50 บริษัทสุดยอดนวัตกรรม แห่งปี 2015

แม็กกาซีน MIT Technology Review ฉบับเดือน July/August 2015 นำเสนอบทความหลักเรื่อง 50 Smartest Companies 2015 โดยการคัดเลือกและจัดลำดับ รายชื่อบริษัท 50 ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมสุดยอดและมีรูปแบบการดำเนินการทางธุรกิจที่ดี  แห่งปี 2015 รายละเอียดสั้นๆ ของ 50 บริษัท  ดังต่อไปนี้

Sorce :  http://www.technologyreview.com/magazine/2015/07/

1.บริษัท Tesla Motors, Palo Alto, California  สหรัฐอเมริกา
บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีแบตตารี่ จากพลังงานโซล่าเซลล์ สำหรับรถยนต์ จนถึงเป็นแบตตารี่สำหรับบ้านพักอาศัย มีโครงการลงทุนโรงงานผลิตแบตตารี่ขนาด giga เชิงพาณิชย์ $5 billion ที่รัฐเนวาดา ในชื่อแบรนด์ Tesla energy

2.บริษัท Xiaomi,Beijing  สาธารณรัฐประชาชนจีน
บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟน แบบ Phablet (คือ การผสมกันของ phone + tablet)ที่มีขนาดหน้าจอ  5- 7 นิ้ว ผลิตรุ่น MiNote ที่ขายทางออนไลน์ในอินเดีย (เป็นตลาดอันดับสามของโลก รองจาก อเมริกา และ จีน) ในราคา 370 $ หมดในเวลาเพียง 3 นาที บริษัท Xiaomiเป็น Top 5 ของผู้ผลิตสมาร์ทโฟน (คือ Samsung, Apple , Huawei, Levono, Xiaomi)

3.บริษัท Illumina, San Diego สหรัฐอเมริกา
บริษัททำธุกิจเรื่องการหาลำดับเบสของดีเอ็นเอ ที่มีการเคลื่อนตัวจากขนาดแอพพิเคชั่นในห้องทดลอง มาสู่โรงพยาบาล คลีนิก ที่รักษาโรคมะเร็ง  ตามนโยบาย Obama initiative ในการรวบรวม  gene information เพื่อรักษาโรคมะเร็ง

4. บริษัท   Alibaba, Hangzhou  สาธารณรัฐประชาชนจีน
บริษัทผู้ค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ด้วยการดำเนินการรายวันที่มีปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ชำระเงินแบบออนไลน์ผ่านทาง  Alipay digital wallet บริษัทเสนอเปิดขายหุ้นในครั้งแรก IPO เป็นจำนวนสูงถึง $25 billion

5.บริษัท  Counsyl, South San Francisco, California สหรัฐอเมริกา
บริษัทผู้ผลิตเครื่องมือตรวจสอบ DNA ที่มีราคาถูกที่ใช้ sequencing technology ให้ข้อมูลยีนส์ ที่ช่วยให้คู่สมรสวางแผนการมีบุตร เพื่อป้องกันโรคอันเกิดจากพันธุกรรมได้ โดยมีสัดส่วนร้อยละ 3.6 ของชาวอเมริกันที่ใช้การทดสอบนี้ ก่อนที่จะตั้งครรภ์ และในขณะนี้บริษัทได้พัฒนาเครื่องมือช่วยตรวจสอบการเป็นมะเร็งอีกด้วย

6.บริษัท SunEdison, Maryland Heights, Missouri สหรัฐอเมริกา

บริษัทผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน จากแสงอาทิตย์ ขยายกิจการอย่างรวดเร็วด้วยการทำธุรกิจขายกระแสไฟฟ้าให้แก่กลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา ด้วยการผสมเทคโนโลยี 2 ส่วน คือ solar energy และ battery storage รัฐบาลอินเดียมีนโยบายผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้เพิ่มขึ้น 30 เท่าในปี 2022 โดยบริษัท SunEdison ได้เข้าไปร่วมพัฒนากับบริษัทด้านพลังงานของอินเดีย

7.บริษัท Tencent, Shenzhen   สาธารณรัฐประชาชนจีน
บริษัทผู้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีผู้เข้าใช้มากที่สุดของประเทศจีน มีจำนวนผู้ใช้ 549 ล้านคนต่อเดือน ให้บริการ WeChat,  Weixin และแพลทฟอร์มอื่นๆ  เช่น QQ (QQ Instant Messenger), QQ.com, QQ Games, Qzone, 3g.QQ.com, SoSo, PaiPai and Tenpay ติด Top 10 ในปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมจาก Unique IP ของโลก

8.บริษัท Juno Therapeutics, Seattle สหรัฐอเมริกา
บริษัทด้านการรักษาโรคมะเร็ง (leukemia)ด้วยการใช้เซลล์อิมมูน T-cell ของผู้ป่วยเอง บริษัทเสนอเปิดขายหุ้นจำนวน $304 million ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพ ในปี 2014 หน่วยงาน  U.S.Food and Drug Administration ได้ยกย่องให้  2 บริษัท คือ Novartis และ Juno มี breakthrough designation และอาจให้การอนุมัติหากว่ามีผลการทดลองทางคลีนิกที่ดี

9.บริษัท SolarCity, San Mateo, California สหรัฐอเมริกา
บริษัททำธุรกิจ rooftop solar panels ที่มีลูกค้าชาวอเมริกันราว 1.7 แสนรายเช่าซื้อพลังงาน  บริษัทกำลังมีแผนงานสร้างโรงงานผลิตแผงโซล่าห์ที่เมือง Buffalo ที่จะถือว่าใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของอเมริกา

10.บริษัท Netflix, Los Gatos, California สหรัฐอเมริกา

Netflix คือผู้ให้บริการดูรายการทีวี ซีรีส์ ภาพยนต์ แบบ streaming บนอินเทอร์เน็ต ที่ถูกลิขสิทธิ์ใหญ่ที่สุดในอเมริกา  ผู้ใช้ต้องเสียค่าบริการรายเดือน  ผู้ใช้จะสามารถเลือกชมรายการอย่าง On Demand และสามารถใช้บริการได้จากทุกที่ทุกเวลา

11. บริษัท OvaScience –  stem-cell treatment

12.บริษัท Google – 30 Loon Balloons

13.บริษัท Amazon – Robots now used in its fulfillment centers

14.บริษัท AliveCor – Heart monitor that connects to an iPhone

15.บริษัท Gilead Sciences – Pill that can cure most cases of hepatitis C.

16.บริษัท Apple – smart watch +  Apple Pay digital wallet

17.บริษัท Voxel8 – The world’s first 3-D electronics printer

18.บริษัท IDE Technologies – Water desalination

19.บริษัท Amgen – Icelandic gene database

20.บริษัท Aquion Energy – Novel batteries(can store surplus wind and solar energy)

21.บริษัท Baidu – Chinese Internet company’s new deep-learning research lab

22.บริษัท SpaceX – Unmanned rockets

23.บริษัท Sakti3 – Make solid-state batteries that store twice

24.บริษัท Freescale Semiconductor – Advanced computer vision systems for cars

25.บริษัท Universal Robots – Cheap robots

26.บริษัท Bristol-Myers Squibb –  Cancer immunotherapy

27.บริษัท Teladoc – Telemedicine company

28.บริษัท Nvidia – Chips for deep learning and driverless cars

29.บริษัท Facebook – Apps like Messenger

30.บริษัท Alnylam – RNA interference (gene therapy)

31.บริษัท Rethink Robotics – Sawyer robot

32.บริษัท Philips – LED lighting

33.บริษัท Cellectis – Quick gene editing GMOs

34.บริษัท Bluebird Bio – Gene therapies

35.บริษัท ThyssenKrupp – Elevator with magnetic levitation technology

36.บริษัท Slack – Communications app (messages)

37.บริษัท Line – Popular messaging and free calling app

38.บริษัท Improbable – Applications in gaming and virtual reality

39.บริษัท Enlitic – Technology automatically spots tumors in medical scans

40.บริษัท Coinbase – Bitcoin payments

41.บริษัท HaCon – Travel planning apps in Europe

42.บริษัท 3D Systems –  3-D printing

43.บริษัท Generali – Fitness data from wearables to calculate insurance rates

44.บริษัท Intrexon – Synthetic biology (transgenic apple)

45.บริษัท DNAnexus – Genetic data into Amazon’s cloud

46.บริษัท IBM – Artificial intelligence (Big data)

47.บริษัท Snapchat – Put videos and photos together to tell a story

48.บริษัท Microsoft – HoloLens augmented-reality technology

49.บริษัท Imprint Energy – Batteries for industrial screen printers

50.บริษัท Uber – Ride-share services and driver deliveries

อ่านรายละเอียดฉบับเต็มได้ที่ http://www.technologyreview.com/lists/companies/2015/

 

พลังงานวิจัยขับเคลื่อนธุรกิจไทย ก้าวไกล ยั่งยืน – The Power of R&D

พลังงานวิจัยขับเคลื่อนธุรกิจไทย ก้าวไกล ยั่งยืน – The Power of R&D

พลังงานวิจัยขับเคลื่อนธุรกิจไทย ก้าวไกล ยั่งยืน – The Power of R&D from National Science and Technology Development Agency (NSTDA) – Thailand

pdf ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็ม  [size : 63.2 MB]
 

MIT Technology Review : ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง ในปี 2015

แม็กกาซีนด้านเทคโนโลยีชื่อดังระดับโลก MIT Technology Review ฉบับเดือน March/April 2015 นำเสนอข้อมูลที่หน้าปกว่า Breakthough Technologies 2015 โดยการคัดเลือก เทคโนโลยีที่โดดเด่นประจำปี 10 เรื่อง  คือ Magic Leap / Nano-Architecture / Car-to-Car Communication / Project Loon / Liquid Biopsy / Megascale Desalination / Apple Pay / Brain Organoids / Supercharged Photosynthesis / Internet of DNA ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มาแรงในปี 2015 นี้

Source : http://www.technologyreview.com/magazine/2015/03/

บทความนี้  เผยแพร่ทั้งในฉบับพิมพ์และฉบับออนไลน์  สรุปรายละเอียดสั้นๆ ได้ดังนี้

 

1. บริษัท Magic Leap
บริษัทผู้พัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ศรีษะที่สามารถทำให้มองเห็นภาพของวัตถุที่แสดงออกมาเป็น 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีเสมือนจริงคือ  Virtual Reality เกิดวัตถุเสมือน 3 มิติ ซ่อนในสภาพแวดล้อมจริง โดย Google ให้การสนับสนุนทุนในการวิจัย รวมทั้งบริษัทคู่แข่ง Microsoft ได้เปิดตัวอุปกรณ์สวมใส่ศรีษะที่ชื่อ HaloLens ที่ช่วยให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับภาพ hologram ได้

ความก้าวหน้า
มีการประดิษฐ์อุปกรณ์ที่สามารถทำให้วัตถุเสมือนเข้ามาปรากฏในชีวิตจริง ราวกับเวทมนตร์ มายากล
ความสำคัญ
เทคโนโลยีนี้ สามารถเปิดโอกาสใหม่ให้แก่ อุตสาหกรรม ภาพยนต์ เกมส์ การท่องเที่ยว และโทรคมนาคม (สมาร์ทโฟน) ด้วยการสร้างแอพพลิเคชั่นต่างๆ
ผู้นำเทคโนโลยีนี้
– บริษัท Magic Leap
– บริษัท Microsoft

เทคโนโลยีนี้มีการใช้จริง : 1-3 ปีที่ผ่านมา

2. เทคโนโลยี Nano-Architecture
นักวิทยาศาสตร์ Julia Creer แห่งสถาบัน California Institute of technology, Caltech ได้ประดิษฐ์วัสดุที่มีลักษณะแบบโครงตาข่ายขนาดเล็กระดับนาโน ซึ่งมีศักยภาพมากมาย โดยใช้วิธีการ Nanofabrication
ความก้าวหน้า
เป็นวัสดุที่มีโครงสร้างแบบนาโน ที่มีคุณสมบัติปรับแต่งได้อย่างแม่นยำ ทำให้มีความแข็งแกร่ง ยือหยุ่นและมีน้ำหนักเบามาก
ความสำคัญ
วัสดุที่มีน้ำหนักเบาขึ้น ทำให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอเนกประสงค์
ผู้นำเทคโนโลยีนี้
– สถาบัน Caltech
– MIT
– National Laboratory

เทคโนโลยีนี้มีการใช้จริง : 3-5  ปีที่ผ่านมา

3.เทคโนโลยี Car-to-Car communication 

คือการสื่อสารระหว่างรถยนต์ ด้วยเทคโนโลยีไร้สายแบง่ายๆ ที่สามารถช่วยให้การขับขี่รถยนต์ปลอดภัยมากขึ้น เป็นการแจ้งเตือนด้วยข้อมูลต่างๆ เช่น ตำเหน่งของรถ ความเร็ว พวงมาลัย สถานะเบรค ให้แก่รถยนต์ที่อยู่ใกล้ๆ ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ช่วยให้คนขับรถทราบถึงปัญหาและเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น
ความก้าวหน้า
รถยนต์ที่สามารถสื่อสารพูดคุยระหว่างกันและกันเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการชนกันที่รุนแรง
ความสำคัญ
มีผู้คนในโลกมากกว่าหนึ่งล้านคนต่อปีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจากรถยนต์ชนกัน
ผู้นำเทคโนโลยี
– บริษัท General Motros
-University of Michigan
-National Highway transportation Safety Administration

เทคโนโลยีนี้มีการใช้จริง : 1-2  ปีที่ผ่านมา

4. โครงการ Loon (Project Loon)

คือโครงการบอลลูนฮีเลียมของ Google เพื่อปล่อยโครงข่ายอินเทอร์เน็ตไวไฟให้แก่พื้นที่ชนบทที่เครือข่ายเข้าไปไม่ถึง ช่วยให้ประชากรนับหลายพันล้านคนสามารถเข้าถึงออนไลน์ได้เป็นครั้งแรก

ความก้าวหน้า
เป็นหนทาง วิธีการ ในการบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่น่าเชื่อถือและมีค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จากอากาศ ให้แก่พื้นที่ ที่ขาดอินเทอร์เน็ต ด้วยระบบนำทางในบอลลูนที่ลอยบนอากาศด้วยความสูงที่พอเหมาะ
ความสำคัญ
การเข้าถึงอินเทอรืเน็ตสามารถช่วยให้ขยายโอกาสทางการศึกษา เศรษฐกิจ สำหรับประชากรในชนบทราว 4.3 พันล้านคน
ผู้นำเทคโนโลยี
– Google
– Facebook

เทคโนโลยีนี้มีการทดสอบบริการ : 1-2  ปีที่ผ่านมา (บราซิลและนิวซีแลนด์)

5.การตรวจหาสาร บ่งชี้ทางชีวภาพด้วยของเหลว (The liquid biopsy)
อุปกรณ์ ที่มีความสามารถในการจัดเรียงลำดับดีเอ็นเอที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถนำไปสู่การตรวจหามะเร็งด้วยวิธีการตรวจเลือด  ประเทศจีนมีปัญหาโรคมะเร็ง (ตับ) เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมืองใหญ่ นักวิทยาศาสตร์จีนได้ค้นคว้าหาวิธีการตรวจจากเลือดโดยตรงและเห็นว่าต่อไปเครื่องตรวจดีเอ็นเอ จะมีราคาถูกลง และ ขนาดเล็กลง
ความก้าวหน้า
สามารถตรวจหาโรคมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้น ด้วยวิธีการตรวจเลือด ที่ใช้หลักการ เซลล์มะเร็งหลั่งดีเอ็นเอเข้าสู่กระแสเลือด
ความสำคัญ
มีประชากรทั่วโลกราว 8 ล้านคนต่อปี ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ผู้นำเทคโนโลยี
-Chinese University of Hong Kong
–  บริษัท Illumina
-John Hopkins University

เทคโนโลยีนี้มีการทดสอบบริการ : ในขณะนี้

6. โรงกลั่นน้ำทะเลขนาดใหญ่ (Megascale Desalination)
เป็นเทคโนโลยีกระบวนการกลั่นน้ำทะเลที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนีย ทางตอนใต้ของกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ด้วยวิธีการ reverse-osmosis เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของโลก สนับสนุนโดยรัฐบาลอิสราเอล ในชื่อโครงการ Sorek สามารถผลิตน้ำจืดเพื่อการบริโภคได้วันละ 6.2 แสนลูกบาศก์เมตร

ความก้าวหน้า
เป็นความสามารถในการกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดที่ประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญ
ปริมาณน้ำจืดไม่เพียงพอต่อประชากรของโลกที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ผู้นำเทคโนโลยี
– IDE Technologies
– Posedon water
– Desalitech
– Evoqua

เทคโนโลยีนี้มีการใช้จริง : ในขณะนี้

7. การชำระเงินซื้อสินค้าด้วยสมาร์ทโฟน (Apple Pay)
บริษัทแอปเปิ้ลเปิดบริการการชำระเงิน Pay ด้วยไอโฟน เป็นการประดิษฐ์เทคโนโลยี ไร้สายและหลายๆส่วน ที่สามารถทำให้ใช้จ่ายเงินผ่านสมาร์ทโฟนเป็นไปด้วยความรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น สมาร์ทโฟนทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงิน สามารถชำระเงินได้ที่เคาเตอร์

ความก้าวหน้า
เป็นบริการในการใช้สมาร์ทโฟนเป็นกระเป๋าเงิน / บัตรเครดิต ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ความสำคัญ
ช่วยลดความเสียหายในการฉ้อโกงจากบัตรเครดิต
ผู้นำเทคโนโลยี
– Apple
– Visa
– Master card
– Google

เทคโนโลยีนี้มีการให้บริการ : ในขณะนี้

8.การปลูก เลี้ยงเซลล์อวัยวะส่วนสมอง (Brain organoids)
ขณะนี้มีความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเซลล์ประสาทมนุษย์ในจานแก้ว เพื่อดูการเติบโตของเซลล์สมอง นักวิทยาศาสตร์คิดค้นหาวิธี หนทางในการดูแล รักษาภาวะสมองเสื่อมของมนุษย์ เช่น ความเจ็บป่วยทางจิต ความผิดปกติทางประสาท (ออทิสติก อัลไซเมอร์ ลมชัก)

ความก้าวหน้า
กลุ่มก้อนของเซลล์ประสาทนิวรอนในรูป 3 มิติ สามารถเติบโตได้จาก human stem cell ในระดับห้องปฏิบัติการได้

ความสำคัญ
นักวิทยาศาสตร์ ต้องการทำความเข้าใจในความผิดปกติของเซลล์สมอง

ผู้นำเทคโนโลยี
– Institute of Molecular Biotechnology, IMBA, Austria
– Massachusetts General Hospital

เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น : ในขณะนี้

9. การสังเคราะห์แสงที่เพิ่มพลัง (Supercharged photosynthesis)
เป็นการทำวิศวกรรมตัดต่อยีนของต้นข้าว เพื่อให้สามารถกระตุ้นผลผลิตให้มากขึ้น โดยขนวบการ Supercharged เรียกชื่อว่า C4 Photosynthesis โครงการนี้ได้รับทุน จาก Bill& Melinda Gate Foundation

ความก้าวหน้า
เป็นการทำพันธุวิศวกรรมยีนของต้นข้าว เพื่อให้สามารถดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ความสำคัญ
การเพิ่มผลผลิตของพืชไม่เพียงพอกับความต้องการของประชากรที่เพิ่มขึ้น
ผู้นำสำคัญ
– International Rice Research Institute, IRRI Philippines
– University of Minnesota
– University of Cambridge
– Australian National University

เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น : 10-15 ปี

10.การแลกเปลี่ยนข้อมูลดีเอ็นเอ บนอินเเทอร์เน็ต (Internet of DNA)
เด็กชาย Noah อายุ 6 ขวบ ในแคนาดา ป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถระบุได้ เขามีพัฒนาการที่ช้า ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน  พูดได้เพียงคำสั้นๆ  แพทย์ผู้รักษาเขาได้เริ่มส่งข้อมูลดีเอ็นเอ ของเขา ไปทั่วอินเทอร์เน็ตเพื่อเสาะหาผู้ป่วยที่คล้ายคลึงกับเขา  แพทย์ทำการวิเคราะห์ดีเอ็นเอ หาจีโนม เพื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยทั่วโลกด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูล จีโนมผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ความก้าวหน้า
เกิดมาตรฐานฐานข้อมูลดีเอ็นเอสามารถสื่อสารหากันได้ (ข้อมูลยีนและรหัสพันธุกรรมมนุษย์)
ความสำคัญ
การรักษาทางการแพทย์ อาจใช้ประโยชน์ประวัติการแพทย์ของผู้ป่วยอื่นๆ
ผู้นำเทคโนโลยี
– Global Alliance for Genomics & Health
– Google
– Personal Genome Project

เทคโนโลยีนี้เกิดขึ้น : 1 – 2 ปี

ติดตามรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ แม็กกาซีน MIT Technology Review ฉบับออนไลน์ ที่ – http://www.technologyreview.com/magazine/2015/03/

มาตรฐานสากลการจัดจำแนกการศึกษา

ระบบการศึกษาของประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ในโลก มีความแตกต่างและหลากหลายในแง่โครงสร้างและเนื้อหาหลักสูตร ส่งผลให้อาจเกิดความยุ่งยากลำบากสำหรับผู้เกี่ยวข้องทางการบริหารจัดการศึกษา โดยเฉพาะผู้ตัดสินใจในระดับนโยบายของแต่ละประเทศในการที่จะเปรียบเทียบ และ benchmark ระบบการศึกษาของประเทศตนเองกับประเทศอื่นๆ

ดังนั้นองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (the United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) จึงได้จัดทำมาตรฐานสากลการจัดจำแนกการศึกษา (the International Standard Classification of Education: ISCED) ซึ่งคือ Framework ทางสถิติสำหรับการจัดจำแนกการศึกษา เพื่อเปรียบเทียบสถิติและตัวชี้วัดทางการศึกษาในประเทศต่างๆ หนึ่งในข้อมูลที่สำคัญ คือ การจัดจำแนกระดับการศึกษาและสาขาวิชา เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการการศึกษาสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดจำแนกข้อมูลการศึกษาให้เป็นมาตรฐานสอดคล้องมาตรฐานสากล

Continue reading “มาตรฐานสากลการจัดจำแนกการศึกษา”

อะไรที่ทำให้นักวิจัยยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูลวิจัย

รายงานผลการวิจัยโดย the Knowledge Exchange เกี่ยวกับ แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูลวิจัยกับผู้อื่น รวมถึงข้อเสนอแนะซึ่งอาจช่วยผู้กำหนดนโยบาย ผู้ให้ทุนวิจัย หน่วยงานวิจัย และห้องสมุด ในการออกแบบกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลวิจัยในอนาคต

รู้จัก the Knowledge Exchange

Knowledge Exchange (KE) คือ การทำงานร่วมกันของ 5 หน่วยงาน จาก 5 ประเทศ ได้แก่

  1. IT Center for Science (CSC) ในฟินแลนด์
  2. Denmark’s Electronic Research Library (DEFF) ในเดนมาร์ก
  3. German Research Foundation (DFG) ในเยอรมัน
  4. Jisc ในอังกฤษ
  5. SURF ในเนเธอร์แลนด์

เพื่อสนับสนุนการใช้และการพัฒนา ICT ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและการวิจัย

การวิจัยเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลวิจัย

เมื่อเร็วๆ นี้ the KE ทำการวิจัย เรื่อง “Sowing the seed: incentives and motivations for sharing research data, a researcher’s perspective” โดยสัมภาษณ์นักวิจัยจำนวน 22 คน จาก 5 ทีมวิจัย ในสาขาวิชาแตกต่างกัน เช่น มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ชีววิทยา และเคมี เป็นต้น จาก 5 ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ the KE เพื่อค้นหาว่า อะไรคือแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยอยากจะแบ่งปันข้อมูลวิจัยของตนเองกับผู้อื่น ผลจากการวิจัยมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะรูปแบบของการแบ่งปันข้อมูล แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูล และข้อเสนอแนะเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแบ่งปันข้อมูลวิจัยในอนาคตสำหรับภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

รูปแบบของการแบ่งปันข้อมูล

เมื่อพูดถึงคำว่า การแบ่งปันข้อมูล (Data sharing) นักวิจัยส่วนใหญ่ มักหมายถึง วิธีการที่แตกต่างและหลากหลายที่ข้อมูลวิจัยถูกแลกเปลี่ยนกันระหว่างนักวิจัย 6 โหมดที่แตกต่างกันของการแบ่งปันข้อมูล ได้แก่

  1. Private management sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนภายในกลุ่มวิจัยเดียวกัน
  2. Collaborative sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลภายในสมาคมที่เกี่ยวข้อง
  3. Peer exchange หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนร่วมงานในเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ
  4. Sharing for transparent governance หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับกลุ่มคนภายนอก เช่น ผู้ให้ทุนวิจัยหรือภาคอุตสาหกรรมเพื่อการการตรวจสอบข้อเท็จจริงและความโปร่งใสในการบริหารจัดการ
  5. Community sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลกับสมาชิกของชุมชนวิจัย
  6. Public sharing หมายถึง การแบ่งปันข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลทั่วไปที่สนใจ

โหมดที่แตกต่างกันนี้เกิดจากปัจจัยที่หลากหลาย เช่น การแบ่งปันข้อมูลกับกลุ่มคนที่เชื่อใจหรือกลุ่มคนที่ไม่มีความคุ้นเคย การแบ่งปันข้อมูลโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อความโปร่งใสหรือเพื่อการวิจัยในอนาคต

แรงจูงใจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้นักวิจัยแบ่งปันข้อมูล แบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่

  1. การแบ่งปันข้อมูลนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในกระบวนการและขั้นตอนของการวิจัย โดยเฉพาะเมื่อโครงการวิจัยนั้นเป็นความร่วมมือระหว่างสาขาวิชาหรือหน่วยงาน
  2. การแบ่งปันข้อมูลนั้นเป็นส่วนหนึ่งเกี่ยวกับผลตอบแทนในหน้าที่การงานของนักวิจัยโดยตรง การแบ่งปันข้อมูลทำให้ผลงานของนักวิจัยเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อาจนำไปสู่การอ้างอิงถึงและการเป็นที่รู้จักมากขึ้น การพัฒนาความมือในการวิจัยใหม่ๆ หรือการพัฒนาปรับปรุงการวิจัยเพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
  3. การแบ่งปันข้อมูลเป็นเรื่องปกติหรือธรรมเนียมปฏิบัติในกลุ่มวิจัยหรือในสาขาวิชา
  4. การแบ่งปันข้อมูลบางกรณีเป็นความคาดหวังหรือนโยบายของผู้ให้ทุนหรือสำนักพิมพ์ที่ต้องการให้มีการแบ่งปันข้อมูล

ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกระตุ้นการแบ่งปันข้อมูลของนักวิจัย สำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องในมุมต่างๆ

  • ผู้ให้ทุนวิจัย
    • ผู้ให้ทุนวิจัยนับว่ามีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ โดยเฉพาะการพัฒนานโยบายของการแบ่งปันข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นทางการเกี่ยวกับการคาดหวังเรื่องการเข้าถึงข้อมูล การส่งเสริมและสนับสนุนบรรยากาศของการแบ่งปันข้อมูลที่ทำให้นักวิจัยสามารถแบ่งปันข้อมูลโดยไม่มีความรู้สึกว่าคนอื่นๆ อาจจะฉวยประโยชน์จากข้อมูลที่ตนได้แบ่งปัน ตัวอย่างเช่น ผู้ให้ทุนวิจัยควรพิจารณาเรื่องช่องทางในการให้รางวัลแก่นักวิจัยที่แบ่งปันข้อมูล การนำเรื่องการแบ่งปันข้อมูลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในมอบทุนวิจัยต่อไป หรือการส่งเสริมการ re-use ข้อมูล การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลอาจช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักวิจัยในการแบ่งปันข้อมูล อีกทั้งยังอาจช่วยสร้างแรงจูงใจทางบวกแก่นักวิจัยในการแบ่งปันข้อมูล อย่างไรก็ตามการให้รางวัลหรือประโยชน์โดยตรงแก่นักวิจัยในลักษณะรายบุคคลอาจจะมีข้อจำกัดหรือประเด็นปัญหา ซึ่งควรคำนึงถึง
    • การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เช่น คลังข้อมูล ประเภทของโครงสร้างพื้นฐานที่นักวิจัยพบว่ามีประโยชน์อย่างมาก คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลวิจัย เอกสาร และผลลัพธ์อื่นๆ ของการวิจัยเข้าไว้ด้วยกัน
    • การฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลควรถูกจัดเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมวิธีการวิจัยสำหรับนักเรียนนักศึกษา เพื่อให้การแบ่งปันข้อมูลเป็นมาตรฐานในขั้นตอนวิจัย
    • การจัดทำและเสนอเอกสารแนะนำแก่ผู้พิจารณาผลงาน หรือ peer reviewer เพื่อประกอบการประเมินแผนและกลยุทธ์ของการแบ่งปันข้อมูลในข้อเสนอโครงการ
  • หน่วยงานวิจัย
    • การตระหนักถึงคุณค่าของการแบ่งปันข้อมูล
    • การส่งเสริมให้การตีพิมพ์ผลงานเพื่อเผยแพร่และแบ่งปันข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการปฏิบัติงานและเลื่อนตำแหน่ง
    • การเสนอการฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลสำหรับนักเรียนนักศึกษาและนักวิจัย
    • การเสนอบริการแบบูรณาการแก่นักวิจัย เช่น one-stop-shop for all research data management
  • ห้องสมุด
    • การพัฒนาและส่งเสริมปัจจัยเพื่อการแบ่งปันข้อมูล เช่น การเชิญนักวิจัยมาแบ่งปันข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานที่บริหารจัดการโดยห้องสมุด
    • การเสนอการฝึกอบรมเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลแก่นักวิจัย เช่น การฝึกอบรมเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ Intellectual property Copyright Metadata และมาตรฐานทางเทคนิค
    • การพัฒนาและบริการระบบที่ยืดหยุ่นเพื่อการเข้าถึงข้อมูล
    • การรวบรวมและให้บริการแหล่งข้อมูลอื่นๆ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
    • การวิเคราะห์ข้อมูลหรือผลลัพธ์ของการวิจัย เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่และ re-use ข้อมูล
  • สังคม
    • ในภาพของสังคมควรส่งเสริมให้มีการหารือเกี่ยวกับการตระหนักที่เป็นทางการเกี่ยวกับการแบ่งปันและเผยแพร่ข้อมูล การกำหนดความคาดหวังในการแบ่งปันข้อมูลผ่าน Code of conduct หรือ Best practice code การส่งเสริมการพัฒนาข้อตกลงเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูล การส่งเสริมการพัฒนาแหล่งสำหรับแบ่งปันข้อมูลและมาตรฐานสำหรับการวิจัย

ติดตามอ่านรายงานการวิจัย ฉบับเต็ม: Knowledge Exchange. (2014). Sowing the seed: incentives and motivations for sharing research data, a researcher’s perspective. Retrieved February 9, 2015, from http://repository.jisc.ac.uk/5662/1/KE_report-incentives-for-sharing-researchdata.pdf

วารสาร Nature:จัดอันดับบทความวิจัยตีพิมพ์ 100 อันดับแรกของโลก

วารสาร Nature ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2014 หน้าปก เป็นรูป เลข 100  พร้อมข้อความ The Top 100 papers  บทความหลักภายในเล่ม หน้าที่ 550-561 ชื่อเรื่อง  The top 100 papers : Nature explores the most-cited research of all time เรียบเรียง โดย ผู้แต่ง 3 ชื่อ คือ Richard Van Noorden, Brendan Maher & Regina Nuzzo เป็นการนำเสนอรายชื่อบทความงานวิจัยตีพิมพ์ 100 เรื่อง 100 อันดับแรกของโลก ที่มีอิทธิพล ในวงการวิทยาศาสตร์ ได้รับการอ้างอิงสูงสุด   ซึ่งเป็นบทความวิจัยที่ได้มีการสื่อสาร  เผยแพร่ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดการพัฒนาก้าวหน้าตลอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งผู้แต่งบทความส่วนใหญ่ได้รับรางโนเบลวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ อีกด้วย

nature

cover : Source : http://www.nature.com/nature/journal/v514/n7524/index.html

วารสาร Nature ร่วมมือกับบริษัท  Thomson Reuters  ทำการจัดอันดับ บทความวิจัยตีพิมพ์ 100 เรื่อง ที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  โดยคัดเลือกบทความจากฐานข้อมูล Web of Science, WOS  (Science Citation Index, SCI ในชื่อเดิม)  ซึ่งก่อตั้งโดย Eugene Garfield เมื่อปี คศ. 1964 SCI คือแหล่งข้อมูลต้นแบบในการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยจากบทความวิจัยตีพิมพ์ ( assessment of the importance of research papers) ในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี ของ  WOS

 

ปัจจุบัน ฐานข้อมูล Web of Science ครอบคลุมบทความวิจัยที่มีคุณภาพ จำนวนราว 58 ล้านเรื่อง Nature จัดแสดงเป็นรูปภาพแบบ InfoGraphics ในชื่อว่า The paper mountain โดย สมมุติว่าหากสั่งพิมพ์หน้าแรกของทุกบทความในฐานข้อมูล WOS  แล้วจัดเรียงเอกสารบทความซ้อนทับกันขึ้นไปดั่งเช่นภูเขา Kilimanjaro ในแอฟริกา  กองเอกสารจะสูงกว่า 5,000 เมตร  โดยที่ 100 บทความที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุดนี้  เปรียบเสมือนจุดสูงสุดของภูเขา ที่มีความหนาเพียง 1 เซ็นติเมตร  (เปรียบเทียบกับหอไอเฟล ฝรั่งเศส มีความสูง 301 เมตร และ Burj Khalifa ตึกระฟ้า ใน ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สูง 828 เมตร) หมายความว่าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มีขนาดใหญ่มหึหามากเทียบได้กับภูเขาที่สูงราว 5,500 เมตร

alt

รูปภาพ InfoGraphic
http://www.nature.com/news/the-top-100-papers-1.16224#/mountain

Nature จำแนกชุดของบทความวิจัยตีพิมพ์ ตามจำนวนการได้รับการอ้างอิงเป็น 7 ชุดคือ
ชุดที่ 1 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์เพียง 3 บทความ ที่ได้รับการอ้างอิง มากกว่า 100,000 ครั้ง เสมือนดั่งอยู่บนยอดสูงสุดของภูเขา คือ

  1. Protein measurement with the folin phenol reagent. (1951) – 305,148 citations
  2. Cleavage of structural proteins during the assembly of the head of bacteriophage T4.(1970)- 213,005 citations
  3. A rapid and sensitive method for the quantitation of microgram quantities of protein utilizing the principle of protein-dye binding. (1976)- 155,530 citations

ชุดที่ 2 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 148 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง มากกว่า 10,000 ครั้ง

ชุดที่ 3 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 14,351 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง  1,000-9,999 ครั้ง   ตัวอย่าง มีบทความวิจัยตีพิมพ์ 3 เรื่อง ในชุดนี้ ที่มีชื่อเสียงมาก คือ

  1. Watson and crick on structure of DNA (1953)- 5,207 citations
  2. Farman, Gardiner & Shanklin discover the ozone hole (1985)- 1,871 citations
  3. Hirsch propose the h index measure scientific productivity (2005)  – 1,797 citations

ชุดที่ 4 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 1,066,046 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 100-999 ครั้ง
ชุดที่ 5 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 13,104,875 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 10-99 ครั้ง
ชุดที่ 6 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 18,280,005 เรื่อง ได้รับการอ้างอิง 1-9 ครั้ง
ชุดที่ 7 มีจำนวนบทความวิจัยตีพิมพ์ 25,332,701 เรื่อง ไม่ได้รับการอ้างอิงเลย  เป็นเอกสารที่เสมือนอยู่ดั่งฐานล่างสุดของภูเขา

วารสาร Nature รวบรวมข้อมูลชุดนี้
จาการสืบค้นฐานข้อมูล Web of science เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2014

วารสาร Nature แสดงรายชื่อบทความ 100 เรื่อง เรียงลำดับตามการได้รับการอ้างอิงสูงสุดไล่เรียงลงมา ดังตัวอย่าง 10 บทความแรก ดังนี้

บทความลำดับที่ 1 ได้รับ Citations: 305,148 ครั้ง
Protein measurement with the folin phenol reagent. Lowry, O. H., Rosebrough, N. J., Farr, A. L. & Randall, R. J.
J. Biol. Chem. 193, 265–275 (1951).

บทความลำดับที่ 2 ได้รับ Citations: 213,005 ครั้ง
Cleavage of structural proteins during the assembly of the head of bacteriophage T4.  Laemmli, U. K. Nature 227, 680–685 (1970)

บทความลำดับที่  3  ได้รับ   Citations: 155,530 ครั้ง

A rapid and sensitive method for the quantitation of microgram  quantities of protein utilizing the principle of protein-dye binding. Bradford, M. M.
Anal. Biochem. 72, 248–254 (1976).

บทความลำดับที่ 4 ได้รับ Citations: 65,335 ครั้ง
DNA sequencing with chain-terminating inhibitors.  Sanger, F., Nicklen, S. & Couslon, A. R.
Proc. Natl Acad. Sci. USA 74, 5463–5467 (1977).

บทความลำดับที่ 5 ได้รับ Citations: 60,397 ครั้ง
Single-step method of RNA isolation by acid guanidinium thiocyanate-phenol-chloroform extraction.  Chomczynski, P. & Sacchi, N.
Anal. Biochem. 162, 156–159 (1987).

บทความลำดับที่ 6 ได้รับ  Citations: 53,349 ครั้ง
Electrophoretic transfer of proteins from polyacrylamide gels to nitrocellulose sheets: procedure and some applications. Towbin, H., Staehelin, T. & Gordon, J.
Proc. Natl Acad. Sci. USA 76, 4350–4354 (1979).

บทความลำดับที่ 7 ได้รับ Citations: 46,702 ครั้ง
Development of the Colle-Salvetti correlation-energy formula into a functional of the electron density. Lee, C., Yang, W. & Parr, R. G.
Phys. Rev. B 37, 785–789 (1988).

บทความลำดับที่ 8 ได้รับ  Citations: 46,145 ครั้ง
Density-functional thermochemistry. III. The role of exact exchange.  Becke, A. D.
J. Chem. Phys. 98, 5648–5652 (1993).

บทความลำดับที่ 9 ได้รับ Citations: 45,131 ครั้ง
A simple method for the isolation and purification of total lipides  from animal tissues.  Folch, J., Lees, M. & Stanley, G. H. S.
J. Biol. Chem. 226, 497–509 (1957).

บทความลำดับที่ 10 ได้รับ Citations: 40,289 ครั้ง
Clustal W: improving the sensitivity of progressive multiple sequence  alignment through sequence weighting, position-specific gap penalties and weight matrix choice.  Thompson, J. D., Higgins, D. G. & Gibson, T. J
Nucleic Acids Res. 22, 4673–4680 (1994).

บทความ 100 อันดับแรกชุดนี้  มีเนื้อหาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสาขาย่อย คือ

  • Biological Techniques (Protein Biochemistry, PCR)
  • Bioinformatics (genetic sequencing)
  • Phylogenetics (genetic variation)
  • Statistics
  • Density functional theory, DFT
  • Crystallography (scattering patterns of X-rays)

ติดตามอ่านเนื้อเรื่องฉบับเต็ม ได้ที่วารสาร Nature ฉบับพิมพ์ หรือออนไลน์ที่ http://www.nature.com/news/the-top-100-papers-1.16224

อ้างอิง
Richard  Van Noorden, Brendan Maher & Regina Nuzzo (2014) The Top 100  papers : nature explore the most-cited research of all time. Nature Volume 514 No.7524 p.550-553

Online Available at :  http://www.nature.com/nature/journal/v514/n7524/index.html

โมเดลปลาตะเพียน

“โมเดลปลาตะเพียน” เป็นบทขยายความของ “โมเดลปลาทู” ว่า “หัวปลาใหญ่” เป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานย่อยร่วมกันกำหนด ที่เรียกว่า วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) หรือปณิธานความมุ่งมั่นร่วม (Common Purpose) หรือเป้าหมายร่วม (Common Goal) เมื่อร่วมกันกำหนดแล้ว ก็ร่วมกันดำเนินการตามเป้าหมายนั้นเปรียบเสมือนการที่ “ปลาเล็ก” ทุกตัว “ว่ายน้ำ” ไปในทิศทางเดียวกัน โดยที่แต่ละตัวมีอิสระในการ “ว่ายน้ำ” ของตนเอง เปรียบได้กับผู้บริหารระดับสูงจะต้องเปิดโอกาสให้ “ปลาเล็ก (พนักงาน)” ได้มีอิสระในการ “ว่ายน้ำ (ทำงาน คิด ริเริ่ม)” โดยผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่ “บริหารหัวปลา” และคอยดูแล “บ่อน้ำ” ให้เหล่า “ปลาเล็ก” ได้มีโอกาสได้ใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของตนในการ “ว่ายสู่เป้าหมายร่วม” ทุกหน่วยงานย่อยเองก็ต้องคอยตรวจสอบว่า “หัวปลาเล็ก” ของตนหันไปทางเดียวกับ “หัวปลาใหญ่” ขององค์กรหรือไม่


แหล่งที่มา : KM วันละคำ “จากนักปฏิบัติ KM สู่นักปฏิบัติ KM” : โมเดลปลาตะเพียน. วิจารณ์ พานิช. (2549). กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ.