‘ไวรัสเอ็นพีวี’ ชีวภัณฑ์กู้วิกฤต ‘หนอนบุกทำลายพืชเศรษฐกิจไทย’
หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่ว เป็นศัตรูร้ายที่สร้างความเสียหายต่อพืชเศรษฐกิจไทยมายาวนาน เกษตรกรจำนวนไม่น้อยจึงเลือกใช้สารเคมีที่ออกฤทธิ์รุนแรงเพื่อกำจัดให้สิ้นซากในทันที ทว่าการพึ่งพาสารเคมีในระยะยาวไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้และผู้บริโภค แต่ยังทำลายสมดุลของระบบนิเวศ อีกทั้งยังเร่งให้เกิดปัญหาหนอนดื้อยา ส่งผลให้ไม่สามารถใช้สารเคมีชนิดเดิมหรือที่มีฤทธิ์อ่อนกว่าเดิมในการกำจัดได้อีก ท้ายที่สุดเกษตรกรอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียในระดับที่ยากต่อการแก้ไข
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนากระบวนการผลิตเชื้อไวรัสเอ็นพีวี ชีวภัณฑ์สำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่วอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระยะยาว
‘ไวรัสเอ็นพีวี’ ปราบหนอนศัตรูพืชแบบอยู่หมัด
สัมฤทธิ์ เกียววงษ์ นักวิชาการอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีการควบคุมทางชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. อธิบายว่า ‘ไวรัสเอ็นพีวี’ หรือ ‘Nucleopolyhedrovirus (NPV)’ คือ ไวรัสที่มีคุณสมบัติทำให้หนอนป่วย เมื่อหนอนกัดกินไวรัสที่ฉีดพ่นไว้ที่ดอก ใบ หรือผล สีตัวของหนอนจะเปลี่ยนไป เคลื่อนไหวได้ช้าลง กินอาหารได้น้อยลง และตายใน 3–7 วัน ไวรัสชนิดนี้จะออกฤทธิ์แบบจำเพาะกับหนอนแต่ละชนิดจึงไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนอนดื้อยา หากเกษตรกรใช้ไวรัสเอ็นพีวีอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เหมาะสมจะลดปริมาณการใช้สารลงได้ตามลำดับจนเหลือเพียงการฉีดพ่นเพื่อเฝ้าระวังการระบาดซ้ำ
“ปัจจุบันไบโอเทค สวทช. พัฒนากระบวนการผลิตไวรัสเอ็นพีวีในระดับอุตสาหกรรมจนประสบความสำเร็จเรียบร้อยแล้ว 4 ชนิด ประกอบด้วยไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนเจาะฝักถั่ว โดยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไวรัสเอ็นพีวีชนิดสำหรับกำจัดหนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก และหนอนเจาะสมอฝ้ายให้แก่บริษัทเอกชนแล้ว 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทไบรท์ออร์แกนิค จำกัด และบริษัทบีไบโอ จำกัด ส่วนไวรัสเอ็นพีวีสำหรับกำจัดหนอนเจาะฝักถั่วอยู่ในขั้นทดสอบภาคสนาม คาดว่าจะพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีและจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปี 2569”
3 ตัวอย่างความสำเร็จจากแปลงเกษตร

สัมฤทธิ์ เล่าว่า ที่ผ่านมาทีมวิจัยเคยนำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีไปใช้ช่วยแก้ปัญหาหนอนดื้อยาให้แก่เกษตรกรแล้วหลายกลุ่ม ตัวอย่างแรก คือ ในปี 2562 ทีมวิจัยได้เข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการสวนกล้วยไม้ในจังหวัดนครปฐมที่กำลังเผชิญปัญหาหนอนกระทู้หอม และหนอนกระทู้ผักบุกกัดกินดอกและใบจนแทบหมด ความเสียหายในครั้งนั้นร้ายแรงถึงขั้นทำให้ผู้ประกอบการแทบล้มละลาย
“เมื่อได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่เพื่อช่วยวางแผนกำจัดหนอนศัตรูพืชให้แก่ผู้ประกอบการแต่ละรายทันที โดยติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแผนไปจนกระทั่งปัญหาคลี่คลายและผลผลิตกลับมามีคุณภาพสูงอีกครั้งหนึ่ง
“ผลจากการลงพื้นที่ไปร่วมเผชิญทุกข์กับผู้ประกอบการในคราวนั้นไม่เพียงควบคุมศัตรูพืชได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ แต่ทีมวิจัยและเกษตรกรในพื้นที่ยังค้นพบสูตรสำเร็จในการวางแผนควบคุมการระบาดของหนอนอย่างยั่งยืนซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่เพาะปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย”
อีกตัวอย่างความสำเร็จ คือ ในปี 2567 ทีมวิจัยได้นำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีไปช่วยเหลือเจ้าของสวนดอกดาวเรืองในจังหวัดนครราชสีมาที่กำลังเผชิญปัญหาผลผลิตกว่าร้อยละ 60 โดนหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนกระทู้ผักกัดกินจนเสียหาย
สัมฤทธิ์ เล่าว่า เมื่อเจ้าของสวนที่กำลังเผชิญปัญหาติดต่อขอความช่วยเหลือเข้ามา คล้ายคลึงกับกรณีสวนกล้วยไม้ ทีมวิจัยจึงได้นำสูตรสำเร็จจากครั้งก่อนมาใช้วางแผนกำจัดหนอนให้ โดยหลังจากเจ้าของสวนดอกดาวเรืองดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามแผน ปริมาณหนอนในพื้นที่ก็ลดลงอย่างชัดเจนใน 2 สัปดาห์
“เจ้าของสวนเล่าให้ทีมวิจัยฟังว่าจากที่เคยต้องใช้สารเคมีอันตรายฉีดพ่นทุก 5–10 วัน มีต้นทุนสูงถึง 240 บาทต่อครั้งต่อไร่ ปัจจุบันเหลือเพียงการฉีดพ่นชีวภัณฑ์ชนิดนี้ทุก 7–10 วัน เพื่อควบคุมไม่ให้หนอนกลับมาระบาดซ้ำ ต้นทุนค่าชีวภัณฑ์อยู่ที่ 40 บาทต่อครั้งต่อไร่เท่านั้น”
นอกจากตัวอย่างการช่วยกอบกู้วิกฤตให้ผู้ประกอบการกลุ่มไม้ดอก ยังมีการใช้ประโยชน์เพื่อกอบกู้ผักเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
ช่วงกลางปีที่ผ่านมาผู้ผลิตหน่อไม้ฝรั่งในจังหวัดอำนาจเจริญรายหนึ่งได้ติดต่อมาหาทีมวิจัยด้วยปัญหาหนอนกระทู้หอมดื้อยาระบาดในพื้นที่ แต่ไม่สามารถใช้สารเคมีควบคุมการระบาดได้ ทีมวิจัยจึงเร่งวางแผนการกำจัดหนอนให้ทันทีและได้ผลลัพธ์ออกมาดีดังคาด ปัญหาหนอนระบาดคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 เดือน โดยหลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤต ผู้ประกอบการได้สะท้อนให้ทีมวิจัยฟังว่า การนำชีวภัณฑ์ไวรัสเอ็นพีวีมาใช้งานไม่เพียงช่วยเรื่องการรักษาคุณภาพผลผลิต แต่ยังช่วยลดการใช้สารเคมี จึงควบคุมคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานการส่งออกที่เข้มงวดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
“การส่งออกสินค้าทางการเกษตรที่เป็นอาหาร กระบวนการผลิตและคุณภาพของสินค้าจะต้องผ่านทั้งมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practices: GAP) มาตรฐานการตรวจสอบสารตกค้างสูงสุด (Maximum Residue Limits: MRLs) รวมไปถึงการออกใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) เพื่อยืนยันว่าสินค้านั้นปลอดภัยจากศัตรูพืชตามระเบียบข้อห้าม หากผู้ผลิตไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างเคร่งครัดก็อาจโดนปฏิเสธการนำเข้า ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิต และอาจกระทบไปถึงภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้” สัมฤทธิ์อธิบาย
จะเห็นได้ว่าไวรัสเอ็นพีวีไม่ได้เป็นเพียงชีวภัณฑ์ที่ช่วยกอบกู้วิกฤตหนอนศัตรูพืชทำลายผลผลิตทางการเกษตรเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำเกษตรอย่างปลอดภัยและยั่งยืน รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการส่งออกสินค้าการเกษตรไทย
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โรงงานต้นแบบผลิตไวรัสเอ็นพีวีเพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3781 หรือฝ่ายพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ไบโอเทค สวทช. โทรศัพท์ 0 2564 7000 ต่อ 3310
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และภาพจาก Shutterstock และ Adobe Stock