ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัล ประจำปี 2565 โดย IMD (2022 IMD World Digital Competitiveness Ranking)

ในปี 2565 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ไว้ที่ https://www.imd.org/centers/world-competitiveness-center/rankings/world-digital-competitiveness/ โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2564-2565 โดย IMD

                        ประเทศ เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ไทย
                            ปี 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564
อันดับรวม 1 4 2 1 3 3 4 5 5 6 40 38
1. ความรู้ 6 8 4 3 2 2 5 4 1 1 45 42
1.1 ความสามารถพิเศษ 5 5 14 13 6 7 3 2 2 3 37 39
1.2 การฝึกอบรมและการศึกษา 7 4 23 24 4 2 9 13 8 7 57 56
1.3 ความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 17 17 1 2 2 4 11 11 8 8 36 36
2. เทคโนโลยี 7 9 9 4 5 8 1 3 12 11 20 22
2.1 โครงสร้างการควบคุม 6 4 12 12 2 3 1 5 8 9 34 29
2.2 เงินทุน 14 13 2 1 7 5 11 14 12 12 20 19
2.3 โครงสร้างเทคโนโลยี 6 6 13 9 9 13 2 2 11 11 18 22
3. ความพร้อมในอนาคต 1 2 3 1 4 6 10 11 7 3 49 44
3.1 ทัศนคติที่ปรับตัวได้ 5 4 4 1 7 5 17 11 12 10 52 53
3.2 ความคล่องตัวทางธุรกิจ 1 7 4 1 10 13 9 12 7 4 41 34
3.3 การรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1 1 10 3 4 5 8 7 6 4 50 43

เดนมาร์กได้อันดับ 1 เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ถัดมาเป็นสวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว ส่วนไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ

เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 2 อันดับ เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความรู้เกิดจากการยังคงรักษาอันดับ 5 และ 17 ไว้ได้ทั้งในปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลง 3 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ตัวชี้วัดที่ทำเกิดการรักษาอันดับไว้ได้ทั้งปีนี้และปีที่แล้วของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ คือ ตัวชี้วัดการประเมินนักเรียนนานาชาติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) วิชาคณิตศาสตร์ ที่ยังคงรักษาอันดับ 12 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว และตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับได้เหมือนปีแล้ว คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน และตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ที่ยังรักษาอันดับ 2 และ 32 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ตามลำดับ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา ตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และตัวชี้วัดผู้หญิงที่ได้รับปริญญา โดยเฉพาะตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา เลื่อนอันดับลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 7 ส่วนปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน 2 และ 1 อันดับ จากอันดับ 4 และ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 6 และ 14 ในปีนี้ ตามลำดับ และการยังคงรักษาอันดับ 6 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 17 อันดับ จากอันดับ 25 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 42 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ 4 อันดับ ในปีนี้มีอันดับ 54 ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 50 ทำให้ตัวชี้วัดหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดทางสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดจากตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว การยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงและขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมี 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลงเล็กน้อย ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 6 อันดับ จากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 5 และถึง 7 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics เป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด

สหรัฐอเมริกา ลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ได้อันดับ 2 ในปีนี้ เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยทั้งหมด ได้แก่ 1. ปัจจัยความรู้ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ 2. ปัจจัยเทคโนโลยี เลื่อนอันดับลง 5 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ 3. ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง 2 อันดับ เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้เกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษ 1 อันดับ จากอันดับ 13 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 10 ในปีนี้ ของตัวชี้วัดทักษะทางด้านเทคโนโลยีหรือดิจิทัล ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับลง ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนลง เนื่องจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นหลัก ที่เลื่อนอันดับลง 4 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 13 การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 5 ตัวชี้วัดจากทั้งหมด 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค โดยเฉพาะตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนลง 6, ถึง 15 และถึง 12 อันดับ เป็นอันดับ 21, 28 และ 35 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคต เลื่อนอันดับลง เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหลัก ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 10 ตัวชี้วัดที่มีผลให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน และตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 7 และ 5 อันดับ จากอันดับ 11 และ 22 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 18 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ

สวีเดน มีอันดับ 3 เหมือนปีที่แล้ว เนื่องมาจากการยังคงรักษาอันดับ 2 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยเทคโนโลยี และปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 5 และ 4 ในปีนี้ ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษและปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ 1 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 6 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ และการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา 2 อันดับ จากอันดับ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความสามารถพิเศษเลื่อนอันดับขึ้น ได้แก่ ตัวชี้วัดประสบการณ์ระหว่างประเทศ และตัวชี้วัดบุคลากรที่มีทักษะสูงเรื่องต่างประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 3 และ 17 ในปีนี้ ตามลำดับ การเลื่อนอันดับขึ้นของตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิง ตัวชี้วัดผลิตผลทางการวิจัยและพัฒนาในรูปของสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ตัวชี้วัดการจ้างงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และตัวชี้วัดการศึกษาวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับหุ่นยนต์ โดยเฉพาะตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์มีอันดับเลื่อนขึ้น การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษาเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของตัวชี้วัดการฝึกหัดพนักงาน 4 อันดับ จากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 7 ในปีนี้

สิงคโปร์ได้อันดับ 4 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นผลจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 1 และ 10 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 3 และ 11 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลืออีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยความรู้มีอันดับลดลง 1 อันดับ จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 5 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ทำให้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับดีขึ้น คือ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม และปัจจัยย่อยเงินทุน ที่มีอันดับดีขึ้น 4 และ 3 อันดับ จากอันดับ 5 และ 14 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 1 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเนื่องจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นเป็นหลักของตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองถึง 18 อันดับ จากอันดับ 61 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 43 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยเงินทุนมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่มีอันดับเลื่อนขึ้น 4 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยความพร้อมในอนาคตเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ 3 อันดับ จากอันดับ 12 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจมีอันดับเลื่อนขึ้น คือ ตัวชี้วัดโอกาสและอุปสรรค ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดการถ่ายทอดความรู้ โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท และตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับเท่ากัน เป็นอันดับ 10 และ 11 ในปีนี้ ตามลำดับ

อันดับ 5 คือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับจากปีที่แล้ว เนื่องจากการยังคงรักษาอันดับ 1 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยความรู้ และการเลื่อนอันดับลง 1 และ 4 อันดับ จากอันดับ 11 และ 3 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 12 และ 7 ในปีนี้ ของปัจจัยเทคโนโลยีและปัจจัยความพร้อมในอนาคต ตามลำดับ การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยความรู้เป็นผลมาจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ที่อันดับ 8 เหมือนปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่ทำให้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ยังคงรักษาอันดับไว้ได้ คือ ตัวชี้วัดบุคลากรทางด้านวิจัยและพัฒนาทั้งหมดต่อคน ที่ยังคงรักษาอันดับ 4 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้ว ปัจจัยเทคโนโลยีเลื่อนอันดับลงเนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม 1 อันดับ จากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 8 ในปีนี้ และการยังคงรักษาอันดับ 12 และ 11 ไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของปัจจัยย่อยเงินทุนและปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุมเลื่อนอันดับขึ้นเกิดจากการเลื่อนอันดับขึ้นเล็กน้อยของตัวชี้วัดการเริ่มต้นธุรกิจ ตัวชี้วัดการบังคับใช้สัญญา และตัวชี้วัดการพัฒนาและโปรแกรมใช้งานของเทคโนโลยี การยังคงรักษาอันดับไว้ได้ของปัจจัยย่อยเงินทุนเกิดจากการยังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วของตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี ตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ และตัวชี้วัดการร่วมลงทุน ที่อันดับ 9, 1 และ 11 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยียังคงรักษาอันดับไว้ได้เหมือนปีที่แล้วเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับขึ้นและลงของตัวชี้วัดทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 6 ตัวชี้วัด โดยที่ตัวชี้วัดเทคโนโลยีการสื่อสาร ตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดความเร็วการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1, 2 และ 1 อันดับ เป็นอันดับ 7, 11 และ 2 ในปีนี้ ตามลำดับ ในขณะที่ตัวชี้วัดผู้บอกรับเป็นสมาชิกบรอดแบนด์ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ตัวชี้วัดบรอดแบนด์ไร้สาย และตัวชี้วัดการส่งออกสินค้าไฮเทค มีอันดับเลื่อนลง 5, 4 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 11, 42 และ 33 ในปีนี้ ตามลำดับ ปัจจัยความพร้อมในอนาคตมีอันดับเลื่อนลงเป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปจจัยย่อยทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 3 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจ และปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอันดับเลื่อนลง 2, 3 และ 2 อันดับ เป็นอันดับ 12, 7 และ 6 ในปีนี้ ตามลำดับ ตัวชี้วัดหลักที่ทำให้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้เลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน ที่เลื่อนอันดับลงถึง 22 จากอันดับ 4 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 26 ในปีนี้ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับเลื่อนลงมากที่สุด ตัวชี้วัดที่มีผลทำให้ปัจจัยย่อยความคล่องตัวทางธุรกิจเลื่อนอันดับลง คือ ตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท ตัวชี้วัดการใช้ big data และ analytics และตัวชี้วัดความกลัวของผู้ประกอบการต่อความล้มเหลว โดยเฉพาะตัวชี้วัดความคล่องตัวของบริษัท มีอันดับเลื่อนลง 3 อันดับ เป็นอันดับ 9 ในปีนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยย่อยการรวมกันของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอันดับเลื่อนลง คือ ตัวชี้วัดความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 8 อันดับ เป็นอันดับ 15 ในปีนี้

ปีนี้ไทยได้อันดับ 40 ลดลงจากปีที่แล้ว 2 อันดับ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยความรู้และปัจจัยความพร้อมในอนาคต 3 และ 5 อันดับ จากอันดับ 42 และ 44 ในที่แล้ว เป็นอันดับ 45 และ 49 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยเทคโนโลยี มีอันดับเลื่อนขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 22 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 20 ดังนั้นไทยยังคงต้องพัฒนาด้านความรู้และด้านความพร้อมในอนาคต เนื่องจากยังคงมีอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดีในปีนี้และมีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว และทั้งสองปัจจัยเป็นเหตุทำให้ไทยจัดอยู่ในอันดับ 40 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างมากซึ่งมีทั้งอันดับต่ำในปีนี้และปีที่แล้ว คือ 1. ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา อยู่ภายใต้ปัจจัยความรู้ ที่เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ จากอันดับ 56 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 57 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 2. ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ อยู่ภายใต้ปัจจัยความพร้อมในอนาคต มีอันดับเลื่อนขึ้น 1 อันดับ จากอันดับ 53 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 52 ในปีนี้ ตัวชี้วัดหลักที่มีผลต่อปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา คือ ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา และตัวชี้วัดจำนวนเฉลี่ยของนักศึกษาต่ออาจารย์ในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย มีอันดับ 59 และ 56 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 55 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษาเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีที่แล้ว ตัวชี้วัดที่สำคัญที่มีผลต่อปัจจัยย่อยทัศนคติที่ปรับตัวได้ คือ ตัวชี้วัดการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต และตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ต มีอันดับ 46 และ 58 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 50 และ 57 ตามลำดับ ทำให้ตัวชี้วัดการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ ถึงแม้ปัจจัยเทคโนโลยีมีอันดับจัดอยู่ในระดับปานกลางทั้งปีนี้และปีที่แล้ว แต่มีตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ปัจจัยย่อยเงินทุน และปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยีที่ต้องพัฒนาอย่างมาก คือ ตัวชี้วัดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างการควบคุม ตัวชี้วัดการให้ทุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีและตัวชี้วัดการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน และตัวชี้วัดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตภายใต้ปัจจัยย่อยโครงสร้างเทคโนโลยี ที่มีอันดับ 43, 40, 41 และ 44 ในปีนี้ ตามลำดับ ส่วนตัวชี้วัดที่ได้รับการพัมนาขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมาก ได้แก่ 1. ตัวชี้วัดรายจ่ายของรัฐทั้งหมดในเรื่องการศึกษา มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 9 อันดับ จากอันดับ 59 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 50 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยการฝึกอบรมและการศึกษา ปัจจัยความรู้ 2. ตัวชี้วัดการให้ทุนสิทธิบัตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับ 42 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 31 ในปีนี้ ตัวชี้วัดนี้อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ ในขณะที่ตัวชี้วัดที่มีอันดับดีมากในปีนี้ คือ ตัวชี้วัดนักวิจัยผู้หญิงที่ยังคงครองอันดับดีที่สุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว โดยได้อันดับ 6 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ปัจจัยความรู้ และตัวชี้วัดการลงทุนในโทรคมนาคม ที่มีอันดับ 7 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 10 อยู่ภายใต้ปัจจัยย่อยเงินทุน ปัจจัยเทคโนโลยี

สำหรับไทยยังคงต้องพัฒนาอีกหลายตัวชี้วัดดังได้กล่าวมาแล้ว เนื่องจากปีนี้มีอันดับ 40 ซึ่งเป็นอันดับค่อนไปในทางที่ไม่ดี โดยเฉพาะด้านการเป็นเจ้าของแท็บเล็ตและด้านความสามารถความปลอดภัยทางไซเบอร์ของรัฐบาล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีอันดับต่ำสุดในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมดในปีนี้ อยู่ที่อันดับที่ 57 ในปีนี้ เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับดีขึ้นมาก

หน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัย

ทีมรณรงค์สวมหมวกนิรภัย นำความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของหมวกนิรภัย และการเลือกใช้หมวกนิรภัยมาฝากค่ะ

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

วิทย์ปริทัศน์ OHESI SCIENCE REVIEW
ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม 2565

Metaverse คืออะไร?
Metaverse มาจากคำว่า Meta กับ Verse รวมกันความหมายว่าเป็น “จักรวาลที่อยู่เหนือจินตนาการ” หรือศัพท์บัญญัติคำไทยว่า “จักรวาลนฤมิต” Metaverse เป็นอะไรก็ได้ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ อย่างไรก็ตาม Metaverse ยังเป็นแนวคิดในอุดมคติ ภาพรวมของ Metaverse ใกล้เคียงกับเครือข่ายอินเทอรเน็ต (World Wide web) กลายเป็นรูปแบบ 3 มิติ มีการไหลเวียนการส่งต่อธุรกิจ ข้อมูล และเครือมือการสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และสามารถใช้งานพร้อมกันเหมือนการจำลองโลกทางกายภาพให้โลกคู่ขนานรูปแบบดิจิทัล

Metaverse จะเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยีบ้าง?
Metaverse ไม่ใช่เพียงโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) ที่เปิดให้คนสื่อสารเพียงคนเดียวแต่ได้เชื่อมต่อผู้คนระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงไปสู่โลกดิจิทัล โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีหลายประเภท เพื่อทำกิจกรรมได้พร้อมกัน คำศัพท์ที่ปรากฏดังต่อไปนี้มีส่วนประกอบสร้าง  Metaverse ให้สมจริงและจับต้องได้มากขึ้น
Assisted Reality เทคโนโลยีผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้สามารถดูหน้าจอและโต้ตอบกับหน้าจอโดยไม่ต้องใช้มือ (hands-free) ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้คือ แว่นตาอัจฉริยะ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายให้ผู้ใช้สื่อสารและสั่งการผ่านเสียงก็จะได้ข้อมูลขึ้นสู่สายตาทันที
Augmented Reality (AR) คือการนำโลกเสมือนเข้ามาผนวกกับโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งใช้ได้บนอุปกรณ์ทั่วไปเช่น มือถือ ไอแพด หรือแท็บเล็ต ผู้ใช้งานจะเห็นเป็นภาพสามมิติที่ลอยอยู่เหนือวัตถุหรือสภาพแวดล้อมในโลกจริง ในวงการธุรกิจเริ่มมีการใช้ AR เข้ามาผสานกับการขายสินค้าบ้าง ให้เห็นชัดๆ ว่าสินค้าที่เลือกดูเป็นอย่างไร แบบไม่ต้องไปเดินเลือกถึงหน้าร้าน เช่น IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ได้ทำแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองนำรูปเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเทคโนโลยี AR ไปทดลองวางในห้องตนเองได้
Meatspace คำที่ใช้เรียกโลกทางกายภาพหรือโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่เป็นส่วนใหญ่
Multiverse หรือ จักรวาลโลกคู่ขนานใช้เรียกแพลตฟอร์ม หรือ Community ในโลกดิจิทัลที่ทำงานอิสระจากกันและกัน เช่น Facebook, Minecraft, Instagram, Roblox, Fortnite, Discord โดยตามทฤษฎีแล้ว Metaverse สามารถถึง Multiverse เหล่านี้มาทำงานอยู่ในที่เดียวได้
NFT หรือ Non-Fungible Tokens เสมือนเครื่องยืนยันว่าใครสามารถครอบครอง ซื้อ หรือ ขาย และสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่ปรากฎอยู่ในโลกดิจิทัลเท่านั้น โดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนคอยกำกับความเป็นเจ้าของและป้องกันการขโมยตัวอย่าง NFT ได้แก่ ผลงานศิลปะ บัตรกีฬา ของสะสม โดย NFT สามารถซื้อขายได้โดยสกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency
Virtual Reality หรือ ประสบการณ์เสมือนจริง เป็นการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงผู้ใช้งานกับโลกดิจิทัล

Metaverse มีประโยชน์อย่างไร?
     Metaverse สามารถช่วยจำลองให้เราไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ได้ โดยอาศัยการเชื่อมต่อผ่านรูปแบบต่างๆ เช่น อินเทอร์เน็ต, อุปกรณ์, สมาร์ทโฟน, แอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ แม้ว้าช่วงแรก Metaverse นำมาใช้ในเกมออนไลน์ แต่ภายหลังเริ่มมีการเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ Metaverse 5G ยังพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยี 5G คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเพิ่มความเร็วของอินเทอร์เน็ต และการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง กลายเป็นยุค “Internet of Things” นำไปสู่การพัฒนาและใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น

 A.ด้านแพทย์
1. เครือโรงพยาบาลสินแพทย์ผนึกกำลัง Meta Med และ Metaverse Thailand ปฏิรูปวงการแพทย์ โดยเปิดตัวศูนย์การแพทย์ทางเลือกใหม่แห่งแรกในประเทศไทย เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าบนโลกดิจิทัล ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Move life beyond” ให้คำปรึกษาทางการแพทย์, ห้องแล็บ (Lab), Imagine Center, ร้านขายยา สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ป่วยตอบโจทย์ความสะดวกสบายที่ให้บริการด้านการแพทย์ครบวงจร เช่น การติดตามผู้ป่วย การบริหารจัดการ ทรัพยากรของโรงพยาบาล การจัดส่งยา และอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยในช่วงแรกจะเปิด Telemedicine Plus ให้คำปรึกษาผ่าน Metaverse ในอนาคตคนไข้จะสามารถเข้ารักษาในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด รวดเร็ว มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เทคโนโลยีนี้ยังนำมาใช้รักษาสภาวะป่วยทางจิตใจหลังกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงหรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) ของกลุ่มทหารที่ผ่านศึกสงครามมาบำบัด มีการศึกษาพบว่า วิธีบำบัดลักษณะนี้ช่วยบรรเทาอาการ PTSD ได้อย่างมีประสิทธิผล
B.ด้านวิศวกรรม
วิศวกร นักออกแบบ และสถาปนิกที่ต้องการทำงานร่วมกันได้ประโยชน์จาก metaverse เทคโนโลยี Augmented และ Virtual Reality มีประโยชน์การเปลี่ยนผ่านจากการทำงานในสำนักงานแบบเดิม วิศวกรใช้ VR และ AR เพื่อติดต่อลูกค้า แสดงแบบจำลองระยะไกล และไม่ต้องเดินทาง และมีค่ามากกว่าการโทรด้วย Zoom
C.ด้านอีคอมเมิร์ซ
ห้างสรรพสินค้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ เร่งพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อดึงดูดผู้บริโภค บนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือ Virtual Mall
ในญี่ปุ่น ห้างสรรพสินค้าอิชิตันเปิดตัวในรูปแบบ “ห้างเสมือนจริง” จำลองจากห้างอิเซตันที่ชินจุกุ กรุงโตเกียว มีพนักงานให้บริการประจำร้านสามารถพิมพ์แชทคุยกับพนักงานได้ สิงคโปร์จัดทำโครงการ ‘IMM Virtual Mall’ ขึ้นบนระบบออนไลน์ของ Shopee เชื่อมกับร้านค้าในห้างสรรพสินค้า IMM ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายไม่ต้องออกไปเจอผู้คนในช่วงโควิด-19
ส่วนในไทย มีความร่วมมือกันของ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด, บริษัท ซิตี้มอลล์ กรุ๊ป จำกัด (ดิ เอ็มโพเรียม) บริษัท ทวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน) พัฒนาภาคการค้าปลีกเกิดแพลตฟอร์ม V-Avenue by AIS 5G ซึ่งถือเป็น Virtual Mall แห่งแรกของไทย โดยเชื่อมต่อโดยตรงกับมาเก็ตเพลสออนไลน์ให้สัมผัสการช้อปปิ้งที่แตกต่าง 
D.ด้านการลงทุน
ปัจจุบันมีการทำธุรกรรมบนโลกเสมือนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมใช้บริการแบบ non-face to face โดยผนวกแนวคิดการให้บริการทางการเงินบนโลกเสมือน (virtual financial services) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ขององค์กร เช่น บริษัท NH Investment & Securities ในเกาหลีจะเปิดตัว metaverse platform โดยมี virtual space เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ทั้งร่วมสัมมนา หรือธุรกิจธนาคาร KB Kookmin Bank ได้สร้าง Virtual Financial Town เพื่อให้บริการผ่าน avatar และ VDO chat เสมือนไปธนาคารจริง
Metaverse กับสินทรัพย์ดิจิทัล
สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจใน metaverse ในโลกเสมือน งานศิลปะ ตัวละคร avatar หรือ item เกมต่างๆ ซึ่งมีเทคโนโลยีบล็อกเชนช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ นอกจากนี้ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลยังเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการใน metaverse ด้วย
E.ด้านการท่องเที่ยว
“Metaverse Seoul” เมืองเสมือนจริงแห่งแรกของโลก รัฐบาลทุ่มทุนสร้างกว่าร้อยล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘วิสัยทัศน์โซล 2030’ (Seoul Vision 2030) ภายใต้แนวคิด “Future Emotional City” จุดประสงค์คือการสร้างระบบนิเวศเสมือนจริง ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน วัฒนธรรม การบริการพลเมือง การท่องเที่ยว ที่แตกต่างคือ คนในเมืองสามารถเข้าถึงบริการจากภาครัฐได้ง่ายขึ้น แสดงข้อคิดเห็นต่อการทำงานของรัฐบาลได้โดยตรง นอกจากนี้ Metaverse Seoul เปิดมิติใหม่ทางด้านการท่องเที่ยวด้วยการบริการในรูปแบบ Virtual Tourist Zone ยกสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในกรุงโซล จัตุรัสควางฮวามุน (Gwanghwamun Square) พระราชวังถ็อกซูกุง (Deoksugung Palace) และแหล่งช็อปปิ้งใหญ่และเก่า ตลาดนัมแดมุน (Numdaemun Market) จะมีการเปิดตัวเป็นทางการในต้นปี 2566

โทษและผลกระทบของ Metaverse
อย่างไรก็ตาม ‘โลกเสมือน’ หรือ ‘Metaverse’ ไม่ได้มีแต่ข้อดี แต่ยังให้โทษและสร้างผลกระทบหลายๆ ด้านด้วยเช่น
1.อาชญากรรมไซเบอร์
อาชญากรรมไซเบอร์เป็นปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับอินเทอร์เน็ตตั้งแต่มีมา แม้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ต่อสู้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก metaverse เป็นแนวคิดใหม่ จึงยังไม่มีระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง ทำให้เสี่ยงต่อกิจกรรมผิดกฎหมายทุกประเภท เช่น การฉ้อโกง การฟอกเงิน การแสวงประโยชน์จากเด็ก สินค้าผิดกฎหมาย การค้าบริการ และการโจมตีทางไซเบอร์ ทั้งรัฐบาลยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้และต่อต้านอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต
2. ปัญหาการเสพติด
การเสพติดโลกเสมือน เนื่องจากดำดิ่งสู่โลกเสมือนจริง โดยผู้ใช้เด็กและวัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด โดยบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าสู่ metaverse จะก่อให้เกิดอันตรายต่อพัฒนาการ ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ชีวิตจริงยากต่อการแยกความแตกต่างระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน เป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสมดุลให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ให้มีเวลาเพียงพอ ในขณะที่พยายามป้องกันพฤติกรรมเสพติด
3. ปัญหาสุขภาพจิต

การศึกษาทางจิตวิทยาระบุว่าการหมกมุ่นกับโลกดิจิทัลนี้และการแยกตัวออกจากโลกความเป็นจริงจะเพิ่มโอกาสการหย่าร้างจากความเป็นจริงอย่างถาวรและนำไปสู่อาการใกล้เคียงกับโรคจิตได้อาการซึมเศร้า เป็นความเสี่ยงสำหรับผู้เข้าร่วม metaverse และพบว่าดีกว่าชีวิตจริง ทำให้ความมั่นใจและความนับถือตนเองลดลงอาจทำให้ผู้ใช้เกิดภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง

4. ปัญหาสุขภาพกาย

สำนักข่าว BBC รายงานว่า ‘นักพัฒนาซอฟต์แวร์และจักษุแพทย์มีความกังวลต่อการใช้แว่น VR ระยะยาว อาจทำให้เกิดอาการตาล้า (Eye Strain) และพบว่า มีอาการปวดตา ระคายเคือง ตาแห้ง ปวดศีรษะ เวียนหัว คลื่นไส้ บางรายมีอาการคล้ายโรคบกพร่องทางการอ่าน (Dyslexia)’ นอกจากนี้ การท่องโลกเสมือนร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ติดแว่น VR และเก้าอี้เป็นเวลานาน นำไปสู่โรคอ้วน ออฟฟิศซินโดรม และส่งผลกระทบร่างกายอีกนับไม่ถ้วน

เปิดตัวอภิมหาโปรเจคระดับโลก Metaverse “Tranclucia”

          ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ทีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) (T&B Media Global )  บริษัท Entertainment รายใหญ่ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านการสร้างสรรค์ ล่าสุดได้นำบริษัทที่พัฒนาด้านเทคโนโลยีเข้าซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (NASDAQ) ทุ่มสร้างอาณาจักรโลกเสมือน (Metaverse) “Translucia” ซึ่งเป็นโลกเสมือนสุดจินตนาการรายแรกของไทย โดย Metaverse Translucia จะเพิ่มมูลค่าให้กับสังคมและโลกธุรกิจ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง มาผสมผสานกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์ในรูปแบบใหม่

อาชีพอนาคตไกลในยุค Metaverse

1.วิศวกรซอฟต์แวร์ AR/VR

          งานด้าน Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) กำลังมาแรง บริษัทต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์ที่มีทักษะ AR/VR เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการประมวลผล ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันต่างๆ

2.ผู้จัดการผลิตภัณฑ์

ตำแหน่งนี้เป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างลูกค้าและองค์กร คอยดูแลรักษาฐานลูกค้า เพราะสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญของธุรกิจ จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่จะต้องวิเคราะห์แนวโน้ม ประเมินสถานการณ์ จับกระแสเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภค ต้องรู้ว่าเทคโนโลยีไหนเหมาะที่จะมาใช้กับสินค้าและบริการขององค์กรมากที่สุด มีบริษัทที่เปิดรับเช่น Snap, Google และ Oculus

3.นักออกแบบเกม 3 มิติ

แพลตฟอร์มที่ใช้สร้างวิดีโอเกม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการสร้างเกมกำลังมุ่งสู่ศิลปินมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนนักเทคโนโลยี โดยนักออกแบบเกมใน metaverse จะต้องรับผิดชอบในการออกแบบ สร้างต้นแบบ และสร้างประสบการณ์การเล่นเกม 3 มิติที่ดึงดูดผู้เล่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้การเล่นเกมถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบัน เงินเดือนเฉลี่ยสำหรับนักออกแบบเกม 3 มิติในสหรัฐฯ คือ 78,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

 

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/ost-sci-review-jan2022.pdf

 

 

 

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 4 เดือน เมษายน 2565

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์
ฉบับที่ 4 เดือน เมษายน 2565

โรงงานต้นแบบต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่แบบอเนกประสงค์: ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (BBAPP)
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 บริษัท ไบโอเบส ยุโรป ไพล็อท แพลนท์ (BBEPP) ประเทศเบลเยียมและ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประเทศไทย ได้ประกาศเปิดตัวบริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (BBAPP) ซึ่งเป็นโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรี่แบบอเนกประสงค์ (multipurpose biorefinery pilot plant) สร้างขึ้นในพื้นที่ “ไบโอโพลิส (Biopolis)” เมืองนวัตกรรมชีวภาพที่รองรับการทำวิจัยขยายผลซึ่งเป็นแพลทฟอร์มนวัตกรรมตั้งอยู่ที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ประเทศไทย

โดยที่ผ่านมา สำนักงานที่ปรึกษาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้ประสานและเข้าร่วมประชุมระหว่างศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หน่วยงานภายใต้ สวทช. และบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียม ซึ่งมีประสบการณ์ในการให้บริการโรงงานต้นแบบประเภท Multi-purpose เพื่อแสดงเจตจำนงการร่วมกันจัดตั้งโรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant) ที่จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโรงงาน

   ข้อมูลภูมิหลัง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ให้มีการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป และให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) พิจารณากำหนดและดำเนินแผนงาน/โครงการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG 2564-2570 โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

โดยการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางไบโอรีไฟเนอรีแห่งอาเซียนภายในปี 2570 เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของ BCG Model สาขาพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) เป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรและชีวมวลด้วยกระบวนการทางกายภาพ เคมี และ/หรือชีวภาพ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพ (Bio-based products) เช่น วัสดุชีวภาพ เคมีชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ ส่วนประกอบเชิงหน้าที่ในผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงจากจุลินทรีย์ที่ให้คุณสมบัติพิเศษ (synthetic biology) สำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร เป้าหมายโดยมีการเชื่อมโยงโครงการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการสนับสนุนการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน หลักสำคัญของอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี คือการให้ความสำคัญกับระบบการผลิตที่ยั่งยืนซึ่งเกิดจากการนำวัตถุดิบที่เป็นทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ (renewable resources) ใช้กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ และปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาน้อยกว่าการผลิตจากปิโตรเลียม อุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรีเป็นอุตสาหกรรมที่จะลดช่องว่างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจระยะยาว 

ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในประเทศไทยภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG รัฐบาลไทยได้อนุมัติการลงทุนเพื่อที่จะจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี (Biorefinery) ณ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ตั้งอยู่ที่ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (MHESI) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยสำคัญของประเทศ ได้รับมอบหมายให้ร่วมกันกำกับดูแลการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโรงงานต้นแบบไบโอรีไฟเนอรีแบบอเนกประสงค์ (multipurpose biorefinery infrastructure) โครงสร้างแห่งนี้ประกอบไปด้วยโรงงานต้นแบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ Non-GMP ถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาในระดับขยายขนาดกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากระดับห้องปฏิบัติการสู่ระดับนำร่องสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของเทคโนโลยีฐานชีวภาพ แต่ยังมีการคาดหวังไว้ว่าอุตสาหกรรมฐานชีวภาพที่มีมูลค่าสูงจะช่วยผลักดันการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน

   ความร่วมมือระหว่างบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียมและ สวทช.
จากการประสานงานของสำนักงานที่ปรึกษาประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ผู้บริหารของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ สวทช. ได้เข้าเยี่ยมชมและเรียนรู้การทำงาน รวมถึงได้พูดคุยกับผู้บริหารของบริษัท BBEPP ประเทศเบลเยียม จำนวนหลายครั้ง ต่อมาสำนักงานฯ ได้ประสานลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding on Collaboration for Establishing the Bio Base Asia Pilot Plant in Thailand) ระหว่าง 2 หน่วยงาน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ร่วมกัน ภายใต้ข้อตกลงนำไปสู่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่ไม่แสวงหาผลกำไร (not-for-profit) ภายใต้ชื่อ บริษัท ไบโอเบส เอเชีย ไพล็อท แพลนท์ (Bio Base Asia Pilot Plant-BBAPP) ระหว่าง สวทช. และ BBEPP ในรูปแบบการร่วมทุน (joint venture) ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนทั้งในส่วนเงินและเทคโนโลยีเพื่อจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งและความเชี่ยวชาญ ข้อได้เปรียบของ BBAPP เกิดจากการรวมพันธมิตรแต่และฝ่ายทั้งเงินทุน องค์ความรู้ และความพร้อมด้านบุคลากร ช่วยให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีระดับโลก ทำให้ BBAPP เป็นผู้นำในธุรกิจประเภทเดียวกันในภูมิภาคอาเซียน

   ทำความรู้จักกับบริษัท BBEPP
บริษัท Bio Base Europe Pilot Plant (BBEPP) ประเทศเบลเยี่ยม เป็นบริษัทที่ให้บริการการพัฒนาเทคโนโลยีไบโอไฟเนอรี มามากกว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการบริหารจัดการ

บริษัท BBEPP ให้บริการด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น พลาสติกชีวภาพ ชีววัสดุ และพลังงานชีวภาพ เป็นต้น และถ่ายโอนผลลัพธ์ไปสู่ระดับอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อาหารเสริม ฯลฯ
BEPP ให้บริการในรูปแบบ Open Innovation projects ใน 2 รูปแบบ ได้แก่
1. Bilateral Collaboration เป็นการทำสัญญาระหว่าง BBEPP กับภาคเอกชน แหล่งทุนมาจากภาคเอกชน และทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นของเอกชน ตอบโจทย์ความต้องการเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม
2. Consortia-based Collaboration แหล่งทุนมาจากการระดมทุนของกลุ่ม Consortium โดยที่ BBEPP สนับสนุนบางส่วน องค์ความรู้ที่ได้เป็นรูปแบบ Open Innovation ตอบโจทย์ Inclusive Growth ยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตของกลุ่ม Consortium ให้สูงขึ้น

   โรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant, BBAPP)
โรงงานต้นแบบไบโอเบสเอเชีย (Bio Base Asia Pilot Plant, BBAPP) เป็นโรงงานต้นแบบแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน วัตถุประสงค์เพื่อรองรับการวิจัยและพัฒนาจากภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนในและต่างประเทศ ระดับขยายขนาดกระบวนการหรือผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากห้องปฏิบัติการสู่ระดับนำร่อง ต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์

บริษัท BBAPP ประกอบด้วยโรงงานต้นแบบในแบบ GMP (Good Manufacturing Practice) และ Non-GMP เป็นแห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน จะสนับสนุนอุตสาหกรรมชีวเคมี วัสดุชีวภาพ และผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ โรงงานต้นแบบ GMP จะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ เครื่องสำอาง และโภชนเภสัชภัณฑ์ (nutraceuticals)
ซึ่งโรงงานต้นแบบนี้จะให้บริการครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษาในเรื่องของการพัฒนากระบวนการ การบริการขยายขนาดการผลิต และการผลิตตามความต้องการของลูกค้า (custom manufacturing) ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มลูกค้าจะมีทั้งสถาบันวิจัยของรัฐและเอกชนในประเทศและต่างประเทศ โดย สวทช. จะช่วยสนับสนุนฐานลูกค้าและเครือข่ายภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน ขณะนี้บริษัท BBAPP อยู่ในระหว่างก่อสร้างและจะเปิดดำเนินการในปี 2567

ภาพรวมสถานะและความก้าวหน้าของประเทศออสเตรีย ในด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม

   ผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรมของออสเตรีย
ในทุกๆ ปี คณะกรรมาธิการยุโรปจะจัดทำ Innovation Scoreboard เพื่อเป็นตัวชี้วัดถึงผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Performance) ได้มาจากการวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบของประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยประเมินถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของระบบนวัตกรรมในแต่ละประเทศพร้อมระบุประเด็นที่แต่ละประเทศควรให้ความสนใจและพัฒนา สำหรับรายงานผลลัพธ์และศักยภาพด้านนวัตกรรมประจำปี ค.ศ. 2021 (European Innovation Scoreboard 2021) ในภาพรวมสหภาพยุโรปได้กำลังพัฒนาสู่การเป็นผู้นำทางนวัตกรรมของโลก แต่การพัฒนายังประสบปัญหาการลงทุนจากภาคธุรกิจที่ต่ำ และกฎระเบียบข้อบังคับส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในการจัดลำดับประเทศนวัตกรรมในยุโรป ปี 2021 ประเทศออสเตรีย ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 8 โดยถือเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมระดับสูง (Strong innovators)

   หน่วยงานภาครัฐด้าน อววน.
ประเทศออสเตรีย หรือสาธารณรัฐออสเตรีย (Republic of Austria) แบ่งออกเป็น 9 รัฐ โดยรัฐบาลกลางของออสเตรียมีกระทรวง 13 กระทรวง ซึ่งพบว่ามี 3 กระทรวงมีหน้าที่และกิจกรรมด้าน อววน. คือ

1. กระทรวงการกสิกรรม ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และการจัดการน้ำ (Federal Ministry of Agriculture, Forestry, Environment and Water Management)
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเศรษฐกิจ (Federal Ministry of Science, Research and Economy) และ
3. กระทรวงคมนาคม นวัตกรรม และเทคโนโลยี (Federal Ministry of Transport, Innovation and Technology)

1.กระทรวงการกสิกรรม ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม และการจัดการน้ำ (Federal Ministry of Agriculture, Forestry, Environment and water Management, BMLFUW)

กระทรวง BMLFUW หน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการกสิกรรม ป่าไม้และสิ่งแวดล้อม เป้าหมายทำให้ออสเตรียมีความน่าอยู่ มีอากาศสะอาด น้ำที่บริสุทธิ์ สภาพสิ่งแวดล้อมปลอดภัย อาหารมีคุณภาพสูงราคาย่อมเยา

โครงการที่น่าสนใจของ BMLFUW ได้แก่

1.โครงการ Green Care เป็นโครงการร่วมกับหอการค้ากสิกรรมของออสเตรีย จุดประสงค์ในการให้ความดูแลด้านสังคมให้กับประชาชนที่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและกสิกรรมในเขตชนบท เช่น การให้ความรู้และฝึกสอนแรงงานในภาคกสิกรรม ให้ความรู้ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการช่วยเหลือแรงงานกสิกรรมผู้สูงอายุ
2. โครงการ Initiative Agriculture 2020 เป็นการวางยุทธศาสตร์ในด้านเกษตรกรรมและป่าไม้ ในด้านการพัฒนาเกษตรกรรม การพัฒนาชนบท การวางแผนธุรกิจและการศึกษา การควบคุมสินค้า ลดขั้นตอนและใช้พลังงานทดแทน
3. โครงการ Export Initiative ดูแลด้านการตลาดของผลิตภัณฑ์เกษตรในออสเตรีย เพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตร อาหาร และเครื่องดื่มของออสเตรียไปสู่ตลาดในประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก
หน้าที่ที่สำคัญอีกหน้าที่คือการป้องการอุทกภัย ช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหาน้ำท่วมรุนแรงหลายครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายรุนแรงอีก รัฐบาลจึงระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสรุปข้อแนะนำในการจัดการความเสี่ยงด้านน้ำท่วมอย่างบูรณาการ เช่น การจัดการแก้มลิง การจัดการอุทกภัย และประชาสัมพันธ์ในเขตพื้นที่เสี่ยง

2. กระทรวงวิทยาศาสตร์ การวิจัย และเศรษฐกิจ (Federal Ministry of Science, Research and Economy) หรือ BMWFW

กระทรวง BMWFW ทำหน้าที่วางโครงสร้างธุรกิจต่างๆ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในระดับนานาชาติสำหรับการทำธุรกิจ โดยผ่านการดำเนินการด้านการวิจัย การสร้างเทคโนโลยี และนวัตกรรม กระทรวงมีพันธกิจหลักในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ระดับอุดมศึกษา การวิจัย การวางนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรมนโยบาย การค้าระหว่างประเทศ สนับสนุนกิจการสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และด้านพลังงานเหมืองแร่

– ด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษาระดับอุดมศึกษา : BMWFW ทำหน้าที่ดูแลมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัย และช่วยหาทุนและเงินการวิจัยและส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของสถาบัน
– การวิจัย : กระทรวงสนับสนุงานด้านวิจัย ความร่วมมือในระดับนานาชาติ ทั้งระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้พัฒนาความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ อย่างยั่งยืน
– การวางนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนานวัตกรรม : เป้าหมายคือการสร้างความเข้มแข็ง ความน่าลงทุนทางธุรกิจ ผ่านการลงทุนด้านการวิจัย การพัฒนา และนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัยของประเทศ
– นโยบายการค้าระหว่างประเทศ : ปัจจุบันออสเตรียเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกของโลก ภารกิจด้านการค้าระหว่างประเทศมุ่งสร้างความเข้มแข็งในด้านการส่งออก ให้มีความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ โดยร่วมดำเนินการกับหอการค้าออสเตรีย (WKO)
– สนับสนุนกิจการและบริษัทต่างๆ : เพื่อมุ่งผลักดันโครงสร้างทางการค้าและเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อการลงทุน ส่งเสริมการลงทุน และยังออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้งาน หรือ apprenticeships ช่วยส่งเสริมเยาวชนในการฝึกฝนเรียนรู้งานเพื่ออนาคตด้วย
– การท่องเที่ยว : ออสเตรียได้รับการประเมินในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวเป็นอันดับที่สองในสหภาพยุโรป นโยบายท่องเที่ยวเน้นไปที่ เทือกเขาแอลป์ แม่น้ำดานูป และเมืองวัฒนธรรมต่างๆ รวมพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์
– ด้านพลังงานและเหมืองแร่ : นโยบายด้านพลังงานโดยผลักดันให้มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น

3. กระทรวงคมนาคม นวัตกรรม และเทคโนโลยี (Federal Ministry of Transport, Innovation and Technology) หรือ BMVIT

ภารกิจคือการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สามด้านหลักคือ ด้านคมนาคม ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี และด้านโทรคมนาคม
– ด้านคมนาคม : กระทรวงดูแลการคมนาคม เช่น ทางอากาศ เคเบิลคาร์ ทางถนน ทางราง ระบบขนส่งมวลชน การเดินเท้า ทางจักรยาน และทางคูคลองต่างๆ
– ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี : นโยบายนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การบิน ทรัพยากรมนุษย์ คมนาคม การกำหนดนโยบาย การพัฒนาที่ยั่งยืน เทคโนโลยีอวกาศ
– ด้านโทรคมนาคม : นโยบายด้านโทรคมนาคมในออสเตรียและความเชื่อมโยงระหว่างประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป มีความสำคัญมาก เพราะอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/20220915-newsletter-brussels-no04-apr65.pdf

 

 

ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน ประจำปี 2565 โดย IMD (2022 IMD World Competitiveness Ranking)

ในปี 2565 IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ 63 ประเทศทั่วโลก และได้เผยแพร่ใน IMD World Competitiveness Yearbook 2022 โดยมีผลการจัดอันดับดังนี้

ตารางผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 5 อันดับแรกและประเทศไทย ปี 2564-2565 โดย IMD

                       ประเทศ  เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สวีเดน ฮ่องกง ไทย
                           ปี 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564 2565 2564
อันดับรวม 1 3 2 1 3 5 4 2 5 7 33 28
1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 13 17 30 7 2 1 21 16 15 30 34 21
1.1 เศรษฐกิจในประเทศ 18 12 7 4 1 15 15 10 21 32 51 41
1.2 การค้าระหว่างประเทศ 13 10 12 15 1 1 27 17 4 2 37 21
1.3 การลงทุนระหว่างประเทศ 17 24 52 12 5 3 14 17 3 7 33 32
1.4 การจ้างงาน 25 22 27 15 3 18 42 30 39 40 4 3
1.5 ระดับราคา 41 42 59 58 54 57 39 41 63 63 31 37
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ 6 7 1 2 4 5 9 9 2 1 31 20
2.1 ฐานะการคลัง 4 5 3 1 6 12 9 7 2 9 29 14
2.2 นโยบายภาษี 57 56 12 12 11 8 55 58 2 2 7 4
2.3 กรอบการบริหารด้านสถาบัน 2 5 1 1 6 7 4 3 10 11 41 36
2.4 กฎหมายด้านธุรกิจ 3 2 7 10 2 3 4 4 1 1 38 30
2.5 กรอบการบริหารด้านสังคม 2 3 6 5 22 17 5 4 33 34 44 43
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 1 1 4 5 9 9 2 2 7 3 30 21
3.1 ผลิตภาพและประสิทธิภาพ 1 1 2 4 9 14 4 3 6 9 47 40
3.2 ตลาดแรงงาน 11 14 5 6 12 4 4 5 20 8 13 10
3.3 การเงิน 7 7 1 1 11 13 3 6 5 3 27 24
3.4 การบริหารจัดการ 1 1 8 9 14 14 3 3 4 2 22 22
3.5 ทัศนคติและค่านิยม 3 6 14 13 12 9 2 4 16 8 25 20
4. โครงสร้างพื้นฐาน 2 3 1 1 12 11 3 2 14 16 44 43
4.1 สาธารณูปโภคพื้นฐาน 4 3 5 5 43 20 9 10 11 7 22 24
4.2 โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 3 6 6 8 1 1 5 3 7 7 34 37
4.3 โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ 10 11 4 3 16 17 7 7 23 23 38 38
4.4 สุขภาพและสิ่งแวดล้อม 4 4 1 3 25 25 2 1 18 21 51 49
4.5 การศึกษา 4 3 1 1 6 7 5 4 13 8 53 56

เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ รองลงมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ ถัดมาเป็นสิงคโปร์ ซึ่งปีนี้ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ อันดับ 4 คือ สวีเดน ตกลงมาจากปีที่แล้ว 2 อันดับ ส่วนอันดับ 5 คือ ฮ่องกง เลื่อนอันดับดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ ปีนี้ไทยได้อันดับ 33 ลดลงจากปีที่แล้ว 5 อันดับ ได้อันดับ 28 ในปีที่แล้ว

เดนมาร์กได้อันดับ 1 ในปีนี้ เลื่อนอันดับขึ้นกว่าปีก่อน 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 3 ปัจจัย จากทั้งหมด 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 4 อันดับ มีอันดับ 13 ในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้หลายปีมีอันดับอยู่ในระดับปานกลาง 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ มีอันดับ 6 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ ส่วนอีก 1 ปัจจัย คือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ได้อันดับ 1 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเป็นหลักเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ถึง 7 อันดับ จากอันดับ 24 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 17 ในปีนี้ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น เนื่องจากการเลื่อนอันดับขึ้นของ 3 ปัจจัยย่อย จากทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคม โดยเฉพาะปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน มีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับ จากอันดับ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 2 ปัจจัยย่อย (มีทั้งหมด 5 ปัจจัยย่อย) ได้แก่ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี และปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เลื่อนอันดับขึ้น 3 อันดับ เป็นอันดับ 3 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วได้อันดับ 6 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ ปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 42 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 41 และมีอันดับ 56 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 57 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีมีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว

สวิตเซอร์แลนด์ มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจถึง 23 อันดับ จากอันดับ 7 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 30 ในปีนี้ ซึ่งทำให้ในปีนี้มีอันดับอยู่ในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ มีอันดับ 1 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 1 อันดับ เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ครองอันดับ 1 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับลง คือ ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ และปัจจัยย่อยการจ้างงาน ที่มีการเลื่อนอันดับลงถึง 40 และ 12 อันดับ จากอันดับ 12 และ 15 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 52 และ 27 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศมีอันดับต่ำในปีนี้ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ปีที่แล้วได้อันดับ 58 ในขณะที่ปีนี้ได้อันดับ 59

สิงคโปร์ ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ มีอันดับ 3 ในปีนี้ เนื่องมาจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ 1 อันดับ จากอันดับ 5 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 4 ในปีนี้ ส่วนอีก 3 ปัจจัยที่เหลือ คือ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ เป็นอันดับ 2 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับ 9 ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว 3. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน เลื่อนอันดับลง 1 อันดับ มีอันดับ 12 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ที่เลื่อนอันดับขึ้น 6 อันดับ เป็นอันดับ 6 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว คือ ปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับ 57 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 54 ส่วนปัจจัยย่อยสาธารณูปโภคพื้นฐานภายใต้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับต่ำในปีนี้ อยู่ที่อันดับ 43

สวีเดน ตกลงมาจากปีที่แล้ว 2 อันดับ ได้อันดับ 4 ในปีนี้ เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจและปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน 5 และ 1 อันดับ จากอันดับ 16 และ 2 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 และ 3 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจยังคงครองอันดับในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ส่วนปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ยังคงครองอันดับ 9 และ 2 ทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ตามลำดับ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับลง คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศ และปัจจัยย่อยการจ้างงาน ที่เลื่อนอันดับลง 5 และถึง 12 อันดับ จากอันดับ 10 และ 30 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 15 และ 42 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยการจ้างงานมีอันดับต่ำในปีนี้ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับต่ำทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ปีนี้มีอันดับ 39 ปีที่แล้วมีอันดับ 41 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว คือ ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 58 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 55 ในขณะที่การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของ 3 ปัจจัยย่อยเล็กน้อย ได้แก่ ปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และปัจจัยย่อยการศึกษา

ฮ่องกงได้อันดับ 5 ในปีนี้ เลื่อนอันดับดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว 2 อันดับ เกิดจากการเลื่อนอันดับดีขึ้นของ 2 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน โดยปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับขึ้น 15 อันดับ เป็นอันดับ 15 ในปีนี้ ซึ่งยังคงครองอันดับในระดับปานกลางเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับ 16 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 14 ในปีนี้ ทำให้ในปีนี้ได้อันดับในระดับปานกลางเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ส่วนอีก 2 ปัจจัยที่เหลือ คือ ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ และปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับลดลง 1 และ 4 อันดับ ได้อันดับ 1 และ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ได้อันดับ 2 และ 7 ตามลำดับ ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเลื่อนอันดับขึ้น คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับ 32 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 21 ในปีนี้ การเลื่อนอันดับดีขึ้นของปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 3 อันดับ จากอันดับ 21 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 18 ในปีนี้ ส่งผลให้เกิดการเลื่อนอันดับขึ้นของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยย่อยที่มีอันดับอยู่ในระดับต่ำ ได้แก่ ปัจจัยย่อยการจ้างงาน และปัจจัยย่อยระดับราคา ทั้งสองอยู่ภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับ 40 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 39 และมีอันดับ 63 ทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยระดับราคามีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดทั้งปีนี้และปีที่แล้ว

สำหรับไทยปีนี้ได้อันดับ 33 ลดลงจากปีที่แล้ว 5 อันดับ ได้อันดับ 28 ในปีที่แล้ว เป็นผลมาจากการเลื่อนอันดับลงของ 4 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ เลื่อนอันดับลง 13 อันดับ เป็นอันดับ 34 ในปีนี้ 2. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ เลื่อนอันดับลง 11 อันดับ มีอันดับ 31 ในปีนี้ 3. ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ มีอันดับลดลง 9 อันดับ เป็นอันดับ 30 ในปีนี้ 4. ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน มีอันดับเลื่อนลง 1 อันดับ มีอันดับ 44 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานยังคงครองอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีไว้ในปีนี้เหมือนหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจยังคงรักษาอันดับดีปานกลางไว้ในปีนี้เหมือน 2 ปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้มีอันดับค่อนไปในทางที่ดี ส่วนปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐและปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจยังคงรักษาอันดับดีปานกลางไว้ในปีนี้เหมือนที่ผ่านมาหลายปี การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของ 2 ปัจจัยย่อยเป็นหลัก คือ ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศ และปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศ ที่มีอันดับเลื่อนลงถึง 10 และ 16 อันดับ จากอันดับ 41 และ 21 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 51 และ 37 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยเศรษฐกิจในประเทศมีอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีในปีที่แล้วและมีอันดับไม่ดีในปีนี้ และทำให้ปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศมีอันดับเลื่อนลงมากที่สุดในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมด ปัจจัยย่อยหลักที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐเลื่อนอันดับลง คือ ปัจจัยย่อยฐานะการคลัง ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบัน และปัจจัยย่อยกฎหมายด้านธุรกิจ ที่เลื่อนอันดับลงถึง 15, 5 และถึง 8 อันดับ เป็นอันดับ 29, 41 และ 38 ในปีนี้ ส่วนปีที่แล้วมีอันดับ 14, 36 และ 30 ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสถาบันมีอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีในปีนี้ ภายใต้ปัจจัยเดียวกันปัจจัยย่อยกรอบการบริหารด้านสังคมมีอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว ปีนี้มีอันดับ 44 ปีที่แล้วมีอันดับ 43 ปัจจัยย่อยที่สำคัญที่ทำให้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเลื่อนอันดับลง คือ ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ และปัจจัยย่อยทัศนคติและค่านิยม ที่เลื่อนอันดับลงถึง 7 และ 5 อันดับ จากอันดับ 40 และ 20 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 47 และ 25 ในปีนี้ ตามลำดับ ทำให้ปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพมีอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีทั้งในปีนี้และปีที่แล้ว การเลื่อนอันดับลงของปัจจัยโครงสร้างพื้นฐานเกิดจากการเลื่อนอันดับลงของปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 2 อันดับ จากอันดับ 49 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 51 ในปีนี้ ทำให้ปัจจัยย่อยสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมีอันดับค่อนไปทางที่ไม่ดีในปีที่แล้วและมีอันดับไม่ดีในปีนี้ คงเป็นข่าวดีสำหรับปัจจัยย่อยการศึกษาซึ่งอยู่ภายใต้ปัจจัยเดียวกัน ที่ก่อนหน้านี้หลายปีมีอันดับต่ำสุดจากปัจจัยย่อยทั้งหมดมีอันดับเลื่อนขึ้น 3 อันดับ จากอันดับ 56 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 53 ในปีนี้ ในบรรดาปัจจัยย่อยทั้งหมดปัจจัยย่อยระดับราคาภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับเลื่อนขึ้นมากที่สุด โดยมีอันดับเลื่อนขึ้น 6 อันดับ จากอันดับ 37 ในปีที่แล้ว เป็นอันดับ 31 ในปีนี้ ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีมากทั้งปีนี้และปีที่แล้ว ได้แก่ 1. ปัจจัยย่อยการจ้างงานภายใต้ปัจจัยสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับ 3 ในปีที่แล้ว ส่วนปีนี้มีอันดับ 4 2. ปัจจัยย่อยนโยบายภาษีภายใต้ปัจจัยประสิทธิภาพของภาครัฐ มีอันดับ 4 ในปีที่แล้ว ในขณะที่ปีนี้มีอันดับ 7

สำหรับไทยต้องพัฒนาอีกหลายด้าน เนื่องจากในปีนี้ไทยมีอันดับลดลง 5 อันดับ โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และด้านการศึกษา ซึ่งทั้งสองด้านมีอันดับต่ำมากที่สุดเป็นอันดับ 2 และอันดับ 1 ตามลำดับ ทั้งปีนี้และปีที่แล้ว เพื่อให้ในปีหน้าไทยจะมีอันดับรวมดีขึ้นมาก

 

 

 

 

สวมหมวกนิรภัย 100%

ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กำหนดให้พื้นที่ทุกส่วนราชการเป็นพื้นที่สวมหมวกนิรภัย 100%

เรามาร่วมรณรงค์สวมหมวกนิรภัยตามสโลแกน “สวย หล่อ สมาร์ต ปลอดภัย ง่ายๆ แค่สวมหมวกนิรภัย” กันนะคะ

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์ ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2565

วารสารข่าวด้านการอุดมศึกษาและวิทยาศาสตร์จากกรุงบรัสเซลส์
ฉบับที่ 3 เดือน มีนาคม 2565

งานสามัคคีวิชาการและอาชีพครั้งที่ 14 ณ กรุงลอนดอน

สามัคคีสมาคมได้จัดงานสามัคคีวิชาการและอาชีพขึ้นทุกปี เพื่อสร้างเสริมเครือข่ายทางวิชาการระหว่างนักศึกษา เป็นโอกาสแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางวิชาการทั้งในสหราชอาณาจักรและภูมิภาคยุโรป โดยปีแรกงานมีเพียงประชุมวิชาการและการประกวดบทคัดย่องานวิจัยเท่านั้น แต่ปี พ.ศ. 2564 ได้ปรับรูปแบบงานเป็นออนไลน์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคระบาดของโรคโควิด-19 และให้นักเรียนไทยนอกสหราชอาณาจักรเข้าร่วมได้
งานปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “The Remake of Thailand” กล่าวถึง อุปสรรคและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยมีวัตถุประสงค์การจัดงาน คือ
1. เพื่อส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างนักศึกษาในสาขาที่แตกต่างกันเพื่อประโยชน์ของสังคมไทย
2. ส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถบูรณาการงานวิจัยของตนเข้ากับประเด็นปัญหาในปัจจุบันในประเทศไทย และนำมาสู่การใช้งานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
3. สร้างเสริมโอกาสในอาชีพและการทำงานแก่นักศึกษาไทย

   กิจกรรมภายในงาน
งาน Samaggi Abstract Competition ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานครั้งที่ 14 ได้เปิดรับผลงานบทคัดย่อทางออนไลน์ การแข่งจันรอบสุดท้ายแต่ละสาขาประกอบด้วยการนำเสอนงานวิจัยผ่านวิดีโอ 10 นาที ต่อด้วยตอบคำถามสดอีก 10 นาที โดยมีทั้งหมด 6 สาขาวิชาดังนี้ ชีววิทยาและวิทยาศาสตร์การแพทย์ การวิเคราะห์ทางสังคม และมนุษยศาสตร์และศิลปะและวิศวกรรมและเทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์และธุรกิจศึกษา คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์กายภาพ ผลการจัดงาน มีผู้ส่งบทคัดย่อทั้งหมด 104 ราย โดยมี 18 รายผ่านเข้ารอบนำเสนอหลัก (Oral Presentation) และอีก 14 รายเข้าร่วมรอบนำเสนอ E-Poster โดยผู้ชนะสามอันดับแรกในแต่ละสาขาจะได้รับรางวัลมูลค่ารวม 300 100 และ 50 ปอนด์สเตอร์ลิงตามลำดับ

งานประชุมวิชาการของนักเรียนไทยในฝรั่งเศสประจำปี 2565
เมื่อวันที่ 8-9 เมษายน 2565 สมาคมนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเสศ ได้จัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2565 หัวข้อ “จุดประกายความคิดเชื่อมติดภูมิปัญญา นำพาสู่อนาคต สดใสด้วยนวัตกรรม” ณ กรุงปารีส โดยสำนักงานที่ปรึกษาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้หการสนับสนุนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการของนักเรียนไทยในภูมิภาคยุโรป

   ที่มาของการประชุม
ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่นักเรียนไทยนิยมเดินทางไปศึกษาต่อโดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาลไทย ปัจจุบันมีนักเรียนไทยกระจายอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำในสาขาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภาษาและวรรณคดีฝรั่งเศส รวมถึงด้านธุรกิจ นักเรียนไทยกลุ่มนี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญมีส่วนร่วมในการสนับสนุนและขับเคลื่อนประเทศไทย ผ่านการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีทั้งทางตรงและทางอ้อม
งานประชุมวิชาการประจำปี 2565 ภายใต้หัวข้อ “จุดประกายความคิด เชื่อมติดภูมิปัญญา นำพาสู่อนาคต สดใสด้วยนวัตกรรม” นั้นมีที่มีจากความต้องการให้นักเรียนไทยในฝรั่งเศสจัดประกายความรู้ในตัวเองเพื่อขจัดความมืดบอดทางวิชาการเป็นลำดับแรก จากนั้นจุดประกายเพื่อสร้างและส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น โดยร่วมมือกันสร้างและส่งต่อความรู้ทางวิชาการและการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ส่งประกายแสงสว่างทางความคิดไปยังคนรุ่นใหม่ๆ

   องค์ประกอบของผู้เข้าร่วมงาน
ผู้เข้าร่วมงานประชุมวิชาการฯ มีจำนวนทั้งหมด 38 ท่าน แบ่งออกเป็นกรรมการสมาคมฯ 10 ท่าน วิทยากร 8 ท่าน พิธีกรรับเชิญ 1 ท่าน กรรมการการเลือกตั้ง 2 ท่าน และผู้สมัครเข้าร่วมงานอื่นๆ 17 ท่าน ในจำนวนผู้เข้าร่วมงาน 17 ท่าน มีผู้เข้าร่วมงานที่มีสถานภาพเป็นนักเรียนทุนจากแหล่งทุนนอกประเทศไทยจำนวน 6 ท่าน นักเรียนทุนจากหน่วยงานรัฐบาลไทยทั้งหมด 6 ท่าน ซึ่งในจำนวนนี้แบ่งออกเป็นทุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 1 ท่าน ทุนจากกองทัพบก 2 ท่าน ทุนจากมหาวิทยาลัยรัฐบาล 1 ท่าน และทุนจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน 2 ท่าน ผู้เข้าร่วมงานที่มีสถานภาพเป็นนักเรียนทุนส่วนตัว 3 ท่าน และผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วจำนวน 2 ท่าน คิดเป็นร้อยละ ผู้เข้าร่วมงานประกอบด้วยนักเรียนทุนจากแหล่งทุนนอกประเทศไทยร้อยละ 356.29 นักเรียนทุนจากหน่วยงานรัฐบาลไทยร้อยละ 35.29 นักเรียนทุนส่วนตัวร้อยละ 17.65 และผู้ที่สำเร็จการศึกษาร้อยละ 11.77

   รูปแบบของงานประชุม
งานประชุมวิชาการประจำปี 2565 แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
1. กิจกรรมทางวิชาการ (Academic Storytelling)
2. กิจกรรมเพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ (Networking)
รูปแบบของงานจัดในแบบ Storytelling โดยมีวิทยากร (speaker) จำนวน 9 ท่าน โดยเน้นการถ่ายทอดเข้าใจง่าย มีตัวอย่างชัดเจน ภายในระยะเวลาสั้น (ประมาณ 15-20 นาที) เพื่อสร้างความเข้าใจข้ามศาสตร์ โดยสามารถให้ผู้ฟังไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่วิทยากรศึกษาวิจัยเข้าใจได้ง่าย และสามารถนำไปใช้ และมีผลตอบรับ (feedback) ได้ทันทีผ่านช่วงถาม-ตอบในช่วงท้ายของการบรรยาย อันเป็นทักษะการเล่าเรื่อง (storytelling) ที่จำเป็นสำหรับการทำงานและสร้างสรรค์ผลงานวิชาการในปัจจุบัน การนำเสนอหัวข้อหลากหลาย ครอบคลุมเรื่องภาษาศาสตร์ อุตสาหกรรมยา การป้องกันอาชญากรรมทางไซเบอร์ อุตสาหกรรมเคมี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ส่วนที่สอง เป็นกิจกรรมสร้างเสริมความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือ (networking) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมมีความรู้จักคุ้นเคยกัน และสร้างเสริมความสัมพันธ์ในทางวิชาการต่อไปภายหลังการประชุม

   สรุปสาระสำคัญของการบรรยายวิชาการ (Academic Storytelling) ในหัวข้อต่างๆ

1. “การใช้ประโยชน์ข้อมูลจากอวกาศ (Space-based Information” โดย นายปรเมศวร์ ธุวะคำ
ปัจจุบัน “ข้อมูลจากอวกาศ” เช่น ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการติดตามและบริหารงานหลายด้าน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การเกษตรกรรม การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความมั่นคง ข้อมูลจากอวกาศเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ และวางแผนกิจกรรมต่างๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ การใช้ประโยชน์ข้อมูลจากอวกาศของไทย

2. “อวกาศยุคใหม่ (new space) และความท้าทายของผู้เล่นใหม่ในอุตสาหกรรมอวกาศ” โดย นางสาวนภสร จงจิตตานนท์
ปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมอวกาศ จากเดิมที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดอุตสาหกรรมอวกาศ กลายเป็นเอกชนที่เป็น “ผู้เล่นใหม่” ทั้งด้านการสร้างดาวเทียมและจรวด ทำให้ต้นทุนการขนส่งขึ้นสู่อวกาศลดลง ส่งผลให้เกิด Business model ใหม่ๆ เป็นการลดกำแพงและเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่ในการเข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอวกาศได้มากขึ้น

3. “การฟอกเขียว (greenwashing) ส่งผลต่อโลกและผู้บริโภคอย่างไร” โดย นางสาววนารี อังคณาพาณิช
ปัจจุบันมีสินค้าที่อ้างว่าไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม แต่แท้จริงอาจเป็นการ “ฟอกเขียว” เพื่อให้ภาพลักษณ์ของสินค้าดูดี ทั้งที่ยังมีกระบวนการการใช้สารเคมีที่ทำลายสิ่งแวดล้อมที่ผู้บริโภคไม่ทราบ จึงจำเป็นต้องสร้างความตระหนักรู้ว่าการฟอกเขียวคืออะไร มีที่มาอย่างไร ส่งผลกระทบต่อเราและโลกอย่างไร และเราในฐานะผู้บริโภคสามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อไม่ให้ถูกหลอกจากการฟอกเขียว

4. “งานวิจัยขึ้นหิ้งมีจริงหรือ ? : นวัตกรรมใน cold chain Logistic” โดย นายธนเทพ เหลืองทองคำ
การทำวิจัยมีจุดประสงค์หลักคือค้นหาคำตอบของปัญหาต่างๆ และนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ รวมถึงนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ถูกมองว่าเป็น “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง ทว่า ถ้าเข้าใจงานวิจัยนั้นๆ อย่างถ่องแท้ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้หรือต่อยอดได้ทั้งสิ้น โดยยกตัวอย่างการทำวิจัยในเรื่องกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ สามารถนำมาต่อยอดในงานวิจัยเรื่องห่วงโซ่ความเย็นที่สามารถลดการเน่าเสียของผลิตภัณฑ์และสามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

5. “The Charm of malfunction : ศิลปะในความสวยงามที่มีที่ติ” โดย นางสาวพิชญา คูวัฒนาถาวร
งานศิลปะเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งในห้องแคบๆ ตลอดระยะเวลาการล็อกดาวน์ตามมาตรการของรัฐบาลฝรั่งเศสในการป้องกันโรคโควิด-19 The Charn of malfunction เป็นงานศิลปะที่เกิดขึ้นจากการพิจารณาสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ ผุพัง หรือไม่สามารถทำงานได้แล้วที่ยังมีแง่มุมของความสวยงามอยู่

6. “นวนิยายไบเซ็กชวลร่วมสมัย : จากความกำกวมสู่ความหลากหลายและครอบคลุมทางเพศ” โดย นายปริวรรต์ สุขวิชัย

สังคมร่วมสมัย ชุมชนความหลากหลายทางเพศได้รับสิทธิ ความเท่าเทียม และความเข้าใจจากสังคมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ผ่านการต่อสู้เรียกร้องยาวนาน ภาพแทนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่มีมากขึ้นในสื่อต่างๆ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ส่วนมากคือกลุ่มรักร่วมเพศ ในขณะที่เพศหลากหลายอื่นๆ ถูกเบียดขับไปยังชายขอบและได้รับการกล่าวถึงน้อยกว่ามาก หนึ่งในนั้นคือกลุ่มไบเซ็กชวลหรือรักร่วมสองเพศ อาจเป็นผลมากจากการประกอบสร้างทฤษฎีและวาทกรรมทางเพศที่ตั้งอยู่บน “ฐานคิดแบบทวิภาค” หรือคู่ตรงข้ามระหว่างรักต่างเพศและรักร่วมเพศที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวเพศหลากหลายยุคแรกใช้เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียม ไบเซ็กชวลเป็นกลุ่มเพศชายขอบนี้ซึ่งเป็นผลมาจากความกำกวมของอัตลักษณ์ดังกล่าวที่ควบรวมรักต่างเพศและรักร่วมเพศเอาไว้ในปัจเจกเดียว ความกำกวมนี้จึงทำให้ไบเซ็กชวลถูกเลี่ยงในการประกอบสร้างทฤษฎีและวาทกรรมทางเพศแบบคู่ตรงข้ามที่ต้องการความชัดเจนเพื่อที่จะพัฒนาองค์ความรู้ทางเพศในกลุ่มตน

7. “ตั๋วร่วม เป็นไปได้หรือไม่ในประเทศไทย” โดย นางสาววิภาดา บุญเลิศ

กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีระบบขนส่งสาธารณะมากมาย แต่ปัญหาสำคัญของการใช้งานระบบขนส่งเหล่านี้คือ “ขาดการร่วมกันของระบบ” ซึ่งการขาดการร่วมกันในระบบ ไม่ได้ส่งผลแค่เพียงความสะดวกของการเดินทาง แต่ยังส่งผลต่อภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนอย่างหนัก เพราะการขาดตั๋วร่วม จึงส่งผลให้การเกิดค่าโดยสารร่วมยากขึ้น ซึ่งปัญหาสำคัญเกิดจากสัญญาสัมปทาน ที่กำหนดค่าโดยสาร รวมถึงการกำหนดระบบการบริหารจัดการของรถไฟฟ้า และการขาดหน่วยงานผู้กำกับดูแลการขนส่งทางราง

8. “Lost skill ใน ศตวรรษที่ 21 vs การเรียนการสอบบนฐาน Studio-based Learning” โดย นายพชรพล ศรีสนธิ
ปัจจุบันเกิดปัญหาและอุปสรรคกับตัวนักเรียนและครูผู้สอนในระหว่างการเรียนการสอนแบบออนไลน์ และส่งผลกระทบต่อทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ของเด็ก วิทยากรได้บรรยายถึงแนวการเรียนการสอนแบบ Studio-based learning และ Experiential learning เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการเรียนการสอนแบบ Studio-based learning วิทยากรสรุปว่า การศึกษาไทยมีอนาคตแน่นอนถ้าครูและบุคลากรทางการศึกษามองเห็นอนาคต ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป นักเรียนเช่นกัน ซึ่งเป็นข้อดีที่ครูจะเอาทักษะพิเศษของเด็กยุคนี้ มาเจียระไน ผ่านการจัดการเรียนการสอนที่เปิดกว้างและทำให้นักเรียนค้นพบตัวเองและเข้าใจชีวิตจริง

9. “รัฐธรรมนูญและปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมของสังคมไทย” โดย นายสิรวิชญ์ ทีวะกุล
ไม่ว่าเรื่องใดที่มีปัญหาในเชิงโครงสร้างและการพัฒนา ท้ายที่สุดก็จะวนมาที่ปัญหาทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานที่สุดซึ่งวางบทบาทระหว่างรัฐและเอกชน และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน เราจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงรัฐธรรมนูญและปัญหาทางรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่แก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานและนวันกรรม

   ผลลัพธ์ของการจัดประชุม
การนำเสนองานของวิทยากรและนักเรียนไทยในประเทศฝรั่งเศสในหลากหลายสาขาย่อย ทั้งสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สายวิทยาศาสตร์สุขภาพและเทคโนโลยี รวมทั้งกิจกรรม My Work in 180 seconds ทำให้นักเรียนไทยได้แลกเปลี่ยนความรู้แบ่งปันประสบการณ์แนวคิดและวิธีการศึกษาวิจัยผ่านการแสดงความคิดเห็นและถาม-ตอบ เพื่อเป็นแนวทางนำกลับไปประยุกต์ใช้ในการทำงานอย่างเหมาะสม

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2022/20220915-newsletter-brussels-no03-mar65.pdf

 

 

 

 

ข้อมูล Smart Greenhouse จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Modern Agriculture เทคโนโลยีกับเกษตรแนวใหม่ ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ประสิทธิภาพสูง เพิ่มมูลค่า ลดการสูญเสีย มีมาตรฐาน ความปลอดภัย รองรับการเปลี่ยนแปลง) โดย Smart Greenhouse หรือโรงเรือนอัจฉริยะ เป็นหนึ่งใน Core technology ของ Agenda Modern Agriculture

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Smart Greenhouse (คำค้นจากทุกเขตข้อมูล ALL ( “Smart Greenhouse” OR greenhouses OR greenhouse OR “Greenhouse Monitoring” OR “Greenhouse Controls” OR “Intelligent Greenhouse” OR “Green House” OR “Greenhouse Climate Control” ) ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 11 สิงหาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้าน Smart Greenhouse เฉพาะของประเทศไทย จำนวน 4,776 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 610 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 597 รายการ มหาวิทยาลัยมหิดล 513 รายการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 470 รายการ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 398 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Smart Greenhouse ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel:www.mintel.com

ภาพที่ 2 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Smart Greenhouse

ฐานข้อมูล Mintel ข้อมูลปี 2020-ปัจจุบัน

คำค้นที่ใช้ Greenhouse

  • Solar Strawberries – สวนเรือนกระจกสตรอเบอรี่ได้ติดตั้งแผงกระจกที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้กำหนดเป้าหมายและจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามและตรวจสอบกระแสไฟฟ้าที่ต้องการ ณ จุดต่างๆ ในแต่ละวันเพื่อให้พลังงานแก่พื้นที่เพาะปลูกและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตัวเอง ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมีความรอบคอบอย่างมากเกี่ยวกับคุณภาพและความสดของผลิตผลที่ซื้อ รับประทาน และใช้ในครัว นอกจากนี้ นักช็อปในเมืองยังให้ความสำคัญกับผักและผลไม้ที่ได้รับการเพาะปลูกอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชนบทของประเทศ สิ่งนี้สนับสนุนให้ Aqua Ignis ดำเนินการขั้นเด็ดขาดในการบำรุงเลี้ยงสตรอว์เบอร์รีที่อุดมสมบูรณ์ในสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่ำ เรือนกระจกที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งตั้งอยู่ในรีสอร์ทน้ำพุร้อนธรรมชาติ คาดว่าจะกลายเป็นสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศ Aqua Ignis และ ClearVue ได้กล่าวว่าโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจะช่วยเพิ่มความสนใจในประโยชน์ที่กว้างขึ้นของแผงกระจกพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์และที่บ้าน
  • Grow Food Anywhere – นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในไอร์แลนด์ UL และ NUI ได้สร้างแนวคิดเรือนกระจกแบบใหม่ที่ช่วยให้สามารถผลิตอาหารได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า น้ำ หรือแสงแดดจากภายนอก โครงการนี้เรียกว่า C-Minus ได้เห็นการพัฒนาเรือนกระจกในตัวเองซึ่งใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสร้างน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในตัวเอง สิ่งนี้จะช่วยให้สามารถปลูกอาหารได้ทุกที่ในโลก ปรับปรุงความมั่นคงด้านอาหารในขณะที่ลดการใช้ที่ดินและการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตอาหาร เรือนกระจกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่กว้างขึ้นซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเทคโนโลยีลบคาร์บอน ซึ่งกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศมากกว่าที่ปล่อยออกมา
  • High-Tech Greenhouse –  ฟาร์มทะเลแดงในซาอุดิอาระเบียได้พัฒนาเทคโนโลยีเรือนกระจกที่สามารถผลิตพืชผลโดยใช้น้ำน้อยที่สุดบนพื้นที่ชายขอบ บริษัทสตาร์ทอัพด้านการเกษตรได้ค้นพบวิธีการทำการเกษตรแบบออร์แกนิกและปราศจากยาฆ่าแมลงที่ยั่งยืน โดยจะแทนที่น้ำจืดด้วยน้ำเกลือและใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยเรือนกระจกซึ่งช่วยลดการใช้น้ำจืดได้ 90% และใช้พลังงานน้อยกว่าเรือนกระจกแบบธรรมดาที่ระบายความร้อนด้วยเครื่องจักรถึง 2-6 เท่า จนถึงตอนนี้ บริษัทได้พัฒนามะเขือเทศเชอรี่ปลอดสารจีเอ็มโอที่ทนต่อเกลือและมีรสหวาน มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าและอายุการเก็บรักษานานกว่าผลไม้ที่ปลูกแบบดั้งเดิม ทีมงานกำลังสร้างโรงงานนำร่องเรือนกระจกน้ำเค็มอันทันสมัยแห่งใหม่ขนาด 21,000 ตารางฟุตในอุทยานวิจัยและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยคิงอับดุลลาห์ เพื่อดำเนินการพัฒนาวิธีการทำการเกษตรต่อไป

ข้อมูล Remote Sensing, Smart Farming จากผลงานวิจัยตีพิมพ์และผลิตภัณฑ์ในตลาด

การดำเนินงาน NSTDA Agenda ตามแผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับ 7 (พ.ศ. 2565-2570) หัวข้อ Modern Agriculture เทคโนโลยีกับเกษตรแนวใหม่ ที่เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ประสิทธิภาพสูง เพิ่มมูลค่า ลดการสูญเสีย มีมาตรฐาน ความปลอดภัย รองรับการเปลี่ยนแปลง) โดย Remote sensing, Smart farming เป็นหนึ่งใน Core technology ของ Agenda Modern Agriculture

จากการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล Scopus สำหรับเรื่อง Remote sensing, Smart farming (คำค้นจากทุกเขตข้อมูลด้วยคำค้น “remote sensing” OR “smart farming” และเลือก keyword คือ Remote Sensing, GIS, Radar, Radar Imaging, Geographic Information Systems, Soil Moisture, Agriculture, Soils, Monitoring, Data Processing, Artificial Intelligence, Weather Forecasting, Sensors, Remote Sensing Images, Data Mining และ Water Management ผลงานทั้งหมดในฐานข้อมูล Scopus วันที่ 11 สิงหาคม 2565) พบจำนวนบทความทางวิชาการความเชี่ยวชาญทางด้าน Remote sensing, Smart farming เฉพาะของประเทศไทย จำนวน 1,750 รายการ โดย 5 อันดับหน่วยงาน/สถาบันที่มีผลงานตีพิมพ์บทความวิจัยสูงสุด ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) 384 รายการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 142 รายการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 140 รายการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 97 รายการ และ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 96 รายการ นอกจากข้อมูลบทความวิจัยแล้ว Remote sensing, Smart farming ยังมีข้อมูลประเภทผลิตภัณฑ์จากฐานข้อมูล Mintel

Mintel คือ ระบบฐานข้อมูลด้านการตลาดเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจและอุตสาหกรรมของสินค้าอุปโภคบริโภคในกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางและของใช้ส่วนตัว ซึ่งครอบคลุมแนวโน้มตลาดทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์อนาคต มีบทวิเคราะห์ความต้องการของผู้บริโภค พฤติกรรมการบริโภคใหม่ๆ พร้อมด้วยข้อมูลเชิงสถิติ แนวโน้มการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และนวัตกรรมจากทั่วโลก รวมทั้งข้อมูลของส่วนผสม (Ingredient) ที่มีการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และโภชนาการ โดยมีทีมนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญของ Mintel จากทั่วโลก วิเคราะห์ข้อมูลและจัดทำรายงาน โดย สวทช. บอกรับและให้บริการครบทั้ง 3 แพลตฟอร์ม คือ Food & Drink (MFD), Beauty & Personal Care (BPC) และ Household & Personal Care (HPC)

ภาพที่ 1 เว็บไซต์ฐานข้อมูล Mintel:www.mintel.com

ภาพที่ 2 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

ฐานข้อมูล Mintel ข้อมูลปี 2019-ปัจจุบัน

  • Smart Ginseng – HanaroFarm ของเกาหลีร่วมมือกับบริษัทและมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นเพื่อสร้างฟาร์มอัจฉริยะแห่งแรกของเวียดนามเพื่อปลูกโสม ซึ่งใช้ในยาสมุนไพร ฟาร์มขนาด 200 เฮกตาร์จะใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อปลูกโสมเวียดนามที่รู้จักกันในท้องถิ่นว่าซัมง็อกลินห์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม มหาวิทยาลัย Quy Nhon และมหาวิทยาลัย Thu Dau Mot จะติดตามโครงการเพื่อประเมินการปรับปรุงเนื้อหาทางโภชนาการของพืชที่ปลูกอย่างชาญฉลาด ด้วยการควบคุมกระบวนการเพาะปลูกและสภาพภูมิอากาศโดยใช้เซ็นเซอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ HanaroFarm หวังที่จะปรับปรุงอัตราการเก็บเกี่ยวและคุณภาพของผลิตภัณฑ์
  • Chicken Shed Robot – Tibot Technologies ได้เปิดตัว Spoutnic Nav หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อให้การเลี้ยงไก่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หุ่นยนต์จะเดินทางไปรอบๆ โรงเพาะฟักเพื่อกระตุ้นให้ไก่เคลื่อนที่ไปรอบๆ และวางไข่ในรัง ไม่ใช่บนพื้น Spoutnic Nav ยังช่วยเติมอากาศให้กับโรงเพาะฟักและกระตุ้นให้ไก่เคลื่อนไหวมากขึ้นเพื่อให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็วขึ้น สามารถปรับให้เป็นแบบส่วนตัวเพื่อให้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์สามารถปรับให้เข้ากับประเภทของเครื่องนอนที่ใช้และเวลาทำการได้
  • How Fresh are the Eggs? – สถาบันวิจัยอาหารแห่งเกาหลี ใช้ reusable wireless sensor tag, communication unit and dynamic software เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวและอุณหภูมิโดยรอบของไข่โดยไม่ทำให้เปลือกแตก ระบบการคาดการณ์แบบไดนามิกจะวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมและกำหนดความสดโดยใช้หน่วย Haugh ซึ่งวัดน้ำหนักและขนาดของไข่ขาวและตรวจสอบความสด โดยตัวเลขที่สูงกว่าแสดงถึงคุณภาพที่ดี

ภาพที่ 3 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

  • Automatic Growth – Vergromat โซลูชันเรือนกระจกแนวตั้งอัตโนมัติเต็มรูปแบบ สามารถช่วยปลูกอาหารในท้องถิ่นได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ลดการใช้พลังงานลง ระบบเรือนกระจกสามารถควบคุมแสง อุณหภูมิ ความชื้น และการระบายอากาศแบบอัตโนมัติเพื่อผลิตพืชชนิดต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี เรือนกระจกหุ้มฉนวนอย่างดีและประหยัดพื้นที่เนื่องจากมีการออกแบบในแนวตั้ง แม้ว่าจะเหมาะที่สุดสำหรับพืชที่ไม่เติบโตสูงเกินไป แต่ก็มีข้อจำกัดน้อยมากสำหรับสิ่งที่ปลูกได้ นอกจากนี้ คุณภาพของพืชผลสามารถเพิ่มขึ้นได้ถึง 15% ระบบสามารถลดต้นทุนด้านพลังงานจากแสงสว่างและความร้อนได้มากถึง 80% และยังสามารถลดการใช้น้ำและของเสียได้อีกด้วย สารละลายมีขนาดกะทัดรัดและปรับขนาดได้ง่าย ดังนั้นจึงสามารถผลิตอาหารในท้องถิ่นได้ใกล้กับที่จำหน่าย
  • QC with AI – Lotte Mart ได้เริ่มใช้ AI-based screening system เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ผลไม้ AI-based screening system รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากผลไม้ รวมทั้งน้ำหนัก ปริมาณน้ำตาล ปริมาณน้ำ และความสุกโดยใช้ ear-infrared light เทคโนโลยีใหม่นี้ยังทำให้สามารถระบุข้อบกพร่อง เช่น สีน้ำตาล ความสุกมากเกินไป หรือเมล็ดแตก ซึ่งอาจเร่งการเน่าของผล ปัจจุบันบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่กำลังใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับผลไม้ เช่น เมล่อนและพีช
  • Autonomous Tractor – John Deere ได้พัฒนารถแทรกเตอร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่มีความสามารถในการทำฟาร์มขนาดใหญ่ รถแทรกเตอร์ซึ่งเปิดตัวในงาน CES 2022 มีสีและรูปลักษณ์ที่เหมือนกันของรถแทรกเตอร์ John Deere อื่นๆ แต่มาพร้อมกับกล้องหกคู่ เชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์ AI สามารถวิเคราะห์ภาพในแบบเรียลไทม์ และระบุวัตถุที่อยู่รอบ ๆ รถแทรกเตอร์ ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดทิศทางที่ควรไปและเมื่อใดควรหยุด ชาวนาสามารถเลือกที่จะนั่งในรถแท็กซี่หรือตรวจสอบจากวิดีโอฟีดข้อมูลสดที่รวมข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานทั้งหมดของรถแทรกเตอร์

ภาพที่ 4 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

  • Plain of Drones – Nippon Telegraph and Telephone (NTT) กำลังเริ่มการทดลองใช้ระยะเวลา 2 ปี เพื่อดูโดรนที่ตรวจสอบโดยระบบ GPS ที่บินอยู่เหนือพื้นที่เพาะปลูกในจังหวัดฟุกุชิมะ โดรนที่ติดตั้งกล้องจะถ่ายภาพต้นข้าวและให้ข้อมูลเฉพาะเวลาสำหรับการวิเคราะห์โดยใช้เทคโนโลยี AI ผลลัพธ์จะช่วยให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบพืชผลและสภาพอากาศได้อย่างแม่นยำ และปรับระยะเวลาของกระบวนการฉีดพ่นและใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสม
  • Drone Rice Farming – XAG กำลังส่งเสริมการใช้โดรนเพื่อการเกษตรสำหรับเกษตรกรในการปลูกข้าวอย่างยั่งยืนโดยใช้ทรัพยากรน้อยลงในประเทศผู้ผลิตข้าวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดรน XAG ที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ของกวางโจวใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เกษตรกรในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงสามารถจัดการกระบวนการเพาะปลูกจากระยะไกล เช่น การเพาะเมล็ดและการฉีดพ่น เวียดนามเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลก ในขณะที่ความกลัวทั่วโลกเติบโตขึ้นเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร โซลูชั่นด้านการเกษตรสามารถช่วยให้มั่นใจได้ว่ามีสินค้าหลักที่สม่ำเสมอและราคาไม่แพง ผู้บริโภคต้องการอาหารที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างยั่งยืนมากขึ้น การทดลองข้าวแบบอัตโนมัติในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้ 8 เมตริกตันต่อเฮกตาร์ โดยใช้เมล็ดพันธุ์น้อยกว่าการทำนาด้วยมือถึง 35% ผลประโยชน์ยังสามารถสนับสนุนการสืบทอดการเกษตร การใช้เทคโนโลยีและโดรนที่ทันสมัยสามารถส่งเสริมให้คนรุ่นหลังมีส่วนร่วมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมการเกษตรมากกว่าที่จะแสวงหาอาชีพที่แตกต่าง
  • Tech to Save Durians – สวนผลไม้ชั้นนำของมาเลเซียหันไปใช้วิธีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มคุณภาพของพืชผล สปริงเกลอร์ที่ติดอยู่กับเครือข่ายท่อจะถูกเปิดใช้งานจากระยะไกลเพื่อให้น้ำและปุ๋ยแก่ต้นทุเรียน และโดรนจะบินเหนือสวนที่ฉีดสารกำจัดศัตรูพืชเมื่อจำเป็น ตามข้อมูลของบริษัท ส่งผลให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในขณะที่จำนวนพนักงานที่ต้องการลดลง 30%

ภาพที่ 5 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

  • AI Checks for Cows- CattleEye เป็นระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่สามารถตรวจจับสัญญาณของความพิการในโคและการตรวจสอบของมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ CattleEye สแกนการเคลื่อนไหวของวัวเพื่อตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของความอ่อนแอ และกำลังถูกใช้ในฟาร์มทั่วสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยมีสัตว์ประมาณ 20,000 ตัวอยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง
  • Old Farm เคล็ดลับใหม่
  • ฟาร์มทุเรียนใช้เทคโนโลยี 5G เพื่อค้นหาและเก็บเกี่ยวทุเรียนสด เซ็นเซอร์สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแรงตึงและน้ำหนักสุทธิเมื่อผลลดลง เทคโนโลยีนี้ใช้ส่วนประกอบ Machine Type Communications (mMTC) ขนาดใหญ่ของ 5G เพื่อช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความต้องการในการเก็บเกี่ยว เกษตรกรจะได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์พร้อมระบุตำแหน่งของผลไม้ ข้อมูลที่รวบรวมสามารถช่วยให้เกษตรกรทำนายฤดูกาลทุเรียนได้เช่นกัน
  • A Durian for Your Cut – นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาวิธีการใช้เปลือกทุเรียนที่ทิ้งแล้วเพื่อสร้างผ้าพันแผลไฮโดรเจลต้านเชื้อแบคทีเรียราคาถูก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยทั่วไปแล้ว ผ้าพันแผลไฮโดรเจลจะใช้โดยตรงกับแผลหลังการผ่าตัด ช่วยลดรอยแผลเป็นโดยการรักษาบริเวณแผลให้ชุ่มชื้นในช่วงแรกของกระบวนการสมาน ตัวไฮโดรเจลเองมักจะทำจากโพลีเมอร์สังเคราะห์ โดยเติมไอออนเงินหรือทองแดงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย โพลีเมอร์มักไม่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพและทำจากทรัพยากรที่ไม่สามารถหมุนเวียนได้ การรวมไอออนของโลหะยังช่วยเพิ่มต้นทุนอีกด้วย ผ้าพันแผลที่ได้มาจากทุเรียนทำโดยการสกัดเซลลูโลสคุณภาพสูงจากเปลือกที่เหลือบางส่วน จากนั้นผสมกับกลีเซอรอลที่เหลือจากการผลิตสบู่และไบโอดีเซล และฟีนอลจากยีสต์ธรรมชาติ ส่งผลให้เนื้อเจลฆ่าเชื้อโรคที่อ่อนนุ่มมีเนื้อสัมผัสที่คล้ายคลึงกัน ไปจนถึงซิลิโคนที่สามารถตัดเป็นแผ่นได้
  • Food for Drones – นักวิจัยในมาเลเซียได้พัฒนาเทคนิคในการเปลี่ยนเส้นใยจากใบสับปะรดเป็นวัสดุที่แข็งแรงพอที่จะทำโครงโดรน นำโดยมหาวิทยาลัยปุตรามาเลเซีย จุดมุ่งหมายของโครงการนี้คือการค้นหาการใช้ขยะสับปะรดที่ผลิตโดยเกษตรกรในพื้นที่ Hulu Langat ในประเทศมาเลเซียอย่างยั่งยืน หากร่างกายของโดรนเสียหาย โครงของโดรนสามารถฝังลงดินได้ และจะใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ในการย่อยสลายทางชีวภาพ
  • Laser Weeding – โครงการ WeLASER ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหภาพยุโรปกำลังพัฒนาเลเซอร์เพื่อกำจัดวัชพืชที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับยาฆ่าแมลงและปุ๋ย ประสานงานโดยสภาระดับสูงเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของสเปน (CSIC) WeLASER จะพัฒนาโซลูชันที่ไม่ใช้สารเคมีสำหรับการจัดการวัชพืช มันจะประกอบด้วยการใช้ปริมาณพลังงานที่ทำให้ถึงตายกับเนื้อเยื่อของวัชพืชผ่านแหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์กำลังสูง ระบบ AI-vision ที่ชาญฉลาดจะแยกพืชผลออกจากวัชพืชและชี้เลเซอร์ไปที่พวกมัน เลเซอร์จะถูกใช้ทั่วสนามโดยยานยนต์ไร้คนขับ ด้วยงบประมาณโดยรวม 5.4 ล้านยูโร WeLASER คาดว่าจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน พ.ศ. 2566

ภาพที่ 6 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

  • Breathable Sand – Rechsand ผลิตขึ้นจากทรายที่ดีที่สุดจากทะเลทรายโกบี ซึ่งผ่านการบำบัดเพื่อให้มีการซึมผ่านและองค์ประกอบต่างๆ ที่ช่วยลดการใช้น้ำและเพิ่มความยั่งยืน Rechsand ผลิตขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง Dake Group ของแอฟริกาใต้และ Rechsand Technology Group ของจีน โครงสร้างโมเลกุลของทรายได้รับการปฏิบัติเพื่อให้เป็น ‘ทรายที่ระบายอากาศได้’ ซึ่งถือเป็นพลังที่จะปฏิวัติการทำฟาร์มในทะเลทราย ลดการใช้น้ำในการทำสวนหรือทำการเกษตรได้ถึง 80% และการซึมผ่านของอากาศช่วยให้รากพืชทำงานได้ดีขึ้นในแง่ของคุณภาพและการเจริญเติบโต
  • Stressed Greens – นักวิจัยชาวอิสราเอลได้สร้างโซลูชันการเกษตรอัจฉริยะเพื่อติดตามและคาดการณ์ความเครียดของพืชผล นักวิจัยจาก Technion – Israel Institute of Technology ได้สร้างระบบอัตโนมัติที่ตรวจสอบความเครียดของพืช สิ่งนี้เป็นตัวกำหนดการเจริญเติบโตและอายุขัยของพืชโดยใช้ภาพถ่ายสี การถ่ายภาพความร้อน และการเรียนรู้เชิงลึก โดยมีความแม่นยำมากกว่า 90% ในการทำนาย หมายความว่าเกษตรกรสามารถระบุได้เมื่อเกิดความเครียดจากภัยแล้งและช่วยรักษาพืชไว้ตลอดจนคาดการณ์ผลผลิตพืชผล

ภาพที่ 7 ตัวอย่างข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Remote sensing, Smart farming

The Surroundings Driver อธิบายถึงวิธีที่ผู้บริโภคค้นหาโซลูชันเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของสภาพแวดล้อม ซึ่งกำลังผลักดันนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนโลกทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะผลักดันความต้องการโซลูชันด้านการเกษตรเพิ่มเติมที่มุ่งเน้นการปรับปรุงความยืดหยุ่นของพืชและความยั่งยืน แอพ AI และเทคโนโลยีคาดการณ์จะถูกรวมเข้ากับอุปกรณ์ขนาดเล็กเพื่อช่วยให้เกษตรกรและผู้ปลูกที่บ้านปรับปรุงประสบการณ์การปลูกและผลผลิตของพวกเขา เราจะเห็น ‘พืชที่ได้รับการอัพเกรด’ ซึ่งเป็นพันธุ์ผสมเพื่อให้ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น เช่น ปริมาณแคลเซียมที่มากขึ้น ธาตุเหล็กที่สูงขึ้น หรือเสริมด้วยสารอาหาร เช่น คอลลาเจนหรือวิตามินหลายชนิด