เจาะลึก ‘EnPAT’ ‘น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ’ ตัดวงจรเสี่ยงไฟไหม้ ยกระดับความปลอดภัยเมืองกรุง

ท่ามกลางมหานครที่ไม่เคยหลับใหล “ไฟฟ้า” คือเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ทว่าภายใต้ ‘หม้อแปลงไฟฟ้า‘ ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง กลับซ่อนความเสี่ยงจากน้ำมันหม้อแปลงแบบดั้งเดิมที่ผลิตจากปิโตรเลียม ซึ่งมีจุดติดไฟต่ำและเสี่ยงลุกลามหากเกิดเหตุขัดข้อง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัย และนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. หยิบเอาความท้าทายดังกล่าวนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจอย่างปาล์มน้ำมันให้กลายเป็น “EnPAT” (เอ็นแพท) นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก ที่ไม่เพียงช่วยตัดวงจรความเสี่ยงอัคคีภัยได้ แต่ยังเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ของประเทศไทย
เมื่อ ‘ปาล์มน้ำมัน’ ถูกอัปเกรดโมเลกุล สู่เกราะกันไฟมาตรฐานสากล
ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมพัฒนา EnPAT จากศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สวทช. อธิบายว่า EnPAT มีจุดติดไฟที่สูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงเป็น 2 เท่าของน้ำมันแร่เดิม ทำให้น้ำมันชนิดนี้ติดไฟได้ยาก สามารถป้องกันการเกิดอัคคีภัยจากการระเบิดของหม้อแปลงได้

อีกทั้งผลทดสอบการเสื่อมสภาพทางความร้อนที่ 110 องศาเซลเซียส ต่อเนื่อง 6,000 ชั่วโมง ยืนยันว่า EnPAT คงสภาพฉนวนได้ดีและมีความชื้นต่ำ ช่วยยืดอายุหม้อแปลงได้นานกว่าน้ำมันแร่ อีกทั้งยังสามารถเติมทดแทนในหม้อแปลงเดิม (Retrofilling) ได้ทันทีโดยไม่แยกชั้น ทำให้เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้ง่าย

และที่สำคัญแหล่งกำเนิดของนวัตกรรมนี้มาจาก “ปาล์มน้ำมัน” พืชเศรษฐกิจของไทย ทำให้ EnPAT เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และสามารถหมุนเวียนไปเป็นวัตถุดิบผลิตไบโอดีเซลได้ต่อ สร้างวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าสูงสุด ดังที่ ดร.บุญญาวัณย์ ได้กล่าวไว้ว่า “EnPAT ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นหนึ่งในคำตอบสำคัญ ซึ่งจะทำให้ไทยพร้อมตอบโจทย์ทั้งเป้าหมาย Net Zero และการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลสีเขียวในภูมิภาค”

กฟน. เดินหน้านำร่องใช้ ‘ปกป้องมหานคร’ หนุนเศรษฐกิจดิจิทัล

นวัตกรรมจะสร้างมูลค่าสูงสุด เมื่อมีผู้นำไปขยายผลใช้งานจริง ด้านการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในฐานะผู้นำร่องใช้งานจริงในพื้นที่เมืองหลวงที่มีความหนาแน่นสูง โดย นายดิเรก บุญปิยทัศน์ รองผู้ว่าการวางแผนและนวัตกรรมระบบไฟฟ้า กฟน. กล่าวว่า การนำร่องติดตั้งหม้อแปลงบรรจุ EnPAT เครื่องแรกในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของ กฟน. ณ เขตลาดกระบัง เมื่อเดือนตุลาคม 2568 ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องความปลอดภัย แต่คือก้าวย่างสำคัญทางเศรษฐกิจ นายดิเรก ชี้ให้เห็นว่า “Green Electricity ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลาง Green Data Center ในภูมิภาค ซึ่งต้องการไฟฟ้าที่สะอาดและมีเสถียรภาพ” โดย กฟน. มีแผนที่จะขยายผลการใช้งานให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญอื่น ๆ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับระบบไฟฟ้าของมหานคร พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนด้วยนวัตกรรมที่ปลอดภัย

การเดินหน้าของ กฟน. ยังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเจ้าของพื้นที่อย่างกรุงเทพมหานคร รศ. ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สะท้อนภาพความจริงที่น่าตกใจจากสถิติของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ว่าในปี พ.ศ. 2568 มีเหตุอัคคีภัยเกิดขึ้น 3,443 ครั้ง โดยมีสาเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจรถึง 1,243 ครั้ง ด้วยเหตุนี้ การนำร่องใช้งาน EnPAT ในพื้นที่เขตลาดกระบัง จึงไม่ใช่แค่การทดสอบนำร่อง แต่คือการยกระดับความปลอดภัยของระบบสาธารณูปโภคเชิงรุกตามนโยบาย “ปลอดภัยดี” ของ กทม. เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์หม้อแปลงระเบิดที่อาจลุกลามเป็นอัคคีภัยในพื้นที่ชุมชนเมืองที่มีความหนาแน่นของผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก

สานต่อภารกิจความปลอดภัย จากต้นน้ำสู่ความมั่นคงทางพลังงาน
ความสำเร็จของ EnPAT เกิดจากการถักทอความร่วมมือที่แข็งแกร่งจากพันธมิตร โดยเริ่มจาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่นำร่องติดตั้งหม้อแปลง EnPAT เครื่องแรกที่จังหวัดชลบุรี มาตั้งแต่มีนาคม 2567 ซึ่งพิสูจน์ความเสถียรในการจ่ายไฟฟ้ามากว่า 1 ปี 8 เดือน จนกลายเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งไม้ต่อมายัง กฟน. เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่เมืองหลวง ภารกิจนี้ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องสู่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำเขื่อนสิรินธร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมไฟฟ้าไทยให้แข่งขันได้ในตลาดโลก


ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC กล่าวว่า EnPAT คือ ผลลัพธ์ของการรวมพลังใจจาก 9 หน่วยงานหลัก เพื่อเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงระบบไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างอุตสาหกรรมมูลค่าสูงให้กับประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ ผศ. ดร.กานดา บุญโสธรสถิตย์ ผู้อำนวยการ บพข. ที่ภูมิใจกับรางวัล PMUC Country First Award ของโครงการนี้ โดยชี้ให้เห็นว่า EnPAT คือ ก้าวย่างสำคัญที่พิสูจน์ว่างานวิจัยไทยสามารถสร้างทั้งโอกาสทางการค้าและสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้กับเกษตรกรปาล์มน้ำมันกว่า 400,000 ครัวเรือน ได้อย่างแท้จริง


ผนึกเอกชน สร้าง Value Chain ที่จับต้องได้
ลำพังงานวิจัยไม่อาจสร้างผลกระทบวงกว้างได้ หากขาดฟันเฟืองภาคการผลิตที่แข็งแกร่ง การผนึกกำลังจึงขยายวงไปสู่ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC ผู้ดูแลต้นน้ำในการเตรียมวัตถุดิบปาล์มคุณภาพเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ส่งไม้ต่อให้กับ บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันหล่อลื่นที่เข้ามารับบทบาทปรุงสูตรและขยายกำลังการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม และเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันหยดนี้จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด จึงเข้ามาดีไซน์และผลิตหม้อแปลงที่รองรับนวัตกรรมนี้โดยเฉพาะ เพื่อยกระดับเทคโนโลยีไทยสู่มาตรฐานสากล

EnPAT จึงเป็นมากกว่าน้ำมันในหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ แต่คือพลังแห่งความร่วมมือระหว่างนักวิจัย ภาครัฐ และเอกชน ที่สามารถยกระดับพืชผลเกษตรของชาวสวนกว่า 400,000 ครัวเรือน ให้กลายเป็นนวัตกรรมความปลอดภัยระดับสากลได้สำเร็จ ตอกย้ำภารกิจของ สวทช. ที่มุ่งมั่นสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน








