คณะผู้บริหาร สวทช. เข้าเยี่ยมคารวะท่านกงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต หารือความร่วมมือ วทน. ระหว่างไทยและเยอรมนี
เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นผู้นำคณะผู้บริหาร สวทช. ประกอบด้วย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. รองศาสตราจารย์ ดร. เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ และ ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เข้าเยี่ยมคารวะ นายณัฐพงศ์ ลัทธพิพัฒน์ กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสที่คณะผู้บริหาร สวทช. เดินทางเยือนกระชับความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการและหารือความร่วมมือกับ Institute for Bio- and Geosciences (Plant Science), Forschungszentrum Julich (FZJ) และสถาบันวิจัยในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ในการเยี่ยมคารวะ กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต ได้หารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลความร่วมมือระหว่างไทยและหน่วยงานในสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งนอกจากความร่วมมือระหว่าง สวทช. และ FZJ ที่ได้ร่วมมือกันมามากกว่า 10 ปีแล้ว สวทช. ได้แสดงความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำของเยอรมนี เช่น Fraunhofer-Gesellschaft และ Max Planck Institutes โดย สวทช. ได้ขอความอนุเคราะห์กงสุลใหญ่ ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต เป็นสะพานเชื่อมสำคัญในการริเริ่มความร่วมมือกับทั้งสองหน่วยงานเพื่อสร้างความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) โดยเฉพาะการถอดบทเรียนของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีที่สามารถนำ วทน. มาพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการลดสภาวะโลกร้อน การลดการผลิตคาร์บอน การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เป็นต้น
นอกจากนี้ กงสุลใหญ่ฯ และ สวทช. ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดการพัฒนาและสนับสนุนสะเต็มศึกษา (STEM Education) เนื่องจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญในวางระบบการศึกษาที่ครอบคลุมทุกมิติ พัฒนาบุคลากรได้ตามความถนัดและความสามารถในการเรียนรู้แบบรายบุคคลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดได้อย่างครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่ระดับอาชีวศึกษา มหาวิทยาลัย จนถึงสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาบุคลากรให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนวัตกรชั้นแนวหน้าของประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถนำแนวคิดในการดำเนินงานมาใช้ในการพัฒนาและสร้างหลักสูตรหรือวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยเพื่อพัฒนาทรัพยากรบุคลากรรุ่นใหม่ของประเทศต่อไปในอนาคต