานแอปพลิเคชัน’ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการใช้บริการได้อย่างสะดวก (ไม่สามารถพัฒนาระบบอัตโนมัติในการตรวจสอบได้ เนื่องจากมีความหลากหลายของซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันสูง) ทางด้านเว็บแอปพลิเคชันจะพัฒนาเป็น ‘ซอฟต์แวร์สำหรับตรวจสอบโคด (code) ของเว็บไซต์’ ว่าเอื้อให้คนทุกคนเข้าถึงการใช้บริการได้อย่างสะดวกหรือไม่ และในส่วนของการออกอากาศรายการโทรทัศน์ จะพัฒนาเป็นเทคโนโลยีสำหรับตรวจสอบ ‘บริการล่ามภาษามือ บริการคำบรรยายแทนเสียง และบริการเสียงบรรยายภาพ’ ตามที่ กสทช. กำหนดแบบอัตโนมัติ     ทั้งนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบตรวจสอบ คือ การพัฒนาชุดองค์ความรู้ด้านการออกแบบสื่อและระบบบริการดิจิทัลในรูปแบบที่คนพิการหรือผู้สูงอายุเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศหรือการใช้บริการระบบดิจิทัลได้สะดวกและมีความเท่าเทียม สำหรับใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตสื่อและระบบบริการอย่างเหมาะสม ดร.ณัฐนันท์ เสริมว่า เพื่อสนับสนุนให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาสื่อออนไลน์และระบบบริการดิจิทัลมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง digital inclusion อย่างถ่องแท้ สวทช. มีแผนร่วมดำเนินงานกับสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (DCT) จัดอบรมให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมดิจิทัล ภายในปี 2567 ก่อนที่ในปี 2568 จะดำเนินการผลักดันนโยบายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. ใช้เทคโนโลยีและชุดองค์ความรู้ที่ สวทช. พัฒนาขึ้น เพื่อตรวจสอบเนื้อหาสื่อออนไลน์และระบบบริการดิจิทัลของภาครัฐว่าคนพิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าร่วมใช้ประโยชน์จากสื่อต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ (หรือตามที่กำหนดให้ควรเข้าถึงได้) ได้อย่างเท่าเทียมหรือไม่ต่อไป ส่วนทางด้านการออกอากาศรายการโทรทัศน์ สวทช. มีแผนร่วมดำเนินงานกับ กสทช. สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ใช้เทคโนโลยีเพื่อตรวจสอบการออกอากาศรายการโทรทัศน์ของช่องทีวีดิจิทัลต่าง ๆ ตามข้อกำหนดด้านการออกอากาศของ กสทช.   จากทั้ง 4 เทคโนโลยีหลักที่ สวทช. และพันธมิตรเปิดให้บริการหรือกำลังพัฒนาเพื่อให้บริการภายใต้การดำเนินงานผ่านแพลตฟอร์ม AI-C คณะทำงานมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้มีผู้ได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคน ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2571 ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล “เมื่อไหร่ก็ตามที่คนพิการและผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงการสื่อสารและบริการดิจิทัลต่าง ๆ ได้ ‘ประโยชน์ทั้งด้านการเรียนรู้ การประกอบอาชีพ และการดำรงชีพ จะเกิดขึ้นในทันที” ดร.ณัฐนันท์ กล่าวทิ้งท้าย   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ TTRS
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ตรวจง่าย สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ
For English-version news, please visit : PigXY-AMP: A sensitive and rapid one-step colorimetric LAMP detection kit for African swine fever virus   โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever: ASF) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ทำให้สุกรมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้การควบคุมการระบาดของโรคนี้เป็นไปได้ยากมาจากการที่เชื้อไวรัสก่อโรค ASF มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง อีกทั้งยังไม่มีวัคซีนและยาที่ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้ ทำให้การป้องกันและเฝ้าระวังการระบาดใหม่ยังคงต้องพึ่งพาการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการที่กลับมาเริ่มธุรกิจฟาร์มสุกรจึงทำได้เพียงตรวจคัดกรองลูกสุกรก่อนนำเข้าเลี้ยงในฟาร์มเท่านั้น ล่าสุดองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่าช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายนปี 2566 ยังพบการระบาดของโรคนี้ใน 3 ทวีป คือ แอฟริกา ยุโรป และเอเชีย ขณะที่ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคให้สงบได้แล้วหลังเผชิญการระบาดใหญ่ในปี 2565 อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ยังคงมีมาตรการให้ทุกฟาร์มตรวจคัดกรองโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ASF อย่างเคร่งครัดต่อไป     ในช่วงเริ่มแรกของการระบาดของโรค ASF ในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ปี 2561 แต่ยังไม่พบการระบาดในประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้เดินหน้าเชิงรุกเตรียมความพร้อมด้านชุดตรวจวินิจฉัยก่อนการระบาด โดยนำองค์ความรู้ทางด้านอณูชีววิทยาร่วมกับเทคนิคการตรวจวัดสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมาออกแบบและพัฒนา ‘ต้นแบบชุดตรวจหาเชื้อโรค ASF ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยสมัยใหม่ ที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาย่อมเยา และใช้ง่าย’ ต่อมาในปี 2565 เมื่อพบการระบาดของโรคในประเทศไทย จึงได้มีการนำตัวอย่างเชื้อที่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชนมาทดลองใช้ร่วมกับต้นแบบชุดตรวจที่พัฒนาขึ้น และพัฒนาน้ำยาสกัดดีเอ็นเอจากเลือดสุกรแบบรวดเร็ว (rapid DNA extraction) เพิ่มเติม เพื่อการใช้งานแบบครบวงจร ได้เป็น PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาประสบความสำเร็จ และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัทเอกชนไทยเรียบร้อยแล้ว   [caption id="attachment_49909" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49910" align="aligncenter" width="750"] คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย (ซ้าย) และคุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ (ขวา)[/caption]   คุณวรรณสิกา เกียรติปฐมชัย นักวิจัยอาวุโส หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. หัวหน้าโครงการวิจัยอธิบายว่า วิธีมาตรฐาน (gold standard) ของการตรวจโรค ASF ที่ใช้กันทั่วโลกคือเทคนิค real-time PCR (real-time polymerase chain reaction) เพราะเป็นวิธีการตรวจที่มีความไว (sensitive) สูง ตรวจได้แม้ในตัวอย่างมีปริมาณเชื้อน้อย อย่างไรก็ตามวิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายในการตรวจสูง เพราะต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ราคาหลักล้านและน้ำยาเฉพาะ ทำให้อัตราค่าบริการสูงถึง 1,000-1,500 บาท ต่อ 1 ตัวอย่าง เป็นข้อจำกัดในการตรวจคัดกรองโรค “เพื่อสนับสนุนการลดค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรอง ทีมวิจัยจึงได้พัฒนา ‘PigXY-AMP’ ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว การตรวจทำได้ง่ายเพียงใช้ก้านสำลีปาดเลือดสดจากหางลูกสุกร แล้วนำไปจุ่มแช่ในน้ำยาสกัดดีเอ็นเอแบบรวดเร็ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วนำดีเอ็นเอที่ได้ไปผสมกับน้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีสำเร็จรูปซึ่งมีสีม่วง จากนั้นนำไปบ่มที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสในกล่องให้ความร้อน (heating block) นาน 1 ชั่วโมง ก็จะสามารถอ่านผลการตรวจด้วยตาเปล่าได้แล้ว โดยหากในตัวอย่างมีเชื้อไวรัส ASF น้ำยาจะเปลี่ยนสีจากสีม่วงเป็นสีเหลือง แต่ถ้ายังคงเป็นสีม่วงแสดงว่าไม่มีเชื้อ” PigXY-AMP ไม่เพียงใช้งานได้ง่ายแต่ยังมีประสิทธิภาพการตรวจทั้งด้านความไว (sensitivity) ความจำเพาะ (specificity) และความแม่นยำ (accuracy) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานอีกด้วย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำยาแลมป์เปลี่ยนสีของ PigXY-AMP มีประสิทธิภาพในการตรวจจับเชื้อสูงและแม่นยำ อีกทั้งยังมีขีดจำกัดของการตรวจวัด (limit of detection) เทียบเท่ากับเทคนิคมาตรฐานคือ real- time PCR (Ct = 36-37) คือ การใช้ไพรเมอร์สำหรับเทคนิคแลมป์จำนวน 2 ชุด หรือ 16 เส้น ตรวจจับยีนที่ทำหน้าที่สร้างโปรตีนหุ้มอนุภาคไวรัส (p72 capsid protein)   [caption id="attachment_49915" align="aligncenter" width="1000"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   [caption id="attachment_49912" align="aligncenter" width="750"] ทีมวิจัยผู้พัฒนา PigXY-AMP[/caption]   [caption id="attachment_49913" align="aligncenter" width="750"] PigXY-AMP ชุดตรวจโรค ASF ในสุกรด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว[/caption]   คุณระพีพัฒน์ สุวรรณกาศ หนึ่งในทีมวิจัยเทคโนโลยีวิศวกรรมชีวภาพและการตรวจวัด ไบโอเทค สวทช. ผู้ร่วมวิจัยหลัก อธิบายว่า จุดเด่นสำคัญของ PigXY-AMP คือมีประสิทธิภาพในการตรวจสูงเทียบเท่าเทคนิค real-time PCR แต่มีราคาถูกกว่า ใช้เวลาตรวจสั้นกว่า (เพียง 70 นาที) ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่มีราคาสูงและผู้เชี่ยวชาญในการทำงานและอ่านผล อีกทั้งยังเหมาะสำหรับการใช้ตรวจภาคสนามมากกว่า ทำให้ในภาพรวม PigXY-AMP สามารถช่วยลดต้นทุนด้านการตรวจคัดกรองโรคให้แก่ผู้ประกอบได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้ผลิตภัณฑ์​มีศักยภาพด้านการตลาดในระยะยาวทั้งในไทยและต่างประเทศสูงอีกด้วย โดยช่วงต้นปี 2566 บริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด ได้เข้ารับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการขอขึ้นทะเบียนอุปกรณ์ทางการแพทย์กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) “สำหรับการวิจัยต่อยอด หากได้รับการสนับสนุนต่อจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทีมวิจัยมุ่งเป้าที่จะพัฒนาชุดตรวจโรค ASF เพื่อรองรับการตรวจพื้นผิวคอก โรงเรือน และสิ่งแวดล้อมภายในฟาร์มสุกร รวมถึงสิ่งส่งตรวจชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เลือด เพื่อเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเทคนิค real-time PCR ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการตรวจสอบสภาพแวดล้อมในฟาร์มสุกรให้แก่ผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี” PigXY-AMP เป็นตัวอย่างการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยเทคโนโลยีที่นักวิจัยไบโอเทค สวทช. พัฒนาขึ้น ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเฝ้าระวังโรคได้เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยป้องกันการระบาดของโรค ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการระบาดของโรคภายในประเทศ ทั้งด้านการขาดทุน การขาดแคลนอาหาร รวมไปถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์อาหารไทย ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผลงาน PigXY-AMP ได้รับรางวัลประดิษฐ์คิดค้นระดับดี สาขาเกษตรและชีววิทยา จากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ที่จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นเครื่องการันตีประสิทธิภาพของงานวิจัยด้วย   [caption id="attachment_49908" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศจากงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566[/caption]   ผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการทำวิจัยต่อยอด ติดต่อสอบถามได้ที่ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ(BBD) โทรศัพท์ 0 2564 6700 ต่อ 3301 (คุณลินดา) และติดตามการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้จากบริษัทเอ็ม จี ฟาร์มา จำกัด   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และไบโอเทค สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
เอกสารเผยแพร่
 
‘FoodSERP’ ติดปีกอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามไทย สร้างนวัตกรรม ‘ส่วนผสมฟังก์ชัน’ จากสมุนไพร-จุลินทรีย์ ผลักดันเวชสำอางไทยสู่สากลตอบโจทย์เทรนด์โลก
  ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามในตลาดโลกมีมูลค่านับล้านล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวครองส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุดมากกว่า 40% รองลงมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอาง และน้ำหอมตามลำดับ ในขณะที่เทรนด์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่มุ่งไปหาผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและมีนวัตกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม     สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย หรือ TCOS (Thai Cosmetic Cluster) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เรื่อง ‘การพัฒนากระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เวชสำอาง’ เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลกด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมชั้นนำที่ได้มาตรฐานสากลจาก ‘FoodSERP’ แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันภายใต้ สวทช. โดยมุ่งใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรชีวภาพที่เป็นจุดแข็งของประเทศเป็นกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน   ‘FoodSERP’ พร้อมให้บริการผู้ประกอบการไทยแบบครบวงจร   [caption id="attachment_49759" align="aligncenter" width="550"] ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช.[/caption]   ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. กล่าวว่า สวทช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัยด้านส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredient) มานานเกือบ 10 ปี เพราะเป็นโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทรัพยากรชีวภาพซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นพืชสมุนไพร จุลินทรีย์ หรืออื่น ๆ แต่ที่ผ่านมางานวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์เนื่องจากขาดการเชื่อมต่อตรงกลางระหว่างนักวิจัยกับผู้ประกอบการ แต่ปัจจุบันสามารถทำได้แล้วโดยแพลตฟอร์ม FoodSERP “FoodSERP เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันแบบครบวงจร โดยรวบรวมองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของ สวทช. ด้านอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค สำหรับผลิตส่วนผสมฟังก์ชัน (functional ingredients) และสารออกฤทธิ์สำคัญ (active ingredients) รวมถึงโรงงานต้นแบบผลิตอนุภาคนาโนและเครื่องสำอาง สำหรับผลิตเวชสำอางที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการตั้งแต่การวิจัยพัฒนา วิเคราะห์ทดสอบ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์สำหรับทดลองตลาด ขยายขนาดการผลิต ไปจนถึงขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ “ความร่วมมือกับ TCOS ในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะช่วยปิดช่องว่างตรงกลาง ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามสมบูรณ์ขึ้นและขับเคลื่อนไปอย่างถูกทิศทาง เพื่อให้เกิดการพัฒนายกระดับสารสกัดที่ได้มาตรฐานจากสมุนไพรไทยหรือการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงามที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งผู้บริโภค ผู้ประกอบการ จนถึงเกษตรกร”   ชูสารสกัด ‘บัวบก-กระชายดำ’ ดันสู่ตลาดเวชสำอาง [caption id="attachment_49758" align="aligncenter" width="550"] ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.[/caption]   ดร.อุดม อัศวาภิรมย์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนา functional ingredients จากวัตถุดิบสมุนไพรที่มีมากในประเทศสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรเป้าหมาย 4 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ บัวบก ขมิ้นชัน และไพล โดยทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้ให้ความสำคัญและมุ่งศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสารสกัดจากสมุนไพรโดยเฉพาะบัวบกและกระชายดำ “บัวบกเป็นพืชที่ปลูกเยอะมากในบ้านเรา ส่วนใหญ่นำมาบริโภคโดยตรง แต่ในต่างประเทศมีการใช้ประโยชน์สารสกัดจากบัวบกในผลิตภัณฑ์ความงามกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณสมบัติชะลอวัย (anti-ageing) ค่อนข้างดี จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากบัวบก ส่วนกระชายดำเป็นที่รู้จักดีในด้านรับประทานเพื่อบำรุงกำลังและเสริมสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังไม่ค่อยนำไปใช้ในด้านเวชสำอาง นาโนเทค สวทช. จึงศึกษาและพัฒนาสารจากกระชายดำ โดยสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสารสำคัญได้สูงถึง 80-90% และเมื่อนำไปทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่าสารสกัดกระชายดำมีฤทธิ์ anti-ageing ดีเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยเปิดโอกาสใหม่ให้กระชายดำสู่ตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางเพื่อความงาม “เมื่อเรามีกระบวนการสกัดที่ดี ควบคุมคุณภาพได้ ทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดได้ว่าสารสกัดนั้นเหมาะที่จะนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ไม่ว่าจะเป็นด้านความงาม ด้านการดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค ทำให้เราสามารถเพิ่มมูลค่าของสารสกัดในประเทศได้ และเมื่อเรามี functional ingredients แล้วพัฒนาต่อยอดไปเป็นผลิตภัณฑ์ได้ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าได้อีกหลายร้อยเท่า”     หนุนใช้ ‘จุลินทรีย์’ เป็นโรงงานผลิตสารออกฤทธิ์คุณภาพสูง   [caption id="attachment_49756" align="aligncenter" width="550"] ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช.[/caption]   ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชัน สวทช. ให้ข้อมูลว่า นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังมี functional ingredients และ active ingredients จำนวนมากที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์และใช้แพร่หลายในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม โดย active ingredients กลุ่มแรกที่ผลิตได้จากจุลินทรีย์คือกลุ่มสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดแล็กติก (lactic acid) กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) กลุ่มที่สองเป็น active ingredients ที่มีมูลค่าสูง เช่น เรสเวอราทรอล (resveratrol) โคเอนไซม์คิว-10 (coenzyme Q-10) และอีกกลุ่มหนึ่งคือ natural colors เช่น สารสีน้ำเงินอินดิโกอิดีน (indigoidine) จากแบคทีเรีย และสารสีแดงจากข้าวหมักด้วยเชื้อรากลุ่มโมแนสคัส (Monascus) “การผลิตสารสำคัญจากจุลินทรีย์มีข้อดีคือเราสามารถขยายขนาดการผลิตได้ ควบคุมคุณภาพได้ ลดการปนเปื้อนของโลหะหนักหรือสารต่าง ๆ ที่มาจากแหล่งอื่นได้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการทิ้งของเสียออกไป แต่จะกำจัดและควบคุมในกระบวนการผลิต ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของการใช้กระบวนการทางชีวภาพเข้ามาช่วยในการผลิต active ingredients สำหรับกลุ่มเวชสำอาง และที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือสารพลอยได้หรือบายโพรดักต์ (by-product) ที่เกิดขึ้น เช่น ในกระบวนการผลิตโพรไบโอติกจะมีบายโพรดักต์เรียกว่า ‘โพสต์ไบโอติก’ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ และกระบวนการทางชีวภาพที่มีการย่อยกรดอะมิโนจะได้เพปไทด์ต่าง ๆ เป็นบายโพรดักต์ สามารถนำไปใช้ฟื้นฟูสภาพผิวได้เช่นกัน”     ดร.กอบกุล ย้ำว่า “อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิต functional ingredients หรือ active ingredients จากจุลินทรีย์ ต้องมีมาตรฐานและต้องขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ซึ่งถือเป็นความท้าทายของนักวิจัยและผู้ประกอบการในการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ต้องเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ทั้งยังต้องคำนึงถึงต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งความร่วมมือของ สวทช. กับ TCOS ครั้งนี้จะทำให้ FoodSERP มีข้อมูลต่าง ๆ มากเพียงพอในการออกแบบพัฒนากระบวนการผลิตได้อย่างครบวงจร และเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์และจำหน่ายออกสู่ตลาดได้”   ของดีต้องมี ‘เรื่องเล่า’ และคำนึงถึง ‘สิ่งแวดล้อม’ ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)  กล่าวว่า จากการได้มีโอกาสไปดูงานด้านสุขภาพและความงามในประเทศต่าง ๆ พบว่าหลายแห่งไม่ได้มองไปที่ตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะมองไปที่เรื่องราวด้วย หากสิ่งนั้นมีเรื่องราวที่เล่าได้ยาวนาน มี story telling เขาจะสนใจนำมาศึกษาเพื่อค้นพบความลับที่อยู่ในนั้น และมักจะทำเป็นซีรีส์โดยค่อย ๆ ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาทีละตัวและจะใส่นวัตกรรมเพิ่มเข้าไปในผลิตภัณฑ์ตัวถัดไป ทำให้มีเรื่องราวเล่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดพืชสมุนไพรไทยได้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ผลิตภัณฑ์ “นอกจากนี้เรายังต้องมองเทรนด์ของโลกด้วยว่าโลกตอนนี้กำลังตื่นตัวกันด้วยเรื่องอะไร สำหรับในปัจจุบันเรากำลังตื่นตัวในเรื่องของการทำให้โลกอยู่อย่างยั่งยืน ลดขยะ ลดการใช้พลาสติก ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางเริ่มให้ความสำคัญกับการผลิตที่ลดความฟุ่มเฟือย ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ จนเกิดเป็นเทรนด์ที่เรียกว่า ‘solid cosmetic’ ที่ใช้บรรจุภัณฑ์น้อยลง ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยเราจะต้องตื่นตัว ไม่ใช่เป็นเพียงแฟชั่น หากแต่ว่าเป็นความรับผิดชอบในระยะยาวที่เราต้องคำนึงถึงว่าแบรนด์ของเราจะสร้างผลกระทบอย่างไรบ้าง ในขณะเดียวกันเรายังมีโอกาสในการรับจ้างผลิตเครื่องสำอางแบรนด์ต่างประเทศ เราจึงต้องคำนึงถึงโจทย์ต่าง ๆ ที่แบรนด์เขาให้ความสนใจด้วย”   [caption id="attachment_49761" align="aligncenter" width="550"] ลักษณ์สุภา ประภาวัต นายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย (TCOS)[/caption]            ด้าน ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญในการทำ story telling คือต้องเล่าในสิ่งที่คนอยากจะฟัง และหัวใจหลักในการทำธุรกิจก็คือต้องฟังผู้บริโภคให้มาก เอาความต้องการของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง และเล่าเรื่องให้ตรงตามที่ใจเขาต้องการ โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นจุดแข็ง “การเปิดโอกาสให้แก่สตาร์ตอัปรุ่นใหม่ ๆ รวมถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ ๆ ได้มาร่วมกันคิดเพิ่มขึ้น จะช่วยพัฒนาให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและสารสกัดของไทยเติบโตได้เร็วขึ้นและก้าวกระโดด ซึ่งการที่ สวทช. และ TCOS ได้มีความร่วมมือกันในครั้งนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่เอสเอ็มอีและสตาร์ตอัปรายใหม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองและเติบโตไปในอนาคตได้”   [caption id="attachment_49757" align="aligncenter" width="550"] ดร.ธนธรรศ สนธีระ อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]   ท้ายสุด กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ได้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าด้านเครื่องสำอางและความงามในระดับโลก แต่สินค้าส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เกาหลี หลายแบรนด์ใช้วัตถุดิบที่มีมากในประเทศไทยอย่างเช่น ซิกา (cica) จากบัวบก แต่ขณะเดียวกันปัญหาสำคัญในเรื่องวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ของไทยที่ไปจัดแสดงในต่างประเทศได้จะต้องมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็งรองรับ “การที่ สวทช. กับ TCOS ได้ร่วมมือกันจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ใหม่ อาจเป็นภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยจะเริ่มมีวัตถุดิบผลิตเครื่องสำอางเป็นของตัวเอง และมีไทยพาวิลเลียนที่จัดแสดง active ingredients ของไทยทั้งหมดอยู่ในงานระดับโลก”   [caption id="attachment_49760" align="aligncenter" width="550"] กฤษณ์ แจ้งจรัส อุปนายกสมาคมการค้าคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย[/caption]     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
สวทช. ร่วมจุฬาฯ พัฒนา ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (Zinc-ion Battery)’ จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร
For English-version news, please visit : Zinc-ion battery made from materials recovered from spent battery and biomass waste   กรุงเทพมหานครมีปริมาณขยะถ่านไฟฉายธรรมดา (zinc carbon battery) และประเภทแอลคาไล (alkaline battery) ซึ่งเป็นถ่านชนิดปฐมภูมิหรือไม่สามารถอัดประจุซ้ำเพื่อใช้งานใหม่ได้ มากถึง 5 ตันต่อเดือน แต่โดยทั่วไปแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีการรีไซเคิลส่วนประกอบของถ่านทั้ง 2 ชนิดมาใช้ประโยชน์แค่เฉพาะส่วนห่อหุ้มแบตเตอรี่ (packaging) ที่เป็นอะลูมิเนียมและสเตนเลสเท่านั้น การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านการรีไซเคิลวัสดุส่วนประกอบอื่น ๆ ภายในแบตเตอรี่ เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างคุ้มค่าแก่การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดทั้งการใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติและการทำลายสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49743" align="aligncenter" width="700"] ถ่านไฟฉายที่ผ่านการใช้งานแล้ว[/caption] สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม กระทรวงกลาโหม เดินหน้าวิจัยและพัฒนากระบวนการรีไซเคิลธาตุสังกะสีและแมงกานีสซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของถ่านธรรมดาและถ่านแอลคาไล สำหรับใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้ (zinc-ion battery) เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน โดยในกระบวนการผลิตยังได้พัฒนากระบวนการแปรรูปชีวมวล (biomass) ของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารให้เป็นถ่านกัมมันต์ (activated carbon) ประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแก่แบตเตอรี่ที่ผลิตอีกด้วย ทั้งนี้การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ปัจจุบันการผลิต zinc-ion battery จากวัสดุเหลือทิ้งประสบความสำเร็จในระดับห้องทดลองแล้ว    คืนชีพขยะแบตเตอรี่ ลดใช้ทรัพยากร ลดปล่อย CO2 ถ่านไฟฉายทั้งชนิดธรรมดาและแอลคาไลมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือสังกะสีและแมงกานีส โดยในถ่านธรรมดามีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 30 และ 40 ขณะที่ถ่านแอลคาไลมีสังกะสีและแมงกานีสอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 15 และ 55  ตามลำดับ ดังนั้นหากนำสารประกอบเหล่านี้มารีไซเคิลได้ จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า และลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_49740" align="aligncenter" width="700"] ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัย เอ็นเทค สวทช.[/caption]   ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ นักวิจัยจากทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน เอ็นเทค สวทช. (อดีตทีมวิจัยภายใต้สังกัดศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สวทช.) ในฐานะทีมวิจัยหลัก กล่าวว่า การนำขยะถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลมารีไซเคิลเป็นแบตเตอรี่แบบอัดประจุซ้ำได้ ริเริ่มโดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช., ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม (อดีตผู้อำนวยการ NSD สวทช.) และ รศ. ดร.รจนา พรประเสริฐสุข คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทีมวิจัยได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั้ง 2 ชนิดข้างต้น เพื่อนำธาตุสังกะสีและแมงกานีสมาใช้ประโยชน์ในการผลิต zinc-ion battery ซึ่งเป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง และมีแนวโน้มว่าจะมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างยิ่งในอนาคต “ในการรีไซเคิลสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายชนิดธรรมดาและแอลคาไลทีมวิจัยได้เลือกใช้กระบวนการละลายน้ำ (hydrometallurgy process) ที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำในการทำละลายสารประกอบ ก่อนใช้กระบวนการตกตะกอนหรือการแยกสารด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าในการแยกเอาธาตุทั้ง 2 ออกจากสารประกอบอื่น ๆ โดยจากกระบวนการที่ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นสามารถแยกสังกะสีและแมงกานีสออกมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้รวมแล้วมากกว่าร้อยละ 50 และอาจสูงถึงร้อยละ 70 ในกรณีถ่านแอลคาไล” นอกจากการพัฒนากระบวนการแยกธาตุสังกะสีและแมงกานีสจากถ่านไฟฉายมาใช้เป็นวัสดุหลักในการผลิต zinc-ion battery แล้ว ทีมวิจัยยังได้ร่วมกันพัฒนา ‘กระบวนการรีไซเคิลชีวมวล’ ซึ่งเป็นของเหลือจากอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่มีอยู่มากในประเทศไทยมาใช้ประโยชน์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บประจุไฟฟ้าแก่ zinc-ion battery ที่ผลิตอีกด้วย   [caption id="attachment_49736" align="aligncenter" width="700"] ชีวมวล (biomass)[/caption]   ดร.ชาคริต กล่าวว่า ชีวมวลมีจุดแข็งคือเป็นแหล่งคาร์บอนคุณภาพสูง ในการทำวิจัยทีมได้นำ กากกะลาปาล์ม กากไผ่ และกากกาแฟ  ที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 40 ‘มาเข้ากระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ’ เพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้มากที่สุด โดยในขณะเผาจะใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ได้คาร์บอนหรือถ่านที่มีรูพรุนขนาดนาโนปริมาณมาก หรือมีปริมาณพื้นผิวสูงเหมาะแก่การใช้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งโดยทั่วไปมีการเรียกคาร์บอนที่ได้นี้ว่า ‘ถ่านกัมมันต์’   [caption id="attachment_49738" align="aligncenter" width="700"] กระบวนการเผาภายใต้สภาวะสุญญากาศ[/caption]   [caption id="attachment_49737" align="aligncenter" width="700"] ถ่านกัมมันต์ (activated carbon)[/caption]   “หลังจากได้ส่วนประกอบทั้ง 3 จากกระบวนการรีไซเคิลแล้ว ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานมาออกแบบกระบวนการผลิต zinc-ion battery โดยนำสังกะสีมาใช้ในการผลิตขั้วลบ (cathode) และนำแมงกานีสมาแปรรูปเป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) ก่อนผสมเข้ากับถ่านกัมมันต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการกักเก็บประจุไฟฟ้า ปัจจุบันทีมวิจัยสามารถผลิต zinc-ion battery ในระดับห้องปฏิบัติการได้แล้ว โดยแบตเตอรี่ที่ผลิตได้มีแรงดันที่ 1.2 V และมีความจุที่ 180-200 mAh/g ชาร์จซ้ำได้มากกว่า 1,000 รอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างวิจัยขยายผลยกระดับกระบวนการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม”     [caption id="attachment_49734" align="aligncenter" width="700"] ส่วนประกอบของแบตเตอรี่[/caption]   [caption id="attachment_49739" align="aligncenter" width="700"] ตัวอย่างการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า[/caption] Zinc-ion battery อุปกรณ์กักเก็บพลังงานเพื่อความมั่นคงของประเทศ ปัจจุบันหากพูดถึงแบตเตอรี่อัดประจุซ้ำได้ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) ที่ใช้ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เช่น สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป ยานยนต์ไฟฟ้า เพราะแบตเตอรี่ชนิดนี้ขึ้นชื่อเรื่องการอัดประจุได้มากและมีน้ำหนักเบา แต่ขณะเดียวกันยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกหลายชนิดไม่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ เนื่องด้วยจุดอ่อนด้านความปลอดภัย เพราะหากแบตเตอรี่ชนิดนี้บิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูง จะมีโอกาสติดไฟหรือระเบิด ดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดร.ชาคริต กล่าวว่า ด้วยธรรมชาติของวัสดุที่ใช้ในการผลิต zinc-ion battery มีน้ำหนักที่ค่อนข้างมาก ทำให้แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะแก่การใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานแบบตั้งอยู่กับที่ ต้องการความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง หรือใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยเป็นอย่างมาก เพราะ zinc-ion battery ทนทานต่อทั้งความร้อนและความชื้น โดยหากเกิดการฉีดขาดหรือชำรุดจะไม่ระเบิดหรือติดไฟ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่เหมาะแก่การใช้งาน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เพื่อการใช้งานภายในบ้าน (battery for home energy storage system) ระบบสำรองไฟฟ้าแบบกริด (grid energy storage) ทั้งเพื่อการใช้งานในระดับครัวเรือนและอุตสาหกรรม รวมถึงการใช้ในภารกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง อาทิ แบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในภารกิจทหาร การใช้เป็นแหล่งพลังงานในแท่นขุดเจาะน้ำมัน   [caption id="attachment_49742" align="aligncenter" width="700"] ระบบสำรองไฟฟ้า (energy storage)[/caption]   [caption id="attachment_49741" align="aligncenter" width="700"] แท่นขุดเจาะน้ำมัน[/caption]   “นอกจากนี้เทคโนโลยีการผลิต zinc-ion battery จะยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศไทย เพราะหากเกิดเหตุวิกฤตที่ไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนหรือวัสดุสำหรับผลิตแบตเตอรี่ชนิดนี้ได้ (ไทยไม่มีแหล่งทรัพยากรธาตุลิเทียมเป็นของตัวเอง) คนไทยจะยังมีความพร้อมในการผลิต zinc-ion battery เพื่อใช้ทดแทนสูง ซึ่งวัตถุดิบในการผลิตที่ใช้ได้นอกจากวัสดุรีไซเคิลที่มีอยู่เยอะแล้ว ประเทศไทยยังมีความพร้อมด้านแหล่งทรัพยากรแร่ที่ใช้ในการผลิต โดยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่สังกะสี 260,248 เมตริกตัน และมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่แมงกานีสสูงถึง 18.2 ล้านเมตริกตัน ตามการรายงานของกองทรัพยากรแร่ กรมทรัพยากรธรณี ในปี 2565” การวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีชนิดอัดประจุซ้ำได้จากถ่านไฟฉายใช้แล้วและขยะทางการเกษตร’ เป็นหนึ่งในการทำวิจัยเพื่อขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ทั้งในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนากระบวนการผลิตที่คำนึงถึงการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลดีในด้านการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และช่วยลดข้อกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดี ดร.ชาคริต กล่าวทิ้งท้ายว่า ทีมวิจัยคาดว่างานวิจัยจะแล้วเสร็จพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยนอกจากกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงนามความร่วมมือในการทำวิจัยแล้ว ยังมีบริษัทเอกชนชั้นนำของไทยอีกหลายแห่งที่ติดตามการทำงานวิจัยนี้ เพื่อวางแผนในการนำไปใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงานเช่นกัน สำหรับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ที่ ดร.ชาคริต ศรีประจวบวงษ์ อีเมล chakrit.sri@entec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
ชวนติดตามนวัตกรรมไทย ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล’ แบตเตอรี่ชนิดปลอดภัยสูง ตอบโจทย์การแข่งขันในตลาด wearable devices
For English-version news, please visit : Graphene-based fiber-shaped zinc-ion batteries designed for wearable devices   หนึ่งในสินค้าที่คอ IT ทั่วโลกต่างจับตาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่เสมอ คือ wearable devices หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดสวมใส่ไว้กับร่างกาย เช่น สายรัดข้อมือ แถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ smart watch  นาฬิกาที่มีฟังก์ชันการทำงานมากกว่าการดูเวลา เพราะเพียงสัมผัสที่หน้าจอก็โทรออก รับสาย ฟังเพลง ดูข้อมูลแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันหลักด้านการดูแลสุขภาพของผู้สวมใส่อย่างการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ การนับก้าวเดิน ระยะทางการวิ่ง หรือกระทั่งการแจ้งเตือนให้ดื่มน้ำอีกด้วย อย่างไรก็ตามรู้หรือไม่ว่าผู้พัฒนาอุปกรณ์เทคโนโลยีประเภทนี้ยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการออกแบบค่อนข้างมาก เพราะแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอออนที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายยังไม่สามารถบิดงอ ฉีกขาด หรือสัมผัสกับความร้อนสูงได้ เพราะอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุไฟลุกหรือระเบิด สาเหตุจากส่วนประกอบภายในแบตเตอรี่สัมผัสกับความชื้นภายนอกดังที่ปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ          สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับ North Carolina State University พัฒนากระบวนการผลิต ‘แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (cable-shaped Zn-ion batteries)’ เพื่อการใช้งานใน wearable devices จุดเด่น คือ บิดงอได้ ทนความร้อนสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_48923" align="aligncenter" width="750"] ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเส้นใยนาโน นาโนเทค สวทช.[/caption]   ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมเส้นใยนาโน นาโนเทค สวทช. เกริ่นถึงจุดเริ่มต้นในการทำวิจัยว่า หลังจากทำงานเป็นผู้ช่วยวิจัยในทีมนวัตกรรมเส้นใยนาโนที่ สวทช. ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ Wilson College of Textiles, North Carolina State University, USA ในระดับปริญญาเอกด้าน biomedical engineering โดยได้รับทุนรัฐบาลจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบัน คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) และได้ร่วมทำวิจัยในด้านอุปกรณ์กักเก็บพลังงาน จึงก่อเกิดเป็นความสนใจในการบูรณาการความเชี่ยวชาญทั้ง 2 ด้าน เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมอุปกรณ์กักเก็บพลังงานในรูปแบบเส้นใย เพื่อลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ที่ใช้งานกันอยู่ทั่วไป ภายใต้การสนับสนุนจาก North Carolina State University, ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. และศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. จากจุดเริ่มต้นความสนใจในครั้งนั้น ดร.นครินทร์ได้เริ่มต้นพัฒนากระบวนการผลิตขั้วไฟฟ้าจากเส้นใยกราฟีนเพื่อใช้เป็นขั้วสำหรับแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิล (graphene based fiber electrode fabrication for cable/ fiber-shaped Zn-ion batteries) ร่วมกับทีมวิจัยตั้งแต่ศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 2019-2022 และปัจจุบันสามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จในระดับห้องวิจัยเรียบร้อยแล้ว     ดร.นครินทร์ เล่าถึงผลงานว่า ส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ที่พัฒนาขึ้น คือ ขั้วไฟฟ้าในรูปแบบเส้นใยกราฟีน (graphene fiber) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีประสิทธิภาพในการนำไฟฟ้าสูง วัสดุกักเก็บประจุใช้เป็นแมงกานีสไดออกไซด์ (MnO2) และในส่วนของสารอิเล็กโทรไลต์ (electrolyte) ใช้เป็นสารละลายเกลือของสังกะสีที่มีน้ำเป็นตัวทำละลาย เพื่อให้แบตเตอรี่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง แตกต่างจากแบตเตอรี่ชนิดลิเทียมไอไออนทั่วไปที่ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ซึ่งไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นสารอิเล็กโทรไลต์ โดยวัสดุทั้งหมดที่เลือกใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลค่อนข้างมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีต้นทุนด้านวัสดุไม่สูง “ความจุของแบตเตอรี่ที่ทีมพัฒนาได้ในปัจจุบัน คือ 230 mAh/g หรือเทียบเท่ากับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแบบเหรียญ ซึ่งเพียงพอกับการใช้งานในผลิตภัณฑ์ wearable devices และด้วยผลิตภัณฑ์มีลักษณะเป็นสายเคเบิลขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสูง จึงเอื้อให้ผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถสร้างสรรค์ผลงานภายใต้ข้อจำกัดด้านขนาดและรูปทรงของอุปกรณ์ได้เป็นอย่างดี”   [caption id="attachment_48921" align="aligncenter" width="750"] ขั้วไฟฟ้าในรูปแบบเส้นใยกราฟีน (graphene fiber)[/caption]   จากจุดเด่นสำคัญ 2 ประการ คือ ‘ยืดหยุ่น’ และ ‘ปลอดภัย’ ทำให้ผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลนำไปใช้งานในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา สายรัดข้อมือ แถบป้ายอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ประเภทเซนเซอร์หรืออุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่มีขนาดเล็ก เช่น เซนเซอร์ตรวจนับจำนวนก้าวสำหรับติดที่รองเท้าออกกำลังกาย อุปกรณ์ระบุตำแหน่งสิ่งของ (tracker) อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องติดไว้ตามร่างกาย หรือการใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสกับความร้อนสูง เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ชนิดพกพา     ดร.นครินทร์ เล่าทิ้งท้ายว่า ณ ตอนนี้ความพร้อมของเทคโนโลยีอยู่ในระดับ TRL4 หรือผลิตในระดับห้องทดลองได้แล้ว คาดว่าจะผลักดันสู่ระดับพาณิชย์ได้ในช่วง 6-7 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นระยะเวลาของการพัฒนาเทคโนโลยีโดยทั่วไป ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังหาความร่วมมือจากบริษัทเอกชนผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทสายไฟ เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ของแบตเตอรี่สังกะสีไอออนแบบเคเบิลให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยคาดว่าเมื่อขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์สู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้แล้ว ผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของผู้พัฒนา wearable devices ที่มองหาแบตเตอรี่ชนิดมีความปลอดภัยในการใช้งานสูง มีความยืดหยุ่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีต้นทุนด้านวัสดุในการผลิตต่ำได้เป็นอย่างดี “ปัจจุบันผลงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติแล้ว 2 ฉบับ คือ Advanced Fiber Materials และ ACS Applied Materials and Interfaces รวมทั้งได้รับอนุสิทธิบัตรสำหรับกรรมวิธีเตรียมขั้วแคโทดที่ประกอบด้วยเส้นใยรีดิวซ์กราฟีนออกไซด์และแกมมา-แมงกานีสไดออกไซด์ (Graphene-Based Fiber Shaped Zinc-Ion Batteries and Graphene-Based Fiber Cathode Fabrication Process Thereof) เรียบร้อยแล้ว” การวิจัยและพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น ปลอดภัย และมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในหัวข้อการวิจัยที่หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ เพราะจะช่วยเพิ่มลู่ทางในการออกแบบสินค้าเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ สร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังลดผลกระทบจากข้อกีดกันทางการค้าในการส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ นอกจากนี้หากประเทศไทยสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้เอง จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้แก่อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ภายในประเทศได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจร่วมวิจัยและพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี ติดต่อได้ที่ ดร.นครินทร์ ทรัพย์เจริญดี นักวิจัย นาโนเทค สวทช. อีเมล nakarin@nanotec.or.th   เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และนาโนเทค สวทช.
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
“เทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่าง” นวัตกรรมกู้วิกฤตอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
For English-version news, please visit : Diagnostic technology offers solutions for combating cassava mosaic disease   “มันสำปะหลัง” เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะเป็นทั้งอาหารคน อาหารสัตว์ และเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในหลายอุตสาหกรรม อีกทั้งประเทศไทยยังครองอันดับหนึ่งผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังต้องเผชิญวิกฤตโรคใบด่างมันสำปะหลังที่เกิดการระบาดอย่างหนัก ส่งผลให้ผลผลิตลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดเพื่อนำมาปลูกต่อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศในไม่ช้าหากไม่เร่งป้องกันและแก้ไข สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความสำคัญกับการวิจัยพัฒนาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้พัฒนาเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง เพื่อตรวจคัดกรองและเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบด่าง และช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ   ‘โรคใบด่างมันสำปะหลัง’ วิกฤตใหญ่ของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย   [caption id="attachment_48448" align="aligncenter" width="700"] นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการ สท. สวทช. ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัยไบโอเทค ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยไบโอเทค และ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัยไบโอเทค[/caption]   ดร.อรประไพ คชนันทน์ หัวหน้าทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. ให้ข้อมูลว่าโรคใบด่างมันสำปะหลังเป็นโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Sri Lankan cassava mosaic virus (SLCMV) ซึ่งมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะนำโรค โดยเริ่มพบการระบาดบริเวณชายแดนของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2561 แต่ปัจจุบันพบว่ามีการระบาดไปทั่วทุกภูมิภาคที่มีการเพาะปลูกมันสำปะหลัง สาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงเป็นวงกว้างเกิดจากการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ หากระบาดรุนแรงอาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตได้มากถึง 30-80 เปอร์เซ็นต์   [caption id="attachment_48454" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]   [caption id="attachment_48453" align="aligncenter" width="600"] ต้นมันสำปะหลังที่ติดโรค[/caption]   “มันสำปะหลังที่เป็นโรคใบด่างจะมีลักษณะใบด่างเหลือง ใบหงิก ลดรูป ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโต จำนวนหัวและขนาดของผลผลิตลดลง คุณภาพของแป้งลดลง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เกษตรกรสูญเสียผลผลิตและรายได้ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมมันสำปะหลังขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับป้อนเข้าโรงงาน นอกจากนี้เกษตรกรยังขาดแคลนท่อนพันธุ์สะอาดสำหรับปลูกในฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจตามมาอีกมาก ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช. จึงได้พัฒนาชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังเพื่อช่วยเกษตรกรเฝ้าระวังโรคใบด่างในแปลงปลูกและใช้คัดกรองท่อนพันธุ์ก่อนนำไปปลูกเพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่กระจายไปกับท่อนพันธุ์”   ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง อาวุธสกัดโรคระบาดในไร่มัน ดร.ชาญณรงค์ ศรีภิบาล นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาเทคนิคการตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง 2 รูปแบบ แบบแรกใช้เทคนิคอิไลซา (ELISA) ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความถูกต้อง ราคาไม่แพง มีความไว (sensitivity) ในการตรวจมากกว่าชุดตรวจที่มีการขายในเชิงการค้า และมีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ สามารถตรวจได้ 96 ตัวอย่างในคราวเดียว โดยเทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ประกอบการโรงแป้งมันสำปะหลัง หน่วยงานราชการ และมหาวิทยาลัย โดยจัดตั้งเป็นศูนย์ตรวจที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรในการเฝ้าระวังโรคใบด่างมันสำปะหลังในพื้นที่เพาะปลูกและการผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังปลอดโรค   [caption id="attachment_48449" align="aligncenter" width="650"] ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง[/caption]   ส่วนรูปแบบที่ 2 คือ ชุดตรวจแบบรวดเร็วหรือสตริปเทสต์ (Strip test) ที่ใช้งานง่าย มีความไวสูง ความแม่นยำสูง และรู้ผลเร็ว เกษตรกรนำไปใช้ตรวจได้เองในแปลงปลูก โดยนำใบพืชมาบดในสารละลายที่เตรียมไว้ในชุดตรวจ จากนั้นจุ่มตัว Strip test ลงไปในน้ำคั้นใบพืช และรออ่านผล 15 นาที หากขึ้น 1 ขีด ณ ตำแหน่ง C เพียงที่เดียว แสดงว่าตัวอย่างไม่ติดโรค หากขึ้น 2 ขีด ณ ตำแหน่ง T และ C แสดงว่าตัวอย่างติดโรคใบด่างมันสำปะหลัง หากเกษตรกรตรวจพบว่ามีโรคใบด่างในแปลงได้เร็วก็สามารถทำลายต้นที่เป็นโรคได้ทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือแพร่กระจายเชื้อไปในวงกว้าง   [caption id="attachment_48455" align="aligncenter" width="800"] วิธีใช้ชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังแบบ strip test[/caption]   สวทช. ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน ช่วยเกษตรกรสู้โรคใบด่างมันสำปะหลัง นายชวินทร์ ปลื้มเจริญ นักวิชาการฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. กล่าวว่า ปัจจุบันโรคใบด่างมันสำปะหลังถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังในประเทศไทย โดยในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาโรคนี้ได้สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังเป็นจำนวนมาก เทคโนโลยีป้องกันและควบคุมโรคใบด่างมันสำปะหลังจึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความต้องการมากที่สุดในขณะนี้ “ชุดตรวจโรคใบด่างที่ทีมวิจัยไบโอเทค สวทช.พัฒนาขึ้นจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจได้ว่าแปลงมันสำปะหลังของตนเองนั้นติดโรคใบด่างหรือไม่ หากพบว่าติดโรคใบด่างก็สามารถถอนทำลายต้นพันธุ์ทิ้งได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไปยังพื้นที่แปลงปลูกข้างเคียงและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยปัจจุบัน สท. ได้นำเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลังไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ 4 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ รวมถึงถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดการแปลงมันสำปะหลังอย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังอินทรีย์ในพื้นที่ดังกล่าว”   [caption id="attachment_48452" align="aligncenter" width="650"] เกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลัง ทดลองการใช้ชุดตรวจไวรัสใบด่างมันสำปะหลัง ที่ทีมนักวิชาการ สวทช. ลงไปอบรมในพื้นที่[/caption]   นอกจากนี้ ดร.แสงสูรย์ เจริญวิไลศิริ นักวิจัย ทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาดำเนินการจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังด้วยเทคนิค ELISA แล้ว 6 แห่ง คือ บริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด จังหวัดนครราชสีมา บริษัทเอฟ ดี กรีน ในเครือบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด จังหวัดกำแพงเพชร บริษัทเอเซียโมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด จังหวัดกาฬสินธุ์ สำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา และมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี โดยทีมวิจัยไบโอเทคทำหน้าที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำเชิงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่รับถ่ายทอดนำเทคโนโลยีชุดตรวจไปใช้ในการตรวจสอบโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ   [caption id="attachment_48458" align="aligncenter" width="1000"] การตรวจคัดกรองโรคใบด่างมันสำปะหลังในแปลงผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังสะอาดจะช่วยลดความเสี่ยงของการนำท่อนพันธุ์ที่เป็นโรคไปปลูกต่อ[/caption]   การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงทีอย่างเช่นเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหลัง ช่วยลดผลกระทบรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมของไทย และทำให้ประเทศพึ่งพาตนเองได้ในยามวิกฤต สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หน่วยงานภาครัฐหรือบริษัทเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีชุดตรวจโรคใบด่างมันสำปะหัง สามารถติดต่อทีมวิจัยการผลิตโมโนโคลนอลแอนติบอดีและการประยุกต์ใช้ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. โทรศัพท์ 025646700 ต่อ 3342     เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
 
ข่าว
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น
 
‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง ติดตามผลได้ทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์
  การเพาะเลี้ยงกุ้งให้ประสบความสำเร็จมีอัตราการอยู่รอดสูง สิ่งสำคัญคือเกษตรกรจะต้องคอยติดตามการเจริญเติบโตและปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด โดยยกยอขึ้นจากบ่อเพาะเลี้ยงทุกบ่อวันละหลายครั้งเพื่อตรวจสอบการกินอาหารของกุ้ง เพราะปริมาณการกินอาหารของกุ้งในแต่ละวันจะเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงวัย อุณหภูมิของน้ำ รวมถึงสุขภาพของกุ้ง ณ ขณะนั้น ซึ่งหากให้อาหารในปริมาณที่น้อยเกินไปจะส่งผลให้กุ้งเติบโตช้า และหากให้มากเกินไปจะส่งผลให้น้ำในบ่อเลี้ยงเน่าเสียซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกุ้ง และยังสิ้นเปลืองค่าอาหารที่เป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของการเพาะเลี้ยงโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พัฒนา ‘ระบบยกยออัตโนมัติ (Automatic Feeding-tray Lifting System)’ อุปกรณ์ IoT (Internet of Things) สำหรับยกยอขึ้นถ่ายภาพและส่งภาพถ่ายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไปยังแอปพลิเคชัน LINE เพื่อช่วยลดภาระงานดูแลบ่อเลี้ยงกุ้ง และช่วยให้ผู้ประกอบการติดตามผลการเพาะเลี้ยงได้จากทุกที่ทุกเวลาแบบเรียลไทม์   [caption id="attachment_48235" align="aligncenter" width="650"] เจริญมิตร วรเดช[/caption]   เจริญมิตร วรเดช นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. อธิบายว่า ตัวเครื่องของ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ มีลักษณะเป็นชุดอุปกรณ์น้ำหนักเบาติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ ติดตั้งได้ง่าย ไม่ต้องก่อสร้างโครงสร้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ อุปกรณ์หลักประกอบด้วยกล่องควบคุมที่มีระบบสมองกลฝังตัวอยู่ภายในสำหรับสั่งการทำงาน กล้องสำหรับถ่ายภาพ เซนเซอร์สำหรับกำหนดระยะการยกยอจากผิวน้ำ และตัวยอที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป     “กลไกการทำงานของระบบ คือ กล่องควบคุมจะสั่งการให้ระบบยกยอขึ้นมาจนถึงตำแหน่งที่มีเซนเซอร์ตรวจจับซึ่งเป็นตำแหน่งที่พอดีกับระยะโฟกัสของกล้อง จากนั้นกล้องจะถ่ายภาพแล้วส่งเข้าระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อจัดส่งข้อมูลไปให้เจ้าของฟาร์มหรือผู้ดูแลระบบผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE ซึ่งการยกยอขึ้นมาถ่ายภาพแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 15 วินาทีเท่านั้น ผู้ดูแลฟาร์มสามารถกำหนดความถี่ในการถ่ายภาพแบบอัตโนมัติได้สูงสุดทุก 30 นาที หรือหากต้องการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ ก็สั่งการทำงานจากระบบควบคุมที่ตัวเครื่อง หรือสั่งผ่านแชตบอตในแอปพลิเคชัน LINE ให้ถ่ายภาพ ณ ขณะนั้นได้ทันที”   [caption id="attachment_48233" align="aligncenter" width="650"] รูปภาพยอที่ถ่ายโดยระบบยกยออัตโนมัติ[/caption]   อุปกรณ์ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ ผ่านการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน ทีมวิจัยเลือกใช้อุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาไม่แพงในการผลิต เพื่อให้เกษตรกรเปลี่ยนหรือซ่อมแซมอุปกรณ์เมื่อชำรุดได้ด้วยตัวเอง โดยอุปกรณ์ IoT รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทั้งระบบ WIFI สาย LAN และการใส่ SIM Card ส่วนด้านระบบพลังงาน ชุดอุปกรณ์รองรับทั้งกระแสไฟฟ้าจากการไฟฟ้าและจากโซลาร์เซลล์ โดยปัจจุบันทีมวิจัยพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ แล้ว   [caption id="attachment_48236" align="aligncenter" width="650"] วรากร คำแก้ว[/caption]   วรากร คำแก้ว นักวิจัยทีม DAT เนคเทค สวทช. อธิบายเพิ่มเติมว่า เพื่อยกระดับการทำงานของอุปกรณ์ IoT ไปอีกขั้น สิ่งที่ทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อคือ ทำให้ระบบวิเคราะห์ขนาดและน้ำหนักของกุ้งตัวอย่างในยอได้อัตโนมัติ ผ่านการใช้ AI ตรวจจับตำแหน่งและนับปริมาณกุ้ง และใช้ระบบ image processing วิเคราะห์ขนาดความยาวของกุ้งแต่ละตัว โดยใช้ข้อมูลจากกรมประมงมาแปลงความยาวของตัวกุ้งเป็นน้ำหนักของกุ้งแต่ละตัวโดยประมาณ ซึ่งข้อมูลด้านน้ำหนักจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการติดตามอัตราการเจริญเติบโต อย่างไรก็ตามการวิจัยในส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบภาคสนามเพื่อพัฒนาความแม่นยำในการวิเคราะห์ผล ซึ่งหลังจากการวิจัยและพัฒนาเสร็จสิ้นแล้ว สามารถติดตั้งฟังก์ชันนี้เข้าไปเพิ่มเติมในระบบประมวลผลเดิมได้   [caption id="attachment_48240" align="aligncenter" width="650"] ระบบวิเคราะห์ขนาดของกุ้ง[/caption]   ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เพื่อการใช้งานด้านการถ่ายภาพและจัดส่งภาพให้ผู้ดูแลระบบการเพาะเลี้ยงแบบอัตโนมัติ ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงที่ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนาเรียบร้อยแล้วจำนวน 9 รอบการเลี้ยง จนปัจจุบันระบบมีความเสถียร ได้รับความพึงพอใจเป็นอย่างมากจากผู้ใช้งานจริง   [caption id="attachment_48242" align="aligncenter" width="500"] อลิสา มากศรี[/caption]   อลิสา มากศรี นักวิชาการและเจ้าหน้าที่โครงการ ฟาร์มทดสอบและสาธิตมีนเกษตร “สองน้ำ” มูลนิธิชัยพัฒนา เล่าในมุมมองของผู้ประกอบการที่ได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์ตั้งแต่ช่วงปี 2564 จนถึงปัจจุบัน หรือใช้มาแล้วรวม 9 รอบการเลี้ยงว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่ค่อย ๆ ผ่านการพัฒนาจากความต้องการของผู้ใช้งานจริง จนปัจจุบันอุปกรณ์มีความเสถียรและช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ตนเองสามารถเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลใจ เพราะตรวจสอบคุณภาพการเพาะเลี้ยงได้ผ่านมือถือจากทุกที่ทุกเวลา “ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายไม่เพียงบอกได้ว่ามีการให้อาหารมากเกินจนตกค้างหรือไม่ ปริมาณของขี้กุ้งที่ผ่านการตักขึ้นมาบนยอยังใช้บ่งชี้ถึงการได้รับอาหารในปริมาณที่พอดี น้อยไป หรือมากไป สีของตัวกุ้งที่เปลี่ยนแปลงไปบอกได้ถึงอุณหภูมิของน้ำที่ไม่เหมาะสม และหากกุ้งมีลักษณะตัวหดเกร็งหรือมีอาการเป็นตะคริวก็สันนิษฐานถึงการขาดสารอาหารบางประเภทได้อีกด้วย”       แม้ ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ อาจยังไม่ใช่อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีแรงงานจำนวนมากเพียงพอต่อการดูแลกุ้งทุกบ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง แต่อุปกรณ์ชนิดนี้จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนผู้ประกอบการก้าวสู่การทำเกษตรแม่นยำ (smart agriculture) ช่วยให้ผู้ดูแลระบบปรับเปลี่ยนกระบวนการเพาะเลี้ยงได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ช่วยลดภาระงานซ้ำซาก ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรสมัยใหม่อีกด้วย วรากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ‘ระบบยกยออัตโนมัติ’ เป็นอุปกรณ์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรของคนในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นำไปสู่การทำน้อยแต่ได้มากตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นนโยบายขับเคลื่อนประเทศในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการวิจัยจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณในการวิจัยและการพัฒนาอุปกรณ์ การทดสอบใช้งานภาคสนาม และการขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ปัจจุบันทีมวิจัยกำลังเสาะหาช่องทางการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐและเอกชนในการขยายผลสู่การเปิดให้ใช้งานเทคโนโลยีในรูปแบบสาธารณประโยชน์ (open source) เพื่อให้เกษตรกรไทยมีโอกาสเข้าถึงการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับการทำการเกษตรอย่างทั่วถึง สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาเทคโนโลยี รับถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ คุณเจริญมิตร วรเดช เนคเทค สวทช. เบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 หรืออีเมล info@nectec.or.th     เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช. อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และเนคเทค สวทช.
BCG
 
ข่าวประชาสัมพันธ์
 
บทความ
 
ผลงานวิจัยเด่น