พรรณไม้ป่าฮาลา-บาลา

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ได้สนับสนุนการจัดพิมพ์หนังสือพรรณไม้ป่าฮาลา-บาลา เพื่อใช้เป็นเอกสารทางวิชาการและเป็นพื้นฐานข้อมูลประกอบงานวิจัย และเพื่อเผยแพร่ในกิจการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เหมาะสำหรับนักวิจัย นักธรรมชาติวิทยา เยาวชน และผู้ที่สนใจเข้าไปศึกษาพรรณพืชในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนสืบไป

หนังสือ “พรรณไม้ในป่าฮาลา-บาลา” เล่มนี้ เป็นผลการศึกษาสำรวจทางด้านพฤกษศาสตร์และการรวบรวมพันธุ์ไม้หายาก ตามโครงการสำรวจและรวบรวมพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับป่าภาคใต้ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ในพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสาระสำคัญได้บรรยายถึงลักษณะของพรรณไม้แต่ละวงศ์พืชที่พบจำนวน 126 วงศ์ พร้อมแจกแจงภาพประกอบในแต่ละวงศ์ เช่น วงศ์กุหลาบป่า วงศ์โป้ยกั๊ก วงศ์พญาไม้ วงศ์โพธิ์สามหาง วงศ์ขิงข่า และวงศ์กล้วยไม้ เป็นต้น เพื่อความรู้และเข้าใจที่ถูกต้อง

 

รายงานการประชุมนานาชาติ เรื่อง The Ethics of Science & Technology and Sustainable Development

รายงานการประชุมนานาชาติ เรื่อง The Ethics of Science & Technology and Sustainable Development
ระหว่างวันที่ 5-6 กรกฎาคม 2562 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ

Open Access Publishing in European Networks (OAPEN)

OAPEN Online Library (OAPEN) แพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบเปิด (OA books) ที่ผ่านการ peer-reviewed แล้ว แพลตฟอร์มนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ OAPEN Foundation ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจาก European Union’s Horizon 2020 research and innovation program และมีพันธมิตรจากหลายองค์กร อาทิ Open Edition Ubiquity Press OCLC Google Scholar SCOSS OASPA และ OA Books Network เป็นต้น หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ให้บริการบน OAPEN เจ้าของผลงานสามารถเลือกใช้สัญญาอนุญาตแบบเปิดคือ Creative Commons (cc) ซึ่งผู้ใช้ปลายทาง (ผู้อ่าน) สามารถ อ่าน ดาวน์โหลด พิมพ์ หรือทำสำเนาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของผลงานเลือก เงื่อนไขใดของ cc ด้วย ผลงานใดๆ ที่เจ้าของไม่ได้ระบุสัญญาอนุญาต cc ไว้ ให้ถือว่าผลงานนั้นๆ อยู่ภายใต้ OAPEN Deposit Licence คือ สงวนลิขสิทธิ์ ผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้อ่านงานออนไลน์ ดาวน์โหลด พิมพ์ และสำเนา เพื่อการใช้ส่วนตัว ภายใต้กรอบกฏหมายลิขสิทธิ์ของแต่ละประเทศ
การสืบค้นหนังสือหรือบทในหนังสือสามารถทำได้ตั้งแต่หน้าแรก (ดังตัวอย่างรูปภาพด้านล่างนี้) และสามารถไล่เรียงหนังสือจาก หัวเรื่อง สำนักพิมพ์ ภาษา และคอลเลคชั่น

หนังสือใน OAPEN แม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบเปิด Creative Commons (cc) แต่เจ้าของผลงานอาจเลือกเงื่อนไขภายใต้ cc ไม่เหมือนกัน ซึ่งเจ้าของผลงานจะระบุไว้ชัดเจน หากไม่ได้กำหนดไว้ OAPEN กำหนดให้ใช้ OAPEN Deposit Licence ตัวอย่างเช่น

รูปภาพที่ 1 ตัวอย่าง cc แบบ CC BY 4.0 คืออนุญาตให้อ่าน ดาวน์โหลด พิมพ์ ทำสำเนาหรือแก้ไขได้ แต่ควรใส่เครดิตเจ้าของผลงาน


รูปภาพที่ 2 ตัวอย่าง cc แบบ CC BY-NC-SA 3.0 คืออนุญาตให้อ่าน ดาวน์โหลด พิมพ์ ทำสำเนาหรือแก้ไขได้ แต่ต้องไม่ใช่เพื่อการค้า หรือแสวงหารายได้ เครดิตเจ้าของผลงาน และหากมีปรับแก้ ขอให้ใช้สัญญาอนุญาติเงื่อนไขแบบเดียวกัน

รูปภาพที่ 3 ตัวอย่างกรณีเจ้าของผลงานไม่ได้ระบุ หรือเลือกใช้ OAPEN Deposit Licence คือ สงวนลิขสิทธิ์ แต่ยังคงอนุญาตให้อ่าน ดาวน์โหลด พิมพ์ ทำสำเนาได้ แต่เพื่อการใช้ส่วนตัวเท่านั้น

บริการอื่นๆ ของ OAPEN

OAPEN ทำงานร่วมกับสำนักพิมพ์เพื่อสร้างคอลเลคชั่นหนังสือแบบเปิดที่มีคุณภาพ และให้บริการแก่สำนักพิมพ์ ห้องสมุด และหน่วยงานให้ทุนวิจัยในด้านการเผยแพร่ การประกันคุณภาพ และการสงวนรักษาแบบดิจิทัล

การประกันคุณภาพ

OAPEN รีวิวสำนักพิมพ์เพื่อให้แน่ใจว่าหนังสือทั้งหมดผ่านกระบวนการพิจารณาบทความ (peer review)
OAPEN รีวิวสำนักพิมพ์เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งพิมพ์ผ่านกระบวนการพิจารณาบทความตามมาตรฐานวิชาการ
OAPEN ตีพิมพ์/เผยแพร่กระบวนการพิจารณาบทความที่เว็บไซต์ของ OAPEN
OAPEN เป็นสมาชิกของ OASPA และทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวเพื่อพัฒนาข้อกำหนดและมาตรฐานสำหรับหนังสือวิชาการ

บริการจัดเก็บสิ่งพิมพ์แบบเปิด
OAPEN รองรับนโยบายด้าน OA ของหน่วยงานผู้ให้ทุน เพื่อให้นักวิจัยและสำนักพิมพ์สามารถนำเข้าสิ่งพิมพ์ตามนโยบายของผู้ให้ทุน นอกจากนี้ ยังได้ปรับใช้มาตรฐานเมทาดาทา การจัดหมวดหมู่ และช่องทางการเผยแพร่เพื่อให้สอดคล้องกับประเภทของสื่อที่จัดเก็บใน OAPEN Library เช่น หนังสือวิชาการ บทความ หรือบทของหนังสือ เป็นต้น

การเผยแพร่
OAPEN ได้จัดเตรียมเมทาดาทาหลากหลายรูปแบบเพื่อให้สามารถเผยแพร่สื่อบน OAPEN ได้อย่างเหมาะสม
OAPEN ให้บริการเมทาดาหลากหลายรูปแบบ เช่น ONIX 3.0 MARC21 MARCXML CSV สำหรับห้องสมุดและผู้ให้บริการอื่นๆ
OAPEN ทำงานร่วมกับ ProQuest (Serial Solutions) ExLibris (Primo Central) และ EBSCO Discovery Service หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ยังสามารถสืบค้นได้ใน WorldCat และผ่าน search engine ชื่อ BASE (Bielefeld Academic Search Engine) นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น aggregator ให้กับ Europeana อีกด้วย
ห้องสมุดและ aggregators สามารถเก็บเกี่ยวเมทาดาทาโดยใช้โปรโตคอล OAI ได้
OAPEN.org ถูกออกแบบมาให้ทำงานกับ search engines (โดยใช้ site map) และถูกทำดัชนีโดย Google Scholar

การสงวนรักษาแบบดิจิทัล
OAPEN Library เลือกใช้ OSS อย่าง DSpace ในการบริหารจัดการคอลเลคชั่น ซึ่งโฮสโดย Huma-Num และทำงานร่วมกับ Portico เพื่อการสงวนรักษาแบบดิจิทัล

OAPEN เป็นแพลตฟอร์มที่เน้น open content และ open access เน้นสิทธิ์การเข้าถึงและสิทธิ์การใช้งานภายใต้สัญญาอนุญาต cc ที่มีหลากหลายเงื่อนไข ให้เจ้าของผลงานได้เลือกใช้ เพื่อสร้างคอลเลคชั่นแบบเปิดที่ผ่านการกระบวนการพิจารณาบทความหรือคุณภาพ (peer review) แล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยสนับสนุนการเข้าถึงสื่อสิ่งพิมพ์แบบเปิด เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการค้นคืน (retrievability) และการกระจายความรู้สามารถไปได้กว้างไกลขึ้น

ที่มา

บทความนี้เรียบเรียงและสรุปเนื้อหา และรูปภาพจาก https://www.oapen.org/

 

 

 

 

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนมิถุนายน 2563

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน มิถุนายน 2563

อุปกรณ์ตรวจหาโคโรนาไวรัสด้วยตนเอง
COVID-19 เป็นโรคที่สามารถแพร่เชื้อและระบาดได้ง่าย เนื่องจากไวรัสสามารถถูกส่งผ่านละอองน้ำลาย และใช้เวลาหลายวันกว่าที่ผู้ติดเชื้อจะแสดง
อาการ มาตรการหนึ่งในการรับมือกับวิกฤตการระบาดครั้งนี้ คือ การตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด และแยกพวกเขาออกจากผู้อื่นก่อนที่
พวกเขาจะแพร่เชื้อให้แก่คนอื่นๆ ดังนั้น อุปกรณ์ตรวจหาเชื้อไวรัสจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลายบริษัทและหน่วยงานพยายามคิดค้นพัฒนาขึ้น
กฏ
Emergency use Authorization (EUA)
กฏ EUA เป็นกฏหมายที่ช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีความคล่องตัวในการรับมือความเสี่ยงต่อสาธารณะที่เกิดจากสารเคมี ชีวภาพ รังสี และนิวเคลียร์
(Chemical, Biological, Radiological and Nuclear – CBRN) โดยเปิดให้มีการพัฒนาและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ อนุญาตการใช้ยาหรือ
อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติด้วยกระบวนการตรวจสอบปกติซึ่งใช้เวลายาวนาน เพื่อรับมือการระบาดของ
COVID-19

อุปกรณ์ตรวจหาไวรัสตามบ้าน
สิ่งสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์ตรวจหาไวรัสคือ ความแม่นยำในการวิเคราะห์ โดยมีค่าวัด
2 อย่างคือ sensitivity และ specificity โดยอุปกรณ์ที่
ใช้ตามบ้านจะต้องมีความแม่นยำเช่นเดียวกับอุปกรณ์ที่ใช้ที่โรงพยาบาลหรืออุปกรณ์ที่ใช้โดยผู้ให้บริการทางการแพทย์


อุปกรณ์ตรวจหาโคโรนาไวรัสด้วยตนเอง
การตรวจหาโคโรนาไวรัสมี
2 แบบ คือ การตรวจหาโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนประกอบของเชื้อ (Molecular testing) และ การตรวจสอบทางภูมิคุ้มกัน
ร่างกาย
(Serology test)
1. การตรวจหาโมเลกุลซึ่งเป็นส่วนประกอบของเชื้อ (Molecular testing) ใช้วิธีเก็บตัวอย่างโดยเก็บจากน้ำลาย ตัวอย่างจากจมูก หรือในคอของ
ผู้้ใช้ เช่น อุปกรณ์
Pixel
2. การตรวจสอบทางภูมิคุ้มกันร่างกาย (Serology test) ใช้ตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะ โดยผู้ใช้จะใช้ก้านเก็บตัวอย่างเลือดโดยเจาะที่ปลายนิ้ว
หรือปัสสาวะ จากนั้นให้ผู้ใช้ถ่ายรูปผลแสดงจากก้านสำลีพันปลายไม้เก็บตัวอย่างและส่งรูปไปให้บริษัทวิเคราะห์ผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งผลวิเคราะห์
จะถูกส่งกลับภายในไม่กี่ชั่วโมง

อุปกรณ์ปกป้องอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protection Equipment-PPE กับวิกฤตอุปกรณ์ขาดตลาดที่นำไปสู่นวัตกรรมการ
ผลิตตามบ้าน

อุปกรณ์ปกป้องอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protection Equipment – PPE) เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นโดยเฉพาะกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ซึ่ง
ต้องเผชิญกับผู้ติดเชื้ออยู่ตลอดเวลา

ประเภทของอุปกรณ์ PPE
หน้ากาก เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ปลายประเทศทั่วโลกบังคับให้ประชาชนใช้เมื่อต้องออกจากบ้าน หน้ากากมีหลายประเภทและมีความสามารถในการ
ป้องกันเชื้อไวรัสได้แตกต่างกัน
หน้ากาก
N-95 เป็นหน้ากากที่สามารถป้องกันละอองฝุ่นที่อนุภาคเล็กถึง PM2.5 มากถึง 95% แม้ว่าจะเป็นหน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการกรองสูง
แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้บุคคลทั่วไปใส่หน้ากากชนิดนี้ เพราะทำให้หายใจได้ลำบากก่อให้เกิดอันตรายด้านอื่นหากไม่มีความจำเป็นต้องใช้
หน้ากากอนามัย สามารถป้องกันละอองน้ำลายออกจากหน้ากากมากกว่าการป้องกันไม่ให้ละอองน้ำลายเข้าสู่ปากและจมูก ซึ่งแม้ว่าหน้ากากอนามัย
จะเหมาะสำหรับผู้ที่ติดเชื้อมากกว่า แต่สำหรับผู้ที่แข็งแรงดีก็สามารถใช้ได้เพราะอย่างน้อยก็สามารถป้องกันละอองต่างๆ ได้บ้าง
หน้ากากผ้า จริงๆ แล้วหน้าการผ้าไม่สามารถป้องกันความชื้นได้และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ติดค้างอยู่ในหน้ากาก อย่างไรก็ตามหากไม่สามารถ
หาหน้ากากชนิดอื่นได้ การใช้หน้ากากผ้าก็ช่วยป้องกันฝุ่นละอองขนาดใหญ่ได้


นวัตกรรมกับหน้ากาก
แว่นป้องกันตาและ
Face shield หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าไวรัส Covid-19 สามารถติดต่อได้ทางดวงตาหากมีละอองน้ำลายเข้าดวงตา
แว่นป้องกันตาและ
Face shield กลายเป็นหนึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นในช่วงวิกฤต แว่นตาป้องกันมีข้อดีคือสามารถปกป้องดวงตาได้อย่างดี แต่ไม่สามารถ
ป้องกันส่วนอื่นๆ ของใบหน้าและหากใส่นานๆ ทำให้เกิดการระคายเคืองของผิว ในขณะที่
face shield สามารถป้องกันส่วนอื่นๆ ของใบหน้าได้และ
สวมใส่สบายกว่า แต่ก็ไม่สามารถป้องกันละอองต่างๆ ได้เต็มที่  เมื่อแว่นป้องกันตาและ
Face shield เป็นอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ยาก นักประดิษฐ์ทั่วโลก
จึงหาวิธีผลิตอุปกรณ์ด้วยเครื่องพิมพ์
3 มิติ ออกมาในรูปแบบต่างๆ ชุดป้องกันเชื้อแม้ว่าจะใช้กันเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ แต่ชุดป้องกัน
เชื้อที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ ชุดป้องกันเชื้อสามารถทำเองโดยใช้แผ่นพลาสติกขนาดใหญ่ตัดเย็บตามแบบแพทเทิร์นชุดป้องกันเชื้อ

Surveillance tech เทคโนโลยีเพื่อการสอดส่องตรวจตรา กับการต่อสู้กับ COVID-19

ตัวอย่างเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้เพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19
– Machine learning และเทคโนโลยีปีญญาประดิษฐ์ เช่น แอพพลิเคชั่น Alipay ในโทรศัพท์มือถือที่มี algorithm ในการระบุระดับความเสี่ยงของ
แต่ละบุคคลโดยใช้รหัสสีและกำหนดพื้นที่ที่บุคคลนั้นสามารถเดินทางต่อไปได้
– เทคโนโลยีติดตามตำแหน่งของบุคคล เทคโนโลยีบนโทรศัพท์มือถือหรือ
social media platform นี้จะติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ โดยหากมีการ
เดินทางออกนอกเขตที่ได้รับอนุญาต ระบบจะส่งสัญญาณเตือนผู้ใช้และแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบเพื่อดำเนินการ
– การใช้โดรนบินลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบว่ามีประชาชนเดินทางในช่วงเวลาเคอร์ฟิว หรือมีการจับกลุ่มกันมากกว่าจำนวนที่ทางการกำหนดหรือไม่
– การใช้
Bluetooth เพื่อตรวจสอบหากมีประชาชนอยู่ใกล้กันเกินกว่า 6 ฟุต เช่น TraceTogether ของประเทศสิงคโปร์


การใช้เทคโนโลยีเพื่อการสอดส่องตรวจตรากับประเด็นทางกฏหมาย

รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชน บางครั้งจำเป็นต้องจำกัดสิทธิบางประการของประชาชนเพื่อให้การปฏิบัติงานของ
รัฐบาลเกิดผล การสอดส่อง ตรวจตรา และควบคุมพฤติกรรมประชาชน หากทำมากเกินไปก็จะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้อง
แสดงให้เห็นว่ามาตรการต่างๆ มีความจำเป็น ได้รับการรับรองทางกฎหมาย การดำเนินงานต้องมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ และเกิดผลดี
มากกว่าผลเสีย


การใช้ข้อมูลตำแหน่งส่วนบุคคลกับสิทธิส่วนบุคคล

หลายประเทศมีการใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือในการตรวจสอบตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของประชาชนเพื่อลดการระบาดของ COVID-19 ประเทศ
ออสเตรเลีย เบลเยียม อิตาลี สหราชอาณาจักร และเยอรมนี รายงานว่ารัฐบาลมีการเก็บข้อมูลตำแหน่งส่วนบุคคลจากบริษัทด้านโทรคมนาคม โดยข้อมูล
ดังกล่าวไม่สามารถระบุตัวตนของผู้ใช้  แต่บางประเทศมีการใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือโดยที่ไม่มีการป้องกันการระบุตัวตน เช่น รัฐบาลเอกวาดอร์ได้
อนุมัติให้มีการใช้ข้อมูล
GPS ในการบังคับให้ประชาชนกักตัวอยู่ในที่พัก ประเทศอิสราเอลมีการใช้ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือในการติดตามผู้ติดเชื้อไวรัส
และมีการส่งข้อความไปเตือนคนอื่นๆ หากมีการใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ แม้ว่าตอนนี้จะมีเหตุผลเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่ในอนาคตข้อมูลเหล่านี้อาจถูกนำ
ไปใช้เพื่อเหตุผลอื่นๆ เช่น รัฐบาลสามารถใช้ข้อมูลนี้ตรวจสอบว่ามีการรวมตัวกันเพื่อประท้วงหรือไม่ หรือนำเอาข้อมูลระบุตำแหน่งใช้ร่วมกับเทคโนโลยี
face recognition เพื่อติดตามผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล


Survillance tech เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Big Data อำนาจควบคุมที่เกิดจากข้อมูล


AI และ Big Data เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่หลายประเทศนำไปใช้ในการต่อสู้กับ COVID-19 สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการใช้เทคโนโลยีที่เกิดจากการ
รวมกันระหว่างเครื่องวัดอุณหภูมิกับเทคโนโลยีจดจำใบหน้าคนในที่สาธารณะ เพื่อตรวจจับการระบาดของไวรัส
Alibaba บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของ
จีน มีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลมาวิเคราะห์และระบุสถานะทางสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วยระบบสี เช่น สีเขียวหมายถึงปลอดภัย สีเหลืองหมายถึง
อยู่ระหว่างการดูอาการ
7 วัน และสีแดงคือคนที่อยู่ในช่วงการกักตัว 14 วัน เทคโนโลยี AI และ Big Data ก่อให้เกิดอำนาจที่ยากแก่การต้านทานแก่
รัฐบาล หน่วยงาน หรือบริษัทผู้ครอบครองข้อมูล ส่งผลให้ประชาชนสูญเสียสิทธิส่วนบุคคล เพราะเราไม่สามารถรู้เกี่ยวกับการนำเอาข้อมูลไปใช้หรือ
ควบคุมผู้ที่มีข้อมูลในมือได้ ซึ่งรัฐบาลควรที่จะให้ความสำคัญในการเก็บ การใช้ประโยชน์ และการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อป้องกันสิทธิของ
ประชาชนทิ้งระหว่างและหลังเหตุการณ์ระบาดของไวรัส


บทบาทของบริษัทเอกชน

แม้ว่าบริษัทเอกชนจะมีเทคโนโลยีและบริการล้ำสมัยสามารถนำไปใช้ในการรับมือวิกฤตโรคระบาดได้ แต่อาจเกิดความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ตัวอย่างเช่น บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งของอิสราเอล ชื่อ
NSO Group มีประวัติเคยขายข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าให้แก่รัฐบาลที่ฉ้อฉล ขณะนี้ได้โฆษณาขาย
เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ช่วยในการตรวจจับการเคลื่อนที่ของประชากร หากรัฐบาลเลือกใช้สินค้าและบริการของบริษัทนี้ เป็นที่กังวัลว่าบริษัทนี้จะใช้
ข้อมูลของประชาชนเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจอย่างที่เคยทำอีกหรือไม่ สิ่งที่ควรพิจารณาในการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในช่วงวิกฤตเช่นนี้มีสองประการคือ
1. ต้องพยายามมงข้อจำกัดเช่นกัน เช่น หากเราไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในมือ เรามีทางเลือกอื่นใดบ้าง และทางเลือกไหนมีประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคล
และสังคมส่วนรวมมากที่สุด
2. การเลือกใช้เทคโนโลยีต้องยึดเป้าหมายสร้างสรรค์ หรือเพื่อประโยชน์สุขเป็นสำคัญ เช่น ด้านการป้องกันโรคระบาด การรักษาความสงบเรียบร้อยของ
สังคม และการอำนวยประโยชน์ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เช่น การจ่ายเงินเยียวยา ลงทะเบียนคนจน/คนเดือดร้อน การให้ข้อมูลและการเก็บข้อมูล
ส่วนบุคคล โดยเฉพาะข้อมูลทุกอย่างถูกโยงกันไว้ในระบบอภิมหาข้อมูล
(Big data) ที่ทำให้ข้อมูลมนุษย์สามารถเคลื่อนย้ายไปมาในระบบสืบค้นที่
เชื่อมต่อกันมากมายและหลากหลาย ที่มีอุปกรณ์คือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเมื่อตกไปในเงื้อมมือของผู้ไม่หวังดี ทั้งในระดับฮาร์ดแวร์ (แบบเอาไปทั้งเครื่อง)
หรือในระดับซอฟต์แวร์ (แฮกล้วงเอาข้อมูล) อาจทำให้ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น กรณีมีคนแอบอ้างมาจากสถานกักตัว จะเอาโทรศัพท์มาให้ ซึ่งเพียง
เสียบซิมเข้าไป สักพักเงินก็ไหลไปและไม่ย้อนคืนมาอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้น ในความสะดวกสบาย จึงมีความวุ่นวายอยู่เช่นกัน

บทบาทของหุ่นยนต์ในยุคโควิด-19

แม้ว่าช่วงก่อนที่มนุษย์จะรู้จักับไวรัสโคโรนา เทคโนโลยีหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ แทนที่มนุษย์เพราะหุ่นยนต์สามารถทำงานได้แม่นยำกว่า
ทำงานได้ต่อเนื่องไม่เหนื่อย ค่าใช้จ่ายถูกกว่าการใช้แรงงานมนุษย์ เมื่อมนุษย์ถูกคุกคามด้วยไวรัสร้าย เทคโนโลยีหุ่นยนต์ได้ทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
เพราะสามารถทำงานหลายอย่างแทนได้ เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นในห้างสรรพสินค้า หุ่นยนต์คัดแยกขยะ หุ่นยนต์ส่งของ เป็นต้น

บทบาทของหุ่นยนต์ในยุคโควิด – 19
16 ประเทศ ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ เช่น การใช้โดรนและอุปกรณ์ภาคพื้นดินในการตรวจตรา
พฤติกรรมของประชาชน การทำความสะอาดสถานที่สาธารณะต่างๆ การระบุหาตัว ผู้ติดเชื้อ ฯลฯ
7 ประเทศ มีการใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ในการให้บริการทางการแพทย์ เช่น การทำความสะอาดสถานที่ให้บริการทางการแพทย์ การให้บริการทาง
การแพทย์ทางไกล การจ่ายยาและส่งอาหารให้ผู้ป่วย ฯลฯ
7 ประเทศ ใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์เพื่อการทำงาน การพัฒนาคุณภาพชีวิต และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การใช้หุ่นยนต์ในการจัดส่งของ เพื่อการ
ติดต่อสื่อสาร และการค้าขายในระบบดิจิตอล
5 ประเทศ มีการใช้หุ่นยนต์ในป้องทดลองและห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) เช่น การจัดส่งสินค้าในโรงงานและบริษัทผู้จำหน่าย การขนส่ง
อุปกรณ์ติดเชื้อ หุ่นยนต์ในการผลิตอุปกรณ์
PPE ฯลฯ
3 ประเทศ ใช้หุ่นยนต์ในการให้การดูแลผู้ป่วยนอกสถานพยาบาล เช่น การจัดส่งยาให้แก่ผู้ที่อยู่ระหว่างการกักตัวดูอาการ และการตรวจสอบ
หาผู้ติดเชื้อ ฯลฯ ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจในการนำเอาเทคโนโลยีหุ่นยนต์มาใช้ในช่วงวิกฤตการระบาดของโคโรนาไวรัส ไว้ดังนี้


หุ่นยนต์ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์แต่มาเป็นผู้ช่วย แม้ว่าหุ่นยนต์จะมีบทบาทมากขึ้นในช่วง
COVID-19 พบว่าหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทในการทำ
ภารกิจที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การจัดส่งยา อาหาร และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแก่ผู้ป่วยที่ไม่ได้อยู่ในสถานพยาบาล ซึ่งเป็นการช่วย
ให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์สามารถรับมือกับโรคระบาดและจำนวนผู้ป่วยที่สูงมากขึ้นได้
เทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ถูกใช้งานในช่วงวิกฤตมักเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วก่อนการระบาด ในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงยอดผู้ป่วยสูงมาก
ผู้ให้บริการทางการแพทย์ไม่มีเวลาที่จะมาเรียนรู้และฝึกหัดการใช้เทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น เทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้จะเป็นเทคโนโลยีเดิมที่มีอยู่แล้ว
ผู้เคยผ่านการเรียนรู้และใช้งานมาบ้างแล้ว เช่น การประยุกต์ใช้โดรนที่ถูกใช้เพื่อการเกษตรกรรมมาใช้ในการตรวจตระเวนดูพฤติกรรมของผู้คนในที่
สาธารณะ
การกักตุนหุ่นยนต์ไม่เป็นประโยชน์แก่ใคร เพื่อเตรียมรับมือกับโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต หลายคนได้มีการกักตุนอุปกรณ์ป้องกันตัวเอง
เช่นหน้ากาก ถุงมือ ฯลฯ แต่การกักตุนหุ่นยนต์ที่ถูกออกมาเพื่อภารกิจในภาวะฉุกเฉินกลับไม่เป็นประโยชน์ เพราะเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในมีอายุการใช้งานเสื่อมตามกาลเวลา ตัวอย่าง คือ ระหว่างภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟูกูชิมะ
Japanese Atomic Energy Agency
ได้นำหุ่นยนต์ที่เก็บไว้มาใช้แทนที่มนุษย์ แต่ระบบของหุ่นยนต์กลับล้าสมัยและเกิดสนิมทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดการณ์ไว้
สำหรับประเทศไทย หุ่นยนต์ที่มีการผลิตออกมาจากหน่วยงานองค์กร ทั้งของภาครัฐและเอกชนมีหลากหลายโดยเฉพาะหุ่นวัดอุณหภูมิร่างกาย อาทิ
โรบอตสวัสดี เฮลตี้บอต โรบอตสยาม สเต็มบอต ฯลฯ บางตัวมาพร้อมกับเสียงเพลง ดังวิบวับ วิบวับ ให้คนไข้ผ่อนคลายลง และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำ
ให้สาธารณสุขไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก

COVID-19 กับเงินดิจิทัล
ที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายพยายามพัฒนาและนำเงินในรูปแบบดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนจากการใช้เงินสดไปสู่ระบบ
เงินดิจิทัลไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ นโยบายสาธารณะต่างๆ การพัฒนา
โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค

เทคโนโลยีการสื่อสารที่เชี่อมโยงเราระหว่างโควิด-19

เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานทางไกลและการทำงานจากที่บ้าน
เทคโนโลยีที่สำคัญ เช่น เครือข่ายส่วนตัวเสมือน
(Virtual Private Network : VPN) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากการทำงานกับคอมพิวเตอร์ที่บ้าน
ระบบ
voice over internet protocols (VoIPs) หรือการสื่อสารด้วยเสียงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ระบบการประชุมทางไกล (virtual meetings)
เช่น การประชุมผ่านระบบ Zoom หรือ WebEx เทคโนโลยี Cloud และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยให้เกิดการทำงานเป็นทีม แม้ว่าในช่วงต้น
หลายคนประสบปัญหาต่างๆ ในการทำงานจากบ้าน แต่เมื่อได้เรียนรู้และคุ้นเคยกับระบบเทคโนโลยีแล้ว พบว่า การทำงานจากบ้าน
มีประโยชน์หลายประการ
– พนักงานสามารถทำงานในสิ่งแวดล้อมและเวลาที่เหมาะสมกับตนเองและรูปแบบการดำเนินชีวิต ทำให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้เต็มที่ ทำงาน
ได้เร็วขึ้นและผิดพลาดน้อยลง งานวิจัยหนึ่งจาก
Univisity of Illinois พบว่า เมื่อได้โอกาสให้ทำงานอยู่ที่บ้าน พนักงานมีความตั้งใจทำงานมากกว่า
เดิมด้วยตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– นอกจากประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้นแล้ว บริษัทยังลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าดูแลอาคารสำนักงาน ค่าจ้างพนักงานบางตำแหน่ง ฯลฯ
– ผลดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม งานวิจัยพบว่า พนักงานทำงานจากที่บ้านมีความเครียดต่ำกว่าและสามารถรับประทานอาหารที่มีคุณภาพดีกว่า อีกทั้ง
การลดการเดินทางช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นเนื่องจากจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากยานพาหนะมีจำนวนน้อยลง

ระบบการเรียนทางไกล
โรงเรียนจำนวนมากเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นระบบทางไกลซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า ดังนั้น ระบบการเรียนการสอน
ทางไกลกลายเป็นสิ่งที่ทั้งผู้สอนและผู้เรียนต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จากสถิติพบว่า ทั่วโลกมีนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากการ
ปิดโรงเรียนถึง
1.38 พันล้านคน เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเรียนทางไกลไม่ต่างจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงานจากบ้าน 

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-jun2020.pdf

 

 

 

แนวปฏิบัติการพิจารณาทบทวนด้านจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์ พ.ศ. 2563

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดทำแนวปฏิบัติการพิจรณาทบทวนด้านจริยธรรมของการวิจัยในมนุษย์ ของคณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สวทช. (Operational Guideline) ฉบับ พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นภาพรวมของขั้นตอนทั้งหมด โดยอ้างอิงแนวทางของซีออมส์ ฉบับ พ.ศ. 2559 (CIOMS’ Guidelines 2016) และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562

ซึ่งผู้วิจัยสามารถยึดเป็นแนวปฏิบัติในการยื่นขอรับการพิจารณาจากคณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สวทช. และนำไปปรับใช้ให้เกิดความเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเมื่อโครงการวิจัยได้รับอนุติให้ทำการศึษาวิจัยแล้ว ผู้วิจัยจะมีการดำเนินการได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนตามหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์

ดาวน์โหลดหนังสือ

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนพฤษภาคม 2563

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน พฤษภาคม 2563

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในลาตินอเมริกา

เมื่อช่วงปลายปี 2562 ต่อปีใหม่ 2563 โลกทั้งโลกจับตามองการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งเริ่มต้นจากนครอู่ฮั่นในจีน ในช่วยที่แผ่นดินจีน
อยู่ในช่วงฤดูหนาวแล้วค่อยๆ แพร่ระบาดผ่านเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างไทย (13 มกราคม) ญี่ปุ่น (16 มกราคม) เกาหลี (20 มกราคม) ในขณะที่
นอกทวีปเอเชียอย่างทวีปยุโรป การแพร่ระบาดเริ่มแพร่ไปยังประเทศต่างๆ ที่มีนักท่องเที่ยว หรือคนเชื้อชาติจีนเดินทางเข้าไป หรือมีคนชาตินั้นๆ
เดินทางกลับจากจีน อาทิ ฝรั่งเศส (17 มกราคม) รัสเซียและสหรัฐอเมริกา (21 มกราคม) จนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ โควิด-19 ได้ค่อยๆ
เจาะเข้าไปในทวีปต่างๆ จนเกือบหมดสิ้น และเริ่มมีกระแสของการกลายพันธุ์ ที่ว่ากันว่าการระบาดที่หนักมากขึ้นในตอนเหนือของอิตาลีของ
ไวรัสที่กลายพันธุ์จะมีความรุนแรงกว่าต้นกว่าต้นตระกูลที่เกิดขึ้นในจีน การแพร่กระจายในยุโรปที่มีตัวเลขพุ่งอย่างน่าตกใจจนวันที่อิตาลีใกล้แซง
ยอดผู้ป่วยจีนขึ้นมาเป็นที่หนึ่ง ตัวเลขยอดผู้ป่วยในซีกโลกใหม่ โดยเฉพาะสหรัฐฯ พุ่งแรงแซงไม่มีประเทศไหนจะเทียบได้ในปัจจุบัน

มาตรการที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ของรัฐบาลประเทศในลาตินอเมริกา

ประเทศในลาตินอเมริกาได้ดำเนินการใช้มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาด การตรวจหาเชื้อ การรักษาผู้ป่วย ตลอดจนการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

1. มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ของประเทศในลาตินอเมริกา
ได้ใช้แนวทางในการป้องกันเช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วยการป้องกันภายในสังคมที่ใช้มาตรการกักตัวอยู่กับบ้านและการรักษา
ระยะห่างทางสังคม การบังคับให้ใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านมาตรการห้ามการเดินทาง หลายประเทศในลาตินอเมริกา ได้ทยอยปิดสนามบิน
นานาชาติ ยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะลาตินอเมริกาที่มีเส้นทางการบินเชื่อมต่อกับอเมริกาเหนือและยุโรปใต้ที่เป็นแหล่งระบาดใหญ่
กรณีของเปรู สั่งปิดพรมแดนทุกช่องทาง รวมถึงประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้าน อนุญาตให้ออกนอกบ้านได้เฉพาะที่จำเป็น เช่น ซื้ออาหาร
ธนาคาร ไปได้ครั้งละ 1 คน/ครอบครัว ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และวันอาทิตย์ห้ามออกจากบ้าน กรณีรัฐบาลเม็กซิโก จัดทำโซนใน
ระบบฐานข้อมูลโดยใช้ระบบสีเป็นเครื่องหมายเริ่มใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2563 แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 พื้นที่สีแดง เมื่อมีระดับผู้เข้ารับการรักษาเนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 ที่ร้อยละหรือมากกว่าร้อยละ 65
ระยะที่ 2 พื้นที่สีส้ม เมื่อมีผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลลดต่ำลงน้อยกว่าร้อยละ 65
ระยะที่ 3 พื้นที่สีเหลือง เมื่อมีผู้เข้ารับการรักษาพยาบาลลดต่ำลงน้อยกว่าร้อยละ 50 จะมีการผ่อนคลายการกักตัวในที่พักอาศัย
ระยะที่ 4 พื้นที่สีเขียว การกลับเข้าสู่ความปกติใหม่ (New normal) เต็มรูปแบบ เมื่อมีจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลลดลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างน้อยเป็นเวลา 1 เดือน

2. มาตรการการตรวจและรักษา

การทำงานร่วมกับองค์การอนามัยโลก
มาตรการตรวจเชื้อ
ชุดตรวจโควิด-19 ของลาตินอเมริกา ได้รับมาตรฐานของบราซิล สามารถตรวจหาเชื้อภายใน 1 นาที
มาตรการการรักษา
กระทรวงสาธารณสุขอาร์เจนตินาแถลงว่าจะมีการรักษาโรคติดเชื้อโควิด -19 โดยใช้พลาสมาจากผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วและบริจาคโลหิตให้แก่
ธนาคารโลหิตทั่วประเทศมาตรการที่เกี่ยวข้องกับโควิด – 19 ของรัฐบาลประเทศในลาตินอเมริกา
มีการศึกษาวิจัยการใช้วัคซีน BCG ซึ่งเป็นวัคซีนรักษาวัณโรค เพื่อต้านเชื้อโควิด – 19 มีการสกัดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และสารโปรตีนออกจาก
เชื้อโควิด – 19เพื่อพัฒนาในการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลและเชื้อโควิด – 19 ในขณะเดียวกัน มาตรการต่อผู้ป่วยที่ปลอดเชื้อแล้ว
ชิลีมีแนวทางการดำเนินการสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีเชื้อโดยรัฐบาลชิลีได้ออกบัตร Discharged Card ให้แก่ผู้ติดเชื้อโควิดที่รักษาหายแล้ว
และ/หรือครบกำหนดกักตัว 14 หรือ 21 วันตามกรณี โดยเป็นบัตรยืนยันบุคคลดังกล่าวปลอดโรคแล้วออกให้สำหรับผู้ที่ออกจากโรงพยาบาล
หรือรักษาโรคหายแล้วเท่านั้น เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สามารถกลับไปทำงานและใช้ชีวิตได้ตามปกติได้

3. มาตรการการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ประเทศในลาตินอเมริกาเป็นกล่มประเทศที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจสูง ในส่วนของรัฐบาลเปรู ได้รับผลกระทบหนัก ได้มีกำหนดการ
เปิดเศรษฐกิจใหม่ 4 ระยะแต่ละระยะมีเวลา 1 เดือน ประเทศเอกวาดอร์ เป็นประเทศที่ลำบากจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้มากที่สุด รายได้หลักจากการ
ส่งออกน้ำมันดิบ ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบตกทำให้เอกวาดอร์ไม่มีเงินที่จะแก้ปัญหาโรคระบาดได้โดยลำพัง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ
IMF ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือฉุกเฉินแก่เอกวาดอร์จำนวน 643 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อใช้รับมือกับการระบาดของโรค  การให้ความช่วยเหลือ
คนไทยในลาตินอเมริกา

– สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก

ท่ามกลางสถานการณ์การระบาด ของเชื้อโควิด – 19 ในชิลีและประเทศข้างเคียง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง
และให้กำลังใจพี่น้องชาวไทยในชิลีทุกคนให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด – 19 ไปด้วยกัน “มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมต้าน เดินหน้าก้าวผ่าน ไม่ทอดทิ้งกัน”
สถานเอกอัครราชทูตฯ มอบถุงยังชีพและหน้ากากอนามัยให้แก่พี่น้องชาวไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 เริ่มจาก
ชุมชนคนไทยในกรุงซันติอาโกซึ่งมีจำนวนมากที่สุดในชิลี และได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการสั่งปิดพื้นที่ การรักษาระยะห่างทางสังคม
และเคอร์ฟิวของรัฐบาล รวมถึงนักท่องเที่ยว และนักเรียนที่ยังกลับไทยไม่ได้

– สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส

ตั้งแต่พบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ในช่วงต้นเดือน มีนาคม 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในอาร์เจนตินา
และได้ประกาศข่าวประชาสัมพันธ์มาตรการที่มีผลกระทบกับคนไทย ข้อควรปฏิบัติในช่วงการแพร่ระบาด และช่องทางการติดต่อสถานเอกอัครราชทูตฯ
มาอย่างต่อเนื่อง “เราอยู่บ้าน แต่เราไม่ทิ้งกัน” ในช่วงการบังคับใช้มาตรการกักตัว ได้ติดตามความเป็นอยู่ของนักเรียนแลกเปลี่ยนในอาร์เจนตินา
ปารากวัย และอุรุกวัยอย่างใกล้ชิด มีการนัดพบปะนักเรียนผ่านโปรแกรม Zoom ให้คำปรึกษาแก่นักเรียนเป็นรายบุคคล รับฟังและให้คำปรึกษาแก่
ผู้ปกครองนักเรียนทุกท่านที่รอการเดินทางกลับไทย นอกจากนี้ ได้จัดส่งกล่องน้ำใจ ภายในประกอบด้วยอาหารแห้งและของใช้จำเป็นให้แก่นักเรียน
ที่ตกค้าง ในช่วงรอเดินทางกลับไทย ภารกิจช่วยเหลือคนไทยและนักเรียนไทยที่ตกค้าง สถานเอกอัครราชทูตฯ ดำเนินการส่งนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS
ในอาร์เจนตินาและอุรุกวัยและคนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับไทย โดยแวะต่อเครื่องที่นครเซาเปาลู ซึ่งประสานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฯ
ณ กรุงบราซิเลีย ในการเดินทางในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา

– สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย

สถานเอกอัครราชทูต ได้ติดตามสถานการณ์และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อ มาตรการสำคัญในรูปแบบ Infographic และ
มาตรการของรัฐบาลไทย ผ่านทาง Facebook รวมถึงได้ตั้งกลุ่ม WhatsApp เพื่อให้กำลังใจและติดตามความเป็นอยู่ของคนไทยในบราซิล และ
การให้ความช่วยเหลือต่างๆ “น้ำใจเล็กน้อยเพื่อคนไทยสู้ภัย COVID-19” การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ในบราซิล ทำให้หลายรัฐประกาศ
ใช้มาตรการกักตัว รักษาระยะห่าง สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ร่วมกับชุมชนไทย จัดทำถุงยังชีพ ให้กับนักเรียนไทยและคนไทยที่ได้รับความ
เดือดร้อน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ตระหนักถึงความเดือดร้อน ในเรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชี และค่าเช่าที่พักอาศัย โดยร่วมกับ
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครเซาเปาโล ระดมบริจาทุนทรัพย์ส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือคนไทย ตามแนวคิด “คนไทยไม่ทิ้งกัน”
ภารกิจช่วยเหลือคนไทยและนักเรียนไทยที่ตกค้าง มีการประสานงานช่วยเหลือคนไทยที่ตกค้างที่แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเซาเปาโล
ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2563 โดยร่วมช่วยเหลือนักเรียนและคนไทยที่ตกค้างในอาร์เจนตินาและอุรุกวัยเพื่อเดินทางกลับไทย

– สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลิมา

สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ติดตามและรายงานพัฒนาการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในเปรู และประเทศในเขตอาณาของ
สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แก่ โบลิเวีย โคลอมเบีย เอกวาดอร์ และเวเนซุเอลาอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์มาตรการของแต่ละประเทศผ่านทาง
Facebook เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ส่งมอบเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ได้แก่ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ
และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่ชุมชนคนไทยในกรุงลิมา ภารกิจช่วยเหลือคนไทยและนักเรียนไทยที่ตกค้าง นับตั้งแต่การประกาศปิดพรมแดนเข้า-ออก
ทุกช่องทางของเปรูในเดือนมีนาคม 2563 ส่งผลให้มีนักเรียนและนักท่องเที่ยวชาวไทยตกค้างในเปรู สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ประสานหน่วยงาน
ทางการของเปรู ขออนุญาตเดินรถข้ามจังหวัดและการเดินทางออกนอกประเทศ โดยประสานงานร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตฯ ณ กรุงบราซิเลีย
และสถานเอกอัครราชทูตฯ ณ กรุงเม็กซิโก เพื่ออพยพคนไทยทึ่ตกค้างข้ามแดนให้ความช่วยเหลือในการเดินทางกลับไทย

– สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเม็กซิโก

สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้อัพเดทคนไทยในไลน์และ Facebook ทราบทุกวัน และได้จัดส่งอุปกรณ์สำหรับป้องกันไวรัส อาหารแห้งให้แก่คนไทย
ในพื้นที่ด้วย จากการสำรวจพบว่ามีคนไทยตกค้างในเม็กซิโก ทั้งนักเรียนแลกเปลี่ยน นักท่องเที่ยว แรงงานตกงาน สถานเอกอัครราชทูตฯ จัดส่ง
ถุงยังชีพ หน้ากากอนามัย และอาหารแห้งให้แก่นักเรียนและคนไทยที่ตกค้าง ภารกิจช่วยเหลือคนไทยและนักเรียนไทยที่ตกค้าง ได้ให้ความ
ช่วยเหลือนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ AFS โดยได้ตั้งกลุ่มไลน์ แจ้งข่าวสาร จัดหาเที่ยวบิน นอกจานี้ได้ประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงลิมา เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวตกค้างที่เปรู ในเวลานั้นเปรูได้ประกาศปิดพรมแดนทุกช่องทาง จึงได้อพยพนักท่องเที่ยวไทยที่ตกค้างมายัง
เม็กซิโกแทน เนื่องจากเม็กซิโกยังไม่มีนโยบายปิดน่านฟ้า สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ให้ความช่วยเหลือและจัดหาเที่ยวบินเพื่อเดินทางกลับไทย
อีกทั้งเดือนพฤษภาคม 2563 ได้ประสานสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เพื่อส่งคนไทยที่ตกค้างกลับ ใส่วนคนไทยตกค้างคนอื่นยังพยายาม
หาเส้นทางที่เป็นไปได้ให้ โดยหวังว่าจะส่งทุกคนกลับได้ครบภายในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2563

– โควิด – 19 ในลาตินอเมริกากับเหตุปัจจัยที่หลากหลาย

1.นโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล

การเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นทั้วลาตินอเมริกาแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของรัฐบาลหลายประเทศ ที่มีขนาดใหญ่ลักษณะการปกครองปกครองแบบหลายรัฐ
เช่น สหพันธสาธารณรัฐบราซิล และสหรัฐเม็กซิโก ซึ่งมีความขัดแย้งในการจัดการในระดับรัฐบาลส่วนกลางและท้องถิ่นของแต่ละรัฐ ความขัดแย้งนี้
ทำให้การดำเนินมาตรการต่างๆ มีความยากลำบาก เนื่องจากไม่สามารถบังคับโดยเบ็ดเสร็จ มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีสาธารณสุข ทำให้การแพร่ระบาด
ผู้คนเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก

2.สถานะทางเศรษฐกิจ

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่บีบคั้นการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาด เช่น เม็กซิโก ซึ่งผูกติดเศรษฐกิจไว้
กับอเมริกาเหนือ (สหรัฐอเมริกาและแคนาดา) และมีการหดตัวของเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอยมาก่อนระบาดใหญ่ แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโก
ยอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงสูงกว่าสถิติที่มีการบันทึกหลายเท่า เนื่องจากอัตราการทดสอบของเม็กซิโกทำได้ต่ำกว่าประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ
ในลาตินอเมริกา ในทางตรงกันข้ามประเทศที่ผ่านปัญหาทางเศรษฐกิจ และยังติดหนี้ IMF อย่างอาร์เจนตินา รัฐบาลมีความตระหนักในศักยภาพ
ของตนเอง จึงมีมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่รวดเร็ว และสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีกว่า ประเทศขนาดใหญ่อื่นๆ ในลาตินอเมริกา
แต่รัฐบาลอาร์เจนตินามีการบริหารจัดการนำเงินมาเยียวยาประชาชนที่ประสบความยากลำบาก รวมทั้งมีการผิดนัดชำระหนี้กับ IMF
ข้อดีของความมีหนี้สิน มีส่วนให้รัฐบาลไม่ประมาทในการวางแผนเศรษฐกิจ เนื่องจาก IMF ก็มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณอยู่เป็นระยะ

3.ศักยภาพและความพร้อมด้านสาธารณสุข

ในความเป็นจริงศักยภาพด้านสาธารณสุขภายในประเทศเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเป็นตัวชี้วัดการพัฒนาเท่าใดนัก การจัดอันดับ Global Health Security (GHS)
ของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกินส์ ที่จัดอันดับความพร้อมของประเทศที่จะรับมือกับโรคระบาด ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลาง
ประเทศเดียวที่อยู่ในลำดับ 6 จาก 15 ประเทศ ที่มีมาตรฐานระดับชั้นนำ แต่ลำดับประเทศที่แวดล้อมเป็นประเทศพัฒนารายได้สูงเกือบทุกประเทศกำลัง
ผ่านการเผชิญวิกฤตการณ์แพร่ระบาดไปค่อนข้างหนัก 1 สหรัฐอเมริกา 2 สหราชอาณาจักร อันดับ 3 เนเธอร์แลนด์ ลำดับ 4 แคนาดา สวีเดน ฝรั่งเศส
สเปน ประเทศที่มีนโยบายให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพด้านาธารณสุขเป็นพิเศษคือ คิวบา มีความพร้อมและความก้าวหน้าทางการแพทย์สูง
ระดับเยี่ยมของโลก ประชากรเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

4. การเปิดรับชาวต่างประเทศและการเป็นแหล่งท่องเที่ยว

ลาตินอเมริกาเป็นภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวยุโรป มีสถานที่สำคัญอาทิ นครริโอ เดอจาเนโร  เปรู เป็นประเทศที่มีอารยธรรม
อินเดียนโบราณ และสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาชูปิกชู เม็กซิโก เป็นแหล่งอารยธรรมอินเดียนโบราณอันยิ่งใหญ่ของอเมริกากลาง ดังนั้น การนำเข้า
เชื้อไวรัสโคโรนาไปยังลาตินอเมริกา ไม่ได้มาจากแหล่งเดียวในประเทศ แต่เกิดจากการเดินทางเข้าไปของชาวยุโรป หรือการเดินทางของ
คนท้องถิ่นที่กลับมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะยุโรปใต้ และสหรัฐอเมริกา

5. ภูมิคุ้มกันของสังคม

ภูมิคุ้มกันของสังคม (resilience) กับภูมิต้านทานโรค (immunity) เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันแต่มีประสิทธิภาพในทางเดียวกัน โรคอุบัติใหม่โควิด-19
ที่ไม่มีประชากรชาติใดมีภูมิต้านทาน ไม่มีวัคซีนหรือยารักษาเฉพาะ การที่ประเทศหนึ่งจะรอดได้ ปัจจัยสำคัญคือ ภูมิคุ้มกันในสังคม ในฐานะคนไทย
เราคุ้นเคยกับคำว่าภูมิคุ้มกันมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะเมื่อรวมกับความพอประมาณ และความมีเหตุผล นั่นคือ 3 คุณสมบัติของหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงที่พระผู้สถิตอยู่บนฟ้า ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้ให้กับพวกเราชาวไทย โดยต้องอาศัยเงื่อนไขประกอบอีก 2 ประการ คือ
ความรู้และคุณธรรม ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่คนไทยเองจะหันมาใส่ใจวัดการพัฒนาประเทศกันที่แก่นความเจริญที่แท้จริง รู้จักอดกลั้น แบ่งปัน
และร่วมมือกันฝ่าเผชิญกับสถานการณ์วิกฤตผ่านพ้นไปได้ด้วยดีพร้อมกัน

 

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-may2020.pdf

 

 

รายงานข่าววิทย์ปริทัศน์ เดือนเมษายน 2563

วารสารข่าว วิทย์ปริทัศน์ ฉบับเดือน เมษายน 2563

Advanced Scientific Equipment : อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ขั้นสูง
ความก้าวหน้าและวิวัฒนาการของเทคโนโลยีด้านต่างๆ ในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ได้นำมาใช้ในการผลิตเครื่องมือวิจัยที่ทันสมัย ด้วยเหตุผล
หลักคือ ต้องการผลการทดสอบที่แม่นยำ ให้ผลที่รวดเร็วสามารถรองรับการประยุกต์ใช้งานใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน

1. Electron Microscope กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน

กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนมี 2 ชนิด ได้แก่ Transmission Electron Microscope (TEM) และ Scanning Electron Microscope (SEM)

– Transmission Electron Microscope (TEM) เป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน เครื่อง TEM เหมาะสำหรับศึกษา รายละเอียดของ
องค์ประกอบภายในของตัวอย่าง เช่น องค์ประกอบภายในเซลล์ ลักษณะของเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งจะให้รายละเอียดสูงกว่ากล้องจุลทรรศน์ชนิดอื่นๆ
เนื่องจากมีกำลังขยายและประสิทธิภาพในการแจกแจงรายละเอียดสูงมาก (กำลังขยายสูงสุดประมาณ 0.1นาโนเมตร)

– Scanning Electron Microscope (SEM) เป็นกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด ภาพที่ได้จากเครื่อง SEM นี้จะเป็นภาพลักษณะของ 3 มิติ
ดังนั้นเครื่อง SEM จึงถูกนำมาใช้ในการศึกษาสัณฐานและรายละเอียดของลักษณะพื้นผิวของตัวอย่าง เช่น ลักษณะพื้นผิวด้านนอกของเนื้อเยื่อและเซลล์
หน้าตัดของโลหะและวัสดุ

ข้อดีของเครื่อง SEM เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่อง TEM คือ ภาพโครงสร้างที่เห็นจากเครื่อง SEM จะเป็นภาพ
ลักษณะ 3 มิติ ในขณะที่ภาพจากเครื่อง TEM จะให้ภาพลักษณะ 2 มิติ อีกทั้งวิธีการใช้งานเครื่อง SEM มีความรวดเร็วและใช้งานง่ายกว่าเครื่อง TEM
มาก หลักการทำงานของเครื่องค่อนข้างคล้ายกัน คือ เครื่องจะประกอบด้วยแหล่งกำเนิดอิเล็กตรอน กลุ่มอิเล็กตรอนจะถูกเร่งด้วยสนามไฟฟ้าและจะ
ผ่านเลนส์รวบรวมรังสี (condenser lens) เพื่อให้กลุ่มอิเล็กตรอน กลายเป็นลำอิเล็กตรอน จากนั้นจะเคลื่อที่ไปที่ตัวอย่างที่จะศึกษา (specimen)
สำหรับกล้องแบบ TEM จะเกิดการกระเจิงอนุภาคขึ้นเมื่ออิเล็กตรอนทะลุผ่านตัวอย่างไปและอิเล็กตรอนจะถูกปรับโฟกัสของภาพ โดยเลนส์ใกล้วัตถุ
(objective lens) ซึ่งเป็นเลนส์ที่ทำหน้าที่ขยายภาพให้ได้รายละเอียดมากที่สุด จากนั้นจะได้รับการขยายด้วยเลนส์ทอดภาพไปสู่จอรับ
(projector lens)และปรับโฟกัสอนุภาคอิเล็กตรอนให้ยาวพอดีที่จะปรากฏบนฉากเรืองแสง สุดท้ายจะเกิดการสร้างภาพขึ้นมาได้

ส่วนกล้องแบบ SEM อิเล็กตรอนจะถูกปรับระยะโฟกัสโดยเลนส์ใกล้วัตถุ (objective lens) ลงไปบนผิวชิ้นงาน จะทำให้เกิดอิเล็กตรอนทุติยภูมิ
(secondary electron) ขึ้น ซึ่งสัญญานจากอิเล็กตรอนทุติยภูมินี้จะถูกบันทึกและแปลงไปเป็นสัญญาณทางอิเล็กทรอนิกส์และถูกนำไปสร้าง
เป็นภาพบนจอโทรทัศน์ต่อไป และสามารถบันทึกภาพจากหน้าจอโทรทัศน์ได้เลย

2. Particle Size Analyzer

เป็นเครื่องสำหรับใช้วิเคราะห์ขนาดอนุภาคที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย มีหลากหลายรูปแบบที่ใช้หลักการแตกต่างกัน เช่น
– หลักการเลี้ยวเบนของแสง (Laser Diffraction) เช่น เครื่อง Partica LA-950V2 สามารถวิเคราะห์ขนาด
อนุภาคหรือวัตถุได้ตั้งแต่ขนาด 0.01-3,000 ไมครอน ซึ่งเป็นช่วงของขนาดที่ค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่ไวรัสที่มีขนาด 0.01-0.3 ไมครอน ที่ตาคนเรา
ไม่สามารถมองเห็น (ปกติสายตาคนเราจะสามารถเห็นสิ่งที่เล็กที่สุดได้ที่ 50 ไมครอน) ไปจนถึงขนาด 3 มิลลิเมตร หรือประมาณความหนาของ
บัตรเครดิต 3 ใบ
– หลักการ Dynamic Light Scattering (DLS) เช่น เครื่อง Malvern Model Zetasizer (ZS) เป็นเครื่องวิเคราะห์ขนาดอนุภาคระดับนาโน
ใช้เทคนิค DLS เพื่อวัดขนาดอนุภาคที่แขวนลอยและเคลื่อนที่อยู่ภายในตัวกลางที่เป็นของเหลวโดยใช้แสงเลเซอร์ จะเกิดการแพร่กระจายอย่าง
ไร้ทิศทาง (randomly diffuse) ไปทั่วตัวกลาง

3. X-ray Spectrometer

X-ray Fluorescence (XRF) Spectroscopy เป็นเทคนิคที่นิยมใช้แพร่หลายในการวิเคราะห์ธาตุเชิงปริมาณและคุณภาพ งานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
การวิเคราะห์ธาตุที่มีความเป็นพิษที่อยู่ในอากาศ ด้านธรณีวิทยา เช่น การวิเคราะห์แร่ ดิน หิน โดยไม่ทำลายตัวอย่าง มีการเตรียมตัวอย่างเพียง
เล็กน้อย และให้ผลการวิเคราะห์ที่รวดเร็ว ด้านชีววิทยา/ด้าน การแพทย์ เช่น การวิเคราะห์สารที่อยู่ในเส้นผมและเล็บ ด้านอุตสาหกรรม เช่น
ใช้ในการควบคุมกระบวนการและควบคุมคุณภาพการตรวจวัดตัวเร่งปฏิกิริยาที่เป็นพิษในน้ำมันดิบ และอื่นๆอีกมากมาย

4. Thermogravimetric Analyzer

เป็นเครื่องที่ใช้วิเคราะห์ความเสถียรของวัสดุ ศึกษาจากการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของสารโดยอาศัยคุณสมบัติทางความร้อน
(Thermogravimetric analysis : TGA) เพื่อตรวจหาคุณสมบัติเฉพาะของวัสดุทางด้านกายภาพและด้านเคมี โดยตัวอย่างจะถูกทำให้ร้อนขึ้น
หรือเย็นลงในบรรยากาศที่กำหนดไว้ และจะมีการบันทึกน้ำหนักของวัสดุที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงอุณหภูมิเครื่องชั่งที่มีความไวสูง
TGA เหมาะสำหรับการวิเคราะห์เปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุที่เกี่ยวข้องกับการดูดซับแก๊สหรือระเหยของน้ำ การตกผลึก (crystallization)
อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนเฟส การแตกตัวของวัสดุ (decomposition) ศึกษาการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและรีดักชัน หรือ ปริมาณสารสัมพันธ์
(stoichiometry) ในการวิเคราะห์ตัวอย่าง เช่น ไนโตรเจน หรือแก๊สที่มีความว่องไว เช่น อากาศ หรือ ออกซิเจน การวิเคราะห์ลักษณะนี้
ใช้งานได้ในด้านต่างๆ เช่น ตัวอย่างพอลิเมอร์ โลหะและเซรามิก ตัวอย่างทางเคมีสีและพิกเมนต์ ตัวอย่างทางปิโตรเคมี และสารอินทรีย์ต่างๆ
ส่วนประกอบในอาหาร เครื่องสำอาง และยา

5. High Performance Liquid Chromatography (HPLC)

โครมาโทกราฟี (Chromatography) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของสารผสม วิชาวิทยาศาสตร์ คือ ใช้กระดาษกรองเป็นตัวดูดซับ
ตั้งวางเป็นแนวตั้ง 90 องศากับพื้นผิวภาชนะที่บรรจุตัวทำละลาย ตัวทำละลายจะค่อยๆ แพร่ขึ้นไปบนกระดาษและนำพาสารผสมที่ต้องการแยกขึ้น
ไปด้วยหากสารที่ผสมอยู่สารใดสามารถละลายได้ดีก็จะแพร่ไปได้ดีกับตัวทำละลาย และเคลื่อนที่ไปได้สูง ส่วนสารที่อยู่ในสารผสมละลายได้ไม่ดีกับ
ตัวทำละลายผสมก็จะถูกดูดซับไว้ที่กระดาษซึ่งจะแพร่ขึ้นไปได้ต่ำกว่า HPLC สามารถวิเคราะห์สารได้หลายชนิด เช่น สารอินทรีย์ สารประกอบทาง
ชีวภาพ โพลีเมอร์ สารประกอบที่เสียสภาพได้ง่าย สารประกอบที่ระเหยยาก ไอออนขนาดเล็ก ไมโครโมเลกุลตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ต้องเป็น
ของแข็งหรือของเหลวต้องละลายได้ 100% การแยกสารจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสารมีอัตราการเคลื่อนที่ที่แตกต่าง ตัวอย่างการทดสอบ
ด้วย HPLC เช่น หาปริมาณวิตามินซี ในเลือด น้ำผลไม้ วิตามินอีในอาหารสัตว์ น้ำตาลในน้ำผลไม้ กลีเซอร์ไรด์ในน้ำมัน และอื่นๆ

6. Capillary Electrophoresis (CE)

Capillary Electrophoresis : CE เป็นการแยกสารโดยอาศัยสนามไฟฟ้า
Electrophoresis หมายถึง การเคลื่อนที่ของอนุภาคที่มีประจุอยู่ในรูปของสารละลายหรือแขวนลอยอยู่ในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ (อิเล็กโทรไลต์ คือ
สารที่สามารถแตกตัวเป็นไอออนอิสระเมื่อละลายน้ำหรือหลอมเหลว ทำให้สามารถนำไฟฟ้าได้) เมื่อมีไฟฟ้าวิ่งผ่าน ประจุบวกในสารละลาย หรือ
แคตไอออน(Cation) จะวิ่งไปที่ขั้วแคโทดซึ่งเป็นขั้วลบ ส่วนประจุลบในสารละลายแอนไออน (anion) จะไปที่ขั้วแอโนดซึ่งเป็นขั้วบวก ส่วน
อนุภาคที่เป็นกลางจะไม่วิ่งเข้าสู่ขั้วใดเลย ปัจจุบัน capillary electrophoresis (CE) จะสามารถระบายความร้อนที่เกิดขึ้นออกทางหลอดรูเล็กได้
หลักการของ CE เกี่ยวข้องกับการให้ศักย์ไฟฟ้าสูงตั้งแต่ 10 ถึง 30 กิโลโวลต์ แก่หลอดรูเล็ก (capillary tube) เมื่อมีการให้ศักย์ไฟฟ้าจะทำให้
ไอออนวิ่งไปที่ขั้วไฟฟ้า เรียกว่า electropherogramตัวอย่างการทดสอบด้วย CE เช่น การแยกกรดอะมิโน โปรตีน และ กรดนิวคลีอิก ให้บริสุทธิ์
การหาปริมาณสารกำจัดวัชพืช การตรวจสอบชิ้นส่วนของดีเอ็นเอใน polymerase chain reaction (PCR)

7. Total Organic Carbon (TOC) Analyzer

สารอินทรีย์ที่ปนเปื้อนในน้ำสามารถใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของน้ำ น้ำที่มีการปนเปื้อนของสารอินทรีย์มาก จะส่งผลให้มีการละลายของออกซิเจน
น้อยลง ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การปนเปื้อนของสารอินทรีย์อาจเกิดจากแหล่งกำเนิดหลากหลาย เนื่องจากสารอินทรีย์
เป็นส่วนประกอบ เช่น น้ำตาลซูโครส แอลกอฮอล์ สารเคมี ปิโตรเลียม แป้งเซลลูโลส แบคทีเรีย หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก การหาปริมาณ
สารอินทรีย์ในน้ำมีหลายวิธี เช่น การตรวจวัดค่าบีโอดี (biochemical oxygen demand:Bod) ซีโอดี (chemical oxygen demand:COD)
และ ทีโอซี (total organic carbon:TOC) การตรวจวัดด้วย BOD ใช้เวลา 5 วันในการทราบผล ส่วน COD ต้องใช้สารเคมีที่รุนแรงใน
การออกซิไดซ์ ซึ่งเป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น TOC จึงเป็นทางเลือกในการวิเคราะห์หาปริมาณสารอินทรีย์คาร์บอนทั้งหมด เพราะใช้เวลาน้อย
และไม่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ค่า TOC ยังถูกนำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพน้ำในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำดื่ม ยา
และชิ้นส่วน อิเล็กโทรนิกส์ ควบคุมคุณภาพน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือใช้ในการวัดปริมาณ
อินทรีย์วัตถุในดินเพื่อประโยชน์ทางการเกษตรโดยทั่วไปแล้ว สารอินทรีย์ปนเปื้อนไม่มีประจุ จึงไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการวัดค่าการนำ
ไฟฟ้ามาตรฐาน ดังนั้น การวัดค่าการนำไฟฟ้าในระบบน้ำบริสุทธิ์สูง อาจไม่สามารถตรวจพบ TOC ระดับสูงได้

8. Differential Scanning Calorimeter

เทคนิค Differential Scanning Calorimetry (DSC) เป็นเทคนิคที่นำมาใช้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางความร้อน (thermal transition)
ของสารตัวอย่าง วัดการเปลี่ยนแปลงพลังงาน (การดูดหรือคายพลังงาน) ของสารตัวอย่าง เมื่อถูกเพิ่มหรือลดอุณหภูมิในบรรยากาศที่ถูกควบคุม
DSC เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ในอุตสาหกรรมเคมี พลาสติก อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อากาศยาน ไปจนถึง
อาหารและยา โดยถูกนำไปประยุกต์ใช้ ทั้งสำหรับการวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ และสำหรับงานวิจัย

9. DNA Thermal Cycler หรือ PCR machine

ดีเอ็นเอ หรือ Deoxyribonucleic (DNA) คลังข้อมูลพันธุกรรมทำหน้าที่ควบคุมและถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต โดย
ดีเอ็นเอ จะประกอบด้วยหน่วยย่อยพื้นฐานที่เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) ซึ่งเป็นชุดโมเลกุลฟอสเฟต น้ำตาลเพนโตส และเบสหรือ
สารเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง 1 ตัว ซึ่งเบสมีอยู่ 4 ประเภท คือ adenine (A), guanine (G), cytosine (C), thymine (T)
ลักษณะโครงสร้างของดีเอ็นเอประกอบขึ้นจากสายชุดนิวคลีโอไทด์ 2 สายพันเข้าด้วยกันเป็นลักษณะเกลียวคู่ (double helix) หรือ
บันไดเวียน ทำหน้าที่ยึดจับระหว่างสายทั้งสอง สายส่วนที่มีเบส A จะจับคู่สร้างพันธะกับเบส T และส่วนที่มีเบส G จะจับคู่เบส C ซึ่งการ
จับคู่นี้เรียกว่าเป็นเบสคู่สม และแต่ละส่วนบนสายดีเอ็นเอนี้ที่เป็นที่อยู่ของยีน (gene) ซึ่งเป็นส่วนที่บรรจุข้อมูลสำหรับการสร้างโปรตีนชนิดใด
ชนิดหนึ่ง โดยยีนที่ต่างกันก็จะมีตำแหน่งที่อยู่และเรียงลำดับของเบสบนตัวมันแตกต่างกันไป Polymerase Chain Reaction หรือ (PCR)
เป็นเทคนิคสำหรับเพิ่มปริมาณดีเอ็นเอ อาศัยหลักการ DNA Replication ซึ่งเป็นการสังเคราะห์สายดีเอ็นเอสายใหม่จากดีเอ็นเอต้นแบบใน
หลอดทดลอง เทคนิคนี้พัฒนาเมื่อปี 2528 โดย Kary Mullis และคณะแห่งบริษัท Cetus Coporation จุดเด่นของเทคนิค PCR คือ สามารถ
เพิ่มปริมาณดีเอ็นเอได้อย่างเฉพาะเจาะจงโดยมีขั้นตอนการทำงานน้อยและใช้เวลาน้อย การยอมรับว่าเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญมากต่องานด้าน
อณูชีวโมเลกุล สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งกับงานวิจัยทางชีวโมเลกุลและพันธุวิศวกรรม เช่น การเพิ่มปริมาณยีน (gen cloning)
การวิเคราะห์ลำดับเบสของยีน (gene sequencing)การสร้างดีเอ็นเอติดตาม (DNA probe) และการวิจัยประยุกต์

10. NMR Spectrometer

NMR (Nuclear Magnetic Resonance Spectroscopy) เป็นเทคนิคเกี่ยวข้องกับการวัดระดับพลังงานที่แตกต่างกันของนิวเคลียสที่อยู่
ภายใต้อิทธิพลของสนามแม่เหล็ก ใช้ศึกษาเกี่ยวกับนิวเคลียสของธาตุที่มีสมบัติของแม่เหล็ก ตลอดจนสภาวะข้างเคียงรอบนิวเคลียสนั้นๆ
เทคนิคนี้มีประโยชน์มากในการศึกษาอะตอมในโมเลกุลสูตรโครงสร้างและพลวัตของสาร การวิเคราะห์ด้วยเทคนิค NMR นั้น ตรวจวัดได้ง่าย
รวดเร็ว แม่นยำ และมีความจำเพาะเจาะจงสูง
– เทคนิค NMR ใช้ในงาน อุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง มีการนำสารกลุ่มโพลีฟอสเฟตเข้ามาใช้ผสมเคลือบผิวของอาหารก่อนนำไปแช่แข็ง
เพื่อช่วยลดการสูญเสียน้ำหนัก รักษาคุณภาพของเนื้อสัตว์ได้ เช่น ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของเนื้อ ช่วยให้เนื้อมีคุณภาพทาง
เนื้อสัมผัสและประสาทสัมผัสที่ดีขึ้น(ความนุ่ม ความฉ่ำน้ำ สี กลิ่น และรส) การอนุญาตให้ใช้สารประกอบฟอสเฟตในอุตสาหกรรมอาหาร
ให้ใช้ในระดับที่ไม่มีอันตรายต่อผู้บริโภค
– เทคนิค NMR ยังได้ใช้ในวงการแพทย์ที่รู้จักกันในชื่อว่า Magnetic Resonance Imaging (MRI) โดยอาศัยหลักที่ว่าเราสามารถ
สร้างภาพ 2 มิติ หรือ3 มิติของวัตถุโดยการปรับเปลี่ยนสนามแม่เหล็ก NMR ที่ระดับความลึกต่างๆ กันของวัตถุ เหตุผลหนึ่งที่ทำให้
เทคนิค MRI นิยมใช้อย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ เพราะว่าเทคนิคนี้ใช้รังสีที่มีความถี่หรือพลังงานต่ำ จึงไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อ
หรืออวัยวะของสิ่งมีชีวิต

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/ost-sci-review-apr2020.pdf

 

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2563

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2563

สหภาพยุโรปเพิ่มการอัดฉีดงบสนับสนุนการวิจัยในการพัฒนาวัคซีน วิธีการรักษาและการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19
คณะกรรมาธิการยุโรปได้เพิ่มงบสนับสนุนโครงการวิจัยผ่านโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรม
ของสหภาพยุโรป หรือ โครงการ Horizon 2020 โดยเปิดรับสมัครให้ทุนวิจัยเพื่อจัดการกับโรคโควิด-19 ใน
สาขาการศึกษากระบวนการเกิดโรค การตรวจวินิจฉัย การพัฒนาวัคซีน การพัฒนาวิธีการรักษา และการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการระบาดของ
โรคโควิด-19

โครงการวิจัยเพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19

ในระหว่าง 2 สัปดาห์ ที่เปิดรับสมัครให้ทุนวิจัย มีการส่งข้อเสนอโครงการจำนวน 91 โครงการ และประกาศรายชื่อโครงการวิจัย 17 โครงการ
ที่ได้รับเลือกเพื่อสนับสนุนทุนวิจัย ในประเด็นต่างๆ ต่อไปนี้

การตรวจวินิจฉัยโรคอย่างรวดเร็ว : การวิจัยมุ่งเน้นไปที่การอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรด้านสาธารณสุขในการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด-19
ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้
การพัฒนาวิธีการรักษา : การวิจัยมุ่งเน้นไปที่การรักษาแบบคู่ขนาน โดยแบบแรกเป็นการพัฒนาวิธีการรักษาชนิดใหม่ๆ ที่กำลังมีการศึกษาอยู่ใน
ปัจจุบัน เช่น Theapeutic peptides monoclonal antibodies และ Broad-spectrum antivirals สำหรับแบบที่สอง เป็นการใช้เทคนิคการสร้าง
แบบจำลองและวิทยาการการคำนวณมา วิจัยเพื่อคัดกรองและระบุหาโมเลกุลที่สามารถต้านเชื้อไวรันโคโรนา 2019 ได้
การพัฒนาวัคซีน : การวิจัยเน้นด้านการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคและวัคซีนเพื่อรักษาโรคโควิด-19
ระบาดวิทยาและสาธารณสุข : การวิจัยเน้นการเตรียมความพร้อมและการตั้งรับต่อการระบาดของโรคโควิด-19 โดยโครงการวิจัยจะพัฒนาระบบ
การติดตามการแพร่ระบาด
ของโรคเพื่อให้หน่วยงานด้านสาธารณสุขและภาครัฐสามารถป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อโรคได้ดีขึ้น
– นอกจากนี้ยังมีการให้เงินสนับสนุนอีก 90 ล้านยูโรผ่านโครงการ Innovative Medicines Initiative ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสหภาพ
ยุโรปและภาคเภสัชอุตสาหกรรม

 

สหภาพยุโรปออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือการวิจัยในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์โควิด-19

คณะกรรมาธิการยุโรปได้เพิ่มมาตรการเพื่อปรับตัวในการจัดการกับวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 และช่วยจัดหางบสนับสนุนสำหรับการพัฒนาวิธีการรักษา
และวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 สถานการณ์ปัจจุบัน นักวิจัยต้องทำงานในสภาวะกดดัน จากมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดในการเดินทาง หรือ
การชะลอการทำงานที่ไม่มีความเร่งด่วนในห้องปฏิบัติการซึ่งล้วนแล้วมีสาเหตุหลักมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่กระจายกว้างในเชิง
ภูมิศาสตร์ทั้งในยุโรปและทั่วโลก

มาตรการเพิ่มเติมจากสหภาพยุโรป

คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศขยายเวลารับสมัครเพื่อขอรับทุนโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยและนวัตกรรมของสหภาพยุโรป หรือ โครงการ
Horizon 2000 นอกจากนี้ยังให้งบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาวิธีการรักษาและวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 อีกด้วย

สภาวิจัยแห่งยุโรป

สภาวิจัยแห่งยุโรป (European Research Council, ERC) ได้สืบค้นทะเบียนผู้เคยได้รับทุนเพื่อค้นหางานวิจัยและนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
วิทยาศาสตร์กายภาพ และสังคมศาสตร์ เพื่อมาเข้าร่วมในคณะทำงานของโครงการ Horizon 2020 เพื่อช่วยในการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค
โควิด-19 และศึกษาด้านระบาดวิทยา ซึ่งคาดว่าจะช่วยถ่ายทอดความเชี่ยวชาญเพื่อต่อสู้กับวิกฤตการณ์โรคโควิด-19 ได้ นักวิจัยที่ชื่อ
Vittoria Colizza ได้รับทุนวิจัยในการศึกษาการระบาดและโมเดลการทำนายการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในช่วงปี ค.ศ. 2008 ถึง ค.ศ. 2013
ขณะที่นักวิจัยที่ชื่อ Marcin Nowotny ได้รับทุนวิจัยการศึกษาโครงสร้างโปรตีนของไวรัสชนิดนี้ ซึ่งงานของนักวิจัยทั้งสองจะมีส่วนสำคัญในการ
พัฒนาวัคซีนรักษาโรคโควิด-19 ได้

 

กานสนับสนุนทุนวิจัยให้แก่บริษัท CureVac

บริษัท CureVac บริษัทสัญชาติเยอรมัน กำลังทำวิจัย พัฒนา และคิดค้นวัคซีนสำหรับโรคโควิด-19 โดยวัคซีนถูกคิดค้นใกล้สำเร็จแล้ว จากนั้นจะขอ
อนุญาตรัฐบาลเพื่อทดลองกับมนุษย์ต่อไป หากประสบความสำเร็จก็จะสามารถผลิตปริมาณมากได้จากสถานที่ที่บริษัทมีอยู่ ซึ่งทำงานร่วมกับสถาบันวิจัย
Paul Ehrlich ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขเยอรมนี

 

ข้อมูลบริษัท CureVac

บริษัท CureVac เป็นบริษัทผลิตและค้นคว้าวิจัยด้านชีวเวชภัณฑ์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของประเทศเยอรมนี มีความเชียวชาญพิเศษสำหรับ
องค์ความรู้เรื่องการถอดรหัสพันธุกรรม DNA และการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัส มีการพัฒนาบนพื้นฐานของ messenger RNA หรือ (mRNA)
บริษัทได้ทำการพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคติดเชื้อ ยารักษาโรคมะเร็ง และยาสำหรับโรคที่หายาก
– ตุลาคม 2556 บริษัท ได้เปิดตัวความร่วมมือเพื่อพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
– ในปี 2556 บริษัท ร่วมมือกับสถาบันวิจัยมะเร็ง เพื่อทดสอบทางคลินิกในการหาทางเลือกใหม่ๆ ในการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกัน
– ในปี 2557 บริษัท ได้รับรางวัล 2 ล้านยูโร จากสหภาพยุโรปเพื่อกระตุ้นเทคโนโลยีวัคซีนใหม่ที่อาจช่วยประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากการวิจัย
ของบริษัท สามารถนำไปสู่วัคซีนรุ่นใหม่ที่ไม่ต้องแช่แข็ง และได้รับใบอนุญาตสำหรับการทดลองวัคซีน mRNA เพื่อศึกษาการกลายพันธ์ของมะเร็งปอด
– ในปี 2558 บริษัท ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาวัคซีนเอดส์โดยใช้ภูมิคุ้มกันผ่านเทคโนโลยี mRNA ของ CureVac

สรุปโครงการมอบทุนวิจัยจากสหภาพยุโรปเพื่อจัดการโรคโควิด-19

– เมื่อต้นเดือนมกราคมคณะกรรมาธิการยุโรปได้สนับสนุนงบวิจัยภายใต้โครงการ Horizon 2000 เป็นจำนวน 47.5 ล้านยูโร สำหรับการพัฒนาวัคซีนและ
ยารักษาโรคโควิด-19
– คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศสนับสนุนงบวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้แก่บริษัท CureVac โดยอยู่ในรูปแบบเงินกู้จำนวน 80 ล้านยูโร ผ่านธนาคารเพื่อ
การลงทุนแห่งยุโรป
– นอกจากนี้ยังมีการให้เงินสนับสนุนอีก 90 ล้านยูโร ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและภาคเภสัชอุตสาหกรรม โดยสนับสนุน
45 ล้านยูโร จุดประสงค์หลักคือ การช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทั้งในระดับสหภาพยุโรปและระดับโลก
– คณะกรรมาธิการยุโรปได้ให้งบจำนวน 164 ล้านยูโร สำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น (start-ups) และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ทำหน้าที่พัฒนา
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการตรวจทดสอบและติดตามการระบาดของโรคโควิด-19

สหภาพยุโรปพิจารณาปรับและจำแนกค่าปนเปื้อนสูงสุดของสาร 3-MCPD ในน้ำมัน

คณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและผู้บริโภคกำลังพิจารณาปรับและแบ่งค่าปนเปื้อนสูงสุดของสาร 3-MCPD ในน้ำมันและไขมันพืช และน้ำมันปลา
ที่ใช้บริโภคหรือนำไปประกอบอาหาร 3-MCPD นั้นเป็นสารปนเปื้อนในกระบวนการแปรรูปอาหาร อาจส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภคในเชิงการทำงานของไต
และการเจริญพันธ์ของเพศชาย โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ แต่มีความกังวลว่าผู้บริโภคกลุ่มอายุน้อยที่บริโภคสาร 3-MCPD
ในระดับสูงจะประสบปัญหาด้านสุขภาพ และกรณีที่แย่ที่สุดคือความเสี่ยงที่เด็กทารกจะได้รับสาร 3-MCPD ที่ปนเปื้อนในนมผง ในระดับที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกาย

สาร 3-MCPD

สารเคมี 3-monochloropropane diol หรือ 3-MCPD เป็นสารปนเปื้อนในกระบวนการแปรรูปอาหารซึ่งสามารถพบได้ในอาหารแปรรูปและน้ำมันพืช
บางชนิด โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม โดยสาร 3-MCPD และสารประกอบเอสเทอร์ของ 3-MCPD จะถูกผลิตขึ้นในกระบวนการแปรรูปอาหารโดยเฉพาะ
ระหว่างกระบวนการการน้ำมัน หรือการนำน้ำมันไปผ่านกรรมวิธีการผลิต ที่อุณหภูมิสูงกว่า 200 องศาเซลเซียส

ข้อเสนอเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบควบคุมสาร 3-MCPD ในน้ำมันสำหรับการบริโภค

คณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและผู้บริโคภกำลังพิจารณาปรับและแบ่งค่าปนเปื้อนสูงสุดของสาร 3-MCPD ในน้ำมันและไขมันพืช และน้ำมันปลา
ที่ใช้บริโภคโดยตรงหรือนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารอื่นๆ ออกเป็น 2 ระดับดังนี้
– 1,250 ไมโครกรัม/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันที่ผ่านและไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อทำให้บริสุทธิ์ที่ผลิตจากมะพร้าว ข้าวโพด มะกอก ถั่วเหลือง ปาล์ม
และน้ำมันที่เกิดจาการผสมน้ำมันชนิดต่างๆ
– 2,500 ไมโครกรัม/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ที่ผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อทำให้บริสุทธิ์รวมไปถึงน้ำมันปลา และน้ำมันที่ได้จากสัตว์ทะเล
และน้ำมันที่เกิดจากการผสมน้ำมันชนิดต่างๆ
องค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งสหภาพยุโรป พบว่าน้ำมันและไขมันปาล์มมีระดับการปนเปื้อนของสาร 3-MCPD และสาร GE สูงที่สุดเมื่อเทียบ
กับน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ปัจจุบันคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสุขภาพและผู้บริโภคได้กำหนดค่าปนเปื้อนสูงสุดของสาร GE ในอาหารประเภทต่างๆ ไว้ดังนี้
– 1,000 ไมโครกรัม/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันและไขมันพืช
– 500 ไมโครกรัม/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันและไขมันพืชใช้ในการผลิตอาหารสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก
– 50 ไมโครกรัม/กิโลกรัม สำหรับน้ำมันและไขมันพืชที่ใช้ในการผลิตอาหารแบบผงที่มีวัตถุประสงค์ของการใช้ในการแพทย์สำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก

อันตรายของสาร 3-MCPD และสารปนเปื้อนอื่น ๆ

องค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งสหภาพยุโรป ได้ประเมินความเสี่ยงจากการบริโภคสาร 3-MCPD ในปี 2559 รวมไปถึงสารปนเปื้อนอื่นๆ
ในกระบวนการผลิตอาหารเช่น glycidyl fatty acid ester (GE) โดย EFSA ให้ข้อสรุปว่า สาร GE เป็นอันตรายต่อสุขภาพเนื่องจากสามารถทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรม ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปกำลังร่างกฎหมายฉบับใหม่ ที่มีจุดประสงค์ในการลดและควบคุมปริมาณ
สาร GE ในน้ำมันพืชและอาหารให้อยู่ระดับที่ปลอดภัยสารนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อไตและระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย นอกจากนี้ EFSA รายงานว่ากลุ่มที่
มีความเสี่ยงสูงสุดคือ กลุ่มเด็กทารก มีโอกาสได้รับสารในปริมาณที่สูงสาเหตุเพราะการใช้น้ำมันปาล์มในการผลิตนมผงสำหรับเด็กทารก

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200713-newsletter-brussels-no03-mar63.pdf

 

 

 

 

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2563

วารสารข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 2 เดือน กุมภาพันธ์ 2563

กฎหมายสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law)

คณะกรรมาธิการยุโรปได้มีการเสนอกฎหมายสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) ที่มีเป้าหมายปลอดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้
ภายในปี ค.ศ. 2050 เพื่อการปกป้องโลกและมนุษย์ กฎหมายสภาพภูมิอากาศของยุโรป (European Climate Law) ยังกำหนดทิศทางการ
ขับเคลื่อนนโยบายของสหภาพยุโรปทั้งหมดที่จะช่วยให้หน่วยงานสาธารณะ ภาคธุรกิจ และประชาชน สามารถคาดการณ์ได้ คณะกรรมาธิการได้มี
การเปิดรับฟังความเห็นสาธารณะเพื่อร่วมกันออกแบบกฎหมายนี้ด้วย กฎหมายสภาพภูมิอากาศยังได้ครอบคลุมถึงมาตรการในการติดตามความ
คืบหน้าและการปรับการดำเนินการให้สอดคล้องกัน เช่น กระบวนการกำกับดูแลสำหรับแผนด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศแห่งชาติของแต่
ประเทศสมาชิก รายงานที่ออกเป็นประจำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมยุโรป (European Environment Agency) และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอกาศและผลกระทบ ทั้งนี้จะมีการครวจสอบความคืบหน้า ทุกๆ 5 ปี ที่สอดคล้องกับการตรวจสอบการบรรลุ
การลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศเพื่อให้ทราบถึงภาพรวมของทั่วโลกตามข้อตกลงปารีส กฎหมายสภาพภูมิอากาศ ยังได้ระบุเส้นทางสู่เป้าหมาย
ใน ค.ศ. 2050 ดังนี้

– โดยอาศัยการประเมินผลกระทบที่ครอบคลุม (comprehensive impact assessment) คณะกรรมาธิการยุโรปจะเสนอเป้าหมายใหม่ของการลดก๊าซ
เรือนกระจก ในปี ค.ศ. 2030 ทั้งนี้ เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกฎหมายสภาพภูมิอากาศจะได้รับการแก้ไขหลังจากการประเมิน
ผลกระทบเสร็จสมบูรณ์
– ภายในเดือนมิถุนายน 2564 (ค.ศ.2021) คณะกรรมาธิการยุโรป จะทบทวนและหากจำเป็นต้องเสนอให้แก้ไขเครื่องมือทางนโยบาย เพื่อให้บรรลุการลดการปล่อยก๊าซเพิ่มเติมในปี ค.ศ.2030
– คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอการตั้งค่าเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วทั้งสหภาพยุโรป สำหรับปี ค.ศ. 2030-2050 (ปี พ.ศ.2573-2593)
เพื่อวัดความก้าวหน้าและการคาดการณ์ต่อหน่วยงานสาธารณะ ภาคธุรกิจ และประชาชน
– ภายในเดือนกันยายน 2566 (ค.ศ. 2023) และทุกๆ 5ปีหลังจากนั้น คณะกรรมาธิการยุโรปจะประเมินความสอดคล้องในมาตรการของสหภาพยุโรปและ
ของระดับชาติของประเทศสมาชิกต่อเป้าหมายความเป็นกลางด้านสภาพภูมิอากาศ และเป้าหมายในปี 2573-2593 (ค.ศ. 2030-2050)
– คณะกรรมาธิการยุโรปจะมีอำนาจในการออกข้อเสนอแนะต่อประเทศสมาชิกที่มีการดำเนินการไม่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพอากาศที่เป็นกลาง
และประเทศสมาชิกจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ
– ประเทศสมาชิกต้องพัฒนาและใช้กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่น และลดความเสี่ยงต่อผลกระทบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศ

การกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ

คณะกรรมาธิการยุโรปได้เปิดรับฟังความเห็นสาธารณะต่อข้อตกลงฉบับใหม่ ว่าด้วยสภาพภูมิอากาศยุโรป เพื่อให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มี
โอกาสแสดงความเห็นสาธารณะและมีบทบาทในการออกแบบดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ มีการแบ่งปันข้อมูล การเปิดตัวกิจกรรมระดับ
รากหญ้าและการจัดแสดงแนวทางปฎิบัติที่ผู้อื่นสามารถนำไปใช้ได้ ทั้งนี้ จะมีการเปิดการรับฟังความเห็นสาธารณะเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ข้อมูลที่ได้
จะนำไปใช้เพื่อปรับข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศ

ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย

การประกาศใช้กฎหมาย European Climate Law ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการลดการปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมของกระบวนการผลิตสินค้า การลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อป้องกันสารตกค้างในผลผลิต และการผลักดัน
และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทอดแทนสารเคมี นอกจากนี้ประเทศไทยจะต้องแบกรับภาระเกี่ยวกับการเก็บภาษีคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน
จะต้องเตรียมการรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการกำหนดนโยบายของประเทศ ภาคเอกชนไทยที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมที่อาจจะถูกกระทบโดย
มาตรการทางกฎหมายใหม่ได้เตรียมตัวรองรับการเปลี่ยนแปลง ปรับตัวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

สหภาพยุโรปอัดฉีดงบเพิ่มเติม 90 ล้านยูโรเพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาวัคซีนสู้ไวรัสโคโรนา

สหภาพยุโรปได้ประกาศเพิ่มเงินสนับสนุน 90 ล้านยูโร เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาวัคซีนเพื่อจัดการกับโรค
COVID-19ที่มีไวรัสโคโรนาเป็นสาเหตุหลักในการก่อโรค และมีการแพร่กระจายไปทั่วยุโรปโดยเฉพาะที่อิตาลี โดยสาขาที่ให้ทุนครอบคลุมทั้งการ
พัฒนาวิธีการรักษา การวินิจฉัยโรค การวิจัยทางคลินิกและระบาดวิทยา และการวิจัยด้านสังคมศาสตร์ ในขณะเงินสนับสนุน 90 ล้านยูโร ที่เพิ่มมาใหม่นี้
เป็นการสนับสนุนผ่านโครงการ Innovative Medicines Initiative ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสหภาพยุโรปและภาคเภสัชอุตสาหกรรม
จุดประสงค์หลักคือการช่วยจำกัดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทั้งในระดับสหภาพยุโรปและระดับโลก

การให้ความช่วยเหลือในระดับนานาชาติ
นอกจากงบสนับสนุนในสหภาพยุโรป คณะกรรมาธิการยุโรปยังมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 114 ล้านยูโรให้กับองค์การอนามัยโลก
(World Health Organisation, WHO) เพื่อสนับสนุนแผนการรับมือการระบาดทั่วโลกในประเทศที่มีระบบสาธารณสุขยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
เช่น ประเทศในแถบแอฟริกา

 

การประชุม ASEAN Day: Business Opportunities between Luxembourg and ASEAN

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้เข้าร่วมประชุม
ASEAN Day : Business Opportunities between Luxembourg and ASEAN งานประชุมดังกล่าว กล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัล
ปัญญาประดิษฐ์ระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ จะทำให้รูปแบบการค้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นการสร้าง
โอกาสด้าการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียนในรูปแบบ FTA จากนั้นเอกอัครราชทูตประเทศในอาเซียน 10 ประเทศนำเสนอทางธุรกิจ
และการลงทุนในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย ดร.มาณพ สิทธิเดช ได้ให้ข้อมูลนโยบายและโครงการสำคัญของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ประเด็นแรกคือ แนวทางการยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (EECi) นวัตกรรมใหม่
ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยมุ่งเน้น 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1. เกษตรสมัยใหม่และเทคโนโลยีชีวภาพ 2. เชื้อเพลิงชีวภาพและ
เคมีชีวภาพ 3. แบตเตอรีประสิทธิภาพสูงและขนส่งสมัยใหม่ 4. ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 5. เทคโนโลยีการบินและอวกาศ
และ 6. เครื่องมือทางการแพทย์ ประเด็นที่สองคือ การผลักดันโมเดล BCG ของประเทศไทย เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ
3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เน้นพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้ อยู่ภายใต้เศรษฐกิจ
สีเขียว (Green Economy) เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่พัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษา
สิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ระดับโลก เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำ ชุมชนเข้มแข็ง เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

ข้อมูลที่น่าสนใจของประเทศลักเซมเบิร์ก

ประเทศลักเซมเบิร์กมีอุตสาหกรรมหลัก คือ การให้บริการทางด้านการเงินและธนาคาร มีนโยบายปกป้องความลับ และให้สิทธิประโยชน์อย่างมาก
กับเงินลงทุนจากต่างประเทศ เช่น การคิดภาษีที่ถูกกว่า แล้วสามารถโอนเงินกลับไปยังประเทศตัวเอง โดยหักภาษีในอัตราที่ต่ำมากจนถูกขนานนาม
ว่าเป็นดินแดนภาษีต่ำ ด้วยเหตุนี้เงินทุนจากต่างประเทศมากมายเข้ามาอย่างมหาศาล เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Microsoft ลักเซมเบิร์ก
เป็นจุดศูนย์กลางของกองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังโดดเด่นเรื่องระบบขนส่งทางอากาศ
บริษัทคาร์โกลักซ์ (Cargolux) เป็น 1 ใน 5 สายการบินขนส่งสินค้า (Cargo Airlines) ชั้นนำของโลก ขนส่งสินค้า ยา สารเคมี วัตถุอันตราย และสัตว์มี
ชีวิต มีเที่ยวบินกว่า 500 เที่ยวทั่วโลกต่อสัปดาห์ ขนส่งสินค้าปริมาณกว่า 1 ล้านต้นต่อปี โดยไทยเป็นจุดหมายสำคัญของคาร์โกลักซ์ ปัจจุบันมีเที่ยวบิน
ไปกรุงเทพฯ 5 เที่ยวต่อสัปดาห์

 

การประชุม ISO/TC 217 Cosmetics ครั้งที่ 18

ในระหว่างวันที่ 4-8 พฤศจิกายน 2562 อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็น
หัวหน้าคณะผู้แทนไทยให้กับ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เช้าร่วมประชุม ISO/TC 217 Cosmetics ครั้งที่ 18 ในการประชุม
Working group 3 Analytical methods, Working group 4 : Terminology และ Working group 7 : Protection test methods โดยมีผู้แทน
ไทยจากกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย

 

ความเป็นมา

องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน (International Organization for Standardization – ISO) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการวิชาการที่ 217
ด้านเครื่องสำอาง (ISO-TC 217 Cosmetics) เพื่อจัดทำมาตรฐานสากลด้านเครื่องสำอาง โดยประเทศไทยเป็นสมาชิก P-member ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
โครงสร้างของ ISO/TC 217 ประกอบด้วยคณะทำงานด้านต่างๆ 5 คณะ ประกอบด้วย

WG 1 – คณะทำงานร่างมาตรฐานด้าน Microbiological standards and limits
WG 3 – คณะทำงานร่างมาตรฐานด้าน Analytical Methods
WG 4 – คณะทำงานร่างมาตรฐานด้าน Terminology
WG 7 – คณะทำงานร่างมาตรฐานด้าน Sun Protection Test Methods และ CAG – คณะทำงาน Chairman advisory group

 

ผลจากการประชุม

จากการประชุมพบว่า ประเทศไทยควรส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ISO/TC 217 ทั้งในส่วนคณะทำงานต่างๆ และ Plenary meeting อย่างต่อเนื่อง
ตลอดจนพิจารณาเข้าร่วมการทดสอบ ring test ของการพัฒนาวิธีทดสอบที่เกี่ยวข้องในเครื่องสำอาง เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์และวิธีทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ตลอดจนได้รับทราบข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และติดตามการทำงานของคณะกรรมการ
ได้ทันเหตุการณ์ จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของประเทศ การดำเนิงานรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
และได้ข้อมูลทางวิชาการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเพื่อเสนอข้อคิดเห็นและคัดค้านการกำหนดมาตรฐาน ที่เข้มงวดไป หรือวิธีทดสอบผลิตภัณฑ์
เครื่องสำอาง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุปสรรคในการส่งออกของผู้ประกอบการไทยในอนาคตได้

 

ประโยชน์ที่ได้รับ

จากการเข้าร่วมประชุมดังกล่าวหน่วยงานไทยได้รับประโยชน์ดังนี้
1. ได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางกับผู้เชี่ยวชาญจากประเทศต่างๆ ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้ว
และประเทศกำลังพัฒนา
2. ได้รับทราบถึง Harmonized rule การพัฒนามาตรฐานวิธีทดสอบ แนวทางในการพัฒนาคุณภาพความปลอดภัย และการพัฒนาความสามารถในการ
แข่งขันของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก
3. ได้ร่วมเสนอความเห็นและคัดค้านการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดเกินไป หรือทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้เครื่องมือที่มีราคาแพงมากซึ่งอาจ
ก่อให้เกิดอุปสรรคในการส่งออกของผู้ประกอบการไทยในอนาคตได้ และ
4. มีโอกาสร่วมอยู่ในคณะทำงานของผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศต่างๆ ในการจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เกิดการสร้างมิตรภาพ
การพัฒนาความสามารถบุคลากรไทย สร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระหว่างประเทศ

 

 ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2020/20200713-newsletter-brussels-no02-feb63.pdf

เทคนิคการ copy ชื่อไฟล์ทีเดียวพร้อมกันหลายไฟล์

ในการทำงานหลายครั้งเราต้องส่งข้อมูลไปพร้อมกับภาพหลายๆ ภาพ ซึ่งถ้าภาพมีจำนวนมากจะประสบปัญหาการระบุข้อมูลกับภาพที่จะใช้ให้ตรงกัน ในบทความนี้จะเป็นเทคนิคที่จะสามารถดึงชื่อไฟล์ภาพออกมาทีเดียวหลายไฟล์ เพื่อที่จะนำไปเขียนข้อมูลประกอบได้ง่ายขึ้น

ตั้งต้นว่ามีไฟล์ภาพที่ต้องนำไปใส่คำอธิบายใน excel อยู่จำนวนหนึ่ง ชื่อไฟล์มาจากกล้องที่ถ่าย โดยถ้าหากคัดเลือกภาพแล้วเลขชื่อไฟล์จะรันข้าม ดังภาพตัวอย่าง

.

ให้ทำการ select รูปที่ต้องการ แล้วไปที่เมนู Home ตรงช่วงแถบเครื่องมือ Clipboard ให้คลิกปุ่ม copy path เป็นการเก็บ path และชื่อไฟล์มาไว้ใน Clipboard แล้ว

.

ขั้นตอนต่อไปเราจะไปวางใน excel ให้เปิดโปรแกรม excel แล้ว paste หรือวาง ในตำแหน่งที่ต้องการได้เลย จะเห็นว่าชื่อไฟล์ทั้งหมดจะปรากฏแล้ว แต่มี path ของรูปติดมาด้วย

.

ให้ทำการเอาส่วน path ที่เราไม่ต้องการออก ในที่นี้คือ C:\Users\001274\Desktop\เครื่องแต่งกายและอาวุธ\ โดยวิธีการคือ ใช้เครื่องมือ Replace อยู่ในเมนู Home ช่วงแถบเครื่องมือ Editing คลิก Find & Select เลือก Replace หรืออาจใช้ short cut Ctrl+H

.

เมื่อมีหน้าต่าง Replace ขึ้นมา ให้ใส่คำที่เราต้องการลบ ลงไปในช่อง Find what
ส่วนในช่อง Replace with ไม่ใส่ข้อความใดๆ แล้วให้กดปุ่ม Replace All ได้เลย

.

ผลลัพธ์ที่ได้ จะเหลือแค่ชื่อไฟล์ที่เราต้องการใน excel นำไปใส่ข้อมูลต่อได้