สวทช. พัฒนา ‘Digital EMS’ ต้นแบบรถพยาบาลโครงสร้างแข็งแรง พร้อมระบบการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัล

ปี 2566 คนไทยเรียกใช้รถพยาบาลฉุกเฉินมากกว่า 1.8 ล้านครั้ง และมีแนวโน้มใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันประเทศไทยยังมีโอกาสเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตของโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับความปลอดภัยของรถพยาบาล และการอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาแพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หรือ ‘Digital EMS’ เพื่อยกระดับรถพยาบาลให้มีความแข็งแรง ช่วยผู้ป่วยฉับไว และรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่
แพลตฟอร์มนี้ประกอบด้วย 3 เทคโนโลยีหลัก คือ การพัฒนาโครงสร้างรถที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ระบบจัดการอากาศภายในรถ และระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินดิจิทัล โดยเป็นการวิจัยและพัฒนาภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และได้รับการสนับสนุนด้านการทดสอบมาตรฐานจากสถาบันยานยนต์
รถพยาบาลเสริมความแข็งแรงและปลอดภัย
การปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินโดยทั่วไป เจ้าหน้าที่มักขับรถด้วยความเร็วสูงเพื่อนำส่งผู้ป่วยวิกฤตให้ถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ทำให้บางครั้งเกิดอุบัติเหตุ สร้างความเสียหายรุนแรงต่อทั้งตัวรถ อุปกรณ์ภายในรถ รวมถึงผู้โดยสาร

ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า ที่ผ่านมากลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช. ได้พัฒนากระบวนการออกแบบโครงสร้างรถพยาบาลเพื่อยกระดับความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายใต้แพลตฟอร์ม Digital EMS คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับความแข็งแรงของห้องโดยสาร 2 เทคโนโลยี ประกอบด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างรถและชุดยึดอุปกรณ์การแพทย์สำหรับใช้งานกับรถพยาบาลทั้งประเภทรถตู้และรถกระบะ และเทคโนโลยีระบบจัดการอากาศภายในรถพยาบาลที่ประยุกต์ใช้ได้กับรถพยาบาลทุกประเภท
“ในส่วนของเทคโนโลยีโครงสร้างรถและชุดยึดอุปกรณ์การแพทย์ ทีมวิจัยได้พัฒนาชุดอุปกรณ์โครงสร้างน้ำหนักเบา โดยใช้หลักการประกอบแบบแยกส่วน เพื่อให้การประกอบ ติดตั้ง และซ่อมบำรุงทำได้ง่ายโครงสร้างภายนอกของห้องโดยสารผ่านการทดสอบความแข็งแรงตามมาตรฐาน SAE J3057 โดยรองรับแรงกระทำได้ 2.5 เท่าของน้ำหนักรถ ขณะที่ชุดยึดอุปกรณ์การแพทย์ภายในห้องโดยสารผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน EN 1789 สามารถรองรับแรงกระทำได้ 10 เท่าของน้ำหนักชุดยึดรวมกับอุปกรณ์ที่ติดตั้ง ทำให้มั่นใจได้ว่าทั้งโครงสร้างรถและชุดยึดอุปกรณ์มีความแข็งแรงและทนทานต่อแรงกระแทก”


สำหรับเทคโนโลยีระบบจัดการอากาศภายในรถ ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบปรับอากาศให้มีการไหลเวียนและกรองเชื้อโรคภายในห้องโดยสารตามมาตรฐานห้องปลอดเชื้อ ISO 14644 อย่างไรก็ตามในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ โควิด-19 ยังมีคำแนะนำให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยเพื่อเสริมความปลอดภัย ปัจจุบันทั้งสองเทคโนโลยีอยู่ในสถานะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี
Digital EMS ยกระดับความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
นอกจากเทคโนโลยียกระดับความปลอดภัยการใช้งานรถพยาบาลทั้งด้านโครงสร้างและระบบจัดการอากาศแล้ว ภายใต้แพลตฟอร์ม Digital EMS ยังมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญ คือ Emergency Telemedical Operation (ETO) หรือระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัล ที่พัฒนาโดย ดร.กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ สวทช. และทีมวิจัย
ดร.ศราวุธ อธิบายว่า ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัลที่นำมาใช้ในแพลตฟอร์มประกอบด้วย 2 เทคโนโลยีหลัก คือ ระบบรับแจ้งฉุกเฉินดิจิทัลหรือ Call Information System (CIS) ที่พัฒนาโดย ดร.ณัฐนันท์ ทัดพิทักษ์กุล และทีมวิจัย และระบบอำนวยการทางการแพทย์ดิจิทัลหรือ Medical Information System (MIS) ที่พัฒนาโดย ดร.ปรารถนา กู้เกียรติกูล และทีมวิจัย
“ระบบ CIS เป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุผ่านหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน 1669 ของ สพฉ. โดยทีมวิจัยได้พัฒนาให้เป็นระบบรับแจ้งเหตุแบบครอบคลุมรูปแบบการสื่อสารที่จำเป็น เมื่อมีการแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 1669 ผู้แจ้งจะได้รับ SMS สำหรับยืนยันตัวตนและระบุพิกัดสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุได้รวดเร็วและแม่นยำ หากผู้แจ้งใช้งานสมาร์ตโฟนจะใช้ระบบนี้วิดีโอคอลกับผู้รับแจ้งเหตุ เพื่อให้ผู้รับแจ้งเหตุประเมินสถานการณ์ พร้อมให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาลแบบเรียลไทม์ได้ด้วย”
ส่วนระบบ MIS เป็นระบบอำนวยการทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลของผู้ป่วยขณะเดินทางด้วยรถพยาบาลไปยังศูนย์อำนวยการแพทย์แบบเรียลไทม์
ดร.ศราวุธ อธิบายว่า ระบบนี้จะส่งข้อมูลที่จำเป็นต่อการรับช่วงต่อในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตไปยังศูนย์อำนวยการแพทย์ เช่น ข้อมูลสัญญาณชีพของผู้ป่วย สัญญาณภาพและเสียงภายในห้องโดยสาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินสามารถรับคำปรึกษาเรื่องการดูแล รวมถึงการทำหัตถการให้แก่ผู้ป่วยวิกฤตขณะเดินทางได้สะดวก นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามขั้นตอนการทำงานและตำแหน่งการรับส่งผู้ป่วยวิกฤตแบบเรียลไทม์ด้วย โดยระบบจะจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อผู้ป่วยและการจัดทำเอกสารประกอบการเบิกจ่าย”



ที่ผ่านมากลุ่มนวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัลสุขภาพการแพทย์ได้นำร่องทดสอบใช้งานเทคโนโลยี ETO ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลเรียบร้อยแล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการทดสอบทั้งระบบ Digital EMS ร่วมกับสถานพยาบาลในจังหวัดสุพรรณบุรีและหน่วยงานอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการประสานงาน
ดร.ศราวุธ กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า ขณะนี้ต้นแบบรถพยาบาล Digital EMS อยู่ระหว่างการทดสอบใช้งานจริง ในขั้นตอนต่อไปจะดำเนินงานร่วมกับ สพฉ. จัดทำแนวทางมาตรฐานสำหรับรถพยาบาลที่ใช้งานในประเทศไทย โดยมีรายละเอียดครอบคลุมทั้งความแข็งแรงของโครงสร้างรถ ระบบจัดการอากาศภายในห้องโดยสาร และระบบดิจิทัลสำหรับรับแจ้งเหตุและอำนวยการทางการแพทย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยี Digital EMS สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 6500 และ info@mtec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย เอ็มเทค สวทช.








