ผลการค้นหา :
สวทช.-โอสถสภา-หน่วยงานพันธมิตร ชู ‘สมุนไพร-ถั่วเขียว’ ยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
(เมื่อวันที่ 7-8 มีนาคม 2567) ณ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ อ.เมืองศรีสะเกษ และตำบลเมืองหลวง ตำบลผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ชาติ (สวทช.) นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) พร้อมด้วยทีมวิจัย สวทช. ประกอบด้วย ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต นักวิจัยทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ดร.ประเดิม วณิชชนานันท์ นักวิจัยไบโอเทค ดร.วีรกัญญา มณีประกรณ์ นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.
พร้อมด้วย ดร.วิวรรธน์ กฤษฎาสิมะ Chief Supply Chain and Digitization Officer บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)และคณะลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า การปลูกขิง และฟ้าทะลายโจรพันธุ์ราชบุรี ภายใต้โครงการการยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (ด้านพืช สมุนไพร) นำร่อง 3 จังหวัดทุ่งกุลาร้องไห้ (ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับการผลิต แปรรูป พัฒนาต่อยอดพืชสมุนไพร โดยใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. โดยสถาบันสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชนโดยใช้กลไกตลาดนำการผลิต ซึ่งเป็นการทำงานที่บูรณาการความร่วมมือแบบจตุภาคีจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคม โดย สวทช. ร่วมส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยพัฒนา ทดสอบ สาธิต และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งกรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้เกษตรกรสามารถผลิตพืชสมุนไพรให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งการผลิตพืชสมุนไพรให้เพียงพอและได้มาตรฐานตามความต้องการนั้น สิ่งสำคัญในการผลิตสมุนไพร คือ ต้องมีการบริหารจัดการแปลงที่ดี ได้แก่ การผลิตพันธุ์ปลอดโรค เพื่อส่งให้แก่เกษตรกร การให้ความรู้กับเกษตรกรในการเตรียมท่อนพันธุ์หรือหัวพันธุ์ การจัดการดิน เพื่อป้องกันการเกิดโรคสะสม รวมทั้งการผลิตและดูแลที่เหมาะสมต่อการปลูกที่ปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ส่งเสริมการผลิตสมุนไพรคุณภาพให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practices) หรือเกษตรอินทรีย์ ซึ่งตลาดมีความต้องการ และในแปลงสมุนไพรต้องมีปริมาณโลหะหนัก สารพิษทางการเกษตร และปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ ไม่เกินค่ามาตรฐาน และต้องผลิตสารสำคัญให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
“สวทช. ร่วมกับ บริษัท โอสถสภาฯ หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ โดยใช้กลไกตลาดนำการผลิตเชื่อมโยงกับบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความต้องการวัตถุดิบสมุนไพร เช่น ขิง ไพล ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น โดยสมุนไพรที่มีศักยภาพและทางบริษัทฯ ต้องการเป็นจำนวนมาก คือ ขิง ในปี 2566 มีความต้องการขิงแห้ง 190 ตัน และปี2567 มีความต้องการขิงแห้ง 180 ตันแห้ง นอกจากนี้ไพล และฟ้าทะลายโจร ก็เป็นอีกสมุนไพรทางเลือกที่ตลาดมีความต้องการ และมีงานวิจัยของ สวทช. ในเรื่องพันธุ์ การบริหารจัดการการปลูก ทำให้เลือก ขิง ไพลและฟ้าทะลายโจร เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับการผลิต แปรรูป พัฒนาต่อยอดพืชสมุนไพร โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า การทำงานร่วมกับบริษัทโอสถสภาฯ โดยเฉพาะประเด็นขิงในปี 2567 ทางโอสถสภามีความต้องการรับซื้อมากถึง 180 ตันแห้ง ซึ่งจากการสำรวจในปี 2565 มีเกษตรกรให้ความสนใจลงชื่อปลูกสมุนไพรทั้ง 3 ชนิด 497 คน คิดเป็นพื้นที่ปลูก 310 ไร่ (ขิง 303 คน พื้นที่ 180 ไร่ ไพล 158 คน พื้นที่ 87 ไร่ ฟ้าทะลายโจร 66 คน พื้นที 44 ไร่) อยู่ในเขตทุ่งกุลาร้องไห้จำนวน 165 คน พื้นที่ 105 ไร่
“การดำเนินงานในปี 2566 ได้จัดทำโครงการการถ่ายทอดเทคโนโลยีการขยายพันธุ์พืชและยกระดับการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีของเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยมีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อผลิตต้นกล้าพันธุ์สมุนไพรปลอดโรคด้วยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในระบบไบโอรีแอคเตอร์สู่เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 2.เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีให้ได้มาตรฐาน (GAP) ตรงตามความต้องการของตลาด และ 3.เพื่อสร้างจุดเรียนรู้การผลิตสมุนไพรคุณภาพดีเชื่อมโยงกับหน่วยงานในพื้นที่ การดำเนินงานมี 2 แผนงาน
แผนงานที่ 1 : ผลิตหัวพันธุ์ปลอดโรคและทดสอบพันธุ์สมุนไพรให้สารสำคัญสูง หน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อนในแผนงานนี้ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ กรมส่งเสริมการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มีเทคโนโลยีของ สวทช. คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อโดยใช้ระบบไบโอรีแอคเตอร์ ฟ้าทะลายโจรพันธุ์สายพันธุ์ราชบุรี BT-1 เป็นสายพันธุ์ที่นักวิจัย สวทช. พัฒนาขึ้น (อยู่ในระหว่างการขอรับรองพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร) มีการเจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตสูง สร้างสารแอนโดร กราโฟไลด์ปริมาณสูง (Andrographolide; AP1) มากกว่า 2% ผลผลิตสดประมาณ 3,000 กิโลกรัม/ไร่
โดยผลการดำเนินงานปี 2566 จำนวน 2 กิจกรรม ประกอบด้วย
1) ผลิตขิงเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อปลอดโรคจำนวน 60,000 ต้น โดยสวทช. ผลิต master stock ส่งมอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรจำนวน 300 ต้น ผลิตขิงเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 30,000 ต้น และ สวทช. ผลิตขิงปลอดโรคจำนวน 30,000 ต้น รวมเป็น 60,000 ต้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการอนุบาลต้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออยู่ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษจำนวน 15,000 ต้น และศูนย์ขยายพันธุ์พืชมหาสารคามจำนวน 45,000 ต้น จะพร้อมส่งมอบให้เกษตรกรปลูกในปี 2568
2) แปลงทดสอบพันธุ์ขิง และฟ้าทะลายโจรที่ให้สารสำคัญสูง
ขิง : สวทช. ร่วมกับศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ จัดทำแปลงทดสอบขิงจาก 2 พื้นที่ ได้แก่ เพชรบูรณ์ และเลย ซึ่งอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลและนำไปตรวจดูปริมาณน้ำมันหอมระเหยจากขิง ผลผลิตที่ได้จากแปลงทดสอบจะนำไปเป็นหัวพันธุ์ให้กับเกษตรกรในฤดูกาลผลิตปี 2567 ต่อไป นอกจากนี้มหาวิทาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ได้นำหัวพันธุ์ไปปลูกในพื้นที่วิทยาเขตร้อยเอ็ด ณ ทุ่งกุลาร้องไห้ อ.สุวรรณภูมิ เพื่อผลิตหัวพันธุ์ขิง แต่ไม่ได้ผลผลิตเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดทำให้หัวพันธุ์ไม่งอก
ฟ้าทะลายโจร : ร่วมกับศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ จัดทำแปลงทดสอบฟ้าทะลายโจร 3 สายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์พิจิตร 4-4 และพันธุ์พิษณุโลก 5-4 เป็นสายพันธุ์ของกรมวิชาการเกษตร และพันธุ์ราชบุรี BT-1 เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาโดย สวทช. พบว่าปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรทั้ง 3 สายพันธุ์ ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ และอยู่ระหว่างการทำแปลงทดสอบรอบที่ 2 เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังได้นำฟ้าทะลายโจรพันธุ์ราชบุรีให้เกษตรกรในพื้นที่ ต.เมืองหลวง อ.ห้วยทับทันจ.ศรีสะเกษ ทดลองปลูกเปรียบเทียบกับพันธุ์พิจิตร 4-4 พบว่าให้ผลผลิตดี และมีสารปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ 46.99 ± 0.03 มก./ก. น้ำหนักแห้ง (4.7%) มีปริมาณที่สูง โดยโรงพยาบาลห้วยทับทันสนใจที่จะรับซื้อผลผลิตฟ้าทะลายโจรพันธุ์ราชบุรี อยู่ระหว่างการนำผลผลิตฟ้าทะลายโจรพันธุ์ราชบุรีไปทดสอบการบรรจุลงแคปซูล
แผนงานที่ 2 การอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดี และสร้างจุดเรียนรู้หน่วยงานที่ร่วมขับเคลื่อนในแผนงานนี้ได้แก่ ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ สำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ บริษัท โอสถสภา จำกัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มีเทคโนโลยีของ สวทช. คือ การผลิตสมุนไพรคุณภาพดี เทคโนโลยีสารชีวภัณฑ์ การตรวจวิเคราะห์โลหะหนัก
โดยผลผลการดำเนินงาน 2566 เกษตรกรได้รับองค์ความรู้เทคโนโลยีการผลิตสมุนไพรคุณภาพดีมาตรฐาน GAP (ขิง ไพลฟ้าทะลายโจร) เทคโนโลยีการใช้สารชีวภัณฑ์ป้องกันโรคเน่า จำนวน 337 คน ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และมีเกษตรกรแกนนำ นำร่องปลูกขิงจำนวน 28 คน พื้นที่รวม 10 ไร่ โดยแต่ละคนจะปลูกคนละ 1-2 งาน รายละเอียดแสดงตามตารางที่ 1 ได้ผลผลิตขิงสดรวม 684.8 กิโลกรัมคิดเป็นผลผลิตแห้ง 140 กิโลกรัม (คิดที่อัตราส่วน 5:1) ขิงที่ได้ภายใต้โครงการเป็นขิงปลอดภัย ไม่ใช้สารเคมี และปลอดภัยจากโลหะหนัก (ปรอท แคดเมียม สารหนู) ซึ่ง สวทช. ได้นำตัวอย่างดินและผลผลิตขิงไปตรวจวิเคราะห์โดยเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์โลหะหนักไม่พบ การปนเปื้อน (ผลผลิตอยู่ระหว่างการเก็บตัวอย่างไปตรวจ รวมทั้งปริมาณน้ำมันหอมระเหย) โดยปีนี้ผลผลิตขิงยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเนื่องจากเป็นปีแรกที่เกษตรกรทดลองปลูก ต้องเรียนรู้และคัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสมมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สวทช. ผู้บริหารกรมส่งเสริมการเกษตร ผู้บริหารคูโบต้าคาร์ปาเรชั่น จำกัด และผู้บริหาร หจก.ศิริบูรณ์ จงเจริญไพศาล ได้มอบป้าย "ศูนย์เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML ระดับชุมชน" ให้แก่นายไพฑูรย์ ฝางคำ ประธานกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ณ ศูนย์เรียนรู้ ชุมชนพลังเกษตรสร้างสุขสยามคูโบต้า-ผักไหม ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ
ข่าวประชาสัมพันธ์
สุดทึ่ง ! นักบินอวกาศญี่ปุ่น ทดลอง 3 ไอเดียของเยาวชนไทยบนสถานีอวกาศนานาชาติ
เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF พา 7 เยาวชนไทยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมโครงการ Asian Try Zero-G 2023 รับชมการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศญี่ปุ่นนำแนวคิดการทดลองจำนวน 3 เรื่อง ของเยาวชนไทยที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับเยาวชนจากประเทศออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)
[caption id="attachment_53457" align="aligncenter" width="750"] ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ไอเดียการทดลองของเยาวชนไทยได้รับการคัดเลือกโดยแจ็กซา และทดลองโดยนายซาโตชิ ฟุรุคาวะ (Satoshi Furukawa) นักบินอวกาศญี่ปุ่น ในห้องปฏิบัติการคิโบะโมดูล (Kibo Module) ของแจ็กซา เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 16.15-18.15 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยไอเดียการทดลอง 3 เรื่อง ได้แก่ การทดลองที่ 1 เรื่อง “ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้าสถิต (Water spheres and electrostatic force)” เสนอโดย นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย การทดลองที่ 2 เรื่อง “การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Stranger things two ball on string)” เสนอโดย นายณัฐภูมิ กูลเรือน (เฟรม), นายจิรทีปต์ มะจันทร์ (ต้นกล้า), นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (เพียว) และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ (ต้นน้ำ) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย และการทดลองที่ 3 เรื่อง “การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Starfish exercise for microgravity)” เสนอโดย นางสาววรรณวลี จันทร์งาม (มุก) และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ (เอม) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนระยองวิทยาคม
[caption id="attachment_53458" align="aligncenter" width="750"] เยาวชนไทยทั้ง 7 คน เดินทางถึงศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมเข้าชมการทดลองของนักบินอวกาศญี่ปุ่น[/caption]
[caption id="attachment_53468" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศการเยี่ยมชม Plasma Research Center ของมหาวิทยาลัยสึคุบะ[/caption]
“ในครั้งนี้เยาวชนไทยทั้ง 7 คน ได้เดินทางเข้าร่วมติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองจากสถานีอวกาศนานาชาติแบบเรียลไทม์ ณ ห้องบังคับการศูนย์อวกาศสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการเดินทางจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ สวทช. ร่วมกับแจ็กซา จัดโครงการ “Asian Try Zero-G 2023” เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้ส่งแนวคิดการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเข้าร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชียมาอย่างต่อเนื่อง ในครั้งนี้แจ็กซาได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 8 ประเทศ จำนวน 16 เรื่อง ขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งในจำนวนการทดลองที่ได้รับคัดเลือกเป็นการทดลองของเยาวชนไทยถึง 3 เรื่อง โดยในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้นอกจากเยาวชนไทยจะได้ติดตามการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสสื่อสารพูดคุยกับนักบินอวกาศโดยตรงแล้ว ยังได้เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยสึกุบะ (University of Tsukuba) มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มุ่งเน้นด้านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย ถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่ช่วยสานฝันและสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยสนใจพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต”
[caption id="attachment_53459" align="aligncenter" width="750"] นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF[/caption]
ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF กล่าวว่า CPF เป็นบริษัทที่มุ่งมั่นและส่งเสริมเรื่องการพัฒนานวัตกรรมใหญ่ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยในอาหาร โดยในปี 2023 ได้ริเริ่มโครงการไก่ไทยไปอวกาศเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าไก่ของ CP ที่มีการจำหน่ายทั่วไปมีมาตรฐานระดับสูงสุด ในฐานะแบรนด์อาหารของคนไทยรู้สึกประทับใจและชื่นชมน้อง ๆ ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง การที่น้อง ๆ เยาวชนไทยได้รับคัดเลือกจากองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่นให้เข้าชมการทดลองโครงงานสำคัญ ณ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ สะท้อนความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และตอกย้ำว่าเด็กไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ดีใจที่แบรนด์ CP มีส่วนร่วมสนับสนุนเติมเต็มความฝันของเด็กไทย เพราะเราเชื่อในศักยภาพคนไทยที่จะก้าวไปได้อีกไกลในเวทีโลก
[caption id="attachment_53467" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศในห้อง Mission Control ของ JAXA[/caption]
[caption id="attachment_53460" align="aligncenter" width="750"] นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง)[/caption]
นายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง) ผู้เสนอการทดลองเรื่อง “ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้าสถิต (Water spheres and electrostatic force)” เล่าว่า ต้องการศึกษาว่าแรงไฟฟ้าสถิตมีผลกับก้อนน้ำทรงกลมในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำอย่างไร ในการทดลองสร้างไฟฟ้าสถิตด้วยการนำไม้บรรทัดพลาสติกมาถูกับผ้า และนำปลายไม้บรรทัดเข้าไปจ่อใกล้ ๆ ก้อนน้ำที่ถูกยึดไว้กับถุง เพื่อสังเกตว่าก้อนน้ำมีการขยับหรือเปลี่ยนรูปร่างตามที่ถูกแรงไฟฟ้ากระทำหรือไม่
[caption id="attachment_53461" align="aligncenter" width="750"] นักบินอวกาศญี่ปุ่นกำลังทำการทดลองเรื่อง ก้อนน้ำทรงกลมกับแรงไฟฟ้าสถิต ของนายชญานิน เลิศอุดมศักดิ์ (ฟุง) นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“ผลการทดลองบนสถานีอวกาศนานาชาติพบว่าแรงไฟฟ้ามีผลกับก้อนน้ำอย่างชัดเจน โดยเมื่อนักบินอวกาศนำไม้บรรทัดพลาสติกที่มีประจุไฟฟ้าเข้าไปใกล้ก้อนน้ำ เริ่มแรกก้อนน้ำขยับเข้าหาประจุทั้งก้อนโดยมีส่วนที่ติดกับปลายหลอดของถุงยึดไว้อยู่ และเมื่อนำไม้บรรทัดเข้าใกล้เพิ่มไปอีก ก้อนน้ำก็หลุดออกมาจากปลายหลอดและลอยขึ้น การได้มีโอกาสเห็นการทดลองจากสิ่งที่เราคิดและอยากรู้ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและประทับใจในความยิ่งใหญ่ของการสำรวจอวกาศ นอกจากนี้การได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่ต่าง ๆ ของ JAXA เช่น แบบจำลองของ KIBO Module สถานที่ฝึกนักบินอวกาศ และห้อง Mission Control รวมทั้งได้พบกับคุณโนริชิเงะ คะไน (Norishike Kanai) นักบินอวกาศญี่ปุ่น ที่มาช่วยบรรยายและตอบคำถามโดยตรง ทำให้ได้รับความรู้และแรงบันดาล รู้สึกดีใจและโชคดีมากที่ได้รับโอกาสและประสบการณ์พิเศษครั้งนี้”
[caption id="attachment_53462" align="aligncenter" width="750"] (จากซ้ายไปขวา) นางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (เพียว), นายจิรทีปต์ มะจันทร์ (ต้นกล้า), นายณัฐภูมิ กูลเรือน (เฟรม) และนายภูมิพัฒน์ รัตนวัฒน์ (ต้นน้ำ)[/caption]
ด้าน นายณัฐภูมิ กูลเรือน (เฟรม) และนางสาวฟ้าใหม่ คงกฤตยานุกุล (เพียว) ตัวแทนทีมการทดลอง เรื่อง การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เล่าว่า การทดลองนี้มีที่มาจากการศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเพนดูลัม (pendulum) ที่มีลักษณะเป็นลูกบอลสองลูกผูกติดไว้กับเชือก เมื่อทำให้หมุน ชุดการทดลองจะทำให้ลูกบอลทั้งสองลูกเกิดการหมุนในระนาบที่แตกต่างกัน กลุ่มของเราพบว่าการเคลื่อนที่ของลูกบอลเกิดขึ้นได้จากแรงตึงเชือกและแรงโน้มถ่วง พวกเราจึงสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากทดลองแบบเดียวกันบนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ โดยกลุ่มของเราได้ตั้งสมมติฐานจากการเขียนแผนภาพแรง (Free body diagram) ว่า หากไม่มีแรงโน้มถ่วงคอยดึงลูกบอลลงสู่พื้นแล้ว เมื่อทำการทดลองลูกบอลจะค่อย ๆ ลอยขึ้นจนสุดที่ระนาบเดียวกับมือของนักบินอวกาศผู้ทดลอง
[caption id="attachment_53463" align="aligncenter" width="750"] นักบินอวกาศญี่ปุ่นกำลังทำการทดลองเรื่อง การศึกษาการเคลื่อนที่แบบวงกลมของลูกบอลสองลูกบนเส้นเชือกในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนักเรียนโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยเครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
“ผลการทดลองออกมาในลักษณะที่คล้ายกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ คือ เมื่อทำการทดลองแล้ว ลูกบอลมีการเคลื่อนที่ขึ้นจริงๆ และยังมีส่วนที่ไม่เหมือนกับสมมติฐานของเราคือลูกบอลนั้นมีการลอยขึ้นอย่างรวดเร็วมาก และลูกบอลนั้นยังลอยสูงขึ้นเกินกว่าระนาบเดียวกับมือของนักบินอวกาศผู้ทำการทดลองอีกด้วย พวกเราทั้ง 4 คน รู้สึกประทับใจที่ได้เข้าร่วมนำเสนอโครงการที่สำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต ได้สื่อสารกับนักบินอวกาศญี่ปุ่นร่วมกับเพื่อน ๆ ชาวต่างชาติที่มีความสนใจเหมือนกันในด้านฟิสิกส์ วิศวกรรม และเทคโนโลยี การเข้าร่วมกิจกรรมนี้เป็นการเปิดโลก เปิดมุมมองใหม่ ๆ และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการเลือกเส้นทางการศึกษาของพวกเราในอนาคตต่อไป"
[caption id="attachment_53464" align="aligncenter" width="750"] (จากซ้ายไปขวา) นางสาววรรณวลี จันทร์งาม (มุก) และนางสาวพุทธิมา ประกอบชาติ (เอม)[/caption]
ด้าน นางสาววรรณวลี จันทร์งาม (มุก) ตัวแทนทีมการทดลองที่ 3 เรื่อง การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ เล่าว่า เราเห็นว่าปัญหาของนักบินอวกาศซึ่งต้องเจอขณะออกไปทำภารกิจในอวกาศ คือการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เราอยากให้นักบินอวกาศออกกำลังกายแบบ Bodyweight แต่ปัญหาคือการออกกำลังกายประเภทนี้ต้องใช้น้ำหนักของตัวเองมาเป็นแรงต้าน เราจึงเสนอแนวคิดแก้ปัญหานี้โดยการใช้ Resistance Band มาเป็นอุปกรณ์เพิ่มแรงต้าน ส่วนที่มาของท่าดาวทะเลคิดขึ้นมาจากสาเหตุที่ว่า เมื่อนักบินอวกาศออกกำลังกายในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำตัว นักบินอวกาศจะไม่สามารถอยู่ติดกับพื้นได้หากไม่มีอุปกรณ์เสริม เราจึงเลือกเลียนแบบท่าทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้เคลื่อนที่บนบก ซึ่งก็คือท่าทางของดาวทะเลที่ทำตามได้ง่ายและน่าจะเหมาะกับการออกกำลังกายในอวกาศ
[caption id="attachment_53465" align="aligncenter" width="750"] นักบินอวกาศญี่ปุ่นกำลังทำการทดลองเรื่อง เรื่อง การออกกำลังกายท่าดาวทะเลภายใต้สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนักเรียนโรงเรียนระยองวิทยาคมเครดิตภาพ : JAXA/NASA[/caption]
[caption id="attachment_53469" align="aligncenter" width="750"] ภาพบรรยากาศการให้สัมภาษณ์สถานี NHK World Japan[/caption]
“ผลการทดลองน่าประทับใจมาก เพราะว่าคุณซาโตชิ ฟุรุคาวะ นักบินอวกาศญี่ปุ่นผู้ทำการทดลองบอกว่า มีการใช้กล้ามเนื้อส่วนใดบ้างในขณะที่ทำการทดลอง ซึ่งได้แก่ กล้ามเนื้อแกนกลาง กล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว กล้ามเนื้อต้นแขน และกล้ามเนื้อน่อง โดยแต่ละส่วนนั้นตรงตามที่เราได้คาดการณ์ไว้ และทำให้การออกกำลังกายของเรานั้นบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งการได้พูดคุยกับนักบินอวกาศผ่านห้อง mission control และเจอกับคุณโนริชิเงะ คะไน นักบินอวกาศญี่ปุ่นที่คอยอธิบายขั้นตอนการทำงาน ทำให้ได้รับความรู้ต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลย และพวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำความรู้ที่ได้จากการไปเรียนรู้ครั้งนี้มาใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน"
สามารถติดตามการทดลองโครงการ Asian Try Zero-G 2023 ได้ที่เพจ NSTDA Space Education Facebook: https://www.facebook.com/NSTDASpaceEducation
เรียบเรียงโดย ปริทัศน์ เทียนทอง ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
เอ็มเทค สวทช. และ สวรส. ร่วมมือกับไทยวาโก้ เปิดตัวนวัตกรรมชุดบอดีสูท “เรเชล (Rachel)” นวัตกรรมสำหรับสังคมอายุยืน ช่วยในการเคลื่อนไหวและป้องกันการบาดเจ็บ
(วันที่ 7 มีนาคม 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และบริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวนวัตกรรมชุดบอดีสูท “เรเชล (Rachel)” โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นให้ข้อมูลเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อสังคมอายุยืน
เอ็มเทค สวทช. ได้บ่มเพาะวิจัยและพัฒนา “นวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits)” สำหรับสังคมอายุยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ (พฤฒพลัง : Active aging) ให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในการใช้ชีวิตประจำวัน
“เรเชล (Rachel)” ชุดบอดีสูทสำหรับผู้สูงอายุ เป็นส่วนหนึ่งของ “นวัตกรรมชุดเอ็กโซสูท (Exosuits)” ได้รับทุนสนับสนุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้ออกแบบ วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ สวมใส่ได้ตลอดวัน ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีการเสริมแรงด้วยวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติและการตัดเย็บโดยเฉพาะ เพื่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นตัวช่วยผู้สูงอายุในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นยืน ยกของ เดินขึ้นบันได ทำงานบ้าน เป็นต้น คณะวิจัยได้พัฒนานวัตกรรมและทดสอบด้านประสิทธิภาพให้พร้อมต่อการใช้งานแล้ว ต่อมาได้มีความร่วมมือกับบริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ในการต่อยอดเพื่อขยายผลเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับสังคมอายุยืน
ทันตแพทย์จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สวรส. ให้การสนับสนุนทุนวิจัยกับ เอ็มเทค สวทช. ในปีงบประมาณ 2565 เพื่อดำเนินโครงการวิจัยปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของชุดสวมใส่พร้อมระบบติดตามและแอปพลิเคชัน เพื่อพยุงกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นการวิจัยพัฒนาและขยายผลการใช้งานต้นแบบชุดพยุงกล้ามเนื้อและอุปกรณ์การบาดเจ็บแบบสวมใส่ หรือเรียกว่า ชุดเรเชล (Rachel) รุ่นออลเดย์ (All-day) โดยพัฒนาต่อยอดจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้าน Exoskeleton ที่มีอยู่เดิมของเอ็มเทค สวทช. ได้แก่ เทคโนโลยีชุดสวมใส่เพื่อพยุงกล้ามเนื้อ (Motion-assist Exo-apparel Technology) และเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดแบบสวมใส่เพื่อบ่งชี้ท่าทางและป้องกันการบาดเจ็บ
(Injury-preventive Wearable Technology) โดยมีการต่อยอดเพื่อเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อจำลองด้วยการตัดเย็บและเลือกวัสดุผ้าที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงคุณสมบัติในการทำงานโดยชุดมีขนาดเหมาะสม น้ำหนักเบา ตอบโจทย์การใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทั้งนี้ชุดดังกล่าวได้รับการออกแบบให้สามารถสวมใส่ได้ทั้งวันช่วยป้องกันการบาดเจ็บระหว่างการเคลื่อนไหวในกิจวัตรประจำวัน และลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม ส่งผลให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น เป็นเวลานานขึ้น และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น การป้องกันการหกล้ม การปรับท่าทางในการทำกิจกรรมให้ถูกต้องตามหลักของการจัดวางท่าทางที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพ เพื่อลดอัตราการเสื่อมของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ตลอดจนลดการพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการเสริมพลังแห่งการมีสุขภาวะที่ดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้กับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี
ทันตแพทย์จเร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนเพื่อพัฒนานวัตกรรมงานวิจัยของ สวรส. ตั้งอยู่บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง สวรส. จึงให้การสนับสนุนทุนวิจัยดังกล่าว เพื่อให้เครือข่ายวิจัยพัฒนาอุปกรณ์คุณภาพที่สามารถผลิตใช้เองในประเทศ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าจากต่างประเทศ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุ ตลอดจนลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้งานวิจัยดังกล่าว สวรส. วางแผนจะพัฒนาไปสู่การขยายผลในระบบสุขภาพ โดยคาดว่าจะพัฒนาเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ป่วยสิทธิ์บัตรทอง เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
คุณณัฐชรินธร พงศ์สุภาจินตภา กรรมการบริหารสายงาน Human Science Research Center บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีความมุ่งมั่นค้นคว้าวิจัย พัฒนา และให้ความสำคัญติดตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การดำเนินธุรกิจชุดชั้นในสตรี ภายใต้แบรนด์ Wacoal มากว่า 50 ปี บริษัทตระหนักและเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ผลิตภัณฑ์ใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีขนาดที่สอดคล้องเหมาะสมกับสรีระ จึงสามารถช่วยให้การใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกเพศทุกวัยมีความสะดวกสบาย ที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยต่อร่างกายและจิตใจของผู้ใช้อย่างแท้จริง โดยได้ริเริ่มจัดทำการสำรวจวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ไทยตั้งแต่ปี 2524 โดยได้ประสานงานความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐและมหาวิทยาลัยต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม, NECTEC ( โครงการ SIZE THAILAND) และโครงการสำรวจขนาดร่างกายเด็กและสตรีไทยทั่วประเทศกับมหาวิทยาลัยมหิดล จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2552 ประชากรผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี บริษัทเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้สูงอายุ จึงจัดทำการสำรวจเฉพาะหญิงไทยอายุ 45-65 ปี เพื่อนำข้อมูลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะภายใต้แบรนด์ Wacoal Gold ปี 2566 บริษัทได้เข้าร่วมงานเปิดตัวผลงานนวัตกรรมเรเชล (Rachel) ชุดบอดีสูทสำหรับผู้สูงอายุ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ตรงกับบริษัทที่จะค้นคว้าพัฒนาผลิตภัณฑ์สังคมอายุยืนเพื่อคนไทยทั้งประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี นำไปสู่การเจรจาเพื่อรับต่อยอดนวัตกรรมและร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุดบอดีสูทสำหรับผู้สูงอายุให้มีการใช้ประโยชน์ได้ในวงกว้างสำหรับประชากรไทย ด้วยความเชี่ยวชาญ ความรู้ และประสบการณ์ด้านวัตถุดิบและการตัดเย็บของบริษัทให้มีคุณลักษณะที่เหมาะสม ผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technologies) ของทีมนักวิจัยของเอ็มเทค สวทช. และความเชี่ยวชาญในการสร้างแพทเทิร์นและตัดเย็บจากสถาบันพัฒนาแพทเทิร์นอุตสาหกรรมและการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำให้ชุดบอดีสูทเรเชลมีสมบัติทางกลศาสตร์ ที่เหมาะสมในการเคลื่อนไหว และยังมีน้ำหนักเบา ระบายเหงื่อได้ดีสามารถใส่ได้ทั้งวันและทุกๆ วันสำหรับกิจกรรมทั้งในบ้านและนอกบ้าน
คุณณัฐชรินธร กล่าวต่อว่า วาโก้ มั่นใจว่าจะพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากเรเชลสูท (Rachel suit) รุ่นออลเดย์ (All-day) เป็น รุ่นเอเวอรี่เดย์ (Everyday) ต้นแบบให้มีความสมบูรณ์แบบครอบคลุมทั้งด้าน Function และ Fashion สามารถรองรับ Lifestyle สังคมอายุยืน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีและเป็นประโยชน์ให้กับประเทศไทยโดยรวมต่อไป
ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวถึงที่มาของการพัฒนานวัตกรรมในครั้งนี้ว่า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Ageing Society) เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่เป็น “สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์” แล้วในปี 2565 ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล็งเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขของผู้สูงวัย จึงได้ริเริ่มจัดตั้งโปรแกรม NSTDA Frontier Research Exoskeleton ในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “เอ็กโซสเกเลตัน (Exoskeleton)” เพื่อวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุประเภทสวมใส่ เพื่อตอบสนองการทำกิจกรรมต่างๆ การช่วยเหลือพึ่งพาตนเอง ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาพให้มีความแข็งแรงยาวนานขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ภายนอกร่างกาย หรือที่เรียกว่า “เอ็กโซ-แอพพาเรล (Exoapparel)” หรือ “เอ็กโซ-สูท (Exosuit)” เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ป้องกันการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ รวมถึงการป้องกันการพลัดตกหกล้ม มุ่งเน้นออกแบบให้เหมาะกับสรีระและบริบทการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ นอกจากนี้มีการคำนึงถึงกระบวนการผลิตที่ไม่ใช้ต้นทุนสูง เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวเสริมว่า เริ่มต้น เอ็มเทค สวทช. ได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันพัฒนาแพ็ทเทิร์นอุตสาหกรรมและการออกแบบเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในการออกแบบชุดบอดีสูทสำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ ที่มีชื่อว่า เรเชล (Rachel) รุ่นแอ็กทิฟ (Active) ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ได้แก่ เทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่ เทคโนโลยีกล้ามเนื้อจำลองแบบนิวเมติกส์ เทคโนโลยีการจำลองการทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูก และมีแนวคิดการออกแบบชุด โดยมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง โดยชุดเรเชล รุ่นแอ็กทิฟนี้ เสริมแรงให้กล้ามเนื้อที่ใช้ สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ท่าลุกขึ้นยืน ท่าเดินขึ้นบันไดท่ายกของ โดยมีน้ำหนักเบา สามารถสวมใส่เสื้อผ้าทับได้ และผู้สูงอายุสามารถสวมใส่ได้ตลอดทั้งวัน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยกระบวนการทดสอบประสิทธิภาพของชุดดังกล่าว คณะวิจัยจาก เอ็มเทค สวทช. ดำเนินการวิจัยที่ห้องปฏิบัติการให้คำปรึกษาด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Technologies Consulting Services lab) ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจัดตั้งภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ประจำปีงบประมาณ 2565 จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
หลังจากนั้น ในปีงบประมาณ 2565 เอ็มเทค สวทช. ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. และ สกสว. พัฒนาชุด บอดีสูท เรเชล (Rachel) รุ่นออลเดย์ (All-day) ต่อยอดจากรุ่นแอ็กทิฟ (Active) สำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ โดยได้ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมของคณะวิจัย ในการพัฒนากล้ามเนื้อจำลองที่ใช้วัสดุผ้าและเทคนิคการตัดเย็บให้มีการยืดหยุ่นและมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ทำให้ตัวชุดรุ่นนี้ มีน้ำหนักเบา ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี สามารถใส่ได้ทั้งวัน แต่ยังคงช่วยเสริมในการเคลื่อนไหว และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีอุปกรณ์วัดการเคลื่อนไหวแบบสวมใส่มาต่อยอดเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ด้วย ความร่วมมือวิจัยและพัฒนาชุดนวัตกรรมครั้งนี้ โดยในระยะแรก บริษัทไทยวาโก้ จำกัด และเอ็มเทค สวทช. มุ่งเน้นพัฒนาชุดสำหรับกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้เป็นผู้สูงอายุทั้งเพศหญิงและชายที่ดูแลตัวเองได้ ที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน ให้ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ลดการพึ่งพิงผู้อื่น และเป็นกำลังสำคัญของประเทศไทยในเศรษฐกิจสูงวัย (Silver aging) ได้ต่อไป ภายใต้ชื่อเรเชล (Rachel) รุ่นเอเวอรี่เดย์ (Everyday) และในระยะต่อไปจะมีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังวัยทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือเยื่อพังผืด หรือเป็นออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มที่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย จึงเชื่อว่าผลงานวิจัยชุด "เรเชล (Rachel) จะเป็นส่วนหนึ่งของความพร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
จัดยิ่งใหญ่! การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 “NAC2024”
สวทช. แถลงความพร้อมจัดงาน การประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ NAC2024 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สานพลัง สร้างงานวิจัย พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วย BCG Implementation” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
พบกับผลงานวิจัยและศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของ สวทช. ทั้งในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนามากกว่า 40 หัวข้อที่น่าสนใจ การจัดนิทรรศการมากกว่า 50 ผลงาน และการจัดกิจกรรมเปิดบ้าน Open House ในพื้นที่อุทยานวิทยาวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน NAC2024 ได้ที่ https://www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
เกษตรกรอำนาจเจริญ ปลูกถั่วเขียว KUML ช่วยบำรุงดิน มีรายได้เสริม เพิ่มความยั่งยืน แถมผลผลิตข้าวอินทรีย์เพิ่มเท่าตัว !
“แทนที่จะปล่อยนาร้างให้ว่างเปล่า เราเอาถั่วเขียว KUML ไปปลูก ช่วยปรับสภาพดินได้ พอดินดี ผลผลิตก็เยอะ ปีที่แล้วนาผม 1 ไร่ เกี่ยวข้าวได้ 500-600 กิโลกรัม เดิมได้แค่ 200-300 กิโลกรัม เมล็ดข้าวก็อ้วนขึ้น แถมถั่วเขียวที่ได้คุณภาพดี มีเอกชนรับซื้อถึงแปลง” คำบอกเล่าของ นายประมวล ขันธ์เพชร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ แหล่งผลิตข้าวอินทรีย์ขึ้นชื่อแห่งแดนอีสานที่การันตีว่า ถั่วเขียว KUML ช่วยปรุงดินทำให้ข้าวงอกงาม เพิ่มผลผลิต และมีรายได้เสริม
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง ต.โพนเมืองน้อย อ.หัวตะพาน จ.อำนาจเจริญ คือกลุ่มเกษตรกรที่ผลิตข้าวอินทรีย์มากว่า 20 ปี เริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 และดำเนินการจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจในปี 2548 เริ่มต้นมีสมาชิกเป็นเกษตรกรชุมชนบ้านโนนค้อทุ่งแค่ 10 คน ที่รวมใจกันปฏิเสธการใช้สารเคมี หันมาปลูกข้าววิถีอินทรีย์อย่างจริงจัง จนได้การรับรองมาตรฐาน International Federation of Organic Agriculture Movements (IFOAM), มาตรฐานข้าวอินทรีย์ของสหภาพยุโรป (EU) และมาตรฐานระบบอินทรีย์แคนาดา หรือ Canada Organic Regime (COR) ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มมากกว่า 40 ราย และด้วยความเข้มแข็งของกลุ่ม ประกอบกับใจของเกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นและรักความก้าวหน้า ทำให้พวกเขาสามารถขยายตลาด ผันตัวจากผู้ปลูกสู่ผู้ค้า ยกระดับเป็นเจ้าของกิจการที่ส่งข้าวอินทรีย์ขายให้ร้านอาหารชั้นนำทั่วประเทศ
ล่าสุดกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่งรับ ‘ถั่วเขียวสายพันธุ์ KUML’ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มาปลูกเป็น ‘พืชหลังนา’ ปุ๋ยพืชสดชั้นดีที่ช่วยให้ผลผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ! ที่สำคัญยังได้รับการยกระดับเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ระดับชุมชน’ โดยกลุ่มสามารถเป็นนวัตกรในการให้ความรู้ที่ถูกต้องตามหลักวิชาการให้แก่ผู้ที่สนใจได้
ถั่วเขียว KUML เมล็ดใหญ่ สุกแก่พร้อมกัน ต้านทานโรค
นางสาววิราภรณ์ มงคลไชยสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. สนับสนุนทุนวิจัยให้ ศาสตราจารย์ ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ และ รศ. ดร.ประกิจ สมท่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิจัยและพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียวจนได้สายพันธุ์ KUML#1-5 และ 8 ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ เมล็ดขนาดใหญ่ ทนแล้ง สุกแก่เร็ว ให้ผลผลิตได้สูงถึง 300 กิโลกรัมต่อไร่ ที่สำคัญต้านทานโรคราแป้งและใบจุดได้ดี จากนั้นสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สวทช. ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML เป็นพืชหลังนาด้วยกลไกตลาดนำการผลิต ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. เพื่อขยายผลการผลิตถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกร
“พืชตระกูลถั่วเป็นพืชที่มีความสำคัญ เพราะเป็นพืชอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และช่วยตัดวงจรชีวิตโรคและแมลงศัตรูพืชในพื้นที่นาข้าว เพราะถั่วเขียวเป็นพืชใบกว้าง ข้าวเป็นพืชใบแคบ มีศัตรูพืชคนละชนิดกัน เมื่อปลูกถั่วเขียวสลับกับปลูกข้าว ศัตรูข้าวจะค่อย ๆ หมดไป แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรยังไม่ค่อยนิยมปลูกถั่วเขียว สาเหตุเพราะ 1.ขาดแคลนเมล็ดพันธุ์ดี ทุกวันนี้ประเทศไทยต้องนำเข้าถั่วเขียว เพราะการผลิตไม่เพียงพอกับการบริโภค ส่วนใหญ่เกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์จากตลาดมาปลูก เกิดปัญหามีพันธุ์ปน ให้ผลผลิตน้อย เมล็ดเล็ก และไม่ต้านทานโรค 2. เกษตรกรขาดความรู้ในการปลูกถั่วเขียว คิดว่าหว่านแล้วไม่ต้องดูแล ผลผลิตที่ได้จึงน้อย 3. เก็บเกี่ยวยาก เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวในท้องตลาดปลูกแล้วสุกแก่ไม่พร้อมกัน เปลืองแรงงานในการจ้างเก็บหลายรอบ และ 4. ปลูกแล้วไม่รู้จะขายใคร
“สวทช. ร่วมกับ ม.เกษตรศาสตร์ เร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์ถั่วเขียว KUML และเดินหน้าขยายผลส่งเสริมการปลูกให้แก่เกษตรกรเพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร โดยจัดอบรมเชิงปฏิบัติการทั้งการผลิตเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวคุณภาพดีไว้ใช้เอง ลดปัญหาพันธุ์ปนและปัญหาการขาดแคลนเมล็ดพันธุ์คุณภาพ (SEED) และให้ความรู้เทคนิคการปลูกถั่วเขียวที่ให้ผลผลิตสูง ฝึกลงมือปฏิบัติจริงในแปลง พร้อมดูแลให้คำปรึกษาติดตามอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือโครงการยังใช้กลไก ‘ตลาดนำการผลิต’ ดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน บริษัทกิตติทัต จำกัด และบริษัทข้าวดินดี จำกัด รับซื้อผลผลิตถั่วเขียวอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร”
‘ถั่วเขียว KUML’ ปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน เพิ่มผลผลิตข้าวเท่าตัว
นายประมวล ขันธ์เพชร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ เล่าว่า ที่ผ่านมากลุ่มมีการปลูกพืชตระกูลถั่วเป็นพืชหลังนา แต่พันธุ์ถั่วเขียวที่ใช้ปลูกไม่ค่อยดี เมล็ดเล็ก บางปีปลูกแทบไม่ได้ผลผลิต ก็จะไถกลบไปเลย ถั่วเขียวที่ปลูกส่วนใหญ่มีปัญหาสุกแก่ไม่พร้อมกัน ทำให้เก็บเกี่ยวยาก โดยมากเกษตรกรจะหันไปปลูกปอเทืองหรือพืชชนิดอื่นแทน
“สวทช. นำเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML มาส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชหลังนา เราสนใจเพราะจะได้เป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน แทนที่เราจะปล่อยนาให้ว่างเปล่า เราปลูกถั่วเขียว KUML พบว่าดินดีขึ้น และช่วยให้ผลผลิตข้าวอินทรีย์ดีขึ้นมาก อย่างนาผม 1 ไร่ เกี่ยวข้าวได้ถึง 500-600 กิโลกรัม เดิมเกี่ยวได้แค่ 200-300 กิโลกรัม ที่สำคัญแทบไม่ต้องใส่ปุ๋ยอะไรเพิ่มในนาข้าวเลย ช่วยลดต้นทุน และอาจารย์ที่ ม.เกษตรฯ ยังลองนำเมล็ดข้าวที่ปลูกได้ไปตรวจ พบว่าเมล็ดข้าวที่ได้มีลักษณะอ้วนขึ้นด้วย
เราปลูกข้าวอินทรีย์ปีละครั้ง ปลูกถั่วเขียวปีละครั้ง พอทำนาเสร็จก็ไถกลบตอซัง แล้วก็ปลูกถั่วเขียว พอเอารถไปเกี่ยว บางเมล็ดก็หล่นลงดิน ถั่วเขียวก็ขึ้นมาใหม่ ถ้าช่วงนั้นน้ำยังไม่มา ฝนยังไม่ตก เราก็เก็บผลผลิตได้อีกรอบ ถ้าต้นโตออกดอกหรือว่าฝนมา เราก็ไถกลบลงไปเลย ช่วยเพิ่มปุ๋ยเกิดประโยชน์กับเราอีก มีแต่ได้กับได้”
อบรมความรู้ปลูกถั่วเขียว ผลผลิตสูง มีรายได้เสริม
นายอดุลย์ โคลนพันธ์ เกษตรกรแกนนำ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ เล่าว่า เดิมปลูกถั่วเขียว รู้แค่ว่าหว่านเมล็ดลงแปลง แล้วก็รอเก็บผลผลิต แต่ไม่มีความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวที่ถูกต้อง ไม่รู้ว่าต้องคัดพันธุ์อย่างไร ต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นถั่วเขียวที่ดี ไม่มีถั่วหินปน จนกระทั่ง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาช่วยอบรมให้ความรู้ว่าปลูกถั่วเขียวต้องทำอย่างไร ถ้าความชื้นไม่พอต้องให้น้ำ หรือว่าช่วงไหนที่โรคแมลงมาลงก็ให้เอาชีวภัณฑ์เข้าไปช่วย และยังมีการติดตามเก็บข้อมูลให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมามีภาครัฐมาสนับสนุนพันธุ์ถั่วเขียวให้ปลูกบ้าง แต่เราไม่มีความรู้ในการปลูก แต่ สวทช. และ ม.เกษตรฯ เข้ามาส่งเสริมการผลิตถั่วเขียว KUML แบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูก การดูแล และการเก็บเกี่ยว ทำให้ปลูกถั่วเขียวได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว เดิมปลูกถั่วเขียวพันธุ์ทั่วไปเหลือขายเล็กน้อย มีรายได้เฉลี่ยต่อไร่เพียง 1,500 บาท พอปลูกถั่วเขียว KUML มีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาทต่อไร่”
“แต่ก่อนปลูกถั่วพร้าได้แค่ปุ๋ย ขายไม่ได้” นายประมวล กล่าวเสริมและเล่าว่า แทนที่จะเอาเงินขายข้าวไปซื้อปุ๋ยมาลงนาเพิ่ม ก็ปลูกถั่วเขียว KUML แทน ได้ทั้งปุ๋ยพืชสดบำรุงดินและยังขายได้ด้วย บริษัทข้าวดินดี จำกัด รอรับซื้ออยู่แล้ว ทำให้มีรายได้เสริมระหว่างพักนา บางคนปลูกเยอะก็มีรายได้เพิ่ม 10,000-20,000 บาท ปีนี้ผมปลูกถั่วเขียว KUML เยอะกว่าทุกปี ปีที่แล้วปลูก 4-5 ไร่ แต่ปีนี้ปลูก 10 กว่าไร่ ข้อดีของถั่วเขียวคือเป็นพืชอายุสั้นและใช้น้ำน้อย เพราะว่าที่นี่ไม่มีชลประทาน วันไหนกลางคืนลมไม่มี น้ำค้างลงเยอะ ถั่วจะได้กินเยอะ อย่างปีนี้น้ำค้างเยอะ เพราะลมหนาวน้อย ถั่วเขียวจะเจริญเติบโตดี คิดว่าปีนี้น่าจะได้ผลผลิตถั่วเพิ่มมากขึ้น”
ยกระดับเกษตรกรผู้ปลูก สู่ ‘ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์’
การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ว่าถั่วเขียวหรือข้าว หัวใจสำคัญคือ ‘เมล็ดพันธุ์’ เพราะต้องมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดที่หว่านลงแปลงนั้นต้อง ‘ไม่มีการคลุกสารเคมี’
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สท. สวทช. กล่าวว่า นอกจากอบรมความรู้เรื่องการปลูกถั่วเขียวแล้ว สวทช. ยังส่งเสริมเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง เพราะว่าถั่วเขียว KUML เป็นพันธุ์ผสมเปิด (open pollinated variety หรือ OP) คือเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกต่อได้หากมีการเก็บถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจร่วมใจโนนค้อทุ่งเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเมล็ดพันธุ์มาก ต้องมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ต้องไม่คลุกสารเคมี และมีผู้ตรวจมารับรอง
“จุดเด่นของโครงการส่งเสริมการปลูกถั่วเขียว KUML สวทช. คือ เรามุ่งเน้นพัฒนาเกษตรกรให้มีทักษะการผลิตเมล็ดพันธุ์ และผลักดันให้มีการบริหารจัดการเมล็ดพันธุ์ของกลุ่มเพื่อให้เกิดความยั่งยืน เราจะไม่แจกเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ให้ฟรี แต่ปลูกฝังกลไกที่เรียกว่า การยืม-คืน โดยเริ่มต้น สวทช. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียว KUML ให้แก่เกษตรกร จากนั้นกลุ่มเกษตรกรจะนำไปแจกจ่ายโดยใช้วิธียืม-คืน เช่น ยืมไป 5 กิโลกรัม สำหรับหว่าน 1 ไร่ แต่เวลาคืนต้องคืน 8 กิโลกรัม เพราะฉะนั้นเมล็ดพันธุ์จะไม่สูญหาย และยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นสำหรับใช้หมุนเวียนในกลุ่มด้วย”
สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ ไม่ได้แค่นำกลไกการยืน-คืนเมล็ดพันธุ์ไปใช้ภายในกลุ่ม แต่พวกเขายังทำ ‘แปลงเมล็ดพันธุ์ส่วนกลาง’ เพื่อเป็น ‘ธนาคารเมล็ดพันธุ์’ ของกลุ่มด้วย
นายอดุลย์ เล่าว่า กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เก็บเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ปลูกเอง มีการจัดทำแปลงกลางของกลุ่มสำหรับผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ มีเครื่องมือตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ มีการถอนพันธุ์ปน สมาชิกคนไหนไม่มีเมล็ดพันธุ์ก็มายืมไปใช้ได้ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้องเก็บเมล็ดพันธุ์มาคืน ซึ่งจะทำให้กลุ่มมีเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไว้ใช้ ช่วยลดต้นทุนการซื้อเมล็ดพันธุ์ในการปลูกฤดูกาลถัดไป ทำให้เกิดความยั่งยืน
“นอกจากการผลิตเมล็ดพันธุ์แล้ว กลุ่มของเรายังมีกระบวนการจัดเก็บเมล็ดถั่วเขียวที่ได้มาตรฐาน มีเครื่องจักร ตะแกรงร่อน มีเครื่องอบ เพราะการเก็บเมล็ดถั่วเขียว ความชื้นจะต้องต่ำที่สุด ไม่เช่นนั้นมอดจะขึ้น ในช่วงแรกเราใช้วิธีนำเมล็ดถั่วเขียวมาตากแดดให้แห้ง ซึ่งยังได้ผล เพราะปริมาณถั่วเขียวมีน้อย แต่พอระยะหลังที่ปลูกในปริมาณมาก การตากแดดเริ่มไม่ได้ผลเท่าที่ควร ช่วงแรกเสียหายเยอะมาก เก็บได้ 1 เดือน มอดขึ้น ยังไม่ทันได้ส่งโรงงาน ปีนี้จึงมีการพัฒนาเครื่องมือ มีการวัดความชื้น เพื่อให้เก็บรักษาได้นานและได้มาตรฐาน”
ปัจจุบันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนร่วมใจโนนค้อทุ่ง จ.อำนาจเจริญ พัฒนาเป็น ‘ศูนย์เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตถั่วเขียว KUML อินทรีย์ระดับชุมชน’ ปลูกและส่งขายถั่วเขียว KUML ให้แก่บริษัทข้าวดินดี จำกัด ซึ่ง สวทช. ได้ใช้กลไกตลาดนำการผลิต ประสานงานภาคเอกชนรับซื้อผลผลิตถั่วเขียวจากเกษตรกร ในราคากิโลกรัมละ 40 บาท เพื่อไปผลิตและแปรรูปเป็นพาสตาออร์แกนิกส่งขายทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังสามารถขายเมล็ดถั่วเขียวให้แก่ผู้บริโภคภายใต้บริษัทบ้านต้นข้าว จำกัด ของกลุ่มในราคากิโลกรัมละ 80 บาท
นายประมวล เล่าว่า คนทำเกษตรอินทรีย์ต้องใจรักจริง ๆ อย่างกลุ่มเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีอะไรเลย ก่อตั้งกลุ่มมาคือรวมตัวกัน 10-20 คน เวลาเกิดปัญหาอะไรก็ร่วมกันทำเป็นกลุ่ม ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร มีรายได้เพิ่ม ตอนนี้มีพื้นที่ 5-6 ไร่ มีเครื่องจักร มีทรัพย์สินเป็นของกลุ่ม มีเงินออมอยู่ประมาณ 10 ล้านบาท แล้วก็เป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เพราะว่าทุกคนมีใจรัก แต่ก่อนนี้ทำไร่ทำนาเสร็จ ก็ต้องลงไปหางานที่กรุงเทพฯ แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องทิ้งบ้านไปไหนแล้ว
“กลุ่มเราทำเกษตรอินทรีย์มา 20 ปี เราพยายามปรับเปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นคนที่ลุกขึ้นมาพึ่งพาตนเอง อย่ามัวแต่รอให้คนอื่นมาช่วย เพราะว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน คนอื่นก็ช่วยเหลือเรายาก”
ทีมวิทยากรให้ความรู้และติดตามให้คำปรึกษาถั่วเขียว KUML
รศ. ดร.ประกิจ สมท่า ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผศ. ดร.กนกวรรณ เที่ยงธรรม ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
นางสาวณิฎฐา คุ้มโต นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
นายชนะชัย แสนทวีสุข ผู้ช่วยปฏิบัติงานวิจัย ฝ่ายถ่ายทอดเทคโนโลยี สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
เอกชน ร่วมกับ สวทช. จัดสัมมนาการบริหารจัดการภาษีคาร์บอนให้เป็นผลกำไร
(วันที่ 5 มีนาคม 2567) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี: คุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง ประธานบริหารกลุ่มบริษัทเอฟดีไอกรุ๊ป และ ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเป็นประธานการจัดสัมมนาพิเศษเรื่อง “การบริหารจัดการภาษีคาร์บอนให้เป็นผลกำไร” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์มากมาย อาทิ คุณปฐม ชัยพฤกษทล ผู้จัดการอาวุโสสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการก๊าซเรือนกระจก (TGO) คุณพวงพันธ์ ศรีทอง ผู้จัดการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการก๊าซเรือนกระจก (TGO) ดร.วันวิศา ฐานังขะโน วิศวกรอาวุโสสถาบันเทคโนโลยี และ สารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ดร.ชานนท์ วินิจชีวิต ตัวแทนจากกลุ่มอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คุณภัทร ภัทรประสิทธิ นักวิชาการภาษีชำนาญการพิเศษ กรมสรรพสามิต คุณปฤณวัชร ปานสิงห์ ผู้จัดการอาวุธโสฝ่ายการตลาด บริษัท Mitsubishi Electric Factory Automation (Thailand) คุณ พรพุฒิ สุริยะมงคล 1St Vice President ส่วนงาน Industrial Decarbonization Solution จากธนาคารกสิกรไทย และคุณนันทพัทร ณ สงขลา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท FDI
คุณพัชราภรณ์ เวชวิทยาขลัง ประธานบริหารกลุ่มบริษัทเอฟดีไอกรุ๊ป กล่าวว่า จากปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นประเด็นที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนให้ความสำคัญและกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับการค้าโลกในปัจจุบันและในอนาคต มาตรการที่เกี่ยวกับการรักษาสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเริ่มถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในหลายๆ ประเทศ อาทิ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และแนวโน้มในทิศทางเดียวกันสำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ด้วย อาทิ ประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน เป็นต้น
“ทางคณะผู้จัดงานจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญและความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องด้านธุรกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต จากมาตรการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังกล่าว อันจะส่งผลต่อเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทั่วโลก ในทุก ๆ ระบบของซัพพลายเชน
ด้วยเหตุนี้ ทางกลุ่มบริษัทเอฟดีไอฯ ในฐานะที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ ผู้มีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษานักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติมากว่า 28 ปี จึงตระหนักถึงความสำคัญในการให้ความรู้ แนวทาง และข้อคิดเห็นใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ได้ใช้ในการประกอบการตัดสินใจและเตรียมตัวรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น”
ด้าน ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย กล่าวว่า ยินดีที่ได้เห็นว่าในหลาย ๆ หน่วยงานในภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเงินให้ความสำคัญกับประเด็นด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก และภาษีคาร์บอนกันอย่างมาก อย่างที่คุณพัชราภรณ์ ได้กล่าวไปแล้วด้วยปัญหาสภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญไปทั่วโลก และกระทบในทุกๆภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ จะอุตสาหกรรมใด ก็ล้วนแล้วแต่จะได้รับผลกระทบกับสิ่งนี้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมอย่างแน่นอน
ส่วนของ สวทช. ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแล รวบรวมข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับประเด็นนี้เพื่อให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปต่อยอดพิจารณา โดยส่วนงานที่ดูแลคือ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ของทางภาครัฐ อย่างองค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เราจึงเป็นหน่วยงานที่ให้ความสำคัญของการจัดการสิ่งแวดล้อมส่วนนี้เป็นอย่างมาก และมีการสนับสนุนส่งเสริม งานวิจัยด้าน BCG หรือ Bio-Circular-Green Economy มาโดยตลอดและนับว่าส่วนงานนี้ก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจหลักที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างโครงการ BCG Nanovation ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้วก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. จัดประชุมวิชาการประจำปี ‘NAC2024’ ชูงานวิจัย BCG Implementation พลิกโฉมประเทศ
(4 มีนาคม 2567) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.): ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) พร้อมด้วยทีมนักวิจัย สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมงานแถลงข่าวการจัดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 (19th NSTDA Annual Conference: NAC2024)
ภายใต้แนวคิด “สานพลัง สร้างงานวิจัย พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วย BCG Implementation” ระหว่างวันที่ 28-30 มีนาคม 2567 ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สวทช. เป็น “ขุมพลังหลักของประเทศ” ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนา “ระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรม” ให้เข้มแข็ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยความเชี่ยวชาญและความสามารถของ สวทช. ที่จะทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้าง ผ่านแผนงาน BCG Implementation
“งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NSTDA Annual Conference: NAC) ในปีนี้ จึงได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สานพลัง สร้างงานวิจัย พลิกโฉมเศรษฐกิจและสังคมไทยด้วย BCG Implementation” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) และผลงานวิจัยพัฒนาที่ สวทช. ดำเนินการวิจัยเองและที่ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร โดยได้เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนงาน BCG Implementation เพื่อตอบเป้าหมายหลักของแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่ได้กำหนดไว้ใน 4 มิติ” ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม-เพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ-เพิ่มการพึ่งพาตนเอง-สร้างความยั่งยืนของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยสู่ความยั่งยืน โดย สวทช. ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดการประชุมและทอดพระเนตรนิทรรศการวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. โดยสามารถติดตามรับชมการถ่ายสดผ่านสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย NBT 2HD” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ดร.สุธี ผู้เจริญชนะชัย รองผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า งาน NAC2024 ในปีนี้ จะมุ่งเน้นการนำเสนอศักยภาพด้าน วทน. ของ สวทช. ผ่านผลงานวิจัยทั้งในรูปแบบการจัดประชุมสัมมนา และการจัดนิทรรศการโดยไฮไลต์ของนิทรรศการปีนี้ นอกจากนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย” ยังมีนิทรรศการความก้าวหน้าของงานวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากนักวิจัย สวทช. ทั้ง 5 ศูนย์วิจัยแห่งชาติ ที่ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ตลอดจนชุมชนและภาคประชาสังคมทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 57 ผลงาน ซึ่งมีทั้งผลงานวิจัยที่นำไปใช้จนเกิดประโยชน์ในวงกว้างเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม และผลงานวิจัยที่พร้อมส่งมอบให้กับภาคสังคมได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อได้
“ตัวอย่างผลงานวิจัยเด่น เช่น การพัฒนาวัคซีนสำหรับสัตว์เศรษฐกิจ โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เป็นต้นแบบวัคซีนป้องกันโรคระบาดในสุกรจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ท้องถิ่นของประเทศไทย มีความปลอดภัยสูงในสุกร สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อได้ดีกว่าวัคซีนรูปแบบอื่น ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพเบื้องต้นร่วมกับกรมปศุสัตว์ในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีศักยภาพการขยายขนาดเพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้
ชุดตรวจคัดกรองติดตามโรคไตเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนโรคเบาหวานเชิงคุณภาพ (AL-Strip และ GO-SENSOR) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ซึ่งเป็นชุดตรวจแบบรวดเร็วทั้งแบบตรวจด้วยตนเองและตรวจในระดับห้องปฎิบัติการจำนวนมาก ใช้งานง่าย มีความแม่นยำ และมีราคาถูก ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการตรวจคัดกรองภาวะไตเสื่อมในระยะต้น รวมทั้งสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันโรคไตเรื้อรังในคนไทย
นอกจากนี้ยังมี Thai School Lunch for BMA โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นระบบจัดสำรับอาหารเช้า-กลางวัน ในโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อติดตาม ประเมินคุณภาพ และการจัดการอาหารของโรงเรียนได้แบบ real-time ตอบโจทย์เรื่องของโภชนาการและ ค่าใช้จ่าย Lookie Waste: แอปพลิเคชันตรวจสอบปริมาณขยะอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ใช้ตรวจสอบปริมาณขยะอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เกิดบริโภคในชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ผู้บริโภค และ EnPAT น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยาก โดยศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาขึ้น มีคุณสมบัติเด่นที่มีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส สามารถป้องกันอัคคีภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ช่วยสร้างความปลอดภัยสูงสุดให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอตัวอย่างความสำเร็จของบริษัทเอกชนภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อวท.) เช่น บริษัท นาโน โค๊ตติ้ง เทค จำกัด ดีพเทคสตาร์ตอัปของไทยที่ได้รับสิทธิประโยชน์และสร้างโอกาสทางธุรกิจจากการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกของ อวท. ทั้งการวางแผน บ่มเพาะและอบรมเพิ่มทักษะทางธุรกิจ และได้รับโอกาสจากการเชื่อมโยงแหล่งทุนทั้งในและต่างประเทศ จนล่าสุดได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในสตาร์ตอัปที่ Hong Kong Science Park มอบทุนไปขยายตลาดต่างประเทศ
สำหรับภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการที่มองหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ ภายในงาน NAC2024 ได้เปิดบริการให้ผู้เข้าร่วมงานเข้ามาปรึกษาและขอคำแนะนำจากศูนย์ Connex ซึ่งเป็นศูนย์เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ สวทช. สู่ภาคธุรกิจในรูปแบบครบวงจรที่จะช่วย Connect ผู้ประกอบการธุรกิจได้เข้าถึงแหล่งความรู้ งานวิจัย รวมถึงแหล่งทุน และเป็นตัวกลางในการให้คำปรึกษาที่ตรงโจทย์โดยผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการต่อยอดเชิงพาณิชย์
ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (เอ็นเทค) สวทช. กล่าวว่า อีกไฮไลต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้เข้าร่วมงาน NAC ทุกๆ ปี คือ หัวข้อสัมมนาที่เข้ากับยุคสมัย ปัญหาโลกร้อน โลกรวน และเทรนด์งานวิจัยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น งาน NAC ปีนี้ มีหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจหลายหัวข้อที่นอกจากวิทยากรทั้งจากนักวิจัยจาก 5 ศูนย์แห่งชาติแล้ว ยังได้รับเกียรติจากวิทยากรจากหน่วยงานพันธมิตรของ สวทช. ทั้งในและต่างประเทศ ที่ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ตรงที่จะมาร่วมแชร์ข้อมูล มากกว่า 40 หัวข้อ เพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์จากการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม อาทิ
ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มาตรการรองรับ CBAM ของอุตสาหกรรมไทยพร้อมมุ่งสู่การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน, โลกเปลี่ยน คนปรับ : พัฒนาคุณภาพน้ำชุมชนเพื่อคุณภาพชีวิต ด้วย วทน. และ ฝุ่น! : ปัญหาและการรับมือ หรือด้านสุขภาพการแพทย์ ได้แก่ เทคโนโลยี Digital Health เพื่อการยกระดับการให้บริการสาธารณสุข, จีโนมิกส์ประเทศไทย: การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย Pharma NETwork ผสานพลังเพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยาไทย ทั้งนี้ ยังมีด้านสุขภาพและความงาม เช่น นวัตกรรมการผลิตสารสกัดสมุนไพรมูลค่าสูง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมด้านสุขภาพและความงาม เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรม Open house โดย สวทช. และประชาคมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมเปิดบ้านต้อนรับนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม และนักลงทุน ได้เข้าชมโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญของประเทศ เพื่อเปิดประสบการณ์สัมผัสกับเทคโนโลยีจากศักยภาพของบุคลากรวิจัยและห้องปฏิบัติการวิจัยของ สวทช. รวมถึงการเข้าชมตัวอย่างผลงานนวัตกรรมจากบริษัทผู้เช่าพื้นที่ในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ตลอดจนนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ธุรกิจจากบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยี ที่จะเป็นตัวช่วยให้การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปเพิ่มศักยภาพและกำไรให้กับธุรกิจ และอีกหนึ่งไฮไลต์ในงาน คือ NAC Market ที่จะนำสินค้านวัตกรรมที่พัฒนาจากงานวิจัยและบริการต่าง ๆ ของ สวทช. และสินค้าชุมชนและสินค้าอื่น ๆ มาจำหน่ายในราคาพิเศษสุด และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับเยาวชน การเสวนาสำหรับครูอาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ในรูปแบบที่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะไม่ได้ฟังบรรยายอย่างเดียว แต่ยังได้ลงมือประดิษฐ์และการทดลองจริง
สวทช. ขอเชิญทุกคนเตรียมพบกองทัพนวัตกรรม งานวิจัย และองค์ความรู้ด้าน วทน. มากมายที่รออยู่ในงานจัดการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 หรือ งาน NAC2024 วันที่ 28-30 มีนาคม 2567 เวลา 09.00-16.30 น. ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (ยกเว้นวันที่29 มีนาคม 2567 เปิดให้เข้าชม เวลา 13.00-16.30 น.) ผู้สนใจลงทะเบียนร่วมงานได้ฟรีที่ https://www.nstda.or.th/nac สอบถามเพิ่มเติมโทรศัพท์ 0 2564 8000
ข่าวประชาสัมพันธ์
จดหมายข่าว สวทช. ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567
ข่าว
“ศุภมาส” ห่วงใยเร่งช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ประสบอุทกภัย
สวทช. ต้อนรับศักราชใหม่ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 32 ปี และวันขึ้นปีใหม่ 2567
สวทช. ร่วมเจรจากับ A*STAR ผนึกกำลังการผลักดันวิทยาศาสตร์สู่การใช้ประโยชน์จริง
สวทช. ร่วมหน่วยงานพันธมิตรสิงคโปร์ชูกิจกรรมเพิ่มพูนประสบการณ์ด้านสะเต็มศึกษา ฝึกฝนเยาวชนผ่านประสบการณ์จริง
สวทช. ร่วมขับเคลื่อนสระบุรีแซนด์บ๊อกซ์ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ จับมือพันธมิตร ประกาศเจตนารมณ์ลดโลกร้อนด้วยพลังงานสะอาด
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์เยาวชนโลก ค.ศ.
2024
กระทรวง อว. เปิดงานถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ 2567 ร่วมสนุกแบบจัดเต็มกับกิจกรรมเด็กช่างคิด วิทย์สร้างฝัน พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย
ผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติ Global Young Scientists Summit 2024 ที่สิงคโปร์
ไบโอเทค พร้อมพันธมิตร รุกพื้นที่ทุเรียนเมืองจันท์ นำชีวภัณฑ์จัดการศัตรูพืชและแมลงธรรมชาติ หนุนสู่ระบบเกษตรปลอดภัย
สวทช. นำแพลตฟอร์มนวนุรักษ์ : คลังข้อมูลวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ ร่วมจัดแสดงนิทรรศการก่อนการประชุม ครม.สัญจร จ.ระนอง
สวทช. เผยแพร่ชุดความรู้ 7 ข้อเท็จจริงควรรู้เกี่ยวกับลิเทียมและอุตสาหกรรมแบตเตอรี่
ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยเด็กเยอรมนี ยกย่องแนวทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากอาหารไทย
“ศุภมาส” ผลักดันเศรษฐกิจ AI จ่อเสนอตั้งคณะกรรมการ AI แห่งชาติชุดใหม่
Download เอกสารฉบับเต็ม (19.9 MB)
จดหมายข่าว สวทช.
ประกาศแล้ว รางวัลโครงงานนักวิทย์รุ่นเยาว์ครั้งที่ 26 ได้ 5 ผลงานคว้าชัย เป็นตัวแทนประเทศไทย ร่วมแข่งโครงงานวิทย์ฯ เวทีโลก
(3 มีนาคม 2567) ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร จ.ปทุมธานี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดกิจกรรมประกาศผลการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 26 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นประธานมอบรางวัล พร้อมด้วยหน่วยงานพันธมิตรร่วมงาน ได้แก่ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) คุณศักดิ์สิทธิ์ ปิติพงศ์สุนทร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงานฝ่าย CSR Project ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการ YSC ทั้ง 6 แห่งทั่วทุกภูมิภาค คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ นักเรียน อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ปกครอง เข้าร่วมงานลุ้นการประกาศผลการประกวดดังกล่าว
โดยผู้ชนะการการประกวดโครงงานของนักวิทย์รุ่นเยาว์ หรือ YSC ในปีนี้จะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ และเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขันการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมนานาชาติ Regeneron ISEF 2024 ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ ที่สหรัฐอเมริกา
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ทำงานกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน จัดโครงการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้เป็นปีที่ 26 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาให้มีโอกาสแสดงความสามารถและทักษะที่เป็นนวัตกรรม และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับประเทศ พร้อมทั้งคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และนวัตกรรมในระดับนานาชาติ Regeneron International Science and Engineering Fair และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นานาชาติอื่นๆ
สำหรับในปี 2567 เป็นการดำเนินโครงการ YSC ครั้งที่ 26 มีโครงงานสมัครเข้าร่วม จำนวน 1,933 โครงงาน นักเรียนจำนวน 4,711 คน ครูที่ปรึกษา จำนวน 1,161 คน จาก 243 โรงเรียน มีโครงงานที่ได้รับทุนสนับสนุนการทำโครงงาน จากศูนย์ประสานงานภูมิภาค จำนวน 6 แห่ง รวมทั้งสิ้น 284 โครงงาน ได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค จำนวน 63 โครงงาน นักเรียน จำนวน 157 คน ครูที่ปรึกษา 95 คน จาก 37 โรงเรียน ซึ่งการประกวดรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ คณะกรรมการได้พิจารณาผลงานมีรางวัล ได้แก่
รางวัลชนะเลิศ จำนวน 3 รางวัล
1.โครงงานจากสาขาวิศวกรรมศาสตร์ โครงงานการพัฒนาหุ่นยนต์ปีนป่ายเสาทรงกระบอกเลียนแบบกิ้งกือโดยใช้การหมุนของล้อไมโครสไปน์
ผู้พัฒนา นายนราวิชญ์ ตันติพิทักษ์โชติ และนางสาวเปมิกา ฟง
อาจารย์ที่ปรึกษา นายศรัณย์ นวลจีน และนายเกรียงกมล สว่างศรี โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง
2.โครงงานจากสาขา ชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพโครงงาน เอนไซม์ขนาดเล็กเพื่อการย่อยสลายพลาสติกพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (PET)
ผู้พัฒนา นางสาววิรัลพัชร จิรัฐิติเจริญ นางสาวปวรวรรณ ไชยวงศ์ และนางสาวอภิปรียา ปวบุญสิริวงศ์
อาจารยที่ปรึกษา นางสาวอาจรีย์ ธิราช โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง และนายชยสิทธิ์ อุตมาภินันท์ สถาบันวิทยสิริเมธี
3.โครงงาน จากสาขาเคมีโครงงานการศึกษาคุณสมบัติและความหนาที่เหมาะสมของชั้นน้ำที่ก่อตัวบนพื้นผิวทองคำเชิงทฤษฎีโดยการจำลองพลวัตและกลศาสตร์เชิงโมเลกุลตามแบบกลศาสตร์ดั้งเดิมเพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับการศึกษาเคมีเชิงดาราศาสตร์
ผู้พัฒนา นายวรชน พรหมชัยศรี และนายจิรทิปต์ เจตน์มงคลรัตน์
อาจารย์ที่ปรึกษา นายอุกฤษ เกเย็น โรงเรียนกำเนิดวิทย์ จังหวัดระยอง และนางสาวปิยรัตน์ นิมมานพิภักดิ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รางวัลที่ 1 จำนวน 8 รางวัล
รางวัลที่ 2 จำนวน 9 รางวัล
และรางวัลชมเชย จำนวน 15 รางวัล
ทั้งนี้ผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จำนวน 3 ทีม จะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ ซึ่งมีกำหนดรับมอบถ้วยพระราชทานฯ ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. (NAC2024) ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 พร้อมทั้งนักเรียนจะได้รับการพัฒนาต่อยอดโครงงานวิทยาศาสตร์ ภายใต้การดูแลจากนักวิจัย สวทช. ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ก่อนการเดินทางไปประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ในเวที Regeneron ISEF 2024 ณ เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 11-17 พฤษภาคมนี้
“ผมขอแสดงความยินดีกับทุกๆทีม และขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการในครั้งนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการรวมทั้งทุนสนับสนุนผลงานของนักเรียน และขอขอบคุณธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่สนับสนุนงบประมาณในการจัดส่งผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดในเวที Regeneron ISEF และเวทีนานาชาติอื่นๆ ขอขอบคุณกรรมการทุกท่านที่ให้คำแนะนำต่างๆที่เป็นประโยชน์ ขอบคุณครูที่ปรึกษาที่สละเวลาในการดูแลนักเรียน นักเรียนทุกท่านที่มุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาผลงาน ที่สำคัญขอขอบคุณศูนย์ประสานงานภูมิภาค โครงการ YSC ทั้ง 6 แห่ง และทีมงานที่ร่วมกันดำเนินโครงการจนสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ สวทช. และ ศูนย์ประสานงานภูมิภาค ยังมีรางวัลพิเศษ จำนวน 12 รางวัล ได้แก่
รางวัลพิเศษนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว สนับสนุนโดย สวทช.
รางวัลพิเศษนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ สนับสนุนโดย สวทช.
รางวัลพิเศษนวัตกรรมรักษ์โลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดย สวทช.
รางวัลพิเศษนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน สนับสนุนโดย สวทช.
รางวัลพิเศษนวัตกรรมด้านการแก้ปัญหาร่วมสมัย สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รางวัลพิเศษนวัตกรรมเพื่อสังคม สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รางวัลพิเศษนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาซีวิตอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
รางวัลพิเศษนวัตกรรมดีเด่น สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
รางวัลพิเศษเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาท้องถิ่น สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
รางวัลพิเศษนวัตกรรมท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยนเรศวร
รางวัลพิเศษเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสังคม สนับสนุนโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (2 รางวัล)
ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมแข่งขันที่เข้ารอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค นอกจากกิจกรรมการประกวดแข่งขันแล้ว โครงการฯ ได้มีการจัดอบรมเสริมทักษะให้กับนักเรียน และอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน พร้อมทั้งนำเยาวชนโครงการ YSC ร่วมสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและยกระดับการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
“การพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นสิ่งที่ สวทช. ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ตามพันธกิจในการสร้างและพัฒนาบุคลากรวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเทคโนโลยี และนวัตกร เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเฉพาะขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่ง สวทช. ได้ดำเนินกิจกรรมในหลากหลายระดับ ตั้งแต่นักเรียนอนุบาล มัธยมศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงครูที่ปรึกษา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความรักและสนุกกับการเรียนวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่วัยเยาว์ ด้วยรูปแบบการจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ เช่น ค่ายวิทยาศาสตร์ การฝึกอบรมและสัมมนา ตลอดจนกิจกรรมประกวดแข่งขัน เหมือนเช่นในครั้งนี้” ดร.พัชร์ลิตา กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวประชาสัมพันธ์
TBRC ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย คลังจุลินทรีย์ชั้นนำของอาเซียน
ไบโอเทค สวทช. เปิดบ้านให้สื่อมวลชนเยี่ยมชม “ศูนย์ชีววัสดุประเทศไทย” Thailand Bioresource Research Center (TBRC) คลังเก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีจุลินทรีย์และชีววัสดุมากเกือบ 1 แสนสายพันธุ์ อีกทั้งมีเทคโนโลยีที่พร้อมให้บริการภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากชีวภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่การรับฝากและเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ การคัดแยกและจำแนกชนิดของจุลินทรีย์ การวิเคราะห์ประชากรจุลินทรีย์ รวมไปถึงบริการอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้การเก็บรักษาและจัดการคลังจุลินทรีย์ด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นระบบมาตรฐานสากล
หน่วยงานหรือผู้สนใจใช้ความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีของ TBRC ในการตอบโจทย์ด้านจุลินทรีย์ รวมถึงหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับความร่วมมือวิจัย สามารถติดต่อได้ที่ TBRC อาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 ตึก B ชั้น 8 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี โทร. 0 2117 8000-1 อีเมล tbrcservice@biotec.or.th แฟนเพจ www.facebook.com/tbrcnetwork และเว็บไซต์ www.tbrcnetwork.org
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. ผนึกกำลัง มธ. และ OR ร่วมวิจัยพัฒนา เทคโนโลยีพลังงานทดแทน และพัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
(29 กุมภาพันธ์ 2567) ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวง อว. กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ลงนามความร่วมมือกับ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนและนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน ภายใต้สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอาหาร คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีโลหะและวัสดุ พลังงาน และนาโนเทคโนโลยี
โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยานในการลงนาม ซึ่งนำการแถลงโดย ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สวทช. รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนางกาญจนี อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการคลังปิโตรเลียม บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและนักวิจัยในโครงการ เข้าร่วมในงาน
นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือวิจัยและพัฒนาระหว่าง สวทช. มธ. และ OR ครั้งนี้ สอดรับกับนโยบายของกระทรวง อว. โดยท่านศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ที่มุ่งเน้นในด้านการวิจัยและนวัตกรรม คือ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” และ “เน้นประเด็นสำคัญของประเทศ ได้แก่ Go Green พอเพียง ความยั่งยืน ความเป็นกลางทางคาร์บอน พลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งประเด็นที่ อว. จะมุ่งเน้นคือการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเน้นหลักการสำคัญคือ “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ซึ่งเอกชนผู้ใช้ประโยชน์จะกำหนดทิศทางโจทย์วิจัย แล้วสถาบันวิจัยและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของ อว. เข้าไปสนับสนุน พร้อมปลดล็อกระเบียบข้อจำกัดต่าง ๆ เน้นส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการ และเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน สตาร์ตอัพ SMEs และเอกชนขนาดใหญ่
“กระทรวง อว. มีหลายกลไกสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ซึ่งมี 2 แพลตฟอร์มที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ที่สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ 2) โครงการเคลื่อนย้ายบุคลากรเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม หรือ Talent Mobility เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในภาคเอกชน และ 3) International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. มธ. และ Queen’s University Belfast (QUB) สหราชอาณาจักร โดยศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหารนี้ มุ่งผลิตงานวิจัยระดับโลก เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทา
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสายงานบริหารการวิจัยและพัฒนา สวทช. เปิดเผยว่า การลงนามครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และแลกเปลี่ยนบุคลากร ให้เกิดเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทุกสาขาความเชี่ยวชาญของทุกศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานจะร่วมกันผลักดันและสนับสนุนให้เกิดการร่วมวิจัยพัฒนานวัตกรรมสู่ความยั่งยืน โดยปัจจุบันมีความร่วมมือ ดังนี้
1) โครงการวิจัยการพัฒนาระบบตรวจวัดสำหรับการวิเคราะห์เอทานอลในน้ำมันเชื้อเพลิงในตำแหน่งที่ต้องการ เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดยเอ็มเทค เนคเทค และ IJC-FOODSEC ภายใต้ไบโอเทค-มธ.-QUB ด้วยงบประมาณจาก OR โดยมี ดร.ธนศาสตร์ สุขศรีเมือง นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยนวัตกรรมการดัดแปรวัสดุ เอ็มเทค เป็นหัวหน้าโครงการ
2) โครงการสนับสนุนนักวิจัยหลังปริญญาเอกภาคอุตสาหกรรม (Industrial Postdoc) ภายใต้ทุน บพค. โดยมี ผศ.ดร.อวันวี เพชรคงแก้ว อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร มธ. เป็นหัวหน้าโครงการ ภายใต้โครงการวิจัยของ OR ร่วมกับเอ็มเทคและเนคเทค
3) โครงการร่วมวิจัยการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตกาแฟ เป็นความร่วมมือระหว่าง สวทช. โดยไบโอเทค และทีมวิจัยจาก OR โดยมี ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ผอ.กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีไบโอรีไฟเนอรีและชีวภัณฑ์ ไบโอเทค เป็นหัวหน้าโครงการ
นอกจากนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานยังมีความสนใจร่วมมือวิจัยพัฒนาในหลายสาขา เช่น การวิจัยพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอาหาร (food waste) จากร้านอาหารภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. การวิจัยพัฒนาในด้านพัฒนาพันธุ์กาแฟสำหรับคาเฟ่ อเมซอน ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือ OR ร่วมกับทีมวิจัยไบโอเทค
รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งผลิตบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ที่มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติในทุกมิติ มหาวิทยาลัยมีทีมคณาจารย์และนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่หลากหลายในหลายสาขาวิชา ซึ่งทุกท่านมีความสามารถในการบ่มเพาะและสร้างนวัตกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เข้าร่วมในโครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย (Reinventing University) กลุ่มพัฒนาการวิจัยระดับแนวหน้าของโลกเมื่อต้นปี พ.ศ. 2566 ผ่านการดำเนินงานของ IJC-FOODSEC ซึ่ง มธ. คาดหวังให้การผนึกกำลังระหว่าง IJC-FOODSEC และภาคอุตสาหกรรมอาหารทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นหนึ่งใน Game changer สำหรับการพัฒนากำลังคนขั้นสูงให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ การส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศ และมีจุดยืนบนเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิต่อไป
นางกาญจนี อุดมกุลวณิชย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการคลังปิโตรเลียม บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (OR) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ OR มุ่งเน้นงานวิจัยในด้าน Seamless mobility ได้แก่ งานวิจัยเรื่อง Petroleum products และ New Energy รวมถึงงานวิจัยด้าน Technology for Life ในการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น Smart sensor, Smart Grid และการวิจัยพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในหัวข้อ Waste management และ Circular economy เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจร่วมกับสังคมชุมชนอย่างยั่งยืน
โดยความร่วมมือครั้งนี้ สอดคล้องกับแนวทางเพื่อการบรรลุอนาคตที่ยั่งยืนในแบบฉบับของ OR หรือ “OR SDG” โดยเฉพาะในด้าน “G” หรือ “GREEN” ที่มุ่งสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) ด้วยการส่งเสริมธุรกิจทุกประเภทของ OR ให้เป็นธุรกิจสีเขียว โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดปริมาณขยะที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มปริมาณการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ต่อไป
ข่าวประชาสัมพันธ์
ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษาส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ
🎯สวทช. ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษาจากทั่วประเทศส่งผลงานเข้าร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุภายในประเทศ เพื่อคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศสู่การประกวดสิ่งประดิษฐ์สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุระดับนานาชาติ (gSIC 2024) ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน
.
👍คุณสมบัติของผู้เข้าแข่งขัน
✅เป็นนิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรี-โท หรือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ อาชีวศึกษา จำนวนไม่เกิน 5 คนต่อทีม
✅มีอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ จำนวนไม่เกิน 3 คน และมีสถาบันการศึกษาสังกัด
✅โครงการที่สามารถเข้าร่วมประกวด ประกอบด้วยเทคโนโลยีด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation Technology) และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) สำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ หรือในสาขาที่เกี่ยวข้อง
✅มีทักษะด้านภาษาอังกฤษ สามารถนำเสนอและสื่อสารได้ดี
.
✳️ผู้ที่สนใจสามารถส่งข้อมูลใบสมัคร (Entry Form) เป็นภาษาอังกฤษ ในรูปแบบ word (คลิก) และ pdf (คลิก) รวมทั้งวิดีทัศน์นำเสนอผลงานไม่เกิน 3 นาที (ถ้ามี) ได้ที่ SIC_Thailand@nstda.or.th ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 หรือ สอบถามโทร. 0 2564 6900 ต่อ 72093, 2345
ปฏิทินกิจกรรม


