ผลการค้นหา :
สวทช. จับมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บ่มเพาะเยาวชนด้านนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ และมอบชุดสื่อการเรียนรู้นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะให้โรงเรียนขยายผลจัดกิจกรรม
โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จัดงานอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง โครงงานด้านนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ และการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในโรงเรียน ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยเด็ก ประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิใจกระทิง จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 พฤษภาคม 2567 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี โดย นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. ประธานในพิธีในการเปิดงานและกล่าวต้อนรับ นักเรียนและครูจากโรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง” อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี โรงเรียนชัยสิทธาวาส “พัฒน์ สายบำรุง” อ.สามโคก จ.ปทุมธานี และอาจารย์จากศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น 40 คน
นางฤทัย จงสฤษดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิชาการ หลักสูตร และสื่อการเรียนรู้ สวทช. กล่าวต้อนรับและกล่าวเปิดการจัดงานว่า กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยได้เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติและสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับอาชีพด้วยการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้สูงขึ้น ครูและนักเรียนที่เข้ารับการอบรมจะได้รับความรู้เรื่องของเกษตรสมัยใหม่และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เราจึงมุ่งเน้นหาวิธีที่จะทำอย่างไรให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพ ซึ่งการใช้วิธีเพาะปลูกแบบดั้งเดิมนั้นไม่เพียงพอ และในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก การเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพดีจึงต้องนำเกษตรสมัยใหม่หรือนวัตกรรมการเกษตรเข้ามาช่วยในกระบวนการต่าง ๆ ครูและนักเรียนจะได้เรียนรู้จากกิจกรรมในครั้งนี้โดยทีมอาจารย์จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ตั้งแต่เรื่องของเทคโนโลยีระบบ IoT และเซนเซอร์ การออกแบบโรงเรือนอัจฉริยะ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงได้ลองนำเสนอโมเดลโรงเรือนอัจฉริยะและตัวอย่างโครงงานที่นักเรียนสนใจ
สำหรับกิจกรรมที่จัดในการอบรมครั้งนี้เน้นให้นักเรียนและครูได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและได้เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ทางด้านเกษตรอัจฉริยะเพื่อให้ทั้งนักเรียนและครูได้รับประสบการณ์ตรง ได้รับแรงบันดาลใจ และได้แนวคิดเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดจัดทำเป็นโครงงานนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะที่เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียนและชุมชน ในส่วนของกิจกรรมที่นักเรียนและครูได้ลงมือทำ ได้แก่
1. กิจกรรมเรียนรู้ระบบ IoT และเซนเซอร์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งานบอร์ดสมองกลฝังตัว KidBright เรียนรู้การต่อวงจรและการเขียนโปรแกรมเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอก รู้จักการทำงานของเซนเซอร์ชนิดต่าง ๆ เช่น เซนเซอร์วัดระดับแสง เซนเซอร์วัดอุณหภูมิ เซนเซอร์วัดความชื้นในดิน เรียนรู้ระบบ IoT การสั่งงานรดน้ำต้นไม้เมื่อดินแห้ง และการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันไลน์
2. กิจกรรมการออกแบบโรงเรือนและสร้างโมเดลโรงเรือนอัจฉริยะ ซึ่งได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการให้น้ำพืช เช่น การใช้น้ำของพืช ความสัมพันธ์ระหว่างดินและน้ำ แหล่งน้ำที่พืชได้รับ และวิธีการให้น้ำแก่พืช เนื่องจากพืชแต่ละชนิดมีความต้องการปริมาณน้ำที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องรู้จักเลือกวิธีการให้น้ำแก่พืชที่จะปลูกอย่างเหมาะสม จึงจะทำให้พืชชนิดนั้นเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้รูปแบบของโรงเรือนชนิดต่าง ๆ และนำความรู้ที่ได้รับไปออกแบบและสร้างโมเดลโรงเรือนอัจฉริยะที่เหมาะสมกับพืชที่จะเลือกปลูก
3. เทคนิคการเตรียมสไลด์นำเสนอด้วย Canva สำหรับใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสื่อนำเสนอที่มีความน่าสนใจผ่านรูปแบบที่หลากหลาย รู้จักออกแบบกราฟิกออนไลน์ที่ใช้ในการสร้างกราฟิกและการนำเสนอสู่สาธารณะ
4.กิจกรรมการแปรรูปอาหาร การออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการแปรรูปผักและผลไม้ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด รู้จุดเด่นและจุดด้อยของวิธีการแปรรูปแต่ละวิธี นอกจากนี้ยังได้รู้จักอาหารโมเลกุล (Molecular gastronomy) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนออาหารแบบเดิม ๆ ให้ออกมาในรูปแบบใหม่ด้วยการประยุกต์ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ มีคอนเซ็ปต์คือต้องเด่นเรื่องรสชาติ มีความสวยงาม และแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เทคนิคการสร้างของเหลวให้ขึ้นรูปเป็นทรงกลม (สเฟียริฟิเคชัน; Spherification) 2 วิธี ได้แก่ 1. สเฟียริฟิเคชันพื้นฐาน (Basic Spherification) จะได้ผลผลิตเป็นเม็ดเจลใสแบบเม็ดไข่ปลาคาเวียร์ 2. สเฟียริฟิเคชันย้อนกลับ (Reverse Spherification) จะได้ผลผลิตเป็นเม็ดเจลขุ่นแบบไข่แดงเจาะแล้วเนื้อไข่แดงทะลักออกมา
5. แนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งต้องเน้นไปที่ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าและจุดเด่นของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ โดยมีหลักสำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์ดังนี้ ผู้นำต้องมีวิสัยทัศน์ (Leadership) กระบวนการคิดออกแบบ (Concept design) สร้างแบรนด์ (Branding) บรรจุภัณฑ์สินค้า (Packaging) และมีสตอรี่ (Storytelling) และรู้จักการนำเสนอด้วยการ Pitching ที่มุ่งเน้นการนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์
6. เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้ทางด้านนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ นักเรียนและครูได้ไปเยี่ยมชมนวัตกรรมโรงงานผลิตพืช สวทช. (Plant Factory) เพื่อศึกษาดูงานวิจัยการปลูกพืชระบบปิดและการให้แสงที่แตกต่างกัน งานวิจัยปลูกพืชสมุนไพร และเยี่ยมชมสวนผักและแปลงสาธิต สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. (AGRITEC) เพื่อดูตัวอย่างรูปแบบโรงเรือน และระบบการควบคุมการให้น้ำโดยใช้เซนเซอร์ตรวจวัดสภาพอากาศและความชื้นดิน
นอกจากนี้ได้มอบชุดสื่อการเรียนรู้สะเต็มศึกษา “นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตในโรงเรียน” ให้แก่โรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง” และโรงเรียนชัยสิทธาวาส “พัฒน์ สายบำรุง” โรงเรียนละ 10 ชุด เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ขยายผลจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนกลุ่มอื่นในโรงเรียนต่อไป
รศ. ดร.สุเพชร จิรขจรกุล คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวปิดการจัดงานอบรมในครั้งนี้ว่า คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ สวทช. และมูลนิธิใจกระทิง จัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่นักเรียนและครูจากโรงเรียนโรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง” และโรงเรียนชัยสิทธาวาส “พัฒน์ สายบำรุง”เนื่องจากทางคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีอาจารย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายไม่ว่าจะเป็นทางด้านการออกแบบโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ ระบบ IoT และเซนเซอร์ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์อาหาร รวมถึงให้นักเรียนรู้จักการ Pitching นำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนเองให้น่าสนใจ ซึ่งการอบรมในครั้งนี้เป็นการจัดกิจกรรมครอบคลุมเนื้อหาครบทั้งกระบวนการ ได้แก่ 1) ต้นน้ำ คือการออกแบบโรงเรือนเกษตรอัจฉริยะ ควบคุมด้วย IoT สำหรับการเพาะปลูกพืช 2) กลางน้ำ คือการนำวิทยาศาสตร์การอาหารมาใช้ในการแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่า 3) ปลายน้ำ คือการออกแบบผลิตภัณฑ์และการนำเสนอ ทั้งหมดนี้เป็นการบ่มเพาะให้กับนักเรียนได้เรียนรู้ครบทุกกระบวนการ ซึ่งนักเรียนสามารถนำองค์ความรู้และทักษะที่ได้รับไปปรับใช้ต่อยอดได้ทั้งในส่วนของการต่อยอดทางอาชีพสามารถสร้างรายได้ที่มีประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม การประกวดแข่งขัน หรือการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น นอกจากนี้เมื่อนักเรียนกลับไปที่โรงเรียนของตนเองแล้วก็ขอให้นักเรียนช่วยทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเหลือคุณครูขยายผลจัดกิจกรรมให้กับเพื่อนนักเรียนในโรงเรียนให้ได้รับความรู้และทักษะต่อไป
นายโฉม บุญจันทร์ อาจารย์จากศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัต สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา อ.วังจันทร์ จ.ระยอง กล่าวว่ากิจกรรมที่ได้เรียนรู้และจะนำไปปรับใช้ที่ศูนย์เรียนรู้ฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ 1) การใช้ KidBright ซึ่งเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้ให้นักเรียนได้ฝึกฝนและประยุกต์ใช้กับโรงเรือนปลูกพืชภายในศูนย์เรียนรู้เกษตรนวัตได้ 2) การออกแบบและสร้างโมเดลโรงเรือน สามารถนำไปบูรณาการกับการเรียนการสอนได้ 3) เทคนิคการ Pitching นำเสนอสินค้าหรือบริการ ซึ่งจะทำให้ในอนาคตนักเรียนได้ผลิตสินค้าเกษตรเพื่อการค้าและสามารถสร้างรายได้ให้ตนเองได้ ซึ่งการเข้าร่วมอบรมครั้งนี้ได้รับประโยชน์และสามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมได้จริง
ส่วนนางสาวพีรดา จันคำ และนายพรชัย ศรีวิชัย ครูจากโรงเรียนชัยสิทธาวาส “พัฒน์ สายบำรุง” ได้กล่าวว่าการเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ได้รับความรู้และทักษะที่เป็นประโยชน์มาก และจะนำไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมโครงงานด้านนวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะให้กับนักเรียนในโรงเรียนต่อไป ซึ่งการจัดกิจกรรมที่สถานศึกษาหรือโรงเรียนจะต้องเตรียมความพร้อมในหลายเรื่อง ได้แก่ เนื้อหา วิทยากร สื่อและอุปกรณ์ และผู้ช่วยวิทยากร และสิ่งสำคัญสำหรับการจัดกิจกรรมนั้นจะต้องเน้นให้นักเรียนได้รับความรู้ ได้ลงมือทำจริงและรู้สึกสนุก นอกจากนี้ควรมีนักเรียนที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือครูและให้คำแนะนำแก่เพื่อน ๆ ระว่างทำกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนคนอื่นได้เข้าใจและได้ลงมือทำครบทุกกระบวนการ
และเด็กชายธีธัช ปรีกมล นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนปทุมธานี “นันทมุนีบำรุง” กล่าวว่ารู้สึกประทับใจที่ได้เข้าร่วมการอบรม โดยกิจกรรมที่ชอบที่สุดคือการออกแบบและสร้างโรงเรือน เพราะสามารถนำไปสร้างโรงเรือนได้จริง และยังสร้างความสามัคคีภายในกลุ่มตั้งแต่ตอนช่วยกันคิด ออกแบบ และสร้างโรงเรือนจำลอง ส่วนกิจกรรมการแปรรูปอาหารก็ชอบ เพราะสนุกและได้รับความรู้ ได้ลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งเมื่อกลับไปโรงเรียนแล้วก็ตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยคุณครูสอนเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
101: เคล็ดลับความเป็นผู้ประกอบการเบื้องต้น (Foundation)
📢 เรียนเชิญผู้ประกอบการไฟแรง! 📢
อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง? 🤔
.
มาหาคำตอบได้ที่งานอบรมออนไลน์ฟรีจาก สวทช.
101: เคล็ดลับความเป็นผู้ประกอบการเบื้องต้น (Foundation)
.
มาเรียนรู้เคล็ดลับและแนวคิดการทำธุรกิจยุคใหม่แบบไม่มีกั๊ก
✅สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ
✅ปั้นไอเดียธุรกิจให้เป็นรูปเป็นร่าง
✅ เริ่มต้นธุรกิจอย่างมั่นใจ ลดความเสี่ยง เพิ่มโอกาสโต
.
พบกับวิทยากรผู้มากประสบการณ์: อาจารย์ สุดชาย สิงห์มโน (นักวิชาการอิสระและผู้ก่อตั้ง STARTUP HOUSE RAYONG)
วันพุธที่ 12 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 - 12.00 น.
เรียนสบายๆ ที่บ้าน ผ่าน Webex Meeting
ลงทะเบียนฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
คลิกเลย 👉 https://swpark.or.th/course-detail?cid=532
ปฏิทินกิจกรรม
‘ทรายแมวสายกรีน’ จับตัวดี ย่อยสลายได้ ผลิตจากวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตร
‘ทรายแมว’ ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทาสแมวทั้งหลายต้องมีติดบ้าน เพราะนอกจากจะเป็นวัสดุรองรับในกระบะขับถ่ายที่ช่วยให้แมวถ่ายได้อย่างผ่อนคลาย ใช้อุ้งเท้าเขี่ยกลบหลังถ่ายได้เหมือนถ่ายลงพื้นดินพื้นทรายตามธรรมชาติแล้ว ยังมีจุดเด่นสำคัญคือเมื่อโดนน้ำจะแปรสภาพไปเป็น 2 ลักษณะหลัก คือ จับตัวเป็นก้อนหรือแตกตัวเป็นผง (ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์) ทำให้เจ้าของแมวเก็บของเสียไปทิ้งได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดกลิ่นของเสียช่วยให้บรรยากาศภายในบ้านดีขึ้นอีกด้วย
จากแนวโน้มการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทย บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ที่เล็งเห็นถึงโอกาสจึงได้ปักธงเดินหน้าวิจัยผลิตภัณฑ์ ‘ทรายแมวสายกรีน’ ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีโจทย์วิจัยคือการเพิ่มจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ด้านการย่อยสลายตามธรรมชาติ และการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรในประเทศไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทรายแมวมีส่วนช่วยลดปัญหาโลกร้อน
[caption id="attachment_56589" align="aligncenter" width="750"] ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช.[/caption]
ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ นักวิจัยทีมวิจัยซีเมนต์และวัสดุคอมพอสิตเพื่อความยั่งยืน เอ็มเทค สวทช. เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาจากผู้ประกอบการ บริษัทเอส.ไอ.พี.สยามอินเตอร์แปซิฟิค จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์และทรายแมวคุณภาพสูง มีความสนใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทใหม่ที่มีส่วนช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงเสนอโจทย์วิจัยเป็นผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับของเสียชนิดย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ที่มีการนำวัตถุดิบเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์
“ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทีมวิจัยได้นำวัตถุดิบหลักซึ่งมีจุดเด่นตามธรรมชาติแตกต่างกันมาใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับเพิ่มคุณสมบัติด้านการดูดซับน้ำปัสสาวะและการยึดเกาะจับตัวเป็นก้อนหลังดูดซับน้ำ ทดแทนการใช้สารเคมีชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตามในการผลิตทีมวิจัยยังคงมีความจำเป็นต้องใช้สารเคมีชนิดอื่น ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์จะไม่เป็นอันตรายต่อทั้งสัตว์เลี้ยง มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม เพราะสารเคมีที่ใช้ทั้งหมดเป็นเกรดสำหรับผลิตอาหาร
“ทั้งนี้หลังจากการพัฒนาสูตรการผลิตเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ปัจจุบันทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว ทรายแมวสายกรีนที่พัฒนาขึ้นมีจุดแข็งทั้งด้านการซับน้ำรวดเร็ว ดูดกลิ่นดี หลังซับน้ำแล้วจะจับตัวเป็นก้อนกลมทำให้ตักทิ้งได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สามารถตักทิ้งลงชักโครกได้ โดยผลิตภัณฑ์มีอายุในการจัดเก็บประมาณ 1 ปี หรือตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทรายแมว”
[caption id="attachment_56587" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะเม็ดทรายแมว[/caption]
[caption id="attachment_56595" align="aligncenter" width="750"] ลักษณะการจับตัวหลังดูดซับน้ำ[/caption]
ปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จในระดับ TRL4 หรือในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเครื่องจักรเฉพาะสำหรับใช้ในการผลิต เพื่อให้ผลิตได้ครั้งละปริมาณมากพร้อมแก่การผลิตในระดับพาณิชย์
ดร.สิทธิศักดิ์ อธิบายทิ้งท้ายว่า การผลิตทรายแมวชนิดนี้ใช้เครื่องปั้นเม็ดปุ๋ยที่มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยทั่วไปได้ เพียงแต่เครื่องที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปยังมีกำลังการผลิตไม่สูงนัก ทีมวิจัยจึงมีแผนร่วมกับเอกชนในการขอรับทุนสนับสนุนจากภาคส่วนต่าง ๆ พัฒนาเครื่องเอกซ์ทรูเดอร์ (extruder) หรือเครื่องขึ้นรูปผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ผลิตทรายแมวโดยเฉพาะขึ้น เพื่อให้ผลิตสินค้าได้ปริมาณมากตามต้องการ และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งหากการพัฒนาเครื่องจักรชนิดนี้เสร็จสิ้นก็คาดว่าจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ทันที
ผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนเป็นหนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงที่ สวทช. พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงปัจจัยทั้งด้านสุขภาพสัตว์ ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าการเกษตรไทย เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนตามหลักคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG
สำหรับผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ทรายแมวสายกรีนหรือสนใจร่วมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรายแมวประเภทอื่น ๆ ติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.สิทธิศักดิ์ ประสานพันธ์ อีเมล sitthisp@mtec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6500 ต่อ 4259
หมายเหตุ : ปรับปรุงรายละเอียดที่เผยแพร่ใหม่วันที่ 15 กรกฎาคม 2567
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์ และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
สวทช. ร่วม ม.แม่โจ้ พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัด ‘แก๊สแอมโมเนียรั่วไหล’ มุ่งลดความสูญเสียให้โรงงานไทยและประชาชนโดยรอบพื้นที่
แอมโมเนีย (NH3) เป็นสารเคมีที่มีประโยชน์สูงและมีการใช้งานมากในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยประเทศไทยมีกลุ่มโรงงานที่ใช้แอมโมเนียในกระบวนการผลิตหลายด้าน เช่น โรงงานพลาสติก ไนลอน น้ำยางข้น ผงชูรส สารเคมี รวมถึงห้องเย็นและโรงงานผลิตน้ำแข็ง อย่างไรก็ตามแอมโมเนียเป็นสารเคมีอันตรายประเภทแก๊สพิษและมีฤทธิ์กัดกร่อน ทำให้เมื่อเกิดเหตุขัดข้องมีแก๊สแอมโมเนียรั่วไหลเกินกำหนดภายในโรงงาน ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ได้ตั้งแต่ระดับระคายเคืองไปจนถึงเสียชีวิต ดังที่เคยปรากฏให้เห็นในข่าวอยู่เป็นระยะ ดังนั้นแล้วเพื่อป้องกันความสูญเสียดังกล่าว แต่ละโรงงานจึงควรเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ พัฒนา ‘อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์’ มุ่งสนับสนุนยกระดับความปลอดภัยในการปฏิบัติงานให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินภายในโรงงาน รวมถึงชุมชนโดยรอบอย่างทันท่วงที
[caption id="attachment_56554" align="aligncenter" width="750"] ดร.มติ ห่อประทุม (ซ้ายบน), ดร.คทา จารุวงศ์รังสี (ขวาบน), คุณทวี ป๊อกฝ้าย (ซ้ายล่าง) และคุณมนัสวี ศรีรักษ์ (ขวาล่าง) ทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช.[/caption]
ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียที่ทีมวิจัยร่วมกับนักวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้พัฒนาขึ้น เป็นชนิดสารกึ่งตัวนำจากออกไซด์ของโลหะ (metal oxide semiconductor) ที่มีความจำเพาะสูง ตรวจจับปริมาณแก๊สแอมโมเนียได้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มมีการรั่วไหล ไปจนถึงระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ โดยอุปกรณ์ผ่านการออกแบบให้มีขนาดเล็ก ติดตั้งสะดวก ใช้พลังงานต่ำ ส่วนทางด้านการปรับเทียบอุปกรณ์ (calibrate) หากภายในองค์กรมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือผ่านการอบรมมาเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถดำเนินงานปรับเทียบเองได้โดยไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอุปกรณ์ไปซ่อมบำรุงยังห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง ทำให้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีความคล่องตัวในการใช้งานสูง
[caption id="attachment_56551" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]
[caption id="attachment_56552" align="aligncenter" width="500"] เซนเซอร์ตรวจวัดแก๊ส[/caption]
[caption id="attachment_56550" align="aligncenter" width="500"] ภาพถ่ายโครงสร้างหลักในการตอบสนองแก๊สของเซนเซอร์ที่พัฒนาขึ้น โดยถ่ายเทียบขนาดกับรากของเส้นผม[/caption]
อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติและราคาอยู่ในเกณฑ์ทัดเทียมหรือแข่งขันกับอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี และที่พิเศษกว่านั้น คือ อุปกรณ์เซนเซอร์นี้วิจัยและพัฒนาโดยคนไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้ทีมวิจัยมีความพร้อมในการช่วยปรับแต่งอุปกรณ์ให้สอดรับกับความต้องการใช้งานของผู้ประกอบการไทยที่มีความหลากหลาย
[caption id="attachment_56553" align="aligncenter" width="750"] อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย[/caption]
คุณทวี ป๊อกฝ้าย นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายเสริมถึงส่วนฟังก์ชันการจัดส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยังระบบวิเคราะห์ข้อมูลและระบบแจ้งเตือนความเสี่ยงของโรงงานที่ทีมวิจัยเนคเทค สวทช. เป็นผู้พัฒนาขึ้นว่า ทีมวิจัยได้พัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ให้เป็นอุปกรณ์ประเภท IoT (Internet of Things) หรืออุปกรณ์ที่สื่อสารและส่งข้อมูลการตรวจวัดได้ด้วยตัวเอง โดยออกแบบให้จัดส่งข้อมูลได้ 2 รูปแบบหลัก รูปแบบแรกคือการส่งข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มวิเคราะห์บริหารจัดการงานภายในโรงงาน เพื่อประโยชน์ด้านการเฝ้าระวังการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงงานที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนีย และการป้องกันไม่ให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สูดดมหรือสัมผัสแก๊สแอมโมเนียในปริมาณเกินกำหนด เพราะการรับแก๊สแอมโมเนียเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในระดับความเข้มข้นต่ำก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
“ส่วนการจัดส่งข้อมูลรูปแบบที่สองคือการส่งสัญญาณแจ้งเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยมีการออกแบบระบบให้แจ้งเตือนได้หลายระดับ ตั้งแต่แจ้งเตือนไปยังส่วนงานซ่อมบำรุงและส่วนงานความปลอดภัยเพื่อเข้าตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ภายในโรงงาน และการส่งสัญญาณแจ้งเตือนฉุกเฉินในรูปแบบแสง เสียง และข้อความไปยังผู้ปฏิบัติงานภายในพื้นที่ เพื่อให้เร่งอพยพออกจากจุดเกิดเหตุโดยด่วน โดยระบบแจ้งเตือนทั้งหมดนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละโรงงานได้เช่นกัน”
ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณการรั่วไหลของแก๊สแอมโมเนียและระบบแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำเร็จในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว โดยมีแผนดำเนินงานความร่วมมือกับโรงงานทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ในไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์ ก่อนเปิดถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตต่อไป
ดร.มติ ห่อประทุม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อธิบายว่า จากการวิจัยเพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับสิบปี ทำให้ปัจจุบันทีมวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณแก๊สชนิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ตัวอย่างเด่น เช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เอทิลีน นอกจากนี้ทีมวิจัยยังมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานในการตรวจวัดต่ำ ทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดอุปกรณ์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การผลิตอุปกรณ์พกพาสำหรับผู้ทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณแก๊สต่าง ๆ ภายในโรงงาน หรือการผลิตอุปกรณ์พกพาในรูปแบบป้ายแขวนคอสำหรับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงสูง โดยขณะนี้ทีมกำลังต่อยอดองค์ความรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยบูรณาการความเชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เช่น การพัฒนาเซนเซอร์เพื่อใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพและการแพทย์ร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และการพัฒนาเซนเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำเสียร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งงานวิจัยโครงการที่สองนี้ได้รับทุนสนับสนุนทุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
“นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังต่อยอดการพัฒนาเซนเซอร์สู่การผลิตอุปกรณ์ E-nose (electronics noses) หรืออุปกรณ์จมูกอิเล็กทรอนิกส์สำหรับใช้วิเคราะห์กลิ่นซึ่งกำลังมีความต้องการสูงในหลายอุตสาหกรรม เพราะอุปกรณ์ชนิดนี้นอกจากจะวิเคราะห์กลิ่นได้แม่นยำกว่ามนุษย์แล้ว ยังใช้ปฏิบัติภารกิจที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพแทนมนุษย์ได้ด้วย โดยจุดเด่นของอุปกรณ์ E-nose ที่พัฒนาขึ้น คือ เซนเซอร์แต่ละตัวภายใน E-nose สามารถให้ข้อมูลลักษณะเด่นหรือฟีเจอร์ (feature) ได้เป็นจำนวนมาก แตกต่างจากเซนเซอร์ทั่วไปที่ส่วนใหญ่วิเคราะห์ได้เพียงฟีเจอร์เดียว ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ต้นทุนการผลิตอุปกรณ์ลดลง พร้อมกันนี้ทีมวิจัยยังได้พัฒนา AI สำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก E-nose เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับผลการวิเคราะห์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น และช่วยลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานด้านการทดสอบกลิ่นได้เป็นอย่างดี โดยขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเดินหน้าวิจัยอุปกรณ์เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลักของไทยทั้งในด้านเกษตร อาหาร สุขภาพ และการแพทย์”
[caption id="attachment_56555" align="aligncenter" width="750"] ต้นแบบอุปกรณ์วิเคราะห์กลิ่นรายละเอียดสูง (E-nose) และลักษณะข้อมูลจากการตรวจวัด[/caption]
การที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ตรวจวัดปริมาณสารเคมีชนิดต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยกระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ที่สำคัญคือการส่งเสริมให้เกิดการทำอุตสาหกรรมในรูปแบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ประเทศไทย
สำหรับผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ ดร.คทา จารุวงศ์รังสี นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช. อีเมล kata.jaruwongrungsee@nectec.or.th หรือเบอร์โทรศัพท์ 0 2564 6900 ต่อ 2185
ผู้ร่วมวิจัย
วัสดุนาโนสำหรับตอบสนองแก๊สแอมโมเนีย พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการทุนสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย (TGIST) โดยมี นายมณธวัช วิบูลย์ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู อาจารย์ที่ปรึกษา จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นผู้ร่วมวิจัย
การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านสุขภาพและการแพทย์ เป็นงานความร่วมมือกับ รศ. ดร.ชัยกานต์ เลียวหิรัญ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การวิจัยทางด้านการประยุกต์ใช้แก๊สเซนเซอร์ในงานด้านตรวจวัดระดับน้ำเสีย เป็นงานความร่วมมือกับ ผศ. ดร.ฐปน ชื่นบาล, รศ. ดร.วิรันธชา เครือฟู และ ผศ .ดร.ศิราภรณ์ ชื่นบาล จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์กโดย ภัทรา สัปปินันทน์
ภาพประกอบโดย ภัทรา สัปปินันทน์, เนคเทค สวทช. และ shutterstock
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น
3 องค์กร ร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานคาร์บอนกลาง อาเซียน
สวทช. (NSTDA) และ กรีนสแตนดาร์ด (GSD) ผนึกกำลัง เอซีไอ (ACI) องค์กรมาตรฐานคาร์บอนจากประเทศสิงคโปร์ เตรียมร่วมมือ สร้างมาตรฐานคาร์บอนกลางของอาเซียน พร้อมเทคโนโลยีการลดคาร์บอนและกรรมวิธีขั้นตอนคำนวนคาร์บอนกลางของอาเซียนร่วมกัน โดยมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. พร้อมให้การสนับสนุน ภายใต้ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ คุณวิชัย ทองแตง ผู้มีประสบการณ์ในการสร้างการทำงานร่วมกัน การต่อยอดกัน ขององค์กรหลายองค์กรให้ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าประสงค์ของภูมิภาคอาเซียน
16 พฤษภาคม 2567 - กรุงเทพฯ - กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. ร่วมกับ บริษัท กรีนสแตนดาร์ด จำกัด หรือ GSD และ Asia Carbon Institute หรือ ACI ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเตรียมสร้าง "มาตรฐานคาร์บอนกลางของอาเซียน" ให้สอดคล้องกับลักษณะจำเพาะเจาะจงของภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติและระบบนิเวศเฉพาะตน มีลักษณะการทำการเกษตรและปศุสัตว์ที่แตกต่าง ความหลากหลายของภาคอุตสาหกรรมเฉพาะตัว รวมทั้งมีภาคการท่องเที่ยวและภาคสาธารณสุขที่มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะในภูมิภาค ซึ่งจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีลดคาร์บอนของตนในรูปแบบเฉพาะตัวของภูมิภาค
ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมด้วยนาย จอห์น โล (John Lo) ประธานและผู้ก่อตั้ง Asia Carbon Institute หรือ ACI และ ดร. ก้องเกียรติ สุริเย ประธานบริหาร บริษัท กรีนสแตนดาร์ด ร่วมลงนามในครั้งนี้ โดย สวทช. เป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการสร้างมาตรฐานกรรมวิธีขั้นตอนลดคาร์บอนกลางของอาเซียน และมี ACI ที่ทำงานร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เป็นมาตรฐานคาร์บอนกลางของอาเซียน เพื่อรองรับโครงการลดคาร์บอนระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาค ภายใต้การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาเทคโนโลยีและขยายผลสู่การผลิตเชิงพานิชย์ของ กรีนสแตนดาร์ด (GSD)
ทั้งนี้การร่วมลงนามข้อตกลงดังกล่าวได้รับเกียรติจาก คุณวิชัย ทองแตง ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ความร่วมมือมาตรฐานคาร์บอนกลางของเอเชีย พร้อมด้วย ดร. พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ประธานกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อบก. ร่วมเป็นสักขีพยานกิตติมศักดิ์ในงาน และเป็นที่ปรึกษาในความร่วมมือดังกล่าว เพื่อประโยชน์ของภูมิภาคอาเซียนต่อไป
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
เปิดรับสมัคร ! AI Thailand Hackathon 2024 : EP1 – AI Cooking
เปิดรับสมัคร ! AI Thailand Hackathon 2024 : EP1 - AI Cooking
ชวนเหล่า Dev AI ทั่วฟ้าเมืองไทย รังสรรค์วัตถุดิบจากคลัง Corpus สู่นวัตกรรม AI ให้จึ้งใจกรรมการ
ในการแข่งชัน AI Thailand Hackathon 2024 : EP.1 - AI Cooking
ที่ขอเชิญชวนนักพัฒนา AI ทั่วประเทศ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ มารับบทเชฟ นำวัตถุดิบจาก ชุดคลังข้อมูล (Corpus) ใส่ไอเดียสร้างสรรค์ ปรุงออกมาเป็น AI Model ต่อยอดให้เกิดผลงานนวัตกรรม AI ในโจทย์สุดท้าทายทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ภาพ ภาษา เสียง และ Prompt Engineer ชิงเงินรางวัล รวมมูลค่า 245,000 บาท
พร้อมโอกาสดีในการใช้งาน "Lanta" เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของไทย ที่ 1 ในอาเซียน จาก ThaiSC สวทช. อีกด้วย
.
เปิดรับสมัครแล้ว วันนี้ - 7 มิ.ย. 2567
คุณสมบัติผู้สมัคร: รับหมดไม่สนว่าคุณเป็นใคร ถ้ามั่นใจว่า ‘ทำถึง’ ก็สมัครเลย
สนใจอย่ารอช้า อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครได้ที่ > https://ai-cooking.hackathon2024.ai.in.th/
ปฏิทินกิจกรรม
เนคเทค สวทช. จัดรวมพลคน KidBright ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด Edge AI หนุน ‘นักนวัตกร’ เรียนรู้ตลอดชีวิต ขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืน
(วันที่ 20 พฤษภาคม 2567) ณ ห้อง SD-601 ชั้น 6 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี: สำนักพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดงาน “รวมพลคน KidBright” KidBright Developer Conference 2024 (KDC24) ครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด: Edge AI การผสมผสานความสามารถของการประมวลผล Edge Computing กับปัญญาประดิษฐ์เข้าด้วยกัน โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เนคเทค สวทช. เข้าร่วมงานกิจกรรม
ทั้งนี้การจัดงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และได้รับเกียรติจาก สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC). ศูนย์ประสานงานเครือค่าย KidBright ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ร่วมประสานเครือข่ายโรงเรียน ครู นักเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม
[caption id="attachment_56709" align="aligncenter" width="2048"] ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์[/caption]
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า KidBright Education Platform เป็นแพลตฟอร์มสำหรับสอนเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดเชิงตรรกะ การคิดเชิงวิเคราะห์ ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดสู่การเป็นนวัตกร ซึ่ง สวทช. โดยทีมวิจัยเนคเทค ไม่เคยหยุดการพัฒนาและต่อยอดผลงานวิจัยจนมาเป็น บอร์ด“KidBright μAI” (คิดไบร์ทไมโครเอไอ) ซึ่งเป็นบอร์ดที่ตอบโจทย์สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะการนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาโจทย์จริงในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังเป็นการพัฒนากระบวนการคิดต่าง ๆ อันได้แก่ การคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญแห่งอนาคต ตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการ “สานพลังการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไทย พลิกโฉมให้ประเทศมีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และพร้อมก้าวสู่อนาคต” และตอบโจทย์แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) ที่มีกระทรวง อว. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการฯ ของคณะกรรมการแผนปฏิบัติการนี้
“ KidBright Education Platform ภายใต้ concept อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ผ่านKidBright Platform ที่ออกแบบให้สามารถเรียนรู้ได้ทั้งแบบ Online และ Onsite ทำให้มีนักเรียนจากโรงเรียนต่าง ๆ เข้ามาใช้ KidBright Education Platform ไม่ต่ำ 6,000 แห่ง สร้างครูผู้สอนไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ซึ่งครูผู้สอนเหล่านั้นได้นำ KidBright Simulator ไปใช้เป็นเครื่องมือสอนโค้ดดิ้งให้กับนักเรียน เกิดการเข้าใช้งาน KidBright Simulator ไม่ต่ำกว่า 60,000 แอคเซส สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมรวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท”
ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สำหรับในปี 2567 ทีมวิจัยได้ให้ความสำคัญกับการสอนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แก่เยาวชนในโรงเรียน โดยเฉพาะเทคโนโลยี Edge AI ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างปัญญาประดิษฐ์ และการประมวลผลร่วมกับอุปกรณ์เอดจ์ เช่น สมาร์ทโฟน เซนเซอร์ และอุปกรณ์ IoT ทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นสามารถประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาอุปกรณ์สำหรับสนับสนุนให้นักเรียนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี Edge AI ผ่าน บอร์ด“KidBright μAI” (คิดไบร์ทไมโครเอไอ) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับส่งเสริมการเรียนรู้โค้ดดิ้ง อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง และปัญญาประดิษฐ์ ในรูปแบบสะเต็มศึกษา บนบอร์ดได้ติดตั้งจอแสดงผล ไมโครโฟน เซนเซอร์ต่าง ๆ รวมถึงสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกผ่านการสื่อสารไร้สาย หรือ WiFi ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงชุดคำสั่งแบบบล็อกเพื่อควบคุมการทำงานของบอร์ดผ่าน KidBright μAI IDE (คิดไบร์ทไมโครไอดีอี) ซึ่งสามารถพัฒนาเป็นระบบอัตโนมัติที่มีการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์แบบเรียลไทม์ได้
อย่างไรก็ดี KidBright Education Platform ถือเป็นการส่งเสริมการให้บริการทางการศึกษาในรูปแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในการส่งเสริมการเรียนเทคโนโลยีสมัยใหม่ในโรงเรียนด้วยนวัตกรรม ที่พัฒนาโดย สวทช. แสดงให้เห็นถึงการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นไปใช้ประโยชน์จริงในการพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับทุกช่วงการศึกษาตั้งแต่ในระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา รวมถึงกลุ่มอาชีวะ ที่สำคัญเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาศักยภาพแห่งอนาคต ผ่านกิจกรรมความร่วมมือกับพันธมิตร ทั้งนักพัฒนาและภาคอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับรูปแบบการเรียนให้ทันสมัย เกิดการพัฒนาและสร้างนักนวัตกรที่มีความเชี่ยวชาญในทักษะที่จำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมบุคลากรในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนต่อไป
[caption id="attachment_56710" align="aligncenter" width="2560"] ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย[/caption]
ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน STEM Education เป็นสิ่งจำเป็นในการเรียนรู้ยุคใหม่ เพราะดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้เร็วมาก ซึ่ง KidBright μAI” (คิดไบร์ทไมโครเอไอ) ถือเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้Coding และ AI ในรูปแบบสะเต็มศึกษา โดยจุดเด่นของ KidBright μAI อาทิ มีเซนเซอร์หลายชนิด สามารถใส่โค้ดอีกหลายชนิดเข้าไปได้ เป็นต้น ดังนั้นความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์มีหลายด้านอยู่ที่ผู้เรียนจะจินตนาการเพิ่มเพิ่มความสามารถของบอร์ดเข้าไป เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจการนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาโจทย์จริงในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญคือเป็นการช่วยเสริม การคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์ให้กับนักนวัตกรไทย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ร่วมกับ ไบโอเทค สวทช. จัดการประชุมระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน
(20 พฤษภาคม 2567) ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) : การประชุมระดับสูงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจโอกาสในภาคเศรษฐกิจชีวภาพและกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนของภูมิภาคไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเกษตร-อาหาร การประชุมรูปแบบไฮบริดนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-21 พ.ค. 2567 โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (BIOTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมี โรเบิร์ต ซิมป์สัน Regional Programme Leader ผู้แทนจาก FAO Illias Animon ผู้แทนจาก FAO พร้อมกับ ดร. กาญจนา วานิชกร Director of Sectoral Development สำนักเลขาธิการอาเซียน ดร. จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผศ.ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ดร.กัญญวิมว์ กีรติกร. รองอธิการบดีอาวุโสฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมงาน
งานประชุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสมากกว่า 160 รายจากประเทศกัมพูชา อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม การอภิปรายมุ่งเน้นไปที่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพในภาคอาหารและเกษตรกรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งผลักดันกิจกรรมและความคิดริเริ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจัดเป็นภูมิภาคที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูง
ในระหว่างการประชุมในวันแรก ที่ประชุมได้รับฟังและอภิปรายถึงบทบาทวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ถือเป็นกลไกที่ขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจชีวภาพและยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับมือและแก้ปัญหาความท้าทายระดับโลก โดย โรเบิร์ต ซิมป์สัน Regional Programme Leader ผู้แทนจาก FAO กล่าวในช่วงพิธีเปิดงานว่า "เราจำเป็นต้องสนับสนุนเศรษฐกิจชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มและกระจายรายได้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของเกษตรกร เส้นทางของการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพต่อจากนี้ควรรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวมวลที่มีอยู่ การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากชีวมวลที่ปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ และเพิ่มการผลิตชีวมวลอย่างยั่งยืน”
ดร. กาญจนา วานิชกร Director of Sectoral Development สำนักเลขาธิการอาเซียน กล่าวว่าเศรษฐกิจชีวภาพมีศักยภาพที่จะปฏิวัติระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ดร.กาญจนายังได้ร่วมแชร์เกี่ยวกับนโยบายและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจชีวภาพของอาเซียน เช่น ยุทธศาสตร์ความเป็นกลางคาร์บอนของอาเซียน กรอบนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียนของอาเซียน กรอบเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) ของอาเซียน และแผนปฏิบัติการเพื่อการเกษตรที่ยั่งยืนในอาเซียน
ด้าน ดร. จันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวถึงการใช้เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) หรือโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในการพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศไทย โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี เป็นแนวคิดการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้กับ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curves) ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมพลังงานและวัสดุ อุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ โดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตที่เป็นฐานการผลิตเดิม เช่น เกษตรกรและชุมชน ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
ด้าน ศ.ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าวว่าการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจบีซีจีต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปยกระดับผลิตภาพของผู้ผลิตส่วนใหญ่ที่อยู่ที่ฐานของปิรามิด ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการที่จะนำไปสู่การลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างความหลากหลายให้แก่ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการไทยให้มีความเข้มแข็งรวมถึงการขยายผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ Illias Animon ผู้แทนจาก FAO ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักด้านเศรษฐกิจชีวภาพสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการทำงานอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพันธมิตรด้านเศรษฐกิจชีวภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย FAO เป็นหน่วยงานแรกและแห่งเดียวในสหประชาชาติที่ยกระดับเศรษฐกิจชีวภาพให้มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ (strategic priority)
กิจกรรมการประชุมระดับสูงนี้ถือเป็นกิจกรรมแรกในชุดกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และอภิปรายเกี่ยวกับการก้าวไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อขยายขนาด (up-scale) เศรษฐกิจชีวภาพในภูมิภาค ซึ่งชุดกิจกรรมนี้รวมถึงการประชุมสุดยอดเศรษฐกิจชีวภาพระดับภูมิภาคในปี 2568 ที่ FAO อยู่ในระหว่างการหารือกับพันธมิตรในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
Workshop ติดปีกสินค้าไทย สู่เวทีโลกด้วย Export tool
📌เชิญชวนผู้ประกอบการที่กำลังมองหาเทคนิคใหม่ๆในการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดนานาชาติ เข้าร่วม Workshop
▪️▪️✈️ ติดปีกสินค้าไทย สู่เวทีโลกด้วย Export tool 💫 ▪️▪️
ภายในงาน ท่านจะได้
✔️เรียนรู้การใช้เครื่องมือค้นหา data ด้านการนำเข้าส่งออกที่เป็นประโยชน์จากทั่วทุกมุมโลกจาก International Trade Center
✔️เจาะหาประเทศกลุ่มเป้าหมายและค้นหาลูกค้าในตลาดต่างประเทศได้อย่างแม่นยำ
📌พบกับการบรรยายและ Workshop หัวข้อ
▪️“การเตรียมตัวเพื่อส่งออกสินค้าไทยไปยังต่างประเทศ”
▫️โดย คุณปรีชา ชัยชาญชีพ ที่ปรึกษา ด้านการส่งออก บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ จำกัด (มหาชน)
▪️ “เรียนรู้ 3 Tools ตัวช่วยสำหรับการส่งออกสินค้า (Trade Map, Export Potential Map, Global Trade Helpdesk)”
▫️โดย คุณธนชัยพงศ์ เอี่ยมสุข ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี
📆 วันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลา 9.00 - 16.00 น.
📍Google Thailand 57 ปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ชั้นที่ 16
ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
📌ลงทะเบียน 👉🏻 https://forms.gle/Ss1B72ef4axZh8He7
ปฏิทินกิจกรรม
7 หน่วยงาน ลงนาม MOU ร่วมพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค
(วันที่ 17 พฤษภาคม 2567) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) และหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ร่วมมือกับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) (สคช.) ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือเรื่องการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน โดยมีผู้บริหารและพนักงานเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานเข้าร่วมพิธีลงนามดังกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน ณ ห้องประชุม Auditorium เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) สำนักงานใหญ่ วังจันทร์วัลเลย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง มีวัตถุประสงค์ในการเชื่อมโยง ประสานงานกันเป็นเครือข่ายด้านการพัฒนานวัตกรรมการบินควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรระดับอุดมศึกษา หวังปั้นเป็นศูนย์กลางด้านการบินแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Hub of Aviation) เพื่อสอดรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบินเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สอดรับกับนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้เน้นย้ำเรื่องการเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) และศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO Hub) ของภูมิภาค ซึ่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) และศูนย์กลางโลจิสติกส์ (Logistic Hub) ได้อีกด้วย การร่วมมือกันครั้งนี้จะมีการพัฒนานวัตกรรมและพัฒนาบุคลากรสมรรถนะสูง และจะมีการ Spill-over ออกมาในอุตสาหกรรมการบิน (Aviation) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็น Aviation Hub ที่มีนวัตกรรมที่ใช้ Local content ในประเทศ และสร้างผลกระทบ (Impact) สูงมาก โดย สอวช. บพข. และ บพค. จะทำงานร่วมกันผ่านโครงการ Project lead the way เพื่อพัฒนาวัตกรรม และพัฒนาบุคลากรสมรรถนะสูงสองกลุ่ม คือ กลุ่มวิศวกร และกลุ่มที่ Spinoff ในรูปแบบบริษัท (Corporate) ที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี เพื่อผลิตเทคโนโลยีให้กับ บวท. และต่างประเทศ โดยเป้าหมายของ Aviation Hub จะต้องมีนวัตกรรมที่เป็นของคนไทย สร้างธุรกิจฐานนวัตกรรม (Innovation Driven Enterprise: IDE) และสร้างบุคลากรสมรรถนะสูงเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินต่อไป
ดร. วุฒิ ด่านกิตติกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า EECi อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหนึ่งใน โครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งรัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 สำหรับการเข้าร่วมเป็นภาคีของบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรวิจัยของ สวทช. ได้เข้าร่วมการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมด้านการบิน สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการและอุตสาหกรรม อีกทั้งส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานด้านการขยายผลงานวิจัย (Translational Research Infrastructure) ภายใน EECi เพื่อการพัฒนานวัตกรรมด้านการบิน ยกตัวอย่างเช่น Testbed สำหรับการพัฒนาหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่อยู่ภายในศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) สนามทดสอบอากาศยานไร้คนขับ (UAV Sandbox) และพื้นที่ภายในกลุ่มอาคารสำนักงานใหญ่ EECi ที่จะสามารถช่วยสนับสนุนให้เกิดการขยายผลการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมด้านการบินให้รุดหน้า เพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ให้เป็นศูนย์กลางทางการบินและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
ดร. ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรร่วมสร้างนวัตกรรมด้านการบิน เช่น นวัตกรรมการบริหารจราจรทางอากาศ (Air Traffic Management Innovation) นวัตกรรมสำหรับการปฏิบัติการ ณ ท่าอากาศยาน (Airport Operations Innovation) นวัตกรรมอากาศยานซึ่งไม่มีคนขับ (Unmanned Aircraft Innovation) และนวัตกรรมการจัดการอากาศยานซึ่งไม่มีคนขับ (Unmanned Traffic Management Innovation) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศ ความสอดคล้องตามความต้องการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในพัฒนาบุคลากรมืออาชีพให้พร้อมปฏิบัติงานด้านการบินและงานที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต (Next Generation of Aviation Professional: NGAP) และการยกระดับความสามารถในกิจการบิน รวมทั้งรองรับเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ยกระดับอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคต่อไป
รองศาสตราจารย์ ดร. ธงชัย สุวรรณสิชณน์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) กล่าวว่า การร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมที่สำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการบินของประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง บพข. พร้อมที่จะสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมการบินของประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการจัดการในมิติที่สำคัญ เช่น Stakeholder engagement/ Empowerment, Risk and change management และการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสม เพื่อผลักดันให้เกิดความสำเร็จตามระดับ Technology Readiness Level (TRL) ที่คาดหวัง และเกิดการต่อยอดต้นแบบนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์ (Innovation Utilization) ในธุรกิจการบิน หรือการขยายผลผ่านการจัดตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ (Startup) เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการพัฒนานวัตกรรมการบินแล้ว ยังเป็นการพัฒนาทักษะและความสามารถด้านนวัตกรรมของผู้ร่วมโครงการ ทั้งภาคสถาบันอุดมศึกษา ภาควิชาการ ภาควิจัย และภาคเอกชน ผ่านการปฏิบัติจริง ถือเป็นการสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรมการบินที่เข้มแข็ง เพื่อนำไปสู่การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินของประเทศต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวว่า "การสานพลังความร่วมมือในการลงนาม MOU ครั้งนี้ นับว่าจะเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการบินของประเทศที่จะเป็นการยกระดับทักษะและสมรรถนะเฉพาะบุคคลให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมการเดินอากาศ การจราจรทางอากาศให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรีอนระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นพัฒนาทักษะใหม่ (New Skillset) ความสามารถที่ตรงตามความต้องการของภาคผู้ใช้ (Demand-driven) เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นทัดเทียมในระดับสากลได้ โดย บพค. จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงด้านการวิจัยและสร้างนวัตกรรมด้านการบินมุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงสนับสนุนการสร้างทักษะผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) ให้เป็นผู้สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งนี้ บพค. มองว่าการเตรียมความพร้อมด้านกำลังคนสมรรถนะสูงให้มีทักษะใหม่ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม จะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) ในอนาคต”
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. มีความพร้อมในการขับเคลื่อนความร่วมมือว่าด้วยเรื่องการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน หรือ NGAP-Digital transformation เนื่องจากสอดคล้องกับนโยบาย ส.อ.ท. ภายใต้ ONE FTI ที่จะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด 5 สภาอุตสาหกรรมภาค เพื่อให้เกิดการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-GEN Industries) โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ ส.อ.ท. ขับเคลื่อน คือ อุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน ส.อ.ท. มุ่งหวังให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมด้านการบิน จากความต้องการของภาคอุตสาหกรรมสู่การขยายผลกลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ให้สามารถต่อยอดได้ในเชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม ด้าน Upskill และ Reskill เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการพัฒนาบุคลากรและนวัตกรรมด้านการบิน ส.อ.ท. มีแผนจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เติบโต ผ่านกลไกการดำเนินงานของ Cluster of FTI Future Mobility-ONE (CFM-ONE) และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ EEC รวมถึงการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มส.อ.ท. อาทิ FTI Academy และสถาบันเสริมสร้างขีดความสามารถมนุษย์ เพื่อยกระดับให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้เพิ่มพูนทักษะที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรม และยังเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับ Future Skill กับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะเป็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตลาดโลก
นางสาวจุลลดา มีจุล ผู้อำนวยการ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ กล่าวว่า สถาบันพร้อมให้ความร่วมมือและร่วมพัฒนาบุคลากรที่มีสมรรถนะสูงด้วยกลไกการพัฒนาและรับรองสมรรถนะของบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการบินในมิติส่งเสริมสมรรถนะที่ทำให้การประกอบอาชีพก้าวสู่การแข่งขันของเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในด้าน Digital Skill ตามภารกิจหลักของสถาบัน โดยการรับรองทักษะที่เป็นสมรรถนะสูงสำหรับการเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการบินและงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Data Analytic, Data Science, Data Engineer เป็นต้น จะสามารถตอบโจทย์การเป็นผู้สร้างเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Future Technology) ในอุตสาหกรรมการบินด้วยระบบคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งส่งผลให้กิจการการบินมีผู้ปฏิบัติงานที่มีสมรรถนะสูง ขณะเดียวกันด้วยแพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem Platform จะสามารถทำให้บุคลากรเข้าถึงการพัฒนาตนเองให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้นและได้รับการส่งเสริมในอาชีพจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ สามารถสั่งสมสมรรถนะด้วยระบบ Competency Credit Bank โดยการส่งเสริมให้มีการต่อยอดสู่การรับรองคุณวุฒิวิชาชีพในอาชีพที่มีสมรรถนะสูงของ สคช. อันจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคลากรด้านการบิน ตลอดจนสามารถยกระดับอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ พัฒนาให้เกิดมหานครการบินภาคตะวันออก (Aerotropolis) และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินและประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
ข่าว
ข่าวประชาสัมพันธ์
สัมมนา “โอกาสและความท้าทายของการขยายตลาดในประเทศ CLMV สำหรับธุรกิจนวัตกรรม และ DeepTech”
🎯ไม่อยากตกเทรนด์ ห้ามพลาด! กับกิจกรรมดีๆ ของอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ในงานสัมมนา "โอกาสและความท้าทายของการขยายตลาดในประเทศ CLMV สำหรับธุรกิจนวัตกรรม และ DeepTech” ฟรี....จำนวนจำกัด
.
🗓️วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน 2567
⏰เวลา 13.00-16.00 น.
📍ณ ศูนย์ Connex อาคาร 19 (INC2) Tower D ชั้น 1 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
.
*️⃣พบกับ 5 กูรูที่จะพาคุณเจาะลึกการเข้าถึงตลาด CLMV และกลยุทธ์การทำ Online Marketing Solution ให้โดนใจลูกค้า โดย.....
🔹คุณวรมินทร์ ถาวราภา
รองผู้อำนวยการฝ่ายพันธมิตรและสำนักงานผู้แทน EXIM BANK
- โอกาสและความท้าทายในการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศ CLMV
🔹คุณนันทพัชร ณ สงขลา
Business Development Manager จาก FDI Accounting and Advisory Co., Ltd
- ก่อนบุกตลาด CLMV สิ่งที่ต้องเตรียมตัวและข้อควรระวัง
- เทรนด์ที่น่าจับตามองและโอกาสเติบโตในตลาด CLMV เจาะลึกในแต่ละประเทศ
🔹คุณภูคณิศา ธนัชปิติโชติ
กรรมการผู้จัดการ ทวีกิจทรัพย์เพิ่มพูล
-หาคู่ค้า Distributor ผู้นำเข้าผ่าน Online Marketing แบบง่าย ๆ
-การใช้ FB Ads ในการหาลูกค้าและคู่ค้าในกลุ่มประทศ CLMV
🔹 คุณนาวิก นำเสียง และ คุณพีรยุทธ ย่องซื่อ บริษัท Sundae Solutions Co., Ltd.
-Al ตัวช่วยในการบุกตลาด CLMV การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ไร้ข้อจำกัด
- ด้วย Generative Al และการตลาด Omnichannel
- ถึงจะต่างภาษาแต่เราก็ chat กับลูกค้าได้
.
งานนี้เหมาะสำหรับ
✅ เจ้าของธุรกิจนวัตกรรม
✅ ผู้บริหารธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรม
✅ Deep Tech startups
✅ นักการตลาดที่มีความต้องการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
.
🔍 ค้นหาคำตอบด้วยตัวคุณเองว่า.....
❓ ธุรกิจคุณพร้อมหรือยังกับการขยายไปในประเทศ CLMV
❓ ประเทศไหนเหมาะกับสินค้า หรือบริการในแบบใด
👍 ลงทะเบียนร่วมงานฟรีที่ https://www.nstda.or.th/r/IHXAb (รับจำนวนจำกัด)
🎉พิเศษสุด...ผู้เข้าร่วมงานสัมมนานี้ กับกิจกรรม Networking ใกล้ชิดกับวิทยากร พูดคุยแบบกันเอง เยี่ยมชมบูธ พร้อมรับสิทธิ์ส่วนลดสุด exclusive เฉพาะงานนี้เท่านั้น!!!
✨ให้คำปรึกษาธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ
✨ พร้อมรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับสินเชื่อ เพื่อการส่งออกแก่ผู้ประกอบการไทยจาก EXIM Bank
✨ ส่วนลด 15% เมื่อใช้บริการจาก FDI
✨ส่วนลด 10% คอร์สเรียนส่งออกออนไลน์ในประเทศ CLMV พร้อมบริการให้คำปรึกษาการตลาดออนไลน์ และซื้อโฆษณา Facebook ในไทยและกลุ่ม CLMV
✨ส่วนลดสูงสุด 20% สำหรับ Freshchat และ Freshsales Suite Solutions พร้อมฟรี training การใช้งาน 1 วัน
.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่
ดร. ประภัสสร (หนิง) ฝ่ายพัฒนาธุรกิจและคลัสเตอร์นวัตกรรม
📞 081 854 1844
📧 bcd@nstda.or.th
ข่าว
ปฏิทินกิจกรรม
แกะกล่องงานวิจัย : โปรแกรม ‘ช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์’ ลดเสี่ยงสูญพันธุ์
📌 1) เกี่ยวกับอะไร ?
เนื่องในวันที่ 22 พฤษภาคมของทุกปีเป็นวันความหลากหลายทางชีวภาพ (International day of biological diversity) สวทช. จึงขอนำเสนอผลงานการวิจัยโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เพื่อเลี่ยงการผสมภายในเครือญาติหรือ ‘เลือดชิด’ ลดความเสี่ยงการได้รับลักษณะอ่อนแอหรือโรคทางพันธุกรรรมจากพ่อและแม่ โดยโปรแกรมนี้มีศักยภาพในการประเมินความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงถึงระดับประชากร จึงใช้สนับสนุนการดำเนินงานด้านอนุรักษ์ความหลากหลายทางพันธุกรรมเพื่อการคงสภาพการอยู่รอดด้วยตัวเองตามธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ในการวิจัยและพัฒนา ไบโอเทค สวทช. ได้ร่วมกับพันธมิตรพัฒนาโปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสม #ละมั่งสายพันธุ์ไทยที่มีสถานะเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เป็นลำดับแรก เพราะในอดีตละมั่งเคยมีสถานภาพสูญพันธุ์จากป่าธรรมชาติของประเทศไทยไปแล้ว แต่ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยกันเพาะเลี้ยงและนำปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ปัจจุบันจึงยังคงมีละมั่งพันธุ์ไทยและลูกผสมระหว่างละมั่งพันธุ์ไทยและพันธุ์เมียนมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนประชากรที่ยังคงเหลือน้อยในระดับวิกฤตผู้ดูแลจึงยังต้องระมัดระวังเรื่องการผสมพันธุ์อยู่เสมอ
จากความสำเร็จในการเลือกคู่ผสมละมั่งพันธุ์ไทย นักวิจัยได้ขยายการดำเนินงานสู่การประยุกต์ใช้กับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดอื่นที่มีสถานะวิกฤตไม่ต่างกันเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่างเช่น พญาแร้ง เสือลายเมฆ เก้งหม้อ ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายพันธุ์สัตว์เหล่านี้ เพื่อคงความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากรสัตว์
📌 2) ดีอย่างไร ?
โปรแกรมช่วยเลือกคู่ผสมสัตว์ทำงานโดยการวิเคราะห์ความคล้ายคลึงของจีโนไทป์ (genotype) ที่ได้จากสัตว์แต่ละตัวจำนวน 30,000 ตำแหน่ง โดยโปรแกรมจะนำเสนอค่าความแตกต่างของจีโนไทป์ทุกคู่ในรูปแบบตารางที่อ่านผลได้ง่าย เพื่อให้สัตวแพย์ประเมินความ ‘เลือดชิด’ หรือ ‘พันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันน้อย’ ได้โดยสะดวก สามารถเลือกพ่อและแม่พันธุ์ที่มีความเหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้โปรแกรมยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ได้อีก 2 ด้าน ด้านแรกคือการวิเคราะห์สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตว่าเป็นพันธุ์แท้หรือลูกผสม เพื่อใช้ยืนยันจำนวนประชากรและวางแผนอนุรักษ์ตามสายพันธุ์ ด้านที่สองคือการสืบย้อนหาเครือญาติของสิ่งมีชีวิตโดยการสร้างแผนภูมิต้นไม้สำหรับแต่ละครอบครัว (family tree reconstruction) เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลที่บันทึกไว้ไม่สมบูรณ์หรือสูญหาย ข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลสายพันธุกรรม (pedigree) รวมถึงการสังเกตลักษะเด่นและด้อยที่ปรากฏให้เห็นและส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวางแผนการผสมพันธุ์อย่างเหมาะสม
📌 3) ตอบโจทย์อะไร?
ทีมวิจัยวางแผนพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อการใช้ประโยชน์ด้านการอนุรักษ์สัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ โดยปัจจุบันได้มีการขยายการดำเนินงานไปยังสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์สูงชนิดอื่น ๆ อาทิ พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ทีมยังมีแผนดำเนินงานร่วมกับองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการนำโปรแกรมเข้าสู่ระบบขององค์การสวนสัตว์ฯ เพื่อเปิดให้ผู้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และการผสมพันธุ์สัตว์ในประเทศไทยได้ใช้ประโยชน์จากโปรแกรมเพื่อลดความเสี่ยงสูญพันธุ์ และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
📌 4) สถานะของเทคโนโลยี?
พร้อมให้บริการเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์เลือกคู่ผสม ละมั่ง พญาแร้ง เก้งหม้อ เสือลายเมฆ
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย : NBT พัฒนาโปรแกรม “วิเคราะห์เลือกคู่ผสมสัตว์” ลดเสี่ยงสูญพันธุ์ นำร่องอนุรักษ์ “ละมั่งพันธุ์ไทย”
เรียบเรียงโดย ภัทรา สัปปินันทน์ ฝ่ายสร้างสรรค์สื่อและผลิตภัณฑ์ สวทช.
อาร์ตเวิร์คโดย ภัทรา สัปปินันทน์
BCG
ข่าว
บทความ
ผลงานวิจัยเด่น


