ผลการค้นหา :

ครั้งแรกกับ สเปรย์เติมความ “สด” ให้พืช ‘iPlant Multipurpose Spray’ ตอบโจทย์ธุรกิจส่งออกพืชเมืองหนาว
อากาศยิ่งร้อน พืชพรรณก็ยิ่งเฉา นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาสเปรย์ทำความเย็นอัดแก๊สแรงดันสูงที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากธรรมชาติ รวมถึงธาตุอาหารเสริมและรอง ในชื่อ ‘iPlant Multipurpose Spray’ ช่วยลดอุณหภูมิภายในของพืช ลดการคายน้ำจากอากาศร้อน ช่วยให้พืชสดชื่น ไม่เหี่ยวเฉา ตอบความต้องการธุรกิจไม้ดอก ไม้ประดับ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไม้เมืองหนาวราคาสูงที่นำมาปลูกในประเทศไทย
ดร.วรล อินทะสันตา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ปัจจุบัน สภาพอากาศเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตและความอยู่รอดของพืช สภาพอากาศที่เหมาะสมจะเป็นตัวแปรสำคัญในการดำรงชีวิตของพืช โดยทั่วไป อากาศที่ร้อนจัดมักจะส่งผลกระทบต่อพืชได้มากกว่าอากาศหนาว เนื่องจากอากาศร้อนจะทำให้พืชเกิดการคายน้ำอย่างรุนแรง และนำมาซึ่งการเสียสมดุลของน้ำภายในพืช จนกระทั่งทำให้พืชเหี่ยวเฉาและตายในที่สุด
[caption id="attachment_41192" align="aligncenter" width="2560"] ดร.วรล อินทะสันตา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยวัสดุผสมและการเคลือบนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ[/caption]
“งานวิจัยนี้ เป็นการพัฒนาสเปรย์ทำความเย็นอัดแก๊สแรงดันสูงที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากธรรมชาติรวมถึงธาตุอาหารเสริมและรอง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในของพืช รวมถึงลดการคายน้ำจากอากาศที่ร้อนจัด และทำให้พืชสามารถทนทานกับสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดียิ่งขึ้น” นักวิจัยนาโนเทคเผย
ปกติ ไม้เมืองหนาวที่ต้องอยู่ในสภาพอากาศร้อนถึงร้อนจัดในไทย ทำให้พืชมีความเครียดเนื่องจากต้องสูญเสียน้ำโดยเฉพาะทางใบ การรดน้ำต้นไม้ช่วยได้ในระดับหนึ่งและเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มีต้นทุนสูงสำหรับบางพื้นที่ ดร.วรล เผยว่า เมื่อนำสเปรย์ทำความเย็น iPlant มาประยุกต์ใช้พ่นบนใบของพืชพบว่า ได้ผลดี สามารถลดอุณหภูมิได้มากถึง 2-3 องศาเซลเซียส ยืดเวลาในการเหี่ยวเฉาออกไปได้ iPlant สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับไม้เมืองหนาวเช่นต้นกุหลาบ ต้นไฮเดรนเยีย และต้นไซคลาเมน ซึ่งเป็นกลุ่มของไม้เมืองหนาวที่มีราคาสูงและทำรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นจำนวนมาก
นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทางทีมวิจัยจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติได้ผลิตขึ้นนี้ นับเป็นครั้งแรกโดยอยู่ระหว่างการยื่นจดสิทธิบัตร ซึ่งคาดว่า หากสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยีไปถึงมือผู้ใช้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับอุตสาหกรรมไม้เมืองหนาวที่นำมาปลูกในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มของไม้เมืองหนาวราคาสูง ที่จะเป็นแหล่งรายได้ให้กับเกษตรกร
‘iPlant Multipurpose Spray’ จะนำไปร่วมจัดแสดงในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้หัวข้อ สวทช.: ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน (NSTDA: STI powerhouse to drive BCG economy for Thailand's sustainable development) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ร่วมกับ วช. จัดกิจกรรม โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายฝึกทักษะวิจัย/ครูวิทยาศาสตร์
(13 มีนาคม 2566) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดกิจกรรม โครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายฝึกทักษะวิจัย/ครูวิทยาศาสตร์ ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ประจำปี 2566 (ปีที่ 6) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนฐานวิทยาศาสตร์ หรือในโครงการพิเศษสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมและครูวิทยาศาสตร์ ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกฝนทักษะการวิจัยในห้องปฏิบัติการวิจัย ของศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช.
โดยมีทีมนักวิจัย สวทช. เป็นผู้ดูแล พร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนที่เข้ามาฝึกทักษะวิจัย ได้เห็นบรรยากาศการทำงานวิจัย ได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยอาชีพ และปลูกฝังความรักและความศรัทธาในวิชาชีพนักวิจัย ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต้อนรับ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ตระหนักถึงการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายพิเศษ การฝึกอบรม กิจกรรมค่าย และการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เยาวชนได้ฝึกฝน เรียนรู้ และทำวิจัยภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของไทย และบ่มเพาะเยาวชนเหล่านี้สู่เส้นทางการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคต จึงได้ริเริ่มโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ในปี 2561 เป็นรุ่นแรก ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยรวมแล้วมากกว่า 300 คนได้มีโอกาสมาเรียนรู้ทักษะวิจัยนักวิจัย สวทช. ได้เห็น บรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ซึ่งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์
ในปีพ.ศ. 2564 เป็นต้นมา เป็นโอกาสที่ดี ทาง สวทช. ได้ร่วมมือกับหน่วยงานสำคัญของประเทศอีกหน่วยงาน คือ วช. ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาร่วมเป็นพันธมิตรและให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการ นอกจากนี้ ยังเป็นปีสองที่ทางโครงการได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักเรียนจากห้องเรียนโครงการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนของ สพฐ. รวมทั้งได้เปิดโอกาสให้ครูวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยได้สมัครเข้าร่วมโครงการอีกด้วย
ในปี 2566 นี้ มีนักเรียนจากโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ จำนวน 174 คน ครู 14 คน โดยมีนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกและยืนยันเข้าร่วมโครงการ รวมจำนวน 85 คน และมีครูวิทยาศาสตร์ จำนวน 7 คน รวมทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมโครงการ 92 คนจาก 53 โรงเรียนทั่วประเทศ นักเรียนและครูจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักวิจัย สวทช. ซึ่งจะเป็นพี่เลี้ยงหลักดูแลให้คำปรึกษาให้แก่นักเรียนและครู จำนวน 28 คน และจะมีผู้ช่วยวิจัยในทีมอีกจำนวนหนึ่งช่วยดูแลเพิ่มเติม จากศูนย์วิจัยแห่งชาติของ สวทช. ได้แก่ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และยังมีในส่วนของหน่วยงานวิจัยอื่นๆ ได้แก่ ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ เป็นต้น
ข่าวประชาสัมพันธ์

อนุภาคนาโนนำส่งสารกลุ่มกัญชา-กัญชง ติดปีกอุตสาหกรรมเวชสำอาง
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nanotec-nstda-introduces-cbd-loaded-nanoparticles-for-applications-in-cosmeceutical-industry.html
นักวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนากระบวนการสังเคราะห์อนุภาคนาโน ช่วยนำส่ง CBD หรือสารสกัดจากพืชกลุ่มกัญชา-กัญชง ลดข้อจำกัด เพิ่มความสามารถในการละลายน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพทางเภสัชวิทยา ขยายการนำไปต่อยอดใช้งานในเชิงอุตสาหกรรมได้หลากหลาย เพิ่มโอกาสต่อยอดเชิงพาณิชย์ รับเทรนด์ตลาดกัญชา-กัญชงโลก และตลาดกัญชงไทยที่จะโตถึง 126% ในปี 2568
Cannabidiol (CBD) คือสารสกัดจากพืชตระกูลกัญชง-กัญชา (Cannabis sativa L.) ซึ่งได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งการนำไปใช้ทางการแพทย์และการวิจัยทางคลินิก เนื่องจากมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาทางการบำบัด รวมทั้งการออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ ซึ่งสารสกัด CBD ไม่ก่อให้เกิดการเสพติดและมีความเป็นพิษต่อระบบประสาทต่ำ
ดร.คทาวุธ นามดี จากทีมวิจัยเวชศาสตร์นาโน กลุ่มวิจัยการห่อหุ้มระดับนาโน ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า แม้สารสกัดจากกัญชา-กัญชงจะมีฤทธิ์ที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่การนำสารสกัด CBD ไปใช้ในทางการแพทย์นั้นยังมีข้อจำกัดอยู่หลายด้าน เช่น การละลาย ซึ่งพบว่า CBD มีชีวประสิทธิผลต่ำเนื่องจากความสามารถในการละลายน้ำได้น้อยและส่งผลให้การดูดซึมสารสกัดไม่สมบูรณ์ อีกทั้งปัจจัยด้านความคงสภาพของสารสกัด CBD เสื่อมสภาพได้จากอุณหภูมิ แสง ค่าความเป็นกรด-ด่าง และปฏิกิริยาออกซิเดชั่นเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศ และข้อจำกัดด้านการนำส่งสารสกัดผ่านผิวหนัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถส่งผ่านสารสกัดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการส่งสารผ่านผิวหนังนั้นยังไม่สูงเท่าที่ควร เนื่องจากสารสกัดประกอบด้วยโมเลกุลที่ละลายได้ดีในน้ำมัน ซึ่งจะสะสมอยู่ที่หนังกำพร้าชั้นนอก และไม่สามารถซึมผ่านลงไปได้ทั้งหมด
“จากข้อจำกัดดังกล่าว ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อการนำส่งสารสกัดจากพืชตระกูลกัญชง-กัญชา ซึ่งช่วยให้สารสกัดมีความสามารถในการกระจายตัวในน้ำ ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สำหรับสปา/เวลเนส ที่เดิมมักเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำมัน หรือครีมเนื้อหนัก” ดร.คทาวุธกล่าว พร้อมชี้ว่า อนุภาคนาโนฯ นี้ ยังลดความเป็นพิษจากสารสกัดโดยตรงและเพิ่มประสิทธิภาพทางเภสัชวิทยา ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาด้านต่างๆ ต่อไป
ปัจจุบัน ดร.คทาวุธชี้ว่า คนไทยเริ่มคุ้นชินกับสารสกัด CBD หรือกัญชา กัญชง ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ตามที่ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่อนุญาตให้ใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่ 1) ตั้งแต่ตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน ตลาดกัญชาถูกกฎหมายของไทยยังมีมูลค่าน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส่วนผสมอยู่ในตำรับยาไทย และแม้ว่าจะมีการปลดล็อคให้มีการใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทดลองทางการแพทย์เพื่อใช้กับผู้ป่วย และยังต้องได้รับการควบคุมดูแลโดยหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ
ส่วนภาพรวมของโลกนั้น จากรายงาน The Global Cannabis Report ของ Prohibition Partners ผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ชั้นนำระดับโลก คาดว่า มูลค่าตลาดกัญชาทั่วโลกจะมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 103.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 แบ่งเป็น ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์มีสัดส่วนราวร้อยละ 60 ของมูลค่าตลาดกัญชาทั้งหมด และอีกร้อยละ 40 เป็นตลาดกัญชาเพื่อการสันทนาการ อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน เริ่มมีบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มของโลก สนใจที่จะใช้สารสกัดจากกัญชาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้คาดว่า ในระยะข้างหน้า มูลค่าตลาดกัญชาโลกจะเติบโตและกระจายไปในหลายธุรกิจมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ความต้องการสารสกัด CBD และน้ำมันเมล็ดกัญชง เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม อาหารเสริม อาหารสัตว์ รวมถึงเส้นใย สำหรับเป็นวัตถุดิบในสินค้านวัตกรรม เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ พลาสติกชีวภาพ เป็นต้น มีแนวโน้มเติบโตทั้งในประเทศและตลาดโลก จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดการลงทุนเพาะปลูกกัญชงเพิ่มมากขึ้น มีการประเมินว่า ตลาดกัญชงโลกในปี 2563 มีมูลค่าราว 4,748 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะเร่งตัวขึ้นไปแตะ 18,608 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2570 หรือเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 22.4 ต่อปี
เช่นเดียวกับวิจัยกรุงศรี ที่ชี้ว่า มูลค่าอุตสาหกรรมกัญชง ของไทย ปี 2564 อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่มีกัญชงผสมจะมีมูลค่า 280 ล้านบาท รองลงมาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารจากกัญชง 240 ล้านบาท ยาและอาหารเสริมจากกัญชง 50 ล้านบาท เครื่องแต่งกายที่ทำด้วยใยกัญชง 30 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลประเมินว่า ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นหลักในปีแรก ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ดังกล่าวจะมีการนำกัญชงไปใช้มูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท และคาดว่าผลิตภัณฑ์กัญชงไทยจะเติบโตอย่างมากในช่วง 5 ปีแรกหลังรัฐปลดล็อคการประกอบธุรกิจ โดยตลาดกัญชงไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 15,770 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 126% ต่อปี
“อนุภาคนาโนนำส่งสารสกัด CBD ที่ทีมวิจัยนาโนเทคพัฒนาขึ้นนี้ มีจุดเด่นตอบความต้องการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในแง่ของความสามารถในการละลายน้ำที่ช่วยให้สามารถเติมเข้าไปในสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสได้หลากหลาย ไม่จำกัดเพียงแค่น้ำมัน, และยังช่วยลดการใช้ active dose เนื่องจากอนุภาคนาโนสามารถนำส่งสารสกัดได้มีประสิทธิภาพ เพิ่มการซึมผ่านได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดต้นทุนการใช้สารสกัด CBD ได้อีกด้วย” นักวิจัยนาโนเทคชี้
ปัจจุบัน นวัตกรรมอนุภาคนาโนช่วยนำส่งสารสกัดจากพืชกลุ่มกัญชา-กัญชงนี้ วิจัยและพัฒนาแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างเสาะหาผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบในกลุ่มของอิมัลเจล ครีม และโทนิค เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง และจะจัดแสดงภายในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (18th NSTDA Annual Conference: NAC2023) ภายใต้หัวข้อ สวทช.: ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน (NSTDA: STI powerhouse to drive BCG economy for Thailand's sustainable development) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคม พ.ศ. 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

กิจกรรม R&D Pitching: Empowering your business with R & D
พลาดไม่ได้กับกิจกรรม R&D Pitching: Empowering your business with R & D
กิจกรรม Highlight ในการประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (NAC 2023) 29-30 มีนาคม 2566
ชั้น 1 ห้องแกรนด์ฮอลล์ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
พบกับการนำเสนองานวิจัยและแอดวานซ์เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Advanced Technology Platform)
ที่พร้อมร่วมมือต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมกับภาคอุตสาหกรรม
ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ QR Code ตามที่ปรากฏในโปสเตอร์ หรือ
Link ที่ https://www.nstda.or.th/nac/2023/rd-pitching/ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สอบถามเพิ่มเติม Email: nac2023pitching@nstda.or.th
ปฏิทินกิจกรรม

สวทช. เปิดตัว “โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค”
ไบโอเทค สวทช. เปิดตัว "โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค" BIOTEC Bioprocessing Facility (BBF) สำหรับการดำเนินงานวิจัยและให้บริการด้านการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรมฐานชีวภาพของไทย
สำหรับโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค ตั้งอยู่ที่อาคาร BIOTEC pilot plant อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี ถือเป็นหน่วยงานภาครัฐที่บุกเบิกด้านการผลิตผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม ภายใต้สถานที่ผลิตอาหารตามมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP ครอบคลุมกระบวนการต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงเชื้อ , การทดสอบและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ , การขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ตลอดจนให้คำปรึกษาและสร้างพันธมิตรด้านเทคโนโลยีชีวกระบวนการในระดับขยายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 564 7000 , หรืออีเมล์ kobkul@biotec.or.th
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

สวทช. ผนึกกำลัง ดีป้า หนุน ผู้ประกอบการ-สตาร์ตอัป เปิดตัว “ศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว-TD-X Center” เร่งสปีดงานวิจัยสู่ตลาด
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-and-depa-unveils-td-x-center-helping-enterprises-bring-ideas-to-market.html
10 มีนาคม 2566 ณ โถงอาคารกลุ่มนวัตกรรม 1 (INC1) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จ.ปทุมธานี: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa ร่วมแถลงข่าวเปิดศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว (TD-X Center: Thailand Science Park & depa Acceleration Center)
โดยมีคุณฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ (กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล) depa ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ(กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล) depa ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ผศ.ดร. วีรชัย อาจหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. ร่วมงาน โดยศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว จัดตั้งขึ้นและดำเนินงานร่วมกันระหว่าง สวทช. และ depa เพื่อพัฒนา Platform และสร้าง Ecosystem ในการเร่งการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs Startup สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านนวัตกรรม ตั้งแต่การออกแบบและพัฒนาต้นแบบที่ครบวงจรอย่างรวดเร็ว โดยอาศัย Platform เป็นศูนย์กลางในการดำเนินการประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. มีความยินดีที่ได้รับโอกาสพัฒนาความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาต้นแบบร่วมกับ depa และร่วมกันเปิดศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว (TD-X Center: Thailand Science Park & depa Acceleration Center) ในวันนี้ โดย สวทช. มีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของทัพนักวิจัย ซึ่งจะเป็นขุมพลังหลักทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ซึ่ง สวทช. มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับพันธมิตร ที่เป็นเจ้าของโจทย์สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม พร้อมที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของ depa เพื่อร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs Startup ให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่สำหรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิดและประสบการณ์ โดยอาศัยความร่วมมือเชิงพันธมิตรกับหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกที่มีความพร้อมและความเชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มาปรับใช้ในองค์กรเพื่อปรับปรุงนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ให้เกิดการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตท่ามกลางบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า ศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว หรือ TD-X Center ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนา Platform และสร้าง Ecosystem ในการเร่งการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs Startup สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการด้านนวัตกรรม ตั้งแต่การออกแบบและพัฒนาต้นแบบที่ครบวงจรอย่างรวดเร็ว โดยอาศัย Platform เป็นศูนย์กลางในการดำเนินการประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน การให้ความรู้ คำแนะนำ และหน่วยงานสนับสนุนเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับให้บริการออกแบบ บริการผลิตต้นแบบ การทดสอบคุณภาพตามมาตรฐาน รวมถึงการทำ Market Validation หรือ MVP (Minimum Viable Product) เพื่อศึกษา Function และ Features ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาต้นแบบเชิงอุตสาหกรรม การบ่มเพาะธุรกิจ การลงทุน ขยายการผลิตผลิตภัณฑ์ออกสู่เชิงพาณิชย์
เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs Startup สามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพมาตรฐาน และตรงความต้องการของตลาด ลดการสูญเสียผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ หรืออุปกรณ์ชิ้นส่วนจากต่างประเทศ สามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ สร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
“การเปิดศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว TD-X Center ในวันนี้ ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง depa และ สวทช. ยังมีผลงานวิจัยพัฒนา เทคโนโลยี และนวัตกรรมอีกหลายด้านที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs Startup และภาคอุตสาหกรรมของ depa เพื่อสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมดิจิทัล เกิด Digital Transformation การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนำไปสู่การพัฒนาและเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ depa กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญของ depa คือการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงการดำเนินการเพื่อเร่งให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย depa มุ่งส่งเสริมให้เกิดการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์และสอดรับกับการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยของประเทศ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกแบบ วิเคราะห์ และทดสอบทดลอง ผ่านกลไกการดำเนินของ depa
สำหรับโครงการพัฒนาศูนย์เร่งพัฒนาต้นแบบรวดเร็ว หรือ TD-X Center ถือเป็นผลสำเร็จจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้งสองหน่วยงานที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศที่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่านการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้กับ สวทช. เพื่อให้เกิดการยกระดับมาตรฐานทางเทคโนโลยีของเครื่องมือ รวมไปถึงการพัฒนาและปรับปรุงแพลตฟอร์มให้มีความทันสมัย ซึ่งจะมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักวิจัยและนักพัฒนาในการสร้างต้นแบบรวดเร็ว (Rapid Prototype) ช่วยลดระยะเวลาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนผลักดันงานวิจัยสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญช่วยให้นักวิจัยสามารถนำส่งการคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ขยายผลไปสู่การเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงาน หรือ Digital Startup ได้อีกจำนวนมาก ซึ่งในหลายประเทศได้รับการพิสูจน์แล้วว่า Digital Startup ถือเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางวิกฤติและความท้าทายใหม่ที่คาดเดาไม่ได้
“เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า การส่งเสริมสนับสนุนและทำงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรทั้งสองฝ่าย จะช่วยให้เกิดระบบนิเวศของธุรกิจที่ช่วยผลักดันให้เกิดวงรอบของผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง และเกิดผลกระทบในวงการวิจัยที่ช่วยให้สามารถต่อยอดการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแท้จริง”
ข่าวประชาสัมพันธ์

ไบโอเทค สวทช. เปิดโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค มาตรฐานสากล ตอบโจทย์อุตสาหกรรมฐานชีวภาพ
For English-version news, please visit : https://www.nstda.or.th/en/news/news-years-2023/nstda-opens-biotec-bioprocessing-facility.html
8 มีนาคม 2566 กรุงเทพมหานคร - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) เปิดตัวโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BIOTEC Bioprocessing Facility) หรือ BBF
ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการดำเนินงานวิจัยด้านการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับมาตรฐานระดับสากลอย่าง Codex GHPs และ HACCP รองรับการทำวิจัยร่วมกับภาคเอกชน และงานให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และเร่งผลักดันการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า สวทช.ในฐานะหน่วยงานการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศเป็นดั่ง “ขุมพลังหลัก” ด้านการวิจัย สวทช.กำหนดนโยบายที่เรียกว่า “NSTDA Core Business” เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นโจทย์สำคัญเร่งด่วนของประเทศ ปัญหาของภาคอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงงานวิจัยที่ใช้ได้จริง โดยในเฟสแรกได้คัดเลือกงานวิจัย 4 เรื่องหลัก ซึ่งรวมถึง FoodSERP แพลตฟอร์มบริการผลิตอาหารและส่วนผสมฟังก์ชันในรูปแบบ One-stop service
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมากโดยเฉพาะความหลากหลายทางชนิดของพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ โดยมีจุลินทรีย์ราว 150,000 -200,000 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 8-10 ของจุลินทรีย์ที่คาดว่ามีอยู่ในโลก ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้พบแพร่กระจายอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ แต่แม้จะมีข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ประเทศไทยก็ยังคงมีปัญหาช่องว่างของนวัตกรรม (Gap in the innovation chain) โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมและกำลังคนเชี่ยวชาญ ในการขยายผลการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์เหล่านี้ในระดับอุตสาหกรรม ส่งผลให้การวิจัยไม่สามารถส่งต่อผลงานไปสู่การใช้ประโยชน์
“ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานระดับขยาย (pilot plant) ถือเป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยจากความหลากหลายชีวภาพ โดยเฉพาะการนำจุลินทรีย์มาใช้ในระดับอุตสาหกรรม ด้วยกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน และมีต้นทุนที่เหมาะสม สำหรับนําไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชัน รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสําอาง ช่วยแก้ปัญหาคอขวดที่งานวิจัยของประเทศไทยจำนวนมากยังไม่สามารถผลักดันไปสู่การใช้จริงได้ ดังนั้น BBF จึงถือเป็นกลไกหลักที่ช่วยขับเคลื่อน FoodSERP ให้ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ที่ผ่านมา BBF ได้ทำงานร่วมกับผู้ประกอบการมากกว่า 30 บริษัททั้งในและต่างประเทศ”
ด้าน ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค กล่าวว่า “โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค หรือ BBF ถือเป็นหน่วยงานภาครัฐที่บุกเบิกด้านการผลิตผลิตภัณฑ์จากจุลินทรีย์ทั่วไปและจุลินทรีย์ดัดแปลงพันธุกรรม ภายใต้สถานที่ผลิตอาหาร (food-grade manufacturer) ตามมาตรฐานสากล Codex GHPs และ HACCP ที่ครอบคลุมทั้งกระบวนการต้นน้ำ และกระบวนการปลายน้ำ ตั้งแต่การพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงเชื้อ กระบวนการหมัก การเก็บเกี่ยวผลิตภัณฑ์ การทำเข้มข้นหรือการทำบริสุทธิ์ การทำแห้ง การผสมสูตรผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ การตรวจสอบคุณภาพและอายุผลิตภัณฑ์ รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ตลอดจนให้คำปรึกษา ฝึกอบรม บริการวิชาการ และสร้างพันธมิตรด้านเทคโนโลยีชีวกระบวนการในระดับขยายทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ลดการนำเข้าและการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG”
ดร.กอบกุล เหล่าเท้ง ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยส่วนผสมฟังก์ชั่นและนวัตกรรมอาหาร ไบโอเทค ในฐานะ ผู้บริหารจัดการ โรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค (BBF) กล่าวว่า “BBF ตั้งอยู่ที่อาคาร BIOTEC pilot plant อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ดำเนินงานวิจัยและพัฒนาภายใต้การทำงานของทีมวิจัยแบบสหสาขาวิชา ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เชิงบูรณาการ โดยผนวกองค์ความรู้พื้นฐานด้านจุลินทรีย์เข้ากับเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมชีวกระบวนการ และเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ ในการออกแบบและพัฒนานวัตกรรมกระบวนการผลิตเซลล์จุลินทรีย์ สารชีวภัณฑ์จากจุลินทรีย์ และส่วนผสมฟังก์ชั่น หรือ functional ingredients ในระดับขยาย โดยมี bioreactor ที่สามารถรองรับการผลิตในรูปแบบ submerged fermentation ขนาด 300 ลิตร และ solid-state fermentation ขนาด 500 กิโลกรัม รวมทั้งเครื่องมือในกระบวนการปลายน้ำและวิเคราะห์ทดสอบที่รองรับการผลิตสำหรับขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ โดยเร็ว ๆ นี้ได้รับงบสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หรือ บพข. ซึ่งจะทำให้สามารถขยายกำลังผลิต ได้ถึง 33,000 ลิตรต่อปี
ดร.กอบกุล กล่าวต่อไปว่า “นอกจากงานวิจัยและนวัตกรรมแล้ว BBF ยังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุเจือปนอาหาร สารอาหาร โปรตีนทางเลือกจากจุลินทรีย์ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการในการผลิตเพื่อขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ การทดสอบตลาด หรือการทดสอบทางคลินิก รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อขยายผลสู่การนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรมอาหาร ส่วนผสมฟังก์ชัน และอุตสาหกรรมชีววิทยาสังเคราะห์ โดยใช้กลยุทธ์แบบ quick win ในการดำเนินการเชิงรุกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับผู้ประกอบการที่มีมุมมองเชิงธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการทั้งกลุ่ม startup กลุ่ม SME และ กลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ (Large enterprise) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ
โดยผลงานของผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ผ่านการใช้องค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของนักวิจัยไบโอเทค สวทช. และเครื่องมือที่ทันสมัยจากโรงงานต้นแบบชีวกระบวนการไบโอเทค หรือ BBF เช่น โพรไบโอติกอาหารเสริมและโพสไบโอติกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น จากบริษัทวิโนน่า เฟมินิน จำกัด มัยคอโปรตีน ผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกเพื่อสุขภาพ จากกลุ่มบริษัท ไทยรุ่งเรือง (ผู้ผลิตน้ำตาลลิน) ยาอมและสเปรย์ 5 ตะขาบจากบริษัทห้าตะขาบ ซิมเทียนฮ้อ จำกัด ผลิตภัณฑ์เอนไซม์ล้างผักผลไม้ จากบริษัทไบโอม จำกัด และ โพรไบโอติกอาหารเสริม จากบริษัทสยาม อะกริ ซัพพลาย จำกัด เป็นต้น ช่วยสร้างผลกระทบในการลงทุนด้านการวิจัยซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศจากการพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. ประกาศผลรางวัล YSC2023 การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25
4 มี.ค. 2566 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานภูมิภาค ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ครั้งที่ 25 รอบชิงชนะเลิศ (The 25th Young Scientist Competition: YSC 2023) ระหว่างวันที่ 3 - 4 มีนาคม 2566 ชิงถ้วยพระราชทานฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโอกาสในการเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศกรรมศาสตร์ ระดับนานชาติ พร้อมเงินรางวัลและตั๋วเครื่องบินเดินทางและที่พักมูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. พร้อมด้วย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร รักษาการรองผู้อำนวยการ สวทช. ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหาร มหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงานภูมิภาค ร่วมมอบโล่รางวัลสำหรับทีมที่ชนะการแข่งขันในครั้งนี้
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ทำงานกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน จัดประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและในปีนี้ มีจำนวนข้อเสนอโครงงานทั้งสิ้น 1,621 โครงงาน (นักเรียน 3,908 คน จาก 208 โรงเรียน) และผ่านการเฟ้นหาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในส่วนภูมิภาค จนได้ผลงานรางวัลชนะเลิศระดับภูมิภาคและผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ จำนวน 64 โครงงาน (นักเรียน 155 คน จาก 36 โรงเรียน)
โดยโครงการฯดังกล่าว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนพัฒนาผลงานผ่านมหาวิทยาลัยเครือข่าย พร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเยาวชนให้เข้าร่วมการประกวด Regeneron ISEF 2023 ซึ่งมีกำหนดจัดในเดือนพฤษภาคม 2566 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ในระดับนานาชาติ โดยสอดคล้องกับภารกิจของ สวทช. ในการสนับสนุนเยาวชนเพื่อเข้าร่วมประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติ เริ่มต้นจากการบ่มเพาะพัฒนาเยาวชนให้มีโอกาสเรียนรู้และสนุกไปกับการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน รวมถึงพัฒนาทักษะและสมรรถนะของเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคตอย่างยั่งยืน
เป็นการเสริมแกร่งทั้งด้านการศึกษาและคุณธรรมแก่เยาวชน อันจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมทั้งการได้รับโจทย์สำคัญคือ ผลงานของเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการในแต่ละภูมิภาค ควรจะแสดงถึงการแก้ไขโจทย์ปัญหาของพื้นที่ที่เป็นอัตลักษณ์ของภูมิภาค เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และแก้ไขปัญหาเกษตรกรรม สังคม สิ่งแวดล้อม อันจะนำมาซึ่งผลงานที่สร้างความความยั่งยืนให้กับประเทศ อยากให้แนวคิดดีๆ ของนักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาต่อยอด และส่งต่อไปถึงมือผู้ใช้จริง ไม่ควรจบอยู่แค่รางวัลหรือเกียรติบัตรที่ได้จากการแข่งขันในเวทีต่างๆ
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ร่วมงานกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมหาวิทยาลัยศูนย์ประสานงาน ดำเนินโครงการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ซึ่งจัดเป็นปีที่ 25 เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาให้มีโอกาสแสดงความสามารถและทักษะที่เป็นนวัตกรรม และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับประเทศ พร้อมทั้งคัดเลือกตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ ในระดับนานาชาติ Regeneron International Science and Engineering Fair หรือ Regeneron ISEF และการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์นานาชาติอื่น ๆ
นอกจากกิจกรรมการประกวดแข่งขันแล้ว ในรอบการแข่งขันในระดับภูมิภาค โครงการฯ ได้มีการจัดอบรมเสริมทักษะให้กับนักเรียน และอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน พร้อมทั้งนำเยาวชนโครงการ YSC ร่วมสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ ให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและยกระดับการพัฒนาผลงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป
ด้าน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช. กล่าวว่า ในฐานะหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของประเทศมีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านการวิจัย และนวัตกรรมในมิติต่าง ๆ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร ด้านการวิจัย และนวัตกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ซึ่งจะเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต ซึ่ง วช. เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมสร้างโอกาสให้กับเยาวชนผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับโครงการประกวดโครงงาน ของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ วช .ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนในการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุน การวิจัย และนวัตกรรม ในลักษณะของการให้ทุน แก่ สวทช. และดำเนินงานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมเด็ก และเยาวชน ผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับมหาวิทยาลัยในเครือข่ายตามความร่วมมือทั้ง 10 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นางสาวอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ มีนโยบายในการดำเนินงานกิจกรรมเพื่อสังคม ด้านการศึกษาและพัฒนาเยาวชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเยาวชนในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ทักษะการคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking) ทักษะการทำงานเป็นทีม (Collaboration) ทักษะการสื่อสาร (Communication) และทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การพัฒนาทักษะด้าน เทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงมีจิตอาสาสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน เพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดีควบคู่กันไป โดยได้รับความร่วมมือจาก สวทช. ซึ่งเป็นองค์กรภาคีที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนสร้างรากฐานทางเทคโนโลยีในประเทศ ที่ให้การสนับสนุนนักวิจัยพี่เลี้ยงและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา มาให้คำแนะนำเยาวชนในการทำโครงงานอย่างใกล้ชิด
สำหรับการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ ที่ทาง สวทช. จัดในครั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้การสนับสนุนเยาวชนเพื่อเดินทางเข้าร่วม ประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ในระดับนานาชาติ เริ่มต้นจากการบ่มเพาะพัฒนาเยาวชนให้มีโอกาสเรียนรู้และสนุกไปกับการทํากิจกรรมทางวิทยาศาสตร์นอกห้องเรียน รวมถึงพัฒนาทักษะ และสมรรถนะของเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม เพื่อสร้างผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคตอย่างยั่งยืน และเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมประกวดในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อแสดงศักยภาพและความสามารถของเยาวชนไทยผ่านผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่มาตรฐานระดับโลกใน
สำหรับด้านผู้เข้าประกวดการแข่งขันโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition YSC) ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แบ่งออกเป็น 9 สาขา 10 รางวัล
โดยในปีนี้โครงงานรางวัลที่ 1 จำนวน 3 รางวัล จากสาขาเคมี และสาขาสหสาขา ซึ่งนอกจากจะได้รับรางวัลชนะเลิศ (Top Award) ซึ่งคัดเลือกผลงานที่โดดเด่นที่สุดจากโครงงานที่ได้รับรางวัลใน 9 สาขา จะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศ (Top Award) แล้วยังได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นานาชาติ Regeneron International Science and Engineering Fair 2023 (Regeneron ISEF 2023) ระหว่าง 13 - 19 พฤษภาคม 2566 ณ เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ได้แก่
รางวัลที่ 1 สาขาเคมี ได้แก่ โครงงานแนวคิดใหม่แห่งวงการชีวเคมีทางการแพทย์: การตรวจสอบ DNA ของมะเร็งบนผิวเม็ดเลือดแดงโดยใช้เลือดไก่เป็นแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาสู่นวัตกรรมใหม่ในการวินิจฉัยโรคมะเร็งที่รวดเร็ว
รางวัลที่ 1 สาขาสหสาขา ได้แก่ โครงงานการปรับปรุงแบบจำลองการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อทำนายการเสริมฤทธิ์ของยาคู่ผสมสำหรับรักษาโรคมะเร็งโดยอาศัยข้อมูลโครงสร้างโมเลกุลยาและพหุโอมิกส์
รางวัลที่ 1 ร่วมในสาขาสหสาขา ได้แก่ โครงงานแนวทางผสมผสานเพื่อการค้นหาตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ และการใช้แบบจำลองปัญญาประดิษฐ์เชิงลึกในการทำนายต้นกำเนิดของมะเร็งจากข้อมูลการเติมหมู่เมทิลของสายดีเอ็นเอ
และยังมีโครงงานที่ 1 สาขาอีก 3 รางวัล ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประกวดโครงงานวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ นานาชาติ Regeneron ISEF อีกด้วย ได้แก่
รางวัลที่ 1 สาขาคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โครงงานการพัฒนาวิธีการในการตรวจจับท่าภาษามือเพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบอุปกรณ์
รางวัลที่ 1 สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ โครงงานนวัตกรรมอุปกรณ์การตรวจปริมาณแคลเซียมจากเศษเล็บโดยใช้หลักการวิเคราะห์เชิงสีและการดูดกลืนเชิงแสงเพื่อการประเมินภาวะสมดุลแคลเซียมและความเสี่ยงโรคกระดูก
รางวัลที่ 1 สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงงานวัสดุดูดซับน้ำมันและสารอินทรีย์จากยางพาราผสมเซลลูโลสและซิลิกา
พร้อมทั้งโครงงานรางวัลที่ 1 สาขาอีก 4 รางวัล ได้แก่
รางวัลที่ 1 สาขาคณิตศาสตร์ ได้แก่ โครงงานเทคนิคการตอบเชิงสุ่มสำหรับแบบสอบถามที่มีระดับและวิธีเลื่อนเชิงเส้นที่ดีที่สุด
รางวัลที่ 1 สาขาชีววิทยา ได้แก่ โครงงานคุณสมบัติของสารสกัดจากใบบัวบกในการป้องกันการเสื่อมสภาพทางระบบประสาทที่เกิดจากสารโทลูอีนในสัตว์ทดลอง C. elegans
รางวัลที่ 1 สาขาวัสดุศาสตร์ ได้แก่ โครงงานคาร์บอนรูพรุนตัวเก็บประจุยิ่งยวดจากเปลือกต้นกระถินณรงค์
รางวัลที่ 1 สาขาฟิสิกส์ พลังงานและดาราศาสตร์ ได้แก่ โครงงานการศึกษาพฤติกรรมของอนุภาคนาโนแม่เหล็กภายใต้กระแสวนในระบบหมุนเวียนเลือดโดยใช้โปรแกรมจำลองพลวัตเชิงโมเลกุล LAMMPS
นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี ของการจัดงาน YSC ยังได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติแก่ครูที่ปรึกษาผลงานโดดเด่น ซึ่งนอกจากจะมีผลงานเยาวชนภายใต้การดูแลผ่านเข้ารอบเป็นจำนวนมากแล้ว ยังมีผลงานในการสนับสนุนเยาวชน และมีการส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่เยาวชน และโรงเรียนในพื้นที่อื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นายขุนทอง คล้ายทอง โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี พร้อมทั้งได้มอบรางวัล โรงเรียนสถาบันการศึกษาหน้าใหม่ สำหรับที่ปรึกษาโครงงานซึ่งเป็นที่ปรึกษาในโรงเรียน ที่นำพาผลงานของโรงเรียนผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์เป็นครั้งแรก ได้แก่ นายภูวนัย ดอกไธสง ครูโรงเรียนจอมพระประชาสรรค์ นายเจตณรงค์ ทาคำวงศ์ ครูโรงเรียนวารินชำราบ นายอาจอง ขาวเธียร ครูโรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา ครูศิริ เอียดตรง โรงเรียนตันหยงมัส และนายศุภณัฐ พัฒนสารินทร์ ครูโรงเรียน พิริยาลัยจังหวัดแพร่ อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์

สวทช. รับโล่รางวัล “คุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน (ปี 2564-2565)
(3 มีนาคม 2566) ณ ห้องนิทรรศการ 5 ชั้น 1 อาคารหอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นตัวแทนหน่วยงาน เข้ารับโล่รางวัลองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ประธานในพิธีเป็นผู้มอบโล่รางวัล ในงานพิธีมอบรางวัลชุมชน องค์กร อำเภอ จังหวัดคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 พร้อมกันนี้ในงาน นายอิทธิพล คุณปลื้ม ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 – 2570) เพื่อเป็นแนวทางให้กับชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดในการดำเนินงานด้านการส่งเสริมคุณธรรมต่อไป
รางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” มาจากการที่องค์กรได้รับการประเมินในระดับสูงสุดของเกณฑ์ สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการทำงานของหน่วยงานในด้านการส่งเสริมคุณธรรม ทั้งนี้ ในปี 2565 สวทช. ได้รับคัดเลือกจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เป็นตัวแทนองค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่นของกระทรวงฯ โดยในปี 2564 นั้น สวทช. ได้รับคัดเลือกจากจังหวัดปทุมธานีให้เป็นตัวแทนจังหวัดเข้ารับรางวัลดังกล่าว ถือเป็นการได้รับรางวัล “องค์กรคุณธรรมต้นแบบโดดเด่น” ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้บริหารและบุคลากรในองค์กร ในการตระหนักถึงความโปร่งใส และนำคุณธรรมมาเป็นพื้นฐานในการทำงาน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์

พร้อมจัดยิ่งใหญ่! งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (NAC2023)
สวทช. พร้อมจัดอย่างยิ่งใหญ่ งานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 18 (NSTDA Annual Conference) หรือ NAC2023 ภายใต้แนวคิด “สวทช. : ขุมพลังหลัก วทน. เร่งการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG สู่ความยั่งยืน” พร้อมจัดแบบ onsite เต็มรูปแบบอย่างระหว่างวันที่ 28-31 มีนาคมนี้ ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
โดยงาน NAC2023 จะมีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและเทคโนโลยีจาก สวทช. และจากหน่วยงานพันธมิตรมากกว่า 70 ผลงาน มีการจัดสัมมนาอีกกว่า 40 หัวข้อที่น่าสนใจ รวมทั้งมีกิจกรรม Open House และกิจกรรมเยาวชนอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมี NAC Market 2023 ตลาดนัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมจากงานวิจัย สินค้าชุมชน รวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ในราคาพิเศษ และมีกิจกรรม ‘R&D Pitching’ ที่ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนจะได้พบกับการนำเสนอผลงานวิจัยที่พร้อมต่อยอดธุรกิจภาคอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ
สำหรับผู้ที่สนใจงาน NAC 2023 สามารถติดตามรายละเอียดและลงทะเบียนเข้าร่วมงาน ได้ที่ www.nstda.or.th/nac
คลิปสั้นทันเหตุการณ์

การประกวดภาพทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2566 IMAGE OF SCIENCE “วิจิตร วิจัย”
อพวช. ขอเชิญชวนนักวิทย์ นักคิด นักวิจัยมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว ความประทับใจ ความงดงามที่เกิดขึ้นในงานทางด้านวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ให้สังคมได้รับรู้ ได้สัมผัสความวิจิตรของงานวิจัยไปด้วยกัน โดยการส่งภาพพร้อมคำบรรยายถึงความงามและความสำคัญของภาพนั้น ผู้สนใจเข้าร่วมส่งผลงานโปรดเตรียมข้อมูล 4 ส่วนหลัก คือ ภาพ ชื่อภาพ คำบรรยายประกอบภาพ และข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ เทคโนโลยี หรือเทคนิคที่ใช้สร้างภาพ
ได้เวลาเผยความวิจิตรของงานวิจัยสู่สังคมอีกครั้ ขอเชิญชวนนักวิทย์ นักคิด นักวิจัย และบุคคลทั่วไป ส่งภาพจากการทำงานหรือการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ พร้อมคำบรรยาย เข้าประกวดในโครงการ Image of Science (วิจิตร วิจัย) ประจำปี 2566
ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2566
ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท พร้อมลุ้นรับของที่ระลึกจากโครงการฯ จำนวน 10 ชิ้น
ประเภทการแข่งขัน: ผลงานยอดเยี่ยม และผลงานยอดนิยม
ไม่จำกัดอุปกรณ์ เทคโนโลยี หรือเทคนิคในการผลิตภาพ
ไม่มีการแบ่งรุ่น/อายุของผู้ส่งผลงาน
ศึกษารายละเอียด ตัวอย่างเพิ่มเติม และส่งผลงานได้ที่ http://contest.nsm.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=113&Itemid=701
ข่าวหน่วยงานภายนอก

Final Call เปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ จำนวน 70 ทุน
Final Call เปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกเพื่อรับทุนการศึกษาต่อ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ จำนวน 70 ทุน
ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 24 มีนาคม 2566
ตามที่โครงการ TAIST-Tokyo Tech โดยฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย (RPD) สวทช. ประชาสัมพันธ์การเปิดรับสมัครบุคคลให้มีโอกาสเข้าคัดเลือกรับทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีกำหนดการ ปิดรับสมัครวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 นั้น
โครงการฯ ขอแจ้งปรับเปลี่ยนกำหนดการปิดรับสมัครเร็วขึ้นเป็น วันที่ 24 มีนาคม 2566
ผู้ที่สนใจสมัครเพื่อคัดเลือกรับทุนศึกษาต่อ สามารถยื่นใบสมัครได้ที่นี้ https://www.nstda.or.th/r/sng2g
ที่มาของโครงการ
ตามที่สวทช. ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว (Tokyo Institute of Technology : Tokyo Tech) ประเทศญี่ปุ่น เครือข่ายมหาวิทยาลัยไทย 5 สถาบัน ร่วมเปิดหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ระดับปริญญาโท หลักสูตรนานาชาติ รวมถึงหลักสูตรประกาศนียบัตรระบบขนส่งทางราง ภายใต้ “โครงการ TAIST-Tokyo Tech” ซึ่งได้เริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน และในปีการศึกษา 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ได้เริ่มให้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการทำกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมแก่ สวทช. โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาบุคลากรวิจัยและวิศวกรรมทักษะสูงตามความต้องการของประเทศ ซึ่งฝ่ายพัฒนาบุคลากรวิจัย (RPD) สวทช. เป็นผู้ดูแล รับผิดชอบและบริหารจัดการโครงการฯ โดยมีหลักสูตรที่รับสมัคร ดังนี้
หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมยานยนต์และระบบขนส่งขั้นสูง
(Automotive and Advanced Transportation Engineering: A2TE Program)
หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาปัญญาประดิษฐ์และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
(Artificial Intelligence and Internet of Things: AIoT Program)
หลักสูตรวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิศวกรรมพลังงานและทรัพยากรเพื่อความยั่งยืน
(Sustainable Energy and Resources Engineering: SERE Program)
โครงการจะให้การสนับสนุน ดังนี้
การสนับสนุนทุนการศึกษา ไม่เกิน 240,000 บาท
ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดือนละ 8,000 บาท
ค่าลงทะเบียนประชุมวิชาการหรือค่าตีพิมพ์วารสาร ไม่เกิน 15,000 บาท (เบิกจ่ายตามจริงจากมหาวิทยาลัยที่ลงทะเบียน)
(หมายเหตุ ภายในระยะเวลา 2 ปี ต่อคน)
โอกาสที่จะได้รับ:
การทำงานวิจัยร่วมกับนักวิจัย สวทช. คณาจารย์จาก Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่นและมหาวิทยาลัยตามหลักสูตรที่เลือกเรียน
โอกาสในการเข้าเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำ ภายในประเทศไทย
โอกาสในการเข้าศึกษาแลกเปลี่ยน ระยะสั้น ณ Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น
โอกาสในการรับทุนศึกษาต่อ ระดับปริญญาเอก ณ Tokyo Tech ประเทศญี่ปุ่น
รูปแบบการเรียนการสอน:
เรียนเต็มเวลา วันจันทร์ – วันศุกร์ ในรูปแบบ online และ onsite ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช.
และมหาวิทยาลัยตามหลักสูตรที่เลือกเรียน
สอนโดย คณาจารย์จากTokyo Tech และคณาจารย์ มหาวิทยาลัยของไทย ตามหลักสูตรที่เลือกเรีย
จัดการสอนแบบ Module 1 ปี และทำวิจัยในหัวข้อที่เป็นงานวิจัยร่วมกันระหว่างสวทช.และมหาวิทยาลัย 1 ปี
เงื่อนไขการชดใช้ทุนการศึกษา:
ผู้ได้รับทุนที่สำเร็จการศึกษา ไม่มีข้อผูกมัดในการทำงานชดใช้ทุน
ผู้ได้รับทุนที่ไม่สำเร็จการศึกษา ต้องชดใช้ทุนคืนเป็นเงินเท่ากับจำนวนเงินทุนที่ได้รับ จากโครงการระหว่างที่ศึกษา
คุณสมบัติผู้สมัคร:
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือสาขาที่มีความรู้ที่สอดคล้องกับรายวิชาที่จะศึกษาต่อได้ (หรือกำลังศึกษาในเทอมสุดท้าย)
ได้เกรดเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตรไม่ต่ำกว่า 2.75 หรือ มีประสบการณ์ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่เรียนอย่างน้อย 2 ปี
มีทักษะในการทำงานวิจัย มีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นในการศึกษาและทำวิจัย ให้สำเร็จการศึกษาภายในระยะเวลาที่ได้รับทุน
สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในระดับดีทั้ง ฟัง พูด อ่าน และเขียน
(เกณฑ์ภาษาอังกฤษ https://www.nstda.or.th/taist_tokyo_tech/ )
นอกจากนี้โครงการ ยังเปิดพื้นที่ให้นักวิจัย ที่สนใจรับนักศึกษาในโครงการ (ตามหลักสูตรข้างต้น) ร่วมทำวิจัย โดยท่านสามารถแจ้งความประสงค์มายังโครงการได้ที่
EMAIL : taist@nstda.or.th หรือ โทร. 0 2564 7000 ต่อ 77229, 77230 (สุธิดา,ไพลิน)
หมายเหตุ * กำหนดการอาจมีเปลี่ยนแปลง
ปฏิทินกิจกรรม