ผลการค้นหา :
สวทช. มอบเกียรติบัตร นักเรียน ม.ปลาย – ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2567
(8 พฤษภาคม 2567) ณ ห้องออดิทอเรียม บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดพิธีรับเกียรติบัตรและปัจฉิมนิเทศโครงการรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยทุกท่านได้รับประสบการณ์จริงในการทำงานวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ของ สวทช. ที่ได้เข้าฝึกปฏิบัติและสามารถนำไปใช้ในชีวิตการเรียน การสอน หรือการศึกษาเพิ่มเติมตามความชอบและความถนัดของตนเองเพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักวิจัยอาชีพต่อไป โดยได้รับเกียรติจาก ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. มอบเกียรติบัตรในครั้งนี้
[caption id="attachment_56305" align="aligncenter" width="1322"] ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์[/caption]
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. ได้ร่วมมือกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมเป็นพันธมิตร และให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมโครงการมาอย่างต่อเนื่อง และปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ทางโครงการได้เปิดโอกาสให้กลุ่มนักเรียนทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) มีสิทธิ์สมัครเข้าร่วมโครงการในปี 2567 นี้
โดยนักเรียนผ่านการคัดเลือกและเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัย รวมจำนวน 89 คน และมีครูวิทยาศาสตร์อีก จำนวน 9 คน รวมทั้งหมดมีผู้เข้าร่วมโครงการ 98 คนจาก 58 โรงเรียนทั่วประเทศ กลุ่มนักเรียนมาจาก 7 กลุ่ม ได้แก่ (1) นักเรียนทุนโครงการ JSTP สวทช. (2) โครงการ JSTP-SCB (3) กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย (4) โครงการ วมว. (5) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ (6) โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม สพฐ.และ (7) นักเรียนทุน พสวท. ภายใต้การดูแลของนักวิจัยและบุคลากรวิจัยของ สวทช. กว่า 50 คน รวมถึงมีผู้ช่วยวิจัยในทีมอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลให้คำปรึกษาให้แก่นักเรียนและครู
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวต่อว่า ช่วงเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา (ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม ถึง 8 พฤษภาคม 2567 รวมเป็นเวลา 8 สัปดาห์) นอกจากการฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฎิบัติการวิจัย นักเรียนและครูที่เข้าร่วมโครงการยังได้ร่วมกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์อื่น ๆ ที่ทางโครงการฯ จัดให้ ในรูปแบบการบรรยาย กิจกรรมเชิงปฏิบัติการ รวมทั้งการทัศนศึกษานอกสถานที่ อาทิ การอบรมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “Effective English Academic Communication ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเชิงวิชาการ” กิจกรรมเรียนรู้ “รักษ์ระบบนิเวศ คุ้งบางกะเจ้า” ซึ่งกิจกรรมนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับกิจกรรมฝึกทักษะวิจัยสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ครูวิทยาศาสตร์ฝึกทักษะวิจัย ณ ห้องปฏิบัติการวิจัยของศูนย์วิจัยแห่งชาติ สวทช. ภาคฤดูร้อน ปี 2567 จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 เป็นปีแรก จนถึงปัจจุบันนับเป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งมีนักเรียนเข้าร่วมฝึกทักษะวิจัยรวมแล้วมากกว่า 350 คน และนับเป็นปีที่ 3 ที่มีครูวิทยาศาสตร์ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ทักษะวิจัย จากนักวิจัย สวทช. ซึ่งการได้มาเห็นบรรยากาศของการทำงานในห้องปฏิบัติการวิจัยของนักวิจัยแบบมืออาชีพ ได้ร่วมลงมือปฏิบัติงานจริง ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการวิจัย เป็นการช่วยทำให้เกิดความเข้าใจและเห็นความสำคัญของการทำวิจัย อีกทั้งจุดประกายให้เห็นเส้นทางอาชีพนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ในอนาคตด้วย
ด้าน น.ส.เอมิกา ประสานสงฆ์ หรือน้องบีม โรงเรียนหาดใหญ่วิทยา หนึ่งในนักเรียนที่ร่วมโครงการเล่าถึงความประทับใจในครั้งนี้ว่า การได้รู้จักเพื่อน ๆ ในโรงเรียนอื่น และการช่วยเหลือกันจากเพื่อนต่างโรงเรียน สำหรับหนูที่เพิ่งเคยได้เข้าห้องแล็บครั้งแรกก็จะกล้า ๆ กลัว ๆ แต่โชคดีที่ได้เพื่อนรุ่นพี่ที่มาแนะนำและช่วยเหลือ รวมถึงทีมนักวิจัยพี่เลี้ยงที่น่ารักจากห้องแล็ปคอยดูแลและมอบความรู้ให้อย่างเต็มที่ และยังมีพี่ ๆ จากบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธรและทุกคนที่มีส่วนรวมในการจัดโครงการดี ๆ แบบนี้ นอกจากเรื่องความรู้สึกดี ๆ ยังมีกิจกรรมมากมายให้พวกเราได้ทำพร้อมได้ความรู้ เช่น กิจกรรมเสริมภาษาอังกฤษ กิจกรรมบางกะเจ้าปลูกป่า เป็นต้น
นายธิปา แซมรัมย์ หรือน้องท็อป โรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ จ.สุราษฎร์ธานี เล่าถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมว่า ตัวเองได้ร่วมกิจกรรม Farewell party ในฐานะพิธีกร ทำให้ผมมีความสุขมากที่ได้เห็นเพื่อน ๆ ทุกคนมีรอยยิ้มและสนุกกับสิ่งที่ทุกคนได้ทำร่วมกันทุก ๆ กิจกรรม และต้องขอขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีให้คำแนะนำได้ดีมาก ทำให้เราไม่รู้สึกตึงเครียดและสนุกกับการเรียนสิ่งใหม่ ๆ และอยากให้มีโครงการดี ๆ แบบนี้ให้เพื่อน ๆ หรือรุ่นน้องได้มีส่วนร่วมแบบนี้อีกตลอดไป
และน้องปอย น.ส.กมลชนก เหมือนทอง โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม เล่าให้ฟังว่าตัวเองรู้จักโครงการนี้จากเพื่อนที่เคยมาร่วมกิจกรรมแล้ว จากนั้นก็ทราบข่าวเปิดรับสมัครจากอาจารย์ พอได้อ่านรายละเอียดก็ส่งใบสมัครทันที และคิดว่าต้องเป็นโครงการที่เป็นวิชาการมาก ๆ เพราะคิดว่าต้องมาทำงานกับนักวิจัย และคาดหวังว่าจะได้รับความรู้และประสบการณ์ในการทำงานวิจัยกลับไป ซึ่งพอถึงเวลาจริง ๆ ก็เกินที่คาดไว้มาก ทางโครงการมีกิจกรรมมากมายที่สนุกมาก แถมยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันสนุกสุด ๆ และกิจกรรมที่ประทับใจที่สุด Farewell party เพราะเป็นกิจกรรมที่ได้พูดความรู้สึก ได้เล่น ได้ร้องเพลง และได้ทดลองทำงานกับเพื่อนศูนย์อื่น และขอบคุณพี่ ๆ ทีมงานทุกคนที่คอยดูแลช่วยเหลือ คอยให้คำปรึกษา ถ้ามีโอกาสตัวเองก็อยากกลับมาอีกครั้ง และอยากฝากบอกรุ่นน้องหรือเพื่อน ๆ ที่สนใจโครงการดี ๆ มีโอกาสให้รีบสมัครมาร่วมโครงการเพราะจะได้ทั้งความรู้ ความสนุก และมิตรภาพที่ดีกลับไปอย่างแน่นอน
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สวทช. ร่วมมือกับโรงเรียนและสถานเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาเยาวชนสู่พลเมืองโลก (Global Citizen)
ดร.พัชร์ลิตา ฉัตรวริศพงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ด้านพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สวทช. ได้นำคณะนักเรียนไทย จำนวน 20 คน ร่วมกิจกรรม The 5th International STEAM Camp ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 ถึง 25 เมษายน 2567 ณ Kyushu International University Junior High School พิพิธภัณฑ์ และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในจังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการสนับสนุนจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ เพื่อได้รับประสบการณ์และเรียนรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ศิลปะ และคณิตศาสตร์ (STEAM) ผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสร้างสรรค์ ทั้งนี้ กิจกรรมมีเป้าหมายเพื่อให้เยาวชนได้พัฒนาสู่การเป็นพลเมืองโลก หรือ Global citizen ที่มีความตระหนักต่อปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ขยะ ความขาดแคลนอาหาร และการพัฒนาที่ยั่งยืน เข้าใจและเปิดกว้างในแบ่งปันประสบการณ์กับผู้คนในวัฒนธรรมอื่น ๆ
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวว่า วันแรกของการเดินทางมาถึงเมืองฟูกูโอกะ เข้าฟังบรรยายพิเศษ จากนายโกศล สถิตธรรมจิตร กงสุลใหญ่ ณ เมืองฟูกูโอกะ เกี่ยวกับ วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และอุตสาหกรรมสำคัญในญี่ปุ่น ตลอดจนความร่วมมือระหว่างฟูกูโอกะและประเทศไทย และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนรู้ค่านิยมในการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่น อาทิ ความตรงต่อเวลา การให้ความสำคัญกับธรรมชาติ การถูกฝึกให้ต้องช่วยเหลือตัวเองและเอาตัวรอดจากภัยธรรมชาติเป็นตั้งแต่เล็ก ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันในประเทศไทยได้ต่อไป จากนั้นนักเรียนยังได้สนุกกับการลงมือผลิตเมนไทโกะที่ Hakata Food and Culture Museum และการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาช่วยในการอุตสาหกรรมอาหาร
นอกจากนี้ในวันที่สองเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างสนุกสนานที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ โดยนักเรียนไทยได้ร่วมกิจกรรมเรียนร่วมกันกับนักเรียนญี่ปุ่นที่ Kyushu International University Junior High School ที่เมืองคิตะคิวชู ซึ่งน้องๆ นักเรียนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักเรียนญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่วิทยาศาสตร์ไปจนถึงดนตรีและศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมสำคัญอีกหนึ่งกิจกรรมคือการเยี่ยมชมศูนย์ ECO-Town Center ที่ซึ่งนักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืนและแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางมลพิษสิ่งแวดล้อม และการเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการหมุนเวียนในระบบอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของเมือง ส่วนวันที่สาม ได้เข้าทำกิจกรรมการจำลองวิธีเอาตัวรอดจากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ Fukuoka Civic Disaster Emergency Center ซึ่งให้ความรู้และทักษะในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ Kyushu National Museum ซึ่งเป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง และจบท้ายด้วยการแวะขอพรด้านการศึกษาและเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมอันสวยงามที่ Dazaifu Tenmangu
ด.ช.ภาวัชร วงษ์วานิช (น้องเปรม) นักเรียนระดับชั้นมัธมยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนจิตรลดา จังหวัดกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เป็นประสบการณ์และความรู้น่าสนใจที่ไม่สามารถได้เรียนในห้องเรียน รู้สึกดีใจที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม เพราะได้ความรู้จากการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคโบราณของญี่ปุ่น หรือสถานที่ให้ความรู้ต่าง ๆ เช่น ศูนย์ภัยพิบัติ นอกจากนี้ยังได้รับความรู้จากการบรรยายของไกด์เกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นด้วย ในส่วนของกิจกรรมที่โรงเรียน เป็นกิจกรรมที่ผมชอบมากที่สุด เพราะได้มีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนญี่ปุ่น ทั้งได้พูดคุยแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และทำกิจกรรมร่วมกัน สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการทำกิจกรรมนี้นอกจากจะเป็นความรู้จากการที่ได้ทำกิจกรรมในห้องเรียนกับนักเรียนญี่ปุ่น ยังมีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่ได้คุยแลกเปลี่ยนกันด้วย ความรู้ที่ได้รับจากค่ายนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น กิจกรรมที่ศูนย์ภัยพิบัติ ทำให้เรียนรู้เกี่ยวกับอัคคีภัยและแผ่นดินไหว การปฏิบัติตนเมื่อเกิดไฟไหม้ และการใช้ถังดับเพลิง หลังจากการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ผมก็จะสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องมากขึ้นหากเกิดไฟไหม้
นายณัฐนัย โกไศยกานนท์ (น้องแอนฟิลด์) นักเรียนระดับชั้นมัธมยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า มีความประทับใจที่ได้เจอเพื่อนร่วมเดินทางที่ดี ชอบสถานที่ ที่ สวทช. พาไป ค่ายนี้ทำให้ได้เรียนรู้การใช้คำศัพท์ภาษาญี่ปุ่น มากขึ้น ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในญี่ปุ่น ความเป็นระเบียบและการตรงต่อเวลาของคนญี่ปุ่น ซึ่งส่วนตัวทำให้อยากปรับตัวเองให้มีระเบียบและตรงต่อเวลาด้วยเช่นกัน ส่วนกิจกรรมที่ชอบมากที่สุด คือ กิจกรรมที่ ECO-Town ได้เรียนรู้ขั้นตอนการรีไซเคิลของรถยนต์ หรือการนำชิ้นส่วนรถที่ใช้ได้มาขายต่อ และได้ดูงานเกี่ยวกับกังหันลมผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งเป็นการนำพลังงานลมมาใช้ประโยชน์
ด.ญ.อธิรดา กลางสุพรรณ์ (น้องไทม์) นักเรียนระดับชั้นมัธมยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน สามเสนวิทยาลัย จังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้กล่าวถึงการเยี่ยมชมและทัศนศึกษา Fukuoka City Science Museum ว่า ชอบส่วนการจัดแสดง Environment มากที่สุดเพราะเนื้อหาอธิบายได้เข้าใจง่าย รูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ เช่น สามารถมีส่วนร่วมกับสิ่งที่จัดแสดงไว้ได้อย่างอิสระ สามารถทดลองสิ่งที่อยากรู้ได้ด้วยตนเองได้เลย และทำให้รู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เข้าใจง่ายขึ้น นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับเนื้อหาที่เรียนได้ รวมถึงสามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ เช่น เรื่องเกี่ยวกับระบบสุริยะ ทำให้เข้าใจดาราศาสตร์ได้มากขึ้น นำไปเรียนต่อในวิชาวิทยาศาสตร์ได้ หรือเรื่องที่นำพลังงานใส่ในตัวกลางแต่ละชนิดแล้วได้ผลลัพธ์แตกต่างกัน สามารถนำมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งความรู้ที่ได้สามารถนำมาประยุกต์หรือปรับใช้หรือสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม
ด.ญ.ภรภัทร เลขะวัฒนะ (น้องจาจา) นักเรียนระดับชั้นมัธมยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเซนต์โยเซฟบางนา จังหวัดสมุทรปราการ ได้กล่าวถึงการเยี่ยมชมและทัศนศึกษา ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ Fukuoka Civic Disaster Emergency Center ว่าชอบกิจกรรมต่าง ๆ เพราะได้ลองลงมือใช้อุปกรณ์จริง เช่น การสอนใช้ถังดับเพลิง, การจำลองสถานการณ์ไฟไหม้ด้วยอุปกรณ์ VR รวมถึงชอบเจ้าหน้าที่ของทางศูนย์ภัยพิบัติที่สอนและยกตัวอย่างได้อย่างเข้าใจ และยังได้กล่าวถึงความรู้ที่ได้รับสามารถนำมาประยุกต์หรือปรับใช้หรือสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ว่านำความรู้ที่ได้มาใช้เป็นทักษะในการรับมือต่อภัยพิบัติต่าง ๆ และสร้างแรงบันดาลใจทางด้านเทคโนโลยี ในเรื่องของการจำลองภัยพิบัติ เช่น การใช้ VR ในการจำลองสถานการณ์
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
“ต่อกล้าอาชีวะ 2567” ปั้นนวัตกรสายอาชีวะ สู่ Young Smart IoT Technician
เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพการพัฒนาผลงานนวัตกรรมให้กับทีมอาจารย์และนักศึกษาอาชีวะที่เข้าร่วมโครงการ "ต่อกล้าอาชีวะ" ปี 2567 ภายใต้หัวข้อ พัฒนา Young Smart IoT Technician มุ่งเน้นพัฒนาทักษะในด้านเทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IIoT) ผ่านการทำโครงงานที่สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่ใช้ได้จริง เพื่อนำไปตอบโจทย์ปัญหาของสถานประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
สำหรับโครงการต่อกล้าอาชีวะ ปี 2567 มีอาจารย์และนักศึกษาสมัครเข้าร่วมโครงการ 36 ทีม จาก 25 สถาบันอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ โดยมี 19 ทีม จาก 12 สถาบัน ที่ผ่านการคัดเลือก ได้รับทุนสนับสนุนจำนวน 30,000 บาท สำหรับการพัฒนาโครงงาน และได้รับมอบชุดอุปกรณ์สื่อการสอน Raspberry Pi จำนวน 2 ชุด สำหรับนำไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนในวิทยาลัยต่อไป
คลิปสั้นทันเหตุการณ์
ค่ายพัฒนาทักษะสื่อสารสำหรับน้องที่มีปัญหาในการสื่อสาร ผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์แสนสนุก
ค่ายที่จะช่วยส่งเสริมทักษะสังคมด้านการสื่อสาร ให้เกิดความเข้าใจด้วยเครื่องมือและเทคนิคพิเศษ สำหรับน้องที่มีปัญหาในการสื่อสาร ผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์แสนสนุก
แนวทางการดำเนินกิจกรรม
สวทช. โดยด้านพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์แลเทคโนโลยี ได้ตระหนักและให้ความสำคัญถึงการพัฒนาศักยภาพและทักษะน้องที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวและใช้ในชีวิตประจำวัน จึงได้จัดให้มีค่ายพัฒนาทักษะการสื่อสารสำหรับน้องที่มีปัญหาการสื่อสาร ผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์แสนสนุก
กลุ่มเป้าหมาย
เปิดรับสมัคร 15 ครอบครัว (ประกอบไปด้วย ผู้ปกครอง 2 คน และน้องคนพิเศษที่มีปัญหาในการสื่อสาร อายุระหว่าง 7-14 ปี 1 คน*)
*น้องที่มีปัญหาทักษะการสื่อสาร (ทั้งพูดได้และไม่ได้) ควรมีสมาธิในระดับที่พอสามารถเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มได้ และไม่มีปัญหาด้านพฤติกรรมระดับรุนแรง
ระยะเวลา : วันที่จัดกิจกรรม 1 มิถุนายน และ 7 กันยายน 2567 (โดยให้คำปรึกษาฟรีตลอดโครงการ ตั้งแต่ 1 มิ.ย. – 7 ก.ย. 67)
ช่องทางการรับสมัคร : https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfT0osTUBkLCcdtpB-iMbwt_fQHCmyfKHK-arcx1svjN3RiiQ/viewform
VDO แนะนำกิจกรรม : https://drive.google.com/file/d/1dzqGnulcRSyxLP-B_O7ePUbh9OssIzyr/view
รายละเอียดเพิ่มเติม
ปฏิทินกิจกรรม
ผู้อำนวยการ สวทช. นำทัพผู้บริหารเข้าร่วมงานและเยี่ยมชมงาน “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth”
(วันที่ 7 พฤษภาคม 2567) ณ เอสซีจี อาคารสำนักงานใหญ่ 1-2 บางซื่อ กรุงเทพฯ: ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร สวทช. เข้าร่วมงานและเยี่ยมชมงาน “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth” โดยมีนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ให้การต้อนรับ โดยที่ผ่านมา เอสซีจี มีการพัฒนานวัตกรรมกรีน ภายใต้แนวคิด “Inclusive Green Growth” เพื่อให้สอดรับกับวิกฤตการณ์โลกเดือดที่ส่งผลกระทบรุนแรง อีกทั้งยังตอบโจทย์ในการช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
สำหรับเยี่ยมชมครั้งนี้ คณะผู้บริหาร สวทช. ได้เยี่ยมชมผลงานเกี่ยวกับ “นวัตกรรมกรีน” เพื่อจำลองสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ การก่อสร้างสีเขียว การอยู่อาศัยอัจฉริยะ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืน วัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์คาร์บอนต่ำ พลังงานสะอาดครบวงจร กรีนโลจิสติกส์ พร้อมด้วยนวัตกรรมจากความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำรวมกว่า 100 นวัตกรรม
อย่างไรก็ตาม การเข้าเยี่ยมชม “SCG The Possibilities for Inclusive Green Growth” ของคณะผู้บริหาร สวทช. ครั้งนี้ เพื่อเป็นการศึกษาและต่อยอดการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยี เกี่ยวกับนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อให้เกิด Net Zero ร่วมกัน ตามแนวทางนโยบาย “เอกชนนำรัฐหนุน” ของ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ทำความรู้จัก สวทช. เพิ่มเติมได้ที่
Website: https://www.nstda.or.th
YouTube: https://www.youtube.com/@nstda
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/nstda/
Instagram: https://www.instagram.com/nstdathailand/
Twitter: https://twitter.com/nstdathailand
LINE OA: https://lin.ee/5LjT9Ny
Tik Tok: https://www.tiktok.com/@nstdathailand
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
กรมการแพทย์ ผนึก สวทช. พัฒนานวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์ ดันงานวิจัยสู่การใช้จริง พึ่งพาตนเอง-ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข
( 7 พฤษภาคม 2567) ที่ห้องประชุม SD202 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วย ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม สวทช. ให้การต้อนรับ นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ นำคณะผู้บริหารและนวัตกรของหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมการแพทย์ ประกอบด้วย สถาบันโรคผิวหนัง รพ.เลิดสิน รพ.ราชวิถี รพ.นพรัตนราชธานี รพ.เมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่พัฒนาโดยนักวิจัย สวทช. พร้อมทั้งหารือความร่วมมือการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ และ สวทช.
[caption id="attachment_56340" align="aligncenter" width="2560"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สืบเนื่องจากบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกรมการแพทย์ และ สวทช. ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการวิจัย พัฒนา และขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ ให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำในระบบสาธารณสุข และสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม นั้น กรมการแพทย์ และ สวทช. จึงได้จัดกิจกรรมเยี่ยมชมและศึกษาดูงานนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ของแต่ละศูนย์วิจัยแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นวัตกรของหน่วยงานภายใต้กรมการแพทย์ได้เพิ่มโอกาสการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ ร่วมกับนักวิจัย สวทช. ตั้งแต่ระดับความพร้อมของเทคโนโลยีในระยะเริ่มต้นจนถึงการนำไปใช้งาน เพื่อเสริมสร้างแนวคิดนำไปสู่การต่อยอดการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม
“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจากกิจกรรมครั้งนี้จะสามารถสร้างความร่วมมือในการดำเนินการวิจัย พัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ที่จำเป็น และเป็นที่ต้องการสำหรับระบบสาธารณสุขของประเทศรวมถึงการขยายความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในอนาคต” ดร.สมบุญกล่าว
[caption id="attachment_56341" align="aligncenter" width="2560"] นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์[/caption]
นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันกรมการแพทย์มีการดำเนินงานการพัฒนางานนวัตกรรมทางการแพทย์ ในรูปแบบของคณะกรรมการ คณะทำงาน และหน่วยงานสนับสนุนกลาง มีโครงสร้างบูรณาการหน่วยงาน ประกอบด้วย กองวิชาการแพทย์ สำนักดิจิทัลการแพทย์ สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กองบริหารการคลัง และกองกฎหมายและคุ้มครองจริยธรรม
ที่ผ่านมา กรมการแพทย์ มีความร่วมมือกับ สวทช. และ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ในการสนับสนุนการดำเนินงานโครงการวิจัยพัฒนาและขยายผลนวัตกรรมทางด้านสุขภาพและการแพทย์ จนนำไปสู่การคุ้มครองและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับศักยภาพในการวิจัยและนวัตกรรมด้านสาธารณสุขของประเทศ มีแผนการดำเนินการร่วมกันในด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินความพร้อมใช้ของเทคโนโลยี (TRL) การต่อยอดเชิงพานิชย์ผลงานนวัตกรรม การพัฒนาผลงานนวัตกรรมสู่การขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย อีกทั้งร่วมกันต่อยอดนวัตกรรมเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามมิติความละเอียดสูง รุ่นที่ 2 (MiniiScan2.0) เพื่อขยายผลการใช้งานสำหรับห้องศัลยกรรมเพื่อประเมินขอบเขตก้อนเนื้องอกในเต้านม
ทั้งนี้ในการประชุมหารือความร่วมมือ ทีมนักวิจัย สวทช. ได้บรรยายสรุปผลงานการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสุขภาพและการแพทย์ ซึ่ง นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ ให้ความสนใจนวัตกรรม อาทิ เครื่องซีทีสแกนคัดกรองมะเร็งแบบเคลื่อนย้ายได้ , โมชั่นเซนเซอร์เกมสำหรับฝึกและฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย, เทคโนโลยีสารสกัดสมุนไพร ตลอดจน AI ที่เกี่ยวกับฐานข้อมูลทางการแพทย์ต่าง ๆ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประสานความร่วมมือกับนักวิจัย สวทช. เพื่อร่วมกันพัฒนาต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สมัครเข้าร่วมโครงการ “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า ปีที่ 2 – Carbon Neutral Society”
ขอเชิญชวน นักเรียน/นักศึกษา สมัครเข้าร่วมโครงการ “ลดเปลี่ยนโลกกับโตโยต้า ปีที่ 2 - Carbon Neutral Society” โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI และศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นการประกวดนวัตกรรมเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยลดคาร์บอน (Carbon neutrality 2050) โดยสามารถต่อยอดเป็นผลงานต้นแบบสู่การใช้ประโยชน์ และต่อยอดเป็นศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2567
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประกวดสามารถลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการตามภูมิภาคของตนเอง
ได้ที่ https://www.lodplienlokproject.com หรือสแกน QR Code ในโปสเตอร์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : งานพัฒนาธุรกิจเชิงสังคม
ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช.
02 564 7100 ต่อ 6610 (นริศา), 6680 (ดร.ปิยะวรรณ)
Email : bitt-sbd@nanotec.or.th
ปฏิทินกิจกรรม
DGT 2024 (Digital Govemance Thailand 2024)
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สพธอ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กำหนดจัดงาน "DGT 2024 (Digital Governance Thailand 2024)" (ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2) โดยแนวคิดในการจัดปีนี้คือ "Digital Momentum for the Future" โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2567 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน โดยภายในงานจะนำเสนอไอเดียพร้อมโซลูชั่นที่น่าสนใจที่ จะเป็น Momentum สำคัญทั้งในมิติของเทคโนโลยี Ai , Digital Platform , Digital Health Tech , Digital Workforce รวมไปถึง Digital Lifestyle โดยภายในงานจะมีทั้งในส่วนของ Stage Forum กับ Speaker ทั้งจากในและต่างประเทศ , Exhibition and Tech Market Booth และ Business Matching and Consulting Zone ซึ่งจะเหมาะกับกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นสายบริหารวางยุทธศาสตร์ นักคิดสายเทคโนโลยี ผู้ประกอบการ คนทำงาน ผู้ให้บริการดิจิทัล (Sevice Provider) ตลอดจนบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่สนใจเทคโนโลยีดิจิทัล
(more…)
ข่าวหน่วยงานภายนอก
กระทรวง อว. จัดงานวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 5 ปี
(2 พฤษภาคม 2567) ณ อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว. : นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นำคณะผู้บริหาร อว. โดยมี นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวง อว. พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษา รมว.กระทรวง อว. น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.กระทรวง อว. พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานภายใต้กำกับ กระทรวง อว. ซึ่งในโอกาสนี้ ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดร. จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. และ ดร. สุมิตรา จรสโรจน์กุล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) ได้เข้าร่วมในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และถวายพวงมาลัยสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระสยามเทวมหามงกุฎวิทยามหาราช รัชกาลที่ 4 เพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับการก้าวสู่ปีที่ 5 ภายใต้ชื่อกระทรวงใหม่ คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) (จากเดิม ใช้ชื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2545-วันที่ 2 พฤษภาคม 2562)
[caption id="attachment_56111" align="aligncenter" width="800"] นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)[/caption]
จากนั้น น.ส.ศุภมาส เปิดเผยว่า 5 ปีของการก่อตั้งกระทรวง อว. นับเป็น 5 ปีของ “ปัญญา โอกาส อนาคต” ของประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทรวง อว. ได้ขับเคลื่อนการปฏิรูปทั้งด้านการอุดมศึกษาและด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยตนได้วางนโยบาย 2 ด้าน คือ “เรียนดี มีความสุข มีรายได้” และ “วิจัย-นวัตกรรมดี ตอบโจทย์ ตรงความต้องการ” พร้อมเดินหน้าปฏิรูปอุดมศึกษา โดยกำหนดเป้าหมายเน้นการสร้างคนสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการสร้างคนที่มีความรู้ที่ดี มีทักษะและสมรรถนะ รวมถึงมีคุณลักษณะที่ดี รวมทั้งสร้างกลไกและเครื่องมือในการปฏิรูปให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน เพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น การจัดทำระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติหรือธนาคารเครดิต การจัดทำแผนที่ทักษะเพื่อระบุทักษะที่สำคัญในการทำงานในสาขาอาชีพสมัยใหม่และเป็นไปตามความต้องการของประเทศ หรือ Skill Mapping พร้อมทั้งจัดทำใบรับรองผลการเรียนที่ระบุทักษะของนักศึกษาว่ามีทักษะที่สอดคล้องกับการทำงานระดับใดบ้าง หรือ Skill Transcript เพื่อให้นักศึกษาและบัณฑิตสามารถนำไปใช้ในการทำงานหรือพัฒนาทักษะเพิ่มเติมตลอดจนการนำทักษะด้าน AI ที่เป็นทักษะที่สำคัญของโลกยุคปัจจุบันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา
รมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า ที่สำคัญคือการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายโอกาสการเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ TCAS ปี 2567 หรือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยผ่านระบบการรับสมัครสอบกลาง ประจำปี 2567 ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกในการก้าวสู่ระบบอุดมศึกษาของเยาวชนไทย ด้วยการสนับสนุนค่าสมัครสอบให้กับผู้เข้าสอบทุกคนฟรีในรอบแอดมิชชั่น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เป็นครั้งแรก และจะพยายามปลดล็อคทุกอุปสรรคในการเข้าถึงอุดมศึกษา เพื่อเด็กไทยทุกคนจะต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ขับเคลื่อนนโยบาย “อว. For EV” ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เป็นอุตสาหกรรมที่เป็นความหวังของประเทศไทย ด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กระทรวง อว. มี นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “อว.For PM 2.5” และ “อว. For AI” รวมถึงนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านอวกาศของประเทศ เป็นต้น
“กระทรวง อว.ยังคงเดินหน้าปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง และจะทลายทุกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคของการปฏิรูปดังกล่าว ที่สำคัญในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ กระทรวง อว.จะจัดเสวนาพิเศษเนื่องในโอกาสการก่อตั้งกระทรวง อว. ครบรอบ 5 ปี เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วนว่ากว่าครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาสังคมได้อะไรจากกระทรวง อว. และในอนาคตต้องการให้กระทรวง อว. ปรับตัวอย่างไรเพื่อนำประเทศไทยให้แข่งขันได้ จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจและอยากร่วมให้ความคิดเห็นมารับฟังกันได้” น.ส.ศุภมาส กล่าว
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด
“ไฟไหม้สำเพ็งเร่งควบคุมเพลิง เหตุจากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด แล้วลามไปติดรถกับบ้าน” พาดหัวข่าวใหญ่เมื่อช่วงกลางปี 2565 เป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้จากหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทีมนักวิจัยไทยจึงพัฒนา “น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ภายใต้ชื่อ EnPAT” ที่ไม่เพียงช่วยป้องกันปัญหาไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและบรรเทาความสูญเสียของประชาชน แต่ยังช่วยสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันของประเทศ
[caption id="attachment_56046" align="aligncenter" width="700"] ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด มาจากการที่น้ำมันซึ่งอยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้าเกิดการลุกติดไฟ และเมื่อหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทำให้น้ำมันที่ลุกติดไฟนี้กระจายไปสู่อาคารบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบหม้อแปลงไฟฟ้า ส่งผลทำให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลาม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนซึ่งประเมินมูลค่ามิได้ อีกทั้งยังส่งผลถึงความไม่ไว้ใจของประชาชนต่อหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบระบบไฟฟ้าอีกด้วย โดยน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่ทั่วไปเป็นน้ำมันแร่ซึ่งผลิตมาจากปิโตรเลียม ทำหน้าที่เป็นฉนวนไฟฟ้าและช่วยระบายความร้อนในหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ปัญหาสำคัญของน้ำมันแร่คือ อุณหภูมิจุดติดไฟต่ำ ทำให้ลุกติดไฟง่ายเมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย ที่เรียกว่า “EnPAT” โดยการนำน้ำมันปาล์มมาปรับปรุงคุณภาพให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า จนได้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีของคนไทย
[caption id="attachment_56048" align="aligncenter" width="700"] EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลิตด้วยเทคโนโลยีคนไทย[/caption]
“น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปจะมีจุดติดไฟไม่เกิน 170 องศาเซลเซียส แต่ “EnPAT” มีคุณสมบัติเด่นคือมีจุดติดไฟสูงกว่า 300 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าทั่วไปถึง 2 เท่า จึงสามารถป้องกันไฟไหม้จากเหตุการณ์หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดได้ ช่วยสร้างความปลอดภัยและเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ “EnPAT” สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อมีการรั่วไหลจะจัดการได้ง่ายและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต อีกทั้งเมื่อหมดอายุการใช้งานในหม้อแปลงไฟฟ้า ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซลได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดในลักษณะของสารพิษ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ประโยชน์น้ำมันปาล์มถึงสองต่อ”
[caption id="attachment_56051" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบอุณหภูมิลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT[/caption]
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาต้นแบบระบบผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัย “EnPAT” ที่กำลังการผลิต 400 ลิตรต่อครั้ง และผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งที่ห้องปฏิบัติการ ก่อนนำไปบรรจุในหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อนำร่องการใช้งานจริงต่อไป
[caption id="attachment_56047" align="aligncenter" width="700"] ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช.[/caption]
ดร.ศุภฤกษ์ เห็นประเสริฐแท้ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง เอ็นเทค สวทช. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หม้อแปลงไฟฟ้าโดยปกติจะมีอายุใช้งานมากกว่า 20 ปี การพิสูจน์ประสิทธิภาพของ “EnPAT” จำเป็นต้องใช้เวลาทดสอบที่ยาวนาน ด้วยเหตุนี้ ทีมวิจัยจึงออกแบบการทดสอบในสภาวะเร่ง โดยจำลองสภาวะการใช้งานที่หม้อแปลงไฟฟ้าต้องเผชิญกับอุณหภูมิสูงกว่าปกติ เพื่อศึกษาการเสื่อมสภาพของน้ำมันและวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในหม้อแปลงไฟฟ้า ผลการทดสอบพบว่ากระดาษฉนวนภายในหม้อแปลงไฟฟ้าที่บรรจุ EnPAT เมื่อผ่านการทดสอบในสภาวะเร่งแล้วกระดาษฉนวนยังคงอยู่ในสภาพที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับกระดาษฉนวนในหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุน้ำมันแร่ที่แสดงการเสื่อมสภาพค่อนข้างมาก ทั้งนี้การเสื่อมสภาพของกระดาษฉนวนสามารถสื่อถึงอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า โดยผลการศึกษาบ่งชี้ว่า “EnPAT” สามารถใช้ทดแทนน้ำมันแร่ในหม้อแปลงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มที่จะช่วยยืดอายุหม้อแปลงไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
[caption id="attachment_56052" align="aligncenter" width="700"] เปรียบเทียบการลุกติดไฟของน้ำมันแร่กับ EnPAT เมื่อเกิดเหตุหม้อแปลงระเบิด[/caption]
โครงการนำร่องการใช้งานจริงของ “EnPAT” เริ่มดำเนินการในปี 2567 โดยได้ทำการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2567 ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และมีกำหนดการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าบรรจุ “EnPAT” ในพื้นที่ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ปลายปี 2567 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 8 องค์กร ได้แก่ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัทเจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยผลการนำร่องการใช้งานนี้จะใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพฉบับแรกของประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายผลการใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ต่อไป
“ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูง แต่หากเราผลิตได้เองภายในประเทศ จะทำให้มีต้นทุนต่ำลง ที่สำคัญ “EnPAT” ผลิตจากน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล การนำน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า จะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับผลผลิตทางการเกษตรไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงในอุตสาหกรรมด้านโอลิโอเคมี ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่น้ำมันปาล์มได้หลายเท่า ส่งผลดีต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและภาพรวมของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ” ดร.ศุภฤกษ์ กล่าว
[caption id="attachment_56053" align="aligncenter" width="700"] นวัตกรรม EnPAT ช่วยเพิ่มปริมาณการใช้และยกระดับปาล์มน้ำมันไทยไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง[/caption]
EnPAT นวัตกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าปลอดภัยจากปาล์มน้ำมันไทย ผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยและช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และสอดรับกับนโยบายของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065
เรียบเรียงโดย วีณา ยศวังใจ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ต้อนรับคณะมูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง เยี่ยมชมงานวิจัย BCG ในมิติความมั่นคง การแก้ไขปัญหาโลกเดือด
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ต้อนรับนักศึกษาหลักสูตรบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง มูลนิธิการจัดการเพื่อความมั่นคง นำโดย ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ประธานหลักสูตรฯ พร้อมคณะ จำนวน 21 คน ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมศึกษาดูงานวิจัย BCG เกี่ยวกับความมั่นคง การแก้ไขปัญหาโลกเดือด และร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยมี ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช. ให้การต้อนรับและนำเสนอภาพรวมการดำเนินงานและภารกิจของสวทช. พร้อมด้วยนักวิจัยร่วมต้อนรับและนำเสนอผลงานในหัวข้อ ดังนี้
[caption id="attachment_56367" align="aligncenter" width="2560"] ดร.สมบุญ สหสิทธิวัฒน์ รองผู้อำนวยการ สวทช.[/caption]
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติ ด้วยยุทธศาสตร์ BCG โดย ดร.วงศกร พูนพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม (RNM) สวทช.
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมรวมถึงการประยุกต์ใช้ และมาตรการการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีในมิติสิ่งแวดล้อม โดย คุณวันวิศา ฐานังขะโน ผู้ช่วยวิจัยอาวุโ สถาบันเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (TIIS) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC)
นอกจากนี้คณะฯ เข้าเยี่ยมชม ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) โดยมีทีมนักวิจัย นำโดย คุณอนุตตรา ณ ถลาง ดร.นิชชา จำเริญศักดิ์ศรี และ ดร.ปัญญาวุฒิ อัมพุชินทร์ ได้นำคณะเข้าเยี่ยมชมส่วนวิจัยและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพแบบระยะยาวและการใช้ประโยชน์ข้อมูลชีวภาพ ประกอบด้วย งานวิจัยความสำคัญของชีวนิเวศจุลชีพ (microbiome) ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กิจกรรมการอนุรักษ์พืชในรูปแบบเนื้อเยื่อปลอดเชื้อและเมล็ดพันธุ์ (plant tissue culture & seed bank) พร้อมทั้งชมการทำงานของเครื่องจัดเก็บชีววัตถุอัตโนมัติที่อุณหภูมิ -20 และ -80 °C (Automated Sample Storage System) และพิพิธภัณฑ์พืชและเห็ดรา BIOTEC Bangkok Herbarium (BBH)
ก่อนเดินทางกลับคณะฯ ได้เยี่ยมชม ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) ณ อาคารแชมเบอร์ 10 เมตร โดยมี ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ PTEC ให้การต้อนรับและนำเสนอภาพรวมการดำเนินงาน PTEC เป็นศูนยฯ เปิดให้บริการทดสอบ สอบเทียบ วิจัย พัฒนา ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในระบบยานยนต์ และการทดสอบ EMC สำหรับรถทั้งคัน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงช่วยผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆ ยกระดับเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ – สวรส. และพันธมิตร จัดประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์จีโนมิกส์เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย
(วันที่ 1 พฤษภาคม 2567) : นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมงานประชุมวิชาการประจำปี สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 “Harnessing Genomics Thailand to Better Public Health: THE TIME IS NOW”
โดยมี ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา นายกสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ และผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (National Biobank of Thailand: NBT) ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และผู้แทนองค์กร ผู้เกี่ยวข้องร่วมในพิธีเปิดงานประชุมฯ จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 1-3 พฤษภาคม 2567 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มีความยินดีที่ได้มีส่วนร่วมเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมวิชาการประจำปี สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 “Harnessing Genomics Thailand to Better Public Health: THE TIME IS NOW” ซึ่งโครงการ Genomics Thailand นี้เป็นความก้าวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์มนุษย์ และได้ใช้เทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาการแพทย์อย่างก้าวกระโดด โดยเมื่อนำข้อมูลพันธุกรรมหรือข้อมูลดีเอ็นเอของผู้ป่วยมาใช้ในการวินิจฉัยป้องกันรักษาทำให้การแพทย์มีความแม่นยำและจำเพาะต่อบุคคล นำมาสู่การปรับเปลี่ยนกระบวนการให้บริการทางการแพทย์ในหลายโรค เช่น การป้องกันการแพ้ยาด้วยการตรวจยีน การป้องกันโรคมะเร็ง การคัดกรองทารกแรกเกิด เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยที่ดีขึ้นควรมีการนำนวัตกรรมด้านการแพทย์จีโนมิกส์มาใช้ระดับประเทศและจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมโดยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรตามแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย พ.ศ. 2563-2567 โดยภายใต้แผนฯ นี้ ได้สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้เกิดฐานข้อมูลพันธุกรรมไทย 50,000 คน ศูนย์สกัดสารพันธุรรม และยังมีแผนการพัฒนาบุคลากร จำนวน 750 คน รวมถึงการจัดตั้งเครือข่ายวิจัยการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญให้เกิดบริการการตรวจ และการวินิจฉัยที่ใช้ข้อมูลพันธุกรรม อย่างไรก็ตามหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการพัฒนาบริการที่ประชาชนเข้าถึง ด้วยการบรรจุการบริการใหม่ด้านการตรวจพันธุกรรมเข้าสู่ชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ เช่น การตรวจยีนเสี่ยงมะเร็งเต้านม และ การตรวจยีนเพื่อป้องกันผื่นแพ้ยารุนแรง ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการเทคโนโลยีใหม่ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของคนไทยทัดเทียมกับประเทศอื่น
“การประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ครั้งที่ 3 เป็นเวทีด้านวิชาการที่ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิจัย และบุคลากรที่ต้องการใช้เทคโนโลยีจีโนมในการตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันคือให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการแพทย์จีโนมิกส์ และเพื่อยกระดับคุณภาพการรักษาในประเทศไทย ส่งเสริมให้คนไทยมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ตลอดจนลดภาระด้านงบประมาณด้านสาธารณสุขของประเทศไทย”
ดร.ศิษเฎศ ทองสิมา นายกสมาคมมนุษยพันธศาสตร์ และผู้อำนวยการธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ (NBT) ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า สมาคมมนุษยพันธุศาสตร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2562 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริม การศึกษา งานวิจัย และนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องกับพันธุศาสตร์มนุษย์ รวมถึงกิจกรรมสนับสนุนเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างเหมาะสมในด้านการศึกษาและวิจัยทางพันธุศาสตร์มนุษย์ เช่น แนวทางการพัฒนานโยบาย และแนวปฏิบัติที่คำนึงถึง ผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม
โดยเนื้อหาของการประชุมจะสร้างบรรยากาศเพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือและเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง นักศึกษา นักวิจัย และแพทย์ผู้สนใจในการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีจีโนมเพื่อยกระดับคุณภาพสาธารณสุขไทย งานประชุมจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2567 โดยได้รับเกียรติ จากวิทยากรและผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมบรรยายจำนวน 56 ท่าน และมีวิทยากรจากหน่วยงานต่างประเทศคือ Harvard Medical School, Kunming Institute of Zoology, Chinese Academy of Sciences และ Zhejiang University, School of Medicine ร่วมบรรยาย ในการประชุมครั้งนี้ด้วย
“ตลอดการจัดงานมีผู้สนใจเข้าร่วมประชุมที่สถานที่จัดงานและเข้าร่วมประชุมทางระบบออนไลน์ กว่า 300 ท่าน จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยชั้นแนวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์การแพทย์ของประเทศ ประสบการณ์ ผลการดำเนินงานของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทยที่ผ่านมา และการเสวนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ของจีโนมิกส์ประเทศไทยทั้ง 5 กลุ่มโรค และ ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมระดับประชากรเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชากรกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเวทีที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านชีวสารสนเทศที่จะเข้ามาช่วยให้เกิดการแพทย์จีโนมิกส์ในประเทศไทย โดยมีผู้สนับสนุนหลักในการจัดงานประชุมครั้งนี้คือ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากภาคเอกชนอีกหลายบริษัท”
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ถือเป็นเวทีสำคัญที่จะช่วยทำให้สังคมวงกว้างได้รับรู้ความก้าวหน้าของการของการดำเนินงานของโครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย (Genomics Thailand) ซึ่ง สวรส. เป็นหน่วยประสานงานกลางในการขับเคลื่อนโครงการฯ โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการนำข้อมูลพันธุกรรมของประชากรไทยมาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนระบบบริการการแพทย์ของประเทศ ให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และประชาชนสามารถเข้าถึงบริการการแพทย์แม่นยำได้อย่างมีคุณภาพ
นอกจากนี้ ในเวทียังได้มีการนำเสนอความก้าวหน้าทั้งในด้านการวิจัย การให้บริการ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีจีโนมเพื่อประโยชน์ทางคลินิก การพัฒนาด้านกฎระเบียบ กฎหมาย จริยธรรมและผลกระทบเชิงสังคม การประเมินเทคโนโลยีเพื่อความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข การพัฒนาเชิงนโยบายด้านการแพทย์การสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศในอนาคต รวมทั้ง สวรส. ยังได้สนับสนุนการมอบรางวัลหน่วยงานดีเด่นด้านการพัฒนาระบบสาธารณสุขด้วยการแพทย์จีโนมิกส์ให้แก่ โรงพยาบาลพระปกเกล้าจันทบุรี ต้นแบบที่น่าสนใจในการทำงานด้านจีโนมิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายสถาบันวิจัยทางคลินิก/การบริการ และจากงานวิจัย ภายใต้การสนับสนุนในโครงการจีโนมิกส์ฯ นอกจากนี้ ในงานยังได้มีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติแด่ผู้ปฏิบัติงานทางด้าน Genomics Thailand เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ ได้แก่ ผศ.พิเศษ พญ.วิชญาภรณ์ เอมราช แซ่โง้ว และ นพ.ภาสกร วันชัยจิระบุญ อีกด้วย
ข่าวประชาสัมพันธ์


