หน้าแรก สวทช. ร่วมแชร์แนวคิดรวมพลังสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเวที อว.แฟร์ 2025 ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสู่ชุมชน สร้างรายได้เพิ่มด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม

สวทช. ร่วมแชร์แนวคิดรวมพลังสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเวที อว.แฟร์ 2025 ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสู่ชุมชน สร้างรายได้เพิ่มด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม

12 ส.ค. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

 วันที่ 10 สิงหาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ร่วม Share & Learn ในหัวข้อ “The Blueprint: พิมพ์เขียวการพัฒนากลไกเทคโนโลยีเพื่อชุมชนแห่งอนาคต” ในการประชุม “การขยายผลเทคโนโลยีและนวัตกรรมพร้อมใช้และการออกแบบพัฒนากลไกการถ่ายทอดและบริการเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ภายใต้แผนงานเป้าหมายสำคัญตามยุทธศาสตร์ ววน. “ครัวเรือนในชนบทและผู้ประกอบการในพื้นที่มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม (12,000 ครัวเรือนในชนบท มีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 5,000 บาทต่อเดือน ภายใน 2 ปี)” ประจำปีงบประมาณ 2568  จัดโดยหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ (บพท.)  ในงาน อว.แฟร์ 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และมุมมองของการนำระบบและกลไกในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปใช้ประโยชน์ในระดับชุมชนที่มุ่งเน้น การใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยเพื่อสร้างประโยชน์อย่างแท้จริง โดยในการดำเนินโครงการควรต้องคำนึงถึงว่าท้ายที่สุดแล้วชุมชนหรือผู้ใช้ปลายทางจะได้รับประโยชน์จริงหรือไม่ และโครงการเหล่านั้นจะยั่งยืนได้อย่างไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่กระบวนการทำงานของเรากลับเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น แรงกดดันในหลายปัจจัย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม โรคอุบัติใหม่ ความไม่เป็นธรรมในการใช้เทคโนโลยี วิกฤตการเงิน และการใช้ทรัพยากรเกินขอบเขตเพื่ออุตสาหกรรม ซึ่งอาจก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ามูลค่าที่สร้าง เช่น กรณีอุตสาหกรรมเหล็กที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม ต้องเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism – CBAM เทคโนโลยีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ แต่โจทย์ใหญ่คือจะทำอย่างไรให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี บางคนมองเพียงมิติการสร้างรายได้ แต่จริง ๆ แล้วต้องมองว่าชาวบ้านและชุมชนได้ประโยชน์จริงหรือไม่ เช่น ใช้เทคโนโลยีเกษตรที่ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน หรือเป็นเทคโนโลยีเหมาะสม (Appropriate Technology) ที่ตอบโจทย์ปัญหาของชุมชน ปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยคือ เรามีองค์ความรู้และงานวิจัยมาก แต่ยังไม่ต่อเนื่องและไม่ตอบโจทย์ตรงกับความต้องการของสังคม ในดัชนีความสามารถด้านการแข่งขันของ IMD (IMD World Competitiveness Ranking) ประเทศไทยยังอยู่ในอันดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย ทั้งที่เรามีผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการมากกว่า ดัชนี IMD มีตัวชี้วัดด้านวิทยาศาสตร์และวิจัยหลายตัวประกอบด้วย จำนวนบทความวิจัย (Publication) ที่ตีพิมพ์ จำนวนสิทธิบัตร (IP) งบประมาณวิจัยต่อ GDP สัดส่วนนักวิจัยต่อประชากร และพยายามเพิ่มตัวเลขเหล่านี้ แต่หากมุ่งเพียงตัวชี้วัดโดยไม่คำนึงถึงการใช้ประโยชน์จริง ก็ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้


นอกจากนี้ ยังได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากการทำวิจัย ที่เราควรจะต้องกำหนดโจทย์ของเราเอง โดยใช้ความสามารถระดับสากลมาแก้ปัญหาของประเทศให้ตรงจุด ได้ผลดีที่สุดด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด และสร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรม สิ่งสำคัญคือการปรับทิศทางการทำงานวิจัยและพัฒนา ไม่ใช่เพื่อตีพิมพ์หรือจดสิทธิบัตรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเริ่มจากปัญหาจริงของประชาชน เช่น การพัฒนาพันธุ์ข้าวที่เหมาะกับพื้นที่และเพิ่มผลผลิต การทำเครื่องจักรสำหรับการเกษตรให้มีราคาที่ชาวบ้านสามารถจับต้องได้และใช้งานได้จริง

ผู้อำนวยการ สวทช. เชิญชวนให้ร่วมปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำงาน “ทำเพื่อตัวชี้วัด” เป็น “ทำเพื่อแก้ปัญหา”  เราอาจไม่เน้นทำวิจัยเพื่อปริมาณตัวเลขบทความหรือสิทธิบัตร แต่ควรใช้ความรู้และเทคโนโลยีที่มีมาช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงให้กับประชาชน ชุมชน และภาคอุตสาหกรรมขนาดเล็ก โจทย์ต้องมาจากผู้ใช้งาน: แทนที่นักวิจัยจะทำในสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว นักวิจัยควรรับฟังและทำความเข้าใจความต้องการของชาวบ้านหรือผู้ประกอบการ SME เพื่อนำไปตั้งโจทย์วิจัยที่สามารถสร้างมูลค่าและนำไปใช้ได้จริง เรียนรู้: ยกตัวอย่างการพัฒนาของจีนที่ไม่ได้เน้นเพียงงานวิจัยขั้นสูง แต่ส่งนักวิจัยลงพื้นที่เพื่อช่วยชาวบ้านแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่การเพาะปลูกไปจนถึงการทำบัญชีครัวเรือน ซึ่งการทำงานแบบนี้แม้จะดูไม่หวือหวา แต่ช่วยสร้างประโยชน์มหาศาลในระดับชุมชน และปรับเปลี่ยนระบบการประเมิน: ระบบการประเมินผลงานของนักวิจัยควรเปลี่ยนจากการนับจำนวนบทความหรือสิทธิบัตร มาเป็นการประเมินจาก “มูลค่าและผลกระทบที่สร้างขึ้นจริง” โดยเฉพาะโครงการที่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากได้

การประชุมในครั้งนี้ มีผู้ร่วมรับฟัง และร่วมประชุมเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในภาคการวิจัย ประกอบด้วยหัวหน้าโครงการวิจัย  คณะทำงานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล  คณะทำงานเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ และคณะทำงาน Appropriate Technology ปี 2568  นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการบูรณาการความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากภาควิจัยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง บพท. ภาคเอกชน และนักวิจัยผู้ได้รับทุน เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อชุมชน สู่การใช้จริงในพื้นที่ สร้างคุณค่าเชิงเศรษฐกิจและสังคม พร้อมวางรากฐานสู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนในอนาคต

12 ส.ค. 2568
0
แชร์หน้านี้: