หน้าแรก EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ลดเสี่ยงไฟไหม้ ลดปล่อยคาร์บอน สนับสนุนไฟฟ้าสีเขียว

EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ลดเสี่ยงไฟไหม้ ลดปล่อยคาร์บอน สนับสนุนไฟฟ้าสีเขียว

23 ธ.ค. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ลดเสี่ยงไฟไหม้ ลดปล่อยคาร์บอน สนับสนุนไฟฟ้าสีเขียว

 

‘หม้อแปลงระเบิด ไฟไหม้ลุกลามบ้านเรือนประชาชน’ คือ หนึ่งในเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยบ่อยครั้ง และหลายครั้งนำไปสู่การสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน พัฒนา EnPAT (เอ็นแพท) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพที่มีอุณหภูมิจุดติดไฟ (fire point) สูง เพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน และมุ่งสู่การพัฒนาระบบไฟฟ้าสีเขียว (green electricity) อย่างยั่งยืนของประเทศไทย

EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ จากปาล์มน้ำมันไทย

โดยทั่วไปในหม้อแปลงไฟฟ้าจะมีการบรรจุน้ำมันแร่ซึ่งผลิตจากปิโตรเลียมเพื่อทำหน้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าและระบายความร้อน แต่น้ำมันแร่มีจุดอ่อนเรื่องอุณหภูมิจุดติดไฟต่ำ ทำให้เมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงระเบิด มีโอกาสที่น้ำมันจะลุกติดไฟ และลามไปสู่บ้านเรือนของประชาชนที่อยู่โดยรอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. หัวหน้าทีมผู้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย
ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.

ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. อธิบายว่า เพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน ทีมวิจัยได้นำความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมี มาใช้ในการแปรรูปน้ำมันจากผลปาล์มให้เป็นน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าในชื่อ EnPAT โดยผลิตภัณฑ์นี้มีจุดแข็งเรื่องอุณหภูมิจุดติดไฟสูงกว่าน้ำมันแร่ 2 เท่าหรือสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส จึงช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเหตุไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดได้เป็นอย่างดี ในกรณีเกิดเหตุที่ทำให้น้ำมันรั่วไหล EnPAT จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ เพราะมีน้ำมันปาล์มเป็นส่วนประกอบสูงถึงร้อยละ 97

ผลิตภัณฑ์ EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย

หม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT

ผลปาล์มน้ำมันในสวนปาล์ม

ดร.บุญญาวัณย์ อธิบายว่า หากมีการใช้งานน้ำมัน EnPAT ในปริมาณ 33 ล้านลิตรต่อปี หรือมีการใช้งานทั่วประเทศไทย จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 38 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2 eq) ต่อปี หรือใกล้เคียงกับการปลูกต้นไม้เพื่อช่วยกักเก็บคาร์บอนมากถึง 4 ล้านต้น ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้งาน EnPAT แทนน้ำมันแร่ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนประเทศไทยในการมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี พ.ศ. 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ได้เป็นอย่างดี

“นอกจากนี้เมื่อ EnPAT หมดอายุการใช้งานยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นไบโอดีเซลสำหรับใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ที่ประเทศไทยให้ความสำคัญได้ด้วย”

ผลิตภัณฑ์ EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย

ใช้จริงแล้ว 10 จังหวัด เตรียมขยายผลสู่ระบบไฟฟ้าสีเขียวทั่วไทย

นับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2567 เอ็นเทค สวทช. ได้รับการสนับสนุนจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในการนำร่องติดตั้งและใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ EnPAT แล้วใน 9 จังหวัดครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 เอ็นเทค สวทช. ได้ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) นำร่องใช้งานในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร อีกจุดหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้จะมีการขยายผลการใช้งานให้ครอบคลุมทั่วประเทศต่อไป

การติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT

หม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT ที่ติดตั้งใช้งานแล้วใน กทม.

ดร.บุญญาวัณย์ อธิบายเพิ่มเติมว่า การใช้งาน EnPAT ไม่ได้จำกัดเพียงการใช้งานร่วมกับหม้อแปลงไฟฟ้าเครื่องใหม่เท่านั้น เพราะทีมวิจัยได้ดำเนินการทดสอบแล้วว่า EnPAT มีความเข้ากันได้กับน้ำมันแร่เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทีมวิจัยยังได้ทดสอบใช้งาน EnPAT ในสภาวะเร่งภายในห้องปฏิบัติการ โดยจำลองการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าในสภาวะอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพของน้ำมันรวมถึงวัสดุอุปกรณ์ภายในหม้อแปลงแล้วด้วยผลการทดสอบพบว่า EnPAT มีแนวโน้มช่วยยืดอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญ

“ผลจากการทดสอบนี้ทำให้เอ็นเทค สวทช. กำลังเตรียมขยายผลการดำเนินงานร่วมกับ กฟภ. และ กฟน. ในการใช้ EnPAT ทดแทนน้ำมันแร่สำหรับการซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้า รวมไปถึงการใช้ EnPAT กับหม้อแปลงเครื่องมือวัดทั้งชนิดหม้อแปลงวัดกระแสไฟฟ้า (CT) และหม้อแปลงวัดแรงดันไฟฟ้า (VT)”

ขวดแสดงการผสมระหว่างน้ำมัน EnPAT กับน้ำมันแร่ที่ผ่านการใช้งานแล้วในสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นการเข้ากันได้ดีของน้ำมันทั้งสองชนิด

นอกจากการเปลี่ยนผ่านจากการใช้งานที่มีอยู่เดิม เพื่อยกระดับความปลอดภัยและความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เอ็นเทค สวทช. และพันธมิตร ยังมีแผนจะนำ EnPAT ไปใช้ในภารกิจพลังงานสะอาดด้วย

ดร.บุญญาวัณย์ อธิบายว่า นอกจากหม้อแปลงทั่วไปที่ใช้แกนเหล็กซิลิกอนแล้ว ในระบบจำหน่ายไฟฟ้ายังมีหม้อแปลงที่แกนเหล็กทำจากโลหะอะมอร์ฟัส (amorphous) โดยหม้อแปลงชนิดนี้มีจุดแข็งคือลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในช่วงไม่มีโหลด (no-load) ได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเหมาะแก่การใช้งานในระบบผลิตพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ โดยทีมวิจัยได้ทดสอบแล้วว่า EnPAT มีคุณสมบัติที่เข้ากันได้อย่างดีกับโลหะอะมอร์ฟัส

“ดังนั้นหากมีการนำ EnPAT ที่ช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไปใช้ร่วมกับหม้อแปลงอะมอร์ฟัสที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการประหยัดพลังงาน ความปลอดภัย และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่าเป็นคู่หูที่พร้อมขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าสู่อนาคตที่ยั่งยืน

“นอกจากนี้ ปัจจุบัน เอ็นเทค สวทช. ยังมีแผนร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการใช้ EnPAT ในหม้อแปลงไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่เขื่อนสิรินธร เพื่อประเมินการขยายผลไปสู่การใช้งานในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำหรือ Floating solar ของ กฟผ. ต่อไป

ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (floating solar)

จากพลังความร่วมมือ สู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ความสำเร็จของการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ EnPAT ที่เห็นผลเป็นรูปธรรม และขยายผลการใช้งานในวงกว้างได้เช่นนี้ เป็นเพราะพลังแห่งการผลักดันเชิงรุกจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทย

ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการเอ็นเทค สวทช.
ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการเอ็นเทค สวทช.

ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการเอ็นเทค สวทช. กล่าวว่า EnPAT ประสบความสำเร็จเช่นวันนี้ได้ เพราะแรงผลักดันจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน), บริษัทโกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน), บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ตั้งแต่การสนับสนุนทุนวิจัย การสนับสนุนองค์ความรู้ด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า การสนับสนุนด้านการทดสอบตามมาตรฐานสากล รวมไปถึงการสนับสนุนการติดตั้งใช้งานจริงมาโดยตลอด

“การที่ทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินงานเชิงรุก ทำให้วันนี้ผลลัพธ์เริ่มผลิดอกออกผล มีการนำ EnPAT ไปใช้ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้าสีเขียวในประเทศไทยแล้วถึง 10 จังหวัด โดยคาดว่าหลังจากนี้จะมีการขยายผลการใช้งานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ภาคครัวเรือนได้ใช้งานไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมได้ใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยคาร์บอน ทั้งเพื่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระดับสากล

“นอกจากนี้การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์โอเลโอเคมีมูลค่าสูง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผลิตภัณฑ์ EnPAT ยังเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของประเทศไทย ที่จะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานสะอาด ควบคู่ไปกับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่วัตถุดิบทางการเกษตร โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันซึ่งเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีเกษตรกรไทยกว่า 4 แสนครัวเรือนเป็นผู้ผลิต” ดร.สุมิตรา กล่าวทิ้งท้าย

บรรยากาศการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า EnPAT ในพื้นที่ กทม.

บรรยากาศงานแถลงข่าวนำร่องการใช้งานน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทยร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง โดยบนเวทีคือภาคีทั้งภาครัฐและเอกชน

บรรยากาศงานแถลงข่าวนำร่องการใช้งานน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทยร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง โดยบนเวทีคือภาคีทั้งภาครัฐและเอกชน และด้านหน้าเวทีคือทีมวิจัยผู้พัฒนา EnPAT จากเอ็นเทค สวทช.

เกษตรกรผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ทำท่ายื่นผลปาล์มให้กล้องด้วยรอยยิ้ม

EnPAT คือ หนึ่งในผลงานวิจัยไทยเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มตั้งแต่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานสะอาด เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของประชาชน อุตสาหกรรมที่มีอยู่เดิม และอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นรากฐานรองรับการเติบโตของประเทศไทยในแต่ละมิติอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป


เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, ชัชวาลย์ โบสุวรรณ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สวทช., เอ็นเทค สวทช. และภาพจาก Shutterstock

23 ธ.ค. 2568
0
แชร์หน้านี้: