ผลการค้นหา :
ยกระดับ “ทุ่งกุลาร้องไห้” แหล่งปลูก “พืช-สมุนไพร” คุณภาพ
ยกระดับ 'ทุ่งกุลาร้องไห้' ส่งเสริม ปลูกพืช-สมุนไพรคุณภาพ ด้วยกลไก 'ตลาดนำการผลิต' เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยี-มีรายได้เพิ่ม ตามนโยบาย "เอกชนนำ-รัฐหนุน" ของกระทรวง อว.
สวทช. ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร และ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ติดตามความคืบหน้าโครงการ “การยกระดับคุณภาพชีวิตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (ด้านพืช สมุนไพร)” เป็นความร่วมมือในการวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกพืชสมุนไพร เพื่อเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ประกอบด้วย ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม
โดยโครงการดังกล่าว สวทช. นำองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านต่างๆ ไปถ่ายทอดสู่เกษตรกร ตั้งแต่การส่งเสริมให้เกษตรกรทดลองปลูกฟ้าทะลายโจรสายพันธุ์ราชบุรี BT-1 ที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. , การใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเพื่อขยายพันธุ์สมุนไพรปลอดโรค ตลอดจนเทคโนโลยีชุดตรวจวัดโลหะหนักในพืชสมุนไพร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีเป้าหมายส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ให้มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
สวทช. พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุระดับความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดขยะอาหาร
หนึ่งในผลไม้จากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติสูงจนขึ้นแท่นเป็นพืชเศรษฐกิจ คือ ‘มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง’ ที่มีจุดเด่น คือ ผลใหญ่ เปลือกสีเหลืองทอง เนื้อละเอียด รสชาติหวาน แต่ด้วยมะม่วงสายพันธุ์นี้มีเปลือกสีเหลืองครีมตั้งแต่เริ่มสุกบนต้นหรือระยะที่ยังไม่พร้อมรับประทาน ทำให้แยกระดับความสุกจากการสังเกตสีเปลือกมะม่วงได้ยาก ทำให้ผู้บริโภคอาจพลาดโอกาสในการลิ้มรสมะม่วงในช่วงอร่อยที่สุดไป นักวิจัยไทยจึงนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์พัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มมูลค่าการส่งออก
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง
[caption id="attachment_55181" align="aligncenter" width="750"] ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช.[/caption]
ดร.กมลวรรณ ธรรมเจริญ นักวิจัยทีมวิจัยวัสดุตอบสนองระดับนาโน (RNM) นาโนเทค สวทช. อธิบายว่า การพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุก ทีมวิจัยได้นำลักษณะตามธรรมชาติของผลไม้ที่จะปล่อยก๊าซเอทิลีนและคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นตามระยะความสุกมาใช้ในการออกแบบเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซ โดยทีมวิจัยเลือกตรวจจับก๊าซเอทิลีนเพราะให้ผลตรวจที่แม่นยำกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซที่มีอยู่ทั่วไปในสภาพแวดล้อม จึงอาจทำให้เกิดการแปลผลคลาดเคลื่อนได้ เซนเซอร์ที่ทีมพัฒนาขึ้นมีรูปแบบเป็นสติกเกอร์สำหรับแปะผลไม้ มีลวดลายเป็นวงกลม 2 ชั้น วงในเป็นตำแหน่งของเซนเซอร์ตรวจจับปริมาณก๊าซเอทิลีนซึ่งจะมีสีเปลี่ยนแปลงไปตามระดับความเข้มข้นของก๊าซหรือระดับความสุกของผลไม้ ส่วนวงนอกเป็นแถบสีสำหรับดูเปรียบเทียบระดับความสุก
[caption id="attachment_55182" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
[caption id="attachment_55183" align="aligncenter" width="750"] บรรยากาศในการวิจัยและพัฒนา[/caption]
“ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เลือกพัฒนาฉลากอัจฉริยะระบุความสุกมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเป็นลำดับแรก เพราะเป็นผลไม้ที่สังเกตระดับความสุกได้ยาก เป็นผลไม้พรีเมียมที่เน้นคุณภาพ และมีตลาดระดับไฮเอนด์รองรับทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉลากอัจฉริยะที่ทีมพัฒนาขึ้นระบุความสุกของมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองได้ 3 ระดับ คือ ‘สีเขียวอ่อนอมเทา’ หมายถึงสุกน้อย มีรสชาติเปรี้ยว ‘สีเขียวอ่อน’ หมายถึงระดับสุกปานกลาง มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน และ ‘สีเขียวเข้ม’ หมายถึงผลไม้สุกพร้อมรับประทาน มีรสชาติหวาน (มีข้อความระบุบนฉลาก) ปัจจุบันฉลากอัจฉริยะที่พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะมีลักษณะการใช้งานแบบ 1 แผ่น ต่อ 1 ผล คาดว่าเมื่อผลิตในระดับอุตสาหกรรมแล้วจะมีราคา 1-2 บาทต่อแผ่น หรือหากผู้ประกอบการสนใจพัฒนาฉลากรูปแบบอื่น ๆ เช่น การติดภายในกล่องบรรจุภัณฑ์ก็สามารถวิจัยต่อยอดร่วมกันได้เช่นกัน”
ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกไม่เพียงเหมาะกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเชิงประยุกต์เพื่อต่อยอดให้ใช้งานกับผลไม้อีกหลายชนิดที่อยู่ในกลุ่มบ่มให้สุกภายหลังการเก็บเกี่ยว และมีลักษณะผลที่สังเกตการสุกด้วยตาเปล่ายากได้ อาทิ ทุเรียน ขนุน อะโวคาโด กีวี่
ดร.กมลวรรณ อธิบายว่า ปัจจุบันต่างประเทศมีความต้องการฉลากอัจฉริยะสูงขึ้น ทั้งเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้และลดการเกิดขยะอาหารจากการบริหารจัดการสินค้าที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ IMARC Group บริษัทด้านการวิจัยตลาดต่างประเทศประมาณการไว้ว่า ‘ความต้องการฉลากอัจฉริยะจะสูงขึ้นในปี 2567-2575’ ด้วยค่า CAGR (compound annual growth rate) ที่ร้อยละ 11.4 หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (3.96 แสนล้านบาท) ในปี 2567 เป็น 2.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ล้านล้านบาท) ในปี 2575 จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเริ่มลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ เพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ไทย ซึ่งทีมวิจัยพร้อมเปิดรับโจทย์การวิจัยฉลากอัจฉริยะระบุความสุกของผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการต้องการ
ฉลากอัจฉริยะระบุความสุกเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่นักวิจัย สวทช. พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลิตผลทางการเกษตรของประเทศไทย และสนับสนุนการลดขยะอาหาร หนึ่งในตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่มุ่งยกระดับเศรฐกิจฐานชีวภาพและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทย
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณปิยะรัตน์ เซ้าซี้ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและบริการโครงสร้างพื้นฐาน นาโนเทค สวทช.อีเมล piyarath.sao@nanotec.or.th
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
TAIST-Tokyo Tech – Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview 2024 #2 round
Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in AIoT Program 2024 #2 round
Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in A2TE Program 2024 #2 round
Announcement on List of eligible candidates who are called for Interview in SERE Program 2024 #2 round
ปฏิทินกิจกรรม
สรุปผลโครงการนำร่อง “วินมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” ในพื้นที่ “บางกรวย-บางพลัด”
ENTEC สวทช. ร่วมกับ กฟผ. และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน มอบใบคู่มือจดทะเบียนประจำรถ พร้อมสรุปผล "โครงการความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับให้บริการสาธารณะในประเทศไทย" หลังจากนำร่องให้บริการสาธารณะเป็นระยะเวลา 1 ปี ในพื้นที่ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร รวมจำนวน 50 คัน
โดยการนำร่องโครงการตลอด 1 ปีที่ผ่านมา รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในโครงการมีอัตราสิ้นเปลืองพลังงาน 32.41 Wh/km ส่วนระยะทางการขับขี่ในโครงการรวมทั้งสิ้น 759,354 กิโลเมตร คิดเป็นผลการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 38.8 ตัน โดยข้อมูลผลการศึกษาดังกล่าว จะนำไปสู่การวางแผนขยายผลการให้บริการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างทั่วประเทศ
สำหรับโครงการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศรองรับการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า ตอบโจทย์นโยบาย อว. For EV ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มีเป้าหมายส่งเสริมการใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยมลพิษ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอนาคต
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
โครงการ Tech Entrepreneur Boot Camp ตอน Youth Cyber Exploration Program
โครงการ Tech Entrepreneur Boot Camp ตอน Youth Cyber Exploration Program วันที่ 1-2 มิ.ย. 67 (2 วัน)
🎯มีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้ด้าน Cybersecurity หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับเบื้องต้นให้แก่เยาวชน ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ เน้นการสื่อสารที่ตรงประเด็น เข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย มีความสนุกสนานจากการลงมือปฏิบัติ มุ่งเน้นในการสร้างเสริมทักษะต่างๆที่จำเป็นให้กับเยาวชนในเรื่องของ Cybersecurity สร้างเสริมไหวพริบ ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถป้องกันและรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดกิจกรรม
🔺หลักสูตร 2 วัน: 1-2 มิ.ย. 2567
(เสาร์-อาทิตย์)
🔺เวลา: 09.00 น. – 16.00 น.
🔺สถานที่: อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย (อาคาร14)
👤โดยเปิดรับสมัครเยาวชน อายุ 14 ปีขึ้นไป ที่มีความสนใจเรียนรู้ทักษะทางด้าน Cybersecurity หรือต้องการเข้าสู่สายงานทางด้าน Cybersecurity และผู้สนใจงานด้านนี้
🌟ลงทะเบียนสมัครและดูรายละเอียดการอบรมเพิ่มเติม คลิก >>https://shorturl.at/cnzK1
✅ค่าใช้จ่ายในการอบรม 8,000 บาท พร้อมอาหารกลางวัน และอาหารว่าง ตลอดการอบรม
💥💥#พิเศษ! เมื่อสมัครและชำระเงิน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 67 รับส่วนลดตามเงื่อนไข ดังนี้
✔️ส่วน 1 คน ลด 1,000 บาท เหลือชำระ 7,000 บาท
✔️สมัครจับคู่ ลดเพิ่ม 500 บาท เหลือชำระคนละ 6,500 บาท
✔️นักเรียนเก่าทุกโครงการ ลดเพิ่ม 500 บาท
🎉🎊#ส่วนลดพิเศษสำหรับบุตรหลานพนักงานของสมาชิกอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยและเครือข่าย รับส่วนลด 1,500 บาท เมื่อสมัครและชำระเงิน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 67 เท่านั้น
📲📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง
Line@ ID: @brainadventurecamp
คลิก>> http://line.me/ti/p/%40hzv1539q
หรือโทร. 094-567-9199 และ 062-479-8008
https://youtu.be/8rYDKoljxRY?si=4sCyGeXNqq-hVdwt
https://youtu.be/kuPM0yrMlEc?si=2wPAceQAcugGhuP5
ปฏิทินกิจกรรม
ขอเชิญประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 1 โครงการวิจัยและระดมความเห็นสำหรับเทคโนโลยี BECCS สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคเหนือ
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ขอเชิญร่วมการประชุมกลุ่มย่อย (Focus group) ครั้งที่ 1 โครงการการพัฒนารูปแบบการประเมินเทคโนโลยีและการลงทุนที่เหมาะสม เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับภาคอุตสาหกรรมใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนเทคโนโลยีการผลิตพลังงานชีวภาพด้วยการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Bio-energy with Carbon Capture and Storage: BECCS) ในประเทศไทย เพื่อแนะนำโครงการวิจัย และระดมความเห็น สำหรับเทคโนโลยี BECCS สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคเหนือ
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2567 เวลา 08.30-16.30 น. ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม โรงแรมเชียงกรีลา จ.เชียงใหม่
ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุมที่ https://www.nstda.or.th/r/cRHi7
สอบถามคุณอุมาพร โทร. 0-2564-6500 ต่อ 4288, 4258 และ คุณอรอุมา โทร. 0-2564-6500 ต่อ 4377
ปฏิทินกิจกรรม
“ศุภมาส” มอบนโยบาย “บอร์ด อว. For EV” เร่งดำเนินการให้ทุกมหาวิทยาลัยเปลี่ยนมาใช้รถ EV ทดแทนรถ ICE พร้อมดันอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมความหวังของประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพฯ วันที่ 11 เมษายน 2567: นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ อว. For EV โดยมี รศ.ดร.พาสิทธิ์ หล่อธีรพงศ์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ประธานคณะกรรมการฯ พร้อมคณะกรรมการฯ และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
ตามที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดการผลิตการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) กำหนดนโยบาย 30@30 คือการตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ ZEV (Zero emission vehicle) หรือรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 เพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (low carbon society) และเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกหรือศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่ง นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. ในฐานะกรรมการ คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) ซึ่ง สวทช. ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพร่วมในการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) ครั้งที่ 1/2567 ในวันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 เวลา 10.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร สวทช. ถ. พระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายการประชุมในจัดทำแผนงานสนับสนุนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยโดยใช้กลไกของ กระทรวง อว.
นางสาวศุภมาส กล่าวว่า นโยบายด้าน EV เป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ กระทรวง อว. รณรงค์ให้มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเครือข่ายที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายด้าน EV ของประเทศเร่งดำเนินการเปลี่ยนจากการใช้รถยนต์ ICE มาใช้รถยนต์ EV แทน เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของประเทศไทย ผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภายในกระทรวง อว. ที่มีพร้อมทั้งบุคลากร องค์ความรู้ และนวัตกรรมต่าง ๆ ในการสนับสนุนการทำงาน เพื่อนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกระทรวง อว. เพื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อว. For EV) มีหน้าที่ในการจัดทำแผนการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไปสู่หน่วยปฏิบัติและบูรณาการกับทุกภาคส่วน โดยมุ่งหวังการพัฒนาบุคลากรผ่านกลไก One Stop Service :STEMPlus Platform เชื่อมโยงความร่วมมือกับ 3 สภาคณบดี (คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ และคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ) และภาคีเครือข่าย พร้อมประสานงานด้านกำลังคนกับผู้ประกอบการ EV สร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการ EV เช่น มาตรการทางภาษี Thailand Plus Package และ มาตรการที่เกี่ยวข้องของ BOI รวมทั้งโครงการต่าง ๆ ของกระทรวง อว. เช่น โครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ โครงการยกระดับสมรรถนะกำลังคนวัยแรงงานเพื่ออนาคต และการใช้หลักสูตร EV ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา 51 แห่งทั่วประเทศ เป็นต้น เพื่อรองรับสถานการณ์ของตลาด และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
#กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #กระทรวงอว #อว #อุดมศึกษา #อวforev #NSTDA #สวทช.
ข่าวประชาสัมพันธ์
“แคดเมียม-ตะกั่ว-ปรอท-สารหนู” ตรวจได้ใน 1 นาที นาโนเทค สวทช. พัฒนาเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักในน้ำ-สมุนไพร
ปัญหามลพิษในน้ำ ไม่เพียงส่งผลต่อมนุษย์เราที่ต้องใช้น้ำในการดำรงชีวิต ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และสิ่งแวดล้อมอีกด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก ตัวช่วยตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนของ 4 โลหะอันตรายอย่าง แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท และสารหนู ในน้ำและพืชสมุนไพร ตอบโจทย์การใช้งานภาคสนามและห้องปฏิบัติการขนาดเล็ก ชูจุดเด่น ตรวจพร้อมกันได้หลายชนิดโลหะ รู้ผลเชิงปริมาณใน 1 นาที ต้นแบบเซ็นเซอร์พร้อมต่อยอดใช้งาน รับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน Green Economy เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร. วีรกัญญา มณีประกรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยนาโนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มวิจัยวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์ระดับนาโน นาโนเทค สวทช. กล่าวว่า ทีมวิจัยใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านวัสดุตอบสนองและเซ็นเซอร์พัฒนาเป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดสิ่งปนเปื้อนในน้ำและพืชสมุนไพร โดย “เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก” นับเป็นเครื่องมือสำหรับวิเคราะห์การปนเปื้อนโลหะหนัก ได้แก่ แคดเมียม ตะกั่ว ปรอท สารหนู อาศัยเทคนิคเคมีไฟฟ้า เพื่อวัดสัญญาณเคมีไฟฟ้า ใช้ร่วมกับเครื่องวัดแบบพกพา
“ทีมวิจัยพัฒนาโดยการนำขั้วไฟฟ้านำมาปรับปรุงคุณสมบัติด้วยวัสดุนาโน ที่ออกแบบให้จำเพาะกับสารโลหะหนักแต่ละชนิด 4 ชนิดข้างต้น ออกมาในรูปเซ็นเซอร์แผ่นบาง การตรวจวิเคราะห์จะเริ่มจากนำตัวอย่างผสมกับน้ำยาที่พัฒนาขึ้น หยดลงบนขั้วไฟฟ้าในบริเวณที่กำหนด กดปุ่มตรวจวัดผ่านโปรแกรมการตรวจวัด โปรแกรมจะวิเคราะห์ปริมาณความเข้มข้นของโลหะที่อยู่ในตัวอย่างภายใน 1 นาที” ดร. วีรกัญญากล่าว พร้อมชี้ว่า ในกรณีที่เป็นพืชสมุนไพรนั้น จะนำพืชมาผสมกับน้ำยาแล้วคั้นน้ำจากพืช และใช้น้ำคั้นจากพืชหยดลงบนขั้วไฟฟ้าและตรวจวัดด้วยวิธีการเช่นเดียวกัน
เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนัก มีจุดเด่นคือให้ผลการตรวจวัดรวดเร็ว สามารถใช้คัดกรองเบื้องต้นทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณว่ามีการปนเปื้อนสารโลหะหนักหรือไม่ ชนิดใด ในปริมาณเท่าไหร่ โดยการตรวจวัดตัวอย่างน้ำ ได้แก่ น้ำดิบ น้ำดื่ม และน้ำใช้ เซ็นเซอร์ให้ผลการตรวจวัดที่ถูกต้องและแม่นยำ สอดคล้องกับผลการตรวจด้วยเครื่องมือมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ (ICP-MS) ซึ่งมีราคาแพงและใช้เวลารอผลนาน โดยความสามารถในการตรวจวัดของเซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนับว่ามีประสิทธิภาพดีเมื่อเทียบกับชุดตรวจที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันที่มีความถูกต้องแม่นยำต่ำ ราคาแพง ใช้เวลาแสดงผลนานประมาณ 10 – 30 นาที เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นนี้ จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของน้ำของประชาชนผู้ใช้น้ำให้สามารถตรวจติดตามการปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำได้อย่างสม่ำเสมอด้วยตนเอง
ปัจจุบัน ต้นแบบเซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักที่ทีมวิจัยนาโนเทค สวทช. พัฒนาขึ้นนั้น มีการนำไปใช้ตรวจวิเคราะห์น้ำในพื้นที่จริงร่วมกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ และนำไปตรวจวัดน้ำให้กับชุมชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น นอกจากนี้ยังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในการตรวจวิเคราะห์น้ำในโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดลำปาง รวมถึงนำไปตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในพืชสมุนไพร ร่วมกับเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี
“นวัตกรรมดังกล่าว จะเป็นประโยชน์กับชุมชนหรือหน่วยงานที่ดูแลตรวจสอบเรื่องของการปนเปื้อนโลหะหนักในแหล่งน้ำหรือพืชสมุนไพรในพื้นที่นั้น ๆ หรือนำไปใช้ตรวจคัดกรองในกรณีเร่งด่วนเพื่อป้องกันและวางแผนบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ด้าน Green Economy เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งนาโนเทคเอง อยู่ระหว่างเสาะหาผู้สนใจนำต้นแบบเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เพื่อร่วมทดสอบและประเมินประสิทธิภาพร่วมกัน รวมถึงผู้ร่วมวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และภาคเอกชนที่จะร่วมผลักดันไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป โดยทีมวิจัยเอง มีความร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ในการพัฒนาเครื่องอ่าน และโปรแกรมอ่านผล เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์และแปลผลที่แม่นยำมากขึ้นในอนาคต” ดร. วีรกัญญากล่าว
ปัจจุบัน เซ็นเซอร์เคมีไฟฟ้าตรวจวัดโลหะหนักเป็นต้นแบบงานวิจัยที่อยู่ระหว่างเสาะหาผู้สนใจนำต้นแบบเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ เพื่อร่วมทดสอบและประเมินประสิทธิภาพร่วมกัน รวมถึงผู้ร่วมวิจัยเพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และภาคเอกชนที่จะร่วมผลักดันไปสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
ชวนเยาวชนร่วมแข่งขัน ‘เขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศ NASA’ ชิงแชมป์ระดับประเทศ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA) ประเทศญี่ปุ่น จัดโครงการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge โดยมี บริษัท เดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด ให้การสนับสนุน เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนไทยในระดับชั้นมัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เข้าร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมหุ่นยนต์แอสโทรบี (Astrobee) ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ผู้ช่วยนักบินอวกาศของ NASA ทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติ ร่วมกับตัวแทนเยาวชนจากทั่วโลกในเดือนตุลาคม 2567
ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ร่วมจัดโครงการแข่งขัน The 5th Kibo Robot Programming Challenge ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 แล้ว สำหรับกติกาในปีนี้ ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันต้องมีสมาชิกจำนวน 3-4 คน และกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า โดยสมาชิกในทีมอยู่ต่างสถาบันการศึกษาและระดับชั้นเรียนได้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครผ่านเว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc-2024/ ภายในวันที่ 13 พฤษภาคม 2567 ก่อนเวลา 22:00 น.
“สำหรับรูปแบบการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมต้องพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากเทมเพลตของแจ็กซา เพื่อควบคุมหุ่นยนต์แอสโทรบีในระบบจำลอง (Simulation) ซึ่งสร้างสถานการณ์จำลองเกิดเหตุอุปกรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ของนักบินอวกาศหายไป และต้องรีบค้นหาให้พบเพื่อทำการทดลองให้ทันเวลา ผู้เข้าแข่งขันต้องเขียนโปรแกรมด้วยภาษา JAVA สั่งการให้หุ่นยนต์แอสโทรบีเคลื่อนที่ไปค้นหาอุปกรณ์ เมื่อพบแล้วจะเคลื่อนตัวเข้าไปถ่ายภาพและกลับมารายงานผลให้นักบินอวกาศทราบ โดยคะแนนการแข่งขันจะคำนวณจากความสมบูรณ์ของภารกิจและเวลาที่ใช้ปฏิบัติภารกิจจนเสร็จสิ้น
ทั้งนี้การแข่งขันรอบชิงแชมป์ประเทศไทยจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 ทีมชนะเลิศจะได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงแชมป์นานาชาติในเดือนตุลาคม 2567 ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทเดลว์ แอโรสเปซ จำกัด และบริษัท 168 ลักกี้ เทรด จำกัด ซึ่งในการแข่งขันจะมีตัวแทนเยาวชนเข้าร่วมทั้งหมด 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บังคลาเทศ ญี่ปุ่น มาเลเซีย เนปาล ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และไทย โดยมีนักบินอวกาศของนาซา เป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอยู่บนสถานีอวกาศนานาชาติ ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีของเยาวชนไทยที่จะได้ฝึกฝนทักษะทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ หนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตาและมีมูลค่ามหาศาลในอนาคต”
ผู้ที่สนใจติดตามรายละเอียดข้อมูลและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการ The 5th Kibo Robot Programming Challenge ได้ที่เว็บไซต์ https://www.nstda.or.th/spaceeducation/kibo-rpc-2024/, เฟซบุ๊ก NSTDA SPACE Education ทีมที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันและได้รับบัญชีเข้าสู่ระบบแล้ว เข้าไปทดลองประมวลผลโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาในเครื่องแม่ข่าย (Server) ของการแข่งขันได้ที่เว็บไซต์ https://jaxa.krpc.jp
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เชื่อมโยงการตลาด – การวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่ความยั่งยืน
(วันที่ 9 เมษายน 2567) ณ ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ 9 หน่วยงานนวัตกรรมและมหาวิทยาลัยลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเชื่อมโยงระหว่างการค้า การตลาด การวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และ นางสาวสุณีย์ เลิศเพียรธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นสักขีพยาน พร้อมด้วยผู้บริหารจาก 9 หน่วยงาน โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้แทนร่วมลงนาม
ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระดับสากลด้วยการเพิ่มมูลค่าสินค้าส่งออกด้วยงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมสร้างช่องทางการตลาดให้ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรมของไทยสามารถขยายตลาดสู่ต่างประเทศและก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้งานวิจัยและนวัตกรรมของไทยให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกและตอบสนองต่อความต้องการ Megatrends และ Next Normal และช่วยยกระดับภาคการส่งออกของไทยด้วยงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม และเสริมสร้างภาพลักษณ์สินค้าของประเทศไทยในตลาดโลก เพื่อเชื่อมโยงระหว่างการค้า การตลาด การวิจัย และนวัตกรรมสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีรชัย อาจหาญ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศ ในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อพัฒนานวัตกรรมให้ตอบโจทย์ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดด มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลาย เพื่อให้ภาคเอกชนได้เข้าถึงบริการโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ของภาครัฐได้อย่างครบวงจร อีกทั้ง สวทช. ได้ร่วมดำเนินการตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด ซึ่งต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนไปพร้อมกัน เนื่องจากปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมีความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น
“ในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้มุ่งไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว และการทำโครงการนวัตกรรมร่วมกับภาคเอกชนในการนำของเสียหรือวัสดุเหลือทิ้ง (by product) ของอุตสาหกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การผลิตเม็ดมวลเบาสังเคราะห์จากเถ้าลอย การนำเถ้าขยะอุตสาหกรรมมาผลิตกระเบื้องการนำเศษแก้วมาผลิตกระเบื้องและ สารเคลือบการผลิตวัสดุจีโอโพลิเมอร์จากเศษกระเบื้องและเศษแก้ว การผลิตผงสีจากกากของเสียอุตสาหกรรมเหล็ก การนำ by product ในอุตสาหกรรมอาหารมาเป็นวัสดุ biomaterial สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ สวทช. โดยศูนย์ข้อมูลวัฏจักรชีวิตแห่งชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร สนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ให้มีข้อมูลเพื่อรองรับมาตรการ CBAM ซึ่งเป็นข้อกำหนดในการส่งออกสินค้าไปยุโรป โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลของอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมและ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ที่สามารถสะท้อนและเป็นตัวแทนของข้อมูลภาคการผลิตของกลุ่มอะลูมิเนียมและเหล็กของไทยได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับการพัฒนา ขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยด้านคาร์บอนได้เป็นอย่างดี
ความร่วมมือครั้งนี้ สวทช. มีความพร้อมในการบูรณาการความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อตอบเป้าหมาย BCG ของประเทศ ทำให้เกิดการพัฒนาอย่างมั่นคง อีกทั้งยังพึ่งพาตัวเองได้ และนำนวัตกรรมไทยแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน
ข่าวประชาสัมพันธ์
CAS และ NSTDA สัมมนาความสำเร็จของความร่วมมือด้านการวิจัยในงาน NAC2024
เมื่อเร็วๆ นี้ (วันที่ 28 มีนาคม 2567) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยงานบริหารความร่วมมือวิจัยต่างประเทศ (IRNM) ฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM) จัดงานสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ The success of research collaborations between the Chinese Academy of Sciences (CAS) and the National Science and Technology Development Agency (NSTDA) ในงานประชุมวิชาการประจำปี สวทช. ครั้งที่ 19 (NSTDA Annual Conference 2024: NAC2024) โดยมี ดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย รองผู้อำนวยการสายงานบริหารของ สวทช. เป็นประธานกล่าวเปิดงานและกล่าวแนะนำภาพรวม สวทช. ทั้งนี้ Mr. Zhenyu Wang รองผู้อำนวยการสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศของ CAS เป็นตัวแทนกล่าวเปิดงานการสัมมนาแลกเปลี่ยนความสำเร็จด้านการวิจัยระหว่างกัน เพื่อนำเสนอผลงานวิจัยภายใต้ความร่วมมือ CAS-NSTDA จำนวน 4 โครงการ โดยคณะผู้วิจัยทั้ง 2 ฝั่ง มีการแบ่งปันผลลัพธ์ของความร่วมมือ การให้ข้อมูลเชิงเทคนิคของโครงการ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการร่วมการวิจัย การให้ข้อมูลแผนการดำเนินงานวิจัยร่วมกันในอนาคต ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของแหล่งทุนหรือโครงการต่าง ๆ ของ CAS ที่นักวิจัยไทยมีสิทธิ์เข้าร่วมหรือขอรับการสนับสนุนอีกด้วย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“เล่น” เป็นการเรียนรู้ที่ทรงพลังและเข้ากับธรรมชาติของเด็กมากที่สุด
การอบรมเชิงปฏิบัติการเฉพาะทาง สำหรับผู้นำเครือข่ายท้องถิ่น (Local Network; LN) และวิทยากรเครือข่ายท้องถิ่น (Local Trainer; LT) โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับปฐมวัยและระดับประถมศึกษา ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 -20 มีนาคม 2567 นางฤทัย จงสฤษดิ์ วิทยากรหลักอาวุโสประจำโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย และผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้จัดระดมสมองและให้ผู้เข้าอบรมจำนวน 283 คน ร่วมกันแสดงความเห็นว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดว่าเด็กในระดับปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น ชอบอะไรมากที่สุด เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของเด็กมากขึ้น
ผลการสรุปความเห็นจากผู้เข้าร่วมอบรมได้เห็นว่า 7 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1 เล่นของเล่น (37 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) โดยของเล่นที่เด็กชอบมีความหลากหลาย เช่น หุ่นยนต์เด็กเล่น รถเด็กเล่น เครื่องบิน ตุ๊กตา ลูกโป่ง สไลม์ ตัวต่อ เพราะของเล่นทำให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุกสนาน มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ของเล่นบางอย่าง เช่น ตุ๊กตาทำให้เด็กได้เล่นบทบาทสมมุติและเล่าเรื่อง และเป็นนักประดิษฐ์ เช่น ตัวต่อ
อันดับ 2 ขนมอร่อยถูกใจเด็ก (11 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) เด็ก ๆ ชอบทานไอศกรีม ลูกอม เค้ก ช็อกโกแลต และขนมนานาชนิด ๆ เป็นที่สังเกตว่า เด็กหลายคนชื่นชอบขนมที่มีรสชาติหวาน เด็ก ๆ รู้สึกทานแล้วมีความสุขและชื่นใจ บางครั้งการได้รับขนมจากผู้ใหญ่เหมือนการได้รับรางวัล และการที่เห็นเพื่อนรับประทานดูน่ารับประทานทาน ก็ดึงดูดให้เด็ก ๆ สนใจรับประทานเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดี การให้ความรู้และสอนเด็ก ๆ ให้ทานขนมหวานในปริมาณพอเพียงและทานอาหารที่มีประโยชน์ยังเป็นเรื่องสำคัญ
อันดับ 3 เล่นน้ำ ดิน และทราย (9 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) เด็กชอบเล่นอิสระในธรรมชาติโดยเล่นน้ำ ดิน และทราย เช่น ก่อกองทราย ตักทราย สร้างแหล่งน้ำเล็ก และปั้นก้อนดิน นอกจากเล่นสนุกแล้ว การลงมือสร้างและทำด้วยตนเอง ทำให้เด็กได้ฝึกความมั่นใจว่าทำอะไรด้วยตนเองได้ เด็กยังได้มีโอกาสใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้สังเกตและใช้ประสาทสัมผัสในการสำรวจธรรมชาติและเกิดคำถามใหม่ให้ค้นหาเพิ่มเติม
อันดับ 4 เป็นกลุ่มการเล่นที่มีจำนวนโหวตเท่ากันคือ 8 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น คือ เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นและการเล่นเกมและการละเล่นต่าง ๆ สำหรับการเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นนั้น สนามเด็กเล่นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สาธารณะ ทำให้เด็กได้พัฒนาการทางสังคม ให้ได้เจอกับเพื่อนเด็กหลากหลาย และเรียนรู้ที่จะเล่นร่วมกันอย่างไรให้สนุก และแบ่งปันกัน ครื่องเล่นหลายชนิดทำให้เด็กได้เคลื่อนไหวและออกกำลังกาย
และเด็ก ๆ ชอบเล่นเกมและการละเล่นต่าง ๆ เพราะเกมได้ถูกออกแบบให้มีสนุก ความท้าทายและได้รับรางวัลในแต่ละฐานให้รู้สึกว่าทำภารกิจสำเร็จ เกมมีความหลากหลายตั้งแต่บอร์ดเกม เกมออนไลน์ และการละเล่นต่าง ๆ หลายเกมช่วยฝึกเรื่องการแก้ไขปัญหาและทักษะสำคัญต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ต้องระวังไม่ให้เด็กติดเกมออนไลน์หรือใช้เวลากับเกมมากจนเกินไป
อันดับ 5 วาดรูประบายสี (5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) ในช่วงที่เด็กได้ใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ วาดภาพ ทำให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ฝึกเรื่องมิติสัมพันธ์ และพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์และศิลปะ
อันดับ 6 ฟังนิทาน อ่านหนังสือ และดูการ์ตูน (4 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น) ช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาความสามารถด้านภาษา และฝึกให้เด็กเล็กเป็นคนช่างคิด ช่างถามและช่างสังเกต มีความมั่นใจ ฉลาด กล้าแสดงความคิดเห็นในระหว่างการฟังนิทาน และส่งเสริมเด็ก ๆ มีจินตนาการและได้รับความสนุก ความอบอุ่น และสัมพันธภาพที่ดีระหว่างการฟังนิทาน
อันดับ 7 เด็กชอบสองกิจกรรมนี้เท่ากันคือ 3 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้ความเห็น ได้แก่ ร้องเพลงและเต้น เด็ก ๆ ได้พัฒนาความสามารถการเข้าสังคม สร้างเสริมความแข็งแรงรวมทั้งความคล่องแคล่วในการบริหารร่างกายและการเคลื่อนไหว และได้ความรู้และทักษะพื้นฐานเรื่องดนตรี และเลี้ยงสัตว์และเล่นกับสัตว์ ส่งเสริมให้เด็กได้มีจิตใจอ่อนโยน มีความรัก เมตตา เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ตลอดจนการปลูกฝังความรับผิดชอบในการดูแลผู้อื่น
ส่วนที่เหลืออีก 12 เปอร์เซ็นต์ เป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย เช่น ทำอาหาร สร้างบ้าน แต่งตัว เป็นต้น
นางฤทัย จงสฤษดิ์ กล่าวว่า ข้อมูลจากผู้เข้าอบรมในครั้งนี้เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาเด็ก ผู้ปกครอง ครูผู้สอน และนักการศึกษาเข้าใจธรรมชาติและความสนใจของเด็ก ๆ มากขึ้น และเห็นได้ว่าสิ่งที่เด็กสนใจและชอบเป็นพิเศษส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการเล่นในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเล่นของเล่น เล่นในธรรมชาติ เล่นในสนามเด็กเล่น เล่นเกม การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาจากประสบการณ์ที่มีความหมาย เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความสนใจมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์


