เปิดเวที ABTC 2025 ที่ภูเก็ต ผลักดันบทบาทไทยสู่ศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านการกักเก็บพลังงาน
วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรม ทราย ลากูน่า จังหวัดภูเก็ต: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) และสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ร่วมกับ Singapore Battery Consortium, NanoMalaysia, Electric Vehicle Association of the Philippines, National Battery Research Institute Indonesia, National Center for Sustainable Transportation Technology ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และบริษัท HIOKI จัดงานประชุมวิชาการ 3rd ASEAN Battery Technology Conference (ABTC) 2025 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในระดับภูมิภาค โดยในพิธีเปิด ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ENTEC สวทช. กล่าวต้อนรับในฐานะผู้จัดงาน, นายสมาวิษฎ์ สุพรรณไพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับผู้ร่วมงาน, ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC สวทช. กล่าวแสดงความยินดีและย้ำถึงบทบาทของประเทศไทยในการเป็นเวทีเชื่อมโยงวิชาการและอุตสาหกรรมด้านแบตเตอรี่ของอาเซียน และได้รับเกียรติจาก นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงาน
ASEAN Battery Technology Conference (ABTC) เป็นเวทีประชุมระดับภูมิภาคที่สำคัญด้าน เทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ นวัตกรรม และโอกาสความร่วมมือในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล การจัดการประชุมในครั้งที่ 3 นี้ ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์สแตนลีย์ วิตติงแฮม เจ้าของรางวัลโนเบลด้านเคมี ประจำปี 2019 ได้ร่วมบรรยายพิเศษว่าด้วยพัฒนาการและความท้าทายของแบตเตอรี่ลิเทียม อีกทั้งมีผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการจากอาเซียนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และพลังงานสะอาดของภูมิภาค
ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล นายกสมาคมเทคโนโลยีกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมพลังงาน ENTEC สวทช. กล่าวว่า TESTA พร้อมด้วยพันธมิตรจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการเทคโนโลยีแบตเตอรี่แห่งอาเซียน ครั้งที่ 3 (ABTC 2025) ภายใต้ธีม “For a Greener Tomorrow: Advancing Battery Safety and Innovation for ASEAN’s Next Generation” มุ่งขับเคลื่อนความปลอดภัยแบตเตอรี่ และนวัตกรรมพลังงานสะอาดสู่อนาคตอาเซียน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลกเข้าร่วม อาทิ Professor M. Stanley Whittingham เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมี ปี 2019 และ Professor Yet-Ming Chiang หนึ่งใน 100 ผู้นำด้านความยั่งยืนโลกที่จัดอันดับโดย Forbes ภายในงานมีการบรรยายพิเศษ การเสวนานโยบายพลังงานอาเซียน การเปิดตัวเครือข่ายความปลอดภัยแบตเตอรี่อาเซียน (ASEAN Battery Safety Network) และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ พร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมกว่า 350 คนจาก 20 ประเทศ งานนี้ตอกย้ำบทบาทของ ABTC ในฐานะแพลตฟอร์มระดับนานาชาติที่ส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงาน ยกระดับนวัตกรรม และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียน
นายสมาวิษฎ์ สุพรรณไพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานว่า การเลือกจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญนี้ ไม่เพียงสะท้อนภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีความงดงามทางธรรมชาติและการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่ยังแสดงถึงบทบาทของภูเก็ตในฐานะเมืองแห่งการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ความคิด และนวัตกรรม ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของการประชุมที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความรู้และการขับเคลื่อนเทคโนโลยีแบตเตอรี่สู่อนาคตที่ยั่งยืน จังหวัดภูเก็ตมุ่งมั่นในการพัฒนาเป็น “เมืองแห่งความยั่งยืน” โดยย่านเมืองเก่าภูเก็ตตั้งเป้าหมายเป็นย่านประวัติศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทยที่ปลอดคาร์บอนภายในปี 2030 พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมูลนิธิเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของภูเก็ตยังได้ร่วมมือกับโรงแรมกว่า 600 แห่งเพื่อผลักดันการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าให้ร้อยละ 60 ของโรงแรมทั้งหมดผ่านเกณฑ์มาตรฐาน GSTC ความพยายามเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการก้าวสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก และสะท้อนถึงความสอดคล้องกับภารกิจของ ABTC ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและอนาคตที่เป็นมิตรต่อโลก การประชุม ABTC 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีระดับอาเซียนที่เปิดโอกาสให้นักอุตสาหกรรมและนักวิชาการร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แต่ยังเป็นเวทีแห่งความร่วมมือเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่และร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาดของภูมิภาคและของโลกต่อไป
ด้าน ดร.สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการ ENTEC กล่าวว่า ENTEC สวทช. มีบทบาทในการก่อตั้งสมาคมระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยและสมาคมในประเทศ มีบทบาทในการเชื่อมโยงงานวิจัยสู่การกำหนดนโยบาย และผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดของอาเซียน สำหรับการประชุม ABTC ได้จัดมาต่อเนื่องจากบาหลี สิงคโปร์ และมาถึงภูเก็ตในปีนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีควบคู่กับพันธกิจร่วมกันของภูมิภาค โดยการประชุมภายใต้แนวคิด “For a Greener Tomorrow: Advancing Battery Safety and Innovation for ASEAN’s Next Generation” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าความปลอดภัยและนวัตกรรมต้องเดินไปพร้อมกัน หากอาเซียนจะก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน
ดร.สุมิตรา กล่าวชื่นชม ศาสตราจารย์สแตนลีย์ วิตติงแฮม เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเคมี ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ โดยยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของพลังทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกและอนาคตด้านพลังงานได้จริง และกล่าวทิ้งท้ายขอบคุณพันธมิตรอาเซียน ทั้งจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมถึงผู้จัดงาน นักวิจัย และภาคอุตสาหกรรมทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้ เน้นย้ำว่าอนาคตด้านพลังงานเป็นสิ่งที่ทุกประเทศต้องร่วมกันสร้างสรรค์และขับเคลื่อนไปด้วยกัน
นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดการประชุมวิชาการแบตเตอรี่แห่งอาเซียน ครั้งที่ 3 (ABTC 2025) เน้นย้ำไทยและอาเซียนต้องใช้โอกาสจากกระแสการค้าโลกและกำแพงภาษี มาขับเคลื่อนภูมิภาคให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาด ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปจับตามาตรการภาษีในสินค้ายานยนต์ไฟฟ้า อาเซียนไม่ควรมองว่าเป็นอุปสรรค แต่ต้องใช้เป็นแรงผลักดัน ด้วยการสร้างกฎเกณฑ์มูลค่าภูมิภาคที่ชัดเจน เพื่อทำให้สินค้าที่ผลิตในภูมิภาคมีความเข้มแข็ง และสามารถใช้เป็นพลังต่อรองทางการค้าในเวทีโลก สำหรับประเทศไทยกำลังเร่งก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่แห่งแรกของประเทศโดยบริษัท Sunwoda ซึ่งถือเป็นการเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิตเซลล์จนถึงการประกอบเป็นระบบ พร้อมเดินหน้ากฎหมายใหม่ว่าด้วยการจัดการซากรถยนต์ แบตเตอรี่ และขยะอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับการพัฒนาแบตเตอรี่ใช้แล้ว (Second Life) ให้กลับมาเป็นระบบกักเก็บพลังงานสำหรับครัวเรือน โรงงาน และชุมชน
นอกจากนี้ ความร่วมมือระดับภูมิภาค ไม่มีประเทศใดสามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ได้เพียงลำพัง อาเซียนจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน บน 3 หลักการสำคัญ คือ ความโปร่งใส ด้วยมาตรฐานและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน นวัตกรรม เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ปลอดภัยและยั่งยืน และเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เปลี่ยนของเสียให้เป็นทรัพยากร
นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้ายว่า การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นแค่เวทีวิชาการ แต่คือการออกแบบกติกาใหม่ของอุตสาหกรรม หากอาเซียนสามารถรวมพลังและกำหนดมาตรฐานร่วมกันเราจะไม่เพียงแค่ตามการปฏิวัติยานยนต์ไฟฟ้าของโลกแต่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำ “แบตเตอรี่ไม่ได้วัดจากขนาดแต่จากพลังงานที่กักเก็บไว้ อาเซียนก็เช่นกัน ไม่ได้วัดจากพรมแดนแต่วัดจากพลังและเป้าหมายร่วม”