ผลการค้นหา :

สวทช. ร่วมศูนย์ SEAMEO STEM-ED เสริมแกร่งครูไทย จัดอบรมความรู้ ‘วัคซีนสู้โรค’
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ นำโดย คุณฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ร่วมกับศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO STEM-ED) โดย ผศ.ดร.บุรินทร์ อัศวพิภพ ผู้จัดการโครงการ STEM Resources and Capacity Building ด้วยการสนับสนุนโดยโครงการ Chevron Enjoy Science: สนุกวิทย์ พลังคิด เพื่ออนาคต จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ Pre-Competition Teacher Workshop ความรู้ วัคซีนสู้โรค MICROBIOLOGY SCHOOLS COMPETITION Vaccines: fighting disease ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 - 3 กุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ hybrid ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ online ผ่านระบบ Zoom เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และจัดกิจกรรมการทดลองทางจุลชีววิทยาให้แก่ครูไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้ หรือ facilitator เพื่อถ่ายทอดกิจกรรมการทดลองให้แก่ครูที่เข้าร่วมการอบรมจาก 11 ประเทศ และนำความรู้ไปประยุกต์สอนในชั้นเรียน โดยมีกำหนดจัดอบรมรอบจริง TEACHER WORKSHOP AND STUDENT VIDEO COMPETITION Vaccines: fighting disease ในวันที่ 20 - 21 และ 27 – 28 กุมภาพันธ์ 2566 ให้แก่ครูเครือข่ายศูนย์ SEAMEO STEM-ED จาก 11 ประเทศในอาเซียน และติมอร์ ตะวันออก เพื่อเป็นที่ปรึกษาโครงการประกวดการทำสื่อวีดิทัศน์ของนักเรียนและส่งผลงานประกวดในหัวข้อ Vaccines: fighting disease
สำหรับการอบรมในรอบ Pre-Competition Teacher Workshop เป็นการรับชมวีดิทัศน์ความรู้ทางด้านจุลชีววิทยา ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมถึงกระบวนการผลิตวัคซีน จาก Dr. Margaret Whalley ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของศูนย์ SEAMEO STEM-ED ซึ่งประกอบด้วยวีดิทัศน์ เรื่อง จุลินทรีย์คืออะไร (What are microbes?) เชื้อโรคที่มองไม่เห็น(The invisible enemy) การต่อสู้ของร่างกาย: การป้องกันด่านแรก (The body fights back: first lines of defence) การต่อสู้ของร่างกาย: ค้นหาและทำลาย (The body fights back: find and destroy!) และ การสอนให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค: วัคซีน (Teaching the body to fight infection: vaccines)
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจากทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านจุลชีววิทยาจาก สวทช. นำทีมโดย ดร.นันท์ชญา วรรณเสน ทีมวิจัยไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการให้ความรู้เพิ่มเติมและให้คำแนะนำระหว่างการอบรมด้วย
ในส่วนของกิจกรรมการทดลองทางด้านจุลชีววิทยา นางสาวปัณรสี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้ประสานงานโครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย และทีมวิทยากรจากฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ได้นำกิจกรรมการทดลองที่หลากหลายให้ผู้เข้าร่วมได้ทดลองทำ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำกระบวนการเรียนรู้สำหรับวันอบรมจริง และนำไปประยุกต์สอนในชั้นเรียน โดยมีกิจกรรมการทดลอง ได้แก่ การทำโมบายจุลินทรีย์ (Making a microbe mobile) เพื่อรู้จักตัวอย่างของจุลินทรีย์และเรียนรู้เรื่องขนาดของจุลินทรีย์ การทำขนมปัง (Making bread) เพื่อเรียนรู้หลักการทำงานของยีสต์ ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำอาหาร การสร้างโมเดลอะดีโนไวรัส (Make your own adeno virus) การทดลองเรื่องเราเป็นหวัดได้อย่างไร (How do we catch colds) การทดลองเรื่องการโจมตีเชื้อโรคของแอนติบอดี้ (Antibody attack) การทดลองเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่คืออะไร (What is herd immunity?) และการทดลองเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ทำงานอย่างไร (How herd immunity works?)
นางสาวจุฑามาศ มีสุข ครูจากโรงเรียนอนุกูลนารี จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่ารู้สึกประทับใจ และดีใจมากที่ได้มาเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ นอกจากได้รับความรู้ทางด้านจุลชีววิทยาและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่ได้รับทั้งในส่วนของคลิปวีดิทัศน์และกิจกรรมการทดลองไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมในชั้นเรียนได้อีกด้วย ซึ่งกิจกรรมการทดลองนั้นน่าสนใจมาก เพราะได้ลงมือทำด้วยตนเอง และทำให้เข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ดียิ่งขึ้น
ด้านนางสาวหทัยชนก ชนะชัย ครูจากโรงเรียนพิมายวิทยา จ.นครราชสีมา ได้กล่าวว่ากิจกรรมการทดลองต่าง ๆ สามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละระดับชั้นได้ หากเป็นนักเรียนในระดับมัธยมปลายก็สามารถเจาะลึกเนื้อหาเรื่องนั้นเพิ่มเติมได้หรือเพิ่มกิจกรรมการทดลองเชิงลึกให้เรียนรู้ได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การทดลองเรื่อง Making bread จากการนำยีสต์มาใช้ประโยชน์ทำแป้งขนมปัง สามารถให้นักเรียนออกแบบและทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าการทำงานของยีสต์ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจริงหรือไม่และจะใช้วิธีการทดลองใดเพื่อพิสูจน์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
////////////////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. เปิดพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ สรพ. เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล
(17 กุมภาพันธ์ 2566) ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้กับสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) ในการขับเคลื่อนพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อพัฒนานวัตกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรด้วยระบบ smart office ให้รองรับการให้บริการในยุคดิจิทัล โดยมี นางสาวศิรินาถ แถบทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. นายชุมชัย แซ่โง้ว ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ สวทช. และ นายสุภัค พงศ์ปิยะประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี สวทช. ให้การต้อนรับพร้อมร่วมแชร์ประสบการณ์
นางสาวศิรินาถ แถบทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า เนื่องจาก สวทช. เป็นองค์กรรัฐที่มีการบริหารขับเคลื่อนเป็นเวลากว่า 31 ปี และมีภารกิจที่หลากหลายทำให้ สวทช. ต้องมีการปรับรูปแบบพัฒนาระบบที่สนับสนุนองค์กรตั้งแต่เริ่มต้นงานจนถึงกระบวนการสุดท้ายของงานให้ตอบรับกับการทำงานขององค์กร นอกจากนี้ สวทช. ยังเป็นหน่วยงานแรกที่มีความร่วมมือกับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องการปรับปรุงกระบวนการให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์จากรูปแบบเดิม ดังนั้นไม่ว่ารูปแบบของระบบเบิกจ่าย การหารายได้ หรือจัดซื้อจัดจ้าง สวทช. พยายามทำเข้าระบบและให้เป็น Paperless มากที่สุด
ด้าน นางศันสนีย์ ฮวบสมบูรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) สวทช. กล่าวเสริมว่า นับเป็นอีกหนึ่งความตื้นตันใจที่ สวทช. ได้มีโอกาสช่วยกัลยาณมิตรที่ดีอย่าง สรพ. โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 หน่วยงานได้ทำงานร่วมกันมากว่า 5 ปีผ่านโครงการ 2P Safety Tech ทำให้สามารถส่งมอบบริการที่ดีให้กับประชาชนได้ และในวันนี้ สรพ. ยังเปิดโอกาสให้ สวทช. นำความรู้งานวิจัยและนวัตกรรมเข้าไปช่วยประชาชนและทำให้คุณภาพชีวิตของบุคลากรทางด้านสาธารณสุขดีขึ้น ซึ่ง สวทช. ยินดีอย่างยิ่งและพร้อมที่จะสนับสนุนต่อไปในอนาคต
แพทย์หญิงปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า สิ่งที่ทุกองค์กรจำเป็นต้องเรียนรู้คือเรื่องการจัดการข้อมูลสารสนเทศ รวมถึงการบริหารจัดการงานหลังบ้าน ซึ่ง สรพ. ได้เล็งเห็นว่า สวทช. เป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงานให้เกิดความคล่องตัวและมีธรรมาภิบาล โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ จึงเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และพัฒนานวัตกรรมระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรด้วยระบบ smart office ให้รองรับการให้บริการในปัจจุบันที่เป็นยุคดิจิทัล เพื่อนำไปสู่การส่งมอบระบบบริการที่ดีให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ สรพ. ยึดมั่นตลอดมา
ทั้งนี้ในด้านการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่สนับสนุนองค์กรได้รับเกียรติจาก นายชุมชัย แซ่โง้ว ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ สวทช. เป็นผู้ให้คำแนะนำรวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จของการพัฒนาระบบต่าง ๆ พร้อมด้วย นายสุภัค พงศ์ปิยะประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบัญชี สวทช. ที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ถอดบทเรียนความสำเร็จของการปรับเปลี่ยนงานการเงินและบัญชี ไปสู่องค์กรดิจิทัลในครั้งนี้
///////////////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2566
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate) ประจำปี 2566
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยี (BIC) ขอเชิญผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สมัครเข้าร่วม “โครงการเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมอาหาร (Food Accelerate)” ประจำปี 2566 เพื่อเร่งการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด โดยเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารที่มีมูลค่าสูง เชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร ผู้เชี่ยวชาญ นักลงทุน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการตลาดและโอกาสขยายธุรกิจ ซึ่ง สวทช. ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการในลักษณะเงินสนับสนุนรูปแบบ matching fund ไม่เกิน 75% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 800,000 บาท สำหรับการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการตามแผนกิจกรรม โดยมีระยะเวลาการสนับสนุนไม่เกิน 8 เดือน ตลอดจนได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญแบบตัวต่อตัว การออกตลาดในรูปแบบการออกบูธนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ
ดาวน์โหลดใบสมัครโครงการ Food Accelerate ที่นี่
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มแผนการดำเนินงาน ที่นี่
ดาวน์โหลดข้อมูลโครงการ ที่นี่
ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งมาที่อีเมล foodac@nstda.or.th ภายในวันที่ 12 มีนาคม 2566
หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการฯ สวทช.
โทร 0 2564 7000 ต่อ 71746, 81490, 81492 และ 71745
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมจัดกิจกรรมในงาน Thailand International Science Fair: TISF 2023
(15 กุมภาพันธ์ 2566) ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดกิจกรรม NSTDA Science Zone เป็นกิจกรรมศึกษาดูงานเชิงปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาให้นักเรียนมีความเป็นนักวิจัย นักประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและครู เข้าร่วมจำนวน 260 คน จาก 12 ประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้งาน Thailand International Science Fair : TISF จัดโดยโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2566 ที่มีประเทศเข้าร่วมกิจกรรมทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์รวม 16 ประเทศ
[caption id="attachment_40526" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.มนัสชัย คุณาเศรษฐ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมให้การต้อนรับเยาวชนและบรรยายพิเศษในหัวข้อ LANTA Supercomputer for National-Scale S&T Development โอกาสนี้กลุ่มเยาวชนได้เข้าเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการและหน่วยวิจัยของ สวทช. รวมทั้งเข้าร่วมฐานกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเรียนรู้วิทยาศาสตร์แสนสนุก เพื่อจุดประกายความคิดและสร้างแรงบันดาลใจการเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ รวมทั้งสานสัมพันธไมตรีระหว่างเยาวชนไทยและเยาวชนนานาชาติ
สำหรับกิจกรรมที่เยาวชนได้เข้าร่วมในครั้งนี้ อาทิ การเยี่ยมชมศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (ThailSC) เยี่ยมชมธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) เยี่ยมชมและสนุกกับกิจกรรม The Plant Factory & the Happy Veggies เรียนรู้ทักษะทางวิศวกรรมศาสตร์ การเขียนโปรแกรม และเรียนรู้เกี่ยวกับโดรนผ่านกิจกรรม Do Code Drone Camp กิจกรรม Innovation of Functional Ingredient ; Modified Starch เรียนรู้เทคโนโลยี CARBANO นวัตกรรมการผลิตวัสดุดูดซับระดับพรีเมียมที่จะมาช่วยดูแลคุณภาพชีวิต ด้วยการป้องกันมลพิษทางอากาศ ผ่านกิจกรรมเปิดโลกทัศน์ในการผลิตวัสดุดูดซับจากชีวมวลแบบครบวงจรกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ รวมทั้งลงมือทำกิจกรรม 10 ฐานกิจกรรม
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

แผ่นยางพาราปูคอกสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดเสี่ยงโคนมพิการ-บาดเจ็บ ลดสารพิษปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/eco-friendly-rubber-flooring-for-livestock.html
ฟาร์มโคนมในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 95 นิยมเลี้ยงโคนมแบบ ‘ผูกยืนโรง’ โดยแม่โคแต่ละตัวจะถูกผูกให้ยืนอยู่ในซองภายในโรงเรือนเนื่องด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ ขณะที่พื้นคอกส่วนใหญ่เป็นพื้นปูนซีเมนต์ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลทำความสะอาด หากแต่การเลี้ยงโคนมบนพื้นปูนมักก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพโคนม อย่างมาก เนื่องจากโคนมมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยมากกว่า 500 กิโลกรัม แรงกดทับของน้ำหนักตัวต่อพื้นปูนทำให้เกิดการบาดเจ็บ อีกทั้งพื้นปูนเมื่อเวลาโดนน้ำยังลื่นง่าย เสี่ยงต่อการล้ม ทำให้โคนมพิการ และไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีคุณภาพ สร้างความเสียหายอย่างมากให้แก่เกษตรกร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จึงพัฒนา “แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์” เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของโคนม และลดผลกระทบการปนเปื้อนสารเคมีต่อสิ่งแวดล้อม
[caption id="attachment_40511" align="aligncenter" width="450"] ดร.ภุชงค์ ทับทอง นักวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง เอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เกษตรกรส่วนใหญ่จะเทพื้นคอกด้วยปูนซีเมนต์ ข้อดีคือพื้นไม่เละเป็นโคลน เพราะโคนมเวลาอยูในโรงเรือนจะขับถ่ายตลอดเวลา แต่ข้อเสียคือผิวปูนมีความคม ซึ่งแม่โคแต่ละตัวมีน้ำหนักมากกว่าครึ่งตัน เวลายืนนาน ๆ น้ำหนักที่กดทับลงบนพื้นปูน อาจทำให้กีบเท้าอักเสบ หรือเวลาที่โคนมเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ เช่น ยืน นั่ง หรือนอน จะต้องใช้ขาในการพยุงตัวหรือยันตัวกับพื้นปูน อวัยวะที่กดทับกับพื้นปูนบ่อย ๆ จะเกิดการบาดเจ็บ และเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา ส่งผลให้การผลิตน้ำนมไม่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม
[caption id="attachment_40515" align="aligncenter" width="651"] ลักษณะบาดแผลที่ขาของโคนม[/caption]
[caption id="attachment_40516" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะการนอนของโคนมที่บาดเจ็บ[/caption]
“อีกปัญหาใหญ่คือ พื้นปูนเวลาฉีดน้ำบ่อย ๆ จะเกิดตะไคร่เกาะพื้นปูน ทำให้ลื่น ซึ่งเวลาโคนมลื่นจะไม่ล้มเอียงตัวไปด้านข้าง แต่จะล้มแบบขาแบะออกไปด้านข้างทั้งสองด้าน ลักษณะเหมือนกบ เวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่โคนมจะพิการ เกษตรกรใช้คำว่า ‘หมดสภาพ’ ทางออกสุดท้ายคือส่งเข้า ‘โรงเชือด’ เพราะไม่สามารถผลิตน้ำนมอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป ซึ่งโคนมหนึ่งตัวมีราคาประมาณ 50,000-60,000 บาท”
[caption id="attachment_40512" align="aligncenter" width="650"] ลักษณะของแผ่นปูแบบโฟมราคาถูกที่เสื่อมสภาพเมื่อใช้เป็นระยะเวลา 8 เดือน[/caption]
‘การปูแผ่นยางบนพื้นคอก’ เป็นทางออกหนึ่งที่เกษตรกรนำมาใช้ลดอาการบาดเจ็บของโคนม แต่แผ่นยางที่วางจำหน่ายทั่วไปมีหลายประเภท หากเป็นแผ่นยางที่ได้รับมาตรฐาน มอก. จะมีราคาสูง ขณะที่แผ่นยางที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น แผ่นโฟม แม้จะมีราคาถูกกว่าประมาณ 3-4 เท่า แต่ก็มีอายุการใช้งานสั้นมากเช่นเดียวกัน นอกจากนี้แผ่นยางในท้องตลาดส่วนใหญ่มักใช้ปริมาณสารเคมีในการผลิตค่อนข้างสูง อาจก่อให้เกิดปัญหาสารเคมีปนเปื้อนระหว่างการเลี้ยง ส่งผลต่อสุขภาพของโคนม รวมถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการกำจัดแผ่นยางอย่างไม่ถูกวิธีหลังหมดอายุการใช้งาน การวิจัยพัฒนา ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ดร.ภุชงค์ กล่าวว่า จุดเด่นของแผ่นปูพื้นที่พัฒนาขึ้นคือ ‘คุณภาพดี ทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ โดยผลิตจากยางพาราธรรมชาติและใช้สารเคมีในปริมาณต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้ซิงก์ออกไซด์เกรดพิเศษในการพัฒนาสูตรยาง ทำให้ได้แผ่นปูพื้นที่มีซิงก์ออกไซด์ในปริมาณต่ำกว่าแผ่นปูพื้นที่จำหน่ายทั่วไปค่อนข้างมาก ซึ่งองค์กรป้องกันสิ่งแวดล้อมจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดให้ซิงก์ออกไซด์เป็นสารเคมีที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ยางและอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ได้ ดังนั้นหากผลิตภัณฑ์ยางมีซิงก์ออกไซด์ (รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ) ในปริมาณต่ำ เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว แต่ไม่ได้ถูกนำกลับไปใช้ซ้ำหรือได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะเป็นการช่วยลดปริมาณสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางโดยใช้สารเคมีในปริมาณต่ำแต่ยังคงมีสมบัติผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถือเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย เนื่องจากโดยปรกติการผลิตผลิตภัณฑ์ยางต้องใส่สารเคมีเป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้ยางที่มีคุณสมบัติตามต้องการ หากใส่สารเคมีในปริมาณน้อยเกินไปก็มักส่งผลเสียต่อสมบัติของผลิตภัณฑ์ยางนั้น ๆ
“สำหรับในส่วนของต้นทุนการผลิตและราคาจำหน่าย พบว่าหากมีบริษัทเอกชนรับถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการผลิตจำนวนมากเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ สามารถผลิตจำหน่ายในราคาเทียบเท่าหรือต่ำกว่าแผ่นยางพาราเกรดที่ได้รับมาตรฐาน มอก. ทั่วไปได้ เนื่องจากราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตและปริมาณในการผลิตเป็นสำคัญ”
[caption id="attachment_40514" align="aligncenter" width="650"] แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ พัฒนาโดยทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช.[/caption]
ปัจจุบันนวัตกรรม ‘แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์’ ผ่านมาตรฐาน มอก. 2584-2556 ซึ่งยืนยันได้ถึงประสิทธิภาพ และความทนทานต่อการใช้งาน อีกทั้งยังมีการทดสอบภาคสนาม โดยนำไปทดลองที่ อุทุมพรฟาร์ม จังหวัดราชบุรี ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ธีระ รักความสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการเก็บข้อมูลผลกระทบของการใช้แผ่นยางต่อสุขภาพของโคนม ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าแผ่นยางมีความทนทาน ไม่ส่งผลเสียต่อคุณภาพน้ำนม และช่วยลดการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิผล
“ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม ซึ่งเป็นฟาร์มโคนมขนาดกลาง มีแม่โคประมาณ 40 ตัว และติดตามเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว พบว่าแผ่นยางมีความทนทาน รับน้ำหนักโคนมได้ดี ไม่เกิดการฉีกขาด หรือเสียรูปได้ง่าย ระยะเวลาการใช้งานจากเบื้องต้นประเมินไว้ 2 ปี แต่จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าเกือบ 4 ปีแล้ว ยังมีคุณภาพดี ซึ่งคาดว่าแผ่นยางจะมีอายุการใช้งานได้ถึง 5 ปีหรือมากกว่า นอกจากนี้ผลการตรวจสุขภาพโคนม ทั้งการตรวจเลือดและร่างกาย พบว่าการปูแผ่นยางพาราช่วยลดอาการบาดเจ็บของโคนมได้ดีมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มโคนมที่ยืนบนปูนซีเมนต์ โดยโคนมไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่พบบาดแผลภายนอก รวมถึงไม่พบปริมาณสารโลหะหนักต่าง ๆ ในเลือดและน้ำนม เกษตรกรกรเจ้าของฟาร์มรู้สึกพอใจต่อผลการใช้งานเป็นอย่างมาก ขณะนี้มีการต่อยอดความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จังหวัดสระบุรี เพื่อขยายขอบเขตการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติม”
[caption id="attachment_40513" align="aligncenter" width="650"] ทีมวิจัยนำแผ่นยางพาราไปทดสอบปูพื้นคอกที่อุทุมพรฟาร์ม[/caption]
อย่างไรก็ดีขณะนี้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับปูพื้นคอกปศุสัตว์ยังไม่มีการผลิตจำหน่ายเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ระหว่างการทดสอบภาคสนามเพิ่มเติมและมองหาผู้ประกอบการที่สนใจรับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้หากสามารถต่อยอดงานวิจัยสู่การผลิตใช้งานจริง เชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมโคนมและยางพารา นอกจากนี้ยังนับเป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งใช้ประโยชน์และดูแลทรัพยากรอย่างยั่งยืน
“เวลาลงพื้นที่ฟาร์ม สังเกตเห็นเลยว่าเมื่อโคลงจากพื้นยางมายืนบนพื้นปูน โคจะยืนแบบกลัว ๆ ขาสั่น สายตาบ่งบอกเลยว่ากลัวลื่น น่าสงสารมาก อีกทั้งการที่โคนมอยู่ในภาวะหวาดกลัว หรือมีบาดแผลจากการกดทับย่อมมีผลต่อคุณภาพการผลิตน้ำนม ยิ่งหากโคนมล้มและพิการ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่คุ้มค่าอย่างมาก ขณะเดียวกันแผ่นยางราคาถูกที่วางจำหน่ายทั่วไป บางชนิดก็มีอายุการใช้งานสั้น บางชนิดก็ตรวจพบการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำล้าง ดังนั้นการใช้แผ่นยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่เพียงเป็นผลดีช่วยลดการบาดเจ็บและพิการให้กับโคนม แต่ยังลดปริมาณสารพิษที่จะส่งผลต่อสุขภาพโคนมและสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังช่วยส่งเสริมเพิ่มสัดส่วนการใช้ยางพาราในประเทศ เพราะแผ่นยางที่ผลิตมีการใช้ยางพาราเป็นองค์ประกอบมากถึง 50%” ดร.ภุชงค์กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจร่วมทดสอบพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือรับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถติดต่อได้ที่ ดร.ภุชงค์ ทับทอง ทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยนวัตกรรมการแปรรูปยาง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 74802
เรียบเรียงโดย วัชราภรณ์ สนทนา ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ฉัตรทิพย์ สุริยะ ฝ่ายผลิตสื่อสมัยใหม่ สวทช.
BCG
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น

สวทช. ผนึก กรมการขนส่งทางราง และ สทร. หนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทน ยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-teams-up-with-transport-agencies-to-boost-innovation-in-rail-industry.html
สวทช. -กรมราง-สทร. ผนึกกำลังยกระดับอุตสาหกรรมระบบราง ตั้งเป้าสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทนในระบบขนส่งทางราง เพื่อขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
(14 กุมภาพันธ์ 2566) : ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) และ ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. กระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามความร่วมมือการขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบราง เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย ที่อาคารแชมเบอร์ 10 เมตร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
[caption id="attachment_40486" align="aligncenter" width="2500"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า เทคโนโลยีระบบรางเป็นหนึ่งในระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากขนส่งผู้โดยสารจำนวนมาก และสามารถลดเวลาในการเดินทางได้จริง โดยประเทศไทยเอง ได้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้อย่างมหาศาล ทั้งในกรุงเทพมหานคร ตามเมืองในภูมิภาคต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น โคราช ฯลฯ ตลอดจนการพัฒนาระบบรถไฟรางทางคู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าในระยะทางไกลที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงระบบรางรถไฟทางไกลสมัยใหม่ อาทิ รถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมกับ สปป. ลาว และมีแผนพัฒนาอีกหลายเส้นทางตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่กระทรวงคมนาคม ได้วางเป้าหมายและดำเนินการให้ระบบรางเป็นโครงข่ายคมนาคมหลักของประเทศ และเป็นผู้นำด้านระบบรางในภูมิภาค
ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางให้กับประเทศอย่างยั่งยืน ทำให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระบบราง และการยกระดับความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตประชาชนด้านการขนส่งและการเดินทาง จำเป็นต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานด้านวิเคราะห์ทดสอบมาตรฐานเป็นปัจจัยสำคัญ สวทช. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง จึงได้ให้ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ PTEC ซึ่งมีความพร้อมด้านการทดสอบผลิตภัณฑ์ในระบบขนส่งทางรางในระดับสากล และได้รับการรับรองระบบคุณภาพ ISO/IEC17025 เรียบร้อยแล้ว เป็นห้องปฏิบัติการทดสอบชิ้นส่วนรถไฟประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ อาณัติสัญญาณของระบบรถไฟ ระบบสื่อสาร และด้านประสิทธิภาพการใช้งานต่างๆ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมปัจจุบันที่ต้องการปรับรูปแบบจากผลิตภัณฑ์แบบเดิมไปสู่การผลิตชิ้นส่วนเพื่อใช้ทดแทนในระบบขนส่งทางรางที่จะมีความต้องการมากขึ้น
นอกจากการทดสอบผลิตภัณฑ์ของระบบรางในห้องปฏิบัติการทดสอบแล้ว PTEC ยังมีประสบการณ์ในการทดสอบการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility : EMC) สำหรับรถไฟมาแล้วมากกว่า 20 ปี โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่การสำรวจการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าของระบบควบคุมและโทรคมนาคมตลอดเส้นแนวราง ที่พาดผ่านสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล เสาโทรคมนาคม เสาวิทยุโทรทัศน์ ธนาคาร ระบบสัญญาณไฟจราจรบนถนน ซึ่งสถานที่ต่าง ๆ นี้ มีความเสี่ยงในการรบกวนสัญญาณควบคุมของระบบรถไฟด้วย โดยที่ผ่านมา PTEC ได้ดำเนินการทดสอบสำหรับรถไฟหลายเส้นทางแล้ว เช่น สายสีม่วง สายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีแดง สายสีทอง รวมถึงรถไฟฟ้า BTS อีกด้วย
ทั้งนี้เพื่อให้ครอบคลุมการทดสอบระบบรางนอกห้องปฏิบัติการมากยิ่งขึ้นตามข้อกำหนดด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ (EHIA) ตามแนวทางสากล ซึ่งในปี 2566 สวทช. จึงให้ PTEC ทำการขยายขอบข่ายการทดสอบจากด้าน EMC โดยเพิ่มการทดสอบด้านการทดสอบเสียง (sound acoustic) เมื่อขบวนรถไฟวิ่งผ่านพื้นที่ชุมชน เพื่อกำหนดจุดวาง กำแพงกั้นเสียง ลดเสียงดังและการทดสอบแรงสั่นสะเทือนบนขบวนรถไฟขณะเคลื่อนที่ (rolling stock vibration) เพื่อให้ผู้โดยสารมีความสะดวกและปลอดภัยตลอดการเดินทาง
“ที่ผ่านมา สวทช. ร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึง กรมการขนส่งทางราง และ สทร. รวมทั้งส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือร่วมกับภาคเอกชนที่มีความพร้อมและสนใจเข้ามาช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น โดยจะเน้นการนำความรู้ ความสามารถในการวิจัยพัฒนา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่ สวทช. มี ให้เกิดขึ้นจริงและใช้ประโยชน์จริง เพราะ สวทช. ถือเป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งเครื่องมือ บุคลากร และบริการที่พร้อมสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการนำ วทน. ไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศและในภูมิภาค” ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าว
[caption id="attachment_40485" align="aligncenter" width="2500"] ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.)[/caption]
ดร.พิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะรับรองและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางขึ้นในประเทศไทย โดยใช้หลักการ “Thai First : ไทยทำ ไทยใช้” ของกระทรวงคมนาคม เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ซึ่งกระทรวงคมนาคมเลือกที่จะใช้แรงงานขั้นสูงและคนไทยเป็นผู้ก่อสร้างงานโยธา เพื่อให้เกิดการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบขนส่งทางรางโดยคนไทย ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีและลดการจ้างที่ปรึกษาจากต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
“เรามี PTEC ของ สวทช. ซึ่งมีทรัพยากรจำนวนมากและบุคลากรที่มีความรู้ ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบที่ทันสมัย องค์ความรู้ใหม่และเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ จะเข้ามาช่วยการพัฒนาระบบรางเพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยี ให้เราควรจะยืนอยู่ด้วยเทคโนโลยีของคนไทย ทั้งการซ่อม การสร้างและใช้เทคโนโลยีของประเทศไทย ตามนโยบายบาย Thai First ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเราควรจะเริ่มต้นและเรียนรู้กับเทคโนโลยีเหล่านี้”
ทั้งนี้เมื่อ สวทช. และ สทร. และกรมการขนส่งทางราง ร่วมกันน่าจะเป็นสิ่งที่ดีในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศ เมื่อกรมการขนส่งทางรางออกมาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานการผลิตแล้ว ทาง สวทช. มีองค์ความรู้และวิธีการวิเคราะห์ทดสอบที่ได้มาตรฐานสากล ทาง สทร. ก็สามารถมาบูรณาการความรู้เหล่านี้เข้ามาเพื่อทำงานร่วมกันได้ เพื่อลดการนำเข้าและลดการจ่ายเงินตราต่างประเทศ ที่สำคัญคือคนไทยได้ความรู้เหล่านี้ มีมูลค่าที่เกิดขึ้นกับคนไทย ทั้งมูลค่าการจ้างงาน การผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมระบบรางได้ เป็นมูลค่าเพิ่มที่ลดการนำเข้าได้เป็นอย่างดี
[caption id="attachment_40484" align="aligncenter" width="2500"] ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน)[/caption]
ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. กล่าวว่า สทร. ยึดเป้าหมายของประเทศในการขนส่งทางรางจาก 15 % เป็น 40% ในอนาคต ซึ่ง สทร. ไม่สามารถดำเนินการได้โดยองค์กรเดียว หากขาดหน่วยงานด้านวิจัยและนวัตกรรม เพื่อดำเนินการร่วมกัน ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีในการซ่อมบำรุง การส่งเสริมการวิจัยเพื่อผลิตชิ้นส่วนในประเทศ และระบบทดสอบและรับรองมาตรฐานซึ่งทาง PTEC สวทช. มีความเชี่ยวชาญในระบบทดสอบมาตรฐานที่ได้มาตรฐานสากล ความร่วมมือในการดำเนินงานขับเคลื่อนการวิจัยพัฒนา นวัตกรรมด้านมาตรฐานและการทดสอบ สำหรับผลิตภัณฑ์ในระบบรางเพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับการพัฒนาด้านระบบรางในประเทศไทย
“สิ่งสำคัญคือ ผู้ประกอบการเวลาจะใช้ชิ้นส่วนใดก็จะอ้างอิงระบบมาตรฐานในการทดสอบ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการร่วมมือกับ PTEC สวทช. ครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการผลิตชิ้นส่วนทดแทนที่ได้มาตรฐาน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมระบบรางในประเทศให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตามเป้าหมาย Thai Frist ของกระทรวงคมนาคมต่อไป” ผู้อำนวยการ สทร. กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไทย เร็ว.. แรง.. ติดอันดับโลก
พบกับ LANTA สุดยอดซูเปอร์คอมพิวเตอร์ไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ถูกจัดให้เป็นเครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ประสิทธิภาพสูงสุด อันดับ 70 ของโลก หรือนับเป็น อันดับ 1 ในอาเซียน จากการจัดอันดับ TOP500 หรือการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ครั้งที่ 60 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565
ข้อมูลเพิ่มเติม :
https://thaisc.io
Facebook : thaisupercomputer
thaisc@nstda.or.th
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

โครงการศึกษาวิเคราะห์และทดสอบโครงคัสซีและตัวถัง เพื่อกำหนดอายุการใช้งานรถโดยสาร
สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC ) ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก ภายใต้การสนับสนุนของ กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน จัดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นต่อผลการศึกษาใน "โครงการศึกษาวิเคราะห์และทดสอบโครงคัสซีและตัวถัง เพื่อกำหนดอายุการใช้งานรถโดยสาร"
โดยภายในงานครั้งนี้ มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ ให้ความสนใจมาร่วมรับฟัง พร้อมมีข้อเสนอแนะต่อผลการศึกษาในโครงการดังกล่าว
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. นำ “แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ผลงานวิจัยสายกรีน ให้เยาวชน วาดลวดลายอวดงานศิลปะ ‘วันนักประดิษฐ์ 66’
(2-6 ก.พ. 66) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) นำผลงานวิจัย “Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติ” ที่ได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีการเตรียมสูตรแป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ โดยทีมนักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ร่วมจัดกิจกรรมในงาน“วันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566” (Thailand Inventors’ Day 2023) ระหว่างวันที่ 3-6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 24 โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรม” เพื่อเป็นเวทีสำคัญระดับชาติและนานาชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย ในด้านการประดิษฐ์คิดค้นต่อการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพออกสู่สายตาคนไทยและประชาคมโลก ปีนี้มีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจากนักประดิษฐ์ไทยและนานาชาติส่งผลงานเข้าร่วมกว่า 1,000 ผลงาน โดยมี ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ศ. ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. รวมถึง ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงาน
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า การจัดงาน “วันนักประดิษฐ์ หรือ Thailand Inventors’ Day ถือว่าเป็นเวทีของนักประดิษฐ์ไทยและนักประดิษฐ์จากนานาชาติ ที่เปิดโอกาสให้นำผลงานมาจัดแสดงและเผยแพร่ผลงานเพื่อนำเสนอองค์ความรู้ความสามารถออกสู่สาธารณชน ให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ แบบบูรณาการ สู่การสร้างแรงจูงใจให้แก่เยาวชนและนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ
ศ. ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า การพัฒนาและส่งเสริมความสามารถทาง วิทยาศาสตร์ สำหรับเด็ก เยาวชน และบุคลากรทางการศึกษา เป็นกลุ่มกิจกรรมภายใต้พันธกิจการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพันธกิจที่ สวทช. ให้ความสำคัญ โดยงานวันนักประดิษฐ์ในปีนี้ หัวใจสำคัญคือการทำอย่างไรให้สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากจะเติบโตเป็นนักประดิษฐ์ได้ในอนาคต สวทช. จึงได้นำรุ่นพี่ที่ได้รับรางวัลนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์มาเข้าร่วมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจซึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับรางวัลจากงาน ISEF หรือ การแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ระดับโลก ซึ่งเป็นรางวัลจากต่างประเทศมาเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ รวมถึงบูธกิจกรรมเพ้นท์กระเป๋าจาก Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสำเร็จรูปพร้อมใช้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมของ สวทช. ให้เด็ก ๆ ได้ปลุกความเป็นศิลปินในตัวเอง ด้วยการสร้างสรรค์ภาพผ่านการระบายสีเพ้นท์ภาพลงบนกระเป๋าผ้าและรับถุงผ้าที่มีผลงานการเพ้นท์ภาพกลับบ้าน และอีกกิจกรรม คือ การประดิษฐ์รถแข่งแรง g หรือรถแข่งที่เคลื่อนที่โดยใช้แรงโน้มถ่วงของโลกช่วย ให้เด็ก ๆ ได้ประดิษฐ์รถจากวัสดุต่าง ๆ ตามความคิดสร้างสรรค์ แล้วนำมาวิ่งแข่งกันบนรางโค้งที่สร้างขึ้นภายในงาน
ด้าน นางสาวนาตาชา จูมาส หรือน้องโฟกัส นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช ลาดกระบัง หนึ่งในนักเรียนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในบูธของ สวทช. เล่าว่า ตนเองมีความชื่นชอบด้านศิลปะ โดยมีงานอดิเรกเป็นการวาดรูประบายสี รวมถึงปั้นดินน้ำมันและดินเบา และมีความสนใจกิจกรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เมื่อเห็นกิจกรรมของบูธ สวทช. ที่ให้ระบายสีถุงผ้าด้วย Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติสำเร็จรูปพร้อมใช้ จึงตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมและเกิดความสนใจในสีที่ใช้ระบายเพราะเป็นสีที่ทำจากธรรมชาติ ซึ่งให้ความรู้สึกแปลกใหม่และแตกต่างจากสีน้ำหรือสีโปสเตอร์ และให้ความสวยที่แตกต่าง ซึ่งคาดหวังอยากให้มีการผลิตสีจากธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้กิจกรรมดังกล่าวยังได้รับความสนใจจากผู้ปกครองอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้ทั้งครอบครัว ทางด้านน้องสกาย หรือ ด.ช.กฤตยชญ์ พรมชาติ นักเรียนอายุ 4 ปี จากจังหวัดพิษณุโลก เล่าว่า เป็นกิจกรรมที่สนุกมาก และปกติชอบทำกิจกรรมวาดรูประบายสีที่โรงเรียน รวมถึงกิจกรรมธรรมชาติ เช่น การปลูกผักสวนครัว โดย คุณกาเหว่า พรมชาติ หรือ คุณแม่ของน้องสกาย เล่าเสริมว่า ปีที่แล้วตนเองเคยมีโอกาสได้มาร่วมงานวันนักประดิษฐ์ 2565 แล้วเห็นว่ามีกิจกรรมที่น่าสนใจที่ช่วยสร้างการเรียนรู้ สร้างความคิดแบบเป็นระบบและความคิดสร้างสรรค์ให้เด็ก ปีนี้จึงถือโอกาสพาน้องสกายเข้าร่วมกิจกรรมและเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่จะฝึกความคิดสร้างสรรค์ของน้องสกายได้ รวมถึงตัวน้องสกายก็มีความชอบในด้านศิลปะ เช่น การระบายสี ซึ่งตนเองมองว่า สีที่ใช้ในกิจกรรมเป็นผลิตภัณฑ์แป้งพิมพ์สีจากธรรมชาตินั้นมีความน่าสนใจ เพราะให้ความสำคัญในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยต่อเด็ก ทำให้เกิดความมั่นใจที่จะให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างเต็มที่
ดร.มณฑล นาคปฐม นักวิจัยทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. เล่าว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอมีการนำสีธรรมชาติมาใช้แทนสีเคมีมากขึ้น ซึ่งการใช้สีธรรมชาติพิมพ์ลงบนผ้ามีค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีขั้นตอนในการเตรียมแป้งพิมพ์สีที่ค่อนข้างยุ่งยาก ทางคณะวิจัยจึงได้พัฒนาเทคโนโลยีการเตรียมสูตรแป้งพิมพ์ผ้าจากสีธรรมชาติ เพื่อเตรียมเป็น Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติในเฉดสีต่างๆ พร้อมทดลองนำมาใช้พิมพ์ลงบนผ้าและทดสอบสมบัติความคงทนของสี โดยเบื้องต้นที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 เฉดสี ได้แก่ สีแดงและสีชมพูจากคลั่ง สีเหลืองและสีน้ำตาลแดงจากดอกดาวเรือง เฉดสีน้ำตาลเหลืองจากเปลือกต้นโกงกาง และเฉดสีเทาดำจากเปลือกผลชาน้ำมัน โดยสามารถพิมพ์ลงบนผ้าได้หลายชนิด เช่น ฝ้าย ไหม กัญชง ลินิน โพลีเอสเทอร์ โดยใช้แม่พิมพ์ที่เป็นไม้ หรือพืชผักผลไม้ที่แกะสลัก แม่พิมพ์ที่เตรียมจากกระดาษชุบพาราพิน หรือแม่พิมพ์ซิลค์สกรีนที่ถ่ายลายสำเร็จรูปและทำการผนึกสีด้วยความร้อนจากเครื่องรีดร้อนหรือ เตารีด ซึ่งในอนาคตวางแผนที่จะพัฒนาสูตร Magik Color แป้งพิมพ์สีธรรมชาติในเฉดสีที่หลากหลายมากขึ้น และสามารถนำไปใช้ในวัสดุอื่นๆ เช่น กระดาษสา โดยเน้นการนำวัตถุดิบจากภาคการเกษตรหรือวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการผลิตมาใช้ประโยชน์ด้วยการใช้เทคนิคสกัดเป็นผงสีธรรมชาติ
ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ทีมวิจัยสิ่งทอ กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. อีเมล monthonn@mtec.or.th , chanitw@mtec.or.th โทรศัพท์ 02 564 6500 ต่อ 4464 , 4788
////////////////////////////////
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

เชิญชวนผู้ประกอบการใช้บริการการตรวจประเมินและการรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ระบบ RDIMS)
🚀 เชิญชวนผู้ประกอบการใช้บริการการตรวจประเมินและการรับรองระบบบริหารการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ระบบ RDIMS)
🚩กลุ่มเป้าหมาย
✅ ผู้ประกอบการที่มีการดำเนินงานวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม (RDI) ในองค์กร และหรือในเครือ
✅ ผู้ประกอบการที่มีรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน RDI และประสงค์สิทธิประโยชน์ทางภาษีในรายจ่ายดังกล่าว
💡ประโยชน์ที่ได้รับ
🌟กิจการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระบบ RDIMS สามารถนำรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเพื่อทำ RDI มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วยวิธีการใช้สิทธิ์รับรองตนเอง (Self – Declaration) จากกรมสรรพากรได้ (เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ เป็นไปตามที่ระบุในประกาศกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 391)
🌟องค์กรสามารถวิจัย พัฒนาและสร้างนวัตกรรม สินค้าและบริการ อันจะช่วยยกระดับธุรกิจไปสู่สากลได้
🌟บุคลากรในองค์กร ได้รับความรู้ความเข้าใจ และเพิ่มความสามารถในการทำ RDI เชิงระบบได้
📍ข่าวดี สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สสว.
สสว. สนับสนุนงบประมาณส่วนหนึ่งให้กับ SME แบบร่วมจ่าย (co-payment) ในสัดส่วนร้อยละ 50 – 80 ตามขนาดของธุรกิจ แต่ไม่เกินรายละ 200,000 บาท
📣 ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก📣
Website: https://www.nstda.or.th/rdp/
โทรสอบถาม: 0-2564-7000 ต่อ 1328-1332 และ 1631-1634
ปฏิทินกิจกรรม

ขอเชิญร่วมงาน “รวมพลังขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ เพื่อเรา…เพื่อโลก” ในงานสังคมสุขใจ (สวนสามพราน จ.นครปฐม)
สวทช. โดยสถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม "รวมพลังขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ เพื่อเรา...เพื่อโลก" ในงานสังคมสุขใจวันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00-17.00น. ณ สวนสามพราน จ.นครปฐม
นิทรรศการความรู้ ===>"ถั่วเขียวพันธุ์ดี KUML, ชันโรง สุดยอดแมลงผสมเกสร, ชีวภัณฑ์ป้องกัน-กำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช"
กิจกรรม workshop ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อสุขภาพ
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 สบู่จากน้ำผึ้งชันโรง
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 สครับจากผงถั่วเขียว
เสวนา
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00-12.00 น. เรื่อง "ปลูกผักให้มีคุณภาพ" และ "ห่วงโซ่อาหารโมเดลถั่วเขียว KUML อินทรีย์"
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 9.00-12.00 น. เรื่อง "เลี้ยงชันโรงเพื่อเพิ่มผลผลิตพืชและแยกขยายรังชันโรง"
ปฏิทินกิจกรรม

เปิดใจ! 2 เยาวชนไทย เสนอไอเดียวิทยาศาสตร์ได้ทดลองจริงบนสถานีอวกาศ
เปิดใจ 2 เยาวชนไทย หลังได้บินลัดฟ้าไปประเทศญี่ปุ่น เข้าร่วมโครงการ Asian Try Zero-G 2022 ระหว่างวันที่ 15-20 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อรับชมการถ่ายทอดสดนักบินอวกาศญี่ปุ่นที่นำ "แนวคิดการทดลองวิทยาศาสตร์" จากไอเดียของ 2 เยาวชนไทย ขึ้นไปทดลองจริงบน "สถานีอวกาศนานาชาติ" ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง โดยรับชมการถ่ายทอดสดอย่างใกล้ชิดผ่านห้องบังคับการที่ศูนย์อวกาศสึคุบะ ขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA)
สำหรับเยาวชนหรือผู้ที่สนใจโครงการ Asian Try Zero-G สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook : NSTDA SPACE Education
คลิปสั้นทันเหตุการณ์