Smithsonian Open Access

Smithsonian Open Access แหล่งรวบรวมและเผยแพร่สื่อการเรียนรู้และการศึกษาวิจัยในรูปแบบดิจิทัลของ Smithsonian Institution สื่อฯ ส่วนใหญ่ อยู่ภายใต้ Public domain ซึ่งผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด แชร์ และใช้งานตามต้องการ โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

Smithsonian Open Access แหล่งรวบรวมและเผยแพร่สื่อการเรียนรู้และการศึกษาวิจัยในรูปแบบดิจิทัล จากพิธภัณฑ์ 19 แห่ง ศูนย์วิจัย 9 แห่ง ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ และสวนสัตว์แห่งชาติของ Smithsonian Institution สื่อฯ ส่วนใหญ่ อยู่ภายใต้ Public domain โดเมนสาธารณะหรือสาธารณะสมบัติ ซึ่งผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด แชร์ และใช้งานตามต้องการ โดยไม่ต้องขออนุญาตและไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ คอลเลคชันดิจิทัลที่รวบรวมและเผยแพร่นั้น สร้าง จัดเก็บหรือดูแล โดย Smithsonian Institution เช่น รูปภาพ โมเดล ข้อความ บันทึกเสียง วิดีโอ เว็บไซต์และชุดข้อมูลการวิจัย รวมมากว่า 2 ล้านรายการ (มีแผนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง)

ผู้ใช้สามารถเข้าไปที่ Smithsonian Open Access เพื่อค้นหาสื่อการเรียนรู้และการศึกษาวิจัยในรูปแบบดิจิทัลที่ต้องการ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.si.edu/openaccess จากนั้นพิมพ์คำค้นที่ต้องการให้ช่องค้นหา ดังภาพที่ปรากฎด้านล่าง

ระบบจะแสดงจำนวนผลการสืบค้นทั้งในภาพรวมและแบ่งตามประเภทของสื่อที่ตรงกับคำค้น พร้อมตัวอย่างผลการสืบค้น ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถกรองผลการสืบค้นด้วยประเภทของสื่อ สถาบันที่สร้าง จัดเก็บหรือดูแล หัวข้อ หัวเรื่อง และปีที่สื่อถูกสร้างสรรค์ ดังภาพที่ปรากฎด้านล่าง

จากนั้นคลิกเลือกรายการสื่อที่ต้องการ โดยระบบจะแสดงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสื่อ และเงื่อนไขการนำไปใช้ ดังภาพที่ปรากฎด้านล่าง

ผู้ใช้สามารถคลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดด้านล่างภาพของสื่อ เพื่อดาวน์โหลดสื่อที่ต้องการ และนำไปใช้งานภายใต้เงื่อนไขการใช้งานที่กำหนด

ภาพด้านล่างแสดงข้อมูลสถิติ จำนวนการเข้าชม จำนวนสื่อที่เผยแพร่และจำนวนการดาวน์โหลด สามารถเข้าดูได้ที่ https://www.si.edu/dashboard/virtual-smithsonian

Smithsonian Institution หรือ สถาบันสมิธโซเนียน เป็นกลุ่มสถาบันวิจัย สถาบันการศึกษาและพิพิธภัณฑ์ ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1846 บริหารจัดการและได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและจากผู้บริจาคต่างๆ รวมถึงรายได้การจำหน่าย ออกร้านและค่าสมาชิกนิตยสาร หน่วยงานส่วนใหญ่ของสถาบันตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา

ค่าดัชนี i10 index

ค่า i10 index คือ ค่าดัชนีที่ใช้ในการวิเคราะห์บทความวิชาการทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณของผู้เขียน ซึ่งให้ความสำคัญกับจำนวนการอ้างอิงบทความวิชาการโดยตรง พัฒนาโดย Google Scholar เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2011 เพื่อใช้วัดจํานวนบทความวิชาการที่ได้รับการอ้างอิงอย่างน้อย 10 ครั้ง

การดูค่า i10 index จำเป็นต้องดูด้วย Google Scholar ดังตัวอย่างข้อมูลของ ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์

จากภาพข้างต้น ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธฯ มีค่า i10-index เท่ากับ 125 หมายความว่า ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธฯ มีบทความวิชาการ จำนวน 125 รายการ (จากจำนวนผลงานทั้งหมด) ที่ได้รับการอ้างอิงอย่างน้อย 10 ครั้ง ทั้งนี้หากพิจารณา i10-index ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา พบว่า ศ.เกียรติคุณ ดร.ยงยุทธฯ มีบทความวิชาการ จำนวน 54 รายการ ที่ได้รับการอ้างอิงอย่างน้อย 10 ครั้ง

จุดเด่นของ i10-index คือ ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมาในการคำนวณ สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จาก Google Scholar ขณะที่ข้อจำกัด คือ ใช้เฉพาะใน Google Scholar

กลยุทธ์ 3 รู้สู่ SEO

เว็บไซต์ใดที่สามารถติดอันดับการค้นหาผ่าน Google ได้ในหน้าแรก เปรียบเสมือนเป็นสุดยอดแห่งการสร้างมูลค่าของเว็บไซต์และการตอบโจทย์ทางธุรกิจ เนื่องจากจะได้เป็นเป้าหมายแรกๆ ของกลุ่มเป้าหมายที่เลือกเข้าถึงเว็บไซต์หรือบริการของคุณ แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาผ่าน Google ได้ เราต้องใช้หลักการหรือแนวทางในเชิงเทคนิคของการจัดทำอันดับบนเว็บไซต์ตามแนวทางหรือกติกาของ Google เราเรียกเทคนิคนี้ว่า Search Engine Optimize หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า SEO

การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการ Social Marketing มีกระบวนการแนะนำหรือแนะแนวที่หลากหลายแตกต่างกันไปล้อตามแนวทางของ Google “ที่ปรับเปลี่ยนทุกปีหรือทุกไตรมาส” มีทั้งการแนะนำในแบบสายขาว หมายถึง ทำแบบโปร่งใสล้อตามกฎกติกาของ Google ตรงประเด็นแต่เห็นผลช้าไม่ทันใจ  และสายเทาดำ ที่เน้นกลยุทธ์ที่ไม่โปร่งใสเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับเว็บไซต์ที่เข้าสู่สายเทาดำอย่างแน่นอน เนื่องจากอาจจะทำให้ถูก Black List หรือส่งผลให้ไม่ถูกจัดอันดับบนหน้า Google เลยทีเดียว

บทความนี้ผู้เขียนจึงอยากจะขอแนะนำผู้อ่านให้เรียนรู้และเข้าใจหลักการทำ SEO ที่อ้างอิงจากคำแนะนำของ Google  (https://support.google.com/webmasters/answer/7451184?hl=en)  เพื่อเป็นแนวทางที่ชัดเจนสำหรับมือใหม่ไปจนถึงผู้ที่ต้องการทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ตนเองในแบบยั่งยืน พร้อมทั้งเพิ่มเติมสิ่งที่ควรเรียนรู้และคำนึงถึงจากประสบการณ์ของผู้เขียน ขอเรียกว่า “กลยุทธ์ 3 รู้สู่ SEO” ครับ แบ่งตามหัวข้อและรายละเอียด ดังนี้

1. เตรียมความพร้อมส่วนของเนื้อหาในเว็บไซต์ (รู้เรา)

สิ่งที่ Google ให้ความสำคัญที่สุดคือ “Content คุณภาพ”  หมายถึง บทความหรือข้อมูลบนเว็บไซต์ ที่สร้างคุณค่าให้กับผู้ชมที่เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ สิ่งเหล่านี้เป็นที่โปรดปรานของ Google Bot ให้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ของคุณเป็นอย่างมาก เนื่องจากค่าคะแนนที่ได้จะส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์คุณสูงขึ้น สิ่งสำคัญสำหรับการเตรียมความพร้อมในข้อ 1 เพื่อให้ได้ Content คุณภาพ มี 8 ข้อหลักที่ใช้ได้เสมอ มีดังนี้

1.1  ให้ความสำคัญกับ TAG  <title>  </title>  ใส่ให้ชัดเจนเหมือนพาดหัวข่าว และเนื้อหาภายในควรสอดคล้องกับ Title ดังกล่าว จะทำให้คะแนนเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้น ไม่ควรพาดหัวอย่างหนึ่งแต่เนื้อหาภายในกลับเป็นอีกอย่าง หากทำแบบนั้นคะแนนเว็บไซต์การจัดอันดับของคุณอาจถูกลด คุณค่าของ Content จากกลุ่มเป้าหมายของคุณก็ถูกมองให้ด้อยค่าลงด้วยเช่นกัน

1.2  ให้ความสำคัญกับ TAG <meta name =”Description”>  เปรียบเสมือนคำอธิบายสั้นๆ ของหน้า content ของคุณ Google Bot จะใช้ Description นี้เพื่อวางรายละเอียดสั้นๆ ของหน้าเว็บไซต์คุณบนการแสดงผลการค้นหา อย่าละเลยการให้รายละเอียดบน Description ที่เหมือนเป็นหัวใจของการจัดอันดับ สิ่งต้องห้ามของผู้ที่จัดทำ SEO ใน TAG ต่างๆ คือการ copy ข้อมูลชุดเดียวกัน ที่มี keyword ซ้ำๆ มาวางไว้ใน description ของแต่ละหน้า นั่นทำให้เว็บไซต์ของคุณด้อยค่าและไม่จริงใจกับกลุ่มเป้าหมาย

1.3  ให้ความสำคัญกับ TAG <meta name=”keywords”>  เพราะเปรียบเสมือน index หรือสารบัญของเว็บไซต์ของคุณ ควรใช้คำที่สื่อความหมายและสอดคล้องกันกับเนื้อหาที่คุณมีในเว็บไซต์นั้น เช่นคุณเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ คุณไม่ควรใช้ keyword ที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น อาหาร,น้ำอัดลม, เชื้อชาติ, ความคิด   จากตัวอย่างคุณจะพบว่า แม้วิทยาศาสตร์จะครอบคลุมในหลาย keyword ก็จริง แต่ความสอดคล้องใน keyword พิจารณาแล้วดูไม่เป็นธรรมชาติ ส่อเจตนาที่ไม่โปร่งใสหรือไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร

1.4  อย่าใช้คำ title หรือ keyword ที่ซ้ำๆ เพื่อหวังอันดับที่เพิ่มขึ้น หรือใช้คำยาวๆ ที่มี keyword ของ title ปนอยู่ภายในหัวข้อบทความเป็นปริมาณมาก เพราะนั่นจะทำให้คุณเข้าข่ายเจตนา Spam คำเพื่อหวังอันดับและส่งผลร้ายต่อคะแนนการจัดอันดับของคุณ

1.5 จัดทำ Sitemap ให้กับเว็บไซต์ของคุณ   หลายคนมองข้ามการจัดทำ  Sitemap  แท้จริงแล้วสิ่งนี้เป็นการสร้างการเชื่อมโยง Content ภายในเว็บไซต์ เป็นการสร้าง Link ที่มีคุณภาพระหว่างหน้า เป็นการสร้างการเพิ่มปริมาณการ Click  อีกทั้งยังสร้างความรวดเร็วในการเก็บข้อมูลของ Google Bot ต่อเว็บไซต์ของคุณ สิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาดของ Site map คือการสร้าง link อย่างซับซ้อน เช่น ลิ้งก์ทุกๆ หน้าในเว็บไปยังหน้าอื่นๆ ทุกหน้า หรือแบ่งเนื้อหาจนละเอียดกว่าจะเข้าถึงเว็บไซต์ที่ต้องการ  ยกตัวอย่างเช่น ต้องคลิกกว่า 20 ครั้งเพื่อจะไปพบเนื้อหาที่ต้องการจากหน้าแรก เป็นต้น เหล่านี้เป็นการสร้างเจตนาที่ไม่ตรงไปตรงมากับการจัดอันดับในเว็บไซต์ของคุณ

1.6 จัดทำ Url ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านได้ในภาษามนุษย์หรือสอดคล้องกับหน้าที่สื่อสาร  เพราะ Url ของเว็บไซต์เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการบอกให้กับ Google Bot เรียนรู้รายละเอียดของ Content เป็นการเพิ่มคะแนนให้กับการจัดอันดับของคุณ ยกตัวอย่าง url ที่ google bot ยอมรับและนำมาประกอบการพิจารณาได้ดีกว่า เช่น http://www.sciencelab.con/2020/gravity-theory-2020.html  ส่วนที่ไม่ควรทำ เช่น http://www.sciencelab.con/scdgwc/site2.html  จะเห็นได้ว่า URL ไม่สื่อกับการทำความเข้าใจของกลุ่มเป้าหมายและ google bot

1.7  ถ้าหากใช้รูปภาพ อย่าลืมใช้ TAG alt   เพราะไฟล์รูปภาพไม่สื่อความหมายในการเก็บข้อมูลของ Google Bot โดยเฉพาะภาพที่อาจใช้ไฟล์เพียง img.jpg , pict1.jpg เหล่านี้ไม่สร้างคุณค่าหรืออันดับกับเว็บไซต์ จำไว้ครับว่า เมื่อใดก็ตามมีภาพ คุณควรใช้ชื่อภาพสื่อกับเนื้อหา  เช่น คุณมีภาพม้าสีน้ำตาล คุณควรตั้งชื่อว่า horse-brown.jpg และใช้ alt = ‘ม้าสีน้ำตาล’  <img src = ‘horse-brown.jpg’ alt = ‘ม้าสีน้ำตาล’>  จากตัวอย่างนี้ จะทำให้ Google bot รับรู้คำที่สื่อความหมาย สร้างคำใน index เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่ามากขึ้นครับ

1.8  อย่ามีเนื้อหาเพียงหยิบมือแต่โฆษณาจนล้นหน้า   เราอาจเคยเจอเว็บไซต์ทีเขียนเนื้อหาพาดหัวเหมือนข่าวที่น่าสนใจจนอยากคลิกอ่าน แต่เมื่อมาถึงเว็บไซต์จริงพบว่าเนื้อหามีเพียงน้อยนิดหรืออาจลอกมาจากที่อื่น ที่สำคัญกลับมีโฆษณามากมายปรากฏอยู่เต็มเว็บไซต์ สิ่งเหล่านี้ทาง Google ถือว่าเป็นเจตนาแอบแฝงที่ส่งผลร้ายต่อผู้กลุ่มผู้ใช้งานและบั่นทอนคุณภาพของสังคมที่สร้าง Content คุณภาพให้เสียหาย คุณจะถูกลดอันดับการค้นหาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ข้อนี้ห้ามเด็ดขาดครับ ที่สำคัญหากเจอเว็บไซต์เหล่านี้คุณไม่ควรคลิกเข้าไปให้เปลืองอินเทอร์เน็ตหรือทรัพยากรใดๆ ของคุณ เพราะเป็นการส่งเสริมการสร้าง content ที่ผิด อาจมีไวรัสหรือโทรจันเป็นของแถมให้คุณอีกด้วย

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ของคุณ จำกัดความด้วยคำว่า Content Is The King ครับ  และต้องเป็น Content ที่มีประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมาย ได้ใจความ มีเนื้อหาที่ไม่น้อยจนเกินไป จริงใจ และไม่หลอกลวงขายโฆษณา นี่คือสิ่งที่จะทำให้กลยุทธ์ รู้เรา ยั่งยืน และทำอันดับได้อย่างรวดเร็ว

2. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย (รู้เขา)

การทำ SEO จะประสบความสำเร็จไม่ได้ หากคุณไม่ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นใคร มีสไตล์การอ่าน การเรียนรู้ content แบบใด เหมือนอยากขายเรือแต่ลูกค้าคุณอยู่ทะเลทราย ไม่มีวันที่คุณจะถึงเป้าหมายได้แน่นอน สิ่งที่คุณควรใส่ใจในประเด็นนี้ ได้แก่

2.1 เข้าใจกลุ่มเป้าหมายด้วยเนื้อหาที่ตรงใจ    เว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากมายอาจมีเนื้อหาไม่มากนัก แต่ประกอบไปด้วย การเขียนที่ตอบโจทย์ วีดีโอที่สั้นกระชับ เนื้อหาตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสไตล์ของการนำเสนอที่คุณควรมองลูกค้าเป็นหลัก และเป็นสิ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีเสน่ห์น่าติดตาม

2.2 นำเสนอแบบแปลกใหม่ตามกระแสบ้าง   เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว การนำเสนอของคุณแบบเดิมอาจไม่โดนใจลูกค้าหน้าใหม่หรือหน้าเดิม คุณควรใช้กระแสสังคมมาปรับเปลี่ยนการนำเสนอ สร้าง viral ยอดฮิตบ้าง เช่น  นักวิจัย สวทช. บางท่านก็ใช้การ Rap มาอธิบายกฎวิทยาศาสตร์ได้เข้าใจอย่างง่ายๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้สร้างความประทับใจใหม่ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ดีเสมอ

2.3  มีกิจกรรมหรือการ interactive กับสมาชิก   ยุคสมัยนี้การ interactive หรือการทำกิจกรรมออนไลน์ร่วมกัน เป็นการสร้างฐานหรืออันดับของเว็บไซต์ได้อย่างดี การแชร์กิจกรรมผ่านเว็บไซต์ เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างช่องทางหรืออันดับให้กับเว็บไซต์ของคุณ ที่สำคัญคุณควรรับผิดชอบกิจกรรมนั้นอย่างตรงไปตรงมา มีหลายเว็บไซต์ ที่มีกิจกรรมแชร์หรือให้รางวัลแต่ท้ายสุดกลับยกเลิกหรือไม่ทำกิจกรรมต่อ ส่งผลร้ายแรงต่อความเชื่อถือและนำมาซึ่งผลลบต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ

2.4  วิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างสม่ำเสมอ   เมื่อคุณสำรวจสถิติการเข้าถึงเว็บไซต์จากกลุ่มเป้าหมาย คุณจะพบกลุ่มลูกค้าและความต้องการที่หลากหลาย อย่าลืมเก็บสถิติเหล่านี้มาวิเคราะห์เพิ่มเติม เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณจะได้เปรียบมากชึ้น ปัจจุบันมีเครื่องมือการเก็บสถิติที่หลากหลาย เช่น google analytic หรือ truehits เป็นต้น อย่าลืมนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์นะครับ

ในการรู้เขา ยังมีอีกหลายกลยุทธ์มากที่คุณสามารถประยุกต์ใช้ได้ หลักสำคัญคือ อย่าลืมใส่ใจกลุ่มลูกค้าและพลิกแพลงการนำเสนอให้ไม่น่าเบื่อ เข้าใจง่าย นี่คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้อันดับเว็บไซต์ของคุณยั่งยืนจากสมาชิกของคุณที่จะทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ

3. เข้าใจเทคนิคและคำศัพท์ในการทำ SEO (รู้กลยุทธ)

หัวข้อนี้จะเป็นส่วน Advance สำหรับผู้ทำ SEO ที่จะต้องเข้าใจคำศัพท์และเทคนิคที่เกี่ยวข้องสำหรับการทำ SEO โดยผู้เขียนจะเลือกสิ่งที่ควรทำและศัพท์ที่ควรจำมาไว้ในหัวข้อนี้ในแบบรวบรัด มีรายละเอียดดังนี้ครับ

3.1  Mobile Friendly & Access Time    เทคนิคสำคัญที่คุณควรออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับ Smart Device พร้อมทั้งคำนึงถึงการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่กินเวลานาน (โหลดเว็บเสร็จอ่าน content ได้ ควรไม่เกิน 3 วินาที ) เพราะเว็บไซต์ที่รองรับหลาย Device ที่สามารถโหลดได้รวดเร็ว ผู้ใช้งานได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์โดยเร็ว จะสร้างความประทับใจและการเข้าถึงใหม่ๆ อยู่เสมอ มีหลายเว็บไซต์ที่ละเลยข้อนี้ ทำให้ฐานลูกค้าบน Smart Device หายไปมาก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ในยุคปัจจุบัน

3.2 ติดตั้ง google search console   ถ้าคุณมีสิทธิ์ในการติดตั้งบนเว็บไซต์ของคุณ ขอแนะนำให้ติดตั้ง Google Search Console ไว้บนเว็บไซต์ โดยการติดตั้งทำเพียงการสร้างไฟล์ที่ google แนะนำไว้บนเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นครับ  ที่ต้องแนะนำกันก็เพราะ Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ Google เรียนรู้ข้อมูลในเว็บไซต์ของคุณโดยตรงได้ง่ายขึ้น เราสามารถส่งข้อมูล Site Map โดยตรงไปหา Google Bot อีกทั้งยังมีข้อมูลวิเคราะห์ เทคนิคใหม่ ๆ ให้คุณได้นำข้อมูลดังกล่าวไปใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้ทันที  เหมาะอย่างยิ่งกับกลยุทธ์ รู้เขา ที่ผู้เขียนได้กล่าวมา ที่สำคัญ ปลอดภัย  เพราะมาจาก google เอง

3.3 การเข้าสู่ SEO เต็มตัวด้วยการโฆษณาแบบเสียเงินกับ Google   หากคุณสนใจข้อนี้ นั่นแปลว่าคุณเน้นทางลัดการติดอันดับโดยเลือกมีค่าใช้จ่ายการทำ SEO  ซึ่งจะต้องมีทุนในการโปรโมทธุรกิจ  คุณต้องเข้าใจการคำนวณหาราคาที่พร้อมจะจ่าย ต้องเรียนรู้ศัพท์และเทคนิคที่ควรรู้ก่อนการเข้าสู่การโปรโมทเว็บไซต์ของคุณ  หัวข้อนี้ผู้เขียนอยากแนะนำหลักการและศัพท์เทคนิคที่ควรรู้สำหร้บมือใหม่ที่สนใจจะทำ SEO ในหัวข้อนี้ ดังนี้ครับ

3.3.1  การกำหนด Keyword Difficult ผ่าน tool ต่างๆ  เพื่อประเมินว่า คำที่เราจะนำไปทำ SEO นั้น มีผลลัพธ์มากน้อยเพียงใด แล้วนำไปวิเคราะห์ต่อใน Google Adwords เพื่อวิเคราะห์ปริมาณการค้นหาและค่าใช้จ่าย คุณสามารถปรับปรุง keyword ให้มีปริมาณการแข่งขันที่น้อยลง เพิ่มหรือลดงบประมาณการโปรโมทพร้อมระยะเวลาในการโปรโมทเว็บไซต์ได้

3.3.2  การเข้าใจ Adtext และ Quality Score   เมื่อคุณตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อการโปรโมท คุณจะได้ keyword ที่คุณต้องการ ผมแนะนำให้คุณใช้ keyword มาประกอบกับ Adtext (เป็นสิ่งที่ทาง Google Adwords มีให้เรากำหนด ) เพื่อให้การค้นหาสอดคล้องกับ Keywords ซึ่งนั้นจะเพิ่มค่า Quality Score ให้กับการโปรโมท ทำให้ค้นหาได้มากครั้งขึ้น ส่งผลให้ค่า CTR (Click Through Rate) สูงขึ้น ใช้วัดผลได้ว่า เราซื้อโฆษณาถูก Keyword ผู้ชมค้นหาเว็บไซต์เราตรงจุด และประหยัดค่าใช้จ่ายในการโปรโมทด้วย และยังมีคำศัพท์อื่นๆ ที่คุณต้องเรียนรู้อีกมากครับ เช่น impressions, Clicks,  CPC, CPL เป็นต้น แต่ขอไม่พูดถึงในที่นี้ เพราะสิ่งที่สำคัญสุดคือการกำหนด keywords ที่ดี จะนำมาซึ่งค่าต่าง ๆ ที่ดีครับ

3.3.3 เข้าใจศัพท์ที่เป็นตัวแปรส่งผลดีกับเว็บไซต์  แม้คุณจะเป็นสายใช้เงินหรือสายฟรีแบบถูกต้อง สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญคือ ควรเข้าใจในคำศัพท์ที่เป็นตัวแปรหลักๆ  สำหรับการทำ SEO  ดังนี้ครับ

  • Organic Keywords  หมายถึง คำสำคัญหรือ Keyword ที่เป็นปลายเปิด เหมาะสำหรับการดึง traffic มากๆ เข้าสู่เว็บไซต์ เช่น หาก keyword เราคือ กล้วย  organic keyword อาจเป็น กิน กล้วย , ปลูก กล้วย,  กล้วย  น้ำว้า เป็นต้น คุณจะพบว่า มีคีย์เวิร์ดปนอยู่ในคำที่สอดคล้องในแนวทางเดียวกันโดยไม่เป็นเจตนาแสปม เหล่านี้จะสร้าง traffic การเข้าเว็บไซต์ของคุณ เมื่อมีการค้นหาผ่าน google
  • Organic Traffic  คือการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณจากการค้นหาผ่าน google  หรือการ link เข้าถึงเว็บไซต์โดยตรงผ่าน url ถือเป็นค่าคะแนนที่สำคัญสำหรับการเพิ่มอันดับของคุณ
  • Domain Authority (DA) เป็นค่าการวัดความนิยมของโดเมนเพื่อใช้ในการคิดคะแนนอันดับ ถึงแม้จะมีหลักการมากมายอธิบายว่าการวัด DA ต้องทำในหลายหมวดหมู่ แต่ผู้เขียนขอแนะนำว่า การทำ Content ที่ดี มีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ รวมถึงอายุโดเมนที่ยาวนาน คือปัจจัยสำคัญในการทำให้ค่า DA มีคะแนนสูง
  • Page Authority  (PA)  มีความคล้ายกับ DA แต่เป็นการวัดความนิยมของหน้าเพจแต่ละเพจในด้านการเข้าถึง การมีคุณภาพของ content และอีกหลายปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา สูตรสำเร็จคือการสร้าง Content ที่ดี จะทำให้ค่า PA มีคะแนนที่สูงเช่นกัน
  • Ahrefs Rank (AR)  คุณอาจจะเคยได้รับการแนะนำว่าควรแลก link ไปตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อการสร้าง back link และ Traffic ที่มากขึ้นให้กับเว็บไซต์ของคุณเพื่อการไต่อันดับบนหน้า google แต่ปัญหาคือ เว็บไซต์เหล่านั้นดีและมีคุณภาพพอในการนำมาพิจารณาคะแนนอันดับหรือไม่  มีหลายแห่งไม่สนใจ AR Traffic ที่มาจากแหล่งสีเทาหรือเว็บไซต์ที่ไม่ถูกต้อง เช่น เว็บไซต์ที่เปิดมาเพื่อการแลก Link หรือมีเจตนาเพียงหวังเพิ่ม traffic โดยไม่หวังด้านคุณภาพอื่นๆ  เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ google ลดทอนอันดับคุณภาพ link ของเว็บไซต์ของคุณ ต้องระวังนะครับ

คำศัพท์ต่างๆ ที่ยกมาเป็นเพียงส่วนย่อย แต่ต้องคำนึงถึงบ่อยๆ ครับ ทุกวันนี้การเพิ่มเติมตัวแปรหรือคำศัพท์เพื่อใช้ในการจัดอันดับมีมาก แต่สิ่งที่ผู้เขียนย้ำเสมอคือ หาก content คุณดีและมีคุณภาพ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ให้มากนักครับ

3.3.4  การวัดผลเชิงสถิติหลังการโปรโมท   อย่าลืมใช้ google analytic หรือ google search console เพื่อการวัดสถิติหลังการทำ SEO  ทั้งแบบเสียเงินหรือแบบฟรี เพราะนี่เป็นสิ่งที่ใช้วัดความสำเร็จหลังจากการทุ่มเทอย่างหนักของคุณทั้งก่อนและหลังการเข้าสู่ SEO ครับ

บทสรุป   ถึงแม้ Google จะเปลี่ยนกฎกติกาหลายอย่างเพื่อการจัดอันดับ Ranking บนเว็บไซต์ ซึ่งโดยหลักการแล้วจะปรับเพื่อป้องกันการโกงหรือปรับให้มีความยุติธรรมในการจัดอันดับมากขึ้นผ่าน algorithm และกติกาใหม่ๆ แน่นอนว่าผู้ทำ SEO ต้องใส่ใจและศึกษาเป็นแนวทาง แต่สิ่งที่ทาง Google เองย้ำเสมอคือการสร้าง Content ที่ดี โปร่งใส เข้าถึงง่าย ปลอดภัย และมีคุณภาพ นั่นต่างหากครับเป็นแนวทางที่ถูกต้องและยั่งยืนเสมอ บทความนี้ผู้เขียนจึงอยากจะขอสรุปแนวทางที่ยั่งยืนมาเป็นแบบฉบับรวบรัดและหวังว่าผู้สนใจการทำ SEO ทั้งมือใหม่และมือเก่าจะได้นำไปพิจารณาเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ท้ายสุดนี้ผู้เขียนก็นึกถึงคำสุภาษิตของไทย ที่น่าจะใช้ได้กับโลก SEO ครับคือ “สวยแต่รูป จูบไม่หอม”  ย่อมไม่ยั่งยืน (อันนี้เติมเอง ^^)

ชัยวุฒิ สีทา

ภาพฟรีถูกลิขสิทธิ์จาก pixabay.com  https://pixabay.com/illustrations/seo-analysis-online-1327870/

คู่มือการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ที่เน้นวิศวกรรม

การจัดกิจกรรมการเรียนให้บรรดวัตถุประสงค์ตามแนวทางของหนังสือเล่มนี้ “ผู้สอนควรระลึกเสมอว่าป้าหมาย คือ การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ขั้นตอน วิธีการ และมีประสบการณ์ การออกแบบและสร้างสิ่งใหม่หรือแปลกจากเดิมและมีคุณค่า ซึ่งเรียกว่า “นวัตกรรม” รวมทั้งเกิดแรงบันดาลใจที่จะมีอาชีพวิศวกรและอาชีพนวัตกรในอนาคต ด้วยเหตุนี้ การเรียนการสอนจึงควรนั้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ใน “กระบวนการพัฒนานวัตกรรม” อย่างครบถ้วน ผ่านกิจกรรมให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงานจริง ที่เหมาะสมตามศักยภาพของผู้เรียน จึงไม่จำเป็นต้องให้ผู้เรียนสร้างชิ้นงานระดับสูง เงินลงทุนมาก ใช้เวลานาน เกินศักยภาพของผู้เรียน จนเกิดปัญหาหรือความเครียดในระหว่างทำงาน ส่งผลให้ผู้เรียนเกิตความทรงจำด้านลบ”

ดาวน์โหลดหนังสือ 
 คลิกที่นี่เพื่อแสดงผลในรูปแบบ e-Book แบบ Flip

การจัดการคอลเลคชันของหอจดหมายเหตุในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

แนวทางการจัดการคอลเลคชันเอกสารจดหมายเหตุของหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหราชอาณาจักร (National Archives of UK) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

การรักษาความปลอดภัยและมั่นคงของคอลเลคชันจดหมายเหตุ

คำแนะนำเรื่องการรักษาความปลอดภัยและมั่นคงของคอลเลคชันจดหมายเหตุ ได้แก่

  1. ควรมีการตรวจสอบ ณ สถานที่ที่ดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้ รวมถึง digital storage หากไม่สามารถโฮสต์จากระยะไกลได้ ทั้งนี้ควรคำนึงถึงแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลเกี่ยวกับการเดินทางด้วยการใช้ระบบขนส่งสาธารณะและงานที่จำเป็น
  2. สร้างการเชื่อมโยงและการเตรียมการการทำงานกับทีมจัดการสถานที่และ/หรืออุปกรณ์และความมั่นคง รวมถึงผู้ให้บริการไอที ในกรณีที่จำเป็น
  3. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัญญาณเตือนต่างๆ ทำงาน และ สังเกตและตรวจสอบ (ควัน/ไฟไหม้/ผู้บุกรุก/การรั่วไหล) ด้วยขั้นตอนการตอบสนองที่เหมาะสม รวมถึงดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องว่าระบบตรวจจับและสัญญาณเตือนต่างๆ ทำงานอยู่ ยังคงเชื่อมต่อกับหน่วยงานที่ถูกต้อง และกระตุ้นการตอบสนอง เมื่อจำเป็น
  4. สังเกตและตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบการจัดการอาคารจากระยะไกล หากเป็นไปได้
  5. อัพเดทแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
  6. สร้างความตระหนักภายในหน่วยงานแม่เรื่องความเสี่ยงและการบรรเทา
  7. ติดต่อกับผู้ให้บริการจัดเก็บข้อมูลซึ่งเป็นบุคคลที่สามและประเมินความเหมาะสมของกระบวนของผู้ให้บริการดังกล่าว รวมถึงการรักษาความมั่นคงและการเตรียมความต่อเนื่องทางธุรกิจ

National Archives ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายเอกสารจดหมายเหตุจากสถานที่ที่ใช้ดำเนินการจัดเก็บเพื่อวัตถุประสงค์ในการทำงานที่บ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายเอกสารไปยังสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ความเสี่ยงจากการสูญเสียหรือความเสียหายอันเนื่องมาจากไฟไหม้ น้ำท่วม ศัตรูพืช การจัดการที่ไม่ถูกต้อง การแยกตัวการดำเนินการ และเงื่อนไขสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และการเคลื่อนย้ายอาจขัดแย้งกับข้อตกลงการฝาก เงื่อนไขการให้และการประกันเอกสาร

คอลเลคชันดิจิทัล

การตรวจสอบอัตโนมัติเกี่ยวกับความถูกต้องของเอกสารดิจิทัลควรดำเนินการต่อเนื่อง ในวิกฤตนี้นับเป็นโอกาสที่หน่วยงานจะได้พิจารณานโยบายและการปฏิบัติเกี่ยวกับคอลเลคชันดิจิทัล ทั้งในแง่ของการเข้าถึงไฟล์จากระยะไกล การแปลงไฟล์ให้อยู่ในรูปดิจิทัล และ ไฟล์ที่เกิดจากและอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลตั้งแต่แรก (born-digital files รวมถึงกระบวนการเกี่ยวกับไฟล์ดิจิทัล (เช่น การขาย สิทธิ์ใช้งาน และการเข้าถึง) อาจต้องการทดสอบด้วยเครื่องมือและวิธีการใหม่ๆ การขยายกิจกรรมโซเชียลมีเดียของหน่วยงานและการเปลี่ยนวิธีที่อธิบายและสำรวจคอลเล็คชันในพื้นที่ออนไลน์ ผ่านช่องทางที่มีอยู่หรือช่องทางใหม่

การลาพักของพนักงาน

หน่วยงานอาจกำลังพิจารณาเรื่องการอนุญาตให้พนักงานลาพักภายใต้การคุ้มครองในช่วงสถานการณ์ของ COVID-19 ทั้งนี้มีปัจจัยที่ควรพิจารณา ได้แก่

  1. ข้อกำหนดที่กำลังดำเนินการเพื่อความมั่นคงและการสงวนรักษาของคอลเลคชันในช่วงระยะเวลาลาพัก
  2. การให้พนักงานมีส่วนร่วมและสนับสนุนในการเตรียมการชั่วคราวก่อนการลาพัก
  3. ความพร้อมอย่างต่อเนื่องของพนักงานเชี่ยวชาญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (เช่น นักอนุรักษ์) เพื่อดูแลคอลเลคชันอย่างต่อเนื่อง
  4. การรักษาความสามารถของหน่วยงานในการตอบสนองฉุกเฉินและการกู้คืนจากความเสียหาย
  5. ขอบเขตที่ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ทางออนไลน์
  6. ข้อกำหนดภายในหน่วยงานสำหรับการตอบข้อซักถามภายใต้กฎหมายข้อมูล

นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำเรื่องการคำนึงถึงสวัสดิภาพของพนักงานเกี่ยวกับการลาพักและวิธีที่พนักงานสามารถถูกเรียกตัวกลับคืนได้ในกรณีฉุกเฉินที่มีผลกระทบต่อคอลเลคชัน อีกทั้งหน่วยงานควรพิจารณาการตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติเพื่อนำผู้สอบถามไปยังแหล่งข้อมูลออนไลน์และข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของหอจดหมายเหตุ

Places of deposit หรือ local archive services

Places of deposit หรือ local archive services อาจปิดหรือลดบริการเป็นระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากคำแนะนำด้านสาธารณสุขหรือการตัดสินใจในการจัดการความเสี่ยงของแต่ละหน่วยงาน ทั้งนี้ National Archives ยังคงขอให้ Places of deposit ดูแลเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและมั่นคงของคอลเลคชั่นในช่วงเวลาปิดทำการ รวมถึงการขอให้ Places of deposit แจ้งให้ทราบถึงแผนการปิดหรือการแก้ไขเพื่อดำเนินงานล่วงหน้าหากเป็นไปได้ ทั้งนี้ยังคงรักษาการติดต่อสื่อสารและการให้คำแนะนำตามปกติแก่หน่วยงานบริการเอกสารจดหมายเหตุ ผ่านอีเมล

การโอนย้ายเอกสารกระดาษ

การโอนย้ายเอกสารกระดาษไปยัง National Archives ถูกระงับจนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบ โดย Transferring body ไม่ถูกคาดหวังให้ส่ง deposit ไปยังหอจดหมายเหตุจนกว่าสถานการณ์นี้จะเปลี่ยนไป และ Places of deposit ก็ไม่ถูกคาดหวังว่าจะต้องยอมรับ

การส่งคืนเอกสารราชการชั่วคราว

การเข้าถึงสามารถดำเนินการได้สำหรับการร้องขอฉุกเฉินถ้าหากปลอดภัยที่จะดำเนินการ หาก Places of deposit ประสบปัญหากับคำร้องการส่งคืนเอกสารราชการ เรื่องนี้ควรถูกนำเสนอเพื่อการดูแลของ National Archives และการค้นหาวิธีแก้ปัญหา

การยืมเอกสารราชการ

Places of deposit ที่มีเอกสารอยู่ระหว่างการยืมกับสถาบันอื่นเพื่อวัตถุประสงค์ เช่น การจัดแสดงนิทรรศการ หรือการสนับสนุนการสอบถามข้อมูลทางกฎหมาย ควรรักษาการติดต่อกับสถาบันที่ยืมเอกสาร ผู้ให้ยืมเอกสารควรขอคำรับรองเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม และขอข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการใดๆ ทั้งนี้ในกรณีที่เอกสารถูกยืมไปเพื่อการจัดแสดงนิทรรศการ เอกสารดังกล่าวควรถูกยกเลิกการติดตั้งจัดแสดงและเก็บไว้ในสถานที่เก็บที่ปลอดภัย แต่หากเป็นไปไม่ได้ เอกสารดังกล่าวสามารถเก็บไว้ในตู้จัดแสดงนิทรรศการได้ โดยมีเงื่อนไขเรื่องความปลอดภัยและการจัดการระดับแสง ไม่ควรพยายามนำเอกสารที่อยู่ระหว่างการยืมกลับคืนสถาบันที่ให้ยืม จนกว่าสถาบันที่ให้ยืมและสถาบันที่ยืมมั่นใจในการดำเนินการและมีการขนส่งที่เหมาะสม

การดูแลรักษาเอกสารกระดาษ

National Archives ไม่ได้ให้คำแนะนำแก่ Transferring bodies ในการดำเนินการดูแลรักษา หรือ Treatment เอกสารกระดาษเป็นพิเศษหรือเฉพาะ เช่น การทำความสะอาดที่มากกว่าแบบปกติก่อนการถ่ายโอนเอกสาร เอกสารที่อยู่ใน Deposit สามารถถูกจัดการในวิธีปกติ

อัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับ COVID-19 สำหรับหน่วยงานรัฐบาล

National Archives ผลิตคำแนะนำและแนวทางสำหรับหน่วยงานรัฐบาล องค์กรอื่นๆ ที่ครอบคลุมโดย Public Records Act ในรูปแบบของ FAQ ซึ่งคำแนะนำนี้ปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ และอาจเป็นที่สนใจของ Places of deposit และจดหมายเหตุอื่นๆ

ที่มา

การปรับตัวของพิพิธภัณฑ์เพื่อเข้ากับ New normal

ตัวอย่างการปรับแนวคิดและแนวทางปฏิบัติของพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ เพื่อเข้ากับ New Normal โดยเฉพาะมาตราการความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19

พิพิธภัณฑ์หลายแห่งเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง หลังจากต้องปิดบริการไปเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่การกลับมาในครั้งนี้ของพิพิธภัณฑ์มาพร้อมกับแนวคิดและแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยใหม่ ที่อนุญาตให้ผู้เยี่ยมชมได้เพลิดเพลินไปกับวัตถุจัดแสดงในขณะที่ลดความเสี่ยงของการแพร่กระจาย COVID-19 ตัวอย่างมาตรการความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ ได้แก่

การเข้าชมต้องจองตั๋วล่วงหน้า

พิพิธภัณฑ์บางแห่งเปิดให้ผู้เข้าชมที่จองตั๋วเข้าชมล่วงหน้าเพียงเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อการบริหารจัดการจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวันและแต่ละรอบ โดยเฉพาะเพื่อการตอบสนองต่อมาตราการการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social distancing) ในกลุ่มผู้เข้าชม เช่น Castello di Rivoli Museum of Contemporary Art หรือ Castello di Rivoli Museo d’Arte Contemporanea พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในประเทศอิตาลี และ Scuderie del Quirinale พิพิธภัณฑ์มรดกทางวัฒนธรรมในกรุงโรม ประเทศอิตาลี

การจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละรอบ

พิพิธภัณฑ์และหอศิลปะหลายแห่งกำหนดเงื่อนไขการเข้าชม โดยจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละรอบ เพื่อเพิ่มพื้นที่การเว้นระยะห่างทางสังคมในกลุ่มของผู้เข้าเยี่ยมชม เช่น

  • Galleria Borghese หรือ หอศิลป์บอร์เกเซ ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี จำกัดจำนวนผู้เข้าชม 80 คนต่อกลุ่ม และจำกัดเวลาการเดินชมต่อกลุ่ม คือ 120 นาที
  • Scuderie del Quirinale พิพิธภัณฑ์มรดกทางวัฒนธรรมในกรุงโรม ประเทศอิตาลี จำกัดจำนวนผู้เข้าชม 6 คนต่อกลุ่ม และจำกัดเวลาการเดินชมต่อกลุ่ม คือ 80 นาที
  • Giacometti Institute สถานที่จัดแสดงผลงานศิลปะของ Alberto Giacometti ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จำกัดจำนวนผู้เข้าชม 10 คนต่อกลุ่ม และจำกัดเวลาการเดินชมต่อกลุ่ม คือ 10 นาที
  • Museum of Bavarian State Painting Collections พิพิธภัณฑ์คอลเล็กชันภาพวาดของรัฐบาวาเรียซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมิวนิก ประเทศเยอรมัน จำกัดจำนวนผู้เข้าชมโดยวัดจากขนาดของพื้นที่ คือ 1 คน ต่อพื้นที่ประมาณ 215 ตารางฟุต

การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าชม

พิพิธภัณฑ์หลายแห่งไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีไข้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ โดยกำหนดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่จะเข้าเยี่ยมชม เพื่อคัดกรองผู้ที่สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ เช่น Pio Monte della Misericordia โบสถ์ในศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองเนเปิลส์ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และ Castello di Rivoli Museum of Contemporary Art พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในประเทศอิตาลี ซึ่งกำหนดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่จะเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ณ ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ โดยผู้ที่อุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศา หรือสูงกว่า จะไม่ได้รรับอนุญาตให้เข้าพิพิธภัณฑ์

การสวมหน้ากากขณะเข้าชม

Castello di Rivoli Museum of Contemporary Art หรือ Castello di Rivoli Museo d’Arte Contemporanea พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในประเทศอิตาลี กำหนดให้ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต้องสวมหน้ากากในขณะที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย COVID-19 จากละอองฝอยจากการไอหรือจาม

การใช้ Gadget เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม

Cathedral of Santa Maria del Fiore หรือ Florence Cathedral หรือ มหาวิหารฟลอเรนซ์ ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ได้นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ Gadget ชื่อ The EGOpro Social Distancing Necklace ซึ่งพัฒนาโดย บริษัท Advance Microwave Engineering มาใช้ เพื่อการเว้นระยะห่างทางสังคมในกลุ่มผู้เยี่ยมชมมหาวิหาร โดยอุปกรณ์นี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมาพร้อมสายคล้องคอ เพื่อให้ผู้เข้าชมคล้องคอขณะอยู่ในมหาวิหาร เมื่อผู้เข้าชมอยู่ใกล้กันเกินระยะห่างตามมาตราการความปลอดภัยด้านสุขภาพ อุปกรณ์นี้จะสั่นและมีแสงแสดงออกมา เพื่อเตือนให้ผู้เข้าชมเว้นระยะห่างกัน ทั้งนี้ผู้ทำงานของมหาวิหารฟลอเรนซ์อ้างว่ามหาวิหารเป็นสถานที่แรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในบริบทของพิพิธภัณฑ์เป็นที่แรก โดยผู้ที่จะเข้าชมมหาวิหารจะได้รับอุปกรณ์นี้ ณ ทางเข้ามหาวิหาร และส่งคืนเมื่อรับชมมหาวิหารเสร็จ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดจะถูกฆ่าเชื้อก่อนนำมาใช้ซ้ำ ชมวิดีโอแนะนำอุปกรณ์และการใช้งาน คลิกที่นี่

Castello di Rivoli Museum of Contemporary Art หรือ Castello di Rivoli Museo d’Arte Contemporanea พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยในประเทศอิตาลี ได้ประกาศมาตรการสุขอนามัยภายในพิพิธภัณฑ์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 บนเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งประกอบด้วย

  1. ห้ามผู้ที่มีไข้เข้าพิพิธภัณฑ์
  2. ทางเข้าของพิพิธภัณฑ์มีเครื่องมือวัดอุณหภูมิร่างกาย โดยผู้ที่อุณหภูมิร่างกาย 37.5 องศา หรือสูงกว่า จะไม่ได้อนุญาตเข้าพิพิธภัณฑ์
  3. รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างน้อย 2 เมตร ยกเว้นจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมซึ่งจะมีอุปกรณ์กั้น
  4. รับตั๋วเข้าชมที่จุดจำหน่ายตั๋ว และลงนามในแบบฟอร์มการอนุญาต (Authorization form)
  5. สวมหน้ากากในขณะเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์
  6. ใช้เจลฆ่าเชื้อล้างมือ ซึ่งมีจุดให้บริการที่ทางเข้าพิพิธภัณฑ์
  7. หมั่นล้างมือ
  8. หลีกเลี่ยงการกอดและการจับมือกัน
  9. ห้ามสัมผัสดวงตา ปาก หรือจมูกด้วยมือ
  10. สวมถุงมือเมื่อสัมผัสผลิตภัณฑ์ใน Bookshop หรือที่ คาเฟ่ของพิพิธภัณฑ์
  11. หลีกเลี่ยงการใช้ขวดและแก้วร่วมกับผู้อื่น
  12. ปิดปากและจมูก เมื่อจามหรือไอ
  13. ปฏิบัติตามเส้นทางการเยี่ยมชมที่ระบุ
  14. สำหรับทัวร์นำเที่ยวสามารถพบมัคคุเทศน์นำเที่ยวของคณะได้ในสถานที่ที่จัดไว้ให้ คือ ลานกลางแจ้งของพิพิธภัณฑ์

อ้างอิง

ประเทศไทยติดอันดับ Top 10 ของเอเชียแปซิฟิก ใน Nature Index 2020

ประเทศไทยติดอันดับที่ 9 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์คุณภาพสูง ตามการจัดอันดับของ Nature Index 2020 โดยประเทศไทยสามารถรักษาอันดับการเป็น 10 ประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์คุณภาพสูง ตามการจัดอันดับของ Nature Index ตั้งแต่ปี 2015

Nature Index คือตัวชี้วัดคุณภาพงานวิจัย โดยจัดอันดับประเทศและสถาบัน ด้วยการพิจารณาการตีพิมพ์บทความวิจัย (ต่อปี) ในวารสารที่มีผลกระทบสูงและเป็นที่ยอมรับของแต่ละสาขาในเครือ Nature Research ซึ่งแบ่งเป็น 4 สาขาวิชา คือ

  1. วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Sciences)
  2. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences)
  3. เคมี (Chemistry)
  4. วิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม (Earth & Environmental Sciences)

Nature Index มีตั้งแต่ปี 2015 โดยใช้ตัวชี้วัดหลัก 2 ตัวในการพิจารณาจัดอันดับ คือ

  1. จำนวนบทความตีพิมพ์ (Count) ยกตัวอย่างเช่น บทความ 1 บทความ ที่มีผู้เขียน 1 คน หรือ หลายคนจากประเทศไทย ดังนั้นประเทศไทยจะได้รับค่า Count เท่ากับ 1
  2. จำนวนสัดส่วน/ส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของบทความที่จัดสรรให้กับสถาบันหรือประเทศ (Fractional Count) โดย 1 บทความ จะมีค่า Fractional Count เท่ากับ 1 ซึ่งถูกแบ่งให้ผู้เขียนทุกคนในบทความหนึ่งๆ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าทุกคนมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเช่น บทความ 1 บทความ ที่มีผู้เขียน 10 คน หมายความว่าผู้เขียนแต่ละคนได้รับค่า Fractional Count เท่ากับ 0.1

Nature Index 2020 เผย ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากทั้งหมด 33 ประเทศ โดยพิจารณาจากการตีพิมพ์บทความวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์คุณภาพสูงในเครือ Nature Research จำนวน 82 ชื่อ ซึ่งคัดเลือกโดยคณะนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ ทั้งนี้เป็นบทความซึ่งตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019 โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยมีจำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 254 และ มีค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 49 ตามภาพที่แสดงด้านล่าง

Nature Index https://www.natureindex.com/annual-tables/2019/country/all/regions-Asia%20Pacific

ทั้งนี้ประเทศไทยสามารถรักษาอันดับการเป็น 10 ประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตามการจัดอันดับของ Nature Index ตั้งแต่ปี 2015

หากพิจารณาบทความวิจัยตีพิมพ์ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2019 – วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2020 ประเทศไทยมีจำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 247 และค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 47.47 เมื่อพิจารณาสาขาวิชาของบทความดังกล่าวซึ่งแบ่งตามกลุ่มวิชาหลัก 4 สาขา พบว่าสาขาวิชาที่มีจำนวนผลงานตีพิมพ์มากที่สุด คือ

  • อันดับที่ 1 วิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Sciences) จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 127 และ ค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 16.20
  • อันดับที่ 2 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences) จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 67 และ ค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 10.65
  • อันดับที่ 3 เคมี (Chemistry) จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 50 และ ค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 19.08
  • อันดับที่ 4 วิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม (Earth & Environmental Sciences) จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 18 และ ค่าความเป็นเจ้าของบทความ (Fractional Count) เท่ากับ 2.91

หมายเหตุ: 1 บทความอาจครอบคลุมมากกว่าหนึ่งสาขาวิชา

Nature Index https://www.natureindex.com/country-outputs/thailand

ทั้งนี้ 10 สถาบันแรกในประเทศไทยที่ติดอันดับ Nature Index 2020 ใน ภาพรวมทั้ง 4 สาขาวิชา (ข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019) ได้แก่

  1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 112 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 11.07
  2. สถาบันวิทยสิริเมธี จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 23 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 8.79
  3. มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 53 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 5.13
  4. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 19 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.69
  5. มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 15 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.67
  6. สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 11 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.57
  7. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 8 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.45
  8. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 9 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.54
  9. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 11 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.16
  10. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวนบทความวิจัย (Count) เท่ากับ 14 ค่าความเป็นเจ้าของบทความวิจัย (Fractional Count) เท่ากับ 1.13

Nature Index https://www.natureindex.com/annual-tables/2020/institution/all/all/countries-Thailand

หมายเหตุ: ควรคำนึงถึงปัจจัยและตัวชี้วัดอื่นๆ เมื่อพิจารณาคุณภาพการวิจัยและการจัดอันดับสถาบัน ไม่ควรใช้ Nature Index เพียงอย่างเดียวเพื่อประเมินสถาบัน

หากพิจารณา 10 สถาบันแรกในประเทศไทยที่ติดอันดับ Nature Index 2020 แบ่งตาม สาขาเคมี (Chemistry) (ข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019) พบว่า มี 7 ใน 10 สถาบันที่ติดอันดับ 10 สถาบันแรกในภาพรวมทั้ง 4 สาขาวิชา ยังคงปรากฎชื่อ แม้มีการสลับอันดับกัน ดังภาพปรากฎด้านล่าง


Nature Index https://www.natureindex.com/annual-tables/2020/institution/all/chemistry/countries-Thailand

หากพิจารณา 10 สถาบันแรกในประเทศไทยที่ติดอันดับ Nature Index 2020 แบ่งตาม สาขาวิทยาศาสตร์โลกและสิ่งแวดล้อม (Earth & Environmental Sciences) (ข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019) พบว่า มีเพียง 5 ใน 10 สถาบันที่ติดอันดับ 10 สถาบันแรกในภาพรวมทั้ง 4 สาขาวิชา ยังคงปรากฎชื่อ  แม้มีการสลับอันดับกัน ดังภาพปรากฎด้านล่าง

Nature Index https://www.natureindex.com/annual-tables/2020/institution/all/earth-and-environmental/countries-Thailand

หากพิจารณา 10 สถาบันแรกในประเทศไทยที่ติดอันดับ Nature Index 2020 แบ่งตาม สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences) (ข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019)  พบว่า มี 6 ใน 10 สถาบันที่ติดอันดับ 10 สถาบันแรกในภาพรวมทั้ง 4 สาขาวิชา ยังคงปรากฎชื่อ  แม้มีการสลับอันดับกัน ดังภาพปรากฎด้านล่าง

Nature Index https://www.natureindex.com/annual-tables/2020/institution/all/life-sciences/countries-Thailand

หากพิจารณา 10 สถาบันแรกในประเทศไทยที่ติดอันดับ Nature Index 2020 แบ่งตาม สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (Physical Sciences) (ข้อมูลจากผลงานตีพิมพ์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2019)  พบว่า มี 5 ใน 10 สถาบันที่ติดอันดับ 10 สถาบันแรกในภาพรวมทั้ง 4 สาขาวิชา ยังคงปรากฎชื่อ  แม้มีการสลับอันดับกัน ดังภาพปรากฎด้านล่าง

Nature https://www.natureindex.com/annual-tables/2020/institution/all/physical-sciences/countries-Thailand

หมายเหตุ: ควรคำนึงถึงปัจจัยและตัวชี้วัดอื่นๆ เมื่อพิจารณาคุณภาพการวิจัยและการจัดอันดับสถาบัน ไม่ควรใช้ Nature Index เพียงอย่างเดียวเพื่อประเมินสถาบัน

การตอบสนองต่อสถานการณ์ COVID-19 ของหอจดหมายเหตุ

การแพร่ระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส (Covid-19) สร้างความท้าทายมากมายแก่แวดวงวิชาชีพจดหมายเหตุ ตั้งแต่ความกังวลเกี่ยวกับงาน การจัดการคอลเลกชัน สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากร และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง หอจดหมายเหตุต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่จะนำมาซึ่งแรงกดดันเพิ่มเติม ทั้งนี้หอจดหมายเหตุหลายแห่งต่างพยายามดำเนินการเพื่อต่อสู้กับสถานการณ์ความท้าทายนี้ ยกตัวอย่างเช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติสหราชอาณาจักร (The National Archives)

Archives and Records Association (ARA) และ The National Archives ของสหราชอาณาจักร ได้ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนหน่วยงานด้านจดหมายเหตุหลายวิธีในช่วงสถานการณ์ Covid-19 คือ

  1. ARA Together Covid-19 Support Hub
  2. History Begins at Home
  3. Novice to Know-How

ARA Together Covid-19 Support Hub และชุมชนออนไลน์ เพื่อให้คำแนะนำและแนวทาง รับฟังและแบ่งปันข้อกังวล แนวคิด และแนวทางแก้ไขในหลากหลายหัวข้อ รวมถึงความต่อเนื่องในการดำเนินงาน การพัฒนาวิชาชีพ และการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านจดหมายเหตุ

https://www.archives.org.uk/ara-together.html

ภายใต้ ARA Together Covid-19 Support Hub ประกอบด้วย

History Begins at Home การชักชวนสมาชิกในครอบครัวได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับภาพเหตุการณ์และเรื่องราวในอดีตจากภาพถ่ายในอดีตที่แปลงในอยู่ในรูปดิจิทัลของหอจดหมายเหตุต่างๆ ผ่าน social media เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนได้คิดเกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาและจุดประกายความสนใจใหม่ในประวัติศาสตร์ อีกทั้งเพื่อช่วยลดความเครียดของผู้คนในช่วงกักตัวจากการแพร่ระบาดของ Covid-19

https://twitter.com/BeginsHistory

https://twitter.com/BeginsHistory

Novice to Know-How เป็นการร่วมมือกับ Digital Preservation Coalition (DPC) จัดฝึกอบรมออนไลน์ เพื่อให้ห้ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับจดหมายเหตุมีทักษะและความมั่นใจที่จำเป็นเกี่ยวกับขั้นตอน/หลักการทำงาน (Work flow) การสงวนรักษาแบบดิจิทัลเชิงรุกสำหรับองค์กร การฝึกอบรมได้รับการวิจัย พัฒนาและทดสอบโดยผู้เชี่ยวชาญภายในชุมชนการสงวนรักษาแบบดิจิทัล หลักสูตรนี้มุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติรวมถึงการสาธิต คำอธิบายรายละเอียด วิดีโอ ข้อความ และแบบทดสอบ โดยการฝึกอบรมเริ่มต้นด้วยการแนะนำภาพกว้างเกี่ยวกับปัญหาการเก็บรักษาแบบดิจิทัลและอธิบายวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นอกจากนี้ยังสำรวจขั้นตอนการทำงานที่เป็นไปได้ และเทคโนโลยีที่สามารถปรับใช้ได้ แต่ละหลักสูตรที่เปิดสอนจะใช้เวลาประมาณ 2 วัน ผู้เรียนอาจเลือกเข้าเรียนหลักสูตร:

  1. An introduction to digital preservation
  2. Files, file formats and bitstream preservation
  3. Using DROID
  4. Selecting and transfering digital content
  5. Ingesting digital content
  6. Preserving digital content

https://www.dpconline.org/knowledge-base/training/n2kh-online-training

ลงทะเบียนเรียนที่ https://www.dpconline.org/knowledge-base/training/n2kh-online-training สำหรับปีแรกจะให้สิทธิ์แก่สมาชิกของ UK archive sector และ DPC เป็นอันดับแรก

นอกจากนี้ National Archives และ ARA ยังจัดสำรวจเพื่อวัดผลกระทบของ Covid-19 ต่อบริการ และจัดสัมมนาผ่าน webinar

รายการผลงานทรัพย์สินทางปัญญา สพภ. ที่พร้อมนำไปใช้ประโยชน์ “BEDO IP Catalogue”

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ. (Biodiversity-based Economy Development Office (Public Organization) : BEDO) ได้ดำเนินการรวบรวมผลงานทรัพย์สินทางปัญญาของ สพภ. ที่พร้อมนำไปใช้ประโยชน์ในปีต่าง ๆ ในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ชื่อหนังสือ “BEDO IP Catalogue” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผลงานดังกล่าว ให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หรือผู้ที่มีความสนใจให้สามารถเข้าถึงข้อมูล และขออนุญาตใช้ประโยชน์ในผลงานดังกล่าว ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการนำความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจอย่างมีระบบและยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยผลงานทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน 2 ประเภท ได้แก่

1) ลิขสิทธิ์: ซึ่งเป็นผลงานลิขสิทธิ์ในหมวดวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลและจัดทำบัญชีรายการทรัพยากรชีวภาพของจุลินทรีย์ พืช และสัตว์ ที่มีแหล่งกำเนิดหรือพบได้ในประเทศไทย และสารานุกรมภูมิปัญญาของชุมชนและท้องถิ่นในประเทศไทย

2) สิทธิบัตรการประดิษฐ์/อนุสิทธิบัตร: ซึ่งเป็นข้อมูลผลงานการประดิษฐ์ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาต่อยอดการนำทรัพยากรชีวภาพไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ในกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง และกรรมวิธีการผลิตและเทคโนโลยีชีวภาพ

downalod-pdf
ปี 2552-2562

โดยสามารถเข้าได้ที่ URL : https://www.bedo.or.th/bedo/IP/2019/

แหล่งที่มา
https://www.bedo.or.th/bedo/new-content.php?id=1629

4 ธีมในการสร้างคลัง OER และ 10 ตัวชี้วัดเพื่อประกันคุณภาพของคลัง OER

4 ธีมในการสร้างคลัง OER (Open Educational Resource Repository) และ 10 ตัวชี้วัดสำหรับการประกันคุณภาพของคลัง OER ที่แสดงถึงแนวปฏิบัติที่ดีในการออกแบบ การพัฒนาและการนำไปปฏิบัติของคลัง OER บนฐานของการเปิดกว้าง การแบ่งปัน การใช้ทรัพยากรและการทำงานร่วมกัน

Atenas และ Havemann (2013) ได้ทบทวนและวิเคราะห์วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับ OER (Open Educational Resource) หรือ แหล่งทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด จากวารสารวิชาการ หนังสือ และเอกสารการประชุมวิชาการ เพื่อค้นหาคุณสมบัติสำคัญและเฉพาะของคลัง OER (Open Educational Resource Repository) ซึ่งพบว่า การสร้างคลัง OER อยู่บนพื้นฐานของธีมหลัก 4 ธีม ได้แก่

  1. การค้นหา เพื่อให้สื่อหรือทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดสามารถค้นหาและใช้ประโยชน์ สื่อหรือทรัพยากรฯ ดังกล่าวจะต้องสามารถค้นหาและค้นคืนได้ผ่านเครื่องมือสืบค้น OER หรือ ผ่าน เสิร์ชเอนจินยอดนิยม เช่น Google
  2. การแบ่งปัน การแบ่งปันหมายความถึงกิจกรรมที่นักการศึกษา ครูหรืออาจารย์ เปลี่ยนสื่อการเรียนรู้หรือสื่อการเรียนการสอนให้กลายเป็นสื่อหรือทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด คลัง OER ต้องสามารถและมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้สื่อหรือทรัพยากรฯ สามารถแบ่งปัน และต้องอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการแบ่งปันสื่อหรือทรัพยากรฯ ดังกล่าว
  3. การใช้ซ้ำ หมายความว่า การใช้สื่อหรือทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER ซ้ำ จะต้องได้รับอนุญาตอย่างชัดเจนและสะดวก
  4. การทำงานร่วมกัน คลัง OER ที่ประสบความสำเร็จจะต้องเป็นทั้งคลังที่เก็บรวบรวมสื่อหรือทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดและต้องเป็นเสมือนสถานที่พบปะสังสรรค์สำหรับชุมชนนักปฏิบัติ (Communities of Practice : CoP) ที่ความรู้ไม่เพียงถูกเก็บไว้แต่ต้องถูกแลกเปลี่ยน ประเมินและสร้างขึ้นใหม่รวมกัน สื่อในคลัง OER ควรสามารถได้รับการประเมินและตรวจสอบ

จากธีมในการสร้างคลัง OER ทั้ง 4 ข้อ พบว่ามี 10 ตัวชี้วัดสำหรับการประกันคุณภาพของคลัง OER ได้แก่

  1. ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด หมายความถึง การมีทรัพยากรการศึกษาที่โดดเด่นและเป็นที่สนใจทั้งในแง่ของเนื้อหาและการออกแบบสำหรับนักการศึกษา ครู อาจารย์ นักเรียนนักศึกษา หรือผู้ใช้อื่นๆ ในคลัง OER (บนฐานธีม การค้นหา การแบ่งปัน และการทำงานร่วมกัน)
  2. เครื่องมือประเมินสำหรับผู้ใช้ หมายความถึง การมีเครื่องมือสำหรับประเมินทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดโดยผู้ใช้ เช่น การให้คะแนน ตั้งแต่ระดับ 1 ถึง 5 หรือ ระดับดาว โดยผู้ใช้คลัง OER (บนฐานธีม การทำงานร่วมกัน)
  3. การพิจารณาตรวจสอบโดยผู้รู้ (Peer review) หมายความถึง การมีกระบวนการ Peer review เพื่อพิจารณาตรวจสอบ วิเคราะห์ และปรับปรุงทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพ (บนฐานธีม การทำงานร่วมกัน)
  4. ความเป็นเจ้าของผลงาน (Authorship) หมายความถึง การแสดงและวิเคราะห์ชื่อผู้แต่ง ผู้สร้างสรรค์ และเจ้าของทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER (บนฐานธีม การค้นหา และการใช้ซ้ำ)
  5. คำสำคัญ (Keyword) คือการอธิบายถึงทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER อย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยในการค้นคืนทรัพยากรฯ ในขอบเขตเฉพาะที่ต้องการ (บนฐานธีม การค้นหา)
  6. เมทาดาทา หมายความถึง การมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานของเมทาดาทาสำหรับการทำงานร่วมกัน เช่น Dublin Core, IEEE LOM, OAIPMH (บนฐานธีม การค้นหา การแบ่งปัน และการใช้ซ้ำ)
  7. การสนับสนุนภาษาที่แตกต่างกัน หมายความถึง การออกแบบอินเทอร์เฟซของคลัง OER ด้วยภาษาที่หลากหลายเพื่อขยายขอบเขตของผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถค้นหาทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER ด้วยภาษาที่แตกต่างและหลากหลาย ต่างๆ (บนฐานธีม การค้นหา การแบ่งปัน การใช้ซ้ำ และการทำงานร่วมกัน)
  8. การสนับสนุน Social Media หมายความถึง คลัง OER ควรสนับสนุนการทำงานร่วมกับ Social Media เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดบนแพลตฟอร์ม และเพิ่มช่องทางการโต้ตอบสำหรับกลุ่มผู้ใช้ (บนฐานธีม การค้นหา การแบ่งปัน การใช้ซ้ำ และการทำงานร่วมกัน)
  9. Creative Commons Licences หมายความถึง การระบุประเภทของเงื่อนไขภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons Licences) แก่ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดหรือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิ์ใช้งานเฉพาะประเภท สำหรับทรัพยากรฯ ทั้งหมด (บนฐานธีม การค้นหา การใช้ซ้ำ และการทำงานร่วมกัน)
  10. ซอร์สโค้ด หรือ ไฟล์ต้นฉบับ หมายความถึง การอนุญาตให้ดาวน์โหลดซอร์สโค้ด หรือ ไฟล์ต้นฉบับของทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดในคลัง OER เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ (บนฐานธีม การใช้ซ้ำ และการทำงานร่วมกัน)

Atenas และ Havemann (2013) ยังได้วิเคราะห์คลัง OER จำนวน 80 คลัง ในภูมิภาคต่างทั่วโลก (ในจำนวนนี้แบ่งเป็น คลัง OER ระดับสถาบัน 50% ; คลัง OER ระดับชาติ 23.75% ; คลัง OER ระดับความร่วมมือระหว่างสถาบัน 20% ; คลัง OER ระดับนานาชาติ 3.75%) เพื่อประเมินคุณภาพของคลังดังกล่าวด้วยตัวชี้วัดสำหรับการประกันคุณภาพของคลัง OER ทั้ง 10 ตัว พบว่า

  • ตัวชี้วัด คำสำคัญ (Keyword) คือ สิ่งที่คลัง OER ปัจจุบันให้การสนับสนุนหรือรองรับมากที่สุด (75 จาก 80 คลัง OER ที่สำรวจ)
  • ตัวชี้วัด Creative Commons licensing ความเป็นเจ้าของผลงาน (Authorship) และ การสนับสนุน Social Media พบว่ามีในคลัง OER ที่สำรวจ มากกว่าครึ่ง
  • ส่วนตัวชี้วัดที่พบว่ามีน้อยกว่าครึ่ง แต่มากกว่า 1 ใน 4 ของคลัง OER ที่สำรวจ หรือมีเพียง 20 คลังที่พบ คือ เมทาดาทา, เครื่องมือประเมินสำหรับผู้ใช้, ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดที่โดดเด่นและน่าสนใจ, การสนับสนุนภาษาที่แตกต่างกัน, ซอร์สโค้ด หรือ ไฟล์ต้นฉบับ
  • ขณะที่ การพิจารณาตรวจสอบโดยผู้รู้ (Peer review) คือ ตัวชี้วัดที่พบน้อยที่สุดในคลัง OER ที่สำรวจ โดยพบเพียง 8 คลัง จากทั้งหมด 80 คลัง

ทั้งนี้ในส่วนของคลัง OER ในเอเชียที่สำรวจ พบว่า ตัวชี้วัดสำหรับการประกันคุณภาพของคลัง OER ที่พบว่ามีหรือรองรับ ได้แก่

  1. Creative Commons Licences
  2. การสนับสนุนภาษาที่แตกต่างกัน
  3. เมทาดาทา ซึ่งที่พบคือ Dublin Core และ Learning Object Metadata
  4. คำสำคัญ และ
  5. ความเป็นเจ้าของผลงาน (Authorship)

ส่วนตัวชี้วัดการประกันคุณภาพของคลัง OER ที่ยังไม่พบหรือรองรับ ได้แก่

  1. ซอร์สโค้ด หรือ ไฟล์ต้นฉบับ
  2. การสนับสนุน Social Media
  3. การพิจารณาตรวจสอบโดยผู้รู้ (Peer review) เนื่องจากการต้องใช้ทรัพยากร เช่น ค่าตอบแทน
  4. เครื่องมือประเมินสำหรับผู้ใช้
  5. ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดที่โดดเด่นและน่าสนใจ เนื่องจากไม่พบความชัดเจนเรื่องคุณลักษณะของทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดกับการคัดเลือกว่าต้องมีคุณลักษณะอย่างไร คลัง OER โดยทั่วไปไม่ได้ระบุว่าการคัดเลือกทรัพยากรการศึกษาแบบเปิดพิจารณาบนหลักเกณฑ์ใด เช่น การเน้นเฉพาะทรัพยากรฯ โดยคำนึงถึงผู้ใช้ในพื้นที่หรือท้องถิ่นของคลัง OER นั้นๆ หรือ คำนึงจากความเชี่ยวชาญในแง่เนื้อหาของผู้พัฒนาคลังหรือผู้สร้างสรรค์ทรัพยากรฯ

ที่มา

Atenas, J., & Havemann, L. (2013). Quality assurance in the open: an evaluation of OER repositories. The International Journal for Innovation and Quality in Learning, 1(2), 22–34.