หน้าแรก สวทช. โดย BID ผนึก สป.อว. ชูโครงการ “Maturity Model” ปั้นศูนย์บ่มเพาะธุรกิจไทยสู่เวทีโลก

สวทช. โดย BID ผนึก สป.อว. ชูโครงการ “Maturity Model” ปั้นศูนย์บ่มเพาะธุรกิจไทยสู่เวทีโลก

8 ก.ค. 2568
0
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
(8 กรกฎาคม 2568) ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการวิเคราะห์ข้อค้นพบและอบรมเชิงปฏิบัติการติดอาวุธ Incubator โครงการยกระดับขีดความสามารถหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ประจำปี พ.ศ. 2568 หรืออ “Maturity Model” พร้อมแถลงผลการดำเนินงานโครงการฯตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับศูนย์บ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี ในประเทศไทยให้มีมาตรฐานสากลและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี Mr. Julian William Web Managing Director, CREEDA และหน่วยงานพันธมิตร เข้าร่วมงาน
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)กล่าวว่า ปัจจุบัน “หน่วยบ่มเพาะธุรกิจเทคโนโลยี” ทั้งที่เป็น Technology Business Incubator (TBI) หรือ University Business Incubator (UBI) ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันผลงานวิจัยและนวัตกรรมสู่เชิงพาณิชย์ สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ กลายเป็นผู้ประกอบการ และ Tech Startup ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
สวทช. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ มีพันธกิจสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ ผ่านการบ่มเพาะ พัฒนา และต่อยอดผลงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรม จึงได้ร่วมมือกับ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ และผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศจาก CREEDA นำแนวทางการยกระดับหน่วยบ่มเพาะฯ อย่างเป็นระบบผ่านโมเดลการพัฒนาหน่วยบ่มเพาะธุรกิจ ที่เรียกว่า “Maturity Model” ซึ่งเป็นแบบจำลองที่ช่วยให้หน่วยบ่มเพาะฯ สามารถประเมินตนเองตามเกณฑ์มาตรฐานสากลที่เทียบเท่าระดับนานาชาติ
“Maturity Model” เป็นแบบจำลองที่ช่วยให้หน่วยบ่มเพาะสามารถประเมินระดับความพร้อมของตนเองในหลากหลายมิติ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้เห็นจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาในระยะยาวให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
อย่างไรก็ตามงานในวันนี้ไม่เพียงเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความร่วมมือ เชื่อมโยงประสบการณ์และบทเรียนจากแต่ละพื้นที่ เพื่อร่วมกันยกระดับระบบนิเวศนวัตกรรมของไทยให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และสามารถรองรับการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอนาคตได้อย่างแท้จริง” รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับข้อเสนอแนะอย่างข้อเสนอแนะที่สามารถประมวลจากการทำงานมา 8 ปี ซึ่งชี้ให้เห็นว่าหน่วยบ่มเพาะธุรกิจต้องปรับตัวใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่
1.Data-Driven Impact Tracking ต้องวัดผลด้วยข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระบบ เช่น จำนวนงานที่สร้าง รายได้ที่เพิ่มขึ้น เงินลงทุนที่ได้รับ และติดตามผลในระยะยาว
2.Broaden Support Portfolio ต้องขยายบทบาทให้กว้างขึ้น จากเดิมที่เราอาจเน้นแค่การการอบรม การให้คำปรึกษา เราต้องเปิดรับรูปแบบใหม่ ๆ เช่น Digital incubation platform, Fab Labs & prototyping labs, Sector-specific incubation
3.Ecosystem Leadership หน่วยบ่มเพาะธุรกิจต้องเชื่อมเครือข่ายทั้งหมด ทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และนักลงทุน เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายและโอกาสให้กับผู้ประกอบการ
4.Leverage Certification & Best Practices เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะให้บริการอย่างมืออาชีพ พร้อมเรียนรู้และนำแนวทางใหม่ ๆ มาใช้ตลอดเวลา
5.Align to Regional Goals & Policy ต้องปรับแผนงานให้ตอบโจทย์ในแต่ละภูมิภาค ทั้งในแง่การสร้างงาน การส่งเสริมนวัตกรรม และความหลากหลาย
6.Embrace Innovation & Tech Trends เปิดรับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงใช้ระบบออนไลน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการให้คำปรึกษาและติดตามผล
นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี กล่าวเสริมว่า โครงการนี้ได้นำ “Maturity Model” ซึ่งเป็นแบบจำลองมาตรฐานสากลจาก CREEDA มาใช้ในการประเมินและพัฒนาหน่วยบ่มเพาะฯ โดยครอบคลุมมิติต่าง ๆ เช่น การบริหารจัดการองค์กร, การบริการผู้ประกอบการ, การสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม และการติดตามผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคม โดยความสำเร็จตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ได้แก่
1.การขยายเครือข่ายและการประเมินมาตรฐาน : มีศูนย์บ่มเพาะธุรกิจกว่า 40 แห่งเข้าร่วมโครงการประเมิน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาบริการให้ทัดเทียมระดับสากล โดยมีอัตราการเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
2.การพัฒนาศักยภาพบุคลากร : จัดกิจกรรมอบรม “ติดอาวุธ Incubator” พัฒนาบุคลากรกว่า 100 คน ให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็น เช่น การตลาด การบริหารจัดการเทคโนโลยี และการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ
3.การนำแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับสากลมาปรับใช้ : โครงการได้นำแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การประยุกต์ใช้ AI (ChatGPT) และหลักการ Lean Startup Approach มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบ่มเพาะธุรกิจและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทุกท่าน ในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของหน่วยบ่มเพาะธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันและเทียบเท่าระดับสากลอย่างแท้จริง
“ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่าน ตลอดจนผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ อุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ รวมถึงผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และวิทยากรจากต่างประเทศ ได้แก่ Mr. Ethan และทีมงานจาก CREEDA (Mr. Julian Webb, Mrs. Thea Chase และ Ms. Lehl Chase) ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ ประสบการณ์ และมุมมองที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาและเสริมสร้างระบบบ่มเพาะธุรกิจของประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและทันสมัยยิ่งขึ้น” นางศันสนีย์ กล่าว
ทั้งนี้การอบรมเชิงปฏิบัติการ “ติดอาวุธ Incubator 2568” จัดขึ้นระหว่างในวันที่ 8-9 กรกฎาคม 2568 โดยเน้นการแถลงผลและทิศทางในอนาคต การเสวนาจากผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทั้งการอบรมเชิงปฏิบัติการเข้มข้นเพื่อเสริมทักษะบุคลากรบ่มเพาะธุรกิจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี สวทช. โทร. 0 2564 7000 ต่อ 5945 อีเมล : maturitymodel@nstda.or.th
แชร์หน้านี้: