หน้าแรก สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้

สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้

30 มิ.ย. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

ภาพหมู่สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้

ครู เผย แพลตฟอร์ม LEAD Education ภายใต้โครงการ “Adaptive Education Platform”
ช่วยพลิกโฉมการเรียนรู้ AI และจริยธรรม ยกระดับนักเรียนช่วยเรียนรู้ AI ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล

(วันที่ 30 มิถุนายน 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในกิจกรรม NSTDA x Press Interviews: นักวิจัย สวทช. พบปะสื่อมวลชน ในประเด็นเรื่อง โครงการ Adaptive Education Platform: แพลตฟอร์ม LEAD Education บริการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล  โดยมีทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. ผู้แทนสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)  ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ครูกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักเรียนเข้าร่วมงาน ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ณ ห้องประชุม 2 และห้องเรียน AI โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

ภาพ ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัย

  • LEAD Education: ตัวช่วยสำคัญในการเรียนรู้ AI ยุคใหม่

ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ Adaptive Education Platform กล่าวว่า แพลตฟอร์ม LEAD (LEarning analytics of ADaptive Education) หรือ LEAD Education คือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ผ่านการปรับให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคล ที่กำลังเป็นเทรนด์การศึกษาในหลายประเทศชั้นนำ เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมีความก้าวหน้าจนเอื้อให้นักพัฒนาเทคโนโลยีสามารถออกแบบ Adaptive Education Platform รูปแบบต่าง ๆ มาให้บริการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบอีเลิร์นนิงแบบรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์จุดที่อาจเป็นปัญหาในการเรียนรู้ และแนะนำเนื้อหาที่ควรทบทวนหรือควรศึกษาเพิ่มเติมตามหลักคิด Adaptive Education แบบอัตโนมัติได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนบุคคลให้แก่ผู้เรียนได้แล้ว ยังเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ครูและอาจารย์ทำงานด้านการติดตามคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

“หัวใจสำคัญ คือ แพลตฟอร์ม LEAD ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นให้เป็นระบบที่ชาญฉลาดในการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย LEAD จะช่วยปรับการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน ทำให้การเรียน AI ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป” ดร.เสาวลักษณ์ ระบุ

ทั้งนี้ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ออกแบบ เพื่อให้บริการแก่ครูและอาจารย์ในประเทศไทย โดยปัจจุบันภายใต้แพลตฟอร์มนี้มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบอีเลิร์นนิงที่พร้อมให้บริการแล้ว 4 เทคโนโลยี ได้แก่

1. เทคโนโลยี BookRoll เทคโนโลยีติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ มีการขีดเน้นส่วนสำคัญและส่วนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจตรงจุดใดบ้าง

2. KidBright Simulator เทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly) โดยระบบจะติดตามความเร็วในการต่อบล็อกแต่ละส่วน จุดที่นำบล็อกออกแล้วต่อใหม่ รวมถึงช่วยนับจำนวนบล็อกที่ใช้ต่อทั้งหมด ซึ่งการติดตามทั้งหมดนี้จะช่วยประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจเรื่องการเขียนโค้ดของผู้เรียนได้

3. VIOLA (Video Interaction and Online Learning Analytics) เทคโนโลยีติดตามการเรียนรู้ผ่านสื่อวิดีโอมีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับเนื้อหาวิดีโอ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอ อัตราการดูซ้ำ หรือคะแนนจากแบบทดสอบในวิดีโอ เพื่อนำมาประเมินความเข้าใจในเนื้อหาวิดีโอ

และ 4. Abdul for Education เทคโนโลยีติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ ระบบจะติดตามว่าคำตอบที่ผู้เรียนเลือกหรือพิมพ์ตอบนั้นถูกต้องหรือแสดงถึงความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหรือไม่

“สวทช. มุ่งหวังให้คุณครูผู้สามารถพัฒนาเยาวชนของเราให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณค่า ประโยชน์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการเสริมสร้างทักษะในการสร้าง AI ได้ด้วยตนเองอย่างมีความรับผิดชอบและรู้เท่าทัน ด้วยเครื่องมือทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทั้งผู้เรียน ผู้สอน รวมถึงผู้ออกแบบเนื้อหาทราบถึงปัญหาที่ผู้เรียนกำลังเผชิญได้ทันที และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นการปูพื้นฐานความรู้ AI ที่แข็งแกร่งให้กับเยาวชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของประเทศในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตของชาติ”

ภาพนายเอกสิทธิ์ ปิยะแสงทอง ผู้อำนวยการกลุ่ม

นายเอกสิทธิ์ ปิยะแสงทอง ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. กล่าวว่า สพฐ. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอย่างรอบด้าน และเชื่อว่าเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม LEAD Education จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงช่วยเติมเต็มช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน แต่ยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษได้พัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ ได้ทุกที่ทุกเวลาตามความสนใจของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ สพฐ. ที่มุ่งเน้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง

“Adaptive Education Platform โครงการนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าถึง โรงเรียน 750 แห่ง คุณครูประมาณ 1,400 คน และนักเรียนไม่น้อยกว่า 140,000 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้ครูและนักเรียนได้สัมผัสกับประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติ” นายเอกสิทธิ์ กล่าว

ภาพดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี

ดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) กล่าวว่า สสวท. ได้ริเริ่มการออกแบบหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งประเทศไทยเป็นชาติแรก ๆ ในเอเชียที่มีหลักสูตร AI ในโรงเรียน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งมีแนวคิดสำคัญมาจาก แนวทาง AI4K12 และ AI Competency Framework for Students ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ทั้งสองแนวทางได้ถูกผนวกและปรับใช้เพื่อให้เหมาะสมกับระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจเทคโนโลยี AI อย่างถูกต้อง สามารถใช้งานได้จริง และตระหนักถึงจริยธรรมและผลกระทบของ AI ต่อสังคม ซึ่งโครงสร้างหลักสูตรของระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีความใกล้เคียงกัน อาจมีการปรับเปลี่ยนบางโมดูล เพื่อให้เหมาะสมกับระดับชั้นปี โครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วย 5 โมดูล ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ AI ไปจนถึงเทคนิค Supervised Learning การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และคอมพิวเตอร์วิชัน (Computer Vision) พร้อมทั้ง Generative AI เพื่อปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ

ทักษะที่ผู้เรียนได้รับครอบคลุมการคิดเชิงคำนวณ การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบระบบ AI และจริยธรรม AI ที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ศักยภาพเหล่านี้ต่อยอดสู่นวัตกรรมดิจิทัล เปิดโอกาสสร้างเยาวชนที่จะเติบโตเป็นนักพัฒนาประเทศรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ยุค AI อย่างยั่งยืนดร.จีระพร กล่าว

ภาพนายกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

  • Adaptive Education Platform” พลิกโฉมการเรียนรู้ สร้างนักเรียนยุคใหม่ สู่โลก AI

นายกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว เปิดเผยว่า จากการนำ “แพลตฟอร์ม LEAD Education” มาใช้ในการเรียนการสอน ส่งผลดีอย่างมากต่อนักเรียน โดยเฉพาะในการจัดการกับความแตกต่างด้านพื้นฐานและความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือช่วยครู แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมให้นักเรียนได้เรียนรู้ในแบบฉบับของตนเอง พร้อมรับมือกับโลกยุค AI ได้อย่างมีคุณภาพ

“แพลตฟอร์มนี้ช่วยปิดช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียน จากปัญหาหลักของการเรียนการสอนแบบเดิมคือการที่นักเรียนมีความรู้และทักษะพื้นฐานที่แตกต่างกัน ทำให้ครูยากที่จะติดตามและประเมินความเข้าใจของทุกคนได้อย่างทั่วถึง แต่เมื่อนำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ในรูปแบบ “Flipped Classroom” ซึ่งครูออกแบบให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาล่วงหน้านอกห้องเรียน และกลับมาทำกิจกรรมร่วมกันในชั้นเรียน ปัญหาดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไข โดยนักเรียนสามารถเข้าไปศึกษาคลิปวิดีโอ ทบทวนเนื้อหา หรือเรียนซ้ำได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เรียนรู้ช้าหรือเร็ว เหล่านี้คือข้อดีที่แตกต่างจากการสอนในห้องเรียนที่ เมื่อครูบรรยายจบก็คือจบ ถ้านักเรียนไม่ถาม ครูก็จะไม่รู้เลยว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงไหน”

ภาพบรรยากาศการบรรยาย ภาพบรรยากาศการบรรยาย
ภาพบรรยากาศการบรรยาย ภาพบรรยากาศการบรรยาย

 

นายกรกันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างการสอนใน Module จริยธรรมและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI นักเรียนสามารถศึกษาเนื้อหาเรื่องวิวัฒนาการของ AI ได้ด้วยตนเองก่อน แล้วจึงมาทำกิจกรรมร่วมกันในชั้นเรียน เช่น นำมาเล่นเกมตอบคำถาม และสรุปเนื้อหา ซึ่งหากนักเรียน ลืมหรือต้องการทบทวนก็สามารถกลับไปดูคลิปหรือเอกสารประกอบการเรียนได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ซ้ำที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้แพลตฟอร์มยังมี Dashboard ให้ครูสามารถวิเคราะห์และออกแบบการสอนเฉพาะบุคคล โดยจะแสดงผลภาพรวมการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าในการเรียน คะแนนจากการทำแบบทดสอบ ทำให้อาจารย์สามารถวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของนักเรียนได้อย่างแม่นยำ และสามารถจัดกลุ่มหรือออกแบบกิจกรรมเสริมที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอยากให้ทีมวิจัยพัฒนาต่อยอดแพลตฟอร์มและระบบดังกล่าว เช่น พัฒนาระบบให้เป็นเสมือนนิเวศทางการเรียนรู้ หรือ Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ ครอบคลุมตั้งแต่การลงทะเบียนเรียน การรับส่งงาน การทำกิจกรรม ไปจนถึงการประเมินผลการเรียน เพื่อให้ครูสามารถบริหารจัดการชั้นเรียนได้อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้โครงการ Adaptive Education Platform เป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับการศึกษาไทยให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนในยุคดิจิทัล และสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพพร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกอนาคต

ภาพหมู่

เช่นเดียวกับ นายเทพพิทักษ์ เทียมยศ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว กล่าวเสริมว่า การนำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ในการเรียนการสอนอย่างได้ผลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI และจริยธรรม AI ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการเรียนการสอนแบบเดิม ๆ ที่ไม่สามารถติดตามความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคนได้อย่างทั่วถึง ทำให้อาจารย์ติดตามความก้าวหน้าของนักเรียน พร้อมประเมินความเข้าใจของนักเรียนได้เบื้องต้นและสามารถนำมาปรับใช้กับการสอนได้สะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ประโยชน์ที่นักเรียนได้รับคือการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งการเข้าถึงเนื้อหา และทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้นักเรียนได้สัมผัสกับการเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ ได้ใช้ทักษะการค้นคว้าข้อมูล การใช้เครื่องมือออนไลน์ และการโต้ตอบกับแชตบอตซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคดิจิทัล.

แชร์หน้านี้: