เอ็มเทค สวทช. ขับเคลื่อน Design for Circular Economy “คิดก่อนทำ” สู่โมเดลธุรกิจยั่งยืน
(4 กันยายน 2568) ณ โถงแถลงข่าว ชั้น Ground อาคารวิจัยโยธี สวทช. ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรม NSTDA x Press Interviews หัวข้อ “ออกแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ‘คิดก่อนทำ’ กุญแจสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน” โดยมี ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. พร้อมด้วยคุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) และคุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การนำแนวคิด Circular Design มาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน
- “คิดตั้งแต่ต้นทาง” หัวใจสำคัญของ Circular Design
ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า การออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) คือการคิดตั้งแต่ต้นทางว่าจะยืดอายุการใช้งานและคงคุณค่าทรัพยากรได้ยาวนานที่สุด และเมื่อสิ้นรอบการใช้งานต้องสามารถออกแบบเส้นทางชีวิตรอบถัด ๆ ไปให้กับวัสดุได้ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซม การนำกลับมาใช้ซ้ำ การรีไซเคิล หรือการแปลงเป็นพลังงาน แทน “ผลิต–ใช้–ทิ้ง” ที่สร้างของเสียและภาระต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการวางแผนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การรอให้เกิดของเสียแล้วจึงจัดการ แต่ต้องกำหนดแนวทางการใช้วัสดุให้หมุนเวียนกลับมาได้เต็มศักยภาพตั้งแต่แรก เนื่องจากปัจจุบันความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่เป็นความจำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การขาดองค์ความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับวัสดุและการออกแบบผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรเดิมที่ต้องปรับปรุงให้รองรับวัสดุใหม่ ความยากในการสร้างความเชื่อมั่นของตลาด และระบบจัดการของเสียที่ยังไม่ครบวงจร เอ็มเทค สวทช. จึงเข้ามามีบทบาทเป็น “พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม” ร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้นำแนวคิดการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ได้จริง ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการส่งเสริมการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน (Design for Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรแร่และโลหะอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม
ดร.วิชชุดา เดาด์ กล่าวต่อว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ผลิตภัณฑ์ Made in Thailand จะก้าวสู่ทิศทางที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (renewable resources) และวัสดุที่รีไซเคิลได้ง่าย การออกแบบให้ถอดแยก ซ่อมแซม และอัปเกรดได้ เพื่อลดการเกิดขยะและยืดอายุการใช้งาน ระบบการผลิตในอนาคตจะถูกออกแบบให้สามารถส่งต่อข้อมูลตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น การใช้ Digital Product Passport (DPP) เพื่อระบุประเภทวัสดุ ส่วนประกอบ วิธีถอดแยก การซ่อมบำรุง และแนวทางจัดการเมื่อสิ้นอายุการใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้รีไซเคิลและผู้ผลิตในรอบถัดไปเข้าถึงได้ง่ายและนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำได้เต็มศักยภาพ การเปลี่ยนผ่านนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐควรวางนโยบายและมาตรฐาน Circular Economy ควบคู่กับการสนับสนุน R&D และระบบข้อมูลที่โปร่งใส ภาคเอกชนต้องลงทุนในนวัตกรรม ปรับกระบวนการผลิต และออกแบบผลิตภัณฑ์ตามแนวคิด Circular ส่วนผู้บริโภคเองก็มีบทบาทสำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ หากทั้งสามฝ่ายเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์ไทยที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากลอย่างแท้จริง
- Circular Economy คืออนาคต ผู้ประกอบการไทยสร้างมาตรฐานใหม่ระดับสากล
คุณฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป เผยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วให้เป็นทรัพยากรที่มีค่าไม่ใช่แค่ขยะ ด้วยการพัฒนากระบวนการรีไซเคิลด้วยนวัตกรรมตั้งแต่ต้นทาง บริษัทสามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดใหม่ (virgin) ถึง 80% ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการมาตรฐานสูง เช่น ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ได้ จุดแข็งของบริษัทคือกระบวนการผลิตแบบ requirement-driven ที่เริ่มจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก โดยทำงานร่วมกับโรงงาน แบรนด์สินค้า และชุมชน เพื่อคัดแยกและเตรียมวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน Global Recycle Standard (GRS) ซึ่งตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน นอกจากนี้ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลของบริษัทยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีค่าคาร์บอนฟุตพรินต์เพียง 0.3–0.45 กก. CO₂/กก. ซึ่งน้อยกว่าเม็ดใหม่ที่ปล่อยสูงถึง 1.8 กก. อย่างมาก และยังสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอีกด้วย
คุณฐิติพันธ์ กล่าวต่อว่า ความสำเร็จของบริษัทมาจากความร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. ซึ่งเป็น “พี่เลี้ยง” ที่ช่วยสนับสนุนด้านองค์ความรู้ “Design for Circular Economy” ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการวิเคราะห์สารเคมีในพลาสติกอย่างละเอียด ทำให้บริษัทไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดหาวัตถุดิบอีกต่อไป แต่ก้าวขึ้นเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดของยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมีกฎเกณฑ์เข้มงวดด้านสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลและคาร์บอนฟุตพรินต์ นอกจากคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว บริษัทฯ ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างรายได้ให้ชุมชนจากการคัดแยกขยะพลาสติก และช่วยลดการรั่วไหลของขยะลงสู่ทะเล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
คุณฐิติพันธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า เป้าหมายของบริษัทคือการทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าพลาสติกใช้แล้วสามารถสร้างคุณค่าใหม่ได้อย่างแท้จริง หากมีระบบจัดการที่ถูกต้องและได้มาตรฐาน เพื่อผลักดันวงการรีไซเคิลของไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ด้าน คุณอวยชัย ศิริวจนา กรรมการบริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 39 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงระดับแรงดันสูง 525 kV และมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานพลังงานไฟฟ้าของประเทศอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ เอ็มเทค สวทช. พัฒนา “หม้อแปลงไฟฟ้ารีแมนูแฟคเจอริ่ง (Remanufacturing Transformer)” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่นำหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้แล้วมาปรับปรุงให้มีคุณภาพเทียบเท่าของใหม่ผ่านการทดสอบมาตรฐานสากล 100% โครงการนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของประเทศไทย เพราะหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การนำหม้อแปลงเก่ากว่า 1 ล้านเครื่องทั่วประเทศมาปรับปรุงใหม่ จะช่วยประหยัดวัตถุดิบ ลดมลภาวะ ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่าหมื่นล้านบาท
บริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างมาตรฐานคุณภาพเพื่อให้ หม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่ง มีความปลอดภัยสูงสุดและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งการสนับสนุนด้านงานวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ในการวัดและคำนวณ คาร์บอนฟุตพรินต์ อย่างละเอียดเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน ได้อย่างยั่งยืน คุณอวยชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า นี่คือก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตพลังงานที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับประเทศไทย และบริษัทฯ พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมทั้งเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรมหันมาใช้ หม้อแปลง CE เพื่อร่วมลดคาร์บอนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
การเดินหน้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ประสบความสำเร็จจากบทบาทสำคัญของเอ็มเทค สวทช. ในฐานะ “พี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม” ที่สนับสนุนองค์ความรู้ Design for Circular Economy การวิเคราะห์ทางเทคนิค และการพัฒนามาตรฐานระดับสากลให้ผู้ประกอบการไทย จากความร่วมมือกับบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ทำให้สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเม็ดเวอร์จินกว่า 80% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 75% ส่วนโครงการกับบริษัท ถิรไทย พัฒนาหม้อแปลงรีแมนูแฟคเจอริ่งที่สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาทจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
เอ็มเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักที่เชื่อมโยงงานวิจัยกับการใช้งานจริง ผ่านแนวคิด “คิดก่อนทำ” ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์ “Made in Thailand” ให้แข่งขันได้บนเวทีโลกและสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
![]() |
![]() |